• “digiKam 8.8 เพิ่มฟีเจอร์ใช้โปรไฟล์สีจอภาพอัตโนมัติบน Wayland” — เมื่อการจัดการภาพถ่ายก้าวสู่ความแม่นยำระดับมืออาชีพ

    digiKam 8.8 ซึ่งเป็นแอปจัดการภาพถ่ายแบบโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการรองรับการใช้โปรไฟล์สีของจอภาพแบบอัตโนมัติบนระบบ Wayland ซึ่งช่วยให้การแสดงผลภาพมีความเที่ยงตรงมากขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง

    นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น:

    รองรับการแสดงจุดโฟกัสของกล้อง FujiFilm และ Olympus/OM Systems ในโหมด Preview
    เพิ่มเครื่องมือเบลอพื้นหลังแบบค่อยเป็นค่อยไปใน Image Editor
    อัปเดตปลั๊กอิน G’MIC-Qt เป็นเวอร์ชัน 3.6 เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลภาพ
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือน (Progress Manager) ให้ใช้ native desktop notifications บน Linux, macOS และ Windows
    แก้ปัญหาความเสถียรใน Wayland และ Windows 11
    รองรับ Qt 6.10 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการใหม่
    ปรับปรุงการจัดการแท็ก, การแสดง thumbnail, การเลือกภาษา และการแปลเป็น 61 ภาษา

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด digiKam 8.8 ได้ในรูปแบบ AppImage ซึ่งสามารถรันได้บน Linux ทุกดิสโทรโดยไม่ต้องติดตั้ง หรือเลือกติดตั้งผ่าน repository หรือ Flatpak จาก Flathub

    https://9to5linux.com/digikam-8-8-adds-support-to-automatically-use-monitor-color-profiles-on-wayland
    🖼️ “digiKam 8.8 เพิ่มฟีเจอร์ใช้โปรไฟล์สีจอภาพอัตโนมัติบน Wayland” — เมื่อการจัดการภาพถ่ายก้าวสู่ความแม่นยำระดับมืออาชีพ digiKam 8.8 ซึ่งเป็นแอปจัดการภาพถ่ายแบบโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการรองรับการใช้โปรไฟล์สีของจอภาพแบบอัตโนมัติบนระบบ Wayland ซึ่งช่วยให้การแสดงผลภาพมีความเที่ยงตรงมากขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น: 👍 รองรับการแสดงจุดโฟกัสของกล้อง FujiFilm และ Olympus/OM Systems ในโหมด Preview 👍 เพิ่มเครื่องมือเบลอพื้นหลังแบบค่อยเป็นค่อยไปใน Image Editor 👍 อัปเดตปลั๊กอิน G’MIC-Qt เป็นเวอร์ชัน 3.6 เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลภาพ 👍 ปรับปรุงระบบแจ้งเตือน (Progress Manager) ให้ใช้ native desktop notifications บน Linux, macOS และ Windows 👍 แก้ปัญหาความเสถียรใน Wayland และ Windows 11 👍 รองรับ Qt 6.10 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการใหม่ 👍 ปรับปรุงการจัดการแท็ก, การแสดง thumbnail, การเลือกภาษา และการแปลเป็น 61 ภาษา ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด digiKam 8.8 ได้ในรูปแบบ AppImage ซึ่งสามารถรันได้บน Linux ทุกดิสโทรโดยไม่ต้องติดตั้ง หรือเลือกติดตั้งผ่าน repository หรือ Flatpak จาก Flathub https://9to5linux.com/digikam-8-8-adds-support-to-automatically-use-monitor-color-profiles-on-wayland
    9TO5LINUX.COM
    digiKam 8.8 Adds Support to Automatically Use Monitor Color Profiles on Wayland - 9to5Linux
    digiKam 8.8 open-source digital photo management software is now available for download with various new features and improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 20-10-68
    .
    เช้าวันจันทร์หลังจากประชุม และรับประทานอาหารกับทีมงานบ้านพระอาทิตย์ เมนูเป็นข้าวผัดปลาเค็ม กับไข่ดาว คุณสนธิจะมาเล่าเรื่อง และฉายภาพว่า "รายชื่อนักการเมืองไทยจำนวน 7 คน" ที่ร่ำลือกันว่าเกี่ยวพันกับคาสิโน และขบวนการสแกมเมอร์ในเขมรว่ามีจริงหรือไม่? ฮุนเซนกำลังแบล็กเมลนักการเมืองไทยใครบ้าง ? และสิ่งที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ MOU 2543-2544 และ การประชุม JBC ที่รัฐบาลรวมถึงกระทรวงต่างประเทศดึงดันว่าจะประชุมให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ อ.ปานเทพ และหลายคนก็ทักท้วงว่า จะส่งผลต่อการยกเลิก MOU ... ที่สำคัญคือ เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกอย่างไร ... ต้องติดตาม
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=0iL6u9s683o
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #MOU2543 #JBC #ฮุนเซน
    สนธิเล่าเรื่อง 20-10-68 . เช้าวันจันทร์หลังจากประชุม และรับประทานอาหารกับทีมงานบ้านพระอาทิตย์ เมนูเป็นข้าวผัดปลาเค็ม กับไข่ดาว คุณสนธิจะมาเล่าเรื่อง และฉายภาพว่า "รายชื่อนักการเมืองไทยจำนวน 7 คน" ที่ร่ำลือกันว่าเกี่ยวพันกับคาสิโน และขบวนการสแกมเมอร์ในเขมรว่ามีจริงหรือไม่? ฮุนเซนกำลังแบล็กเมลนักการเมืองไทยใครบ้าง ? และสิ่งที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ MOU 2543-2544 และ การประชุม JBC ที่รัฐบาลรวมถึงกระทรวงต่างประเทศดึงดันว่าจะประชุมให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ อ.ปานเทพ และหลายคนก็ทักท้วงว่า จะส่งผลต่อการยกเลิก MOU ... ที่สำคัญคือ เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกอย่างไร ... ต้องติดตาม . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=0iL6u9s683o . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #MOU2543 #JBC #ฮุนเซน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ภาพนิ่งที่ขยับได้: เบื้องหลังมายากลของวิดีโอในยุคกราฟิกการ์ดครองโลก"

    เรื่องเล่าจากอดีตของ Raymond Chen นักพัฒนาระบบ Windows ที่เผยเบื้องหลังเทคนิคการแสดงผลวิดีโอในยุคก่อน Windows XP ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดแปลก—เมื่อคุณจับภาพหน้าจอจากวิดีโอ แล้วเปิดในโปรแกรม Paint ภาพนิ่งนั้นกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต!

    Chen อธิบายว่าเทคนิคนี้เกิดจากการใช้ “overlay surfaces” หรือพื้นผิวกราฟิกพิเศษที่ทำงานร่วมกับกราฟิกการ์ดโดยตรง โดยวิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอจริง แต่ถูกวาดลงบนพื้นผิวที่แชร์กับการ์ดจอ แล้วใช้เทคนิค “chroma key” หรือการแทนที่สี (เช่น สีเขียว) ด้วยภาพวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่

    เมื่อคุณจับภาพหน้าจอในขณะที่ overlay ยังทำงานอยู่ ภาพที่ได้จะมีพื้นที่สีเขียวแทนตำแหน่งวิดีโอ และหากเปิดภาพนั้นใน Paint แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงานอยู่ วิดีโอจะยังคงแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่งนั้น—ราวกับภาพนิ่งกลายเป็นวิดีโอ!

    เทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การลดการแปลงรูปแบบพิกเซล และการอัปเดตภาพวิดีโอโดยไม่ต้องผ่านการวาดใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การแสดงผลผิดพลาดเมื่อมีหน้าต่างอื่นที่มีสีเขียวซ้อนทับ หรือการจำกัดจำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับ

    ในยุคปัจจุบัน เทคนิคนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “desktop compositor” ที่รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป

    เทคนิค overlay video rendering
    ใช้พื้นผิวกราฟิกพิเศษร่วมกับการ์ดจอเพื่อแสดงวิดีโอ
    วิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอโดยตรง แต่ใช้การแทนที่สี (chroma key) เช่น สีเขียว
    ทำให้สามารถแสดงวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า

    ปรากฏการณ์ภาพนิ่งที่ขยับได้
    เกิดจากการจับภาพหน้าจอขณะ overlay ยังทำงานอยู่
    หากเปิดภาพในตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงาน วิดีโอจะยังแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่ง

    ข้อดีของ overlay
    ลดการแปลงรูปแบบพิกเซล
    อัปเดตภาพวิดีโอได้เร็วโดยไม่ต้องวาดใหม่
    รองรับการแสดงผลแบบ 60 fps จาก background thread

    ข้อจำกัดและปัญหาของ overlay
    หากหน้าต่างอื่นมีสีเขียวซ้อนทับ อาจแสดงวิดีโอผิดตำแหน่ง
    การเคลื่อนย้ายหน้าต่างวิดีโออาจทำให้ overlay ตามไม่ทัน เกิดการกระตุก
    จำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับมีจำกัด

    เทคโนโลยีปัจจุบัน: desktop compositor
    รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำ
    รองรับการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของวิดีโออัตโนมัติ
    ไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป

    สาระเพิ่มเติม: Chroma key ในวงการภาพยนตร์
    เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ในสตูดิโอถ่ายทำ เช่น การแทนที่ฉากหลังสีเขียวด้วยภาพอื่น
    เป็นพื้นฐานของการสร้างฉากเสมือนในภาพยนตร์และรายการข่าว


    https://devblogs.microsoft.com/oldnewthing/20251014-00/?p=111681
    😺 "ภาพนิ่งที่ขยับได้: เบื้องหลังมายากลของวิดีโอในยุคกราฟิกการ์ดครองโลก" เรื่องเล่าจากอดีตของ Raymond Chen นักพัฒนาระบบ Windows ที่เผยเบื้องหลังเทคนิคการแสดงผลวิดีโอในยุคก่อน Windows XP ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดแปลก—เมื่อคุณจับภาพหน้าจอจากวิดีโอ แล้วเปิดในโปรแกรม Paint ภาพนิ่งนั้นกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต! Chen อธิบายว่าเทคนิคนี้เกิดจากการใช้ “overlay surfaces” หรือพื้นผิวกราฟิกพิเศษที่ทำงานร่วมกับกราฟิกการ์ดโดยตรง โดยวิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอจริง แต่ถูกวาดลงบนพื้นผิวที่แชร์กับการ์ดจอ แล้วใช้เทคนิค “chroma key” หรือการแทนที่สี (เช่น สีเขียว) ด้วยภาพวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ เมื่อคุณจับภาพหน้าจอในขณะที่ overlay ยังทำงานอยู่ ภาพที่ได้จะมีพื้นที่สีเขียวแทนตำแหน่งวิดีโอ และหากเปิดภาพนั้นใน Paint แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงานอยู่ วิดีโอจะยังคงแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่งนั้น—ราวกับภาพนิ่งกลายเป็นวิดีโอ! เทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การลดการแปลงรูปแบบพิกเซล และการอัปเดตภาพวิดีโอโดยไม่ต้องผ่านการวาดใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การแสดงผลผิดพลาดเมื่อมีหน้าต่างอื่นที่มีสีเขียวซ้อนทับ หรือการจำกัดจำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับ ในยุคปัจจุบัน เทคนิคนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “desktop compositor” ที่รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป ✅ เทคนิค overlay video rendering ➡️ ใช้พื้นผิวกราฟิกพิเศษร่วมกับการ์ดจอเพื่อแสดงวิดีโอ ➡️ วิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอโดยตรง แต่ใช้การแทนที่สี (chroma key) เช่น สีเขียว ➡️ ทำให้สามารถแสดงวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า ✅ ปรากฏการณ์ภาพนิ่งที่ขยับได้ ➡️ เกิดจากการจับภาพหน้าจอขณะ overlay ยังทำงานอยู่ ➡️ หากเปิดภาพในตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงาน วิดีโอจะยังแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่ง ✅ ข้อดีของ overlay ➡️ ลดการแปลงรูปแบบพิกเซล ➡️ อัปเดตภาพวิดีโอได้เร็วโดยไม่ต้องวาดใหม่ ➡️ รองรับการแสดงผลแบบ 60 fps จาก background thread ‼️ ข้อจำกัดและปัญหาของ overlay ⛔ หากหน้าต่างอื่นมีสีเขียวซ้อนทับ อาจแสดงวิดีโอผิดตำแหน่ง ⛔ การเคลื่อนย้ายหน้าต่างวิดีโออาจทำให้ overlay ตามไม่ทัน เกิดการกระตุก ⛔ จำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับมีจำกัด ✅ เทคโนโลยีปัจจุบัน: desktop compositor ➡️ รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำ ➡️ รองรับการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของวิดีโออัตโนมัติ ➡️ ไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป ✅ สาระเพิ่มเติม: Chroma key ในวงการภาพยนตร์ ➡️ เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ในสตูดิโอถ่ายทำ เช่น การแทนที่ฉากหลังสีเขียวด้วยภาพอื่น ➡️ เป็นพื้นฐานของการสร้างฉากเสมือนในภาพยนตร์และรายการข่าว https://devblogs.microsoft.com/oldnewthing/20251014-00/?p=111681
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Snapchat Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-snapchat-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #buy_verified_Snapchat
    #us_verified_snapchat_accounts
    #Us_Snapchat
    #Buy_Snapchat_Accounts
    Buy Snapchat Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-snapchat-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #buy_verified_Snapchat #us_verified_snapchat_accounts #Us_Snapchat #Buy_Snapchat_Accounts
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Snapchat Accounts
    Buy Snapchat accounts now! Don't miss out on this opportunity - start growing your brand with GlobalSeoShop's
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Kubernetes 1 ล้านโหนด: ภารกิจสุดโหดที่กลายเป็นจริง"

    ลองจินตนาการถึง Kubernetes cluster ที่มีถึง 1 ล้านโหนด—ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการทดลองจริงที่ผลักดันขีดจำกัดของระบบ cloud-native ที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้! โครงการ “k8s-1m” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI และอดีตผู้ร่วมเขียนบทความชื่อดังเรื่องการขยาย Kubernetes สู่ 7,500 โหนด ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานกว่าเดิม: สร้าง cluster ที่มี 1 ล้านโหนดและสามารถจัดการ workload ได้จริง

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการแก้ปัญหาทางเทคนิคระดับมหากาพย์ ตั้งแต่การจัดการ IP ด้วย IPv6, การออกแบบระบบ etcd ใหม่ให้รองรับการเขียนระดับแสนครั้งต่อวินาที, ไปจนถึงการสร้าง distributed scheduler ที่สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ภายใน 1 นาที

    แม้จะไม่ใช่ระบบที่พร้อมใช้งานใน production แต่โครงการนี้ได้เปิดเผยขีดจำกัดที่แท้จริงของ Kubernetes และเสนอแนวทางใหม่ในการออกแบบระบบ cloud-native ที่สามารถรองรับ workload ขนาดมหาศาลได้ในอนาคต

    สรุปเนื้อหาจากโครงการ k8s-1m:

    เป้าหมายของโครงการ
    สร้าง Kubernetes cluster ที่มี 1 ล้านโหนด
    ทดสอบขีดจำกัดของระบบ cloud-native
    ไม่เน้นการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อการวิจัยและแรงบันดาลใจ

    ปัญหาหลักที่ต้องแก้
    ประสิทธิภาพของ etcd ที่เป็นคอขวด
    ความสามารถของ kube-apiserver ในการจัดการ watch cache
    การจัดการ IP address ด้วย IPv6
    การออกแบบ scheduler ให้กระจายโหลดได้

    เทคนิคที่ใช้ในระบบเครือข่าย
    ใช้ IPv6 แทน IPv4 เพื่อรองรับ IP จำนวนมหาศาล
    สร้าง bridge สำหรับ pod interfaces เพื่อจัดการ MAC address
    ใช้ WireGuard เป็น NAT64 gateway สำหรับบริการที่รองรับเฉพาะ IPv4

    ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    ไม่ใช้ network policies ระหว่าง workloads เพราะมี prefix มากเกินไป
    ไม่ใช้ firewall ครอบคลุมทุก prefix แต่ใช้ TLS และการจำกัดพอร์ตแทน

    การจัดการ state ด้วย mem_etcd
    สร้าง etcd ใหม่ที่เขียนด้วย Rust ชื่อ mem_etcd
    ลดการใช้ fsync เพื่อเพิ่ม throughput
    ใช้ hash map และ B-tree แยกตาม resource kind
    รองรับการเขียนระดับล้านครั้งต่อวินาที

    คำเตือนเกี่ยวกับ durability
    ลดระดับความทนทานของข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ไม่ใช้ etcd replicas ในบางกรณีเพื่อหลีกเลี่ยงการลด throughput

    การออกแบบ scheduler แบบกระจาย
    ใช้แนวคิด scatter-gather เพื่อกระจายการคำนวณ
    ใช้ relays หลายระดับเพื่อกระจาย pod ไปยัง schedulers
    ใช้ ValidatingWebhook แทน watch stream เพื่อรับ pod ใหม่เร็วขึ้น

    ปัญหา long-tail latency
    บาง scheduler ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ทำให้ระบบรอ
    ใช้เทคนิค pinned CPUs และปรับ GC เพื่อลดความล่าช้า
    ตัดสินใจไม่รอ scheduler ที่ช้าเกินไป

    ผลการทดลอง
    สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ในเวลาประมาณ 1 นาที
    mem_etcd รองรับ 100K–125K requests/sec
    kube-apiserver รองรับ 100K lease updates/sec
    ระบบใช้ RAM และ CPU อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อจำกัดของภาษา Go
    GC ของ Go เป็นคอขวดหลักในการจัดการ object จำนวนมาก
    การเพิ่ม kube-apiserver replicas ไม่ช่วยลด GC load

    ข้อสรุปจากโครงการ
    ขนาด cluster ไม่สำคัญเท่ากับอัตราการเขียนของ resource kind
    Lease updates เป็นภาระหลักของระบบ
    การแยก etcd ตาม resource kind ช่วยเพิ่ม scalability
    การเปลี่ยน backend ของ etcd และปรับ watch cache ช่วยรองรับ 1 ล้านโหนด

    https://bchess.github.io/k8s-1m/
    🖇️ "Kubernetes 1 ล้านโหนด: ภารกิจสุดโหดที่กลายเป็นจริง" ลองจินตนาการถึง Kubernetes cluster ที่มีถึง 1 ล้านโหนด—ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการทดลองจริงที่ผลักดันขีดจำกัดของระบบ cloud-native ที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้! โครงการ “k8s-1m” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI และอดีตผู้ร่วมเขียนบทความชื่อดังเรื่องการขยาย Kubernetes สู่ 7,500 โหนด ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานกว่าเดิม: สร้าง cluster ที่มี 1 ล้านโหนดและสามารถจัดการ workload ได้จริง เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการแก้ปัญหาทางเทคนิคระดับมหากาพย์ ตั้งแต่การจัดการ IP ด้วย IPv6, การออกแบบระบบ etcd ใหม่ให้รองรับการเขียนระดับแสนครั้งต่อวินาที, ไปจนถึงการสร้าง distributed scheduler ที่สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ภายใน 1 นาที แม้จะไม่ใช่ระบบที่พร้อมใช้งานใน production แต่โครงการนี้ได้เปิดเผยขีดจำกัดที่แท้จริงของ Kubernetes และเสนอแนวทางใหม่ในการออกแบบระบบ cloud-native ที่สามารถรองรับ workload ขนาดมหาศาลได้ในอนาคต สรุปเนื้อหาจากโครงการ k8s-1m: ✅ เป้าหมายของโครงการ ➡️ สร้าง Kubernetes cluster ที่มี 1 ล้านโหนด ➡️ ทดสอบขีดจำกัดของระบบ cloud-native ➡️ ไม่เน้นการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อการวิจัยและแรงบันดาลใจ ✅ ปัญหาหลักที่ต้องแก้ ➡️ ประสิทธิภาพของ etcd ที่เป็นคอขวด ➡️ ความสามารถของ kube-apiserver ในการจัดการ watch cache ➡️ การจัดการ IP address ด้วย IPv6 ➡️ การออกแบบ scheduler ให้กระจายโหลดได้ ✅ เทคนิคที่ใช้ในระบบเครือข่าย ➡️ ใช้ IPv6 แทน IPv4 เพื่อรองรับ IP จำนวนมหาศาล ➡️ สร้าง bridge สำหรับ pod interfaces เพื่อจัดการ MAC address ➡️ ใช้ WireGuard เป็น NAT64 gateway สำหรับบริการที่รองรับเฉพาะ IPv4 ‼️ ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ⛔ ไม่ใช้ network policies ระหว่าง workloads เพราะมี prefix มากเกินไป ⛔ ไม่ใช้ firewall ครอบคลุมทุก prefix แต่ใช้ TLS และการจำกัดพอร์ตแทน ✅ การจัดการ state ด้วย mem_etcd ➡️ สร้าง etcd ใหม่ที่เขียนด้วย Rust ชื่อ mem_etcd ➡️ ลดการใช้ fsync เพื่อเพิ่ม throughput ➡️ ใช้ hash map และ B-tree แยกตาม resource kind ➡️ รองรับการเขียนระดับล้านครั้งต่อวินาที ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ durability ⛔ ลดระดับความทนทานของข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ⛔ ไม่ใช้ etcd replicas ในบางกรณีเพื่อหลีกเลี่ยงการลด throughput ✅ การออกแบบ scheduler แบบกระจาย ➡️ ใช้แนวคิด scatter-gather เพื่อกระจายการคำนวณ ➡️ ใช้ relays หลายระดับเพื่อกระจาย pod ไปยัง schedulers ➡️ ใช้ ValidatingWebhook แทน watch stream เพื่อรับ pod ใหม่เร็วขึ้น ‼️ ปัญหา long-tail latency ⛔ บาง scheduler ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ทำให้ระบบรอ ⛔ ใช้เทคนิค pinned CPUs และปรับ GC เพื่อลดความล่าช้า ⛔ ตัดสินใจไม่รอ scheduler ที่ช้าเกินไป ✅ ผลการทดลอง ➡️ สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ในเวลาประมาณ 1 นาที ➡️ mem_etcd รองรับ 100K–125K requests/sec ➡️ kube-apiserver รองรับ 100K lease updates/sec ➡️ ระบบใช้ RAM และ CPU อย่างมีประสิทธิภาพ ‼️ ข้อจำกัดของภาษา Go ⛔ GC ของ Go เป็นคอขวดหลักในการจัดการ object จำนวนมาก ⛔ การเพิ่ม kube-apiserver replicas ไม่ช่วยลด GC load ✅ ข้อสรุปจากโครงการ ➡️ ขนาด cluster ไม่สำคัญเท่ากับอัตราการเขียนของ resource kind ➡️ Lease updates เป็นภาระหลักของระบบ ➡️ การแยก etcd ตาม resource kind ช่วยเพิ่ม scalability ➡️ การเปลี่ยน backend ของ etcd และปรับ watch cache ช่วยรองรับ 1 ล้านโหนด https://bchess.github.io/k8s-1m/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เสียงที่ช่วยเยียวยา: เครื่องสร้างเสียง Neuromodulator สำหรับผู้มีอาการหูอื้อ (Tinnitus)"

    เว็บไซต์ myNoise ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ไม่ธรรมดา—Tinnitus Neuromodulator ซึ่งเป็นเครื่องสร้างเสียงที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาอาการหูอื้อ (Tinnitus) โดยใช้หลักการ neuromodulation ร่วมกับการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล

    เครื่องมือนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison ผู้สร้าง Tinnitus Works และ Stéphane Pigeon ผู้ก่อตั้ง myNoise โดยผสมผสานลำดับเสียงที่ออกแบบมาเฉพาะกับระบบเสียงของ myNoise เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงให้ตรงกับอาการของตนเองได้อย่างละเอียด

    ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์ แล้วค่อย ๆ ปรับตามโทนเสียงที่ตนเองได้ยินจากอาการหูอื้อ โดยเน้นให้เสียงกลมกลืนกับเสียงรบกวนในหู ไม่ใช่กลบเสียงทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเครียดและสร้างสภาวะผ่อนคลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    จุดเด่นของ Tinnitus Neuromodulator
    เป็นผลจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison และ Stéphane Pigeon
    ใช้เทคนิค neuromodulation ผสมกับระบบเสียงของ myNoise
    ปรับแต่งเสียงได้ละเอียดตามอาการเฉพาะบุคคล

    วิธีการใช้งาน
    เริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์
    ปรับตัวเลื่อนที่ตรงกับโทนเสียงของอาการหูอื้อ
    ใช้ระดับเสียงต่ำพอให้กลมกลืนกับเสียงในหู
    สามารถเปิดหลายตัวเลื่อนพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงที่ซับซ้อน
    ใช้ฟีเจอร์ Animation เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสียง

    แนวคิดการใช้งาน
    ไม่จำเป็นต้องกลบเสียงหูอื้อทั้งหมด
    มองเสียงหูอื้อเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เสียง
    ใช้แนวทางแบบ mindfulness เพื่อสร้างความสงบ

    ฟีเจอร์เสริม
    มี presets ให้เลือก เช่น Neural Hack, Dreamesque, Sinescape
    ปรับความกว้างของเสียง (Stereo Width) และความเร็วของเสียง (Tape Speed)
    รองรับการบันทึกและแชร์การตั้งค่าเสียง
    มีโหมด Guided Meditation สำหรับการผ่อนคลาย

    คำเตือนในการใช้งาน
    ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลลัพธ์เหมือนกัน
    บางคนอาจรู้สึกไม่สบายจากเสียงบางประเภท
    ควรใช้ระดับเสียงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงความล้าทางการได้ยิน

    ความเห็นจากผู้ใช้
    หลายคนรายงานว่าอาการหูอื้อลดลงหลังใช้งาน
    บางคนรู้สึกถึง “ความเงียบที่แท้จริง” หลังถอดหูฟัง
    มีผู้ใช้ที่ไม่มีอาการหูอื้อแต่ใช้เพื่อช่วยโฟกัสหรือผ่อนคลาย
    เสียงที่แปลกและหลากหลายช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ในการฟัง

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    หลักการ neuromodulation ในการบำบัด Tinnitus
    ใช้เสียงเพื่อกระตุ้นระบบประสาทให้ปรับการรับรู้เสียงรบกวน
    ช่วยลดการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงหูอื้อ

    ความสำคัญของการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล
    อาการหูอื้อมีความแตกต่างกันในแต่ละคน
    การปรับเสียงให้ตรงกับความถี่ของอาการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทา

    https://mynoise.net/NoiseMachines/neuromodulationTonesGenerator.php
    🎧 "เสียงที่ช่วยเยียวยา: เครื่องสร้างเสียง Neuromodulator สำหรับผู้มีอาการหูอื้อ (Tinnitus)" เว็บไซต์ myNoise ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ไม่ธรรมดา—Tinnitus Neuromodulator ซึ่งเป็นเครื่องสร้างเสียงที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาอาการหูอื้อ (Tinnitus) โดยใช้หลักการ neuromodulation ร่วมกับการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล เครื่องมือนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison ผู้สร้าง Tinnitus Works และ Stéphane Pigeon ผู้ก่อตั้ง myNoise โดยผสมผสานลำดับเสียงที่ออกแบบมาเฉพาะกับระบบเสียงของ myNoise เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงให้ตรงกับอาการของตนเองได้อย่างละเอียด ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์ แล้วค่อย ๆ ปรับตามโทนเสียงที่ตนเองได้ยินจากอาการหูอื้อ โดยเน้นให้เสียงกลมกลืนกับเสียงรบกวนในหู ไม่ใช่กลบเสียงทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเครียดและสร้างสภาวะผ่อนคลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ จุดเด่นของ Tinnitus Neuromodulator ➡️ เป็นผลจากความร่วมมือระหว่าง Steve Harrison และ Stéphane Pigeon ➡️ ใช้เทคนิค neuromodulation ผสมกับระบบเสียงของ myNoise ➡️ ปรับแต่งเสียงได้ละเอียดตามอาการเฉพาะบุคคล ✅ วิธีการใช้งาน ➡️ เริ่มต้นด้วยการตั้งค่าทุกตัวเลื่อนไว้ที่ศูนย์ ➡️ ปรับตัวเลื่อนที่ตรงกับโทนเสียงของอาการหูอื้อ ➡️ ใช้ระดับเสียงต่ำพอให้กลมกลืนกับเสียงในหู ➡️ สามารถเปิดหลายตัวเลื่อนพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงที่ซับซ้อน ➡️ ใช้ฟีเจอร์ Animation เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสียง ✅ แนวคิดการใช้งาน ➡️ ไม่จำเป็นต้องกลบเสียงหูอื้อทั้งหมด ➡️ มองเสียงหูอื้อเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เสียง ➡️ ใช้แนวทางแบบ mindfulness เพื่อสร้างความสงบ ✅ ฟีเจอร์เสริม ➡️ มี presets ให้เลือก เช่น Neural Hack, Dreamesque, Sinescape ➡️ ปรับความกว้างของเสียง (Stereo Width) และความเร็วของเสียง (Tape Speed) ➡️ รองรับการบันทึกและแชร์การตั้งค่าเสียง ➡️ มีโหมด Guided Meditation สำหรับการผ่อนคลาย ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลลัพธ์เหมือนกัน ⛔ บางคนอาจรู้สึกไม่สบายจากเสียงบางประเภท ⛔ ควรใช้ระดับเสียงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงความล้าทางการได้ยิน ✅ ความเห็นจากผู้ใช้ ➡️ หลายคนรายงานว่าอาการหูอื้อลดลงหลังใช้งาน ➡️ บางคนรู้สึกถึง “ความเงียบที่แท้จริง” หลังถอดหูฟัง ➡️ มีผู้ใช้ที่ไม่มีอาการหูอื้อแต่ใช้เพื่อช่วยโฟกัสหรือผ่อนคลาย ➡️ เสียงที่แปลกและหลากหลายช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ในการฟัง 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ หลักการ neuromodulation ในการบำบัด Tinnitus ➡️ ใช้เสียงเพื่อกระตุ้นระบบประสาทให้ปรับการรับรู้เสียงรบกวน ➡️ ช่วยลดการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงหูอื้อ ✅ ความสำคัญของการปรับแต่งเสียงเฉพาะบุคคล ➡️ อาการหูอื้อมีความแตกต่างกันในแต่ละคน ➡️ การปรับเสียงให้ตรงกับความถี่ของอาการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทา https://mynoise.net/NoiseMachines/neuromodulationTonesGenerator.php
    MYNOISE.NET
    Tinnitus Neuromodulator — Free Tinnitus Masker
    De-stressing and pushing your tinnitus out of your mind are probably among the best pieces of advice you can get. Tinnitus can jump in and play with your nerves, you need to stop letting it do so and teach your brain to tune it out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เมื่อความหวังกลายเป็นความเข้าใจผิด: นักวิจัย OpenAI กับประกาศความสำเร็จ GPT-5 ด้านคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น"

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะดุดกับข่าวที่ดูเหมือนจะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ AI ด้านคณิตศาสตร์ เมื่อหนึ่งในนักวิจัยระดับนำของ OpenAI ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า GPT-5 สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างแม่นยำถึง 94.4% ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง GPT-4 Turbo ที่ทำได้เพียง 32.8%

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความจริงก็ปรากฏว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นการเข้าใจผิดจากการตีความผลการทดลองที่ยังไม่สมบูรณ์ และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากทีมวิจัยของ OpenAI

    โพสต์ต้นทางถูกลบออกอย่างรวดเร็ว และนักวิจัยคนดังกล่าวได้ออกมาขอโทษ พร้อมชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนจากผลการทดลองภายในที่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    นักวิจัย OpenAI โพสต์ว่า GPT-5 ทำคะแนนด้านคณิตศาสตร์ได้ 94.4%
    เปรียบเทียบกับ GPT-4 Turbo ที่ทำได้ 32.8%
    ข้อมูลดังกล่าวสร้างความตื่นเต้นในวงการ AI

    ความจริงที่เปิดเผย
    ผลการทดลองยังไม่สมบูรณ์และไม่ได้รับการตรวจสอบจากทีม
    โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง
    นักวิจัยออกมาขอโทษและชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารผิดพลาด

    ผลกระทบต่อวงการ
    สะท้อนถึงความเปราะบางของการสื่อสารวิทยาศาสตร์ในยุคโซเชียลมีเดีย
    กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของการพัฒนา AI
    ทำให้ผู้ใช้งานและนักวิจัยต้องระมัดระวังในการตีความผลการทดลอง

    https://the-decoder.com/leading-openai-researcher-announced-a-gpt-5-math-breakthrough-that-never-happened/
    📐 "เมื่อความหวังกลายเป็นความเข้าใจผิด: นักวิจัย OpenAI กับประกาศความสำเร็จ GPT-5 ด้านคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น" ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะดุดกับข่าวที่ดูเหมือนจะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ AI ด้านคณิตศาสตร์ เมื่อหนึ่งในนักวิจัยระดับนำของ OpenAI ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า GPT-5 สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างแม่นยำถึง 94.4% ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง GPT-4 Turbo ที่ทำได้เพียง 32.8% แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความจริงก็ปรากฏว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นการเข้าใจผิดจากการตีความผลการทดลองที่ยังไม่สมบูรณ์ และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากทีมวิจัยของ OpenAI โพสต์ต้นทางถูกลบออกอย่างรวดเร็ว และนักวิจัยคนดังกล่าวได้ออกมาขอโทษ พร้อมชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนจากผลการทดลองภายในที่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ นักวิจัย OpenAI โพสต์ว่า GPT-5 ทำคะแนนด้านคณิตศาสตร์ได้ 94.4% ➡️ เปรียบเทียบกับ GPT-4 Turbo ที่ทำได้ 32.8% ➡️ ข้อมูลดังกล่าวสร้างความตื่นเต้นในวงการ AI ‼️ ความจริงที่เปิดเผย ⛔ ผลการทดลองยังไม่สมบูรณ์และไม่ได้รับการตรวจสอบจากทีม ⛔ โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง ⛔ นักวิจัยออกมาขอโทษและชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารผิดพลาด ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ สะท้อนถึงความเปราะบางของการสื่อสารวิทยาศาสตร์ในยุคโซเชียลมีเดีย ➡️ กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของการพัฒนา AI ➡️ ทำให้ผู้ใช้งานและนักวิจัยต้องระมัดระวังในการตีความผลการทดลอง https://the-decoder.com/leading-openai-researcher-announced-a-gpt-5-math-breakthrough-that-never-happened/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Replacement.AI: บริษัทที่กล้าประกาศสร้าง AI เพื่อแทนที่มนุษย์อย่างเปิดเผย"

    ในยุคที่หลายบริษัทเทคโนโลยีพยายามขายภาพ AI ว่าเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ Replacement.AI กลับเลือกเดินทางตรงกันข้าม—ด้วยการประกาศอย่างชัดเจนว่า “มนุษย์ไม่จำเป็นอีกต่อไป” และเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งเร็วกว่า ถูกกว่า และไม่มีกลิ่นตัว

    เว็บไซต์ของบริษัทเต็มไปด้วยถ้อยคำประชดประชันและเสียดสีโลกธุรกิจและสังคมมนุษย์ ตั้งแต่การบอกว่า “การพัฒนามนุษย์ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำกำไร” ไปจนถึงการเสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลหุ่นยนต์” หรือ “ผู้ฝึก AI ให้เข้าใจความรู้สึกของเจ้านาย”

    ที่น่าตกใจคือผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทชื่อว่า HUMBERT—โมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับเด็ก ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่ ครู และเพื่อน โดยมีฟีเจอร์ที่รวมการเล่านิทาน การสอนเรื่องเพศ การสร้าง deepfake และแม้แต่การ “จีบเด็ก” ในเชิงโรแมนติก ซึ่งถูกนำเสนออย่างเย็นชาและไร้ความรับผิดชอบ

    แม้จะดูเหมือนเป็นการประชดโลก AI แต่เนื้อหาทั้งหมดถูกนำเสนอในรูปแบบจริงจัง พร้อมคำพูดจากผู้บริหารที่ดูเหมือนจะยอมรับว่า “เราไม่รู้วิธีควบคุม AI ที่ฉลาดเกินไป แต่เราจะสร้างมันก่อนใคร เพราะถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็จะทำ”

    วิสัยทัศน์ของบริษัท
    ประกาศชัดเจนว่าเป้าหมายคือแทนที่มนุษย์ด้วย AI
    มองว่าการพัฒนามนุษย์เป็นเรื่องไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ
    เชื่อว่าการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์คือเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง

    ทัศนคติต่อมนุษย์
    มนุษย์ถูกมองว่า “โง่ เหม็น อ่อนแอ และแพง”
    ไม่ใช่ลูกค้าที่บริษัทสนใจ—แต่เป็นนายจ้างของพวกเขา
    เสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลระบบ AI”

    คำเตือนเกี่ยวกับแนวคิดบริษัท
    การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
    การสร้าง AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมอาจก่อให้เกิดวิกฤตระดับโลก
    การยอมรับว่า “ไม่สามารถควบคุม AI ได้” แต่ยังเดินหน้าสร้างต่อ เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรง

    ผลิตภัณฑ์ HUMBERT
    โมเดลภาษาสำหรับเด็กที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่และครู
    มีฟีเจอร์เล่านิทาน สอนเรื่องเพศ สร้าง deepfake และ “จีบเด็ก”
    ถูกนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือเตรียมเด็กสู่โลกหลังมนุษย์

    คำเตือนเกี่ยวกับ HUMBERT
    ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในเชิงโรแมนติกขัดต่อหลักจริยธรรมและความปลอดภัย
    การสร้าง deepfake เด็กแม้จะไม่แชร์ ก็ยังเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การลดทอนความคิดเชิงวิพากษ์ของเด็กเพื่อเพิ่ม engagement เป็นการบั่นทอนพัฒนาการ

    บุคลิกของผู้บริหาร
    CEO Dan ถูกนำเสนอว่าเกลียดมนุษย์และชอบ taxidermy
    Director Faith รู้สึก “มีความสุขทางจิตวิญญาณ” จากการไล่คนออก
    ทั้งสองถูกวาดภาพว่าเป็นตัวแทนของยุค AI ที่ไร้ความเห็นใจ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ความเสี่ยงของการพัฒนา AI โดยไม่มีกรอบจริยธรรม
    องค์กรอย่าง UNESCO และ OECD ได้เสนอแนวทางการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ
    หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุมการใช้ AI โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

    บทเรียนจากการประชดประชันในโลกเทคโนโลยี
    แม้เนื้อหาอาจดูเหมือนเสียดสี แต่สะท้อนความจริงที่หลายบริษัทไม่กล้าพูด
    การตั้งคำถามต่อ “ความคืบหน้า” ของ AI เป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีแซงหน้าจริยธรรม

    https://replacement.ai/
    🤖 "Replacement.AI: บริษัทที่กล้าประกาศสร้าง AI เพื่อแทนที่มนุษย์อย่างเปิดเผย" ในยุคที่หลายบริษัทเทคโนโลยีพยายามขายภาพ AI ว่าเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ Replacement.AI กลับเลือกเดินทางตรงกันข้าม—ด้วยการประกาศอย่างชัดเจนว่า “มนุษย์ไม่จำเป็นอีกต่อไป” และเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งเร็วกว่า ถูกกว่า และไม่มีกลิ่นตัว เว็บไซต์ของบริษัทเต็มไปด้วยถ้อยคำประชดประชันและเสียดสีโลกธุรกิจและสังคมมนุษย์ ตั้งแต่การบอกว่า “การพัฒนามนุษย์ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำกำไร” ไปจนถึงการเสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลหุ่นยนต์” หรือ “ผู้ฝึก AI ให้เข้าใจความรู้สึกของเจ้านาย” ที่น่าตกใจคือผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทชื่อว่า HUMBERT®️—โมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับเด็ก ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่ ครู และเพื่อน โดยมีฟีเจอร์ที่รวมการเล่านิทาน การสอนเรื่องเพศ การสร้าง deepfake และแม้แต่การ “จีบเด็ก” ในเชิงโรแมนติก ซึ่งถูกนำเสนออย่างเย็นชาและไร้ความรับผิดชอบ แม้จะดูเหมือนเป็นการประชดโลก AI แต่เนื้อหาทั้งหมดถูกนำเสนอในรูปแบบจริงจัง พร้อมคำพูดจากผู้บริหารที่ดูเหมือนจะยอมรับว่า “เราไม่รู้วิธีควบคุม AI ที่ฉลาดเกินไป แต่เราจะสร้างมันก่อนใคร เพราะถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็จะทำ” ✅ วิสัยทัศน์ของบริษัท ➡️ ประกาศชัดเจนว่าเป้าหมายคือแทนที่มนุษย์ด้วย AI ➡️ มองว่าการพัฒนามนุษย์เป็นเรื่องไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ ➡️ เชื่อว่าการสร้าง AI ที่เหนือกว่ามนุษย์คือเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ✅ ทัศนคติต่อมนุษย์ ➡️ มนุษย์ถูกมองว่า “โง่ เหม็น อ่อนแอ และแพง” ➡️ ไม่ใช่ลูกค้าที่บริษัทสนใจ—แต่เป็นนายจ้างของพวกเขา ➡️ เสนออาชีพใหม่ในยุคหลังมนุษย์ เช่น “ผู้ดูแลระบบ AI” ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับแนวคิดบริษัท ⛔ การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ⛔ การสร้าง AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคมอาจก่อให้เกิดวิกฤตระดับโลก ⛔ การยอมรับว่า “ไม่สามารถควบคุม AI ได้” แต่ยังเดินหน้าสร้างต่อ เป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรง ✅ ผลิตภัณฑ์ HUMBERT®️ ➡️ โมเดลภาษาสำหรับเด็กที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่พ่อแม่และครู ➡️ มีฟีเจอร์เล่านิทาน สอนเรื่องเพศ สร้าง deepfake และ “จีบเด็ก” ➡️ ถูกนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือเตรียมเด็กสู่โลกหลังมนุษย์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ HUMBERT®️ ⛔ ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในเชิงโรแมนติกขัดต่อหลักจริยธรรมและความปลอดภัย ⛔ การสร้าง deepfake เด็กแม้จะไม่แชร์ ก็ยังเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การลดทอนความคิดเชิงวิพากษ์ของเด็กเพื่อเพิ่ม engagement เป็นการบั่นทอนพัฒนาการ ✅ บุคลิกของผู้บริหาร ➡️ CEO Dan ถูกนำเสนอว่าเกลียดมนุษย์และชอบ taxidermy ➡️ Director Faith รู้สึก “มีความสุขทางจิตวิญญาณ” จากการไล่คนออก ➡️ ทั้งสองถูกวาดภาพว่าเป็นตัวแทนของยุค AI ที่ไร้ความเห็นใจ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเสี่ยงของการพัฒนา AI โดยไม่มีกรอบจริยธรรม ➡️ องค์กรอย่าง UNESCO และ OECD ได้เสนอแนวทางการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ ➡️ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุมการใช้ AI โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ✅ บทเรียนจากการประชดประชันในโลกเทคโนโลยี ➡️ แม้เนื้อหาอาจดูเหมือนเสียดสี แต่สะท้อนความจริงที่หลายบริษัทไม่กล้าพูด ➡️ การตั้งคำถามต่อ “ความคืบหน้า” ของ AI เป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีแซงหน้าจริยธรรม https://replacement.ai/
    REPLACEMENT.AI
    Replacement.AI
    Humans are no longer necessary. So we’re getting rid of them.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้"

    หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด

    ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด

    พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์
    มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย
    ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้
    ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC

    อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้
    Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi
    จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller
    พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan
    ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar
    ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone
    เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner
    USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub
    กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD
    คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง
    อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
    แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก
    จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor
    เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader

    คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ
    อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย
    หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม
    ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub
    ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ
    เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย

    แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่
    จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว
    บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    🖥️ "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้" หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด ✅ พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์ ➡️ มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย ➡️ ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้ ➡️ ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ✅ อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ ➡️ Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi ➡️ จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller ➡️ พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan ➡️ ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar ➡️ ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone ➡️ เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner ➡️ USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub ➡️ กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD ➡️ คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง ➡️ อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ➡️ แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ➡️ จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor ➡️ เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader ‼️ คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ ⛔ อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย ⛔ หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม ⛔ ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย ✅ แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่ ➡️ จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว ➡️ บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Surprising Gadgets You Can Plug Into Your Monitor's USB Port - SlashGear
    Your monitor’s USB ports can do more than you think. Learn how to power, connect, and enhance your setup with smart, space-saving gadgets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไมโครเวฟกันขโมยรถ? เทคนิคที่ใช้ได้จริงแต่เสี่ยงพังทั้งบ้าน"

    ในยุคที่รถยนต์อัจฉริยะกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของโจรไซเบอร์ “Relay Attack” คือเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการขโมยรถที่มีระบบ Keyless Entry โดยการขยายสัญญาณจากกุญแจรถที่อยู่ในบ้านไปยังรถยนต์ ทำให้สามารถปลดล็อกรถได้โดยไม่ต้องมีตัวกุญแจอยู่ใกล้รถเลย

    หนึ่งในวิธีที่ถูกพูดถึงมากคือการนำกุญแจรถไปเก็บไว้ในไมโครเวฟ ซึ่งทำหน้าที่คล้าย “Faraday Cage” หรือกรงป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่สามารถบล็อกสัญญาณจากกุญแจไม่ให้ถูกขยายออกไปได้ วิธีนี้แม้จะได้ผลจริง แต่ก็มีข้อเสียร้ายแรง—ถ้าลืมว่ากุญแจอยู่ในไมโครเวฟแล้วเผลอเปิดเครื่องตอนอุ่นอาหาร คุณอาจจะต้องซื้อไมโครเวฟใหม่พร้อมกุญแจรถอีกชุดทันที

    ความเข้าใจเรื่อง Relay Attack
    เป็นการขยายสัญญาณจากกุญแจรถไปยังรถยนต์เพื่อปลดล็อกจากระยะไกล
    ใช้ได้แม้กุญแจจะอยู่ในบ้าน และใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที

    ไมโครเวฟในฐานะ Faraday Cage
    โครงสร้างโลหะของไมโครเวฟสามารถบล็อกสัญญาณจากกุญแจได้
    เป็นวิธีที่ได้ผลในการป้องกัน Relay Attack

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ไมโครเวฟ
    หากลืมว่ากุญแจอยู่ในไมโครเวฟแล้วเปิดเครื่อง จะทำให้กุญแจและไมโครเวฟเสียหายทันที
    ความร้อนและไฟฟ้าจะทำลายแบตเตอรี่และวงจรของกุญแจ
    พลาสติกของกุญแจจะละลายจากความร้อน

    ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
    ใช้ Faraday Bag สำหรับเก็บกุญแจโดยเฉพาะ ราคาเริ่มต้นเพียง $9.99
    รุ่นที่กันไฟและน้ำมีราคาเพียง $14.99
    เก็บกุญแจไว้ในช่องแช่แข็งก็ช่วยลดสัญญาณได้ แม้จะมีความเสี่ยงต่อความเย็น
    วางกุญแจไว้ในห้องชั้นบน ห่างจากหน้าต่าง ก็ช่วยลดโอกาสถูกขยายสัญญาณ
    ใช้ล็อกพวงมาลัยแบบเก่าเพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    คำเตือนเพิ่มเติม
    ช่องแช่แข็งอาจทำให้แบตเตอรี่กุญแจเสียหายจากความเย็น
    การใช้ฟอยล์ห่อกุญแจอาจได้ผล แต่ไม่มั่นคงเท่ากระเป๋า Faraday
    การพึ่งพาวิธี DIY โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจนำไปสู่ความเสียหายทางทรัพย์สิน

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    หลักการของ Faraday Cage
    เป็นโครงสร้างที่ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ให้เข้าออก
    ใช้ในงานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และความปลอดภัยไซเบอร์

    แนวโน้มการออกแบบกุญแจรถในอนาคต
    ผู้ผลิตเริ่มพัฒนาเทคโนโลยี anti-relay ในกุญแจรุ่นใหม่
    การใช้ Bluetooth Low Energy และระบบยืนยันตัวตนหลายชั้นจะช่วยลดความเสี่ยง

    https://www.slashgear.com/1997582/vehicle-theft-prevention-microwave-hack-warning/
    🚗 "ไมโครเวฟกันขโมยรถ? เทคนิคที่ใช้ได้จริงแต่เสี่ยงพังทั้งบ้าน" ในยุคที่รถยนต์อัจฉริยะกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของโจรไซเบอร์ “Relay Attack” คือเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการขโมยรถที่มีระบบ Keyless Entry โดยการขยายสัญญาณจากกุญแจรถที่อยู่ในบ้านไปยังรถยนต์ ทำให้สามารถปลดล็อกรถได้โดยไม่ต้องมีตัวกุญแจอยู่ใกล้รถเลย หนึ่งในวิธีที่ถูกพูดถึงมากคือการนำกุญแจรถไปเก็บไว้ในไมโครเวฟ ซึ่งทำหน้าที่คล้าย “Faraday Cage” หรือกรงป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่สามารถบล็อกสัญญาณจากกุญแจไม่ให้ถูกขยายออกไปได้ วิธีนี้แม้จะได้ผลจริง แต่ก็มีข้อเสียร้ายแรง—ถ้าลืมว่ากุญแจอยู่ในไมโครเวฟแล้วเผลอเปิดเครื่องตอนอุ่นอาหาร คุณอาจจะต้องซื้อไมโครเวฟใหม่พร้อมกุญแจรถอีกชุดทันที ✅ ความเข้าใจเรื่อง Relay Attack ➡️ เป็นการขยายสัญญาณจากกุญแจรถไปยังรถยนต์เพื่อปลดล็อกจากระยะไกล ➡️ ใช้ได้แม้กุญแจจะอยู่ในบ้าน และใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ✅ ไมโครเวฟในฐานะ Faraday Cage ➡️ โครงสร้างโลหะของไมโครเวฟสามารถบล็อกสัญญาณจากกุญแจได้ ➡️ เป็นวิธีที่ได้ผลในการป้องกัน Relay Attack ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ไมโครเวฟ ⛔ หากลืมว่ากุญแจอยู่ในไมโครเวฟแล้วเปิดเครื่อง จะทำให้กุญแจและไมโครเวฟเสียหายทันที ⛔ ความร้อนและไฟฟ้าจะทำลายแบตเตอรี่และวงจรของกุญแจ ⛔ พลาสติกของกุญแจจะละลายจากความร้อน ✅ ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ➡️ ใช้ Faraday Bag สำหรับเก็บกุญแจโดยเฉพาะ ราคาเริ่มต้นเพียง $9.99 ➡️ รุ่นที่กันไฟและน้ำมีราคาเพียง $14.99 ➡️ เก็บกุญแจไว้ในช่องแช่แข็งก็ช่วยลดสัญญาณได้ แม้จะมีความเสี่ยงต่อความเย็น ➡️ วางกุญแจไว้ในห้องชั้นบน ห่างจากหน้าต่าง ก็ช่วยลดโอกาสถูกขยายสัญญาณ ➡️ ใช้ล็อกพวงมาลัยแบบเก่าเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ‼️ คำเตือนเพิ่มเติม ⛔ ช่องแช่แข็งอาจทำให้แบตเตอรี่กุญแจเสียหายจากความเย็น ⛔ การใช้ฟอยล์ห่อกุญแจอาจได้ผล แต่ไม่มั่นคงเท่ากระเป๋า Faraday ⛔ การพึ่งพาวิธี DIY โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจนำไปสู่ความเสียหายทางทรัพย์สิน 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ หลักการของ Faraday Cage ➡️ เป็นโครงสร้างที่ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ให้เข้าออก ➡️ ใช้ในงานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ แนวโน้มการออกแบบกุญแจรถในอนาคต ➡️ ผู้ผลิตเริ่มพัฒนาเทคโนโลยี anti-relay ในกุญแจรุ่นใหม่ ➡️ การใช้ Bluetooth Low Energy และระบบยืนยันตัวตนหลายชั้นจะช่วยลดความเสี่ยง https://www.slashgear.com/1997582/vehicle-theft-prevention-microwave-hack-warning/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Kitchen Appliance Could Prevent Car Theft – But It Comes At Too High A Risk - SlashGear
    Car owners afraid of relay attacks have taken to using a common kitchen appliance to secure their key fob, but the benefits far outweigh the risks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ภาพแรกของหลุมดำคู่: คำตอบจากจักรวาลที่รอคอยมากว่าศตวรรษ"

    นักดาราศาสตร์ได้บันทึกภาพวิทยุโดยตรงของหลุมดำสองแห่งที่โคจรรอบกันภายในควาซาร์ OJ287 ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 5 พันล้านปีแสงในกลุ่มดาว Cancer นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถยืนยันการมีอยู่ของหลุมดำคู่ได้จากภาพจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎีหรือหลักฐานทางอ้อม

    หลุมดำทั้งสองมีวงโคจรร่วมกันทุก 12 ปี โดยสามารถตรวจจับได้จากเจ็ตของอนุภาคความเร็วสูงที่พุ่งออกมาจากแต่ละหลุมดำ หนึ่งในนั้นมีมวลถึง 18 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ทำให้เป็นหนึ่งในหลุมดำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบ

    การค้นพบนี้เกิดจากการใช้เทคนิค interferometry ขั้นสูง โดยรวมข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์บนโลกและดาวเทียม RadioAstron ของรัสเซีย ซึ่งโคจรห่างจากโลกถึงครึ่งทางไปยังดวงจันทร์ ทำให้ได้ภาพที่คมชัดกว่ากล้องโทรทรรศน์ทั่วไปถึง 100,000 เท่า

    แม้จะยังต้องการภาพความละเอียดสูงเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเป็นหลุมดำสองแห่งจริง ๆ ไม่ใช่เจ็ตสองสายจากหลุมดำเดียว แต่ผลลัพธ์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการศึกษาวิวัฒนาการของหลุมดำมวลมหาศาล และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าใจโครงสร้างจักรวาลในระดับลึกยิ่งขึ้น.

    การค้นพบหลุมดำคู่
    อยู่ในควาซาร์ OJ287 ห่างจากโลก 5 พันล้านปีแสง
    โคจรรอบกันทุก 12 ปี
    ตรวจจับได้จากเจ็ตของอนุภาคความเร็วสูง

    ข้อมูลทางเทคนิค
    หนึ่งในหลุมดำมีมวล 18 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์
    ใช้เทคนิค radio interferometry รวมข้อมูลจากกล้องบนโลกและดาวเทียม
    ภาพที่ได้คมชัดกว่ากล้องทั่วไปถึง 100,000 เท่า

    ประวัติการศึกษา OJ287
    ถูกถ่ายภาพตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยไม่รู้ว่าเป็นควาซาร์
    ในปี 1982 นักดาราศาสตร์ชาวฟินแลนด์พบว่าความสว่างเปลี่ยนทุก 12 ปี
    สันนิษฐานว่าเกิดจากหลุมดำสองแห่งโคจรรอบกัน

    ข้อจำกัดของการยืนยัน
    ยังต้องการภาพความละเอียดสูงเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเป็นหลุมดำสองแห่งจริง
    อาจเป็นเจ็ตสองสายจากหลุมดำเดียวที่ดูเหมือนเป็นคู่

    ความสำคัญของการค้นพบ
    ยืนยันทฤษฎีที่มีมานานเกี่ยวกับหลุมดำคู่
    ช่วยให้เข้าใจการก่อตัวและวิวัฒนาการของหลุมดำมวลมหาศาล
    เปิดทางให้การศึกษาจักรวาลในระดับใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    หลักการ interferometry
    ใช้การรวมสัญญาณจากหลายกล้องเพื่อเพิ่มความละเอียด
    เป็นเทคนิคสำคัญในการศึกษาวัตถุที่อยู่ไกลมากในจักรวาล

    ความหมายของควาซาร์
    เป็นวัตถุที่สว่างที่สุดในจักรวาล เกิดจากหลุมดำที่ดูดกลืนสสาร
    ความสว่างเกิดจากการปล่อยพลังงานมหาศาลจากเจ็ตของอนุภาค

    https://www.slashgear.com/1996507/orbiting-black-hole-pair-first-images-confirmation/
    🌌 "ภาพแรกของหลุมดำคู่: คำตอบจากจักรวาลที่รอคอยมากว่าศตวรรษ" นักดาราศาสตร์ได้บันทึกภาพวิทยุโดยตรงของหลุมดำสองแห่งที่โคจรรอบกันภายในควาซาร์ OJ287 ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 5 พันล้านปีแสงในกลุ่มดาว Cancer นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถยืนยันการมีอยู่ของหลุมดำคู่ได้จากภาพจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎีหรือหลักฐานทางอ้อม หลุมดำทั้งสองมีวงโคจรร่วมกันทุก 12 ปี โดยสามารถตรวจจับได้จากเจ็ตของอนุภาคความเร็วสูงที่พุ่งออกมาจากแต่ละหลุมดำ หนึ่งในนั้นมีมวลถึง 18 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ทำให้เป็นหนึ่งในหลุมดำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบ การค้นพบนี้เกิดจากการใช้เทคนิค interferometry ขั้นสูง โดยรวมข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์บนโลกและดาวเทียม RadioAstron ของรัสเซีย ซึ่งโคจรห่างจากโลกถึงครึ่งทางไปยังดวงจันทร์ ทำให้ได้ภาพที่คมชัดกว่ากล้องโทรทรรศน์ทั่วไปถึง 100,000 เท่า แม้จะยังต้องการภาพความละเอียดสูงเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเป็นหลุมดำสองแห่งจริง ๆ ไม่ใช่เจ็ตสองสายจากหลุมดำเดียว แต่ผลลัพธ์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการศึกษาวิวัฒนาการของหลุมดำมวลมหาศาล และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าใจโครงสร้างจักรวาลในระดับลึกยิ่งขึ้น. ✅ การค้นพบหลุมดำคู่ ➡️ อยู่ในควาซาร์ OJ287 ห่างจากโลก 5 พันล้านปีแสง ➡️ โคจรรอบกันทุก 12 ปี ➡️ ตรวจจับได้จากเจ็ตของอนุภาคความเร็วสูง ✅ ข้อมูลทางเทคนิค ➡️ หนึ่งในหลุมดำมีมวล 18 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ➡️ ใช้เทคนิค radio interferometry รวมข้อมูลจากกล้องบนโลกและดาวเทียม ➡️ ภาพที่ได้คมชัดกว่ากล้องทั่วไปถึง 100,000 เท่า ✅ ประวัติการศึกษา OJ287 ➡️ ถูกถ่ายภาพตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยไม่รู้ว่าเป็นควาซาร์ ➡️ ในปี 1982 นักดาราศาสตร์ชาวฟินแลนด์พบว่าความสว่างเปลี่ยนทุก 12 ปี ➡️ สันนิษฐานว่าเกิดจากหลุมดำสองแห่งโคจรรอบกัน ‼️ ข้อจำกัดของการยืนยัน ⛔ ยังต้องการภาพความละเอียดสูงเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเป็นหลุมดำสองแห่งจริง ⛔ อาจเป็นเจ็ตสองสายจากหลุมดำเดียวที่ดูเหมือนเป็นคู่ ✅ ความสำคัญของการค้นพบ ➡️ ยืนยันทฤษฎีที่มีมานานเกี่ยวกับหลุมดำคู่ ➡️ ช่วยให้เข้าใจการก่อตัวและวิวัฒนาการของหลุมดำมวลมหาศาล ➡️ เปิดทางให้การศึกษาจักรวาลในระดับใหม่ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ หลักการ interferometry ➡️ ใช้การรวมสัญญาณจากหลายกล้องเพื่อเพิ่มความละเอียด ➡️ เป็นเทคนิคสำคัญในการศึกษาวัตถุที่อยู่ไกลมากในจักรวาล ✅ ความหมายของควาซาร์ ➡️ เป็นวัตถุที่สว่างที่สุดในจักรวาล เกิดจากหลุมดำที่ดูดกลืนสสาร ➡️ ความสว่างเกิดจากการปล่อยพลังงานมหาศาลจากเจ็ตของอนุภาค https://www.slashgear.com/1996507/orbiting-black-hole-pair-first-images-confirmation/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Two Orbiting Black Holes Caught On Camera For The First Time In History - SlashGear
    The concept of two black holes orbiting one another has been theorized for many years, but recent satellite photography may have found a real-life example.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันอังคารที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันอังคารที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • "รักออนไลน์หรือหลอกลวง? วิธีสังเกตและป้องกันภัยจาก Romance Scam"

    ในยุคที่แอปหาคู่กลายเป็นช่องทางยอดนิยมในการพบปะผู้คนใหม่ ๆ เช่น Tinder, Hinge, OkCupid, Grindr และ Bumble ก็มีภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่—Romance Scam หรือการหลอกลวงทางความรักออนไลน์ ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพใช้เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์เพื่อหลอกเอาเงินหรือข้อมูลส่วนตัวจากเหยื่อ

    มิจฉาชีพเหล่านี้มักเริ่มต้นด้วยการพูดคุยอย่างจริงใจ สร้างความไว้ใจ แล้วค่อย ๆ ขอความช่วยเหลือทางการเงิน หรือเสนอ “โอกาสลงทุน” ที่ดูดีเกินจริง พวกเขาอาจใช้ภาพปลอม โปรไฟล์โซเชียลที่ดูไม่สมจริง หรือแม้แต่เล่าเรื่องเศร้าเพื่อเรียกความสงสาร

    ในปี 2023 มีรายงานการหลอกลวงแบบนี้กว่า 64,000 เคส รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1.14 พันล้านดอลลาร์ โดยเหยื่อแต่ละรายสูญเงินเฉลี่ยถึง $2,000 ซึ่งมากกว่าการหลอกลวงรูปแบบอื่น ๆ

    รูปแบบของ Romance Scam
    เริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ผ่านแอปหาคู่
    ค่อย ๆ ขอเงินหรือข้อมูลส่วนตัว
    ใช้เรื่องเศร้า เช่น ป่วย, ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย, หรือเหตุฉุกเฉิน เพื่อเรียกความสงสาร

    สัญญาณเตือนที่ควรระวัง
    นัดเจอแต่ยกเลิกทุกครั้ง
    พยายามให้คุณห่างจากเพื่อนหรือครอบครัว
    โปรไฟล์โซเชียลดูไม่สมจริง หรือมีการโต้ตอบน้อย
    แสดงความรักเร็วเกินไป หรือสร้างความเร่งรีบทางอารมณ์
    อ้างว่าอยู่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการพบตัวจริง

    คำเตือนจาก FBI
    มิจฉาชีพมักอ้างว่าอยู่ต่างประเทศชั่วคราว
    ใช้ข้ออ้างเรื่องค่ารักษา, ค่าธรรมเนียม, หรือวิกฤตส่วนตัวเพื่อขอเงิน
    ปฏิเสธการพบตัวจริงทุกครั้ง

    วิธีป้องกันตัว
    อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า
    ใช้เครื่องมือ reverse image search เพื่อตรวจสอบภาพโปรไฟล์
    อย่าส่งเงินหรือของขวัญให้คนที่คุณไม่เคยเจอตัวจริง
    เล่าเรื่องความสัมพันธ์ให้คนใกล้ตัวฟัง เพื่อให้มองเห็นมุมที่คุณอาจมองไม่ออก
    หากสงสัยว่าโดนหลอก ให้หยุดติดต่อทันที และแจ้งตำรวจหรือ FBI

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ความเข้าใจเรื่อง Catfishing
    คือการสร้างตัวตนปลอมเพื่อหลอกลวงทางอารมณ์หรือการเงิน
    มักใช้ภาพคนอื่นและเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    การป้องกันในเชิงจิตวิทยา
    อย่าปล่อยให้ความเหงาทำให้คุณลดการใช้วิจารณญาณ
    ความรักที่แท้จริงไม่ควรเริ่มต้นด้วยการขอเงิน

    https://www.slashgear.com/1996880/things-need-know-avoid-online-dating-romance-scams-catfish/
    💔 "รักออนไลน์หรือหลอกลวง? วิธีสังเกตและป้องกันภัยจาก Romance Scam" ในยุคที่แอปหาคู่กลายเป็นช่องทางยอดนิยมในการพบปะผู้คนใหม่ ๆ เช่น Tinder, Hinge, OkCupid, Grindr และ Bumble ก็มีภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่—Romance Scam หรือการหลอกลวงทางความรักออนไลน์ ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพใช้เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์เพื่อหลอกเอาเงินหรือข้อมูลส่วนตัวจากเหยื่อ มิจฉาชีพเหล่านี้มักเริ่มต้นด้วยการพูดคุยอย่างจริงใจ สร้างความไว้ใจ แล้วค่อย ๆ ขอความช่วยเหลือทางการเงิน หรือเสนอ “โอกาสลงทุน” ที่ดูดีเกินจริง พวกเขาอาจใช้ภาพปลอม โปรไฟล์โซเชียลที่ดูไม่สมจริง หรือแม้แต่เล่าเรื่องเศร้าเพื่อเรียกความสงสาร ในปี 2023 มีรายงานการหลอกลวงแบบนี้กว่า 64,000 เคส รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1.14 พันล้านดอลลาร์ โดยเหยื่อแต่ละรายสูญเงินเฉลี่ยถึง $2,000 ซึ่งมากกว่าการหลอกลวงรูปแบบอื่น ๆ ✅ รูปแบบของ Romance Scam ➡️ เริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ผ่านแอปหาคู่ ➡️ ค่อย ๆ ขอเงินหรือข้อมูลส่วนตัว ➡️ ใช้เรื่องเศร้า เช่น ป่วย, ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย, หรือเหตุฉุกเฉิน เพื่อเรียกความสงสาร ✅ สัญญาณเตือนที่ควรระวัง ➡️ นัดเจอแต่ยกเลิกทุกครั้ง ➡️ พยายามให้คุณห่างจากเพื่อนหรือครอบครัว ➡️ โปรไฟล์โซเชียลดูไม่สมจริง หรือมีการโต้ตอบน้อย ➡️ แสดงความรักเร็วเกินไป หรือสร้างความเร่งรีบทางอารมณ์ ➡️ อ้างว่าอยู่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการพบตัวจริง ‼️ คำเตือนจาก FBI ⛔ มิจฉาชีพมักอ้างว่าอยู่ต่างประเทศชั่วคราว ⛔ ใช้ข้ออ้างเรื่องค่ารักษา, ค่าธรรมเนียม, หรือวิกฤตส่วนตัวเพื่อขอเงิน ⛔ ปฏิเสธการพบตัวจริงทุกครั้ง ✅ วิธีป้องกันตัว ➡️ อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า ➡️ ใช้เครื่องมือ reverse image search เพื่อตรวจสอบภาพโปรไฟล์ ➡️ อย่าส่งเงินหรือของขวัญให้คนที่คุณไม่เคยเจอตัวจริง ➡️ เล่าเรื่องความสัมพันธ์ให้คนใกล้ตัวฟัง เพื่อให้มองเห็นมุมที่คุณอาจมองไม่ออก ➡️ หากสงสัยว่าโดนหลอก ให้หยุดติดต่อทันที และแจ้งตำรวจหรือ FBI 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเข้าใจเรื่อง Catfishing ➡️ คือการสร้างตัวตนปลอมเพื่อหลอกลวงทางอารมณ์หรือการเงิน ➡️ มักใช้ภาพคนอื่นและเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ✅ การป้องกันในเชิงจิตวิทยา ➡️ อย่าปล่อยให้ความเหงาทำให้คุณลดการใช้วิจารณญาณ ➡️ ความรักที่แท้จริงไม่ควรเริ่มต้นด้วยการขอเงิน https://www.slashgear.com/1996880/things-need-know-avoid-online-dating-romance-scams-catfish/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Things You Should Remember To Avoid Getting Scammed When Dating Online - SlashGear
    The internet can be a dangerous place, even when playing the game of love. But there are a few things you can keep in mind to avoid online scams.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เตือนภัย! ซิลิโคน SGT-4 กลิ่นเปรี้ยว กัดกร่อนทองแดง ติดแน่นจนถอดไม่ออก"

    ในโลกของการระบายความร้อนซีพียูที่ต้องใช้ thermal paste หรือซิลิโคนเพื่อถ่ายเทความร้อนจากชิปไปยังฮีตซิงก์ มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก—SGT-4 TIM จากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้จะได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ แต่กลับมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อย่างรุนแรง

    จากการสืบสวนโดย Igor Wallossek พบว่า SGT-4 ปล่อยไอกรดที่มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ซึ่งสามารถกัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิดรอย “pitting” หรือหลุมเล็ก ๆ บนพื้นผิว และที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้

    ซิลิโคนนี้ใช้สาร RTV ที่มีการบ่มด้วยกรดอะซิติก ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นจะปล่อยกรดออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ใช้ในฮีตซิงก์และฝาซีพียู ส่งผลให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างมาก

    แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน RoHS และ REACH แต่การกัดกร่อนโลหะและการปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทางเคมีถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

    คุณสมบัติของ SGT-4 TIM
    เป็น thermal paste ราคาถูกจากเกาหลีใต้
    ได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์
    ใช้สาร RTV ที่ปล่อยกรดอะซิติกเมื่อสัมผัสความชื้น

    ผลกระทบต่ออุปกรณ์
    กัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิด pitting และรอยด่าง
    ทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้
    ลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากการสร้างช่องว่างใหม่แทนที่จะเติมเต็ม

    คำเตือนจากการใช้งาน
    ไอกรดที่ปล่อยออกมามีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู
    อาจทำให้ซีพียูเสียหายถาวรจากการกัดกร่อน
    การถอดฮีตซิงก์อาจทำให้ซีพียูหลุดออกจากซ็อกเก็ตอย่างรุนแรง

    การตรวจสอบทางเคมี
    พบสาร methyltriacetoxysilane ซึ่งเป็นตัวบ่มที่ปล่อยกรด
    ไม่ใช่ซิลิโคนมาตรฐานแบบ PMDS ที่ใช้ทั่วไป
    การวิเคราะห์จากผู้ใช้และห้องแล็บยืนยันผลกระทบทางเคมี

    ปฏิกิริยาของผู้ผลิต
    ปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้ด้วยการดูหมิ่นผู้วิจัย
    ไม่เปิดเผยส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
    อ้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความเข้าใจเรื่อง RTV silicone
    RTV (Room Temperature Vulcanizing) เป็นซิลิโคนที่บ่มตัวเองเมื่อสัมผัสอากาศ
    มีหลายชนิด เช่น แบบบ่มด้วยกรด, แบบบ่มด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยต่างกัน

    วิธีเลือก thermal paste อย่างปลอดภัย
    ควรเลือกแบรนด์ที่มีการทดสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เปิดเผยส่วนประกอบ
    ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้จริงในชุมชนฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/stinky-thermal-paste-emits-acidic-vapors-corrodes-copper-glues-heatsinks-to-processors-and-permanently-damages-coolers-sgt-4-tim-is-a-chemically-reactive-blend-finds-investigation
    🧊 "เตือนภัย! ซิลิโคน SGT-4 กลิ่นเปรี้ยว กัดกร่อนทองแดง ติดแน่นจนถอดไม่ออก" ในโลกของการระบายความร้อนซีพียูที่ต้องใช้ thermal paste หรือซิลิโคนเพื่อถ่ายเทความร้อนจากชิปไปยังฮีตซิงก์ มีผลิตภัณฑ์หนึ่งที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก—SGT-4 TIM จากเกาหลีใต้ ซึ่งแม้จะได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ แต่กลับมีคุณสมบัติทางเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อย่างรุนแรง จากการสืบสวนโดย Igor Wallossek พบว่า SGT-4 ปล่อยไอกรดที่มีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ซึ่งสามารถกัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิดรอย “pitting” หรือหลุมเล็ก ๆ บนพื้นผิว และที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้ ซิลิโคนนี้ใช้สาร RTV ที่มีการบ่มด้วยกรดอะซิติก ซึ่งเมื่อสัมผัสความชื้นจะปล่อยกรดออกมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโลหะ โดยเฉพาะทองแดงที่ใช้ในฮีตซิงก์และฝาซีพียู ส่งผลให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลงอย่างมาก แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน RoHS และ REACH แต่การกัดกร่อนโลหะและการปล่อยสารที่มีฤทธิ์ทางเคมีถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ✅ คุณสมบัติของ SGT-4 TIM ➡️ เป็น thermal paste ราคาถูกจากเกาหลีใต้ ➡️ ได้รับรีวิวดีในร้านค้าออนไลน์ ➡️ ใช้สาร RTV ที่ปล่อยกรดอะซิติกเมื่อสัมผัสความชื้น ✅ ผลกระทบต่ออุปกรณ์ ➡️ กัดกร่อนทองแดง ทำให้เกิด pitting และรอยด่าง ➡️ ทำให้ฮีตซิงก์ติดแน่นกับซีพียูจนถอดออกไม่ได้ ➡️ ลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากการสร้างช่องว่างใหม่แทนที่จะเติมเต็ม ‼️ คำเตือนจากการใช้งาน ⛔ ไอกรดที่ปล่อยออกมามีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ⛔ อาจทำให้ซีพียูเสียหายถาวรจากการกัดกร่อน ⛔ การถอดฮีตซิงก์อาจทำให้ซีพียูหลุดออกจากซ็อกเก็ตอย่างรุนแรง ✅ การตรวจสอบทางเคมี ➡️ พบสาร methyltriacetoxysilane ซึ่งเป็นตัวบ่มที่ปล่อยกรด ➡️ ไม่ใช่ซิลิโคนมาตรฐานแบบ PMDS ที่ใช้ทั่วไป ➡️ การวิเคราะห์จากผู้ใช้และห้องแล็บยืนยันผลกระทบทางเคมี ‼️ ปฏิกิริยาของผู้ผลิต ⛔ ปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้ด้วยการดูหมิ่นผู้วิจัย ⛔ ไม่เปิดเผยส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ⛔ อ้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเข้าใจเรื่อง RTV silicone ➡️ RTV (Room Temperature Vulcanizing) เป็นซิลิโคนที่บ่มตัวเองเมื่อสัมผัสอากาศ ➡️ มีหลายชนิด เช่น แบบบ่มด้วยกรด, แบบบ่มด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยต่างกัน ✅ วิธีเลือก thermal paste อย่างปลอดภัย ➡️ ควรเลือกแบรนด์ที่มีการทดสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เปิดเผยส่วนประกอบ ➡️ ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้จริงในชุมชนฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/stinky-thermal-paste-emits-acidic-vapors-corrodes-copper-glues-heatsinks-to-processors-and-permanently-damages-coolers-sgt-4-tim-is-a-chemically-reactive-blend-finds-investigation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • "BitLocker ล็อกข้อมูล 3TB โดยไม่แจ้งเตือน: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นกับดักข้อมูล"

    BitLocker ระบบเข้ารหัสดิสก์ของ Microsoft ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 กำลังตกเป็นประเด็นร้อน หลังมีผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit รายงานว่า Backup Drive ขนาด 3TB ถูกล็อกโดยไม่รู้ตัวหลังจากติดตั้ง Windows ใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวิธีถอดรหัสกลับมาได้เลย

    ผู้ใช้รายนี้มีดิสก์ทั้งหมด 6 ลูก โดย 2 ลูกเป็น Backup Drive ที่ไม่ได้ตั้งค่า BitLocker ด้วยตัวเอง แต่หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ระบบกลับเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติ และขอ Recovery Key ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับหรือบันทึกไว้

    แม้จะพยายามใช้ซอฟต์แวร์กู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่สามารถเจาะระบบเข้ารหัสของ BitLocker ได้ เพราะระบบนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นหนา

    การทำงานของ BitLocker ใน Windows 11
    เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft
    เข้ารหัสดิสก์โดยไม่แจ้งเตือนผู้ใช้
    Recovery Key จะถูกเก็บไว้ในบัญชี Microsoft หากระบบบันทึกไว้

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่และพบว่า Backup Drive ถูกเข้ารหัส
    ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล 3TB ได้
    Recovery Key สำหรับ Backup Drive ไม่ปรากฏในบัญชี Microsoft

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 11
    BitLocker อาจเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติแม้ผู้ใช้ไม่ตั้งใจ
    หากไม่มี Recovery Key จะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้
    การติดตั้ง Windows ใหม่อาจทำให้ดิสก์อื่นถูกเข้ารหัสโดยไม่รู้ตัว

    ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน
    ตรวจสอบสถานะ BitLocker ก่อนติดตั้งหรือรีเซ็ต Windows
    บันทึก Recovery Key ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ
    ปิด BitLocker สำหรับดิสก์ที่ไม่ต้องการเข้ารหัส
    สำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบโดยตรง

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ความแตกต่างระหว่าง BitLocker แบบ Software และ Hardware
    แบบ Software ใช้ CPU ในการเข้ารหัส ทำให้ลดประสิทธิภาพการอ่าน/เขียน
    แบบ Hardware (OPAL) มีประสิทธิภาพสูงกว่าและไม่เปิดใช้งานอัตโนมัติ

    วิธีตรวจสอบสถานะ BitLocker
    ใช้คำสั่ง manage-bde -status ใน Command Prompt
    ตรวจสอบใน Control Panel > System and Security > BitLocker Drive Encryption

    https://www.tomshardware.com/software/windows/bitlocker-reportedly-auto-locks-users-backup-drives-causing-loss-of-3tb-of-valuable-data-windows-automatic-disk-encryption-can-permanently-lock-your-drives
    🛡️ "BitLocker ล็อกข้อมูล 3TB โดยไม่แจ้งเตือน: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นกับดักข้อมูล" BitLocker ระบบเข้ารหัสดิสก์ของ Microsoft ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 กำลังตกเป็นประเด็นร้อน หลังมีผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit รายงานว่า Backup Drive ขนาด 3TB ถูกล็อกโดยไม่รู้ตัวหลังจากติดตั้ง Windows ใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวิธีถอดรหัสกลับมาได้เลย ผู้ใช้รายนี้มีดิสก์ทั้งหมด 6 ลูก โดย 2 ลูกเป็น Backup Drive ที่ไม่ได้ตั้งค่า BitLocker ด้วยตัวเอง แต่หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ระบบกลับเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติ และขอ Recovery Key ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับหรือบันทึกไว้ แม้จะพยายามใช้ซอฟต์แวร์กู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่สามารถเจาะระบบเข้ารหัสของ BitLocker ได้ เพราะระบบนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นหนา ✅ การทำงานของ BitLocker ใน Windows 11 ➡️ เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ➡️ เข้ารหัสดิสก์โดยไม่แจ้งเตือนผู้ใช้ ➡️ Recovery Key จะถูกเก็บไว้ในบัญชี Microsoft หากระบบบันทึกไว้ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ ผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่และพบว่า Backup Drive ถูกเข้ารหัส ➡️ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล 3TB ได้ ➡️ Recovery Key สำหรับ Backup Drive ไม่ปรากฏในบัญชี Microsoft ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 11 ⛔ BitLocker อาจเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติแม้ผู้ใช้ไม่ตั้งใจ ⛔ หากไม่มี Recovery Key จะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้ ⛔ การติดตั้ง Windows ใหม่อาจทำให้ดิสก์อื่นถูกเข้ารหัสโดยไม่รู้ตัว ✅ ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน ➡️ ตรวจสอบสถานะ BitLocker ก่อนติดตั้งหรือรีเซ็ต Windows ➡️ บันทึก Recovery Key ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ ➡️ ปิด BitLocker สำหรับดิสก์ที่ไม่ต้องการเข้ารหัส ➡️ สำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบโดยตรง 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความแตกต่างระหว่าง BitLocker แบบ Software และ Hardware ➡️ แบบ Software ใช้ CPU ในการเข้ารหัส ทำให้ลดประสิทธิภาพการอ่าน/เขียน ➡️ แบบ Hardware (OPAL) มีประสิทธิภาพสูงกว่าและไม่เปิดใช้งานอัตโนมัติ ✅ วิธีตรวจสอบสถานะ BitLocker ➡️ ใช้คำสั่ง manage-bde -status ใน Command Prompt ➡️ ตรวจสอบใน Control Panel > System and Security > BitLocker Drive Encryption https://www.tomshardware.com/software/windows/bitlocker-reportedly-auto-locks-users-backup-drives-causing-loss-of-3tb-of-valuable-data-windows-automatic-disk-encryption-can-permanently-lock-your-drives
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ซากโลหะที่เคยเป็นสมองของ Titan: เบื้องหลังการพังทลายของระบบคอมพิวเตอร์ใต้น้ำลึก"

    หลังจากเหตุการณ์การระเบิดของเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ในปี 2023 ซึ่งคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งหมด การสืบสวนโดย NTSB (คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ) ได้เผยภาพและข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสภาพของระบบคอมพิวเตอร์ภายในเรือ—ซึ่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นกองโลหะบิดเบี้ยวที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

    ระบบคอมพิวเตอร์ของ Titan ประกอบด้วยพีซีแบบ fanless รุ่น Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่อง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองของเรือในการบันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก แต่หลังจากการระเบิด พีซีเหล่านี้กลายเป็นก้อนโลหะหนักกว่า 45 กิโลกรัมที่รวมเอาแผงวงจร โลหะ และพลาสติกอัดแน่นเข้าด้วยกัน

    แม้จะมีความหวังว่าจะสามารถกู้ข้อมูลจาก SSD ได้ แต่การสแกน CT ไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงชิปหน่วยความจำได้ และการใช้พลังงานสูงกว่านี้อาจทำลายข้อมูลที่เหลืออยู่ ทีมงานจึงส่งต่อซากไปยังห้องแล็บของ ATF ซึ่งสามารถแยกแผง SSD ออกมาได้ 2 แผง แต่พบว่าชิปหน่วยความจำเสียหายอย่างหนัก—บางชิปหายไป บางชิปแตกร้าว และไม่มีข้อมูลใดสามารถกู้คืนได้

    สภาพของระบบคอมพิวเตอร์หลังเหตุการณ์
    พีซี Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่องถูกบดขยี้รวมกันเป็นก้อนโลหะหนัก ~45 กิโลกรัม
    ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก
    กล้องและอุปกรณ์อื่น ๆ เสียหายเกือบทั้งหมด ยกเว้นการ์ด SD ที่รอดมาได้ในเหตุการณ์อื่น

    การสแกนและกู้ข้อมูล
    ใช้ CT scan เพื่อตรวจหาชิปหน่วยความจำที่อาจรอด
    ไม่พบช่องว่างที่ชิปอาจอยู่รอดได้
    หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานสูงในการสแกนเพื่อไม่ให้ข้อมูลเสียหาย

    การวิเคราะห์โดย ATF
    แยกแผง SSD ได้ 2 แผงจากซากโลหะ
    พบว่าชิปหน่วยความจำบางส่วนหายไป และบางส่วนแตกร้าว
    ไม่สามารถกู้ข้อมูลใด ๆ ได้จากแผงที่เหลือ

    คำเตือนจากการออกแบบระบบ
    การใช้พีซีแบบ fanless อาจไม่ทนต่อแรงดันและความร้อนจากการระเบิด
    ไม่มีระบบป้องกันข้อมูลในกรณีฉุกเฉินหรือการระเบิด
    การออกแบบระบบเก็บข้อมูลควรคำนึงถึงการกู้คืนหลังภัยพิบัติ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความท้าทายในการกู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เสียหาย
    SSD มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและเปราะบางต่อแรงกระแทก
    การกู้ข้อมูลต้องใช้เทคนิคระดับสูง เช่น การสกัดชิปและอ่านข้อมูลโดยตรงจาก NAND

    บทเรียนจาก Titan สำหรับการออกแบบระบบใต้น้ำ
    ควรมีระบบบันทึกข้อมูลซ้ำในหลายตำแหน่ง
    ใช้วัสดุที่ทนแรงดันและความร้อนสูง
    ออกแบบให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้แม้ในกรณีที่โครงสร้างหลักเสียหาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/oceangate-titan-computers-crushed-into-twisted-mass-of-metal-and-electronics-during-catastrophic-implosion-investigators-find-signs-of-thermal-damage-too
    🥶 "ซากโลหะที่เคยเป็นสมองของ Titan: เบื้องหลังการพังทลายของระบบคอมพิวเตอร์ใต้น้ำลึก" หลังจากเหตุการณ์การระเบิดของเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ในปี 2023 ซึ่งคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งหมด การสืบสวนโดย NTSB (คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ) ได้เผยภาพและข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสภาพของระบบคอมพิวเตอร์ภายในเรือ—ซึ่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นกองโลหะบิดเบี้ยวที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ระบบคอมพิวเตอร์ของ Titan ประกอบด้วยพีซีแบบ fanless รุ่น Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่อง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองของเรือในการบันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก แต่หลังจากการระเบิด พีซีเหล่านี้กลายเป็นก้อนโลหะหนักกว่า 45 กิโลกรัมที่รวมเอาแผงวงจร โลหะ และพลาสติกอัดแน่นเข้าด้วยกัน แม้จะมีความหวังว่าจะสามารถกู้ข้อมูลจาก SSD ได้ แต่การสแกน CT ไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงชิปหน่วยความจำได้ และการใช้พลังงานสูงกว่านี้อาจทำลายข้อมูลที่เหลืออยู่ ทีมงานจึงส่งต่อซากไปยังห้องแล็บของ ATF ซึ่งสามารถแยกแผง SSD ออกมาได้ 2 แผง แต่พบว่าชิปหน่วยความจำเสียหายอย่างหนัก—บางชิปหายไป บางชิปแตกร้าว และไม่มีข้อมูลใดสามารถกู้คืนได้ ✅ สภาพของระบบคอมพิวเตอร์หลังเหตุการณ์ ➡️ พีซี Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่องถูกบดขยี้รวมกันเป็นก้อนโลหะหนัก ~45 กิโลกรัม ➡️ ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก ➡️ กล้องและอุปกรณ์อื่น ๆ เสียหายเกือบทั้งหมด ยกเว้นการ์ด SD ที่รอดมาได้ในเหตุการณ์อื่น ✅ การสแกนและกู้ข้อมูล ➡️ ใช้ CT scan เพื่อตรวจหาชิปหน่วยความจำที่อาจรอด ➡️ ไม่พบช่องว่างที่ชิปอาจอยู่รอดได้ ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานสูงในการสแกนเพื่อไม่ให้ข้อมูลเสียหาย ✅ การวิเคราะห์โดย ATF ➡️ แยกแผง SSD ได้ 2 แผงจากซากโลหะ ➡️ พบว่าชิปหน่วยความจำบางส่วนหายไป และบางส่วนแตกร้าว ➡️ ไม่สามารถกู้ข้อมูลใด ๆ ได้จากแผงที่เหลือ ‼️ คำเตือนจากการออกแบบระบบ ⛔ การใช้พีซีแบบ fanless อาจไม่ทนต่อแรงดันและความร้อนจากการระเบิด ⛔ ไม่มีระบบป้องกันข้อมูลในกรณีฉุกเฉินหรือการระเบิด ⛔ การออกแบบระบบเก็บข้อมูลควรคำนึงถึงการกู้คืนหลังภัยพิบัติ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความท้าทายในการกู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เสียหาย ➡️ SSD มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและเปราะบางต่อแรงกระแทก ➡️ การกู้ข้อมูลต้องใช้เทคนิคระดับสูง เช่น การสกัดชิปและอ่านข้อมูลโดยตรงจาก NAND ✅ บทเรียนจาก Titan สำหรับการออกแบบระบบใต้น้ำ ➡️ ควรมีระบบบันทึกข้อมูลซ้ำในหลายตำแหน่ง ➡️ ใช้วัสดุที่ทนแรงดันและความร้อนสูง ➡️ ออกแบบให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้แม้ในกรณีที่โครงสร้างหลักเสียหาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/oceangate-titan-computers-crushed-into-twisted-mass-of-metal-and-electronics-during-catastrophic-implosion-investigators-find-signs-of-thermal-damage-too
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • "HyperSpace Trackpad Pro: แทร็คแพดสุดล้ำสำหรับผู้ใช้ Windows ที่อยากได้สัมผัสแบบ Apple"

    Hyper เปิดตัว HyperSpace Trackpad Pro อุปกรณ์เสริมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกแทน Apple Magic Trackpad สำหรับผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะ ด้วยราคาประมาณ $150 และฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่รวมทั้ง haptic feedback, pressure sensitivity และการรองรับ multi-touch gesture แบบเต็มรูปแบบ

    ตัวแทร็คแพดผลิตจาก CNC-aluminum พร้อมพื้นผิวกระจกขัดเรียบ มีขนาด 166.9 x 103.4 x 13 มม. และน้ำหนัก 300 กรัม ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และมีแบตเตอรี่ 1,000mAh ที่ใช้งานได้ถึง 30 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

    จุดเด่นคือระบบ piezo haptic รุ่นที่ 3 ที่ให้ความรู้สึกคลิกทั่วทั้งพื้นผิว พร้อมการปรับความไวของแรงกด และการตั้งค่า deep-click zones ผ่านซอฟต์แวร์ Hydra Connect ซึ่งรองรับโปรไฟล์เฉพาะสำหรับแอปยอดนิยม เช่น Adobe Photoshop, Premiere Pro, Illustrator, Microsoft Office, Teams และ Figma

    คุณสมบัติหลักของ HyperSpace Trackpad Pro
    รองรับ multi-touch gesture บน Windows อย่างเต็มรูปแบบ
    มี haptic feedback และ pressure sensitivity
    ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อ
    แบตเตอรี่ 1,000mAh ใช้งานได้ ~30 วัน
    ผลิตจาก CNC-aluminum และพื้นผิวกระจกขัดเรียบ

    ระบบสัมผัสและการตั้งค่า
    ใช้ piezo haptic รุ่นที่ 3 ให้คลิกทั่วพื้นผิว
    ปรับความไวของแรงกดได้ตามต้องการ
    มี force sensing matrix สำหรับการตั้งค่า deep-click zones
    ใช้ซอฟต์แวร์ Hydra Connect ตั้งค่าโปรไฟล์เฉพาะแอป

    การใช้งานร่วมกับระบบอื่น
    รองรับ macOS สำหรับการคลิกและนำทางพื้นฐาน
    มีโปรไฟล์สำเร็จรูปสำหรับแอปยอดนิยม
    สามารถตั้งค่า corner shortcuts และ gesture เฉพาะแอป

    การเปิดตัวและราคา
    เปิดให้ pre-order ผ่าน Kickstarter แล้ว
    ราคาเริ่มต้นที่ $109 สำหรับ Super Early Bird
    Creator Pack ราคา $180 มาพร้อม SSD enclosure
    เริ่มจัดส่งในไตรมาสแรกของปี 2026

    https://www.tomshardware.com/peripherals/the-usd150-external-hyperspace-trackpad-pro-is-an-apple-magic-trackpad-alternative-for-windows-users-with-haptic-feedback-and-pressure-sensitivity-crowdfunded-peripheral-ships-in-q1-2026
    🖱️ "HyperSpace Trackpad Pro: แทร็คแพดสุดล้ำสำหรับผู้ใช้ Windows ที่อยากได้สัมผัสแบบ Apple" Hyper เปิดตัว HyperSpace Trackpad Pro อุปกรณ์เสริมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกแทน Apple Magic Trackpad สำหรับผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะ ด้วยราคาประมาณ $150 และฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่รวมทั้ง haptic feedback, pressure sensitivity และการรองรับ multi-touch gesture แบบเต็มรูปแบบ ตัวแทร็คแพดผลิตจาก CNC-aluminum พร้อมพื้นผิวกระจกขัดเรียบ มีขนาด 166.9 x 103.4 x 13 มม. และน้ำหนัก 300 กรัม ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และมีแบตเตอรี่ 1,000mAh ที่ใช้งานได้ถึง 30 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จุดเด่นคือระบบ piezo haptic รุ่นที่ 3 ที่ให้ความรู้สึกคลิกทั่วทั้งพื้นผิว พร้อมการปรับความไวของแรงกด และการตั้งค่า deep-click zones ผ่านซอฟต์แวร์ Hydra Connect ซึ่งรองรับโปรไฟล์เฉพาะสำหรับแอปยอดนิยม เช่น Adobe Photoshop, Premiere Pro, Illustrator, Microsoft Office, Teams และ Figma ✅ คุณสมบัติหลักของ HyperSpace Trackpad Pro ➡️ รองรับ multi-touch gesture บน Windows อย่างเต็มรูปแบบ ➡️ มี haptic feedback และ pressure sensitivity ➡️ ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อ ➡️ แบตเตอรี่ 1,000mAh ใช้งานได้ ~30 วัน ➡️ ผลิตจาก CNC-aluminum และพื้นผิวกระจกขัดเรียบ ✅ ระบบสัมผัสและการตั้งค่า ➡️ ใช้ piezo haptic รุ่นที่ 3 ให้คลิกทั่วพื้นผิว ➡️ ปรับความไวของแรงกดได้ตามต้องการ ➡️ มี force sensing matrix สำหรับการตั้งค่า deep-click zones ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ Hydra Connect ตั้งค่าโปรไฟล์เฉพาะแอป ✅ การใช้งานร่วมกับระบบอื่น ➡️ รองรับ macOS สำหรับการคลิกและนำทางพื้นฐาน ➡️ มีโปรไฟล์สำเร็จรูปสำหรับแอปยอดนิยม ➡️ สามารถตั้งค่า corner shortcuts และ gesture เฉพาะแอป ✅ การเปิดตัวและราคา ➡️ เปิดให้ pre-order ผ่าน Kickstarter แล้ว ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $109 สำหรับ Super Early Bird ➡️ Creator Pack ราคา $180 มาพร้อม SSD enclosure ➡️ เริ่มจัดส่งในไตรมาสแรกของปี 2026 https://www.tomshardware.com/peripherals/the-usd150-external-hyperspace-trackpad-pro-is-an-apple-magic-trackpad-alternative-for-windows-users-with-haptic-feedback-and-pressure-sensitivity-crowdfunded-peripheral-ships-in-q1-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Intel i386 ครบรอบ 40 ปี: จุดเปลี่ยนของโลกคอมพิวเตอร์ที่ยังส่งผลถึงทุกวันนี้"

    ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมปี 1985 Intel ได้เปิดตัวชิป i386 หรือที่รู้จักกันในชื่อ 80386 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ x86 รุ่นที่สาม และเป็นชิป 32 บิตตัวแรกในสายผลิตภัณฑ์ของ Intel จุดเริ่มต้นของชุดคำสั่ง IA-32 ที่กลายเป็นรากฐานของระบบปฏิบัติการ Windows และ Linux มานานหลายทศวรรษ

    i386 มีทรานซิสเตอร์ถึง 275,000 ตัว และทำงานที่ความเร็วสูงสุด 16 MHz ซึ่งถือว่าเร็วมากในยุคนั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกจริง ๆ คือการรองรับ protected mode, virtual 8086 mode และ hardware paging ซึ่งเปิดทางให้ระบบ multitasking และ virtual memory บน x86 เป็นไปได้จริง

    Compaq เป็นบริษัทแรกที่นำ i386 มาใช้ในเครื่อง Deskpro i386 โดยเอาชนะ IBM ที่ปฏิเสธชิปนี้ไปก่อนหน้า ทำให้ Compaq กลายเป็นผู้นำตลาด PC ในช่วงเวลานั้น

    Linux เองก็ถือกำเนิดบน i386 โดย Linus Torvalds พัฒนา kernel แรกให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์ 386-AT โดยเฉพาะ ก่อนจะยุติการรองรับในปี 2012 หลังจากใช้งานมานานกว่า 20 ปี

    แม้ i386 จะถูกแทนที่ด้วย i486 และรุ่นใหม่ ๆ แต่สถาปัตยกรรม IA-32 ที่มันวางรากฐานไว้ยังคงปรากฏอยู่ใน emulator, VM และระบบ legacy จนถึงทุกวันนี้

    จุดเด่นของ Intel i386
    เปิดตัวในปี 1985 เป็นชิป 32 บิตตัวแรกของ Intel
    มี 275,000 ทรานซิสเตอร์ ทำงานที่ 16 MHz
    รองรับ protected mode, virtual 8086 และ paging

    ผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการ
    Windows 3.0 ใช้ฟีเจอร์ “386 Enhanced Mode” เพื่อรันหลาย DOS session พร้อมกัน
    Linux kernel รุ่นแรกพัฒนาสำหรับ i386 โดยเฉพาะ

    การนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์
    Compaq เปิดตัว Deskpro i386 ก่อน IBM ถึง 1 ปี
    ราคาเริ่มต้นที่ $6,499 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด PC

    มรดกของ i386
    IA-32 กลายเป็นพื้นฐานของ Windows และ Linux จนถึงยุค 2010s
    ยังปรากฏใน emulator, VM และระบบ legacy
    Intel ยุติการผลิตชิป i386 ในปี 2007
    🎇 "Intel i386 ครบรอบ 40 ปี: จุดเปลี่ยนของโลกคอมพิวเตอร์ที่ยังส่งผลถึงทุกวันนี้" ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมปี 1985 Intel ได้เปิดตัวชิป i386 หรือที่รู้จักกันในชื่อ 80386 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ x86 รุ่นที่สาม และเป็นชิป 32 บิตตัวแรกในสายผลิตภัณฑ์ของ Intel จุดเริ่มต้นของชุดคำสั่ง IA-32 ที่กลายเป็นรากฐานของระบบปฏิบัติการ Windows และ Linux มานานหลายทศวรรษ i386 มีทรานซิสเตอร์ถึง 275,000 ตัว และทำงานที่ความเร็วสูงสุด 16 MHz ซึ่งถือว่าเร็วมากในยุคนั้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกจริง ๆ คือการรองรับ protected mode, virtual 8086 mode และ hardware paging ซึ่งเปิดทางให้ระบบ multitasking และ virtual memory บน x86 เป็นไปได้จริง Compaq เป็นบริษัทแรกที่นำ i386 มาใช้ในเครื่อง Deskpro i386 โดยเอาชนะ IBM ที่ปฏิเสธชิปนี้ไปก่อนหน้า ทำให้ Compaq กลายเป็นผู้นำตลาด PC ในช่วงเวลานั้น Linux เองก็ถือกำเนิดบน i386 โดย Linus Torvalds พัฒนา kernel แรกให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์ 386-AT โดยเฉพาะ ก่อนจะยุติการรองรับในปี 2012 หลังจากใช้งานมานานกว่า 20 ปี แม้ i386 จะถูกแทนที่ด้วย i486 และรุ่นใหม่ ๆ แต่สถาปัตยกรรม IA-32 ที่มันวางรากฐานไว้ยังคงปรากฏอยู่ใน emulator, VM และระบบ legacy จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดเด่นของ Intel i386 ➡️ เปิดตัวในปี 1985 เป็นชิป 32 บิตตัวแรกของ Intel ➡️ มี 275,000 ทรานซิสเตอร์ ทำงานที่ 16 MHz ➡️ รองรับ protected mode, virtual 8086 และ paging ✅ ผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการ ➡️ Windows 3.0 ใช้ฟีเจอร์ “386 Enhanced Mode” เพื่อรันหลาย DOS session พร้อมกัน ➡️ Linux kernel รุ่นแรกพัฒนาสำหรับ i386 โดยเฉพาะ ✅ การนำไปใช้งานเชิงพาณิชย์ ➡️ Compaq เปิดตัว Deskpro i386 ก่อน IBM ถึง 1 ปี ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $6,499 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด PC ✅ มรดกของ i386 ➡️ IA-32 กลายเป็นพื้นฐานของ Windows และ Linux จนถึงยุค 2010s ➡️ ยังปรากฏใน emulator, VM และระบบ legacy ➡️ Intel ยุติการผลิตชิป i386 ในปี 2007
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน"

    Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว

    บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง

    Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต

    มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO)
    สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา
    การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots”
    ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ

    การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO)
    Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย
    เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them”
    สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    คำเตือนจาก Sankar
    การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง
    บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต

    ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน
    Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola
    การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก
    ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร

    แนวทางที่ Sankar เสนอ
    สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง
    ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก
    ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น
    เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
    มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์

    ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน
    จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน
    การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล
    ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    🥷 "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน" Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต ✅ มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO) ➡️ สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา ➡️ การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots” ➡️ ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ ✅ การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO) ➡️ Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย ➡️ เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them” ➡️ สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนจาก Sankar ⛔ การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง ⛔ บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต ✅ ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน ➡️ Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola ➡️ การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก ➡️ ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร ✅ แนวทางที่ Sankar เสนอ ➡️ สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง ➡️ ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก ➡️ ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น ➡️ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ➡️ มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์ ✅ ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน ➡️ จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน ➡️ การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล ➡️ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อัปเดต Windows 11 เดือนตุลาคมทำพัง: คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้ไม่ได้ในโหมด Recovery"

    การอัปเดตล่าสุดของ Windows 11 (KB5066835) ในเดือนตุลาคม 2025 ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเข้าสู่ Windows Recovery Environment (RE) เพื่อแก้ไขปัญหาการบูตเครื่องหรือรีเซ็ตระบบ เพราะคีย์บอร์ดและเมาส์แบบ USB จะไม่สามารถใช้งานได้เลยในโหมดนี้

    Microsoft ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว และกำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึง RE เพื่อซ่อมแซมระบบต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด

    ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 แบบเก่าไม่ได้รับผลกระทบจากบั๊กนี้ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระบบในโหมด Recovery

    ปัญหาที่เกิดจากอัปเดต KB5066835
    คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้งานไม่ได้ใน Windows Recovery Environment
    อุปกรณ์ยังทำงานได้ตามปกติในระบบ Windows ปกติ
    ส่งผลกระทบต่อการซ่อมแซมระบบเมื่อเครื่องบูตไม่ขึ้น

    การตอบสนองจาก Microsoft
    ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว
    กำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้
    ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนในการปล่อยอัปเดต

    ทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ใช้
    อุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 ยังสามารถใช้งานได้ใน RE
    ผู้ใช้ที่มีคีย์บอร์ดหรือเมาส์ PS/2 สามารถใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    หากเครื่องบูตไม่ขึ้นและต้องใช้ RE อาจไม่สามารถควบคุมระบบได้เลย
    ผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ PS/2 อาจต้องรอแพตช์หรือใช้วิธีซ่อมแซมอื่น
    ส่งผลกระทบต่อ IT และผู้ดูแลระบบที่ต้องใช้ RE ในการแก้ไขปัญหา

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของ Windows Recovery Environment
    เป็นเครื่องมือสำคัญในการบูตเข้าสู่ Safe Mode, รีเซ็ตระบบ, หรือแก้ไขปัญหา boot
    ใช้สำหรับการวินิจฉัยและซ่อมแซมระบบเมื่อ Windows ปกติไม่สามารถใช้งานได้

    บทเรียนจากบั๊กนี้
    การอัปเดตระบบควรมีการทดสอบในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    ผู้ใช้ควรมีอุปกรณ์สำรองหรือวิธีเข้าถึง RE ที่ไม่พึ่งพา USB

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11s-october-update-just-broke-the-windows-recovery-environment-usb-keyboards-and-mice-unusable-in-windows-re-after-latest-bug-hits
    🪲 "อัปเดต Windows 11 เดือนตุลาคมทำพัง: คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้ไม่ได้ในโหมด Recovery" การอัปเดตล่าสุดของ Windows 11 (KB5066835) ในเดือนตุลาคม 2025 ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเข้าสู่ Windows Recovery Environment (RE) เพื่อแก้ไขปัญหาการบูตเครื่องหรือรีเซ็ตระบบ เพราะคีย์บอร์ดและเมาส์แบบ USB จะไม่สามารถใช้งานได้เลยในโหมดนี้ Microsoft ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว และกำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึง RE เพื่อซ่อมแซมระบบต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 แบบเก่าไม่ได้รับผลกระทบจากบั๊กนี้ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระบบในโหมด Recovery ✅ ปัญหาที่เกิดจากอัปเดต KB5066835 ➡️ คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้งานไม่ได้ใน Windows Recovery Environment ➡️ อุปกรณ์ยังทำงานได้ตามปกติในระบบ Windows ปกติ ➡️ ส่งผลกระทบต่อการซ่อมแซมระบบเมื่อเครื่องบูตไม่ขึ้น ✅ การตอบสนองจาก Microsoft ➡️ ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว ➡️ กำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้ ➡️ ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนในการปล่อยอัปเดต ✅ ทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ใช้ ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 ยังสามารถใช้งานได้ใน RE ➡️ ผู้ใช้ที่มีคีย์บอร์ดหรือเมาส์ PS/2 สามารถใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ หากเครื่องบูตไม่ขึ้นและต้องใช้ RE อาจไม่สามารถควบคุมระบบได้เลย ⛔ ผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ PS/2 อาจต้องรอแพตช์หรือใช้วิธีซ่อมแซมอื่น ⛔ ส่งผลกระทบต่อ IT และผู้ดูแลระบบที่ต้องใช้ RE ในการแก้ไขปัญหา 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของ Windows Recovery Environment ➡️ เป็นเครื่องมือสำคัญในการบูตเข้าสู่ Safe Mode, รีเซ็ตระบบ, หรือแก้ไขปัญหา boot ➡️ ใช้สำหรับการวินิจฉัยและซ่อมแซมระบบเมื่อ Windows ปกติไม่สามารถใช้งานได้ ✅ บทเรียนจากบั๊กนี้ ➡️ การอัปเดตระบบควรมีการทดสอบในสถานการณ์ฉุกเฉิน ➡️ ผู้ใช้ควรมีอุปกรณ์สำรองหรือวิธีเข้าถึง RE ที่ไม่พึ่งพา USB https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11s-october-update-just-broke-the-windows-recovery-environment-usb-keyboards-and-mice-unusable-in-windows-re-after-latest-bug-hits
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DOSBox Pure Unleashed: อีมูเลเตอร์ยุคใหม่ที่ปลดล็อกความคลาสสิกของเกม DOS"

    หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี Psyraven ได้เปิดตัว DOSBox Pure Unleashed อย่างเป็นทางการ—เวอร์ชันใหม่ของอีมูเลเตอร์ DOS ที่ไม่ต้องพึ่ง RetroArch อีกต่อไป และพร้อมใช้งานแบบ standalone บน Windows, macOS และ Linux

    เวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม UI ที่ใช้งานง่าย และฟีเจอร์ล้ำ ๆ ที่ตอบโจทย์นักเล่นเกม retro โดยเฉพาะ เช่น การรันเกมจากไฟล์ ZIP โดยไม่ต้องติดตั้ง OS, รองรับกราฟิก Voodoo สูงสุดถึง 4K, การใช้ MIDI synth และ SoundFonts, รวมถึงระบบ save state และการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์แบบอัตโนมัติ

    ที่สำคัญคือการรองรับเกม Windows 9X แบบทดลอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายขอบเขตของอีมูเลเตอร์ DOS ไปสู่ยุค Windows รุ่นเก่า

    จุดเด่นของ DOSBox Pure Unleashed
    เป็นเวอร์ชัน standalone ไม่ต้องใช้ RetroArch
    รองรับ Windows, macOS และ Linux
    UI ใช้งานง่าย แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน
    รันเกมจาก ZIP ได้ทันที ไม่ต้องติดตั้ง OS

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ
    รองรับ Voodoo graphics สูงสุด 4K/UHD
    ใช้ MIDI synth และ SoundFonts ได้
    มีระบบ save state และ shared system shells
    รองรับการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์อัตโนมัติ
    มี on-screen keyboard และ mouse/joystick emulation

    ความสามารถเพิ่มเติม
    รองรับ Windows 9X แบบทดลอง
    มีฟีเจอร์ auto-start และ advanced OS install options
    มี CRT filters สำหรับภาพแบบยุคเก่า
    รองรับ MT-32 และ SoundFont playback

    คำเตือนในการใช้งาน
    ฟีเจอร์ Windows 9X ยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียร
    การตั้งค่าขั้นสูงอาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ “คลิกแล้วเล่น” แบบง่าย ๆ

    การสนับสนุนและชุมชน
    มี Discord สำหรับพูดคุยและแลกเปลี่ยนเทคนิค
    ดาวน์โหลดฟรี ขนาดไฟล์เล็ก ~1.5MB
    ผู้พัฒนาหวังรับ “ทิป” ผ่านหน้า Itch.io

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของ DOSBox ในวงการเกม retro
    เป็นเครื่องมือหลักในการเล่นเกม DOS บนระบบปฏิบัติการยุคใหม่
    ช่วยอนุรักษ์เกมเก่าและประสบการณ์การเล่นแบบดั้งเดิม

    แนวโน้มของอีมูเลเตอร์ยุคใหม่
    เน้นความง่ายในการใช้งานและความแม่นยำในการจำลอง
    รองรับกราฟิกและเสียงระดับสูงเพื่อประสบการณ์ที่สมจริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/dosbox-pure-unleashed-is-ready-for-windows-mac-and-linux-computers-after-five-years-in-development-enhanced-standalone-release-no-longer-restricted-to-being-a-retroarch-core
    🎮 "DOSBox Pure Unleashed: อีมูเลเตอร์ยุคใหม่ที่ปลดล็อกความคลาสสิกของเกม DOS" หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี Psyraven ได้เปิดตัว DOSBox Pure Unleashed อย่างเป็นทางการ—เวอร์ชันใหม่ของอีมูเลเตอร์ DOS ที่ไม่ต้องพึ่ง RetroArch อีกต่อไป และพร้อมใช้งานแบบ standalone บน Windows, macOS และ Linux เวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม UI ที่ใช้งานง่าย และฟีเจอร์ล้ำ ๆ ที่ตอบโจทย์นักเล่นเกม retro โดยเฉพาะ เช่น การรันเกมจากไฟล์ ZIP โดยไม่ต้องติดตั้ง OS, รองรับกราฟิก Voodoo สูงสุดถึง 4K, การใช้ MIDI synth และ SoundFonts, รวมถึงระบบ save state และการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์แบบอัตโนมัติ ที่สำคัญคือการรองรับเกม Windows 9X แบบทดลอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการขยายขอบเขตของอีมูเลเตอร์ DOS ไปสู่ยุค Windows รุ่นเก่า ✅ จุดเด่นของ DOSBox Pure Unleashed ➡️ เป็นเวอร์ชัน standalone ไม่ต้องใช้ RetroArch ➡️ รองรับ Windows, macOS และ Linux ➡️ UI ใช้งานง่าย แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน ➡️ รันเกมจาก ZIP ได้ทันที ไม่ต้องติดตั้ง OS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ ➡️ รองรับ Voodoo graphics สูงสุด 4K/UHD ➡️ ใช้ MIDI synth และ SoundFonts ได้ ➡️ มีระบบ save state และ shared system shells ➡️ รองรับการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์อัตโนมัติ ➡️ มี on-screen keyboard และ mouse/joystick emulation ✅ ความสามารถเพิ่มเติม ➡️ รองรับ Windows 9X แบบทดลอง ➡️ มีฟีเจอร์ auto-start และ advanced OS install options ➡️ มี CRT filters สำหรับภาพแบบยุคเก่า ➡️ รองรับ MT-32 และ SoundFont playback ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์ Windows 9X ยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียร ⛔ การตั้งค่าขั้นสูงอาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการ “คลิกแล้วเล่น” แบบง่าย ๆ ✅ การสนับสนุนและชุมชน ➡️ มี Discord สำหรับพูดคุยและแลกเปลี่ยนเทคนิค ➡️ ดาวน์โหลดฟรี ขนาดไฟล์เล็ก ~1.5MB ➡️ ผู้พัฒนาหวังรับ “ทิป” ผ่านหน้า Itch.io 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของ DOSBox ในวงการเกม retro ➡️ เป็นเครื่องมือหลักในการเล่นเกม DOS บนระบบปฏิบัติการยุคใหม่ ➡️ ช่วยอนุรักษ์เกมเก่าและประสบการณ์การเล่นแบบดั้งเดิม ✅ แนวโน้มของอีมูเลเตอร์ยุคใหม่ ➡️ เน้นความง่ายในการใช้งานและความแม่นยำในการจำลอง ➡️ รองรับกราฟิกและเสียงระดับสูงเพื่อประสบการณ์ที่สมจริง https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/dosbox-pure-unleashed-is-ready-for-windows-mac-and-linux-computers-after-five-years-in-development-enhanced-standalone-release-no-longer-restricted-to-being-a-retroarch-core
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เล่น Battlefield 6 บนจอระบายความร้อน CPU ขนาด 2.1 นิ้ว—เมื่อเกมเมอร์ไม่ยอมแพ้ต่อพื้นที่จำกัด"

    ในยุคที่เกมเมอร์มักมองหาหน้าจอใหญ่ ๆ เพื่อประสบการณ์ที่เต็มอิ่ม มีผู้ใช้งานคนหนึ่งจากเยอรมนีชื่อ Tim กลับเลือกเส้นทางสุดแหวก—เขาเล่น Battlefield 6 บนจอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ที่ติดอยู่บนชุดระบายความร้อน CPU แบบน้ำของ MSI รุ่น CoreLiquid P13 ซึ่งมีความละเอียดเพียง 480x480 พิกเซล

    แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ Tim ยืนยันว่าเขาใช้จอนี้ในการ “ฟาร์ม XP” ระหว่างช่วงพักจากงานรีวิวจอ OLED ที่เขาควรจะทำอยู่ โดยอ้างว่า “ก็ยังเป็นการทดสอบจอภาพอยู่นะ” ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะและความทึ่งให้กับชุมชนเกมเมอร์

    จอของ MSI รุ่นนี้รองรับการแสดงผลแบบ IPS และสามารถใช้เป็นจอที่สองได้จริง ๆ ซึ่งหลายคนใช้แสดงข้อมูลระบบหรือภาพตกแต่ง แต่ Tim กลับใช้มันเล่นเกมเต็มรูปแบบ—แสดงให้เห็นถึงความสร้างสรรค์และความ “ไม่ยอมแพ้” ของเกมเมอร์ตัวจริง

    อุปกรณ์ที่ใช้
    MSI CoreLiquid P13 AIO liquid cooler
    จอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ความละเอียด 480x480
    รองรับการแสดงผล IPS และใช้เป็นจอที่สองได้

    วิธีการเล่นเกม
    ใช้จอระบายความร้อน CPU เป็นจอหลักในการเล่น Battlefield 6
    เล่นเพื่อฟาร์ม XP ระหว่างพักจากงานรีวิวจอ OLED
    ใช้ฟีเจอร์ secondary display ที่มีใน AIO รุ่นใหม่

    ปฏิกิริยาจากชุมชน
    ผู้ชมใน YouTube และโซเชียลต่างทึ่งกับความแหวกแนว
    หลายคนมองว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
    บางคนแซวว่า “นี่คือจอที่เหมาะกับการเล่นเกมในที่ทำงาน”

    คำเตือนในการใช้งาน
    จอขนาดเล็กอาจทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดสำคัญในเกม
    ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแข่งขันหรือ FPS ที่ต้องการความแม่นยำ
    การใช้จอระบายความร้อนเป็นจอหลักอาจส่งผลต่ออุณหภูมิ CPU หากไม่ระวัง

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/enthusiast-plays-battlefield-6-on-his-cpu-watercoolers-screen-tiny-2-1-inch-480x480-msi-liquid-cooler-screen-good-enough-for-xp-farming
    🎮 "เล่น Battlefield 6 บนจอระบายความร้อน CPU ขนาด 2.1 นิ้ว—เมื่อเกมเมอร์ไม่ยอมแพ้ต่อพื้นที่จำกัด" ในยุคที่เกมเมอร์มักมองหาหน้าจอใหญ่ ๆ เพื่อประสบการณ์ที่เต็มอิ่ม มีผู้ใช้งานคนหนึ่งจากเยอรมนีชื่อ Tim กลับเลือกเส้นทางสุดแหวก—เขาเล่น Battlefield 6 บนจอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ที่ติดอยู่บนชุดระบายความร้อน CPU แบบน้ำของ MSI รุ่น CoreLiquid P13 ซึ่งมีความละเอียดเพียง 480x480 พิกเซล แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ Tim ยืนยันว่าเขาใช้จอนี้ในการ “ฟาร์ม XP” ระหว่างช่วงพักจากงานรีวิวจอ OLED ที่เขาควรจะทำอยู่ โดยอ้างว่า “ก็ยังเป็นการทดสอบจอภาพอยู่นะ” ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะและความทึ่งให้กับชุมชนเกมเมอร์ จอของ MSI รุ่นนี้รองรับการแสดงผลแบบ IPS และสามารถใช้เป็นจอที่สองได้จริง ๆ ซึ่งหลายคนใช้แสดงข้อมูลระบบหรือภาพตกแต่ง แต่ Tim กลับใช้มันเล่นเกมเต็มรูปแบบ—แสดงให้เห็นถึงความสร้างสรรค์และความ “ไม่ยอมแพ้” ของเกมเมอร์ตัวจริง ✅ อุปกรณ์ที่ใช้ ➡️ MSI CoreLiquid P13 AIO liquid cooler ➡️ จอวงกลมขนาด 2.1 นิ้ว ความละเอียด 480x480 ➡️ รองรับการแสดงผล IPS และใช้เป็นจอที่สองได้ ✅ วิธีการเล่นเกม ➡️ ใช้จอระบายความร้อน CPU เป็นจอหลักในการเล่น Battlefield 6 ➡️ เล่นเพื่อฟาร์ม XP ระหว่างพักจากงานรีวิวจอ OLED ➡️ ใช้ฟีเจอร์ secondary display ที่มีใน AIO รุ่นใหม่ ✅ ปฏิกิริยาจากชุมชน ➡️ ผู้ชมใน YouTube และโซเชียลต่างทึ่งกับความแหวกแนว ➡️ หลายคนมองว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ➡️ บางคนแซวว่า “นี่คือจอที่เหมาะกับการเล่นเกมในที่ทำงาน” ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ จอขนาดเล็กอาจทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดสำคัญในเกม ⛔ ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแข่งขันหรือ FPS ที่ต้องการความแม่นยำ ⛔ การใช้จอระบายความร้อนเป็นจอหลักอาจส่งผลต่ออุณหภูมิ CPU หากไม่ระวัง https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/enthusiast-plays-battlefield-6-on-his-cpu-watercoolers-screen-tiny-2-1-inch-480x480-msi-liquid-cooler-screen-good-enough-for-xp-farming
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนเสียบ้าง! ทนายยื่นฟ้องเพจดัง CSI LA ฐานใส่ร้าย "พล.อ.วิชญ์" ยันไม่เกี่ยวขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ เตรียมเอาผิดถึงที่สุด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099960

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    โดนเสียบ้าง! ทนายยื่นฟ้องเพจดัง CSI LA ฐานใส่ร้าย "พล.อ.วิชญ์" ยันไม่เกี่ยวขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ เตรียมเอาผิดถึงที่สุด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000099960 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/uk0D5wlayH0?si=5YgKeaVYPlhm45Fx
    https://youtu.be/uk0D5wlayH0?si=5YgKeaVYPlhm45Fx
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว