• https://www.youtube.com/live/EwPdubAJTkk?si=udWctcFE9-y4ehTt
    https://www.youtube.com/live/EwPdubAJTkk?si=udWctcFE9-y4ehTt
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ที่มีความสุข
    คิดถึงกันและกันในสิ่งที่เคยมีกัน ย่อมดีงามเสมอ
    คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ที่มีความสุข
    คิดถึงกันและกันในสิ่งที่เคยมีกัน ย่อมดีงามเสมอ
    https://youtu.be/a4llVMd5_kU
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ที่มีความสุข คิดถึงกันและกันในสิ่งที่เคยมีกัน ย่อมดีงามเสมอ คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ที่มีความสุข คิดถึงกันและกันในสิ่งที่เคยมีกัน ย่อมดีงามเสมอ https://youtu.be/a4llVMd5_kU มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่องค์กรต่างๆ กำลังหันมาปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล (Digital Transformation) ไปสู่การนำ AI มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจฟังดูท้าทาย แต่หากมีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างถูกวิธี ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจได้

    1. สร้างความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูง: Gabriela Vogel จาก Gartner ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ AI ขึ้นอยู่กับการที่ผู้นำด้านดิจิทัลหรือ CIO เข้าใจถึงมูลค่าของเทคโนโลยีนี้ และจับมือร่วมกับ CFO ในการสร้างผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การใช้ AI เพิ่มรายได้หรือปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กร

    2. ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: James Fleming จาก Francis Crick Institute เสนอให้ตั้งกลุ่มทำงานที่รวมบุคลากรจากหลายแผนก เช่น ฝ่ายกฎหมาย, ทรัพยากรบุคคล และฝ่ายวิทยาศาสตร์ เพื่อร่วมกันประเมินการใช้ AI ในองค์กรและพิจารณากรณีลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ

    3. การบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด: Bruno Marie-Rose จาก Paris 2024 Organising Committee เปิดเผยว่า AI สามารถช่วยวางแผนการใช้ทรัพยากรในการจัดโอลิมปิกให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การจัดสรรพื้นที่ Media Center ตามความต้องการที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา

    4. ลดความกังวลของพนักงาน: Ollie Wildeman จาก Big Bus Tours อธิบายว่าการนำ AI เข้ามาใช้งานต้องเริ่มจากการสื่อสารเพื่อให้พนักงานเข้าใจถึงประโยชน์ เช่น การช่วยลดงานซ้ำซ้อน ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น การขายหรือการตอบคำถามลูกค้าอย่างเฉพาะเจาะจง

    5. การจัดการข้อมูลอย่างรอบคอบ: Jon Grainger จาก DWF เน้นย้ำว่า การดูแลคุณภาพของข้อมูลให้ถูกต้องและพร้อมใช้งานเป็นรากฐานสำคัญในการทำงานกับ AI ข้อมูลที่มีคุณภาพและถูกจัดการอย่างดี จะช่วยให้องค์กรได้รับผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือและมีความแม่นยำ

    https://www.zdnet.com/article/your-ai-transformation-depends-on-these-5-business-tactics/
    ในยุคที่องค์กรต่างๆ กำลังหันมาปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล (Digital Transformation) ไปสู่การนำ AI มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจฟังดูท้าทาย แต่หากมีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างถูกวิธี ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจได้ 1. สร้างความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูง: Gabriela Vogel จาก Gartner ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ AI ขึ้นอยู่กับการที่ผู้นำด้านดิจิทัลหรือ CIO เข้าใจถึงมูลค่าของเทคโนโลยีนี้ และจับมือร่วมกับ CFO ในการสร้างผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การใช้ AI เพิ่มรายได้หรือปรับปรุงประสิทธิภาพภายในองค์กร 2. ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: James Fleming จาก Francis Crick Institute เสนอให้ตั้งกลุ่มทำงานที่รวมบุคลากรจากหลายแผนก เช่น ฝ่ายกฎหมาย, ทรัพยากรบุคคล และฝ่ายวิทยาศาสตร์ เพื่อร่วมกันประเมินการใช้ AI ในองค์กรและพิจารณากรณีลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ 3. การบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด: Bruno Marie-Rose จาก Paris 2024 Organising Committee เปิดเผยว่า AI สามารถช่วยวางแผนการใช้ทรัพยากรในการจัดโอลิมปิกให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การจัดสรรพื้นที่ Media Center ตามความต้องการที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา 4. ลดความกังวลของพนักงาน: Ollie Wildeman จาก Big Bus Tours อธิบายว่าการนำ AI เข้ามาใช้งานต้องเริ่มจากการสื่อสารเพื่อให้พนักงานเข้าใจถึงประโยชน์ เช่น การช่วยลดงานซ้ำซ้อน ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น การขายหรือการตอบคำถามลูกค้าอย่างเฉพาะเจาะจง 5. การจัดการข้อมูลอย่างรอบคอบ: Jon Grainger จาก DWF เน้นย้ำว่า การดูแลคุณภาพของข้อมูลให้ถูกต้องและพร้อมใช้งานเป็นรากฐานสำคัญในการทำงานกับ AI ข้อมูลที่มีคุณภาพและถูกจัดการอย่างดี จะช่วยให้องค์กรได้รับผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือและมีความแม่นยำ https://www.zdnet.com/article/your-ai-transformation-depends-on-these-5-business-tactics/
    WWW.ZDNET.COM
    Your AI transformation depends on these 5 business tactics
    Five business leaders explain their best-practice tactics for managing artificial intelligence projects effectively.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5/
    ด่วน! เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่เครื่องบินของ American Airlines เที่ยวบิน 4012 ที่สนามบินนานาชาติเดนเวอร์ (Denver Airport) ทำให้ต้องอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องบินเป็นการด่วน

    ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสาเหตุของเหตุการณ์ รวมทั้งยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

    ทั้งนี้สนามบินนานาชาติเดนเวอร์ (DEN) เป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางหลักสำหรับการเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมเริ่มขยายตัวในโลกของการลงทุน ตลาดหุ้นก็ตื่นตัวกับศักยภาพอันมหาศาลของมัน วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทคอมพิวเตอร์ควอนตัมหลายแห่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ โดยที่ D-Wave Quantum เป็นหัวใจหลักในความสนใจนี้ หลังจากคาดการณ์รายได้ในไตรมาสนี้ที่จะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ทำให้หุ้นของบริษัทพุ่งสูงถึง 15% ภายในวันเดียว

    ยิ่งไปกว่านั้น D-Wave ยังได้รับความสนใจจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของคอมพิวเตอร์ควอนตัมในการแซงหน้าซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมในแง่ของประสิทธิภาพ

    ในทางกลับกัน ตลาดเองยังต้องการสร้างสมดุลระหว่างความหวังกับความเสี่ยง Jake Dollarhide ผู้บริหารจาก Longbow Asset Management อธิบายว่า "ถ้า AI ยังอยู่ในวัยทารก ควอนตัมก็เหมือนอยู่ในครรภ์ ความเป็นไปได้ในอนาคตนั้นยิ่งใหญ่ แต่เรายังอยู่ในยุคเริ่มต้นที่เหมือนดินแดนตะวันตกในนิยาย"

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะมีความตื่นตัวจากบริษัทอย่าง D-Wave แต่บริษัทอื่นๆ อย่าง IonQ กลับเผชิญปัญหาและราคาหุ้นตกลง 5.3% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดนี้ยังคงมีความไม่แน่นอน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/quantum-computing-company-shares-jump-after-d-wave039s-upbeat-forecast
    เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมเริ่มขยายตัวในโลกของการลงทุน ตลาดหุ้นก็ตื่นตัวกับศักยภาพอันมหาศาลของมัน วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทคอมพิวเตอร์ควอนตัมหลายแห่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ โดยที่ D-Wave Quantum เป็นหัวใจหลักในความสนใจนี้ หลังจากคาดการณ์รายได้ในไตรมาสนี้ที่จะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ทำให้หุ้นของบริษัทพุ่งสูงถึง 15% ภายในวันเดียว ยิ่งไปกว่านั้น D-Wave ยังได้รับความสนใจจากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของคอมพิวเตอร์ควอนตัมในการแซงหน้าซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมในแง่ของประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน ตลาดเองยังต้องการสร้างสมดุลระหว่างความหวังกับความเสี่ยง Jake Dollarhide ผู้บริหารจาก Longbow Asset Management อธิบายว่า "ถ้า AI ยังอยู่ในวัยทารก ควอนตัมก็เหมือนอยู่ในครรภ์ ความเป็นไปได้ในอนาคตนั้นยิ่งใหญ่ แต่เรายังอยู่ในยุคเริ่มต้นที่เหมือนดินแดนตะวันตกในนิยาย" สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะมีความตื่นตัวจากบริษัทอย่าง D-Wave แต่บริษัทอื่นๆ อย่าง IonQ กลับเผชิญปัญหาและราคาหุ้นตกลง 5.3% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดนี้ยังคงมีความไม่แน่นอน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/quantum-computing-company-shares-jump-after-d-wave039s-upbeat-forecast
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Quantum computing company shares jump after D-Wave's upbeat forecast
    NEW YORK (Reuters) - Shares of some quantum computing companies rallied on Thursday, adding to gains from the previous session and bucking the broader market's trend after D-Wave Quantum forecast stronger-than-expected quarterly revenue.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างโลกที่ไม่มี "จักรพรรดิ" หรือผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จบนโซเชียลมีเดีย แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจในแพลตฟอร์มปัจจุบันที่มักถูกควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือการตัดสินใจ

    Bluesky ก่อตั้งโดย Jay Graber พร้อมกับทีมที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ผู้ใช้งานควรมีอิสระในการควบคุมและย้ายข้อมูลของตัวเองระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง Twitter (หรือ X) และ Meta ที่ผู้ควบคุมมักใช้อำนาจในทางที่ผู้ใช้ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

    Bluesky ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และนักพัฒนา โดยการสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้สร้างฟีดส่วนตัวได้ตามความสนใจ เช่น การทำสวน กีฬา หรือการศึกษา ครีเอเตอร์ที่เคยถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเดิมจะมีพื้นที่ที่เสรีและควบคุมการนำเสนอเนื้อหาได้ดีขึ้น ต่างจาก Mastodon ที่มีกระบวนการซับซ้อน Bluesky มีระบบที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    แม้ว่า Bluesky จะยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่พวกเขากลับมองว่านี่เป็น "ปีแห่งการเปิดตัว" ที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแท้จริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/bluesky-wants-039a-world-without-caesars039-for-social-media
    Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างโลกที่ไม่มี "จักรพรรดิ" หรือผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จบนโซเชียลมีเดีย แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจในแพลตฟอร์มปัจจุบันที่มักถูกควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือการตัดสินใจ Bluesky ก่อตั้งโดย Jay Graber พร้อมกับทีมที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ผู้ใช้งานควรมีอิสระในการควบคุมและย้ายข้อมูลของตัวเองระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง Twitter (หรือ X) และ Meta ที่ผู้ควบคุมมักใช้อำนาจในทางที่ผู้ใช้ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ Bluesky ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และนักพัฒนา โดยการสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้สร้างฟีดส่วนตัวได้ตามความสนใจ เช่น การทำสวน กีฬา หรือการศึกษา ครีเอเตอร์ที่เคยถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเดิมจะมีพื้นที่ที่เสรีและควบคุมการนำเสนอเนื้อหาได้ดีขึ้น ต่างจาก Mastodon ที่มีกระบวนการซับซ้อน Bluesky มีระบบที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แม้ว่า Bluesky จะยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่พวกเขากลับมองว่านี่เป็น "ปีแห่งการเปิดตัว" ที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแท้จริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/bluesky-wants-039a-world-without-caesars039-for-social-media
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่กรุงปักกิ่งเตรียมนำหลักสูตรเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีนี้ ซึ่งแสดงถึงความพยายามของจีนในการเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI และสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญในสาขานี้

    เรื่องเริ่มจากที่ทุกโรงเรียนในปักกิ่งจะจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ AI อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปี โดยเริ่มในเดือนกันยายนนี้ หลักสูตรดังกล่าวอาจเป็นวิชาหลักหรือบูรณาการร่วมกับวิชาอื่น เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศหรือวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งนำเทคนิคการสอนแบบใหม่มาใช้ เช่น การใช้ AI เป็นผู้ช่วยวิจัยและเครื่องมือเรียนรู้ผ่านการสนทนากับคอมพิวเตอร์

    นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม เพื่อช่วยปั้นนักเรียนให้เป็น "คนเก่งด้านนวัตกรรมตั้งแต่วัยเยาว์" และยังสอดคล้องกับทิศทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างจริงจัง

    ในมุมของเทคโนโลยีเอง จีนยังคงพัฒนารูปแบบ AI ใหม่ๆ เช่น Manus ซึ่งมีความสามารถเหนือกว่าแชทบอททั่วไป ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ก็ได้เปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้งบประมาณและข้อมูลน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/beijing-to-roll-out-ai-lessons-for-primary-secondary-students
    ข่าวนี้น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่กรุงปักกิ่งเตรียมนำหลักสูตรเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีนี้ ซึ่งแสดงถึงความพยายามของจีนในการเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI และสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญในสาขานี้ เรื่องเริ่มจากที่ทุกโรงเรียนในปักกิ่งจะจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับ AI อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปี โดยเริ่มในเดือนกันยายนนี้ หลักสูตรดังกล่าวอาจเป็นวิชาหลักหรือบูรณาการร่วมกับวิชาอื่น เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศหรือวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งนำเทคนิคการสอนแบบใหม่มาใช้ เช่น การใช้ AI เป็นผู้ช่วยวิจัยและเครื่องมือเรียนรู้ผ่านการสนทนากับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม เพื่อช่วยปั้นนักเรียนให้เป็น "คนเก่งด้านนวัตกรรมตั้งแต่วัยเยาว์" และยังสอดคล้องกับทิศทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างจริงจัง ในมุมของเทคโนโลยีเอง จีนยังคงพัฒนารูปแบบ AI ใหม่ๆ เช่น Manus ซึ่งมีความสามารถเหนือกว่าแชทบอททั่วไป ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ก็ได้เปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้งบประมาณและข้อมูลน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/beijing-to-roll-out-ai-lessons-for-primary-secondary-students
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Beijing to roll out AI lessons for primary, secondary students
    China's AI industry has gained international attention this year after DeepSeek released a new version of its AI chatbot in January, sending shockwaves across global markets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek เป็นแชทบอท AI ที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีผู้มุ่งหวังสร้างนวัตกรรมมากกว่าการหากำไรเชิงพาณิชย์ โดยบริษัทนี้เพิ่งเริ่มมีรายได้เพียงพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายเมื่อเดือนที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้เป็นการแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley ที่มักเน้นความรวดเร็วในการสร้างยอดขายและผลกำไร

    จุดที่น่าสนใจคือ ทัศนคติของ DeepSeek ที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนาองค์ความรู้และคุณภาพของ AI ในระยะยาว โดยเห็นว่าความยั่งยืนและการวิจัยที่เข้มแข็งเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันในอนาคต

    นอกจากนี้ เรื่องราวของ DeepSeek ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในโลกเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทใน Silicon Valley มุ่งเน้นการตอบสนองต่อตลาดและนักลงทุน บริษัทจีนอย่าง DeepSeek กลับเลือกที่จะเน้นเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์และการสร้างผลกระทบที่มีความหมายมากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/deepseek-to-focus-on-research-over-revenue-in-contrast-to-silicon-valley-ft-reports
    DeepSeek เป็นแชทบอท AI ที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีผู้มุ่งหวังสร้างนวัตกรรมมากกว่าการหากำไรเชิงพาณิชย์ โดยบริษัทนี้เพิ่งเริ่มมีรายได้เพียงพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายเมื่อเดือนที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้เป็นการแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley ที่มักเน้นความรวดเร็วในการสร้างยอดขายและผลกำไร จุดที่น่าสนใจคือ ทัศนคติของ DeepSeek ที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนาองค์ความรู้และคุณภาพของ AI ในระยะยาว โดยเห็นว่าความยั่งยืนและการวิจัยที่เข้มแข็งเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันในอนาคต นอกจากนี้ เรื่องราวของ DeepSeek ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในโลกเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทใน Silicon Valley มุ่งเน้นการตอบสนองต่อตลาดและนักลงทุน บริษัทจีนอย่าง DeepSeek กลับเลือกที่จะเน้นเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์และการสร้างผลกระทบที่มีความหมายมากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/deepseek-to-focus-on-research-over-revenue-in-contrast-to-silicon-valley-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    DeepSeek to focus on research over revenue in contrast to Silicon Valley, FT reports
    (Reuters) - Chinese AI chatbot DeepSeek is choosing to focus on research over revenue, as its billionaire founder has decided not to follow Silicon Valley rivals by taking advantage of a sudden jump in sales, the Financial Times reported on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นถึง 50 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี! โดยพลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถรองรับบ้านเรือนได้ประมาณ 8.5 ล้านหลังเลยทีเดียว นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์ภายในประเทศยังเติบโตขึ้นมาก โดยโรงงานในสหรัฐฯ สามารถรองรับความต้องการในประเทศได้เกือบทั้งหมด และเริ่มกลับมาผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศอีกครั้ง

    รัฐเท็กซัสเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยเพิ่มพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 11.6 กิกะวัตต์ในปีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่น่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม ตลาดโซลาร์สำหรับที่อยู่อาศัยกลับชะลอตัวลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า สถานการณ์นี้จะพลิกฟื้นและเติบโตอีกครั้ง

    ในขณะเดียวกัน กลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google และ Meta ได้หันมาลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ด้วยการสนับสนุนให้เพิ่มกำลังการผลิตทั่วโลกให้ได้สามเท่าภายในปี 2050 โดยเฉพาะเทคโนโลยี "เครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็ก" ซึ่งมีความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำกว่าการสร้างเครื่องปฏิกรณ์แบบเดิม บริษัทเหล่านี้ยังมองว่านิวเคลียร์เป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยตอบโจทย์ความต้องการพลังงานที่ต่อเนื่องเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลและระบบ AI ที่ต้องการพลังงานสูง

    แม้พลังงานแสงอาทิตย์จะมีศักยภาพสูงในการลดการปล่อยคาร์บอน แต่นิวเคลียร์ยังคงมีความสำคัญในด้านความเสถียรของพลังงานในระยะยาว การผสมผสานพลังงานทั้งสองรูปแบบนี้ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือความท้าทายด้านพลังงานของโลกในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/107123-solar-energy-booms-tech-giants-back-nuclear-expansion.html
    ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นถึง 50 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี! โดยพลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถรองรับบ้านเรือนได้ประมาณ 8.5 ล้านหลังเลยทีเดียว นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์ภายในประเทศยังเติบโตขึ้นมาก โดยโรงงานในสหรัฐฯ สามารถรองรับความต้องการในประเทศได้เกือบทั้งหมด และเริ่มกลับมาผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศอีกครั้ง รัฐเท็กซัสเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยเพิ่มพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 11.6 กิกะวัตต์ในปีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่น่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม ตลาดโซลาร์สำหรับที่อยู่อาศัยกลับชะลอตัวลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า สถานการณ์นี้จะพลิกฟื้นและเติบโตอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน กลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google และ Meta ได้หันมาลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ด้วยการสนับสนุนให้เพิ่มกำลังการผลิตทั่วโลกให้ได้สามเท่าภายในปี 2050 โดยเฉพาะเทคโนโลยี "เครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็ก" ซึ่งมีความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำกว่าการสร้างเครื่องปฏิกรณ์แบบเดิม บริษัทเหล่านี้ยังมองว่านิวเคลียร์เป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยตอบโจทย์ความต้องการพลังงานที่ต่อเนื่องเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลและระบบ AI ที่ต้องการพลังงานสูง แม้พลังงานแสงอาทิตย์จะมีศักยภาพสูงในการลดการปล่อยคาร์บอน แต่นิวเคลียร์ยังคงมีความสำคัญในด้านความเสถียรของพลังงานในระยะยาว การผสมผสานพลังงานทั้งสองรูปแบบนี้ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือความท้าทายด้านพลังงานของโลกในอนาคต https://www.techspot.com/news/107123-solar-energy-booms-tech-giants-back-nuclear-expansion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Solar power sets record in the US with 50 GW added, meanwhile Big Tech bets on nuclear
    According to the US Solar Market Insight 2024 Year in Review report by the Solar Energy Industries Association (SEIA) and Wood Mackenzie, solar and storage together accounted...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความสำเร็จทางการแพทย์ครั้งสำคัญครับ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ในออสเตรเลียได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการติดตั้ง "หัวใจเทียมไทเทเนียม" (BiVACOR Total Artificial Heart) ช่วยให้ผู้ป่วยชายวัย 40 ปีมีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 วันก่อนจะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจริงในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

    หัวใจเทียมนี้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยใช้ การลอยด้วยแม่เหล็ก (magnetic levitation) ซึ่งเหมือนกับเทคโนโลยีของรถไฟหัวกระสุน เพื่อลดการสึกหรอและทำงานแทนหัวใจทั้งสองห้องที่ล้มเหลว มันถูกออกแบบให้ใช้ไทเทเนียมเนื่องจากเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนการกัดกร่อน และเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์

    การผ่าตัดที่กินเวลา 6 ชั่วโมงนี้ดำเนินการที่โรงพยาบาล St. Vincent's ในซิดนีย์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย Artificial Heart Frontiers Program นำโดย Monash University โครงการนี้มีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจำนวนมากทั่วโลก

    น่าสนใจที่อุปกรณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยต่ออายุขณะรอการปลูกถ่ายหัวใจ แต่ยังอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการปลูกถ่ายได้ด้วย ในสหรัฐฯ มีการทดลองในเฟสเริ่มต้น (Early Feasibility Study) โดยติดตั้งให้กับผู้ป่วย 5 ราย ซึ่งอุปกรณ์สามารถสนับสนุนชีวิตของพวกเขาได้ในระยะเวลาหลายสัปดาห์ และการทดลองนี้กำลังขยายจำนวนผู้เข้าร่วม

    https://www.techspot.com/news/107125-man-lives-100-days-artificial-titanium-heart-world.html
    นี่เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความสำเร็จทางการแพทย์ครั้งสำคัญครับ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ในออสเตรเลียได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการติดตั้ง "หัวใจเทียมไทเทเนียม" (BiVACOR Total Artificial Heart) ช่วยให้ผู้ป่วยชายวัย 40 ปีมีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 วันก่อนจะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจริงในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หัวใจเทียมนี้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยใช้ การลอยด้วยแม่เหล็ก (magnetic levitation) ซึ่งเหมือนกับเทคโนโลยีของรถไฟหัวกระสุน เพื่อลดการสึกหรอและทำงานแทนหัวใจทั้งสองห้องที่ล้มเหลว มันถูกออกแบบให้ใช้ไทเทเนียมเนื่องจากเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนการกัดกร่อน และเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ การผ่าตัดที่กินเวลา 6 ชั่วโมงนี้ดำเนินการที่โรงพยาบาล St. Vincent's ในซิดนีย์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย Artificial Heart Frontiers Program นำโดย Monash University โครงการนี้มีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจำนวนมากทั่วโลก น่าสนใจที่อุปกรณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยต่ออายุขณะรอการปลูกถ่ายหัวใจ แต่ยังอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการปลูกถ่ายได้ด้วย ในสหรัฐฯ มีการทดลองในเฟสเริ่มต้น (Early Feasibility Study) โดยติดตั้งให้กับผู้ป่วย 5 ราย ซึ่งอุปกรณ์สามารถสนับสนุนชีวิตของพวกเขาได้ในระยะเวลาหลายสัปดาห์ และการทดลองนี้กำลังขยายจำนวนผู้เข้าร่วม https://www.techspot.com/news/107125-man-lives-100-days-artificial-titanium-heart-world.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Man lives 100 days with artificial titanium heart in world-first medical success
    The patient, a man in his 40s from New South Wales, received the BiVACOR Total Artificial Heart (TAH) during a six-hour procedure at St. Vincent's Hospital in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะที่เทคโนโลยี GenAI ถูกมองว่าเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับองค์กรในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน แต่การนำมาใช้งานกลับเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเองโดยตรง แต่เกิดจาก "การขาดการฝึกอบรมพนักงาน" ซึ่งกลายเป็นปัญหาหลัก

    จากการสำรวจพบว่า มีเพียง 45% ขององค์กรที่ให้การอบรมพื้นฐานเกี่ยวกับ GenAI และแค่ 40% ที่เสนอการฝึกอบรมเฉพาะทางสำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีนี้ สิ่งนี้ทำให้พนักงานส่วนใหญ่มักต้องเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือด้วยตัวเอง หรือไม่ก็เลือกที่จะไม่ลองใช้เลย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการพลิกโฉมวิธีการทำงาน

    ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
    - การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน: GenAI ไม่ได้เป็นแค่การปรับปรุงเล็กๆ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานใหม่ทั้งหมด
    - ความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: แม้บางองค์กรจะมีการฝึกอบรม แต่ก็พบว่าพนักงานมักยึดติดกับการใช้เครื่องมือเดิมๆ เช่น Microsoft Office หรือ Google Workspace ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัว
    - การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ: อินเทอร์เฟซของ GenAI ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังดูเหมือนไม่สมบูรณ์และใช้งานยาก เช่น การใช้ข้อความสั่งงานที่ไม่สะดวกหรือการเชื่อมต่อที่ไม่ราบรื่น

    การนำ GenAI มาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องเริ่มจากการลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานอย่างจริงจัง องค์กรควรมีแผนการศึกษาและการพัฒนาที่ชัดเจน เพื่อให้พนักงานเข้าใจและสามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ควรเน้นการสร้างระบบที่ใช้ง่ายและเข้าถึงได้ดียิ่งขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107136-biggest-barrier-enterprise-ai-adoption-isnt-technology-training.html
    ในขณะที่เทคโนโลยี GenAI ถูกมองว่าเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับองค์กรในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน แต่การนำมาใช้งานกลับเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเองโดยตรง แต่เกิดจาก "การขาดการฝึกอบรมพนักงาน" ซึ่งกลายเป็นปัญหาหลัก จากการสำรวจพบว่า มีเพียง 45% ขององค์กรที่ให้การอบรมพื้นฐานเกี่ยวกับ GenAI และแค่ 40% ที่เสนอการฝึกอบรมเฉพาะทางสำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีนี้ สิ่งนี้ทำให้พนักงานส่วนใหญ่มักต้องเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือด้วยตัวเอง หรือไม่ก็เลือกที่จะไม่ลองใช้เลย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการพลิกโฉมวิธีการทำงาน ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติม: - การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน: GenAI ไม่ได้เป็นแค่การปรับปรุงเล็กๆ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานใหม่ทั้งหมด - ความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: แม้บางองค์กรจะมีการฝึกอบรม แต่ก็พบว่าพนักงานมักยึดติดกับการใช้เครื่องมือเดิมๆ เช่น Microsoft Office หรือ Google Workspace ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัว - การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ: อินเทอร์เฟซของ GenAI ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังดูเหมือนไม่สมบูรณ์และใช้งานยาก เช่น การใช้ข้อความสั่งงานที่ไม่สะดวกหรือการเชื่อมต่อที่ไม่ราบรื่น การนำ GenAI มาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องเริ่มจากการลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานอย่างจริงจัง องค์กรควรมีแผนการศึกษาและการพัฒนาที่ชัดเจน เพื่อให้พนักงานเข้าใจและสามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ควรเน้นการสร้างระบบที่ใช้ง่ายและเข้าถึงได้ดียิ่งขึ้น https://www.techspot.com/news/107136-biggest-barrier-enterprise-ai-adoption-isnt-technology-training.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The biggest barrier to enterprise AI adoption isn't technology - it's training
    One of the biggest questions currently facing the tech industry is how quickly and extensively enterprises worldwide will adopt GenAI applications and services. My in-depth research report...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กับก้าวกระโดดครั้งใหม่ของ TypeScript หากคุณเป็นนักพัฒนาที่ใช้ TypeScript คุณอาจเคยเจอปัญหาโหลดโค้ดนานหรือคอมไพล์ที่กินเวลานาน โดยเฉพาะในโครงการที่มีขนาดใหญ่ ตอนนี้ Microsoft มีคำตอบด้วยการพัฒนา TypeScript ให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยอาศัยการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานไปใช้กับภาษา Go แทน JavaScript ในปัจจุบัน

    ประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุด:
    1) ความเร็ว: Startup time ของโปรแกรมและเวลาในการคอมไพล์โค้ดลดลง 10 เท่า
    2) การใช้หน่วยความจำที่มีประสิทธิภาพ: หน่วยความจำลดลงเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับเวอร์ชันเก่า
    3) รองรับโครงการใหญ่: ปัญหาการโหลดโค้ดขนาดใหญ่จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป

    Microsoft ยังเน้นการปรับปรุงเพื่อช่วยนักพัฒนาที่ทำงานกับ AI ซึ่งต้องการเครื่องมือที่รวดเร็วเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในเวลาสั้นๆ ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ดีกว่าที่เคย

    ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจ เช่น เมื่อทดสอบกับโปรเจ็กต์ยอดนิยมใน GitHub อย่าง TypeORM ผลลัพธ์ที่ได้แสดงถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึง 13.5 เท่า!

    ในอนาคต Microsoft มีแผนเปิดตัว TypeScript เวอร์ชัน 7.0 ที่พัฒนาใน Go เพื่อช่วยนักพัฒนาให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังคงสนับสนุน TypeScript เวอร์ชันเก่าสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น

    https://www.techspot.com/news/107139-microsoft-making-typescript-10x-faster-native-implementation-go.html
    Microsoft กับก้าวกระโดดครั้งใหม่ของ TypeScript หากคุณเป็นนักพัฒนาที่ใช้ TypeScript คุณอาจเคยเจอปัญหาโหลดโค้ดนานหรือคอมไพล์ที่กินเวลานาน โดยเฉพาะในโครงการที่มีขนาดใหญ่ ตอนนี้ Microsoft มีคำตอบด้วยการพัฒนา TypeScript ให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยอาศัยการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานไปใช้กับภาษา Go แทน JavaScript ในปัจจุบัน ประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุด: 1) ความเร็ว: Startup time ของโปรแกรมและเวลาในการคอมไพล์โค้ดลดลง 10 เท่า 2) การใช้หน่วยความจำที่มีประสิทธิภาพ: หน่วยความจำลดลงเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับเวอร์ชันเก่า 3) รองรับโครงการใหญ่: ปัญหาการโหลดโค้ดขนาดใหญ่จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป Microsoft ยังเน้นการปรับปรุงเพื่อช่วยนักพัฒนาที่ทำงานกับ AI ซึ่งต้องการเครื่องมือที่รวดเร็วเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในเวลาสั้นๆ ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ดีกว่าที่เคย ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจ เช่น เมื่อทดสอบกับโปรเจ็กต์ยอดนิยมใน GitHub อย่าง TypeORM ผลลัพธ์ที่ได้แสดงถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึง 13.5 เท่า! ในอนาคต Microsoft มีแผนเปิดตัว TypeScript เวอร์ชัน 7.0 ที่พัฒนาใน Go เพื่อช่วยนักพัฒนาให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังคงสนับสนุน TypeScript เวอร์ชันเก่าสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น https://www.techspot.com/news/107139-microsoft-making-typescript-10x-faster-native-implementation-go.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft is making TypeScript 10x faster with native implementation in Go
    TypeScript should soon become 10x faster on average. Anders Hejlsberg's team at Microsoft is working on a radical improvement to its performance with a new native port...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ออกมาขอโทษและคืนสถานะให้กับปลั๊กอินยอดนิยมสองตัวใน Visual Studio Code Marketplace ได้แก่ "Material Theme – Free" และ "Material Theme Icons – Free" หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกถอดออกเพราะสงสัยว่ามีโค้ดอันตราย

    เมื่อต้นปีนี้ นักวิจัยของ Microsoft ตรวจพบโค้ดที่ถูกเข้ารหัส (Obfuscated Code) ในปลั๊กอินทั้งสองตัว ซึ่งถูกมองว่าอาจมีเจตนาร้าย โดยโค้ดนี้อยู่ในไฟล์ "release-notes.js" ซึ่งมีการเรียกใช้ความสามารถในการรันโค้ดจากที่อื่น ทั้งนี้ ปลั๊กอินเหล่านี้ถูกใช้งานมากกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก

    เมื่อปลั๊กอินถูกถอดออก ผู้พัฒนาปลั๊กอินชื่อ Mattia Astorino หรือ "equinusocio" ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ โดยกล่าวว่าปัญหาเกิดจากการใช้งาน Library เก่าที่ชื่อ "sanity.io" ซึ่งไม่ได้ถูกอัปเดตมานานหลายปี แม้โค้ดจะดูเหมือนน่าสงสัย แต่ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย และสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ หาก Microsoft แจ้งก่อน

    Microsoft ยอมรับผิดพลาด ภายหลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม Microsoft ได้ค้นพบว่าการประเมินในครั้งแรกเป็นการสรุปผลที่ผิดพลาด โดยไม่มีเจตนาร้ายจากผู้พัฒนา ทำให้พวกเขาตัดสินใจคืนสถานะให้ปลั๊กอินอีกครั้ง พร้อมขอโทษผู้พัฒนาอย่างเป็นทางการ

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม
    - การพัฒนาเครื่องมือ AI ในการตรวจสอบโค้ด: เหตุการณ์นี้แสดงถึงความสำคัญของ AI ที่ใช้สำหรับตรวจจับความเสี่ยง แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมนุษย์
    - การเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต: Microsoft มีแผนปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับโค้ดที่ถูกเข้ารหัสและเพิ่มความแม่นยำให้กับเครื่องมือสแกน เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดในอนาคต

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-apologizes-for-removing-vscode-extensions-used-by-millions/
    Microsoft ได้ออกมาขอโทษและคืนสถานะให้กับปลั๊กอินยอดนิยมสองตัวใน Visual Studio Code Marketplace ได้แก่ "Material Theme – Free" และ "Material Theme Icons – Free" หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกถอดออกเพราะสงสัยว่ามีโค้ดอันตราย เมื่อต้นปีนี้ นักวิจัยของ Microsoft ตรวจพบโค้ดที่ถูกเข้ารหัส (Obfuscated Code) ในปลั๊กอินทั้งสองตัว ซึ่งถูกมองว่าอาจมีเจตนาร้าย โดยโค้ดนี้อยู่ในไฟล์ "release-notes.js" ซึ่งมีการเรียกใช้ความสามารถในการรันโค้ดจากที่อื่น ทั้งนี้ ปลั๊กอินเหล่านี้ถูกใช้งานมากกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก เมื่อปลั๊กอินถูกถอดออก ผู้พัฒนาปลั๊กอินชื่อ Mattia Astorino หรือ "equinusocio" ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ โดยกล่าวว่าปัญหาเกิดจากการใช้งาน Library เก่าที่ชื่อ "sanity.io" ซึ่งไม่ได้ถูกอัปเดตมานานหลายปี แม้โค้ดจะดูเหมือนน่าสงสัย แต่ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย และสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ หาก Microsoft แจ้งก่อน Microsoft ยอมรับผิดพลาด ภายหลังจากการสอบสวนเพิ่มเติม Microsoft ได้ค้นพบว่าการประเมินในครั้งแรกเป็นการสรุปผลที่ผิดพลาด โดยไม่มีเจตนาร้ายจากผู้พัฒนา ทำให้พวกเขาตัดสินใจคืนสถานะให้ปลั๊กอินอีกครั้ง พร้อมขอโทษผู้พัฒนาอย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม - การพัฒนาเครื่องมือ AI ในการตรวจสอบโค้ด: เหตุการณ์นี้แสดงถึงความสำคัญของ AI ที่ใช้สำหรับตรวจจับความเสี่ยง แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมนุษย์ - การเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต: Microsoft มีแผนปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับโค้ดที่ถูกเข้ารหัสและเพิ่มความแม่นยำให้กับเครื่องมือสแกน เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดในอนาคต https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-apologizes-for-removing-vscode-extensions-used-by-millions/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft apologizes for removing VSCode extensions used by millions
    Microsoft has reinstated the 'Material Theme - Free' and 'Material Theme Icons - Free' extensions on the Visual Studio Marketplace after finding that the obfuscated code they contained wasn't actually malicious.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ PHP ที่มีความร้ายแรง ซึ่งขณะนี้ถูกโจมตีในวงกว้างแล้ว! ชื่อของช่องโหว่คือ CVE-2024-4577 เป็นปัญหาเกี่ยวกับการฉีดคำสั่งที่ส่งผลกระทบต่อระบบ Windows ที่ใช้ PHP ในโหมด CGI ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 แต่ยังคงมีการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีอย่างต่อเนื่อง

    เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อ WatchTowr Labs เผยแพร่โค้ดตัวอย่าง (Proof-of-Concept) เพียงหนึ่งวันหลังจากการปล่อยแพตช์ และพบว่ามีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการขโมยข้อมูลในองค์กรของญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี 2025 ต่อมา การโจมตีก็ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น รวมถึงในประเทศเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และจีน

    สิ่งที่สำคัญคือ การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้หยุดแค่การขโมยข้อมูล พวกเขายังพยายามติดตั้งโปรแกรมไม่พึงประสงค์ เช่น ransomware เพื่อทำลายข้อมูลอีกด้วย เช่น กลุ่ม TellYouThePass ใช้ช่องโหว่นี้ในการเข้ารหัสระบบของเหยื่อหลังปล่อยแพตช์ไปเพียง 48 ชั่วโมง

    น่าสนใจที่บริษัท GreyNoise พบว่ามีถึง 79 โค้ดโจมตีที่สามารถพบได้ออนไลน์ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีการสแกนระบบจำนวนมากเพื่อหาช่องโหว่นี้

    สิ่งที่ควรเรียนรู้จากเรื่องนี้คือ
    - การอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง
    - การมีมาตรการป้องกันระบบที่รัดกุม เช่น การตรวจสอบ Log อย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/critical-php-rce-vulnerability-mass-exploited-in-new-attacks/
    ข่าวนี้เกี่ยวกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ PHP ที่มีความร้ายแรง ซึ่งขณะนี้ถูกโจมตีในวงกว้างแล้ว! ชื่อของช่องโหว่คือ CVE-2024-4577 เป็นปัญหาเกี่ยวกับการฉีดคำสั่งที่ส่งผลกระทบต่อระบบ Windows ที่ใช้ PHP ในโหมด CGI ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 แต่ยังคงมีการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อ WatchTowr Labs เผยแพร่โค้ดตัวอย่าง (Proof-of-Concept) เพียงหนึ่งวันหลังจากการปล่อยแพตช์ และพบว่ามีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการขโมยข้อมูลในองค์กรของญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี 2025 ต่อมา การโจมตีก็ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น รวมถึงในประเทศเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และจีน สิ่งที่สำคัญคือ การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้หยุดแค่การขโมยข้อมูล พวกเขายังพยายามติดตั้งโปรแกรมไม่พึงประสงค์ เช่น ransomware เพื่อทำลายข้อมูลอีกด้วย เช่น กลุ่ม TellYouThePass ใช้ช่องโหว่นี้ในการเข้ารหัสระบบของเหยื่อหลังปล่อยแพตช์ไปเพียง 48 ชั่วโมง น่าสนใจที่บริษัท GreyNoise พบว่ามีถึง 79 โค้ดโจมตีที่สามารถพบได้ออนไลน์ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีการสแกนระบบจำนวนมากเพื่อหาช่องโหว่นี้ สิ่งที่ควรเรียนรู้จากเรื่องนี้คือ - การอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง - การมีมาตรการป้องกันระบบที่รัดกุม เช่น การตรวจสอบ Log อย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น https://www.bleepingcomputer.com/news/security/critical-php-rce-vulnerability-mass-exploited-in-new-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Critical PHP RCE vulnerability mass exploited in new attacks
    Threat intelligence company GreyNoise warns that a critical PHP remote code execution vulnerability that impacts Windows systems is now under mass exploitation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • Asus และ Microsoft อาจร่วมกันเปิดตัวอุปกรณ์พกพาสำหรับเล่นเกม Xbox ในปี 2025 ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Kennan ซึ่งเป็นชื่อรหัสสำหรับอุปกรณ์พกพาที่ Asus พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเล่นเกม Xbox โดยเฉพาะ

    Microsoft กำลังดำเนินโครงการที่ชื่อว่า Project Bayside ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์คที่ช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และ Xbox ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน การปรับปรุงนี้จะส่งผลให้การใช้งานเกม Xbox บนอุปกรณ์หลากหลายประเภทสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอุปกรณ์พกพาของ Asus ก็จะใช้เฟรมเวิร์คนี้เช่นกัน ทำให้มีอินเทอร์เฟซแบบ Xbox ที่คุ้นเคย แต่ยังคงอยู่บนระบบพื้นฐานของ Windows

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือแนวโน้มของตลาดเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ Steam Deck ในปี 2022 ตลาดนี้กำลังมีการแข่งขันสูงขึ้น เช่น Lenovo เริ่มเปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพาของตนเองในราคาที่แข่งขันได้ และมาพร้อมระบบปฏิบัติการทางเลือกอย่าง SteamOS ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับ Microsoft ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดเกมของตน

    การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ ทั้งในด้านนวัตกรรมและการปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากข่าวลือนี้เป็นจริง เราอาจได้เห็น Xbox แบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นในยุคใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2025

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/asus-rumored-to-launch-xbox-handheld-in-2025-oem-working-with-microsoft-to-unify-windows-and-xbox-libraries
    Asus และ Microsoft อาจร่วมกันเปิดตัวอุปกรณ์พกพาสำหรับเล่นเกม Xbox ในปี 2025 ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Kennan ซึ่งเป็นชื่อรหัสสำหรับอุปกรณ์พกพาที่ Asus พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเล่นเกม Xbox โดยเฉพาะ Microsoft กำลังดำเนินโครงการที่ชื่อว่า Project Bayside ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์คที่ช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และ Xbox ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน การปรับปรุงนี้จะส่งผลให้การใช้งานเกม Xbox บนอุปกรณ์หลากหลายประเภทสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอุปกรณ์พกพาของ Asus ก็จะใช้เฟรมเวิร์คนี้เช่นกัน ทำให้มีอินเทอร์เฟซแบบ Xbox ที่คุ้นเคย แต่ยังคงอยู่บนระบบพื้นฐานของ Windows สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือแนวโน้มของตลาดเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ Steam Deck ในปี 2022 ตลาดนี้กำลังมีการแข่งขันสูงขึ้น เช่น Lenovo เริ่มเปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพาของตนเองในราคาที่แข่งขันได้ และมาพร้อมระบบปฏิบัติการทางเลือกอย่าง SteamOS ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับ Microsoft ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดเกมของตน การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ ทั้งในด้านนวัตกรรมและการปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากข่าวลือนี้เป็นจริง เราอาจได้เห็น Xbox แบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นในยุคใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2025 https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/asus-rumored-to-launch-xbox-handheld-in-2025-oem-working-with-microsoft-to-unify-windows-and-xbox-libraries
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม! นักวิจัยจากกลุ่ม Quantum Internet Alliance (QIA) ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำอย่าง TU Delft และ QuTech ได้พัฒนา QNodeOS ระบบปฏิบัติการตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเครือข่ายควอนตัมโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายเชิงควอนตัมในอนาคต

    QNodeOS มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น
    1) ไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์ – นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบฮาร์ดแวร์เชิงลึกก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับเครือข่ายควอนตัมได้
    2) รองรับภาษาระดับสูง – ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันสะดวกขึ้น เหมือนกับการเขียนโปรแกรมทั่วไป
    3) รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) – ช่วยใช้ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ให้คุ้มค่าที่สุด

    ในการทดลอง ทีมวิจัยได้ใช้งาน QNodeOS กับเครือข่ายควอนตัมที่เชื่อมต่อด้วย diamond color centers ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้ศูนย์ไนโตรเจนในเพชรในการจัดเก็บควอนตัมบิต (qubit)

    สิ่งนี้สำคัญมากเพราะเครือข่ายควอนตัมไม่ได้มีหน้าที่คำนวณเหมือนคอมพิวเตอร์ควอนตัม แต่จะช่วยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมและจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้หลักการควอนตัม เช่น การพัวพัน (entanglement) และ การซ้อนทับ (superposition) โดยมีระบบจัดการที่ฉลาดขึ้น เพื่อช่วยให้เครือข่ายทำงานได้ราบรื่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/qnodeos-claims-to-be-the-first-operating-system-for-quantum-networks-paving-the-way-for-future-quantum-applications
    ข่าวนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม! นักวิจัยจากกลุ่ม Quantum Internet Alliance (QIA) ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำอย่าง TU Delft และ QuTech ได้พัฒนา QNodeOS ระบบปฏิบัติการตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเครือข่ายควอนตัมโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายเชิงควอนตัมในอนาคต QNodeOS มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น 1) ไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์ – นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบฮาร์ดแวร์เชิงลึกก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับเครือข่ายควอนตัมได้ 2) รองรับภาษาระดับสูง – ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันสะดวกขึ้น เหมือนกับการเขียนโปรแกรมทั่วไป 3) รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) – ช่วยใช้ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ให้คุ้มค่าที่สุด ในการทดลอง ทีมวิจัยได้ใช้งาน QNodeOS กับเครือข่ายควอนตัมที่เชื่อมต่อด้วย diamond color centers ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้ศูนย์ไนโตรเจนในเพชรในการจัดเก็บควอนตัมบิต (qubit) สิ่งนี้สำคัญมากเพราะเครือข่ายควอนตัมไม่ได้มีหน้าที่คำนวณเหมือนคอมพิวเตอร์ควอนตัม แต่จะช่วยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมและจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้หลักการควอนตัม เช่น การพัวพัน (entanglement) และ การซ้อนทับ (superposition) โดยมีระบบจัดการที่ฉลาดขึ้น เพื่อช่วยให้เครือข่ายทำงานได้ราบรื่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/qnodeos-claims-to-be-the-first-operating-system-for-quantum-networks-paving-the-way-for-future-quantum-applications
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงปรากฏการณ์ใหม่ในวงการการเงินและเทคโนโลยี โดย IPv4.Global ได้เปิดตัวโครงการปล่อยสินเชื่อที่นำ ที่อยู่ IPv4 มาใช้เป็นหลักประกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทรัพย์สินดิจิทัลในรูปแบบนี้ได้รับการยอมรับในแวดวงการเงินแบบนี้

    ที่อยู่ IPv4 เป็นเลขระบุตำแหน่งอุปกรณ์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่ด้วยการที่มีเพียง 4.3 พันล้านที่อยู่เท่านั้น ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนราคาของที่อยู่เหล่านี้พุ่งสูงขึ้น และตอนนี้ยังสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมเงินได้อีกด้วย!

    โครงการนี้เริ่มต้นด้วยลูกค้ารายแรกซึ่งเป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ที่ใช้ที่อยู่ IPv4 ของตัวเองเป็นหลักประกันในการเพิ่มเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ และความสำเร็จนี้ทำให้ IPv4.Global เปิดรับลูกค้าทุกขนาด โดยจัดการซื้อขาย เช่า และกู้ยืมที่อยู่ IPv4 อย่างกว้างขวาง

    แต่ในมุมของอนาคต IPv6 ซึ่งมีศักยภาพรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า (จาก 4.3 พันล้าน เป็น 340 อันเดซิลเลียนที่อยู่!) กำลังรอคอยการเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังมีอุปสรรคเช่น ค่าใช้จ่าย ความซับซ้อนทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ IPv4 ยังคงมีบทบาทสำคัญ

    ที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้ถือครอง IPv4 แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางที่โลกมุ่งสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในมิติใหม่ ใครจะรู้ว่าอนาคตเราอาจใช้ที่อยู่ดิจิทัลอื่น ๆ เช่น NFTs หรือโทเค็นต่าง ๆ มาเป็นหลักประกันทางการเงินด้วยก็ได้

    https://www.tomshardware.com/networking/public-ipv4-addresses-are-now-valuable-loan-collateral-and-can-be-worth-millions
    ข่าวนี้เล่าถึงปรากฏการณ์ใหม่ในวงการการเงินและเทคโนโลยี โดย IPv4.Global ได้เปิดตัวโครงการปล่อยสินเชื่อที่นำ ที่อยู่ IPv4 มาใช้เป็นหลักประกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทรัพย์สินดิจิทัลในรูปแบบนี้ได้รับการยอมรับในแวดวงการเงินแบบนี้ ที่อยู่ IPv4 เป็นเลขระบุตำแหน่งอุปกรณ์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่ด้วยการที่มีเพียง 4.3 พันล้านที่อยู่เท่านั้น ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนราคาของที่อยู่เหล่านี้พุ่งสูงขึ้น และตอนนี้ยังสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมเงินได้อีกด้วย! โครงการนี้เริ่มต้นด้วยลูกค้ารายแรกซึ่งเป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ที่ใช้ที่อยู่ IPv4 ของตัวเองเป็นหลักประกันในการเพิ่มเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ และความสำเร็จนี้ทำให้ IPv4.Global เปิดรับลูกค้าทุกขนาด โดยจัดการซื้อขาย เช่า และกู้ยืมที่อยู่ IPv4 อย่างกว้างขวาง แต่ในมุมของอนาคต IPv6 ซึ่งมีศักยภาพรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า (จาก 4.3 พันล้าน เป็น 340 อันเดซิลเลียนที่อยู่!) กำลังรอคอยการเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังมีอุปสรรคเช่น ค่าใช้จ่าย ความซับซ้อนทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ IPv4 ยังคงมีบทบาทสำคัญ ที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้ถือครอง IPv4 แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางที่โลกมุ่งสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในมิติใหม่ ใครจะรู้ว่าอนาคตเราอาจใช้ที่อยู่ดิจิทัลอื่น ๆ เช่น NFTs หรือโทเค็นต่าง ๆ มาเป็นหลักประกันทางการเงินด้วยก็ได้ https://www.tomshardware.com/networking/public-ipv4-addresses-are-now-valuable-loan-collateral-and-can-be-worth-millions
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Public IPv4 addresses are now valuable loan collateral and can be worth millions
    IPv4.Global launched a new lending program where your IPv4 assets are your collateral.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงการประกาศผลการทดสอบประสิทธิภาพของการ์ดจอ AMD RDNA 3 รุ่นมืออาชีพ ที่มาพร้อมกับ VRAM ขนาดใหญ่ถึง 48GB ซึ่งได้รับการเปรียบเทียบกับการ์ดจอของ Nvidia รุ่น RTX 4090 และพบว่ามีประสิทธิภาพที่น่าทึ่งในงานที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะในงานประมวลผลโมเดลภาษาใหญ่ (LLM)

    AMD แสดงให้เห็นว่าการ์ดจอ Radeon Pro W7800 และ W7900 สามารถทำความเร็วได้สูงกว่า RTX 4090 ถึง 7.3 เท่าในบางกรณี เช่น การประมวลผลโมเดล Distill Qwen 32B และ Distill Llama 70B โดยข้อมูลนี้อ้างอิงจากการทดสอบในชุด DeepSeek R1

    จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ขนาดของ VRAM เพราะการประมวลผลโมเดลใหญ่ต้องใช้หน่วยความจำมหาศาล เช่น โมเดล LLM ที่ต้องการ VRAM เพียงพอสำหรับจัดเก็บและประมวลผลพารามิเตอร์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การ์ดจอ Radeon Pro รุ่นนี้มีราคาสูงถึง $3,500 ซึ่งแพงกว่า RTX 4090 ถึงสองเท่า แต่ยังถูกกว่าการ์ดจอ Nvidia รุ่นระดับโปรที่มี VRAM ใกล้เคียงกัน

    นอกจากนี้ ตลาดการ์ดจอยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Nvidia มีการ์ด RTX 5090 รุ่นใหม่ที่มี VRAM 32GB ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีประสิทธิภาพการประมวลผลที่อาจจะเป็นตัวท้าชน AMD ในอนาคต

    การ์ดจอที่มี VRAM ขนาดใหญ่ไม่เพียงตอบโจทย์งาน AI แต่ยังเปิดประตูให้กับแอปพลิเคชันยุคใหม่ เช่น การสร้างโมเดลเชิงลึกและการพัฒนา AI ขั้นสูง หากคุณกำลังวางแผนงานเกี่ยวกับ AI อุปกรณ์เหล่านี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในแง่ของการลงทุนระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-rdna-3-professional-gpus-with-48gb-can-beat-nvidia-24gb-cards-in-ai-putting-the-large-in-llm
    ข่าวนี้พูดถึงการประกาศผลการทดสอบประสิทธิภาพของการ์ดจอ AMD RDNA 3 รุ่นมืออาชีพ ที่มาพร้อมกับ VRAM ขนาดใหญ่ถึง 48GB ซึ่งได้รับการเปรียบเทียบกับการ์ดจอของ Nvidia รุ่น RTX 4090 และพบว่ามีประสิทธิภาพที่น่าทึ่งในงานที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะในงานประมวลผลโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) AMD แสดงให้เห็นว่าการ์ดจอ Radeon Pro W7800 และ W7900 สามารถทำความเร็วได้สูงกว่า RTX 4090 ถึง 7.3 เท่าในบางกรณี เช่น การประมวลผลโมเดล Distill Qwen 32B และ Distill Llama 70B โดยข้อมูลนี้อ้างอิงจากการทดสอบในชุด DeepSeek R1 จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ขนาดของ VRAM เพราะการประมวลผลโมเดลใหญ่ต้องใช้หน่วยความจำมหาศาล เช่น โมเดล LLM ที่ต้องการ VRAM เพียงพอสำหรับจัดเก็บและประมวลผลพารามิเตอร์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การ์ดจอ Radeon Pro รุ่นนี้มีราคาสูงถึง $3,500 ซึ่งแพงกว่า RTX 4090 ถึงสองเท่า แต่ยังถูกกว่าการ์ดจอ Nvidia รุ่นระดับโปรที่มี VRAM ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ตลาดการ์ดจอยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Nvidia มีการ์ด RTX 5090 รุ่นใหม่ที่มี VRAM 32GB ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีประสิทธิภาพการประมวลผลที่อาจจะเป็นตัวท้าชน AMD ในอนาคต การ์ดจอที่มี VRAM ขนาดใหญ่ไม่เพียงตอบโจทย์งาน AI แต่ยังเปิดประตูให้กับแอปพลิเคชันยุคใหม่ เช่น การสร้างโมเดลเชิงลึกและการพัฒนา AI ขั้นสูง หากคุณกำลังวางแผนงานเกี่ยวกับ AI อุปกรณ์เหล่านี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในแง่ของการลงทุนระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-rdna-3-professional-gpus-with-48gb-can-beat-nvidia-24gb-cards-in-ai-putting-the-large-in-llm
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD RDNA 3 professional GPUs with 48GB can beat Nvidia 24GB cards in AI — putting the 'Large' in LLM
    Radeon Pro W7800/7900 48GB up to 7x faster in DeepSeek R1 benchmarks, but don't ask about the 5090.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท KIOXIA ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงถึง 122.88 เทราไบต์ (TB) ซึ่งเป็น SSD ตัวแรกที่ใช้เทคโนโลยี BiCS FLASH generation 8 และหน่วยความจำ QLC แบบ 3D ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่เกี่ยวข้องกับ AI และการจัดการข้อมูลมหาศาล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ SSD รุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0 ซึ่งให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงถึง 128 GT/s พร้อมทั้งมี dual-port capability ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่ระบบมีความผิดพลาด และสามารถเชื่อมต่อกับหลายระบบคอมพิวเตอร์ได้พร้อมกัน ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในระบบ hybrid cloud และ multi-cloud

    SSD ตัวนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI โดยเฉพาะ เช่น การฝึกฝนโมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) การจัดการฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ และการดึงข้อมูลมาใช้สำหรับการปรับปรุงโมเดล AI อย่างรวดเร็ว

    อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ KIOXIA ยังพัฒนาเทคโนโลยีที่ชื่อว่า AiSAQ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานแบบ Retrieval Augmented Generation (RAG) โดยลดการพึ่งพาหน่วยความจำแบบ DRAM ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงลง และยังช่วยประหยัดพลังงานต่อเทราไบต์เมื่อเทียบกับ SSD ขนาดเล็กกว่า

    แน่นอนว่า SSD ตัวนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่ต้องการ ความจุสูงขึ้นและความเร็วในการประมวลผลที่มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์งานด้าน AI ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    https://www.techpowerup.com/334049/kioxia-unveils-high-capacity-lc9-series-122-88-tb-nvme-ssds-for-ai-applications
    บริษัท KIOXIA ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงถึง 122.88 เทราไบต์ (TB) ซึ่งเป็น SSD ตัวแรกที่ใช้เทคโนโลยี BiCS FLASH generation 8 และหน่วยความจำ QLC แบบ 3D ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่เกี่ยวข้องกับ AI และการจัดการข้อมูลมหาศาล สิ่งที่น่าสนใจคือ SSD รุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0 ซึ่งให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงถึง 128 GT/s พร้อมทั้งมี dual-port capability ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่ระบบมีความผิดพลาด และสามารถเชื่อมต่อกับหลายระบบคอมพิวเตอร์ได้พร้อมกัน ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในระบบ hybrid cloud และ multi-cloud SSD ตัวนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI โดยเฉพาะ เช่น การฝึกฝนโมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) การจัดการฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ และการดึงข้อมูลมาใช้สำหรับการปรับปรุงโมเดล AI อย่างรวดเร็ว อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ KIOXIA ยังพัฒนาเทคโนโลยีที่ชื่อว่า AiSAQ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานแบบ Retrieval Augmented Generation (RAG) โดยลดการพึ่งพาหน่วยความจำแบบ DRAM ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงลง และยังช่วยประหยัดพลังงานต่อเทราไบต์เมื่อเทียบกับ SSD ขนาดเล็กกว่า แน่นอนว่า SSD ตัวนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่ต้องการ ความจุสูงขึ้นและความเร็วในการประมวลผลที่มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์งานด้าน AI ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว https://www.techpowerup.com/334049/kioxia-unveils-high-capacity-lc9-series-122-88-tb-nvme-ssds-for-ai-applications
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    KIOXIA Unveils High-Capacity LC9 Series 122.88 TB NVMe SSDs for AI Applications
    KIOXIA America, Inc. today announced the development of its new LC9 Series 122.88 terabyte (TB) capacity NVMe SSD in a 2.5-inch form factor - the first SSD built with the company's BiCS FLASH generation 8 3D flash memory technology QLC 2 terabit (Tb) die. As AI systems become increasingly sophist...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว