• 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปักกิ่งโต้ข้อกล่าวหาทรัมป์ ชี้อเมริกาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสงบศึกการค้าที่เจนีวา ด้วยการเดินเกมทำลายผลประโยชน์จีน ทั้งประกาศแนวทางควบคุมการส่งออกชิปเอไอ ห้ามขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน และยังเตรียมเพิกถอนวีซ่านักศึกษาจีน อย่างไรก็ตาม ด้านขุนคลังสหรัฐฯ มั่นใจความขัดแย้งจะคลี่คลายหลังทรัมป์กับ สี จึ้นผิงได้คุยกัน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051819

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ปักกิ่งโต้ข้อกล่าวหาทรัมป์ ชี้อเมริกาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสงบศึกการค้าที่เจนีวา ด้วยการเดินเกมทำลายผลประโยชน์จีน ทั้งประกาศแนวทางควบคุมการส่งออกชิปเอไอ ห้ามขายซอฟต์แวร์ออกแบบชิปให้จีน และยังเตรียมเพิกถอนวีซ่านักศึกษาจีน อย่างไรก็ตาม ด้านขุนคลังสหรัฐฯ มั่นใจความขัดแย้งจะคลี่คลายหลังทรัมป์กับ สี จึ้นผิงได้คุยกัน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051819 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Yay
    Wow
    10
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์งบประมาณ 2569: เครื่องมือพยุงอำนาจ หรือแผนพัฒนาชาติ?

    ร่างงบประมาณ 3.78 ล้านล้านของรัฐบาลแพทองธาร กำลังถูกตั้งคำถามว่าเพื่อประชาชนหรือเพื่อฐานเสียงทางการเมือง?

    การจัดทำร่าง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งมีวงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ไม่ใช่แค่เพราะเม็ดเงินมหาศาล แต่เพราะมันสะท้อนว่า รัฐบาลบริหาร “อำนาจ” และ “ความคาดหวังของประชาชน” อย่างไร

    เมื่อมองผ่านมุม เศรษฐศาสตร์การเมือง—ซึ่งวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรภายใต้แรงจูงใจทางอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง—คำถามใหญ่คือ งบนี้ออกแบบเพื่อ “พัฒนาชาติ” หรือแค่ “พยุงอำนาจ”?

    1. จากดิจิทัลวอลเล็ต สู่ท้องถิ่น: กลยุทธ์รักษาฐานเสียง?

    รัฐบาลโยกงบกว่า 157,000 ล้านบาท จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเปิดให้ยื่นขอใช้งบในเวลาเพียง 3 วัน

    นี่อาจไม่ใช่การกระจายงบอย่างมีแผน แต่คือการ “ป้อนงบ” ให้กับเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ

    2. กู้เงิน 8.6 แสนล้าน: ลงทุนเพื่ออนาคต หรือซื้อเวลา?

    การกู้เงินขาดดุลสูงสุดในรอบ 30 ปี สะท้อนแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ แต่อีกด้านก็มีคำถามว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะถูกใช้ “อย่างยั่งยืน” หรือไม่?

    การไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาว่า นี่คือการใช้เงินเพื่อ “ผลทางการเมืองในระยะสั้น” มากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจริงจัง

    3. รัฐบาลผสม กับการจัดงบแบบแบ่งเค้ก

    การที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม ทำให้การจัดสรรงบประมาณกลายเป็นเวทีต่อรองอำนาจ
    การจัดสรรงบจำนวนมากไปยังพื้นที่ฐานเสียง และการบริหารงบกลางแบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ชี้ว่าการเมืองภายในรัฐบาลส่งผลต่อการใช้งบมากกว่าความจำเป็นของประเทศ

    4. งบปี 2569 ไม่ตอบโจทย์โลกใหม่?

    แม้รัฐบาลจะพูดถึง “Soft Power” และ การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่งบปี 2569 กลับไม่มีทิศทางชัดเจนในเรื่อง การลงทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือการพัฒนาทักษะแรงงาน

    ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ไทยกลับยังเดินตามโมเดล “ทุ่มงบก่อสร้าง” ที่เห็นผลง่าย แต่มักไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาปัญญาและเพิ่มทักษะแก่ประชาชน

    5. เหลื่อมล้ำยังอยู่ งบไม่ถึงชายขอบ

    การจัดงบยังคง “กระจุกตัวในเมืองใหญ่” ขณะที่งบพัฒนาจังหวัดเล็ก ๆ หรือจังหวัดชายแดนถูกลดลง งบด้านความมั่นคงกลับเพิ่มขึ้น

    ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดการบริหารที่เน้นการ “ควบคุม” มากกว่าการ “พัฒนา” ซึ่งอาจยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำฝังรากลึกลงไปอีก

    บทสรุป: เมื่อ “งบประมาณ” กลายเป็นสนามอำนาจ

    งบประมาณปี 2569 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชุดตัวเลข แต่คือกระจกสะท้อนว่า รัฐบาลกำลังใช้อำนาจเพื่อใคร และอย่างไร การกระจายงบแบบไม่ทั่วถึง การกู้เงินมหาศาลโดยไร้ทิศทางระยะยาว และการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ล้วนชี้ว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับ “เสถียรภาพทางการเมือง” มากกว่าการ “พัฒนาที่ยั่งยืน”

    หากอำนาจรัฐยังใช้งบประมาณเป็นเชือกผูกโยงฐานเสียง มากกว่าการเปิดทางให้โอกาสไหลถึงประชาชนทั้งแผ่นดิน

    ความมั่งคั่งก็จะกระจุกอยู่ในหมู่ชนชั้นนำและนักการเมืองเจ้าถิ่น ขณะที่คนส่วนใหญ่จะยังจมปลักอยู่ในทะเลแห่งความเหลื่อมล้ำ—ไร้ฝั่งฝัน ไร้เส้นทางรอด”
    รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์งบประมาณ 2569: เครื่องมือพยุงอำนาจ หรือแผนพัฒนาชาติ? ร่างงบประมาณ 3.78 ล้านล้านของรัฐบาลแพทองธาร กำลังถูกตั้งคำถามว่าเพื่อประชาชนหรือเพื่อฐานเสียงทางการเมือง? การจัดทำร่าง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งมีวงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ไม่ใช่แค่เพราะเม็ดเงินมหาศาล แต่เพราะมันสะท้อนว่า รัฐบาลบริหาร “อำนาจ” และ “ความคาดหวังของประชาชน” อย่างไร เมื่อมองผ่านมุม เศรษฐศาสตร์การเมือง—ซึ่งวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรภายใต้แรงจูงใจทางอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง—คำถามใหญ่คือ งบนี้ออกแบบเพื่อ “พัฒนาชาติ” หรือแค่ “พยุงอำนาจ”? 1. จากดิจิทัลวอลเล็ต สู่ท้องถิ่น: กลยุทธ์รักษาฐานเสียง? รัฐบาลโยกงบกว่า 157,000 ล้านบาท จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเปิดให้ยื่นขอใช้งบในเวลาเพียง 3 วัน นี่อาจไม่ใช่การกระจายงบอย่างมีแผน แต่คือการ “ป้อนงบ” ให้กับเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ 2. กู้เงิน 8.6 แสนล้าน: ลงทุนเพื่ออนาคต หรือซื้อเวลา? การกู้เงินขาดดุลสูงสุดในรอบ 30 ปี สะท้อนแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ แต่อีกด้านก็มีคำถามว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะถูกใช้ “อย่างยั่งยืน” หรือไม่? การไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาว่า นี่คือการใช้เงินเพื่อ “ผลทางการเมืองในระยะสั้น” มากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจริงจัง 3. รัฐบาลผสม กับการจัดงบแบบแบ่งเค้ก การที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม ทำให้การจัดสรรงบประมาณกลายเป็นเวทีต่อรองอำนาจ การจัดสรรงบจำนวนมากไปยังพื้นที่ฐานเสียง และการบริหารงบกลางแบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ชี้ว่าการเมืองภายในรัฐบาลส่งผลต่อการใช้งบมากกว่าความจำเป็นของประเทศ 4. งบปี 2569 ไม่ตอบโจทย์โลกใหม่? แม้รัฐบาลจะพูดถึง “Soft Power” และ การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่งบปี 2569 กลับไม่มีทิศทางชัดเจนในเรื่อง การลงทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือการพัฒนาทักษะแรงงาน ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ไทยกลับยังเดินตามโมเดล “ทุ่มงบก่อสร้าง” ที่เห็นผลง่าย แต่มักไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาปัญญาและเพิ่มทักษะแก่ประชาชน 5. เหลื่อมล้ำยังอยู่ งบไม่ถึงชายขอบ การจัดงบยังคง “กระจุกตัวในเมืองใหญ่” ขณะที่งบพัฒนาจังหวัดเล็ก ๆ หรือจังหวัดชายแดนถูกลดลง งบด้านความมั่นคงกลับเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดการบริหารที่เน้นการ “ควบคุม” มากกว่าการ “พัฒนา” ซึ่งอาจยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำฝังรากลึกลงไปอีก บทสรุป: เมื่อ “งบประมาณ” กลายเป็นสนามอำนาจ งบประมาณปี 2569 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชุดตัวเลข แต่คือกระจกสะท้อนว่า รัฐบาลกำลังใช้อำนาจเพื่อใคร และอย่างไร การกระจายงบแบบไม่ทั่วถึง การกู้เงินมหาศาลโดยไร้ทิศทางระยะยาว และการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ล้วนชี้ว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับ “เสถียรภาพทางการเมือง” มากกว่าการ “พัฒนาที่ยั่งยืน” หากอำนาจรัฐยังใช้งบประมาณเป็นเชือกผูกโยงฐานเสียง มากกว่าการเปิดทางให้โอกาสไหลถึงประชาชนทั้งแผ่นดิน ความมั่งคั่งก็จะกระจุกอยู่ในหมู่ชนชั้นนำและนักการเมืองเจ้าถิ่น ขณะที่คนส่วนใหญ่จะยังจมปลักอยู่ในทะเลแห่งความเหลื่อมล้ำ—ไร้ฝั่งฝัน ไร้เส้นทางรอด”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌍 Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรป: ผู้ใช้มีอิสระมากขึ้น
    Microsoft ได้ประกาศ ลดการบังคับใช้ Edge ในยุโรป โดยเป็นผลมาจาก Digital Markets Act (DMA) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้น

    ก่อนหน้านี้ Microsoft ใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ใช้ Edge เช่น ป๊อปอัปแจ้งเตือนหลังอัปเดต, การบล็อกการเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของเบราว์เซอร์ และการเปิดลิงก์ภายในแอปของ Windows ผ่าน Edge เท่านั้น

    แต่ภายใต้ DMA Microsoft ได้ปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เช่น Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง และ Windows Widgets กับ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น

    นอกจากนี้ Windows Search ในยุโรปจะสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing และ Microsoft Store จะสามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรปตามข้อบังคับของ Digital Markets Act (DMA)
    - Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง
    - Windows Widgets และ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น
    - Windows Search ในยุโรปสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing
    - Microsoft Store สามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในยุโรป และผู้ใช้ในภูมิภาคอื่นยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดเดิม
    - แม้จะมีการปรับปรุง แต่ Microsoft ยังคงควบคุมบางส่วนของ Windows Search และ Edge
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ Edge อย่างไร
    - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาผู้ใช้ Edge ในภูมิภาคอื่น ๆ

    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้ใช้ในยุโรปมีอิสระมากขึ้นในการเลือกเบราว์เซอร์และบริการค้นหา อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้ในภูมิภาคอื่น ๆ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันหรือไม่

    https://www.neowin.net/news/microsoft-will-finally-stop-shoving-edge-down-your-throat-on-one-condition/
    🌍 Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรป: ผู้ใช้มีอิสระมากขึ้น Microsoft ได้ประกาศ ลดการบังคับใช้ Edge ในยุโรป โดยเป็นผลมาจาก Digital Markets Act (DMA) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้น ก่อนหน้านี้ Microsoft ใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ใช้ Edge เช่น ป๊อปอัปแจ้งเตือนหลังอัปเดต, การบล็อกการเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของเบราว์เซอร์ และการเปิดลิงก์ภายในแอปของ Windows ผ่าน Edge เท่านั้น แต่ภายใต้ DMA Microsoft ได้ปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เช่น Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง และ Windows Widgets กับ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น นอกจากนี้ Windows Search ในยุโรปจะสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing และ Microsoft Store จะสามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรปตามข้อบังคับของ Digital Markets Act (DMA) - Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง - Windows Widgets และ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น - Windows Search ในยุโรปสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing - Microsoft Store สามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในยุโรป และผู้ใช้ในภูมิภาคอื่นยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดเดิม - แม้จะมีการปรับปรุง แต่ Microsoft ยังคงควบคุมบางส่วนของ Windows Search และ Edge - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ Edge อย่างไร - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาผู้ใช้ Edge ในภูมิภาคอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้ใช้ในยุโรปมีอิสระมากขึ้นในการเลือกเบราว์เซอร์และบริการค้นหา อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้ในภูมิภาคอื่น ๆ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันหรือไม่ https://www.neowin.net/news/microsoft-will-finally-stop-shoving-edge-down-your-throat-on-one-condition/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft will finally stop shoving Edge down your throat, on one condition
    Good news if you're tired of Microsoft's heavy-handed Edge promos. The company is backing off a bit, but of course, there's a catch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔄 Microsoft ปรับปรุงการจัดการแอปของ Teams เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    Microsoft กำลังเปิดตัว ระบบจัดการแอปของ Teams แบบใช้กฎ (Rules-Based Enablement) ซึ่งช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการอนุมัติแอปของบุคคลที่สาม ในองค์กร

    ก่อนหน้านี้ Microsoft 365 Certified Apps ถูกควบคุมโดย การตั้งค่าของแต่ละ tenant ทำให้ ผู้ดูแลระบบไม่สามารถจัดการแอปทั้งหมดได้ในระดับองค์กร

    การอัปเดตใหม่นี้ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเงื่อนไขที่ปลอดภัยสำหรับการอนุมัติแอป ผ่าน Teams Admin Center โดยสามารถเลือกจาก รายการเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่า เฉพาะแอปที่เชื่อถือได้และเป็นไปตามข้อกำหนดเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัวระบบจัดการแอปของ Teams แบบใช้กฎเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    - ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการอนุมัติแอปของบุคคลที่สาม
    - สามารถจัดการแอปทั้งหมดในระดับองค์กรผ่าน Teams Admin Center
    - ระบบใหม่นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และผู้ดูแลระบบไม่ต้องดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม
    - การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มเปิดตัวกลางเดือนกรกฎาคม 2025 และเสร็จสิ้นภายในต้นเดือนสิงหาคม 2025

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ระบบใหม่นี้มีผลเฉพาะกับผู้ใช้ที่มีใบอนุญาต F (Frontline) เท่านั้น
    - Microsoft เคยระบุว่าจะขยายการรองรับไปยังใบอนุญาตอื่น ๆ แต่ยังไม่มีการยืนยัน
    - องค์กรที่ไม่มีใบอนุญาต F อาจต้องรอการอัปเดตเพิ่มเติมในอนาคต
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการใช้งานแอปของบุคคลที่สามอย่างไร

    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ องค์กรสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ดีขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการรองรับใบอนุญาตอื่น ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อใด

    https://www.neowin.net/news/microsoft-details-major-teams-change-for-third-party-apps-settings-but-you-might-miss-out/
    🔄 Microsoft ปรับปรุงการจัดการแอปของ Teams เพื่อเพิ่มความปลอดภัย Microsoft กำลังเปิดตัว ระบบจัดการแอปของ Teams แบบใช้กฎ (Rules-Based Enablement) ซึ่งช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการอนุมัติแอปของบุคคลที่สาม ในองค์กร ก่อนหน้านี้ Microsoft 365 Certified Apps ถูกควบคุมโดย การตั้งค่าของแต่ละ tenant ทำให้ ผู้ดูแลระบบไม่สามารถจัดการแอปทั้งหมดได้ในระดับองค์กร การอัปเดตใหม่นี้ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเงื่อนไขที่ปลอดภัยสำหรับการอนุมัติแอป ผ่าน Teams Admin Center โดยสามารถเลือกจาก รายการเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่า เฉพาะแอปที่เชื่อถือได้และเป็นไปตามข้อกำหนดเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัวระบบจัดการแอปของ Teams แบบใช้กฎเพื่อเพิ่มความปลอดภัย - ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะสำหรับการอนุมัติแอปของบุคคลที่สาม - สามารถจัดการแอปทั้งหมดในระดับองค์กรผ่าน Teams Admin Center - ระบบใหม่นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และผู้ดูแลระบบไม่ต้องดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม - การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มเปิดตัวกลางเดือนกรกฎาคม 2025 และเสร็จสิ้นภายในต้นเดือนสิงหาคม 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ระบบใหม่นี้มีผลเฉพาะกับผู้ใช้ที่มีใบอนุญาต F (Frontline) เท่านั้น - Microsoft เคยระบุว่าจะขยายการรองรับไปยังใบอนุญาตอื่น ๆ แต่ยังไม่มีการยืนยัน - องค์กรที่ไม่มีใบอนุญาต F อาจต้องรอการอัปเดตเพิ่มเติมในอนาคต - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการใช้งานแอปของบุคคลที่สามอย่างไร การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ องค์กรสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ดีขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการรองรับใบอนุญาตอื่น ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อใด https://www.neowin.net/news/microsoft-details-major-teams-change-for-third-party-apps-settings-but-you-might-miss-out/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft details "major" Teams change for third-party apps' settings but you might miss out
    Microsoft has announced the rollout of a "major change" for its Teams apps that is related to third-party apps management. The announcement is important for admins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อังคารสีชมพู🌸🍃
    #ดอกบัวดิน
    #อังคารสีชมพู🌸🍃 #ดอกบัวดิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛡️ Microsoft เตือน! ดาวน์โหลด ISO ติดตั้ง Windows 11/10 ต้องมีอัปเดต Defender
    Microsoft ได้เผยแพร่ อัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ที่จำเป็นสำหรับ ไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจเกิดขึ้นจาก ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยชั่วคราว เนื่องจาก Microsoft Defender ที่รวมอยู่ในไฟล์ติดตั้งอาจเป็นเวอร์ชันเก่า ทำให้ระบบ ไม่ได้รับการป้องกันจากภัยคุกคามล่าสุด

    Microsoft จึงได้ออก แพ็กเกจอัปเดตความปลอดภัย ผ่าน Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 ซึ่งช่วยปิดช่องโหว่ดังกล่าว โดยอัปเดต anti-malware client, anti-malware engine และ signature versions

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft ออกอัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ในไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server
    - อัปเดตนี้ช่วยปิดช่องโหว่ที่เกิดจากซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย
    - Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 เป็นแพ็กเกจล่าสุดที่ต้องติดตั้ง
    - อัปเดตนี้ช่วยป้องกันภัยคุกคาม เช่น Lumma infostealer ที่ส่งผลกระทบต่อ 394,000 เครื่องทั่วโลก
    - รองรับ Windows 11, Windows 10 (Enterprise, Pro, Home), Windows Server 2022, 2019 และ 2016

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - หากติดตั้ง Windows โดยใช้ ISO ที่ไม่มีอัปเดต Defender อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - มัลแวร์ Lumma infostealer สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์หลัก เช่น Chrome, Firefox และ Edge
    - ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้ง Windows มี Security Intelligence Update ล่าสุดก่อนใช้งาน
    - Microsoft Defender เวอร์ชันเก่าอาจไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การอัปเดตนี้ช่วยให้ Windows ที่ติดตั้งใหม่มีการป้องกันที่ทันสมัยขึ้น และลดความเสี่ยงจาก มัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ในระบบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้งมีอัปเดตล่าสุดก่อนใช้งาน

    https://www.neowin.net/news/microsoft-warns-new-windows-1110-installation-iso-downloads-must-have-this-defender-update/
    🛡️ Microsoft เตือน! ดาวน์โหลด ISO ติดตั้ง Windows 11/10 ต้องมีอัปเดต Defender Microsoft ได้เผยแพร่ อัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ที่จำเป็นสำหรับ ไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจเกิดขึ้นจาก ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยชั่วคราว เนื่องจาก Microsoft Defender ที่รวมอยู่ในไฟล์ติดตั้งอาจเป็นเวอร์ชันเก่า ทำให้ระบบ ไม่ได้รับการป้องกันจากภัยคุกคามล่าสุด Microsoft จึงได้ออก แพ็กเกจอัปเดตความปลอดภัย ผ่าน Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 ซึ่งช่วยปิดช่องโหว่ดังกล่าว โดยอัปเดต anti-malware client, anti-malware engine และ signature versions ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft ออกอัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ในไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server - อัปเดตนี้ช่วยปิดช่องโหว่ที่เกิดจากซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย - Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 เป็นแพ็กเกจล่าสุดที่ต้องติดตั้ง - อัปเดตนี้ช่วยป้องกันภัยคุกคาม เช่น Lumma infostealer ที่ส่งผลกระทบต่อ 394,000 เครื่องทั่วโลก - รองรับ Windows 11, Windows 10 (Enterprise, Pro, Home), Windows Server 2022, 2019 และ 2016 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - หากติดตั้ง Windows โดยใช้ ISO ที่ไม่มีอัปเดต Defender อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - มัลแวร์ Lumma infostealer สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์หลัก เช่น Chrome, Firefox และ Edge - ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้ง Windows มี Security Intelligence Update ล่าสุดก่อนใช้งาน - Microsoft Defender เวอร์ชันเก่าอาจไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอัปเดตนี้ช่วยให้ Windows ที่ติดตั้งใหม่มีการป้องกันที่ทันสมัยขึ้น และลดความเสี่ยงจาก มัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ในระบบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้งมีอัปเดตล่าสุดก่อนใช้งาน https://www.neowin.net/news/microsoft-warns-new-windows-1110-installation-iso-downloads-must-have-this-defender-update/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft warns new Windows 11/10 installation ISO downloads must have this Defender update
    Microsoft released a new Windows Defender update for new Windows installation media. However, the latest update is crucial as it saves against the deadly Lumma malware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍷 Wine 10.9: การอัปเดตครั้งสำคัญสำหรับการรันแอป Windows บน Linux และ macOS
    Wine 10.9 ได้เปิดตัวพร้อมกับ การรองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว ซึ่งช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น และอาจเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปที่ใช้ OpenGL ES

    EGL เป็น ตัวกลางสำคัญ ที่ช่วยให้ OpenGL ES สามารถสื่อสารกับ window manager ของระบบ การที่ Wine รองรับ EGL อย่างเป็นมาตรฐานช่วยลดปัญหาการแสดงผลที่แตกต่างกันระหว่างไดรเวอร์

    นอกจากนี้ Wine 10.9 ยังมาพร้อมกับ vkd3d เวอร์ชัน 1.16 ซึ่งเป็น ตัวแปลง Direct3D 12 เป็น Vulkan โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น
    - รองรับ DXIL shaders ในค่าตั้งต้น ทำให้สามารถใช้ Shader Model 6.0 ได้
    - สามารถสร้าง Graphics pipeline state objects จาก shaders ที่มี root signatures
    - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Wine 10.9 รองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว
    - ช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น
    - vkd3d 1.16 ปรับปรุงการรองรับ Direct3D 12 บน Vulkan
    - DXIL shaders รองรับ Shader Model 6.0 ในค่าตั้งต้น
    - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะรองรับ EGL แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้กับทุกแอป
    - การอัปเดต vkd3d อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้ของทุกเกมที่ใช้ Direct3D 12
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะพบข้อผิดพลาดใหม่ ๆ หรือไม่หลังจากอัปเดตเป็น Wine 10.9
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงการที่ใช้ Wine เช่น Steam Proton

    Wine 10.9 เป็น ก้าวสำคัญในการปรับปรุงความเข้ากันได้ของแอป Windows บน Linux และ macOS โดยเฉพาะสำหรับ เกมที่ใช้ Direct3D 12 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมและแอปในระยะยาวอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/wine-109-released-bringing-egl-support-for-all-graphic-drivers-and-several-bug-fixes/
    🍷 Wine 10.9: การอัปเดตครั้งสำคัญสำหรับการรันแอป Windows บน Linux และ macOS Wine 10.9 ได้เปิดตัวพร้อมกับ การรองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว ซึ่งช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น และอาจเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปที่ใช้ OpenGL ES EGL เป็น ตัวกลางสำคัญ ที่ช่วยให้ OpenGL ES สามารถสื่อสารกับ window manager ของระบบ การที่ Wine รองรับ EGL อย่างเป็นมาตรฐานช่วยลดปัญหาการแสดงผลที่แตกต่างกันระหว่างไดรเวอร์ นอกจากนี้ Wine 10.9 ยังมาพร้อมกับ vkd3d เวอร์ชัน 1.16 ซึ่งเป็น ตัวแปลง Direct3D 12 เป็น Vulkan โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น - รองรับ DXIL shaders ในค่าตั้งต้น ทำให้สามารถใช้ Shader Model 6.0 ได้ - สามารถสร้าง Graphics pipeline state objects จาก shaders ที่มี root signatures - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader ✅ ข้อมูลจากข่าว - Wine 10.9 รองรับ EGL สำหรับไดรเวอร์กราฟิกทุกตัว - ช่วยให้การรันแอป Windows บน Linux และ macOS มีความเสถียรมากขึ้น - vkd3d 1.16 ปรับปรุงการรองรับ Direct3D 12 บน Vulkan - DXIL shaders รองรับ Shader Model 6.0 ในค่าตั้งต้น - เพิ่มการรองรับ geometry shaders และฟังก์ชันใหม่ ๆ ใน libvkd3d-shader ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะรองรับ EGL แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้กับทุกแอป - การอัปเดต vkd3d อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้ของทุกเกมที่ใช้ Direct3D 12 - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะพบข้อผิดพลาดใหม่ ๆ หรือไม่หลังจากอัปเดตเป็น Wine 10.9 - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงการที่ใช้ Wine เช่น Steam Proton Wine 10.9 เป็น ก้าวสำคัญในการปรับปรุงความเข้ากันได้ของแอป Windows บน Linux และ macOS โดยเฉพาะสำหรับ เกมที่ใช้ Direct3D 12 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมและแอปในระยะยาวอย่างไร https://www.neowin.net/news/wine-109-released-bringing-egl-support-for-all-graphic-drivers-and-several-bug-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    Wine 10.9 released bringing EGL support for all graphic drivers and several bug fixes
    The latest Wine release, version 10.9, introduces EGL support across all graphics drivers, brings an updated vkd3d version, and includes several bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛡️ Microsoft และ CrowdStrike ร่วมมือเพื่อปรับปรุงการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคาม
    Microsoft และ CrowdStrike ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อ ปรับปรุงการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคามไซเบอร์ ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ปัจจุบัน แต่ละบริษัทมีระบบการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคามของตัวเอง ทำให้ กลุ่มเดียวกันอาจมีชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร ตัวอย่างเช่น Microsoft เรียกกลุ่มหนึ่งว่า Midnight Blizzard แต่บริษัทอื่นอาจเรียกกลุ่มเดียวกันว่า Cozy Bear, APT29 หรือ UNC2452

    ความแตกต่างนี้ ทำให้เกิดความสับสนและล่าช้าในการตอบสนองต่อภัยคุกคาม เนื่องจาก นักวิเคราะห์ต้องใช้เวลามากขึ้นในการจับคู่ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft และ CrowdStrike ร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคามไซเบอร์
    - ปัจจุบันแต่ละบริษัทมีระบบการตั้งชื่อของตัวเอง ทำให้กลุ่มเดียวกันอาจมีชื่อแตกต่างกัน
    - ตัวอย่างเช่น Microsoft เรียกกลุ่มหนึ่งว่า Midnight Blizzard แต่บริษัทอื่นอาจเรียกว่า Cozy Bear หรือ APT29
    - ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้เร็วขึ้น
    - Google/Mandiant และ Palo Alto Networks' Unit 42 อาจเข้าร่วมโครงการนี้ในอนาคต

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Microsoft และ CrowdStrike ไม่ได้สร้างมาตรฐานเดียวกัน แต่เพียงแค่จับคู่ชื่อที่ใช้กันทั่วไป
    - ต้องติดตามว่าบริษัทอื่น ๆ จะเข้าร่วมโครงการนี้หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจต้องใช้เวลาสักระยะก่อนที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
    - ยังไม่มีข้อมูลว่าการจับคู่ชื่อจะครอบคลุมกลุ่มภัยคุกคามทั้งหมดหรือไม่

    ความร่วมมือนี้ช่วยให้ การตอบสนองต่อภัยคุกคามมีความชัดเจนมากขึ้น และอาจช่วยให้ องค์กรสามารถรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม

    https://www.neowin.net/news/microsoft-and-crowdstrike-announce-partnership-on-threat-actor-naming/
    🛡️ Microsoft และ CrowdStrike ร่วมมือเพื่อปรับปรุงการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคาม Microsoft และ CrowdStrike ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อ ปรับปรุงการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคามไซเบอร์ ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบัน แต่ละบริษัทมีระบบการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคามของตัวเอง ทำให้ กลุ่มเดียวกันอาจมีชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร ตัวอย่างเช่น Microsoft เรียกกลุ่มหนึ่งว่า Midnight Blizzard แต่บริษัทอื่นอาจเรียกกลุ่มเดียวกันว่า Cozy Bear, APT29 หรือ UNC2452 ความแตกต่างนี้ ทำให้เกิดความสับสนและล่าช้าในการตอบสนองต่อภัยคุกคาม เนื่องจาก นักวิเคราะห์ต้องใช้เวลามากขึ้นในการจับคู่ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft และ CrowdStrike ร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงการตั้งชื่อกลุ่มภัยคุกคามไซเบอร์ - ปัจจุบันแต่ละบริษัทมีระบบการตั้งชื่อของตัวเอง ทำให้กลุ่มเดียวกันอาจมีชื่อแตกต่างกัน - ตัวอย่างเช่น Microsoft เรียกกลุ่มหนึ่งว่า Midnight Blizzard แต่บริษัทอื่นอาจเรียกว่า Cozy Bear หรือ APT29 - ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้เร็วขึ้น - Google/Mandiant และ Palo Alto Networks' Unit 42 อาจเข้าร่วมโครงการนี้ในอนาคต ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Microsoft และ CrowdStrike ไม่ได้สร้างมาตรฐานเดียวกัน แต่เพียงแค่จับคู่ชื่อที่ใช้กันทั่วไป - ต้องติดตามว่าบริษัทอื่น ๆ จะเข้าร่วมโครงการนี้หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจต้องใช้เวลาสักระยะก่อนที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน - ยังไม่มีข้อมูลว่าการจับคู่ชื่อจะครอบคลุมกลุ่มภัยคุกคามทั้งหมดหรือไม่ ความร่วมมือนี้ช่วยให้ การตอบสนองต่อภัยคุกคามมีความชัดเจนมากขึ้น และอาจช่วยให้ องค์กรสามารถรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม https://www.neowin.net/news/microsoft-and-crowdstrike-announce-partnership-on-threat-actor-naming/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft and Crowdstrike announce partnership on threat actor naming
    Different security companies use unique internal procedures to name cyberattacks and threat actors, leading to inconsistencies, confusion, and delays in response.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 AI กำลังกลายเป็นอาวุธลับของพนักงาน
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการทำงาน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร อย่างไรก็ตาม มีพนักงานจำนวนมากที่เลือกใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้บริหารทราบ

    จากการสำรวจของ Ivanti พบว่า หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ โดยมีเหตุผลหลักสองประการ:

    1) 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน
    2) 30% กังวลว่าการเปิดเผยการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน

    นอกจากนี้ 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ในการทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว และในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ตัวเลขนี้สูงถึง 74%

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ
    - 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน
    - 30% กังวลว่าการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน
    - 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว
    - 74% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI อย่างลับ ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - องค์กรอาจสูญเสียการควบคุมข้อมูลสำคัญ หากพนักงานใช้ AI โดยไม่มีมาตรการป้องกัน
    - 52% ของพนักงานเชื่อว่าการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหมายถึงการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน
    - องค์กรต้องพัฒนาแนวทางการใช้ AI ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและจริยธรรม

    AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร แต่หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร องค์กรควร ส่งเสริมการใช้ AI อย่างโปร่งใสและมีมาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/03/ai-is-becoming-a-secret-weapon-for-workers
    🤖 AI กำลังกลายเป็นอาวุธลับของพนักงาน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการทำงาน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร อย่างไรก็ตาม มีพนักงานจำนวนมากที่เลือกใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้บริหารทราบ จากการสำรวจของ Ivanti พบว่า หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ โดยมีเหตุผลหลักสองประการ: 1) 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน 2) 30% กังวลว่าการเปิดเผยการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน นอกจากนี้ 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ในการทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว และในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ตัวเลขนี้สูงถึง 74% ✅ ข้อมูลจากข่าว - หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ - 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน - 30% กังวลว่าการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน - 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว - 74% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI อย่างลับ ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - องค์กรอาจสูญเสียการควบคุมข้อมูลสำคัญ หากพนักงานใช้ AI โดยไม่มีมาตรการป้องกัน - 52% ของพนักงานเชื่อว่าการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหมายถึงการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน - องค์กรต้องพัฒนาแนวทางการใช้ AI ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและจริยธรรม AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร แต่หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร องค์กรควร ส่งเสริมการใช้ AI อย่างโปร่งใสและมีมาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/03/ai-is-becoming-a-secret-weapon-for-workers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI is becoming a secret weapon for workers
    Artificial intelligence is gradually becoming part of everyday working life, promising productivity gains and a transformation of working methods. Between enthusiasm and caution, companies are trying to harness this revolutionary technology and integrate it into their processes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔒 VeraCrypt อัปเดตใหม่! ปิดกั้น Microsoft Recall และเครื่องมือบันทึกหน้าจอ
    VeraCrypt ซึ่งเป็น เครื่องมือเข้ารหัสข้อมูลแบบ on-the-fly ได้เปิดตัว เวอร์ชัน 1.26.24 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ โดยเฉพาะ Microsoft Recall ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในด้านความเป็นส่วนตัว

    Microsoft Recall เป็นฟีเจอร์ที่ จับภาพหน้าจอของผู้ใช้ทุก ๆ 5 วินาที และส่งข้อมูลไปยัง AI บนเครื่อง เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวต่างเตือนว่าฟีเจอร์นี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อข้อมูลส่วนบุคคล

    VeraCrypt ได้เพิ่ม "screen protection" ซึ่งช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจากเครื่องมือของ Windows และแอปของบุคคลที่สาม โดยค่าเริ่มต้นจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ แต่ผู้ใช้สามารถปิดได้หากต้องการ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - VeraCrypt เวอร์ชัน 1.26.24 เพิ่มฟีเจอร์ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ
    - Microsoft Recall จับภาพหน้าจอทุก 5 วินาที และใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง
    - ฟีเจอร์ "screen protection" ของ VeraCrypt ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจาก Windows และแอปของบุคคลที่สาม
    - VeraCrypt สามารถเข้ารหัสพาร์ติชันหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทั้งระบบด้วย pre-boot authentication
    - Signal เป็นอีกหนึ่งแอปที่บล็อกการจับภาพหน้าจอจาก Microsoft Recall

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Microsoft Recall ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    - แม้ VeraCrypt จะปิดกั้นการจับภาพหน้าจอ แต่ผู้ใช้ต้องตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม
    - การปิดกั้นการจับภาพหน้าจออาจส่งผลต่อการใช้งานบางแอปที่ต้องใช้ฟีเจอร์นี้
    - ต้องติดตามว่า Microsoft จะปรับปรุง Recall ให้มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีขึ้นหรือไม่

    การอัปเดตนี้ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากการถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะตอบสนองต่อข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108149-encryption-utility-veracrypt-now-disables-microsoft-recall-other.html
    🔒 VeraCrypt อัปเดตใหม่! ปิดกั้น Microsoft Recall และเครื่องมือบันทึกหน้าจอ VeraCrypt ซึ่งเป็น เครื่องมือเข้ารหัสข้อมูลแบบ on-the-fly ได้เปิดตัว เวอร์ชัน 1.26.24 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ โดยเฉพาะ Microsoft Recall ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในด้านความเป็นส่วนตัว Microsoft Recall เป็นฟีเจอร์ที่ จับภาพหน้าจอของผู้ใช้ทุก ๆ 5 วินาที และส่งข้อมูลไปยัง AI บนเครื่อง เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวต่างเตือนว่าฟีเจอร์นี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อข้อมูลส่วนบุคคล VeraCrypt ได้เพิ่ม "screen protection" ซึ่งช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจากเครื่องมือของ Windows และแอปของบุคคลที่สาม โดยค่าเริ่มต้นจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ แต่ผู้ใช้สามารถปิดได้หากต้องการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - VeraCrypt เวอร์ชัน 1.26.24 เพิ่มฟีเจอร์ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ - Microsoft Recall จับภาพหน้าจอทุก 5 วินาที และใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง - ฟีเจอร์ "screen protection" ของ VeraCrypt ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจาก Windows และแอปของบุคคลที่สาม - VeraCrypt สามารถเข้ารหัสพาร์ติชันหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทั้งระบบด้วย pre-boot authentication - Signal เป็นอีกหนึ่งแอปที่บล็อกการจับภาพหน้าจอจาก Microsoft Recall ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Microsoft Recall ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ - แม้ VeraCrypt จะปิดกั้นการจับภาพหน้าจอ แต่ผู้ใช้ต้องตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม - การปิดกั้นการจับภาพหน้าจออาจส่งผลต่อการใช้งานบางแอปที่ต้องใช้ฟีเจอร์นี้ - ต้องติดตามว่า Microsoft จะปรับปรุง Recall ให้มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีขึ้นหรือไม่ การอัปเดตนี้ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากการถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะตอบสนองต่อข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวอย่างไร https://www.techspot.com/news/108149-encryption-utility-veracrypt-now-disables-microsoft-recall-other.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Encryption utility VeraCrypt now disables Microsoft Recall and other screen recording tools by default
    VeraCrypt has become a bit more resistant to Recall. The on-the-fly encryption tool, which emerged from the ashes of TrueCrypt, recently released version 1.26.24 with new features...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚖️ ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า AI Chatbot ไม่มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
    กรณีการเสียชีวิตของวัยรุ่นที่มีปฏิสัมพันธ์กับ AI Chatbot ได้สร้างคำถามทางกฎหมายเกี่ยวกับ สิทธิในการแสดงออกและความรับผิดชอบของ AI ล่าสุด ผู้พิพากษา Anne Conway ได้ตัดสินว่า AI Chatbot ไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

    Megan Garcia ได้ยื่นฟ้อง Character.ai หลังจากที่ Sewell Setzer III ลูกชายวัย 14 ปีของเธอเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โดยอ้างว่า Chatbot ที่จำลองตัวละคร Daenerys Targaryen จาก Game of Thrones มีบทบาทในการกระตุ้นให้เขาทำร้ายตัวเอง

    Character Technologies และผู้ก่อตั้ง Daniel De Freitas และ Noam Shazeer ได้ยื่นคำร้องให้ยกฟ้องคดี แต่ศาลปฏิเสธ โดยระบุว่า AI Chatbot ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองภายใต้ First Amendment เนื่องจาก ไม่ได้เป็นการแสดงออกของมนุษย์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า AI Chatbot ไม่มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
    - Megan Garcia ฟ้อง Character.ai หลังจากลูกชายของเธอเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย
    - Chatbot ที่จำลองตัวละคร Daenerys Targaryen ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการกระตุ้นให้เด็กทำร้ายตัวเอง
    - Character Technologies ยื่นคำร้องให้ยกฟ้องคดี แต่ศาลปฏิเสธ
    - ศาลระบุว่า AI Chatbot ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองภายใต้ First Amendment

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI Chatbot อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้ โดยเฉพาะวัยรุ่น
    - การใช้ AI ในการจำลองตัวละครที่มีอิทธิพลอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่คาดคิด
    - ต้องมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันไม่ให้ AI Chatbot ส่งผลเสียต่อผู้ใช้
    - Character.ai ได้เพิ่มมาตรการป้องกัน เช่น AI สำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และข้อความแจ้งเตือนเกี่ยวกับสายด่วนป้องกันการฆ่าตัวตาย

    คดีนี้อาจเป็น จุดเริ่มต้นของการกำหนดมาตรฐานทางกฎหมายสำหรับ AI Chatbot และ อาจส่งผลต่อแนวทางการพัฒนา AI ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าคดีนี้จะส่งผลต่อการกำกับดูแล AI อย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108152-judge-rules-characterai-chatbot-not-protected-first-amendment.html
    ⚖️ ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า AI Chatbot ไม่มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ กรณีการเสียชีวิตของวัยรุ่นที่มีปฏิสัมพันธ์กับ AI Chatbot ได้สร้างคำถามทางกฎหมายเกี่ยวกับ สิทธิในการแสดงออกและความรับผิดชอบของ AI ล่าสุด ผู้พิพากษา Anne Conway ได้ตัดสินว่า AI Chatbot ไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ Megan Garcia ได้ยื่นฟ้อง Character.ai หลังจากที่ Sewell Setzer III ลูกชายวัย 14 ปีของเธอเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โดยอ้างว่า Chatbot ที่จำลองตัวละคร Daenerys Targaryen จาก Game of Thrones มีบทบาทในการกระตุ้นให้เขาทำร้ายตัวเอง Character Technologies และผู้ก่อตั้ง Daniel De Freitas และ Noam Shazeer ได้ยื่นคำร้องให้ยกฟ้องคดี แต่ศาลปฏิเสธ โดยระบุว่า AI Chatbot ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองภายใต้ First Amendment เนื่องจาก ไม่ได้เป็นการแสดงออกของมนุษย์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า AI Chatbot ไม่มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ - Megan Garcia ฟ้อง Character.ai หลังจากลูกชายของเธอเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย - Chatbot ที่จำลองตัวละคร Daenerys Targaryen ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการกระตุ้นให้เด็กทำร้ายตัวเอง - Character Technologies ยื่นคำร้องให้ยกฟ้องคดี แต่ศาลปฏิเสธ - ศาลระบุว่า AI Chatbot ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองภายใต้ First Amendment ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI Chatbot อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้ โดยเฉพาะวัยรุ่น - การใช้ AI ในการจำลองตัวละครที่มีอิทธิพลอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่คาดคิด - ต้องมีมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันไม่ให้ AI Chatbot ส่งผลเสียต่อผู้ใช้ - Character.ai ได้เพิ่มมาตรการป้องกัน เช่น AI สำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และข้อความแจ้งเตือนเกี่ยวกับสายด่วนป้องกันการฆ่าตัวตาย คดีนี้อาจเป็น จุดเริ่มต้นของการกำหนดมาตรฐานทางกฎหมายสำหรับ AI Chatbot และ อาจส่งผลต่อแนวทางการพัฒนา AI ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าคดีนี้จะส่งผลต่อการกำกับดูแล AI อย่างไร https://www.techspot.com/news/108152-judge-rules-characterai-chatbot-not-protected-first-amendment.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Judge rules AI chatbot in teen suicide case is not protected by First Amendment
    Judge Anne Conway of the Middle District of Florida denied Character.ai the ability to present its fictional, artificial intelligence-based characters as entities capable of "speaking" like human...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนประกาศพร้อมดำเนินการทุกขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อบรรลุสันติภาพ ระหว่างการเจรจาหารือกับรัสเซียเป็นครั้งที่ 2 ที่เมืองอิสตันบูล ของตุรกี ในวันจันทร์ (2 มิ.ย.) หรือหนึ่งวันหลังจากที่เคียฟอวดว่า ปฏิบัติการลับใช้กองทัพโดรนโจมตีที่วางแผนมานานกว่าปีของตน สามารถทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดรัสเซียกว่า 40 ลำ ความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นแล้วมอสโกยังเผยว่า เกิดเหตุระเบิดสะพาน 2 แห่งในแดนหมีขาวเมื่อวันเสาร์ (31 พ.ค.) และอาทิตย์ (1) มีผู้เสียชีวิต 7 คน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051820

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ยูเครนประกาศพร้อมดำเนินการทุกขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อบรรลุสันติภาพ ระหว่างการเจรจาหารือกับรัสเซียเป็นครั้งที่ 2 ที่เมืองอิสตันบูล ของตุรกี ในวันจันทร์ (2 มิ.ย.) หรือหนึ่งวันหลังจากที่เคียฟอวดว่า ปฏิบัติการลับใช้กองทัพโดรนโจมตีที่วางแผนมานานกว่าปีของตน สามารถทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดรัสเซียกว่า 40 ลำ ความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นแล้วมอสโกยังเผยว่า เกิดเหตุระเบิดสะพาน 2 แห่งในแดนหมีขาวเมื่อวันเสาร์ (31 พ.ค.) และอาทิตย์ (1) มีผู้เสียชีวิต 7 คน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000051820 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 883 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📱 สมาร์ทโฟนในเกาหลีเหนือ: เครื่องมือเฝ้าระวังของรัฐบาล
    สมาร์ทโฟนที่ถูกลักลอบนำออกจาก เกาหลีเหนือ เผยให้เห็นถึง ระบบเฝ้าระวังที่เข้มงวด ซึ่งรัฐบาลใช้ในการควบคุมประชาชน โดยโทรศัพท์เหล่านี้ จับภาพหน้าจอทุก 5 นาที และบันทึกข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงได้

    แม้สมาร์ทโฟนเหล่านี้จะมีรูปลักษณ์คล้ายกับ Huawei หรือ Honor แต่ซอฟต์แวร์ภายในถูก ปรับแต่งโดยรัฐบาล เพื่อจำกัดการใช้งานและเพิ่มการตรวจสอบ

    หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าตกใจคือ ระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติ ที่เปลี่ยนคำบางคำให้สอดคล้องกับ อุดมการณ์ของรัฐ เช่น
    - คำว่า "Oppa" ซึ่งเป็นคำเรียกพี่ชายหรือแฟนในเกาหลีใต้ ถูกเปลี่ยนเป็น "Comrade"
    - คำว่า "South Korea" ถูกแทนที่ด้วย "Puppet State" ตามภาษาทางการของรัฐบาล

    นอกจากนี้ โทรศัพท์ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และถูกตรวจสอบโดย หน่วยงานพิเศษที่คอยค้นหาสื่อจากต่างประเทศ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - สมาร์ทโฟนในเกาหลีเหนือจับภาพหน้าจอทุก 5 นาที และบันทึกข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้เข้าถึงไม่ได้
    - ซอฟต์แวร์ถูกปรับแต่งโดยรัฐบาลเพื่อจำกัดการใช้งานและเพิ่มการตรวจสอบ
    - ระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติเปลี่ยนคำบางคำให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ของรัฐ
    - โทรศัพท์ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก
    - หน่วยงานพิเศษตรวจสอบโทรศัพท์เพื่อค้นหาสื่อจากต่างประเทศ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ประชาชนในเกาหลีเหนือไม่มีอิสระในการใช้เทคโนโลยี และถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด
    - การใช้คำผิดอาจนำไปสู่การสอบสวนหรือบทลงโทษจากรัฐบาล
    - การลักลอบนำสื่อจากต่างประเทศเข้าไปในประเทศมีความเสี่ยงสูง
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังมากขึ้นในอนาคตหรือไม่

    เทคโนโลยีที่ควรเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อโลกกลับกลายเป็น เครื่องมือเฝ้าระวังของรัฐบาล ซึ่งทำให้ประชาชน ไม่มีอิสระในการสื่อสารและรับข้อมูลจากภายนอก อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามในการลักลอบนำสื่อจากต่างประเทศเข้าไปในประเทศ

    https://www.techspot.com/news/108156-north-korean-smartphone-secretly-takes-screenshot-every-5.html
    📱 สมาร์ทโฟนในเกาหลีเหนือ: เครื่องมือเฝ้าระวังของรัฐบาล สมาร์ทโฟนที่ถูกลักลอบนำออกจาก เกาหลีเหนือ เผยให้เห็นถึง ระบบเฝ้าระวังที่เข้มงวด ซึ่งรัฐบาลใช้ในการควบคุมประชาชน โดยโทรศัพท์เหล่านี้ จับภาพหน้าจอทุก 5 นาที และบันทึกข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้สมาร์ทโฟนเหล่านี้จะมีรูปลักษณ์คล้ายกับ Huawei หรือ Honor แต่ซอฟต์แวร์ภายในถูก ปรับแต่งโดยรัฐบาล เพื่อจำกัดการใช้งานและเพิ่มการตรวจสอบ หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าตกใจคือ ระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติ ที่เปลี่ยนคำบางคำให้สอดคล้องกับ อุดมการณ์ของรัฐ เช่น - คำว่า "Oppa" ซึ่งเป็นคำเรียกพี่ชายหรือแฟนในเกาหลีใต้ ถูกเปลี่ยนเป็น "Comrade" - คำว่า "South Korea" ถูกแทนที่ด้วย "Puppet State" ตามภาษาทางการของรัฐบาล นอกจากนี้ โทรศัพท์ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และถูกตรวจสอบโดย หน่วยงานพิเศษที่คอยค้นหาสื่อจากต่างประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าว - สมาร์ทโฟนในเกาหลีเหนือจับภาพหน้าจอทุก 5 นาที และบันทึกข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้เข้าถึงไม่ได้ - ซอฟต์แวร์ถูกปรับแต่งโดยรัฐบาลเพื่อจำกัดการใช้งานและเพิ่มการตรวจสอบ - ระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติเปลี่ยนคำบางคำให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ของรัฐ - โทรศัพท์ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก - หน่วยงานพิเศษตรวจสอบโทรศัพท์เพื่อค้นหาสื่อจากต่างประเทศ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ประชาชนในเกาหลีเหนือไม่มีอิสระในการใช้เทคโนโลยี และถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด - การใช้คำผิดอาจนำไปสู่การสอบสวนหรือบทลงโทษจากรัฐบาล - การลักลอบนำสื่อจากต่างประเทศเข้าไปในประเทศมีความเสี่ยงสูง - ต้องติดตามว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังมากขึ้นในอนาคตหรือไม่ เทคโนโลยีที่ควรเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อโลกกลับกลายเป็น เครื่องมือเฝ้าระวังของรัฐบาล ซึ่งทำให้ประชาชน ไม่มีอิสระในการสื่อสารและรับข้อมูลจากภายนอก อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามในการลักลอบนำสื่อจากต่างประเทศเข้าไปในประเทศ https://www.techspot.com/news/108156-north-korean-smartphone-secretly-takes-screenshot-every-5.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    In North Korea, your phone secretly takes screenshots every 5 minutes for government surveillance
    The phone was featured in a BBC video, which showed it powering on with an animated North Korean flag waving across the screen. While the report did...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌕 กล้องโทรทรรศน์ที่ไกลที่สุด: NASA เตรียมสร้างหอดูดาวบนดวงจันทร์
    NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) ซึ่งเป็น กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ตั้งอยู่บนด้านไกลของดวงจันทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น

    LCRT จะใช้ โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต ที่ถูกแขวนไว้ภายใน ปล่องภูเขาไฟบนดวงจันทร์ โดยอาศัย หุ่นยนต์ขั้นสูง ในการติดตั้งและควบคุมระบบ

    ด้านไกลของดวงจันทร์เป็น สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ เนื่องจาก ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก เช่น คลื่นวิทยุจากดาวเทียมและมลภาวะทางแสง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) บนด้านไกลของดวงจันทร์
    - กล้องโทรทรรศน์นี้จะใช้โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต แขวนไว้ในปล่องภูเขาไฟ
    - ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก
    - โครงการนี้มีงบประมาณกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ และอาจเริ่มใช้งานในช่วงปี 2030
    - LCRT จะช่วยให้สามารถศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องแข่งขันกับงบประมาณของ NASA ที่จำกัด
    - แม้จะมีแผนการติดตั้ง แต่ยังต้องผ่านการทดสอบต้นแบบที่ Owens Valley Radio Observatory ในแคลิฟอร์เนีย
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์จะสามารถรองรับการติดตั้งบนดวงจันทร์ได้หรือไม่
    - การศึกษายุคมืดของจักรวาลต้องใช้เทคนิคใหม่ในการตรวจจับคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นมากกว่า 33 ฟุต

    หากโครงการนี้สำเร็จ LCRT จะเป็นหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจช่วยให้ นักดาราศาสตร์สามารถไขปริศนาเกี่ยวกับสสารมืด, พลังงานมืด และการเกิดขึ้นของจักรวาล

    https://www.techspot.com/news/108147-far-side-moon-may-soon-host-world-most.html
    🌕 กล้องโทรทรรศน์ที่ไกลที่สุด: NASA เตรียมสร้างหอดูดาวบนดวงจันทร์ NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) ซึ่งเป็น กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ตั้งอยู่บนด้านไกลของดวงจันทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น LCRT จะใช้ โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต ที่ถูกแขวนไว้ภายใน ปล่องภูเขาไฟบนดวงจันทร์ โดยอาศัย หุ่นยนต์ขั้นสูง ในการติดตั้งและควบคุมระบบ ด้านไกลของดวงจันทร์เป็น สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ เนื่องจาก ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก เช่น คลื่นวิทยุจากดาวเทียมและมลภาวะทางแสง ✅ ข้อมูลจากข่าว - NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) บนด้านไกลของดวงจันทร์ - กล้องโทรทรรศน์นี้จะใช้โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต แขวนไว้ในปล่องภูเขาไฟ - ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก - โครงการนี้มีงบประมาณกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ และอาจเริ่มใช้งานในช่วงปี 2030 - LCRT จะช่วยให้สามารถศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องแข่งขันกับงบประมาณของ NASA ที่จำกัด - แม้จะมีแผนการติดตั้ง แต่ยังต้องผ่านการทดสอบต้นแบบที่ Owens Valley Radio Observatory ในแคลิฟอร์เนีย - ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์จะสามารถรองรับการติดตั้งบนดวงจันทร์ได้หรือไม่ - การศึกษายุคมืดของจักรวาลต้องใช้เทคนิคใหม่ในการตรวจจับคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นมากกว่า 33 ฟุต หากโครงการนี้สำเร็จ LCRT จะเป็นหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจช่วยให้ นักดาราศาสตร์สามารถไขปริศนาเกี่ยวกับสสารมืด, พลังงานมืด และการเกิดขึ้นของจักรวาล https://www.techspot.com/news/108147-far-side-moon-may-soon-host-world-most.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The far side of the Moon may soon host the world's most sensitive telescope, shielded from earthly interference
    NASA is advancing plans to construct a radio telescope on the Moon's far side – a location uniquely shielded from the ever-increasing interference caused by Earth's expanding...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏭 TSMC กับยุคใหม่ของเซมิคอนดักเตอร์: ราคาชิป 2nm พุ่งสูงถึง $30,000
    TSMC กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดย ชิป 2nm รุ่นล่าสุดมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อเวเฟอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm และอาจเป็นสัญญาณว่า Moore's Law กำลังถึงจุดสิ้นสุด

    TSMC ได้พัฒนา กระบวนการผลิต N2 ซึ่งใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อช่วยลด การรั่วไหลของพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของชิป

    แม้ว่า ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น แต่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm ยังคงวางแผนสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้

    นอกจากนี้ TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027 ตามลำดับ โดย N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10%

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC ตั้งราคาชิป 2nm ที่ $30,000 ต่อเวเฟอร์ เพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm
    - กระบวนการผลิต N2 ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อลดการรั่วไหลของพลังงาน
    - Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm เตรียมสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้
    - TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027
    - N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10%

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ราคาชิปที่สูงขึ้นอาจทำให้เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้
    - Moore's Law อาจถึงจุดสิ้นสุด เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่อทรานซิสเตอร์ไม่ได้ลดลงอีกต่อไป
    - TSMC ต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงงาน 2nm ซึ่งมีต้นทุนสูงถึง $725 ล้าน
    - Intel กำลังพัฒนา A18 node ซึ่งอาจแข่งขันกับ TSMC ในอนาคต

    การพัฒนาเทคโนโลยี 2nm อาจช่วยให้ ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง แต่ราคาที่สูงขึ้นอาจทำให้ เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Intel และผู้ผลิตรายอื่นจะสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108158-tsmc-2nm-wafer-prices-hit-30000-sram-yields.html
    🏭 TSMC กับยุคใหม่ของเซมิคอนดักเตอร์: ราคาชิป 2nm พุ่งสูงถึง $30,000 TSMC กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดย ชิป 2nm รุ่นล่าสุดมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อเวเฟอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm และอาจเป็นสัญญาณว่า Moore's Law กำลังถึงจุดสิ้นสุด TSMC ได้พัฒนา กระบวนการผลิต N2 ซึ่งใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อช่วยลด การรั่วไหลของพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของชิป แม้ว่า ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น แต่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm ยังคงวางแผนสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027 ตามลำดับ โดย N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10% ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC ตั้งราคาชิป 2nm ที่ $30,000 ต่อเวเฟอร์ เพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm - กระบวนการผลิต N2 ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อลดการรั่วไหลของพลังงาน - Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm เตรียมสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้ - TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027 - N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10% ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ราคาชิปที่สูงขึ้นอาจทำให้เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ - Moore's Law อาจถึงจุดสิ้นสุด เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่อทรานซิสเตอร์ไม่ได้ลดลงอีกต่อไป - TSMC ต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงงาน 2nm ซึ่งมีต้นทุนสูงถึง $725 ล้าน - Intel กำลังพัฒนา A18 node ซึ่งอาจแข่งขันกับ TSMC ในอนาคต การพัฒนาเทคโนโลยี 2nm อาจช่วยให้ ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง แต่ราคาที่สูงขึ้นอาจทำให้ เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Intel และผู้ผลิตรายอื่นจะสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้หรือไม่ https://www.techspot.com/news/108158-tsmc-2nm-wafer-prices-hit-30000-sram-yields.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    TSMC's 2nm wafer prices hit $30,000 as SRAM yields reportedly hit 90%
    The Commercial Times reports that TSMC's upcoming N2 2nm semiconductors will cost $30,000 per wafer, a roughly 66% increase over the company's 3nm chips. Future nodes are...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Qualcomm Snapdragon X2 Elite: ชิปใหม่ที่เพิ่มจำนวนคอร์ 50%
    Qualcomm กำลังพัฒนา Snapdragon X2 Elite ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Snapdragon X Elite โดยมีจำนวนคอร์เพิ่มขึ้น 50% และรองรับ RAM สูงสุด 64GB

    Snapdragon X2 Elite ใช้ สถาปัตยกรรม Oryon V3 และมี 18 คอร์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนที่มี 12 คอร์ โดยคาดว่า จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ Qualcomm กำลัง ทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น หม้อน้ำ 120mm AiO ซึ่งอาจบ่งบอกว่า Snapdragon X2 Elite อาจถูกนำไปใช้ในเดสก์ท็อปหรือเซิร์ฟเวอร์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Snapdragon X2 Elite มี 18 คอร์ เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน
    - ใช้สถาปัตยกรรม Oryon V3 และรองรับ RAM สูงสุด 64GB
    - Qualcomm กำลังทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง
    - อาจมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Snapdragon Summit 2025 เดือนกันยายน
    - Qualcomm อาจพยายามขยายตลาดไปยังเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Qualcomm เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิปนี้
    - ต้องติดตามว่าการเพิ่มจำนวนคอร์จะส่งผลต่อการใช้พลังงานและความร้อนอย่างไร
    - AMD และ Intel อาจตอบโต้ด้วยชิปที่มี AI/NPU-enhanced เพื่อแข่งขันในตลาด
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะนำ Snapdragon X2 Elite ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่

    Snapdragon X2 Elite อาจช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ AMD และ Intel ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Windows-on-Arm อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าชิปนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/qualcomm-snapdragon-x2-elite-variant-rumors-surface-new-chip-with-18-cores-and-64gb-ram-is-reportedly-already-in-testing
    🚀 Qualcomm Snapdragon X2 Elite: ชิปใหม่ที่เพิ่มจำนวนคอร์ 50% Qualcomm กำลังพัฒนา Snapdragon X2 Elite ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Snapdragon X Elite โดยมีจำนวนคอร์เพิ่มขึ้น 50% และรองรับ RAM สูงสุด 64GB Snapdragon X2 Elite ใช้ สถาปัตยกรรม Oryon V3 และมี 18 คอร์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนที่มี 12 คอร์ โดยคาดว่า จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ Qualcomm กำลัง ทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น หม้อน้ำ 120mm AiO ซึ่งอาจบ่งบอกว่า Snapdragon X2 Elite อาจถูกนำไปใช้ในเดสก์ท็อปหรือเซิร์ฟเวอร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Snapdragon X2 Elite มี 18 คอร์ เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน - ใช้สถาปัตยกรรม Oryon V3 และรองรับ RAM สูงสุด 64GB - Qualcomm กำลังทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง - อาจมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Snapdragon Summit 2025 เดือนกันยายน - Qualcomm อาจพยายามขยายตลาดไปยังเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Qualcomm เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิปนี้ - ต้องติดตามว่าการเพิ่มจำนวนคอร์จะส่งผลต่อการใช้พลังงานและความร้อนอย่างไร - AMD และ Intel อาจตอบโต้ด้วยชิปที่มี AI/NPU-enhanced เพื่อแข่งขันในตลาด - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะนำ Snapdragon X2 Elite ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ Snapdragon X2 Elite อาจช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ AMD และ Intel ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Windows-on-Arm อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าชิปนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/qualcomm-snapdragon-x2-elite-variant-rumors-surface-new-chip-with-18-cores-and-64gb-ram-is-reportedly-already-in-testing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 เมื่อ Apple Network Server ปี 1996 กลายเป็นเครื่องเล่น DOOM
    ความพยายามของมนุษย์ในการรันเกม DOOM บนอุปกรณ์ทุกชนิดยังคงดำเนินต่อไป ล่าสุด Cameron Kaiser นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายวินเทจ ได้ทำให้เกมนี้สามารถเล่นได้บน Apple Network Server (ANS) รุ่นปี 1996 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ IBM AIX และมีราคาสูงถึง $10,000

    Apple Network Server ไม่สามารถรัน macOS ได้ เนื่องจากใช้ IBM AIX ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่แตกต่างจาก macOS อย่างสิ้นเชิง

    Kaiser ใช้ Doom Generic ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มีข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ต่ำ และติดตั้ง AIXPDSLIB 2.91.66 compiler เพื่อสร้าง Makefile ที่สามารถรันเกมผ่าน remote X

    แม้ว่าจะสามารถเล่น DOOM ผ่าน Apple Remote Desktop ได้อย่างราบรื่นบน Mac แต่การรันเกมบน ANS โดยตรงกลับมีปัญหาเรื่อง สีและความละเอียดหน้าจอ เนื่องจาก ANS รองรับ สูงสุดเพียง 8-bit color depth

    หลังจากปรับปรุง colormap และแก้ไขปัญหาการควบคุม Kaiser สามารถทำให้ DOOM รันบน ANS ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเปลี่ยนจาก CRT monitor เป็น LCD display เพื่อแสดงผลที่ดีขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Cameron Kaiser ทำให้ DOOM รันบน Apple Network Server รุ่นปี 1996 ได้สำเร็จ
    - Apple Network Server ใช้ระบบปฏิบัติการ IBM AIX และไม่สามารถรัน macOS ได้
    - ใช้ Doom Generic และ AIXPDSLIB 2.91.66 compiler ในการพัฒนา
    - สามารถเล่นเกมผ่าน Apple Remote Desktop ได้อย่างราบรื่นบน Mac
    - แก้ไขปัญหาสีและความละเอียดหน้าจอเพื่อให้ DOOM รันบน ANS ได้โดยตรง

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Apple Network Server มีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น RAM สูงสุด 64MB และรองรับเพียง 8-bit color depth
    - การรันเกมบน ANS โดยตรงอาจไม่เหมาะสำหรับการเล่นจริง เนื่องจากข้อจำกัดด้านกราฟิก
    - ต้องใช้ความรู้ด้าน AIX และการพัฒนาเกมเพื่อทำให้ DOOM รันบนระบบที่ไม่รองรับโดยตรง
    - แม้จะสามารถรันเกมได้ แต่ ANS ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการเล่นเกม

    การทำให้ DOOM รันบน Apple Network Server แสดงให้เห็นถึง ความสามารถของนักพัฒนาในการปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์ที่ไม่รองรับโดยตรง และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ ความหลงใหลในเกมคลาสสิกที่ไม่มีวันตาย

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/someone-hacked-an-apple-network-server-to-run-doom-usd10-000-ibm-aix-unit-from-1996-runs-the-game
    🎮 เมื่อ Apple Network Server ปี 1996 กลายเป็นเครื่องเล่น DOOM ความพยายามของมนุษย์ในการรันเกม DOOM บนอุปกรณ์ทุกชนิดยังคงดำเนินต่อไป ล่าสุด Cameron Kaiser นักพัฒนาและบล็อกเกอร์สายวินเทจ ได้ทำให้เกมนี้สามารถเล่นได้บน Apple Network Server (ANS) รุ่นปี 1996 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ IBM AIX และมีราคาสูงถึง $10,000 Apple Network Server ไม่สามารถรัน macOS ได้ เนื่องจากใช้ IBM AIX ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่แตกต่างจาก macOS อย่างสิ้นเชิง Kaiser ใช้ Doom Generic ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มีข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ต่ำ และติดตั้ง AIXPDSLIB 2.91.66 compiler เพื่อสร้าง Makefile ที่สามารถรันเกมผ่าน remote X แม้ว่าจะสามารถเล่น DOOM ผ่าน Apple Remote Desktop ได้อย่างราบรื่นบน Mac แต่การรันเกมบน ANS โดยตรงกลับมีปัญหาเรื่อง สีและความละเอียดหน้าจอ เนื่องจาก ANS รองรับ สูงสุดเพียง 8-bit color depth หลังจากปรับปรุง colormap และแก้ไขปัญหาการควบคุม Kaiser สามารถทำให้ DOOM รันบน ANS ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเปลี่ยนจาก CRT monitor เป็น LCD display เพื่อแสดงผลที่ดีขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Cameron Kaiser ทำให้ DOOM รันบน Apple Network Server รุ่นปี 1996 ได้สำเร็จ - Apple Network Server ใช้ระบบปฏิบัติการ IBM AIX และไม่สามารถรัน macOS ได้ - ใช้ Doom Generic และ AIXPDSLIB 2.91.66 compiler ในการพัฒนา - สามารถเล่นเกมผ่าน Apple Remote Desktop ได้อย่างราบรื่นบน Mac - แก้ไขปัญหาสีและความละเอียดหน้าจอเพื่อให้ DOOM รันบน ANS ได้โดยตรง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Apple Network Server มีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น RAM สูงสุด 64MB และรองรับเพียง 8-bit color depth - การรันเกมบน ANS โดยตรงอาจไม่เหมาะสำหรับการเล่นจริง เนื่องจากข้อจำกัดด้านกราฟิก - ต้องใช้ความรู้ด้าน AIX และการพัฒนาเกมเพื่อทำให้ DOOM รันบนระบบที่ไม่รองรับโดยตรง - แม้จะสามารถรันเกมได้ แต่ ANS ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับการเล่นเกม การทำให้ DOOM รันบน Apple Network Server แสดงให้เห็นถึง ความสามารถของนักพัฒนาในการปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์ที่ไม่รองรับโดยตรง และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ ความหลงใหลในเกมคลาสสิกที่ไม่มีวันตาย https://www.tomshardware.com/desktops/servers/someone-hacked-an-apple-network-server-to-run-doom-usd10-000-ibm-aix-unit-from-1996-runs-the-game
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
    หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง

    B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน

    แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ
    - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs
    - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs
    - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU
    - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร
    - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน
    - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo

    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM
    - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
    - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่
    - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM
    - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027
    - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่
    - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM
    - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

    หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/news/live/chip-news
    🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027 - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร https://www.tomshardware.com/news/live/chip-news
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 RTX 50-Series X3W Max: นวัตกรรมใหม่ของ AX Gaming
    AX Gaming ได้เปิดตัว X3W Max series ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดในตระกูล RTX 50-Series ที่มาพร้อมกับ ดีไซน์พิเศษซ่อนสายไฟ 16-pin หลังแผงแม่เหล็ก

    X3W Max ใช้ พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin (12VHPWR) ที่ถูกออกแบบให้ ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก ทำให้สามารถ ติดตั้งและถอดสายไฟได้ง่ายขึ้น

    แม้ว่าจะมีการออกแบบที่คล้ายกับกราฟิกการ์ด Blackwell รุ่นอื่น ๆ แต่ AX Gaming ได้เพิ่มการโอเวอร์คล็อกเล็กน้อย ประมาณ 2-3% เหนือกว่ามาตรฐานของ Nvidia

    นอกจากนี้ X3W Max ยังมีระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และมาใน สีขาวล้วน ซึ่งช่วยให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AX Gaming เปิดตัว X3W Max series ในตระกูล RTX 50-Series
    - ใช้พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin ที่ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก
    - มีการโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้น 2-3% จากมาตรฐานของ Nvidia
    - ระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และดีไซน์สีขาวล้วน
    - แนะนำให้ใช้ PSU ขนาด 850W สำหรับ RTX 5080 X3W Max และ 800W สำหรับ RTX 5070 Ti X3W Max

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปลายสายไฟ 16-pin ว่าจะเป็นแบบ 16-pin หรือ 8-pin PCIe
    - AX Gaming ไม่ได้เปิดตัว RTX 5090D เนื่องจากถูกแบนในจีน
    - ต้องติดตามว่า Nvidia จะลดสเปคของ RTX 5090D เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังจีนได้หรือไม่
    - AX Gaming ยังไม่ได้ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของ X3W Max series

    X3W Max เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ กราฟิกการ์ดที่มีดีไซน์เรียบหรูและระบบจัดการสายไฟที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะได้รับความนิยมในตลาดหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/this-rtx-50-series-gpu-design-hides-its-custom-l-shaped-16-pin-power-cable-behind-a-magnetic-shroud
    🎮 RTX 50-Series X3W Max: นวัตกรรมใหม่ของ AX Gaming AX Gaming ได้เปิดตัว X3W Max series ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดในตระกูล RTX 50-Series ที่มาพร้อมกับ ดีไซน์พิเศษซ่อนสายไฟ 16-pin หลังแผงแม่เหล็ก X3W Max ใช้ พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin (12VHPWR) ที่ถูกออกแบบให้ ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก ทำให้สามารถ ติดตั้งและถอดสายไฟได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะมีการออกแบบที่คล้ายกับกราฟิกการ์ด Blackwell รุ่นอื่น ๆ แต่ AX Gaming ได้เพิ่มการโอเวอร์คล็อกเล็กน้อย ประมาณ 2-3% เหนือกว่ามาตรฐานของ Nvidia นอกจากนี้ X3W Max ยังมีระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และมาใน สีขาวล้วน ซึ่งช่วยให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AX Gaming เปิดตัว X3W Max series ในตระกูล RTX 50-Series - ใช้พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin ที่ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก - มีการโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้น 2-3% จากมาตรฐานของ Nvidia - ระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และดีไซน์สีขาวล้วน - แนะนำให้ใช้ PSU ขนาด 850W สำหรับ RTX 5080 X3W Max และ 800W สำหรับ RTX 5070 Ti X3W Max ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปลายสายไฟ 16-pin ว่าจะเป็นแบบ 16-pin หรือ 8-pin PCIe - AX Gaming ไม่ได้เปิดตัว RTX 5090D เนื่องจากถูกแบนในจีน - ต้องติดตามว่า Nvidia จะลดสเปคของ RTX 5090D เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังจีนได้หรือไม่ - AX Gaming ยังไม่ได้ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของ X3W Max series X3W Max เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ กราฟิกการ์ดที่มีดีไซน์เรียบหรูและระบบจัดการสายไฟที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะได้รับความนิยมในตลาดหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/this-rtx-50-series-gpu-design-hides-its-custom-l-shaped-16-pin-power-cable-behind-a-magnetic-shroud
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว