• Microsoft ได้เปิดตัว Windows Hotpatch บน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดตความปลอดภัยได้ทันทีโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง ฟีเจอร์นี้เคยมีเฉพาะบน Windows Server แต่ตอนนี้เริ่มถูกนำมาใช้กับ Windows 11 Enterprise เพื่อให้การอัปเดตเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น

    Windows Hotpatch ทำงานอย่างไร?
    - แทนที่จะต้องรีบูตเครื่องทุกครั้งเมื่อมีอัปเดตสำคัญ Windows Hotpatch จะใช้เทคนิคการอัปเดตกระบวนการที่ทำงานอยู่ในหน่วยความจำ (in-memory processes)
    - ผู้ใช้ยังต้องรีสตาร์ททุก ๆ 3 เดือน เพื่อรับ Baseline Update แต่ Hotpatches รายเดือนจะไม่ต้องรีบูตเครื่อง

    ข้อดีสำหรับองค์กร
    - IT Admin ไม่ต้องกังวลว่าพนักงานจะ เลื่อนการอัปเดตออกไป
    - ช่วยลดปัญหาที่เกิดจาก ระบบที่ยังไม่ได้รับแพตช์ล่าสุด และทำให้ระบบมีความปลอดภัยสูงขึ้น

    ข้อจำกัดของ Windows Hotpatch
    - รองรับเฉพาะ Windows 11 Enterprise เวอร์ชัน 24H2 เช่น Enterprise E3, E5, F3 และ Education A3, A5
    - Windows 11 Home และ Professional ไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้
    - อุปกรณ์ที่ใช้ ARM CPUs ยังอยู่ในช่วงทดลอง และต้องรออัปเดตเพิ่มเติมจาก Microsoft

    Microsoft กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่สำหรับทุกเวอร์ชันของ Windows 11
    - Quick Machine Recovery (QMR) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แก้ไขเครื่องที่บูตไม่ติดโดยติดตั้งแพตช์จาก Windows RE
    - QMR อยู่ระหว่างการทดสอบ และจะรองรับ Windows 11 Home และ Professional

    https://www.neowin.net/news/windows-11-can-now-install-security-updates-without-asking-you-to-reboot/
    Microsoft ได้เปิดตัว Windows Hotpatch บน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดตความปลอดภัยได้ทันทีโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง ฟีเจอร์นี้เคยมีเฉพาะบน Windows Server แต่ตอนนี้เริ่มถูกนำมาใช้กับ Windows 11 Enterprise เพื่อให้การอัปเดตเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น ✅ Windows Hotpatch ทำงานอย่างไร? - แทนที่จะต้องรีบูตเครื่องทุกครั้งเมื่อมีอัปเดตสำคัญ Windows Hotpatch จะใช้เทคนิคการอัปเดตกระบวนการที่ทำงานอยู่ในหน่วยความจำ (in-memory processes) - ผู้ใช้ยังต้องรีสตาร์ททุก ๆ 3 เดือน เพื่อรับ Baseline Update แต่ Hotpatches รายเดือนจะไม่ต้องรีบูตเครื่อง ✅ ข้อดีสำหรับองค์กร - IT Admin ไม่ต้องกังวลว่าพนักงานจะ เลื่อนการอัปเดตออกไป - ช่วยลดปัญหาที่เกิดจาก ระบบที่ยังไม่ได้รับแพตช์ล่าสุด และทำให้ระบบมีความปลอดภัยสูงขึ้น ✅ ข้อจำกัดของ Windows Hotpatch - รองรับเฉพาะ Windows 11 Enterprise เวอร์ชัน 24H2 เช่น Enterprise E3, E5, F3 และ Education A3, A5 - Windows 11 Home และ Professional ไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ - อุปกรณ์ที่ใช้ ARM CPUs ยังอยู่ในช่วงทดลอง และต้องรออัปเดตเพิ่มเติมจาก Microsoft ✅ Microsoft กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่สำหรับทุกเวอร์ชันของ Windows 11 - Quick Machine Recovery (QMR) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แก้ไขเครื่องที่บูตไม่ติดโดยติดตั้งแพตช์จาก Windows RE - QMR อยู่ระหว่างการทดสอบ และจะรองรับ Windows 11 Home และ Professional https://www.neowin.net/news/windows-11-can-now-install-security-updates-without-asking-you-to-reboot/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows 11 can now install security updates without asking you to reboot
    Are you tired of Windows 11 constantly asking you to restart to apply updates? Good news: the latest feature is here to fix that, but there is a catch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท AI Anthropic ได้เปิดตัว Claude for Education ซึ่งช่วยให้นักศึกษาพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์แทนการรับคำตอบตรง ๆ ฟีเจอร์ Learning Mode จะตั้งคำถามให้นักศึกษาคิดเอง Claude ยังช่วย ออกแบบหลักสูตร, ให้คะแนนงานเขียน และช่วยฝ่ายบริหารจัดการข้อมูลนักศึกษา ล่าสุดมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง London School of Economics และ Northeastern University ได้นำ Claude มาใช้กับนักศึกษาทุกคน

    Learning Mode คืออะไร?
    - ช่วยให้นักศึกษาใช้เหตุผลแทนการรับคำตอบโดยตรง
    - Claude จะถามเช่น "คุณจะเข้าถึงปัญหานี้อย่างไร?" หรือ "หลักฐานอะไรสนับสนุนข้อสรุปของคุณ?" เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้คิดเองก่อน

    Claude สามารถช่วยนักศึกษาจัดทำเอกสารและศึกษาข้อมูลได้
    - สร้างโครงร่างงานวิจัย พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับหลักการสำคัญ
    - จัดทำ Study Guides เพื่อช่วยให้เข้าใจหัวข้อยาก ๆ ได้ง่ายขึ้น
    - ช่วยอาจารย์ออกแบบหลักสูตรและให้คะแนนงานเขียนของนักศึกษา

    ช่วยฝ่ายบริหารวิเคราะห์ข้อมูลการลงทะเบียนและตอบอีเมลอัตโนมัติ
    - สามารถ แปลงเอกสารนโยบายเป็นรูปแบบ FAQ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
    - ช่วยมหาวิทยาลัยวิเคราะห์แนวโน้มการลงทะเบียน และบริหารจัดการข้อมูล

    Claude ได้รับการใช้งานในมหาวิทยาลัยชั้นนำแล้ว
    - London School of Economics (LSE), Northeastern University และ Champlain College ได้เซ็นสัญญาให้ใช้ Claude กับนักศึกษาทุกคน
    - Northeastern University เป็นมหาวิทยาลัยแรกในสหรัฐฯ ที่มีหลักสูตรเน้น AI อย่างจริงจัง

    เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมโครงการนักพัฒนาและได้รับทุนสนับสนุน
    - Anthropic เปิดโปรแกรม Campus Ambassadors ให้ผู้ใช้ทำงานร่วมกับทีม AI เพื่อพัฒนาโครงการ
    - นักศึกษาที่สร้างโปรเจ็กต์กับ Claude สามารถขอ ทุน API Credits เพื่อพัฒนางานของตนเอง

    https://www.neowin.net/news/anthropics-claude-ai-now-prompts-students-to-do-the-thinking-part/
    บริษัท AI Anthropic ได้เปิดตัว Claude for Education ซึ่งช่วยให้นักศึกษาพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์แทนการรับคำตอบตรง ๆ ฟีเจอร์ Learning Mode จะตั้งคำถามให้นักศึกษาคิดเอง Claude ยังช่วย ออกแบบหลักสูตร, ให้คะแนนงานเขียน และช่วยฝ่ายบริหารจัดการข้อมูลนักศึกษา ล่าสุดมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง London School of Economics และ Northeastern University ได้นำ Claude มาใช้กับนักศึกษาทุกคน ✅ Learning Mode คืออะไร? - ช่วยให้นักศึกษาใช้เหตุผลแทนการรับคำตอบโดยตรง - Claude จะถามเช่น "คุณจะเข้าถึงปัญหานี้อย่างไร?" หรือ "หลักฐานอะไรสนับสนุนข้อสรุปของคุณ?" เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้คิดเองก่อน ✅ Claude สามารถช่วยนักศึกษาจัดทำเอกสารและศึกษาข้อมูลได้ - สร้างโครงร่างงานวิจัย พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับหลักการสำคัญ - จัดทำ Study Guides เพื่อช่วยให้เข้าใจหัวข้อยาก ๆ ได้ง่ายขึ้น - ช่วยอาจารย์ออกแบบหลักสูตรและให้คะแนนงานเขียนของนักศึกษา ✅ ช่วยฝ่ายบริหารวิเคราะห์ข้อมูลการลงทะเบียนและตอบอีเมลอัตโนมัติ - สามารถ แปลงเอกสารนโยบายเป็นรูปแบบ FAQ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น - ช่วยมหาวิทยาลัยวิเคราะห์แนวโน้มการลงทะเบียน และบริหารจัดการข้อมูล ✅ Claude ได้รับการใช้งานในมหาวิทยาลัยชั้นนำแล้ว - London School of Economics (LSE), Northeastern University และ Champlain College ได้เซ็นสัญญาให้ใช้ Claude กับนักศึกษาทุกคน - Northeastern University เป็นมหาวิทยาลัยแรกในสหรัฐฯ ที่มีหลักสูตรเน้น AI อย่างจริงจัง ✅ เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมโครงการนักพัฒนาและได้รับทุนสนับสนุน - Anthropic เปิดโปรแกรม Campus Ambassadors ให้ผู้ใช้ทำงานร่วมกับทีม AI เพื่อพัฒนาโครงการ - นักศึกษาที่สร้างโปรเจ็กต์กับ Claude สามารถขอ ทุน API Credits เพื่อพัฒนางานของตนเอง https://www.neowin.net/news/anthropics-claude-ai-now-prompts-students-to-do-the-thinking-part/
    WWW.NEOWIN.NET
    Anthropic's Claude AI now prompts students to do the thinking part
    Anthropic's new Learning Mode for the Claude chatbot allows humans to do the thinking part. It's available through a new education offering.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังปรับโครงสร้าง ทีม AI อย่างมีนัยสำคัญ โดย Sissie Hsiao ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา Bard และ Gemini ได้ประกาศลงจากตำแหน่ง พร้อมส่งต่อบทบาทให้ Josh Woodward ผู้บริหารจาก Google Labs

    Sissie Hsiao มีบทบาทสำคัญในการเปิดตัว Bard และ Gemini
    - เธอเข้ามารับผิดชอบ โครงการ Bard ในช่วงที่ ChatGPT เริ่มได้รับความนิยม
    - เปิดตัว Bard ภายใน 100 วัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ Google ต้องเร่งพัฒนาอย่างมาก

    Gemini ถูกย้ายไปอยู่ภายใต้ DeepMind ตั้งแต่ปี 2024
    - ทีมพัฒนา Gemini ถูกควบรวมเข้ากับ DeepMind ซึ่งเป็นแผนกวิจัย AI ระดับสูงของ Google
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ Google สามารถรวมการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เข้าด้วยกัน

    Josh Woodward คือใคร และจะนำ Gemini ไปในทิศทางไหน?
    - Woodward มีบทบาทสำคัญในการสร้าง NotebookLM ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI ที่ช่วยจัดระเบียบและสรุปข้อมูลสำหรับงานวิจัย
    - คาดว่าเขาจะนำ Gemini มุ่งเน้นไปที่การใช้งานในเชิงลึกและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม

    Hsiao จะกลับมารับบทบาทใหม่ใน Google แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด
    - แม้จะก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าทีม Gemini เธอไม่ได้ออกจากบริษัท
    - ยังไม่มีการระบุว่าเธอจะทำงานด้านใดต่อไป

    Google อยู่ภายใต้แรงกดดันจาก OpenAI และ Anthropic
    - การปรับโครงสร้างเกิดขึ้น ในช่วงที่การแข่งขัน AI รุนแรงที่สุด
    - Google ต้องการ สร้างความได้เปรียบเหนือ OpenAI และบริษัทอื่น ๆ

    https://www.neowin.net/news/sissie-hsiao-steps-down-as-gemini-lead-amid-googles-ai-reshuffle/
    Google กำลังปรับโครงสร้าง ทีม AI อย่างมีนัยสำคัญ โดย Sissie Hsiao ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา Bard และ Gemini ได้ประกาศลงจากตำแหน่ง พร้อมส่งต่อบทบาทให้ Josh Woodward ผู้บริหารจาก Google Labs ✅ Sissie Hsiao มีบทบาทสำคัญในการเปิดตัว Bard และ Gemini - เธอเข้ามารับผิดชอบ โครงการ Bard ในช่วงที่ ChatGPT เริ่มได้รับความนิยม - เปิดตัว Bard ภายใน 100 วัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ Google ต้องเร่งพัฒนาอย่างมาก ✅ Gemini ถูกย้ายไปอยู่ภายใต้ DeepMind ตั้งแต่ปี 2024 - ทีมพัฒนา Gemini ถูกควบรวมเข้ากับ DeepMind ซึ่งเป็นแผนกวิจัย AI ระดับสูงของ Google - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ Google สามารถรวมการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เข้าด้วยกัน ✅ Josh Woodward คือใคร และจะนำ Gemini ไปในทิศทางไหน? - Woodward มีบทบาทสำคัญในการสร้าง NotebookLM ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI ที่ช่วยจัดระเบียบและสรุปข้อมูลสำหรับงานวิจัย - คาดว่าเขาจะนำ Gemini มุ่งเน้นไปที่การใช้งานในเชิงลึกและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม ✅ Hsiao จะกลับมารับบทบาทใหม่ใน Google แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด - แม้จะก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าทีม Gemini เธอไม่ได้ออกจากบริษัท - ยังไม่มีการระบุว่าเธอจะทำงานด้านใดต่อไป ✅ Google อยู่ภายใต้แรงกดดันจาก OpenAI และ Anthropic - การปรับโครงสร้างเกิดขึ้น ในช่วงที่การแข่งขัน AI รุนแรงที่สุด - Google ต้องการ สร้างความได้เปรียบเหนือ OpenAI และบริษัทอื่น ๆ https://www.neowin.net/news/sissie-hsiao-steps-down-as-gemini-lead-amid-googles-ai-reshuffle/
    WWW.NEOWIN.NET
    Sissie Hsiao steps down as Gemini lead amid Google's AI reshuffle
    Sissie Hsiao, who led the development of Bard (now Gemini), is stepping down, with Josh Woodward set to take over.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nintendo ได้เปิดเผยรายละเอียดของ Switch 2 ในงาน Nintendo Direct ล่าสุด โดยแม้ว่าคอนโซลรุ่นใหม่นี้จะมี แบตเตอรี่ความจุสูงขึ้น แต่กลับมี เวลาการเล่นลดลง เมื่อเทียบกับ Switch รุ่นแรก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพพลังงานของเครื่อง

    Switch 2 ใช้แบตเตอรี่ 5220mAh แต่มีเวลาการเล่น 2-6.5 ชั่วโมง
    - เปรียบเทียบกับ Switch รุ่นแรกที่ใช้แบตเตอรี่ 4310mAh และเล่นได้ 4.5-9 ชั่วโมง
    - Switch Lite (แบตเตอรี่ 3570mAh) ยังมีเวลาการเล่น 3-7 ชั่วโมง มากกว่ารุ่นใหม่บางช่วง

    Nintendo อาจแลกเปลี่ยนแบตเตอรี่กับพลังประมวลผลที่สูงขึ้น
    - Switch 2 ใช้ ชิป NVIDIA รุ่นใหม่ ซึ่งอาจทำให้ การใช้พลังงานสูงขึ้น
    - หน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 7.9 นิ้ว 1080p อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กินแบตมากกว่าเดิม

    ระยะเวลาชาร์จของ Switch 2 และ Joy-Con รุ่นใหม่
    - Switch 2 ใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมงในโหมด Sleep
    - Joy-Con ใหม่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที และสามารถใช้งานได้นาน 20 ชั่วโมง

    Switch 2 จะได้รับเกมระดับ AAA มากมาย
    - Elden Ring 2, Cyberpunk 2077, Star Wars Outlaws, Hogwarts Legacy, Hitman, Split Fiction, Street Fighter 6
    - เกมพิเศษจาก FromSoftware และ อัปเกรดแบบเสียเงินสำหรับ Zelda Breath of the Wild & Tears of the Kingdom

    กำหนดการวางจำหน่ายและราคา
    - Switch 2 จะวางจำหน่ายวันที่ 5 มิถุนายน 2025
    - ราคาอยู่ที่ $449.99 และมี Bundle พร้อม Mario Kart World ราคา $499.99

    https://www.neowin.net/news/switch-2-will-have-hours-of-less-play-time-than-the-original-switch-despite-larger-battery/
    Nintendo ได้เปิดเผยรายละเอียดของ Switch 2 ในงาน Nintendo Direct ล่าสุด โดยแม้ว่าคอนโซลรุ่นใหม่นี้จะมี แบตเตอรี่ความจุสูงขึ้น แต่กลับมี เวลาการเล่นลดลง เมื่อเทียบกับ Switch รุ่นแรก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพพลังงานของเครื่อง ✅ Switch 2 ใช้แบตเตอรี่ 5220mAh แต่มีเวลาการเล่น 2-6.5 ชั่วโมง - เปรียบเทียบกับ Switch รุ่นแรกที่ใช้แบตเตอรี่ 4310mAh และเล่นได้ 4.5-9 ชั่วโมง - Switch Lite (แบตเตอรี่ 3570mAh) ยังมีเวลาการเล่น 3-7 ชั่วโมง มากกว่ารุ่นใหม่บางช่วง ✅ Nintendo อาจแลกเปลี่ยนแบตเตอรี่กับพลังประมวลผลที่สูงขึ้น - Switch 2 ใช้ ชิป NVIDIA รุ่นใหม่ ซึ่งอาจทำให้ การใช้พลังงานสูงขึ้น - หน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 7.9 นิ้ว 1080p อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กินแบตมากกว่าเดิม ✅ ระยะเวลาชาร์จของ Switch 2 และ Joy-Con รุ่นใหม่ - Switch 2 ใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมงในโหมด Sleep - Joy-Con ใหม่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที และสามารถใช้งานได้นาน 20 ชั่วโมง ✅ Switch 2 จะได้รับเกมระดับ AAA มากมาย - Elden Ring 2, Cyberpunk 2077, Star Wars Outlaws, Hogwarts Legacy, Hitman, Split Fiction, Street Fighter 6 - เกมพิเศษจาก FromSoftware และ อัปเกรดแบบเสียเงินสำหรับ Zelda Breath of the Wild & Tears of the Kingdom ✅ กำหนดการวางจำหน่ายและราคา - Switch 2 จะวางจำหน่ายวันที่ 5 มิถุนายน 2025 - ราคาอยู่ที่ $449.99 และมี Bundle พร้อม Mario Kart World ราคา $499.99 https://www.neowin.net/news/switch-2-will-have-hours-of-less-play-time-than-the-original-switch-despite-larger-battery/
    WWW.NEOWIN.NET
    Switch 2 will have hours of less play time than the original Switch despite larger battery
    Nintendo has shared technical specifications of its next hybrid console, the Switch 2, revealing details about the handheld battery life, charging time, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังเข้าสู่การพิจารณาคดีในวันที่ 14 เมษายน 2025 ซึ่งอาจส่งผลให้ Meta ต้องแยกตัวจาก Instagram และ WhatsApp โดยคดีนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2020 ซึ่ง FTC อ้างว่า การเข้าซื้อกิจการทั้งสองเป็นไปเพื่อกำจัดการแข่งขัน แทนที่จะเป็นการพัฒนานวัตกรรมในตลาด

    Zuckerberg เคยกังวลว่า Instagram จะเติบโตเร็วกว่าที่ Facebook ควบคุมได้
    - ในปี 2012 เขาเคยกล่าวว่า Facebook ตามหลัง Instagram อยู่มาก และกลัวว่า Instagram จะกลายเป็นภัยคุกคาม
    - เขาระบุว่า Meta ควรใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อ Instagram เพื่อลดการแข่งขัน

    WhatsApp ก็เป็นอีกเป้าหมายสำคัญของ Meta
    - ภายในบริษัทมีความกังวลว่า แอปส่งข้อความอาจพัฒนาเป็นเครือข่ายสังคมเต็มรูปแบบ
    - ผู้บริหารรายหนึ่งเคยกล่าวว่า การเติบโตของ WhatsAppทำให้เขากังวลจนแทบจะนอนไม่หลับ

    หาก FTC ชนะคดี Meta อาจต้องแยก Instagram และ WhatsApp ออกจากบริษัท
    - การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างตลาดโซเชียลมีเดียอย่างมหาศาล
    - อย่างไรก็ตาม FTC ต้องพิสูจน์ว่า Meta กำจัดการแข่งขันและสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งถือเป็นภาระหนักทางกฎหมาย

    Meta เปลี่ยนท่าทีด้านนโยบายการควบคุมข้อมูล
    - Zuckerberg เพิ่งเปิดเผยว่า Facebook เคยมีส่วนในการเซ็นเซอร์ข้อมูลในยุค Biden
    - แต่ในยุครัฐบาลปัจจุบัน Meta พยายาม ลดการควบคุมข้อมูล และทำงานร่วมกับรัฐบาล Trump มากขึ้น

    https://www.neowin.net/news/instagram-and-whatsapp-could-be-torn-from-meta-as-ftcs-antitrust-case-nears-trial/
    คณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังเข้าสู่การพิจารณาคดีในวันที่ 14 เมษายน 2025 ซึ่งอาจส่งผลให้ Meta ต้องแยกตัวจาก Instagram และ WhatsApp โดยคดีนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2020 ซึ่ง FTC อ้างว่า การเข้าซื้อกิจการทั้งสองเป็นไปเพื่อกำจัดการแข่งขัน แทนที่จะเป็นการพัฒนานวัตกรรมในตลาด ✅ Zuckerberg เคยกังวลว่า Instagram จะเติบโตเร็วกว่าที่ Facebook ควบคุมได้ - ในปี 2012 เขาเคยกล่าวว่า Facebook ตามหลัง Instagram อยู่มาก และกลัวว่า Instagram จะกลายเป็นภัยคุกคาม - เขาระบุว่า Meta ควรใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อ Instagram เพื่อลดการแข่งขัน ✅ WhatsApp ก็เป็นอีกเป้าหมายสำคัญของ Meta - ภายในบริษัทมีความกังวลว่า แอปส่งข้อความอาจพัฒนาเป็นเครือข่ายสังคมเต็มรูปแบบ - ผู้บริหารรายหนึ่งเคยกล่าวว่า การเติบโตของ WhatsAppทำให้เขากังวลจนแทบจะนอนไม่หลับ ✅ หาก FTC ชนะคดี Meta อาจต้องแยก Instagram และ WhatsApp ออกจากบริษัท - การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างตลาดโซเชียลมีเดียอย่างมหาศาล - อย่างไรก็ตาม FTC ต้องพิสูจน์ว่า Meta กำจัดการแข่งขันและสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งถือเป็นภาระหนักทางกฎหมาย ✅ Meta เปลี่ยนท่าทีด้านนโยบายการควบคุมข้อมูล - Zuckerberg เพิ่งเปิดเผยว่า Facebook เคยมีส่วนในการเซ็นเซอร์ข้อมูลในยุค Biden - แต่ในยุครัฐบาลปัจจุบัน Meta พยายาม ลดการควบคุมข้อมูล และทำงานร่วมกับรัฐบาล Trump มากขึ้น https://www.neowin.net/news/instagram-and-whatsapp-could-be-torn-from-meta-as-ftcs-antitrust-case-nears-trial/
    WWW.NEOWIN.NET
    Instagram and WhatsApp could be torn from Meta as FTC's antitrust case nears trial
    The FTC's long-running antitrust case against Meta, which stems from its acquisition of Instagram and WhatsApp more than a decade ago, will go to trial on April 14.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภา กทม.เดือด ตัดงบแผ่นดินไหว 'เพื่อไทย' อ้างโครงการไม่ชัด
    .
    ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติ ตัดงบประมาณ 9 ล้านบาท สำหรับติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหวบนตึกสูง หลังมองว่าโครงการขาดความชัดเจนและอาจไม่เกิดประโยชน์ ด้าน "ชัชชาติ" ผู้ว่าฯ กทม. เผยอาจเสนอใหม่อีกครั้ง พร้อมขยายโซนติดตั้งมากกว่า 5 โรงพยาบาล ชี้เทคโนโลยีราคาถูกลงและมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคต
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000031693
    สภา กทม.เดือด ตัดงบแผ่นดินไหว 'เพื่อไทย' อ้างโครงการไม่ชัด . ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติ ตัดงบประมาณ 9 ล้านบาท สำหรับติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหวบนตึกสูง หลังมองว่าโครงการขาดความชัดเจนและอาจไม่เกิดประโยชน์ ด้าน "ชัชชาติ" ผู้ว่าฯ กทม. เผยอาจเสนอใหม่อีกครั้ง พร้อมขยายโซนติดตั้งมากกว่า 5 โรงพยาบาล ชี้เทคโนโลยีราคาถูกลงและมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคต . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000031693
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1757 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 แนวทางบริหารจัดการช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่ CISOs แนะนำ

    ปัจจุบันองค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญกับ การจัดการช่องโหว่ด้านความปลอดภัย (Vulnerability Management) มากขึ้น เนื่องจากการละเลยในอดีตทำให้เกิด ความเสี่ยงทางธุรกิจ อย่างมหาศาล โดย CISOs (Chief Information Security Officers) หลายคนได้แบ่งปันบทเรียนและแนวทางที่ช่วยให้องค์กรสามารถลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ทางไซเบอร์ได้

    1. สร้างวัฒนธรรมไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในองค์กร
    - องค์กรต้องมี แนวคิดที่เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น การโจมตี Log4J หรือ Ransomware
    - CISOs ย้ำว่า ต้องทำให้ความปลอดภัยเป็นวาระสำคัญระดับ CEO และคณะกรรมการบริษัท

    2. เอกสารและกระบวนการที่ชัดเจน
    - ทุกขั้นตอนต้องมีการ บันทึกและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการช่องโหว่

    3. กำหนดกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน
    - หลายองค์กรใช้กรอบงาน NIST หรือ ISO 27001 และปรับให้เข้ากับความต้องการขององค์กร
    - บางบริษัทมี ระบบบูรณาการที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อมีการควบรวมกิจการ

    4. ระบุข้อมูลความปลอดภัยที่จำเป็น
    - ไม่ใช่แค่การตรวจสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ต้องกำหนด ข้อมูลที่จำเป็นต่อการบริหารความเสี่ยง

    5. บูรณาการข้อมูลให้เป็นระบบ
    - CISOs ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลเกี่ยวกับช่องโหว่ควรส่งถึงใครบ้าง และต้องดำเนินการอย่างไรเมื่อได้รับข้อมูล

    6. ตั้งค่ามาตรวัดเพื่อจัดลำดับความสำคัญ
    - ระบบต้องมีการ ประเมินมูลค่าธุรกิจของสินทรัพย์ที่มีช่องโหว่ และพิจารณาว่า มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอหรือไม่

    7. ตั้งค่า SLA เพื่อกำหนดขอบเขตเวลาแก้ไขปัญหา
    - ต้องมี Service Level Agreements (SLA) เพื่อกำหนดระยะเวลาที่ต้องแก้ไขช่องโหว่
    - หากทีมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตามกำหนด ต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการต่อไป

    8. พัฒนาแผนฉุกเฉินสำหรับแพตช์ระบบ
    - กรณี Log4Shell และ SolarWinds เป็นบทเรียนว่าองค์กรต้องมี แผนฉุกเฉินสำหรับการแพตช์ระบบในเหตุการณ์เร่งด่วน

    9. ปรับเป้าหมายและแรงจูงใจให้สอดคล้องกัน
    - ต้องมี การทำงานร่วมกันระหว่างฝ่าย IT, DevOps, Security และฝ่ายธุรกิจ
    - บางองค์กรใช้ ค่าตอบแทนและโบนัสเพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับความปลอดภัย

    10. ทดสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
    - เปลี่ยนจาก Penetration Testing แบบรายปี เป็น Continuous Security Testing
    - ใช้แนวทาง Threat-Informed Defense เพื่อ ทดสอบความสามารถของมาตรการป้องกัน

    https://www.csoonline.com/article/3853759/10-best-practices-for-vulnerability-management-according-to-cisos.html
    10 แนวทางบริหารจัดการช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่ CISOs แนะนำ 🔒🛡️ ปัจจุบันองค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญกับ การจัดการช่องโหว่ด้านความปลอดภัย (Vulnerability Management) มากขึ้น เนื่องจากการละเลยในอดีตทำให้เกิด ความเสี่ยงทางธุรกิจ อย่างมหาศาล โดย CISOs (Chief Information Security Officers) หลายคนได้แบ่งปันบทเรียนและแนวทางที่ช่วยให้องค์กรสามารถลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ทางไซเบอร์ได้ ✅ 1. สร้างวัฒนธรรมไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในองค์กร - องค์กรต้องมี แนวคิดที่เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น การโจมตี Log4J หรือ Ransomware - CISOs ย้ำว่า ต้องทำให้ความปลอดภัยเป็นวาระสำคัญระดับ CEO และคณะกรรมการบริษัท ✅ 2. เอกสารและกระบวนการที่ชัดเจน - ทุกขั้นตอนต้องมีการ บันทึกและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการช่องโหว่ ✅ 3. กำหนดกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน - หลายองค์กรใช้กรอบงาน NIST หรือ ISO 27001 และปรับให้เข้ากับความต้องการขององค์กร - บางบริษัทมี ระบบบูรณาการที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อมีการควบรวมกิจการ ✅ 4. ระบุข้อมูลความปลอดภัยที่จำเป็น - ไม่ใช่แค่การตรวจสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ต้องกำหนด ข้อมูลที่จำเป็นต่อการบริหารความเสี่ยง ✅ 5. บูรณาการข้อมูลให้เป็นระบบ - CISOs ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลเกี่ยวกับช่องโหว่ควรส่งถึงใครบ้าง และต้องดำเนินการอย่างไรเมื่อได้รับข้อมูล ✅ 6. ตั้งค่ามาตรวัดเพื่อจัดลำดับความสำคัญ - ระบบต้องมีการ ประเมินมูลค่าธุรกิจของสินทรัพย์ที่มีช่องโหว่ และพิจารณาว่า มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอหรือไม่ ✅ 7. ตั้งค่า SLA เพื่อกำหนดขอบเขตเวลาแก้ไขปัญหา - ต้องมี Service Level Agreements (SLA) เพื่อกำหนดระยะเวลาที่ต้องแก้ไขช่องโหว่ - หากทีมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตามกำหนด ต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการต่อไป ✅ 8. พัฒนาแผนฉุกเฉินสำหรับแพตช์ระบบ - กรณี Log4Shell และ SolarWinds เป็นบทเรียนว่าองค์กรต้องมี แผนฉุกเฉินสำหรับการแพตช์ระบบในเหตุการณ์เร่งด่วน ✅ 9. ปรับเป้าหมายและแรงจูงใจให้สอดคล้องกัน - ต้องมี การทำงานร่วมกันระหว่างฝ่าย IT, DevOps, Security และฝ่ายธุรกิจ - บางองค์กรใช้ ค่าตอบแทนและโบนัสเพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ✅ 10. ทดสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง - เปลี่ยนจาก Penetration Testing แบบรายปี เป็น Continuous Security Testing - ใช้แนวทาง Threat-Informed Defense เพื่อ ทดสอบความสามารถของมาตรการป้องกัน https://www.csoonline.com/article/3853759/10-best-practices-for-vulnerability-management-according-to-cisos.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 best practices for vulnerability management according to CISOs
    After years of neglect, organizations are investing in vulnerability management programs to address business risk. A dozen CISOs offer lessons learned and best practices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังยกเลิกระบบรหัสผ่าน และเปลี่ยนไปใช้ "Access Keys" แทน โดยเริ่มจาก Xbox และ Microsoft 365 ก่อนขยายไปยังแอปอื่น ๆ Access Keys จะช่วยให้การล็อกอินปลอดภัยขึ้น โดยใช้ โค้ดยืนยันตัวตนแทนรหัสผ่านแบบเดิม Microsoft ยังต้องการ ปรับปรุงมาตรฐานการล็อกอินให้ใช้งานง่ายและปลอดภัยมากขึ้น หากแผนนี้ประสบความสำเร็จ รหัสผ่านอาจกลายเป็นอดีตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    Access Keys คืออะไร และช่วยป้องกันความปลอดภัยอย่างไร?
    - Access Keys เป็น วิธีการเข้าสู่ระบบโดยไม่ใช้รหัสผ่าน ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ แฮกเกอร์จะสามารถขโมยหรือเจาะข้อมูลล็อกอินได้
    - ระบบจะส่ง โค้ดรักษาความปลอดภัยแบบครั้งเดียว ไปยังอีเมลของผู้ใช้ เพื่อให้พวกเขา ยืนยันตัวตนก่อนสร้าง Access Key
    - จากนั้น Access Key จะกลายเป็นตัวเลือกล็อกอินหลัก

    แอปพลิเคชันใดจะได้รับฟีเจอร์นี้ก่อน?
    - Xbox และ Microsoft 365 เป็นกลุ่มแรกที่ Microsoft จะนำฟีเจอร์ Access Keys มาใช้
    - หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ขยายไปยังแอปอื่น ๆ

    Microsoft ต้องการมาตรฐานการล็อกอินที่เป็นหนึ่งเดียว
    - ปัจจุบัน แต่ละบริการของ Microsoft มีหน้าจอยืนยันตัวตนที่แตกต่างกัน
    - มีผู้ใช้หลายรายที่เกิดความสับสนเกี่ยวกับการล็อกอินและทำให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัย
    - Microsoft ต้องการ จัดระเบียบระบบล็อกอินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากอีกต่อไป

    อนาคตของรหัสผ่านอาจจบลงเร็วกว่าที่คิด
    - ด้วยแนวทางใหม่ของ Microsoft ผู้ใช้ทั่วไป อาจไม่ต้องสร้างหรือจำรหัสผ่านอีกต่อไป
    - นี่เป็นส่วนหนึ่งของ แผนระยะยาวของบริษัท ที่ต้องการให้ระบบ รหัสผ่านกลายเป็นสิ่งล้าสมัย

    https://www.csoonline.com/article/3952036/microsoft-announces-revolution.html
    Microsoft กำลังยกเลิกระบบรหัสผ่าน และเปลี่ยนไปใช้ "Access Keys" แทน โดยเริ่มจาก Xbox และ Microsoft 365 ก่อนขยายไปยังแอปอื่น ๆ Access Keys จะช่วยให้การล็อกอินปลอดภัยขึ้น โดยใช้ โค้ดยืนยันตัวตนแทนรหัสผ่านแบบเดิม Microsoft ยังต้องการ ปรับปรุงมาตรฐานการล็อกอินให้ใช้งานง่ายและปลอดภัยมากขึ้น หากแผนนี้ประสบความสำเร็จ รหัสผ่านอาจกลายเป็นอดีตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ Access Keys คืออะไร และช่วยป้องกันความปลอดภัยอย่างไร? - Access Keys เป็น วิธีการเข้าสู่ระบบโดยไม่ใช้รหัสผ่าน ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ แฮกเกอร์จะสามารถขโมยหรือเจาะข้อมูลล็อกอินได้ - ระบบจะส่ง โค้ดรักษาความปลอดภัยแบบครั้งเดียว ไปยังอีเมลของผู้ใช้ เพื่อให้พวกเขา ยืนยันตัวตนก่อนสร้าง Access Key - จากนั้น Access Key จะกลายเป็นตัวเลือกล็อกอินหลัก ✅ แอปพลิเคชันใดจะได้รับฟีเจอร์นี้ก่อน? - Xbox และ Microsoft 365 เป็นกลุ่มแรกที่ Microsoft จะนำฟีเจอร์ Access Keys มาใช้ - หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ขยายไปยังแอปอื่น ๆ ✅ Microsoft ต้องการมาตรฐานการล็อกอินที่เป็นหนึ่งเดียว - ปัจจุบัน แต่ละบริการของ Microsoft มีหน้าจอยืนยันตัวตนที่แตกต่างกัน - มีผู้ใช้หลายรายที่เกิดความสับสนเกี่ยวกับการล็อกอินและทำให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัย - Microsoft ต้องการ จัดระเบียบระบบล็อกอินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากอีกต่อไป ✅ อนาคตของรหัสผ่านอาจจบลงเร็วกว่าที่คิด - ด้วยแนวทางใหม่ของ Microsoft ผู้ใช้ทั่วไป อาจไม่ต้องสร้างหรือจำรหัสผ่านอีกต่อไป - นี่เป็นส่วนหนึ่งของ แผนระยะยาวของบริษัท ที่ต้องการให้ระบบ รหัสผ่านกลายเป็นสิ่งล้าสมัย https://www.csoonline.com/article/3952036/microsoft-announces-revolution.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Microsoft takes first step toward passwordless future
    The company is shifting to access keys, first in its consumer offerings, with business applications to follow.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานล่าสุดจาก Cisco Talos เปิดเผยว่า การโจมตีไซเบอร์ในปี 2024 กว่าครึ่งหนึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้บัญชีที่ถูกขโมย โดยผู้โจมตีสามารถ เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้มัลแวร์ ทำให้หลีกเลี่ยงการตรวจจับ และบางครั้งถึงขั้นควบคุมเครือข่ายทั้งหมดได้

    ช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อเข้าถึงองค์กร
    - ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมย รวมถึง รหัสผ่าน, session tokens, API keys และใบรับรองดิจิทัล
    - การแฮกผ่านมัลแวร์ประเภท Infostealer ซึ่งดึงข้อมูลจากเครื่องเป้าหมาย
    - การซื้อข้อมูลล็อกอินจากตลาดมืด โดยราคาสำหรับบัญชีทั่วไปอยู่ที่ $10-$15 แต่บัญชีระดับสูงอาจมีราคาถึง $3,000

    การแฮกบัญชีช่วยให้แฮกเกอร์โจมตีองค์กรได้ง่ายขึ้น
    - การใช้บัญชีที่ถูกเจาะเข้าสู่ระบบโดยตรง ง่ายกว่าการใช้ช่องโหว่ของซอฟต์แวร์
    - กว่า 60% ของเหตุการณ์ที่ Cisco Talos ตรวจสอบพบว่ามีการใช้บัญชีที่ถูกขโมย
    - ในกรณีของแรนซัมแวร์ ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 70%

    วิธีแฮกบัญชีที่ซับซ้อนมากขึ้น
    - MFA Bombing หรือ Push Spray ส่งข้อความแจ้งเตือน MFA ไปยังผู้ใช้ซ้ำ ๆ จนกว่าพวกเขาจะกดยอมรับ
    - การปลอมแปลงเว็บเพื่อหลอกให้ผู้ใช้ลงทะเบียนอุปกรณ์ MFA ใหม่
    - การใช้ฟิชชิ่งที่ล้ำขึ้น เช่น AI-generated phishing attacks ที่ถูกออกแบบมาอย่างแนบเนียน

    บัญชีผู้ดูแลระบบมักตกเป็นเป้าหมายหลัก
    - ระบบ Active Directory เป็นจุดอ่อนสำคัญ—แฮกเกอร์มักเจาะข้อมูลที่เก็บอยู่ใน LSASS, SAM databases และ cached domain credentials
    - เครื่องมือยอดนิยมของแฮกเกอร์ เช่น Mimikatz และ PsExec ถูกใช้เพื่อขยายการเข้าถึงระบบ
    - องค์กรที่มีบัญชีแอดมินจำนวนมาก เพิ่มความเสี่ยงให้การโจมตีประสบความสำเร็จ

    แนวทางป้องกันที่ Cisco Talos แนะนำ
    - เปิดใช้ MFA และตั้งค่าความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น
    - ตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติของบัญชีผู้ใช้และแอดมิน
    - ลดจำนวนบัญชีที่มีสิทธิ์แอดมินในองค์กร
    - ใช้วิธี Challenge-Response Authentication เพื่อเพิ่มระดับการตรวจสอบ

    https://www.csoonline.com/article/3952041/malicious-actors-increasingly-put-privileged-identity-access-to-work-across-attack-chains.html
    รายงานล่าสุดจาก Cisco Talos เปิดเผยว่า การโจมตีไซเบอร์ในปี 2024 กว่าครึ่งหนึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้บัญชีที่ถูกขโมย โดยผู้โจมตีสามารถ เข้าถึงระบบโดยไม่ต้องใช้มัลแวร์ ทำให้หลีกเลี่ยงการตรวจจับ และบางครั้งถึงขั้นควบคุมเครือข่ายทั้งหมดได้ ✅ ช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อเข้าถึงองค์กร - ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมย รวมถึง รหัสผ่าน, session tokens, API keys และใบรับรองดิจิทัล - การแฮกผ่านมัลแวร์ประเภท Infostealer ซึ่งดึงข้อมูลจากเครื่องเป้าหมาย - การซื้อข้อมูลล็อกอินจากตลาดมืด โดยราคาสำหรับบัญชีทั่วไปอยู่ที่ $10-$15 แต่บัญชีระดับสูงอาจมีราคาถึง $3,000 ✅ การแฮกบัญชีช่วยให้แฮกเกอร์โจมตีองค์กรได้ง่ายขึ้น - การใช้บัญชีที่ถูกเจาะเข้าสู่ระบบโดยตรง ง่ายกว่าการใช้ช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ - กว่า 60% ของเหตุการณ์ที่ Cisco Talos ตรวจสอบพบว่ามีการใช้บัญชีที่ถูกขโมย - ในกรณีของแรนซัมแวร์ ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 70% ✅ วิธีแฮกบัญชีที่ซับซ้อนมากขึ้น - MFA Bombing หรือ Push Spray ส่งข้อความแจ้งเตือน MFA ไปยังผู้ใช้ซ้ำ ๆ จนกว่าพวกเขาจะกดยอมรับ - การปลอมแปลงเว็บเพื่อหลอกให้ผู้ใช้ลงทะเบียนอุปกรณ์ MFA ใหม่ - การใช้ฟิชชิ่งที่ล้ำขึ้น เช่น AI-generated phishing attacks ที่ถูกออกแบบมาอย่างแนบเนียน ✅ บัญชีผู้ดูแลระบบมักตกเป็นเป้าหมายหลัก - ระบบ Active Directory เป็นจุดอ่อนสำคัญ—แฮกเกอร์มักเจาะข้อมูลที่เก็บอยู่ใน LSASS, SAM databases และ cached domain credentials - เครื่องมือยอดนิยมของแฮกเกอร์ เช่น Mimikatz และ PsExec ถูกใช้เพื่อขยายการเข้าถึงระบบ - องค์กรที่มีบัญชีแอดมินจำนวนมาก เพิ่มความเสี่ยงให้การโจมตีประสบความสำเร็จ ✅ แนวทางป้องกันที่ Cisco Talos แนะนำ - เปิดใช้ MFA และตั้งค่าความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น - ตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติของบัญชีผู้ใช้และแอดมิน - ลดจำนวนบัญชีที่มีสิทธิ์แอดมินในองค์กร - ใช้วิธี Challenge-Response Authentication เพื่อเพิ่มระดับการตรวจสอบ https://www.csoonline.com/article/3952041/malicious-actors-increasingly-put-privileged-identity-access-to-work-across-attack-chains.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Malicious actors increasingly put privileged identity access to work across attack chains
    Identity-based attacks fueled over half of security breaches last year, according to research from Cisco Talos, providing attackers initial access and valid means for lateral movement.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยื่นสอบจริยธรรมนายกฯ ดันร่างกฎหมายกาสิโน ส.ว.ขยับตัวต้านแรง
    .
    เครือข่ายภาคประชาชน 100 องค์กร ร่วมยื่นหนังสือถึงสภาผู้แทนราษฎร คัดค้านร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร หวั่นเปิดทางให้กาสิโนกระทบเศรษฐกิจและสังคม ด้านนักวิชาการเตือนไทยยังไม่พร้อม ขณะที่ ส.ว. ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แนะรัฐบาลศึกษาผลกระทบให้รอบด้านก่อนเสนอ และทำประชามติถามประชาชนก่อนตัดสินใจ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000031696
    ยื่นสอบจริยธรรมนายกฯ ดันร่างกฎหมายกาสิโน ส.ว.ขยับตัวต้านแรง . เครือข่ายภาคประชาชน 100 องค์กร ร่วมยื่นหนังสือถึงสภาผู้แทนราษฎร คัดค้านร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร หวั่นเปิดทางให้กาสิโนกระทบเศรษฐกิจและสังคม ด้านนักวิชาการเตือนไทยยังไม่พร้อม ขณะที่ ส.ว. ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แนะรัฐบาลศึกษาผลกระทบให้รอบด้านก่อนเสนอ และทำประชามติถามประชาชนก่อนตัดสินใจ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000031696
    Like
    Love
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1880 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Cloud Platform (GCP) พบช่องโหว่ ImageRunner ซึ่งอาจช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงภาพคอนเทนเนอร์ที่ควรเป็น ข้อมูลลับ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต ส่งผลต่อความเสี่ยงด้าน Privilege Escalation, การโจรกรรมข้อมูล และการสอดแนมทางไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม Google ได้แก้ไขช่องโหว่ดังกล่าวตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ก่อนที่จะถูกนำไปใช้โจมตีจริง

    ช่องโหว่เกิดจากการทำงานของ Cloud Run
    - Cloud Run เป็นแพลตฟอร์ม Serverless ที่ใช้ในการรันแอปพลิเคชันแบบคอนเทนเนอร์
    - ช่องโหว่นี้เกิดจาก "Service Agent" ซึ่งเป็น บัญชีระบบที่ Google Cloud ใช้เพื่อดึงภาพคอนเทนเนอร์ขณะทำการอัปเดต (Revision Deployment)
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้ เพื่อดึงภาพคอนเทนเนอร์ส่วนตัวที่มีข้อมูลลับจาก Google Container Registry และ Google Artifact Registry

    ImageRunner สามารถใช้เพื่อโจรกรรมข้อมูลได้
    - หากแฮกเกอร์ ได้รับสิทธิ์ run.services.update และ iam.serviceAccounts.actAs พวกเขาสามารถ สร้าง Revision ใหม่ใน Cloud Run และดึงภาพคอนเทนเนอร์ที่เป็นความลับขององค์กรได้
    - สามารถ สแกนหาข้อมูลสำคัญ, ดึงข้อมูลรหัสผ่าน หรือส่งออกข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    Google ออกมาตรการแก้ไขอย่างเข้มงวด
    - ตอนนี้ ผู้ใช้ที่สร้างหรืออัปเดต Cloud Run จะต้องมีสิทธิ์เข้าถึงคอนเทนเนอร์ภาพโดยตรง
    - Google ออก "Breaking Change" ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งทำให้ การตั้งค่า IAM ของ Cloud Run เข้มงวดขึ้น
    - Google แจ้งเตือนผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ผ่าน Mandatory Service Announcement ตั้งแต่ปลายปี 2024

    ผลกระทบของช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    - ช่องโหว่คล้ายกันสามารถ ถูกนำไปใช้ในรูปแบบ Supply Chain Attack เพื่อเจาะระบบคลาวด์ขององค์กร
    - หากไม่มีมาตรการป้องกัน แฮกเกอร์อาจใช้เทคนิคเดียวกันนี้เพื่อเจาะระบบคลาวด์ของบริษัทอื่น ๆ


    https://www.csoonline.com/article/3952518/google-fixes-gcp-flaw-that-could-expose-sensitive-container-images.html
    Google Cloud Platform (GCP) พบช่องโหว่ ImageRunner ซึ่งอาจช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงภาพคอนเทนเนอร์ที่ควรเป็น ข้อมูลลับ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต ส่งผลต่อความเสี่ยงด้าน Privilege Escalation, การโจรกรรมข้อมูล และการสอดแนมทางไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม Google ได้แก้ไขช่องโหว่ดังกล่าวตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ก่อนที่จะถูกนำไปใช้โจมตีจริง ✅ ช่องโหว่เกิดจากการทำงานของ Cloud Run - Cloud Run เป็นแพลตฟอร์ม Serverless ที่ใช้ในการรันแอปพลิเคชันแบบคอนเทนเนอร์ - ช่องโหว่นี้เกิดจาก "Service Agent" ซึ่งเป็น บัญชีระบบที่ Google Cloud ใช้เพื่อดึงภาพคอนเทนเนอร์ขณะทำการอัปเดต (Revision Deployment) - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้ เพื่อดึงภาพคอนเทนเนอร์ส่วนตัวที่มีข้อมูลลับจาก Google Container Registry และ Google Artifact Registry ✅ ImageRunner สามารถใช้เพื่อโจรกรรมข้อมูลได้ - หากแฮกเกอร์ ได้รับสิทธิ์ run.services.update และ iam.serviceAccounts.actAs พวกเขาสามารถ สร้าง Revision ใหม่ใน Cloud Run และดึงภาพคอนเทนเนอร์ที่เป็นความลับขององค์กรได้ - สามารถ สแกนหาข้อมูลสำคัญ, ดึงข้อมูลรหัสผ่าน หรือส่งออกข้อมูลลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ✅ Google ออกมาตรการแก้ไขอย่างเข้มงวด - ตอนนี้ ผู้ใช้ที่สร้างหรืออัปเดต Cloud Run จะต้องมีสิทธิ์เข้าถึงคอนเทนเนอร์ภาพโดยตรง - Google ออก "Breaking Change" ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งทำให้ การตั้งค่า IAM ของ Cloud Run เข้มงวดขึ้น - Google แจ้งเตือนผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ผ่าน Mandatory Service Announcement ตั้งแต่ปลายปี 2024 ✅ ผลกระทบของช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข - ช่องโหว่คล้ายกันสามารถ ถูกนำไปใช้ในรูปแบบ Supply Chain Attack เพื่อเจาะระบบคลาวด์ขององค์กร - หากไม่มีมาตรการป้องกัน แฮกเกอร์อาจใช้เทคนิคเดียวกันนี้เพื่อเจาะระบบคลาวด์ของบริษัทอื่น ๆ https://www.csoonline.com/article/3952518/google-fixes-gcp-flaw-that-could-expose-sensitive-container-images.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Google fixes GCP flaw that could expose sensitive container images
    The flaw could allow attackers to access restricted container images, potentially leading to privilege escalation, data theft, and espionage attacks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung Germany ประสบเหตุการณ์ข้อมูลลูกค้ารั่วไหลกว่า 270,000 รายการ โดยแฮกเกอร์ GHNA อ้างว่าขโมยข้อมูลจากระบบสนับสนุนของบริษัท สาเหตุเกิดจากรหัสล็อกอินที่ถูกขโมยตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมานานหลายปี นักวิจัยชี้ว่าการละเลยมาตรการด้านรหัสผ่านทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้โจมตีในภายหลังได้ Samsung ยืนยันเหตุการณ์นี้ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมีอะไรบ้าง?
    - ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, ข้อมูลการสั่งซื้อ และการติดต่อภายในบริษัท
    - ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้ในการ โจมตีแบบฟิชชิ่ง หรือปลอมแปลงตัวตน

    แฮกเกอร์ใช้รหัสล็อกอินที่ถูกขโมยตั้งแต่ปี 2021
    - นักวิจัยจาก Hudson Rock ค้นพบว่าแฮกเกอร์ได้เข้าถึงระบบผ่านรหัสล็อกอินที่ถูกขโมยตั้งแต่ ปี 2021
    - รหัสนี้ถูกขโมยจาก พนักงานของบริษัท IT Spectos ซึ่งให้บริการระบบสนับสนุนของ Samsung

    บัญชีที่ไม่ได้เปลี่ยนรหัสผ่านเป็นเวลานานเป็นช่องโหว่สำคัญ
    - แม้จะมีการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้น แต่บางองค์กร ยังคงใช้รหัสผ่านเก่าที่ไม่ได้เปลี่ยนมานานหลายปี
    - กรณีของ Samsung แสดงให้เห็นว่า รหัสผ่านที่หลุดไปในอดีต อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีที่มีประสิทธิภาพแม้เวลาจะผ่านไปหลายปี

    Samsung Germany ยืนยันว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
    - Samsung ระบุว่า การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตเกิดขึ้นในระบบของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
    - อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการชี้แจงอย่างละเอียดเกี่ยวกับ ขอบเขตของการโจรกรรมข้อมูลและแผนรับมือ

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Samsung ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - ในปี 2022 Samsung US เคยถูกเจาะระบบ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าถูกขโมยไป
    - เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำว่า องค์กรใหญ่ ๆ ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/3952979/hacker-steals-customer-data-from-samsung-germany.html
    Samsung Germany ประสบเหตุการณ์ข้อมูลลูกค้ารั่วไหลกว่า 270,000 รายการ โดยแฮกเกอร์ GHNA อ้างว่าขโมยข้อมูลจากระบบสนับสนุนของบริษัท สาเหตุเกิดจากรหัสล็อกอินที่ถูกขโมยตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมานานหลายปี นักวิจัยชี้ว่าการละเลยมาตรการด้านรหัสผ่านทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้โจมตีในภายหลังได้ Samsung ยืนยันเหตุการณ์นี้ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีอะไรบ้าง? - ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, ข้อมูลการสั่งซื้อ และการติดต่อภายในบริษัท - ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้ในการ โจมตีแบบฟิชชิ่ง หรือปลอมแปลงตัวตน ✅ แฮกเกอร์ใช้รหัสล็อกอินที่ถูกขโมยตั้งแต่ปี 2021 - นักวิจัยจาก Hudson Rock ค้นพบว่าแฮกเกอร์ได้เข้าถึงระบบผ่านรหัสล็อกอินที่ถูกขโมยตั้งแต่ ปี 2021 - รหัสนี้ถูกขโมยจาก พนักงานของบริษัท IT Spectos ซึ่งให้บริการระบบสนับสนุนของ Samsung ✅ บัญชีที่ไม่ได้เปลี่ยนรหัสผ่านเป็นเวลานานเป็นช่องโหว่สำคัญ - แม้จะมีการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้น แต่บางองค์กร ยังคงใช้รหัสผ่านเก่าที่ไม่ได้เปลี่ยนมานานหลายปี - กรณีของ Samsung แสดงให้เห็นว่า รหัสผ่านที่หลุดไปในอดีต อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีที่มีประสิทธิภาพแม้เวลาจะผ่านไปหลายปี ✅ Samsung Germany ยืนยันว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด - Samsung ระบุว่า การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตเกิดขึ้นในระบบของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ - อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการชี้แจงอย่างละเอียดเกี่ยวกับ ขอบเขตของการโจรกรรมข้อมูลและแผนรับมือ ✅ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Samsung ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - ในปี 2022 Samsung US เคยถูกเจาะระบบ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าถูกขโมยไป - เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำว่า องค์กรใหญ่ ๆ ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น https://www.csoonline.com/article/3952979/hacker-steals-customer-data-from-samsung-germany.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Years-old login credential leads to leak of 270,000 Samsung customer records
    A cybercriminal is offering hundreds of thousands of data records on the dark web that are said to come from Samsung Germany.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งข้อสังเกต

    กู้ภัยจีนที่มีความถนัดเรื่องแผ่นดินไหว​มาตั้งแต่วันแรก​ ถูกสั่งให้สแตนบายไม่ให้เข้าพื้นที่.. กลัวพบอะไรหรือไม่
    ครบ​ 72ชั่วโมงยื้อสถานการณ์​ไม่ยอมให้เครนเข้ายกปูนแผ่นใหญ่ออก​ เหมือนจะยื้อเวลาให้คนที่ติดอยู่เสียชีวิตทั้งหมดเพื่อปิดปาก
    ให้หน่วยรบพิเศษ​ของอเมริกาอิสราเอล​เข้าสแกนค้นหาอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    มีผู้รอดชีวิตบางคนบอกว่าได้ยินเสียงระเบิดจากชั้นสองของตึก
    ลักษณะ​การถล่มของตึก​ เหมือนการรื้อถอนตึกเก่าจากการวางระเบิด​ ไม่มีการเอียงเหมือนตึกถล่มจากแผ่นดิน​ไหว
    ถ้าการวางระเบิดเป็นเรื่องจริงก็​ ซตพ.ว่าแผ่นดินไหว​ครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ​ แต่มีการกระตุ้นจากรอยร้าวที่แอคทีฟสูง​ สามารถกำหนดเวลาได้
    รัสเซีย​ต้องการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์​ที่พม่า​ .. แก๊งสาม​ อ.ยอมไม่ได้
    พังตึก​ สตง.เพื่อดิสเครดิตจีน
    ทดสอบเครื่องที่เพิ่งติดตั้งที่กงสุลเชียงใหม่
    ตั้งข้อสังเกต กู้ภัยจีนที่มีความถนัดเรื่องแผ่นดินไหว​มาตั้งแต่วันแรก​ ถูกสั่งให้สแตนบายไม่ให้เข้าพื้นที่.. กลัวพบอะไรหรือไม่ ครบ​ 72ชั่วโมงยื้อสถานการณ์​ไม่ยอมให้เครนเข้ายกปูนแผ่นใหญ่ออก​ เหมือนจะยื้อเวลาให้คนที่ติดอยู่เสียชีวิตทั้งหมดเพื่อปิดปาก ให้หน่วยรบพิเศษ​ของอเมริกาอิสราเอล​เข้าสแกนค้นหาอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีผู้รอดชีวิตบางคนบอกว่าได้ยินเสียงระเบิดจากชั้นสองของตึก ลักษณะ​การถล่มของตึก​ เหมือนการรื้อถอนตึกเก่าจากการวางระเบิด​ ไม่มีการเอียงเหมือนตึกถล่มจากแผ่นดิน​ไหว ถ้าการวางระเบิดเป็นเรื่องจริงก็​ ซตพ.ว่าแผ่นดินไหว​ครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ​ แต่มีการกระตุ้นจากรอยร้าวที่แอคทีฟสูง​ สามารถกำหนดเวลาได้ รัสเซีย​ต้องการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์​ที่พม่า​ .. แก๊งสาม​ อ.ยอมไม่ได้ พังตึก​ สตง.เพื่อดิสเครดิตจีน ทดสอบเครื่องที่เพิ่งติดตั้งที่กงสุลเชียงใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งข้อสังเกต

    กู้ภัยจีนที่มีความถนัดเรื่องแผ่นดินไหว​มาตั้งแต่วันแรก​ ถูกสั่งให้สแตนบายไม่ให้เข้าพื้นที่.. กลัวพบอะไรหรือไม่
    ครบ​ 72ชั่วโมงยื้อสถานการณ์​ไม่ยอมให้เครนเข้ายกปูนแผ่นใหญ่ออก​ เหมือนจะยื้อเวลาให้คนที่ติดอยู่เสียชีวิตทั้งหมดเพื่อปิดปาก
    ให้หน่วยรบพิเศษ​ของอเมริกาอิสราเอล​เข้าสแกนค้นหาอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    มีผู้รอดชีวิตบางคนบอกว่าได้ยินเสียงระเบิดจากชั้นสองของตึก
    ลักษณะ​การถล่มของตึก​ เหมือนการรื้อถอนตึกเก่าจากการวางระเบิด​ ไม่มีการเอียงเหมือนตึกถล่มจากแผ่นดิน​ไหว
    ถ้าการวางระเบิดเป็นเรื่องจริงก็​ ซตพ.ว่าแผ่นดินไหว​ครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ​ แต่มีการกระตุ้นจากรอยร้าวที่แอคทีฟสูง​ สามารถกำหนดเวลาได้
    รัสเซีย​ต้องการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์​ที่พม่า​ .. แก๊งสาม​ อ.ยอมไม่ได้
    พังตึก​ สตง.เพื่อดิสเครดิตจีน
    ทดสอบเครื่องที่เพิ่งติดตั้งที่กงสุลเชียงใหม่
    ตั้งข้อสังเกต กู้ภัยจีนที่มีความถนัดเรื่องแผ่นดินไหว​มาตั้งแต่วันแรก​ ถูกสั่งให้สแตนบายไม่ให้เข้าพื้นที่.. กลัวพบอะไรหรือไม่ ครบ​ 72ชั่วโมงยื้อสถานการณ์​ไม่ยอมให้เครนเข้ายกปูนแผ่นใหญ่ออก​ เหมือนจะยื้อเวลาให้คนที่ติดอยู่เสียชีวิตทั้งหมดเพื่อปิดปาก ให้หน่วยรบพิเศษ​ของอเมริกาอิสราเอล​เข้าสแกนค้นหาอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีผู้รอดชีวิตบางคนบอกว่าได้ยินเสียงระเบิดจากชั้นสองของตึก ลักษณะ​การถล่มของตึก​ เหมือนการรื้อถอนตึกเก่าจากการวางระเบิด​ ไม่มีการเอียงเหมือนตึกถล่มจากแผ่นดิน​ไหว ถ้าการวางระเบิดเป็นเรื่องจริงก็​ ซตพ.ว่าแผ่นดินไหว​ครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ​ แต่มีการกระตุ้นจากรอยร้าวที่แอคทีฟสูง​ สามารถกำหนดเวลาได้ รัสเซีย​ต้องการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์​ที่พม่า​ .. แก๊งสาม​ อ.ยอมไม่ได้ พังตึก​ สตง.เพื่อดิสเครดิตจีน ทดสอบเครื่องที่เพิ่งติดตั้งที่กงสุลเชียงใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษะด้าน AI และ Cloud ทำให้เงินเดือนในสายไอทีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2024 โดยเฉพาะผู้ที่เชี่ยวชาญ Natural Language Processing, AWS และ Blockchain คาดว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในปี 2025 นอกจากนี้ คนที่ทำงานด้าน AI มีระดับความพึงพอใจสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากเป็นงานที่ท้าทายและเปิดโอกาสให้เรียนรู้มากขึ้น Dice ยังแนะนำว่า การเปลี่ยนงาน 6-9 ครั้งในชีวิตการทำงานเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของเงินเดือน

    ทักษะที่ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2024
    - Natural Language Processing (NLP): $131,621 (+21%)
    - AWS CodeWhisperer: $117,821 (+16%)
    - Amazon Redshift: $134,103 (+15%)
    - BigQuery: $120,434 (+15%)
    - COBOL: $130,243 (+15%)
    - Ruby: $136,920 (+13%)
    - AI ทั่วไป: $130,277 (+12%)
    - Blockchain: $113,143 (+12%)
    - Oracle eBusiness: $121,227 (+12%)
    - Application Delivery: $123,336 (+11%)

    AI ช่วยให้พนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น
    - ผู้ที่ทำงานในโครงการด้าน AI มีระดับความพึงพอใจสูงกว่าผู้ที่ทำงานในสายอื่น แม้จะได้รับเงินเดือนเท่ากัน
    - Dice ระบุว่า AI มอบผลประโยชน์ที่มากกว่าการเงิน เช่น ความท้าทายและโอกาสในการเรียนรู้

    แนวคิด "Goldilocks Zone" ของการเปลี่ยนงานในสายไอที
    - การเปลี่ยนงาน 6-9 ครั้งในชีวิตการทำงาน ส่งผลให้เงินเดือนเฉลี่ยสูงถึง $142,000
    - อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนงานมากกว่า 10 ครั้งอาจส่งผลเสียต่อรายได้
    - Dice แนะนำให้เลือกเปลี่ยนงาน อย่างมีกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต

    แนวโน้มของสภาพแวดล้อมการทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - ผู้หญิงที่ทำงานในวงการเทคโนโลยีมาเกิน 20 ปี มีโอกาสมากกว่า 1.5 เท่า ที่จะระบุว่า วัฒนธรรมองค์กรดีขึ้นกว่าชายในอุตสาหกรรมเดียวกัน

    https://www.zdnet.com/home-and-office/work-life/these-tech-skills-drove-the-biggest-salary-increases-over-the-past-year/
    ทักษะด้าน AI และ Cloud ทำให้เงินเดือนในสายไอทีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2024 โดยเฉพาะผู้ที่เชี่ยวชาญ Natural Language Processing, AWS และ Blockchain คาดว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในปี 2025 นอกจากนี้ คนที่ทำงานด้าน AI มีระดับความพึงพอใจสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากเป็นงานที่ท้าทายและเปิดโอกาสให้เรียนรู้มากขึ้น Dice ยังแนะนำว่า การเปลี่ยนงาน 6-9 ครั้งในชีวิตการทำงานเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของเงินเดือน ✅ ทักษะที่ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2024 - Natural Language Processing (NLP): $131,621 (+21%) - AWS CodeWhisperer: $117,821 (+16%) - Amazon Redshift: $134,103 (+15%) - BigQuery: $120,434 (+15%) - COBOL: $130,243 (+15%) - Ruby: $136,920 (+13%) - AI ทั่วไป: $130,277 (+12%) - Blockchain: $113,143 (+12%) - Oracle eBusiness: $121,227 (+12%) - Application Delivery: $123,336 (+11%) ✅ AI ช่วยให้พนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น - ผู้ที่ทำงานในโครงการด้าน AI มีระดับความพึงพอใจสูงกว่าผู้ที่ทำงานในสายอื่น แม้จะได้รับเงินเดือนเท่ากัน - Dice ระบุว่า AI มอบผลประโยชน์ที่มากกว่าการเงิน เช่น ความท้าทายและโอกาสในการเรียนรู้ ✅ แนวคิด "Goldilocks Zone" ของการเปลี่ยนงานในสายไอที - การเปลี่ยนงาน 6-9 ครั้งในชีวิตการทำงาน ส่งผลให้เงินเดือนเฉลี่ยสูงถึง $142,000 - อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนงานมากกว่า 10 ครั้งอาจส่งผลเสียต่อรายได้ - Dice แนะนำให้เลือกเปลี่ยนงาน อย่างมีกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต ✅ แนวโน้มของสภาพแวดล้อมการทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - ผู้หญิงที่ทำงานในวงการเทคโนโลยีมาเกิน 20 ปี มีโอกาสมากกว่า 1.5 เท่า ที่จะระบุว่า วัฒนธรรมองค์กรดีขึ้นกว่าชายในอุตสาหกรรมเดียวกัน https://www.zdnet.com/home-and-office/work-life/these-tech-skills-drove-the-biggest-salary-increases-over-the-past-year/
    WWW.ZDNET.COM
    These tech skills drove the biggest salary increases over the past year
    A new tech salaries report suggests that working with AI boosts both pay and satisfaction - but it also cautions that excessive job hopping can work against you.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 0 รีวิว
  • OnlyFans และ Hbar Foundation ได้เสนอซื้อ TikTok โดยส่งข้อเสนอไปยังทำเนียบขาว ขณะที่ Amazon ก็ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย ByteDance ต้องขาย TikTok ก่อน 5 เมษายน 2025 มิฉะนั้นอาจถูกแบนในสหรัฐฯ รัฐบาลกังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของจีน ทำให้การขายกิจการกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง

    Zoop—แพลตฟอร์มใหม่ของ Stokely ที่แตกต่างจาก OnlyFans
    - แม้ว่า OnlyFans จะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ แต่ Zoop เป็นแพลตฟอร์มที่ เหมาะสำหรับครอบครัว
    - Zoop ให้ ส่วนแบ่งรายได้แก่ผู้สร้างคอนเทนต์มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

    เหตุผลที่ Stokely และ Hbar Foundation ต้องการซื้อ TikTok
    - ต้องการสร้าง โมเดลใหม่ที่ให้ผู้สร้างและชุมชนได้รับผลตอบแทนโดยตรงจากมูลค่าที่พวกเขาสร้างขึ้น
    - มีการร่วมมือกับ กลุ่มนักลงทุน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

    Amazon ก็เข้าร่วมแข่งขันเพื่อซื้อ TikTok
    - New York Times รายงานว่า Amazon ได้ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย
    - การแข่งขันนี้เกิดขึ้นก่อน เส้นตายวันที่ 5 เมษายน ซึ่ง ByteDance ต้องขาย TikTok หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ

    TikTok อาจถูกแบนในสหรัฐฯ หาก ByteDance ไม่ขายกิจการ
    - กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 มกราคม 2025 กำหนดให้ ByteDance ต้องขาย TikTok ด้วยเหตุผลด้าน ความมั่นคงแห่งชาติ
    - รัฐบาลสหรัฐฯ กังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการดำเนินการด้านอิทธิพล

    การประมูล TikTok ถูกควบคุมโดยทำเนียบขาว
    - รองประธานาธิบดี JD Vance เป็นผู้ดูแลกระบวนการประมูล
    - ทรัมป์ระบุว่ามี 4 กลุ่มที่สนใจซื้อ TikTok แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/onlyfans-founder-crypto-foundation-submit-late-stage-bid-to-buy-tiktok
    OnlyFans และ Hbar Foundation ได้เสนอซื้อ TikTok โดยส่งข้อเสนอไปยังทำเนียบขาว ขณะที่ Amazon ก็ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย ByteDance ต้องขาย TikTok ก่อน 5 เมษายน 2025 มิฉะนั้นอาจถูกแบนในสหรัฐฯ รัฐบาลกังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของจีน ทำให้การขายกิจการกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง ✅ Zoop—แพลตฟอร์มใหม่ของ Stokely ที่แตกต่างจาก OnlyFans - แม้ว่า OnlyFans จะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ แต่ Zoop เป็นแพลตฟอร์มที่ เหมาะสำหรับครอบครัว - Zoop ให้ ส่วนแบ่งรายได้แก่ผู้สร้างคอนเทนต์มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ✅ เหตุผลที่ Stokely และ Hbar Foundation ต้องการซื้อ TikTok - ต้องการสร้าง โมเดลใหม่ที่ให้ผู้สร้างและชุมชนได้รับผลตอบแทนโดยตรงจากมูลค่าที่พวกเขาสร้างขึ้น - มีการร่วมมือกับ กลุ่มนักลงทุน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด ✅ Amazon ก็เข้าร่วมแข่งขันเพื่อซื้อ TikTok - New York Times รายงานว่า Amazon ได้ยื่นข้อเสนอในช่วงเวลาสุดท้าย - การแข่งขันนี้เกิดขึ้นก่อน เส้นตายวันที่ 5 เมษายน ซึ่ง ByteDance ต้องขาย TikTok หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ ✅ TikTok อาจถูกแบนในสหรัฐฯ หาก ByteDance ไม่ขายกิจการ - กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 19 มกราคม 2025 กำหนดให้ ByteDance ต้องขาย TikTok ด้วยเหตุผลด้าน ความมั่นคงแห่งชาติ - รัฐบาลสหรัฐฯ กังวลว่า TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการดำเนินการด้านอิทธิพล ✅ การประมูล TikTok ถูกควบคุมโดยทำเนียบขาว - รองประธานาธิบดี JD Vance เป็นผู้ดูแลกระบวนการประมูล - ทรัมป์ระบุว่ามี 4 กลุ่มที่สนใจซื้อ TikTok แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/onlyfans-founder-crypto-foundation-submit-late-stage-bid-to-buy-tiktok
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OnlyFans founder, crypto foundation submit late-stage bid to buy TikTok
    A startup run by Tim Stokely, founder of adult content social media site OnlyFans, has partnered with a cryptocurrency foundation to submit a late-stage plan to acquire short video app TikTok from Chinese owner ByteDance, the two said on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon กำลังเริ่มต้นยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ตอวกาศด้วยการส่งดาวเทียม Kuiper 27 ดวงแรกขึ้นสู่อวกาศ ในวันที่ 9 เมษายน 2025 โดยตั้งเป้า สร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่กว่าและเสถียรกว่า Starlink ของ SpaceX Kuiper จะมีดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการทั่วโลก โดยทีมพัฒนาโครงการประกอบด้วย อดีตวิศวกรของ SpaceX Amazon หวังว่า ความเชี่ยวชาญด้านบริการอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์รับสัญญาณที่ใช้งานง่าย จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาใช้ Kuiper แทน Starlink

    Kuiper Atlas 1—ภารกิจแรกของ Amazon ในการแข่งขันอินเทอร์เน็ตอวกาศ
    - ดาวเทียม Kuiper จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยใช้ จรวด Atlas 5 จาก United Launch Alliance (ULA)
    - ภารกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ข้อตกลงการปล่อยดาวเทียมหลายครั้งที่ Amazon เซ็นสัญญาไว้ในปี 2022

    เป้าหมายของ Project Kuiper—ครอบคลุมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วโลก
    - Amazon ตั้งเป้าส่งดาวเทียมมากกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
    - ระบบนี้จะเป็นเครือข่าย Mesh Network ซึ่งมีความเสถียรสูง

    การเปรียบเทียบกับ Starlink ของ SpaceX
    - SpaceX เปิดตัว Starlink ตั้งแต่ปี 2019 และปัจจุบันมี ดาวเทียมมากกว่า 8,000 ดวง
    - Starlink มีผู้ใช้งานแล้วกว่า 5 ล้านรายจาก 125 ประเทศ
    - Amazon แม้จะเริ่มช้ากว่า แต่หวังว่าความเชี่ยวชาญด้าน บริการเว็บและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค จะช่วยดึงดูดลูกค้า

    ความได้เปรียบของ Amazon ในการแข่งขัน
    - Amazon มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น AWS และการจัดการอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภค
    - บริษัทตั้งเป้าพัฒนา อุปกรณ์รับสัญญาณขนาดเล็ก (คล้ายกล่องพิซซ่า) ที่สื่อสารกับดาวเทียม Kuiper เพื่อใช้งานได้ง่ายขึ้น

    Amazon เคยจ้างวิศวกร Starlink ก่อนที่ Musk จะปลดพวกเขาออก
    - ทีมงานที่สร้าง Kuiper ประกอบด้วย อดีตวิศวกรจาก SpaceX ที่เคยทำงานกับ Starlink ก่อนถูกปลด
    - Amazon ลงทุนกว่า $10 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนา Kuiper ตั้งแต่ปี 2019

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/amazon-targets-april-9-launch-of-first-kuiper-internet-satellites
    Amazon กำลังเริ่มต้นยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ตอวกาศด้วยการส่งดาวเทียม Kuiper 27 ดวงแรกขึ้นสู่อวกาศ ในวันที่ 9 เมษายน 2025 โดยตั้งเป้า สร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่กว่าและเสถียรกว่า Starlink ของ SpaceX Kuiper จะมีดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการทั่วโลก โดยทีมพัฒนาโครงการประกอบด้วย อดีตวิศวกรของ SpaceX Amazon หวังว่า ความเชี่ยวชาญด้านบริการอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์รับสัญญาณที่ใช้งานง่าย จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาใช้ Kuiper แทน Starlink ✅ Kuiper Atlas 1—ภารกิจแรกของ Amazon ในการแข่งขันอินเทอร์เน็ตอวกาศ - ดาวเทียม Kuiper จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยใช้ จรวด Atlas 5 จาก United Launch Alliance (ULA) - ภารกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ข้อตกลงการปล่อยดาวเทียมหลายครั้งที่ Amazon เซ็นสัญญาไว้ในปี 2022 ✅ เป้าหมายของ Project Kuiper—ครอบคลุมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วโลก - Amazon ตั้งเป้าส่งดาวเทียมมากกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง - ระบบนี้จะเป็นเครือข่าย Mesh Network ซึ่งมีความเสถียรสูง ✅ การเปรียบเทียบกับ Starlink ของ SpaceX - SpaceX เปิดตัว Starlink ตั้งแต่ปี 2019 และปัจจุบันมี ดาวเทียมมากกว่า 8,000 ดวง - Starlink มีผู้ใช้งานแล้วกว่า 5 ล้านรายจาก 125 ประเทศ - Amazon แม้จะเริ่มช้ากว่า แต่หวังว่าความเชี่ยวชาญด้าน บริการเว็บและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค จะช่วยดึงดูดลูกค้า ✅ ความได้เปรียบของ Amazon ในการแข่งขัน - Amazon มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น AWS และการจัดการอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภค - บริษัทตั้งเป้าพัฒนา อุปกรณ์รับสัญญาณขนาดเล็ก (คล้ายกล่องพิซซ่า) ที่สื่อสารกับดาวเทียม Kuiper เพื่อใช้งานได้ง่ายขึ้น ✅ Amazon เคยจ้างวิศวกร Starlink ก่อนที่ Musk จะปลดพวกเขาออก - ทีมงานที่สร้าง Kuiper ประกอบด้วย อดีตวิศวกรจาก SpaceX ที่เคยทำงานกับ Starlink ก่อนถูกปลด - Amazon ลงทุนกว่า $10 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนา Kuiper ตั้งแต่ปี 2019 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/amazon-targets-april-9-launch-of-first-kuiper-internet-satellites
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon targets April 9 launch of first Kuiper internet satellites
    WASHINGTON (Reuters) -Amazon.com said on Wednesday it plans to launch the first 27 satellites for its Project Kuiper internet network next week, pinning down a long-awaited start to the company's plan to deploy a massive constellation that will rival Elon Musk's Starlink system.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • Siemens AG ประกาศเข้าซื้อ Dotmatics บริษัทซอฟต์แวร์วิทยาศาสตร์จาก Insight Partners ด้วยมูลค่า 5.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอด้าน Life Sciences โดย Siemens คาดว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยขยาย ตลาดซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม มากขึ้นถึง 11 พันล้านดอลลาร์

    Dotmatics เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ R&D ที่มี อัตรากำไรสูงและมีศักยภาพในการเติบโต Siemens วางแผนสร้าง แพลตฟอร์ม AI-Powered PLM ผ่าน Xcelerator เพื่อผลักดันตลาด Life Sciences และเพิ่มรายได้อย่างมหาศาล

    การระดมทุนเพื่อดีลนี้
    - Siemens จะใช้ การขายหุ้นจากบริษัทในเครือ เช่น Siemens Healthineers เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการ

    Dotmatics คือใคร และมีจุดแข็งอย่างไร?
    - Dotmatics เป็นบริษัทที่พัฒนา ซอฟต์แวร์ R&D สำหรับอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์
    - คาดว่าจะสร้างรายได้ 300 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 พร้อมอัตรากำไร EBITDA ที่สูงถึง 40%

    Siemens วางแผนผลักดัน Life Sciences อย่างจริงจัง
    - เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Siemens ปิดดีลซื้อ Altair บริษัทซอฟต์แวร์ด้านวิศวกรรมมูลค่า 10.6 พันล้านดอลลาร์
    - คาดว่าการเข้าซื้อ Dotmatics จะช่วยเพิ่ม รายได้ให้กับ Siemens ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี และอาจสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ต่อปีในระยะยาว

    Siemens Xcelerator—แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI
    - CEO Roland Busch ระบุว่าการเข้าซื้อ Dotmatics จะช่วยสร้าง ซอฟต์แวร์ PLM (Product Lifecycle Management) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
    - ช่วยให้ Siemens สามารถแข่งขันในตลาดซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/siemens-to-acquire-dotmatics-in-51-billion-deal
    Siemens AG ประกาศเข้าซื้อ Dotmatics บริษัทซอฟต์แวร์วิทยาศาสตร์จาก Insight Partners ด้วยมูลค่า 5.1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสร้างพอร์ตโฟลิโอด้าน Life Sciences โดย Siemens คาดว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยขยาย ตลาดซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม มากขึ้นถึง 11 พันล้านดอลลาร์ Dotmatics เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ R&D ที่มี อัตรากำไรสูงและมีศักยภาพในการเติบโต Siemens วางแผนสร้าง แพลตฟอร์ม AI-Powered PLM ผ่าน Xcelerator เพื่อผลักดันตลาด Life Sciences และเพิ่มรายได้อย่างมหาศาล ✅ การระดมทุนเพื่อดีลนี้ - Siemens จะใช้ การขายหุ้นจากบริษัทในเครือ เช่น Siemens Healthineers เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการ ✅ Dotmatics คือใคร และมีจุดแข็งอย่างไร? - Dotmatics เป็นบริษัทที่พัฒนา ซอฟต์แวร์ R&D สำหรับอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ - คาดว่าจะสร้างรายได้ 300 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 พร้อมอัตรากำไร EBITDA ที่สูงถึง 40% ✅ Siemens วางแผนผลักดัน Life Sciences อย่างจริงจัง - เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Siemens ปิดดีลซื้อ Altair บริษัทซอฟต์แวร์ด้านวิศวกรรมมูลค่า 10.6 พันล้านดอลลาร์ - คาดว่าการเข้าซื้อ Dotmatics จะช่วยเพิ่ม รายได้ให้กับ Siemens ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี และอาจสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ต่อปีในระยะยาว ✅ Siemens Xcelerator—แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI - CEO Roland Busch ระบุว่าการเข้าซื้อ Dotmatics จะช่วยสร้าง ซอฟต์แวร์ PLM (Product Lifecycle Management) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI - ช่วยให้ Siemens สามารถแข่งขันในตลาดซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/siemens-to-acquire-dotmatics-in-51-billion-deal
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Siemens to acquire Dotmatics in $5.1 billion deal in Life Science portfolio push
    (Reuters) -Siemens AG said on Wednesday it will acquire U.S.-based Dotmatics for $5.1 billion from private equity firm Insight Partners to strengthen its Life Sciences portfolio.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังพัฒนา Gemini เวอร์ชันสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี โดยเน้นช่วยเด็ก เรียนรู้, ทำการบ้าน และสร้างเรื่องราว พร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ข้อมูลล่าสุดพบว่า Google อาจกำลังทดสอบโค้ดที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้เด็ก แต่ยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หน่วยงานกำกับดูแลอาจเข้ามาควบคุมการเข้าถึง AI สำหรับเด็กเพื่อลดความเสี่ยงด้านเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

    Gemini เวอร์ชันสำหรับเด็กอาจมาพร้อมฟีเจอร์ช่วยเรียนรู้
    - เด็กสามารถ ถามคำถามเกี่ยวกับการบ้านและได้รับคำอธิบายที่เหมาะสมกับวัย
    - มีเครื่องมือช่วย สร้างเรื่องราว เพื่อกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาทักษะการเขียน

    Google เพิ่มมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น
    - เนื้อหาที่แสดงจะถูก กรองให้เหมาะสมกับวัย โดยหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
    - Gemini สำหรับเด็กจะใช้ กฎความปลอดภัยที่เข้มงวดกว่าสำหรับผู้ใช้ที่มีอายุ 13-18 ปี

    หลักฐานบ่งชี้ว่าโครงการนี้อาจกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
    - นักวิเคราะห์พบ โค้ดที่เกี่ยวข้องกับ "kid users" ในแอป Google บน Android
    - ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจาก Google ว่า Gemini เวอร์ชันเด็กจะเปิดตัวเมื่อไร

    ภาครัฐอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการเข้าถึง AI ของเด็ก
    - หลายหน่วยงานทั่วโลก ต้องการควบคุมการเข้าถึงบริการออนไลน์สำหรับเด็ก
    - มีความเป็นไปได้ว่า Gemini เวอร์ชันเด็กอาจต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/could-children-under-13-soon-get-their-own-ai-chatbot
    Google กำลังพัฒนา Gemini เวอร์ชันสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี โดยเน้นช่วยเด็ก เรียนรู้, ทำการบ้าน และสร้างเรื่องราว พร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ข้อมูลล่าสุดพบว่า Google อาจกำลังทดสอบโค้ดที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้เด็ก แต่ยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หน่วยงานกำกับดูแลอาจเข้ามาควบคุมการเข้าถึง AI สำหรับเด็กเพื่อลดความเสี่ยงด้านเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ✅ Gemini เวอร์ชันสำหรับเด็กอาจมาพร้อมฟีเจอร์ช่วยเรียนรู้ - เด็กสามารถ ถามคำถามเกี่ยวกับการบ้านและได้รับคำอธิบายที่เหมาะสมกับวัย - มีเครื่องมือช่วย สร้างเรื่องราว เพื่อกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาทักษะการเขียน ✅ Google เพิ่มมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น - เนื้อหาที่แสดงจะถูก กรองให้เหมาะสมกับวัย โดยหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่เหมาะสม - Gemini สำหรับเด็กจะใช้ กฎความปลอดภัยที่เข้มงวดกว่าสำหรับผู้ใช้ที่มีอายุ 13-18 ปี ✅ หลักฐานบ่งชี้ว่าโครงการนี้อาจกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา - นักวิเคราะห์พบ โค้ดที่เกี่ยวข้องกับ "kid users" ในแอป Google บน Android - ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจาก Google ว่า Gemini เวอร์ชันเด็กจะเปิดตัวเมื่อไร ✅ ภาครัฐอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการเข้าถึง AI ของเด็ก - หลายหน่วยงานทั่วโลก ต้องการควบคุมการเข้าถึงบริการออนไลน์สำหรับเด็ก - มีความเป็นไปได้ว่า Gemini เวอร์ชันเด็กอาจต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/03/could-children-under-13-soon-get-their-own-ai-chatbot
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Could children under 13 soon get their own AI chatbot?
    Google could soon extend access to its Gemini generative artificial intelligence chatbot to children. Currently reserved for users over the age of 13, Gemini is reportedly being adapted to meet the needs of younger users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ตอบชัดเจน ออกรายการ อินไซด์ไทยแลนด์ กรณี ซินเคอหยวน ขอตรวจมาตรฐานเหล็กใหม่อีกครั้งที่สถาบันยานยนต์!

    พิธีกร : ซินเคอหยวน จะขอตรวจมาตรฐานซ้ำ ที่สถาบันยานยนต์?
    คุณขิง : ไม่ยอมครับ ไร้สาระครับ เรื่องมาตรฐานมันมี มาตรฐานที่รองรับ ตกก็คือตก ถ้าเขาจะใช้สิทธิ์ไปตรวจเรื่อยๆเนี่ย ต้องตรวจอีกกี่ครั้งครับ จะขอตรวจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน มันจะเป็นไปได้ยังไง ?
    พิธีกร : ถ้าเขาขอตรวจคู่ขนาน
    คุณขิง : ก็ไม่ยอมครับ เขาไม่มีสิทธิ์มาขอต่อรองครับ เหมือนสอบตก แล้วจะขอสอบใหม่ พอไม่ผ่านจะขอสอบซ่อมเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่ครับ ไม่ยอมครับ อีกอย่าง สถาบันยานยนต์ เขาก็มีมาตรฐานนะครับ แต่เขาตรวจสอบชิ้นส่วนรถยนต์ครับ.

    คุณขิงยังพูดสรุปในตอนท้ายไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า
    "ถ้าไม่ยอมรับการตรวจมาตรฐานของไทย ก็ไม่ต้องขาย จะไปที่ไหนก็ไป ไม่ใช่ที่ไทย"

    https://web.facebook.com/share/p/16Gtg6Eima/
    คุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ตอบชัดเจน ออกรายการ อินไซด์ไทยแลนด์ กรณี ซินเคอหยวน ขอตรวจมาตรฐานเหล็กใหม่อีกครั้งที่สถาบันยานยนต์! พิธีกร : ซินเคอหยวน จะขอตรวจมาตรฐานซ้ำ ที่สถาบันยานยนต์? คุณขิง : ไม่ยอมครับ ไร้สาระครับ เรื่องมาตรฐานมันมี มาตรฐานที่รองรับ ตกก็คือตก ถ้าเขาจะใช้สิทธิ์ไปตรวจเรื่อยๆเนี่ย ต้องตรวจอีกกี่ครั้งครับ จะขอตรวจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน มันจะเป็นไปได้ยังไง ? พิธีกร : ถ้าเขาขอตรวจคู่ขนาน คุณขิง : ก็ไม่ยอมครับ เขาไม่มีสิทธิ์มาขอต่อรองครับ เหมือนสอบตก แล้วจะขอสอบใหม่ พอไม่ผ่านจะขอสอบซ่อมเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่ครับ ไม่ยอมครับ อีกอย่าง สถาบันยานยนต์ เขาก็มีมาตรฐานนะครับ แต่เขาตรวจสอบชิ้นส่วนรถยนต์ครับ. คุณขิงยังพูดสรุปในตอนท้ายไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า "ถ้าไม่ยอมรับการตรวจมาตรฐานของไทย ก็ไม่ต้องขาย จะไปที่ไหนก็ไป ไม่ใช่ที่ไทย" https://web.facebook.com/share/p/16Gtg6Eima/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ในไต้หวันต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI Compute บริษัทเซิร์ฟเวอร์และเมนบอร์ดที่เคยพึ่งพา Intel อาจต้องหาทางปรับตัว เนื่องจาก Nvidia กำลังสร้างระบบนิเวศใหม่ที่รองรับ AI หาก Intel ไม่สามารถรักษาฐานผู้ผลิตเหล่านี้ไว้ได้ อาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ Nvidia ซึ่งกำลังขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมไอทีอย่างรวดเร็ว

    บริษัทอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ดั้งเดิมของไต้หวันต้องปรับตัว
    - ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์และเมนบอร์ดหลายราย เช่น iBase, Nexcom และ Asrock เคยพึ่งพา Intel เป็นฐานหลักของอุตสาหกรรม
    - อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสู่ AI Compute กำลังทำให้พวกเขา ต้องหาผู้ผลิตชิปรายใหม่

    Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล
    - การเปลี่ยนแปลงของ Intel ภายใต้ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan อาจรวมถึง การลดขนาดองค์กรและตัดการสนับสนุนผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายเล็ก
    - การลดการสนับสนุนนี้จะส่งผลให้บริษัทที่เคยพึ่งพา Intel ต้องดิ้นรนเพื่อหาแนวทางใหม่ในการแข่งขัน

    Nvidia กำลังสร้างระบบนิเวศใหม่เพื่อแข่งขันกับ Intel
    - Nvidia GTC และ Computex กลายเป็นเวทีที่ Nvidia ใช้เพื่อฝึกและสนับสนุนผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใหม่
    - แต่บริษัทไต้หวันเหล่านี้ ยังขาดประสบการณ์ในการออกแบบระบบสำหรับ Nvidia เช่น เฟิร์มแวร์ใหม่, ความเข้ากันได้กับพิน และระบบระบายความร้อนที่แตกต่างจาก Intel

    ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI อาจแตกต่างจากตลาดเซิร์ฟเวอร์ทั่วไป
    - อุตสาหกรรมที่เคยผลิตเซิร์ฟเวอร์แบบ x86 อาจต้องเปลี่ยนไปผลิตเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI Compute ซึ่งมีความต้องการด้านเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน

    หาก Intel ไม่สามารถรักษาฐานผู้ผลิตไต้หวันได้ อาจสูญเสียตลาดขนาดใหญ่
    - หาก Intel ยังคงเป็น พาร์ทเนอร์หลักของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ในไต้หวัน บริษัทอาจสามารถใช้ฐานนี้เพื่อ ฟื้นตัวและแข่งขันกับ Nvidia ได้
    - แต่หากไม่สามารถปรับตัวได้ อาจทำให้ Nvidia กลายเป็นผู้นำใหม่ในตลาดนี้อย่างสมบูรณ์

    https://www.techspot.com/news/107384-ai-shift-leaving-traditional-compute-vendors-behind.html
    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ในไต้หวันต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI Compute บริษัทเซิร์ฟเวอร์และเมนบอร์ดที่เคยพึ่งพา Intel อาจต้องหาทางปรับตัว เนื่องจาก Nvidia กำลังสร้างระบบนิเวศใหม่ที่รองรับ AI หาก Intel ไม่สามารถรักษาฐานผู้ผลิตเหล่านี้ไว้ได้ อาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ Nvidia ซึ่งกำลังขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมไอทีอย่างรวดเร็ว ✅ บริษัทอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ดั้งเดิมของไต้หวันต้องปรับตัว - ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์และเมนบอร์ดหลายราย เช่น iBase, Nexcom และ Asrock เคยพึ่งพา Intel เป็นฐานหลักของอุตสาหกรรม - อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสู่ AI Compute กำลังทำให้พวกเขา ต้องหาผู้ผลิตชิปรายใหม่ ✅ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล - การเปลี่ยนแปลงของ Intel ภายใต้ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan อาจรวมถึง การลดขนาดองค์กรและตัดการสนับสนุนผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายเล็ก - การลดการสนับสนุนนี้จะส่งผลให้บริษัทที่เคยพึ่งพา Intel ต้องดิ้นรนเพื่อหาแนวทางใหม่ในการแข่งขัน ✅ Nvidia กำลังสร้างระบบนิเวศใหม่เพื่อแข่งขันกับ Intel - Nvidia GTC และ Computex กลายเป็นเวทีที่ Nvidia ใช้เพื่อฝึกและสนับสนุนผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใหม่ - แต่บริษัทไต้หวันเหล่านี้ ยังขาดประสบการณ์ในการออกแบบระบบสำหรับ Nvidia เช่น เฟิร์มแวร์ใหม่, ความเข้ากันได้กับพิน และระบบระบายความร้อนที่แตกต่างจาก Intel ✅ ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI อาจแตกต่างจากตลาดเซิร์ฟเวอร์ทั่วไป - อุตสาหกรรมที่เคยผลิตเซิร์ฟเวอร์แบบ x86 อาจต้องเปลี่ยนไปผลิตเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI Compute ซึ่งมีความต้องการด้านเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ✅ หาก Intel ไม่สามารถรักษาฐานผู้ผลิตไต้หวันได้ อาจสูญเสียตลาดขนาดใหญ่ - หาก Intel ยังคงเป็น พาร์ทเนอร์หลักของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ในไต้หวัน บริษัทอาจสามารถใช้ฐานนี้เพื่อ ฟื้นตัวและแข่งขันกับ Nvidia ได้ - แต่หากไม่สามารถปรับตัวได้ อาจทำให้ Nvidia กลายเป็นผู้นำใหม่ในตลาดนี้อย่างสมบูรณ์ https://www.techspot.com/news/107384-ai-shift-leaving-traditional-compute-vendors-behind.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The AI shift is leaving traditional compute vendors behind
    We were reminded of this during our recent visit to Mobile World Congress when we had the chance to visit the Taiwan ITRI Booth.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • Coolify เปิดตัว Holo Fans พัดลม PC แบบโฮโลแกรมที่นำเสนอเอฟเฟกต์แสงเหนือกว่า RGB แบบเดิม ใช้ LED 96 ดวง เพื่อสร้างภาพโฮโลแกรมแบบหมุน ผู้ใช้สามารถ อัปโหลดโลโก้, แอนิเมชัน และแจ้งเตือนระบบผ่าน Wi-Fi พัดลมมีความเร็วสูงสุด 2,600 RPM และรองรับ ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง วางจำหน่ายแล้วในราคา $45.99 ต่อชิ้น ซึ่งอาจมีปัญหาสินค้าขาดตลาดในช่วงแรก

    Holo Fans ใช้ LED 96 ดวงเพื่อสร้างภาพลอยตัว
    - LED เหล่านี้ หมุนเป็นวงกลมและประมวลผลภาพโฮโลแกรมแบบเรียลไทม์
    - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้แสดง โลโก้ส่วนตัว, กราฟิกเกม หรือระบบแจ้งเตือนต่าง ๆ

    รองรับการซิงโครไนซ์กับข้อมูลระบบ PC
    - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ ภาพโฮโลแกรมแสดงสถานะ CPU, อุณหภูมิเครื่อง และความเร็วรอบพัดลม
    - สามารถแจ้งเตือนเหตุการณ์ เช่น อุณหภูมิเครื่องสูงผิดปกติ หรือการใช้ทรัพยากรหนัก

    มีให้เลือกทั้งขนาด 120mm และ 140mm พร้อมระบบควบคุมแยก
    - Holo Fans มาพร้อม คอนโทรลเลอร์แยกสำหรับจัดการเอฟเฟกต์แสงและแอนิเมชัน
    - ผู้ใช้สามารถ อัปโหลดภาพผ่าน Wi-Fi ด้วยแอปบนสมาร์ทโฟน

    ประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ทรงพลัง
    - ความเร็วพัดลมสูงสุด 2,600 RPM
    - อัตราการไหลเวียนอากาศ 52 CFM และแรงดันอากาศ 2.75 mmH2O
    - ระดับเสียง 33 dB(A) เหมาะสำหรับทั้งเกมเมอร์และมืออาชีพ

    ราคาและการวางจำหน่าย
    - เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2024 และวางจำหน่ายแล้วในราคา $45.99 ต่อชิ้น
    - เนื่องจากมีความต้องการสูง อาจเกิดภาวะสินค้าขาดตลาดในช่วงต้นปี 2025

    https://www.techspot.com/news/107383-coolify-holo-fans-bring-animated-holograms-gaming-rigs.html
    Coolify เปิดตัว Holo Fans พัดลม PC แบบโฮโลแกรมที่นำเสนอเอฟเฟกต์แสงเหนือกว่า RGB แบบเดิม ใช้ LED 96 ดวง เพื่อสร้างภาพโฮโลแกรมแบบหมุน ผู้ใช้สามารถ อัปโหลดโลโก้, แอนิเมชัน และแจ้งเตือนระบบผ่าน Wi-Fi พัดลมมีความเร็วสูงสุด 2,600 RPM และรองรับ ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง วางจำหน่ายแล้วในราคา $45.99 ต่อชิ้น ซึ่งอาจมีปัญหาสินค้าขาดตลาดในช่วงแรก ✅ Holo Fans ใช้ LED 96 ดวงเพื่อสร้างภาพลอยตัว - LED เหล่านี้ หมุนเป็นวงกลมและประมวลผลภาพโฮโลแกรมแบบเรียลไทม์ - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้แสดง โลโก้ส่วนตัว, กราฟิกเกม หรือระบบแจ้งเตือนต่าง ๆ ✅ รองรับการซิงโครไนซ์กับข้อมูลระบบ PC - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ ภาพโฮโลแกรมแสดงสถานะ CPU, อุณหภูมิเครื่อง และความเร็วรอบพัดลม - สามารถแจ้งเตือนเหตุการณ์ เช่น อุณหภูมิเครื่องสูงผิดปกติ หรือการใช้ทรัพยากรหนัก ✅ มีให้เลือกทั้งขนาด 120mm และ 140mm พร้อมระบบควบคุมแยก - Holo Fans มาพร้อม คอนโทรลเลอร์แยกสำหรับจัดการเอฟเฟกต์แสงและแอนิเมชัน - ผู้ใช้สามารถ อัปโหลดภาพผ่าน Wi-Fi ด้วยแอปบนสมาร์ทโฟน ✅ ประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ทรงพลัง - ความเร็วพัดลมสูงสุด 2,600 RPM - อัตราการไหลเวียนอากาศ 52 CFM และแรงดันอากาศ 2.75 mmH2O - ระดับเสียง 33 dB(A) เหมาะสำหรับทั้งเกมเมอร์และมืออาชีพ ✅ ราคาและการวางจำหน่าย - เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2024 และวางจำหน่ายแล้วในราคา $45.99 ต่อชิ้น - เนื่องจากมีความต้องการสูง อาจเกิดภาวะสินค้าขาดตลาดในช่วงต้นปี 2025 https://www.techspot.com/news/107383-coolify-holo-fans-bring-animated-holograms-gaming-rigs.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Holographic PC fans are here, and RGB may never look the same
    Coolify, a company specializing in PC customization, has developed a product that integrates holographic displays into desktop setups, potentially transforming the aesthetics of personal computing. The Holo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon จำกัดการซื้อการ์ดจอ RTX 5080, 5070 และ Radeon RX 9070 XT ให้เฉพาะสมาชิก Prime เพื่อสกัดนักเก็งกำไร แต่สินค้าหมดเร็วมาก และราคายังสูงกว่าปกติ บางคำสั่งซื้อใช้เวลาจัดส่งถึงสองสัปดาห์ Nvidia และ Zotac ใช้วิธีอื่น เช่น Verified Priority Access และระบบซื้อสินค้าสำหรับสมาชิก Discord อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดตลาดของ GPU ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับเกมเมอร์

    รุ่นที่ถูกจำกัดการขายให้เฉพาะสมาชิก Prime
    - Nvidia GeForce RTX 5080 และ RTX 5070
    - AMD Radeon RX 9070 XT
    - การ์ด RTX 5090 และซีรีส์ RTX 40 และ 30 ไม่ได้รับผลกระทบ

    ผู้ซื้อที่ไม่ได้เป็นสมาชิก Prime ไม่สามารถเพิ่มสินค้าในตะกร้าได้
    - หากไม่มีบัญชี Prime ระบบจะแสดง ปุ่ม "Join Prime" แทนปุ่มสั่งซื้อ
    - ค่าสมาชิก Prime อยู่ที่ $15 ต่อเดือน หรือ $139 ต่อปี

    ราคาการ์ดบน Amazon ยังสูงกว่าราคาปกติ และใช้เวลาจัดส่งนาน
    - แม้ว่าจะจำกัดการซื้อให้สมาชิก Prime แต่ราคา ยังคงสูงกว่าราคาขายปลีกของผู้ผลิต (MSRP)
    - บางคำสั่งซื้อมีระยะเวลาจัดส่ง นานถึงสองสัปดาห์

    Nvidia และ Zotac ใช้วิธีอื่นในการต่อสู้กับนักเก็งกำไร
    - Nvidia มี Verified Priority Access ให้สมาชิกสามารถซื้อ RTX 5090 หรือ RTX 5080 Founders Edition
    - Zotac ใช้ระบบ Priority Access สำหรับสมาชิกใน Zotac Gaming Discord แต่มีสินค้าให้เลือกเพียงไม่กี่ใบ

    https://www.techspot.com/news/107386-amazon-restricts-nvidia-geforce-rtx-5000-amd-radeon.html
    Amazon จำกัดการซื้อการ์ดจอ RTX 5080, 5070 และ Radeon RX 9070 XT ให้เฉพาะสมาชิก Prime เพื่อสกัดนักเก็งกำไร แต่สินค้าหมดเร็วมาก และราคายังสูงกว่าปกติ บางคำสั่งซื้อใช้เวลาจัดส่งถึงสองสัปดาห์ Nvidia และ Zotac ใช้วิธีอื่น เช่น Verified Priority Access และระบบซื้อสินค้าสำหรับสมาชิก Discord อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดตลาดของ GPU ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับเกมเมอร์ ✅ รุ่นที่ถูกจำกัดการขายให้เฉพาะสมาชิก Prime - Nvidia GeForce RTX 5080 และ RTX 5070 - AMD Radeon RX 9070 XT - การ์ด RTX 5090 และซีรีส์ RTX 40 และ 30 ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ ผู้ซื้อที่ไม่ได้เป็นสมาชิก Prime ไม่สามารถเพิ่มสินค้าในตะกร้าได้ - หากไม่มีบัญชี Prime ระบบจะแสดง ปุ่ม "Join Prime" แทนปุ่มสั่งซื้อ - ค่าสมาชิก Prime อยู่ที่ $15 ต่อเดือน หรือ $139 ต่อปี ✅ ราคาการ์ดบน Amazon ยังสูงกว่าราคาปกติ และใช้เวลาจัดส่งนาน - แม้ว่าจะจำกัดการซื้อให้สมาชิก Prime แต่ราคา ยังคงสูงกว่าราคาขายปลีกของผู้ผลิต (MSRP) - บางคำสั่งซื้อมีระยะเวลาจัดส่ง นานถึงสองสัปดาห์ ✅ Nvidia และ Zotac ใช้วิธีอื่นในการต่อสู้กับนักเก็งกำไร - Nvidia มี Verified Priority Access ให้สมาชิกสามารถซื้อ RTX 5090 หรือ RTX 5080 Founders Edition - Zotac ใช้ระบบ Priority Access สำหรับสมาชิกใน Zotac Gaming Discord แต่มีสินค้าให้เลือกเพียงไม่กี่ใบ https://www.techspot.com/news/107386-amazon-restricts-nvidia-geforce-rtx-5000-amd-radeon.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon restricts some Nvidia RTX 50 and AMD Radeon 9070 GPU sales to Prime members
    Several companies have implemented ways of trying to stop scalpers and bots from grabbing the latest graphics cards as soon as they're in stock.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก University of California, Berkeley และ University of California, San Francisco ได้พัฒนา Brain-Computer Interface (BCI) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตสามารถ สื่อสารด้วยเสียงตามธรรมชาติในเวลาจริง ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนา Neuroprosthesis สำหรับการสื่อสาร

    AI ช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าในการแปลงสัญญาณสมองเป็นเสียง
    - เทคโนโลยีใหม่นี้ใช้ อัลกอริธึมแบบเดียวกับ Alexa และ Siri เพื่อถอดรหัส สัญญาณประสาทในเวลาจริง
    - ก่อนหน้านี้ BCI ต้องใช้เวลาถึง 8 วินาทีในการถอดรหัสหนึ่งประโยค แต่ระบบใหม่นี้สามารถ สร้างเสียงแรกได้ภายใน 1 วินาที

    ตัวอย่างผู้ใช้—Ann หญิงวัย 47 ปีที่เป็นอัมพาตหลังจากโรคหลอดเลือดสมอง
    - เธอเข้าร่วมทดลองและได้รับการฝัง อิเล็กโทรดบนพื้นผิวสมอง
    - เมื่อเธอคิดถึงคำพูด AI จะถอดรหัสสัญญาณประสาท และสร้างเสียงของเธอเองขึ้นมา
    - Ann ระบุว่า การได้ยินเสียงของตัวเองในเวลาจริงช่วยให้รู้สึกเหมือนเป็นตัวเองอีกครั้ง

    ระบบสามารถสร้างเสียงที่เป็นธรรมชาติ พร้อมโทนเสียงที่ผู้ใช้ต้องการ
    - นักวิจัยกำลังเพิ่มความสามารถด้าน โทน, ความสูงของเสียง และระดับเสียงพูด เพื่อให้ BCI เลียนแบบเสียงของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์

    เทคโนโลยีนี้ใช้ได้กับหลายประเภทของเซ็นเซอร์สมอง
    - ทดลองกับ Microelectrode Arrays (MEAs) และ Surface Electromyography (sEMG) เพื่อดูความเป็นไปได้ของ BCI แบบไม่รุกราน

    อนาคตของ BCI—อาจพร้อมใช้งานในอีกไม่ถึง 10 ปี
    - ทีมวิจัยได้รับทุนจาก National Institute on Deafness and Other Communication Disorders (NIDCD) และหน่วยงานอื่น ๆ
    - พวกเขามองว่า BCI สำหรับการสื่อสารด้วยเสียงจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในเร็ว ๆ นี้

    https://www.techspot.com/news/107382-breakthrough-brain-voice-tech-brings-natural-speech-within.html
    นักวิจัยจาก University of California, Berkeley และ University of California, San Francisco ได้พัฒนา Brain-Computer Interface (BCI) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตสามารถ สื่อสารด้วยเสียงตามธรรมชาติในเวลาจริง ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนา Neuroprosthesis สำหรับการสื่อสาร ✅ AI ช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าในการแปลงสัญญาณสมองเป็นเสียง - เทคโนโลยีใหม่นี้ใช้ อัลกอริธึมแบบเดียวกับ Alexa และ Siri เพื่อถอดรหัส สัญญาณประสาทในเวลาจริง - ก่อนหน้านี้ BCI ต้องใช้เวลาถึง 8 วินาทีในการถอดรหัสหนึ่งประโยค แต่ระบบใหม่นี้สามารถ สร้างเสียงแรกได้ภายใน 1 วินาที ✅ ตัวอย่างผู้ใช้—Ann หญิงวัย 47 ปีที่เป็นอัมพาตหลังจากโรคหลอดเลือดสมอง - เธอเข้าร่วมทดลองและได้รับการฝัง อิเล็กโทรดบนพื้นผิวสมอง - เมื่อเธอคิดถึงคำพูด AI จะถอดรหัสสัญญาณประสาท และสร้างเสียงของเธอเองขึ้นมา - Ann ระบุว่า การได้ยินเสียงของตัวเองในเวลาจริงช่วยให้รู้สึกเหมือนเป็นตัวเองอีกครั้ง ✅ ระบบสามารถสร้างเสียงที่เป็นธรรมชาติ พร้อมโทนเสียงที่ผู้ใช้ต้องการ - นักวิจัยกำลังเพิ่มความสามารถด้าน โทน, ความสูงของเสียง และระดับเสียงพูด เพื่อให้ BCI เลียนแบบเสียงของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์ ✅ เทคโนโลยีนี้ใช้ได้กับหลายประเภทของเซ็นเซอร์สมอง - ทดลองกับ Microelectrode Arrays (MEAs) และ Surface Electromyography (sEMG) เพื่อดูความเป็นไปได้ของ BCI แบบไม่รุกราน ✅ อนาคตของ BCI—อาจพร้อมใช้งานในอีกไม่ถึง 10 ปี - ทีมวิจัยได้รับทุนจาก National Institute on Deafness and Other Communication Disorders (NIDCD) และหน่วยงานอื่น ๆ - พวกเขามองว่า BCI สำหรับการสื่อสารด้วยเสียงจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในเร็ว ๆ นี้ https://www.techspot.com/news/107382-breakthrough-brain-voice-tech-brings-natural-speech-within.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Breakthrough brain-to-voice tech brings natural speech within reach for paralyzed patients
    The research team overcame the issue of latency – the delay between a person's intent to speak and the production of sound – by leveraging advances in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • NFL ได้ประกาศว่าจะนำระบบ Hawk-Eye Technology ของ Sony มาใช้แทนการวัดระยะ First Down ด้วยโซ่แบบดั้งเดิม เริ่มต้นใน ฤดูกาล 2025–26 โดยเทคโนโลยีนี้มี 6 กล้อง 8K เพื่อจับตำแหน่งบอลด้วยความละเอียดสูง ซึ่งช่วยลดเวลาการตัดสินจาก 70 วินาที เหลือเพียง 30 วินาที

    Hawk-Eye จะถูกนำไปใช้ในทุกสนามของ NFL รวมถึงเวทีระดับนานาชาติ
    - ระบบนี้จะทำงานร่วมกับ Art McNally GameDay Central Officiating Center ในนิวยอร์ก
    - ผู้ชมทั้งในสนามและทางโทรทัศน์จะเห็น ภาพจำลองแบบเสมือนจริงของระยะ First Down ในเวลาจริง

    ระบบใหม่ช่วยตัดสินได้เร็วขึ้น แต่ไม่ได้ขจัดข้อผิดพลาดทั้งหมด
    - แม้ Hawk-Eye จะช่วยวัดระยะได้แม่นยำขึ้น แต่การตัดสินที่เป็นข้อถกเถียงส่วนใหญ่เกิดจาก การกำหนดตำแหน่งบอลครั้งแรกโดยกรรมการ
    - เช่นในเกม AFC Championship ระหว่าง Buffalo Bills กับ Kansas City Chiefs กรรมการตัดสินให้ Josh Allen ไม่ถึงระยะ First Down ซึ่งกล้องไม่สามารถช่วยแก้ไขการตัดสินนี้ได้

    ทีมงานที่ใช้โซ่แบบดั้งเดิมยังคงอยู่เป็นระบบสำรอง
    - หาก Hawk-Eye มีปัญหาทางเทคนิค ทีมงานจะถูกเรียกมาวัดระยะด้วยวิธีดั้งเดิมทันที

    Hawk-Eye Technology ถูกใช้ในกีฬาอื่นมาแล้ว
    - ระบบนี้เป็น มาตรฐานในการตัดสินเส้นบอลของฟุตบอล, เทนนิส, คริกเก็ต และรักบี้
    - กว่า 23 จาก 25 ลีกกีฬาระดับโลกใช้เทคโนโลยีนี้

    https://www.techspot.com/news/107388-nfl-replace-chains-sony-8k-cameras-hawk-eye.html
    NFL ได้ประกาศว่าจะนำระบบ Hawk-Eye Technology ของ Sony มาใช้แทนการวัดระยะ First Down ด้วยโซ่แบบดั้งเดิม เริ่มต้นใน ฤดูกาล 2025–26 โดยเทคโนโลยีนี้มี 6 กล้อง 8K เพื่อจับตำแหน่งบอลด้วยความละเอียดสูง ซึ่งช่วยลดเวลาการตัดสินจาก 70 วินาที เหลือเพียง 30 วินาที ✅ Hawk-Eye จะถูกนำไปใช้ในทุกสนามของ NFL รวมถึงเวทีระดับนานาชาติ - ระบบนี้จะทำงานร่วมกับ Art McNally GameDay Central Officiating Center ในนิวยอร์ก - ผู้ชมทั้งในสนามและทางโทรทัศน์จะเห็น ภาพจำลองแบบเสมือนจริงของระยะ First Down ในเวลาจริง ✅ ระบบใหม่ช่วยตัดสินได้เร็วขึ้น แต่ไม่ได้ขจัดข้อผิดพลาดทั้งหมด - แม้ Hawk-Eye จะช่วยวัดระยะได้แม่นยำขึ้น แต่การตัดสินที่เป็นข้อถกเถียงส่วนใหญ่เกิดจาก การกำหนดตำแหน่งบอลครั้งแรกโดยกรรมการ - เช่นในเกม AFC Championship ระหว่าง Buffalo Bills กับ Kansas City Chiefs กรรมการตัดสินให้ Josh Allen ไม่ถึงระยะ First Down ซึ่งกล้องไม่สามารถช่วยแก้ไขการตัดสินนี้ได้ ✅ ทีมงานที่ใช้โซ่แบบดั้งเดิมยังคงอยู่เป็นระบบสำรอง - หาก Hawk-Eye มีปัญหาทางเทคนิค ทีมงานจะถูกเรียกมาวัดระยะด้วยวิธีดั้งเดิมทันที ✅ Hawk-Eye Technology ถูกใช้ในกีฬาอื่นมาแล้ว - ระบบนี้เป็น มาตรฐานในการตัดสินเส้นบอลของฟุตบอล, เทนนิส, คริกเก็ต และรักบี้ - กว่า 23 จาก 25 ลีกกีฬาระดับโลกใช้เทคโนโลยีนี้ https://www.techspot.com/news/107388-nfl-replace-chains-sony-8k-cameras-hawk-eye.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    NFL to replace chains with Sony's 8K cameras and Hawk-Eye technology for measuring first downs
    The change will take effect in the 2025 – 26 season, beginning with the kickoff game on September 4 in Philadelphia. The NFL expects the technology to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว