• SBI Holdings หรือที่รู้จักในชื่อ Strategic Business Innovator Group เป็นกลุ่มบริษัทด้านบริการทางการเงินที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับ SK Hynix จากเกาหลีใต้ และ UMC จากไต้หวัน เพื่อความร่วมมือในการสร้างโรงงานชิปแห่งใหม่ในจังหวัดมิยากิ ประเทศญี่ปุ่น โรงงานแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่กระบวนการ DRAM ขั้นปลาย (back-end DRAM processes) ร่วมกับ SK Hynix และการผลิตชิปสำหรับยานยนต์ร่วมกับ UMC ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพในอุตสาหกรรมชิปที่กำลังเติบโตในญี่ปุ่น

    SBI ได้ประกาศยุบโครงการร่วมทุนกับ Powerchip Semiconductor Manufacturing Corp. ของไต้หวันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยในตอนนั้น SBI ระบุว่าจะมองหาพันธมิตรใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวกับชิป การเจรจากับ SK Hynix และ UMC ครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่บ่งบอกถึงทิศทางใหม่ในการขยายธุรกิจ

    สิ่งที่น่าสังเกตคือโครงการนี้อาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากรัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายจากวิกฤตซัพพลายเชนระดับโลก

    การสร้างโรงงานในญี่ปุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดชิปในประเทศ แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าและ AI ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/sbi-negotiating-with-sk-hynix-umc-on-japan-chip-plant-collaboration-report-says
    SBI Holdings หรือที่รู้จักในชื่อ Strategic Business Innovator Group เป็นกลุ่มบริษัทด้านบริการทางการเงินที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับ SK Hynix จากเกาหลีใต้ และ UMC จากไต้หวัน เพื่อความร่วมมือในการสร้างโรงงานชิปแห่งใหม่ในจังหวัดมิยากิ ประเทศญี่ปุ่น โรงงานแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่กระบวนการ DRAM ขั้นปลาย (back-end DRAM processes) ร่วมกับ SK Hynix และการผลิตชิปสำหรับยานยนต์ร่วมกับ UMC ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพในอุตสาหกรรมชิปที่กำลังเติบโตในญี่ปุ่น SBI ได้ประกาศยุบโครงการร่วมทุนกับ Powerchip Semiconductor Manufacturing Corp. ของไต้หวันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยในตอนนั้น SBI ระบุว่าจะมองหาพันธมิตรใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวกับชิป การเจรจากับ SK Hynix และ UMC ครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่บ่งบอกถึงทิศทางใหม่ในการขยายธุรกิจ สิ่งที่น่าสังเกตคือโครงการนี้อาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากรัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายจากวิกฤตซัพพลายเชนระดับโลก การสร้างโรงงานในญี่ปุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดชิปในประเทศ แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าและ AI ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/sbi-negotiating-with-sk-hynix-umc-on-japan-chip-plant-collaboration-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SBI negotiating with SK Hynix, UMC on Japan chip plant collaboration, report says
    TOKYO (Reuters) - SBI Holdings is negotiating with South Korea's SK Hynix and Taiwan's UMC about collaboration on a chips plant the financial firm is planning in Japan's Miyagi prefecture, Nikkan Kogyo newspaper reported on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 595 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/b5AE-xjwhNw?si=FdK8l-nTIx7mt20y
    https://www.youtube.com/live/b5AE-xjwhNw?si=FdK8l-nTIx7mt20y
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • Western Digital บริษัทผู้ผลิตสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน ได้ตัดสินใจสำคัญที่จะยุติการมีส่วนร่วมในตลาด SSD โดยแยกกิจการที่เกี่ยวกับ NAND flash memory ออกไปให้กับ SanDisk ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2023 และได้ถูกสรุปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้

    การปรับโครงสร้างนี้หมายความว่า Western Digital จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยคาดว่าความต้องการใช้งาน HDD จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลจากแอปพลิเคชันคลาวด์, AI, และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงพึ่งพาสื่อบันทึกแบบนี้เป็นหลัก

    การพัฒนา SSD ในมือของ SanDisk ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการ NAND flash memory จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย SSD ต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ความร่วมมือกับผู้ผลิตชั้นนำเช่น Kioxia หรือ Samsung เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการผลิต

    สำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง WD Black SN850X นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเสียดาย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตจะไม่ใช้ชื่อ "WD" อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับตัวในแง่ของการรับรู้แบรนด์

    CEO ของ Western Digital, Irving Tan, ชี้ว่าการพัฒนา HDD ในอนาคตจะเน้นไปที่เทคโนโลยีอย่าง HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) เพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล เช่น AI data lakes และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning)

    นี่ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัสของ Western Digital เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโดยรวม ที่การจัดการซัพพลายเชนและการตอบสนองความต้องการข้อมูลในยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ การพึ่งพา HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/107039-western-digital-exits-ssd-market-shifts-focus-hard.html
    Western Digital บริษัทผู้ผลิตสื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน ได้ตัดสินใจสำคัญที่จะยุติการมีส่วนร่วมในตลาด SSD โดยแยกกิจการที่เกี่ยวกับ NAND flash memory ออกไปให้กับ SanDisk ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2023 และได้ถูกสรุปลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ การปรับโครงสร้างนี้หมายความว่า Western Digital จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) โดยคาดว่าความต้องการใช้งาน HDD จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อมูลจากแอปพลิเคชันคลาวด์, AI, และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ยังคงพึ่งพาสื่อบันทึกแบบนี้เป็นหลัก การพัฒนา SSD ในมือของ SanDisk ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการ NAND flash memory จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย SSD ต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ความร่วมมือกับผู้ผลิตชั้นนำเช่น Kioxia หรือ Samsung เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการผลิต สำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง WD Black SN850X นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเสียดาย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตจะไม่ใช้ชื่อ "WD" อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับตัวในแง่ของการรับรู้แบรนด์ CEO ของ Western Digital, Irving Tan, ชี้ว่าการพัฒนา HDD ในอนาคตจะเน้นไปที่เทคโนโลยีอย่าง HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) เพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล เช่น AI data lakes และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) นี่ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัสของ Western Digital เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโดยรวม ที่การจัดการซัพพลายเชนและการตอบสนองความต้องการข้อมูลในยุคใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ การพึ่งพา HDD สำหรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในอนาคต https://www.techspot.com/news/107039-western-digital-exits-ssd-market-shifts-focus-hard.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Western Digital exits SSD market, shifts focus to hard drives as SanDisk takes over NAND operations
    This move, which had been in development for some time, was finalized last week. The SSD division has been fully spun off into SanDisk, leaving Western Digital...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ NextGenAI ซึ่งเป็นการริเริ่มครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนการวิจัยและการศึกษาโดยอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) OpenAI กำลังทุ่มงบประมาณถึง 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษาและนักวิจัยชั้นนำ โดยมุ่งเน้นการมอบทรัพยากรต่าง ๆ เช่น ทุนวิจัย, การเข้าถึงทรัพยากรการประมวลผล, และ API ของโมเดล AI

    สิ่งที่น่าสนใจคือ NextGenAI ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการเดียว แต่เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือครั้งแรกระหว่าง OpenAI และ 15 สถาบันวิจัย ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร อาทิเช่น Harvard University, Duke University, และ Boston Children’s Hospital โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้สถาบันเหล่านี้นำ AI ของ OpenAI มาใช้เพื่อพัฒนาผลงานการวิจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้

    NextGenAI มีการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย:
    - ด้านสุขภาพ: Harvard University และ Boston Children’s Hospital ใช้ AI ของ OpenAI เพื่อลดเวลาในการวินิจฉัยผู้ป่วย ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดขั้นตอนที่ซับซ้อน
    - การจัดการความรู้: มหาวิทยาลัย Oxford และ Boston Public Library กำลังใช้ API ของ OpenAI เพื่อดิจิไทซ์หนังสือหายากและเอกสารในที่สาธารณะ ช่วยให้การเข้าถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
    - การศึกษา: University of Mississippi กำลังสำรวจว่าการใช้ AI สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการศึกษา การวิจัย และการบริการได้อย่างไร

    โครงการนี้ยังมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อทำให้นักเรียนและนักวิจัยสามารถเรียนรู้การใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่ว (AI-fluent) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการยอมรับ AI ในวงกว้างและสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต OpenAI มีเป้าหมายให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในทุกระดับ เช่นเดียวกับที่เคยทำกับโปรแกรม ChatGPT Edu ที่เปิดตัวในปี 2024 เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษา

    NextGenAI สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ OpenAI ที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นจากสังคม หลังจากที่บริษัทเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้เนื้อหาสร้างรายได้อย่างไม่โปร่งใส การริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับการศึกษาและการวิจัย แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกและเพิ่มการยอมรับในเทคโนโลยีของ OpenAI ในวงกว้าง

    https://www.techspot.com/news/107045-openai-launches-50m-nextgenai-consortium-fund-ai-based.html
    OpenAI ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ NextGenAI ซึ่งเป็นการริเริ่มครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนการวิจัยและการศึกษาโดยอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) OpenAI กำลังทุ่มงบประมาณถึง 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษาและนักวิจัยชั้นนำ โดยมุ่งเน้นการมอบทรัพยากรต่าง ๆ เช่น ทุนวิจัย, การเข้าถึงทรัพยากรการประมวลผล, และ API ของโมเดล AI สิ่งที่น่าสนใจคือ NextGenAI ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการเดียว แต่เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือครั้งแรกระหว่าง OpenAI และ 15 สถาบันวิจัย ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร อาทิเช่น Harvard University, Duke University, และ Boston Children’s Hospital โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้สถาบันเหล่านี้นำ AI ของ OpenAI มาใช้เพื่อพัฒนาผลงานการวิจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ NextGenAI มีการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย: - ด้านสุขภาพ: Harvard University และ Boston Children’s Hospital ใช้ AI ของ OpenAI เพื่อลดเวลาในการวินิจฉัยผู้ป่วย ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดขั้นตอนที่ซับซ้อน - การจัดการความรู้: มหาวิทยาลัย Oxford และ Boston Public Library กำลังใช้ API ของ OpenAI เพื่อดิจิไทซ์หนังสือหายากและเอกสารในที่สาธารณะ ช่วยให้การเข้าถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น - การศึกษา: University of Mississippi กำลังสำรวจว่าการใช้ AI สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการศึกษา การวิจัย และการบริการได้อย่างไร โครงการนี้ยังมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อทำให้นักเรียนและนักวิจัยสามารถเรียนรู้การใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่ว (AI-fluent) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการยอมรับ AI ในวงกว้างและสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต OpenAI มีเป้าหมายให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในทุกระดับ เช่นเดียวกับที่เคยทำกับโปรแกรม ChatGPT Edu ที่เปิดตัวในปี 2024 เพื่อสนับสนุนสถาบันการศึกษา NextGenAI สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ OpenAI ที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นจากสังคม หลังจากที่บริษัทเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้เนื้อหาสร้างรายได้อย่างไม่โปร่งใส การริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับการศึกษาและการวิจัย แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกและเพิ่มการยอมรับในเทคโนโลยีของ OpenAI ในวงกว้าง https://www.techspot.com/news/107045-openai-launches-50m-nextgenai-consortium-fund-ai-based.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    OpenAI launches $50M NextGenAI consortium to fund AI-based research and education
    OpenAI recently announced NextGenAI, a new consortium aimed at advancing research and education through AI-driven innovation. The company is committing $50 million from its growing financial reserves...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 631 มุมมอง 0 รีวิว
  • Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta ได้ประกาศโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internet Society เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการอินเทอร์เน็ต โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่การลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเน้นชุมชนในพื้นที่ด้อยพัฒนา

    Meta ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลที่ครอบคลุมถึงสามมหาสมุทร โดยเรียกชื่อว่า "Mother of All Submarine Cables" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก

    ในโครงการนี้ Meta และ Internet Society จะทุ่มงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่ยังขาดการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังวางแผนสร้าง "Internet Exchange Points" กว่า 56 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 45 ประเทศ

    โครงสร้างที่ถูกพัฒนาในโครงการนี้จะเน้นการเป็นเจ้าของในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองในด้านการจัดการและบำรุงรักษาระบบ

    ปัจจุบัน ประมาณ 2.6 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โครงการนี้จึงมีศักยภาพในการช่วยให้ชุมชนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง

    โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta ใช้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอินเทอร์เน็ตทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ภาคเอกชนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่

    https://www.techspot.com/news/107046-meta-partnership-promises-bring-affordable-internet-billions-worldwide.html
    Meta ได้ประกาศโครงการความร่วมมือครั้งสำคัญกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internet Society เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการอินเทอร์เน็ต โครงการนี้จะมุ่งเป้าไปที่การลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยเน้นชุมชนในพื้นที่ด้อยพัฒนา Meta ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลที่ครอบคลุมถึงสามมหาสมุทร โดยเรียกชื่อว่า "Mother of All Submarine Cables" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อเครือข่ายทั่วโลก ในโครงการนี้ Meta และ Internet Society จะทุ่มงบประมาณ 30 ล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030 เพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ยั่งยืนในพื้นที่ที่ยังขาดการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ ยังวางแผนสร้าง "Internet Exchange Points" กว่า 56 แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 45 ประเทศ โครงสร้างที่ถูกพัฒนาในโครงการนี้จะเน้นการเป็นเจ้าของในท้องถิ่น และส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองในด้านการจัดการและบำรุงรักษาระบบ ปัจจุบัน ประมาณ 2.6 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการกีดกันโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม โครงการนี้จึงมีศักยภาพในการช่วยให้ชุมชนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta ใช้เพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอินเทอร์เน็ตทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่ภาคเอกชนกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่ https://www.techspot.com/news/107046-meta-partnership-promises-bring-affordable-internet-billions-worldwide.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta partnership promises to bring affordable internet to billions worldwide
    Meta is working on different levels to enhance internet connectivity and networking reliability around the planet. The company has invested billions in new subsea infrastructures, laying the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • Richard Sutton และ Andrew Barto, สองผู้บุกเบิกแนวคิดการเรียนรู้แบบเสริมแรง (Reinforcement Learning - RL) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OpenAI และ Google นำ AI ออกสู่ตลาดโดยขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม พวกเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการสร้างสะพานที่ยังไม่ได้ทดสอบความแข็งแรงแต่กลับเปิดใช้งานให้สาธารณชนใช้งาน

    Reinforcement Learning (RL) เป็นหนึ่งในแนวทางหลักของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่พัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม RL สอนให้ AI ตัดสินใจผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ RL เป็นรากฐานสำคัญที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Google ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ของตน

    Sutton และ Barto ตั้งคำถามถึงการออกแบบ AI ในปัจจุบัน โดยพวกเขามองว่าโมเดล AI เช่น ChatGPT ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือทำเงิน" และไม่สามารถนำไปสู่การสร้าง "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" (AGI) ได้จริง ทั้งยังชี้ว่าบริษัท AI ปัจจุบันขาดแนวคิดในการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การหลงเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดหรือการที่ AI แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยความมั่นใจเกินจริง

    Barto กล่าวเพิ่มเติมว่า "วิศวกรรมที่ดีควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำ"

    Sutton ได้กล่าวว่าแนวคิดของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ถูกใช้อย่างเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจทางการตลาด ในขณะที่ Barto ชี้ว่าบริษัทควรเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะสร้างระบบ AI ที่อ้างว่ามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์

    https://www.techspot.com/news/107052-reinforcement-learning-pioneers-harshly-criticize-unsafe-state-ai.html
    Richard Sutton และ Andrew Barto, สองผู้บุกเบิกแนวคิดการเรียนรู้แบบเสริมแรง (Reinforcement Learning - RL) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OpenAI และ Google นำ AI ออกสู่ตลาดโดยขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม พวกเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการสร้างสะพานที่ยังไม่ได้ทดสอบความแข็งแรงแต่กลับเปิดใช้งานให้สาธารณชนใช้งาน Reinforcement Learning (RL) เป็นหนึ่งในแนวทางหลักของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่พัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม RL สอนให้ AI ตัดสินใจผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ RL เป็นรากฐานสำคัญที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Google ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ของตน Sutton และ Barto ตั้งคำถามถึงการออกแบบ AI ในปัจจุบัน โดยพวกเขามองว่าโมเดล AI เช่น ChatGPT ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือทำเงิน" และไม่สามารถนำไปสู่การสร้าง "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" (AGI) ได้จริง ทั้งยังชี้ว่าบริษัท AI ปัจจุบันขาดแนวคิดในการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การหลงเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดหรือการที่ AI แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยความมั่นใจเกินจริง Barto กล่าวเพิ่มเติมว่า "วิศวกรรมที่ดีควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำ" Sutton ได้กล่าวว่าแนวคิดของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ถูกใช้อย่างเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจทางการตลาด ในขณะที่ Barto ชี้ว่าบริษัทควรเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะสร้างระบบ AI ที่อ้างว่ามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ https://www.techspot.com/news/107052-reinforcement-learning-pioneers-harshly-criticize-unsafe-state-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Reinforcement learning pioneers harshly criticize the "unsafe" state of AI development
    Richard Sutton and Andrew Barto won this year's Turing Award, considered the Nobel Prize for computing, for their significant contributions to machine learning development. The two researchers...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก SquareX Labs ได้เปิดเผยถึงการโจมตีแบบ "polymorphic" ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่อันตรายสำหรับส่วนขยาย (extensions) บน Google Chrome โดยส่วนขยายที่เป็นอันตรายนี้สามารถปลอมตัวเป็นส่วนขยายยอดนิยม เช่น password managers, กระเป๋าเงินคริปโต (crypto wallets) และแอปธนาคารออนไลน์ เพื่อขโมยข้อมูลที่สำคัญอย่างแนบเนียน

    == วิธีการโจมตี ==
    1) การหลอกล่อให้ติดตั้ง: ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะถูกนำเสนอใน Chrome Web Store ภายใต้หน้ากากของเครื่องมือ AI การตลาด เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้ติดตั้ง
    2) การตรวจสอบส่วนขยายอื่นในเบราว์เซอร์: เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง ส่วนขยายจะใช้ API chrome.management หรือนำสคริปต์เข้าไปในเว็บเพจเพื่อค้นหาส่วนขยายอื่น ๆ ที่ติดตั้งอยู่
    3) การปลอมแปลง: หากพบเป้าหมาย เช่น ส่วนขยาย 1Password ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะเลียนแบบชื่อและไอคอน พร้อมแสดงหน้าต่างล็อกอินปลอมที่เหมือนจริง
    4)การขโมยข้อมูล: เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบผ่านแบบฟอร์มปลอม ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    5) ย้อนกลับสู่สถานะปกติ: หลังจากโจมตีเสร็จ ส่วนขยายจะกลับไปเป็นรูปแบบเดิมเพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัย

    == ข้อแนะนำเพื่อป้องกัน ==
    - นักวิจัยแนะนำให้ Google อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงไอคอนและ HTML ของส่วนขยายโดยทันที หรือแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะสำคัญ
    - พิจารณาคลาสสิฟาย API chrome.management ให้เป็นฟังก์ชันที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากเป็นจุดอ่อนสำคัญของการโจมตีนี้

    การโจมตีรูปแบบ polymorphic นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความซับซ้อนและความสามารถของผู้โจมตีในยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นการโจมตีส่วนขยายเบราว์เซอร์ซึ่งเคยถูกมองว่าปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะไม่มีการป้องกันที่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่การตระหนักถึงภัยคุกคามนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานระมัดระวังการติดตั้งส่วนขยายใหม่ ๆ บนเบราว์เซอร์ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสิทธิ์และแหล่งที่มาของส่วนขยาย

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/malicious-chrome-extensions-can-spoof-password-managers-in-new-attack/
    นักวิจัยจาก SquareX Labs ได้เปิดเผยถึงการโจมตีแบบ "polymorphic" ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่อันตรายสำหรับส่วนขยาย (extensions) บน Google Chrome โดยส่วนขยายที่เป็นอันตรายนี้สามารถปลอมตัวเป็นส่วนขยายยอดนิยม เช่น password managers, กระเป๋าเงินคริปโต (crypto wallets) และแอปธนาคารออนไลน์ เพื่อขโมยข้อมูลที่สำคัญอย่างแนบเนียน == วิธีการโจมตี == 1) การหลอกล่อให้ติดตั้ง: ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะถูกนำเสนอใน Chrome Web Store ภายใต้หน้ากากของเครื่องมือ AI การตลาด เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้ติดตั้ง 2) การตรวจสอบส่วนขยายอื่นในเบราว์เซอร์: เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง ส่วนขยายจะใช้ API chrome.management หรือนำสคริปต์เข้าไปในเว็บเพจเพื่อค้นหาส่วนขยายอื่น ๆ ที่ติดตั้งอยู่ 3) การปลอมแปลง: หากพบเป้าหมาย เช่น ส่วนขยาย 1Password ส่วนขยายที่เป็นอันตรายจะเลียนแบบชื่อและไอคอน พร้อมแสดงหน้าต่างล็อกอินปลอมที่เหมือนจริง 4)การขโมยข้อมูล: เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบผ่านแบบฟอร์มปลอม ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี 5) ย้อนกลับสู่สถานะปกติ: หลังจากโจมตีเสร็จ ส่วนขยายจะกลับไปเป็นรูปแบบเดิมเพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัย == ข้อแนะนำเพื่อป้องกัน == - นักวิจัยแนะนำให้ Google อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงไอคอนและ HTML ของส่วนขยายโดยทันที หรือแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะสำคัญ - พิจารณาคลาสสิฟาย API chrome.management ให้เป็นฟังก์ชันที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากเป็นจุดอ่อนสำคัญของการโจมตีนี้ การโจมตีรูปแบบ polymorphic นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความซับซ้อนและความสามารถของผู้โจมตีในยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นการโจมตีส่วนขยายเบราว์เซอร์ซึ่งเคยถูกมองว่าปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะไม่มีการป้องกันที่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่การตระหนักถึงภัยคุกคามนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานระมัดระวังการติดตั้งส่วนขยายใหม่ ๆ บนเบราว์เซอร์ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสิทธิ์และแหล่งที่มาของส่วนขยาย https://www.bleepingcomputer.com/news/security/malicious-chrome-extensions-can-spoof-password-managers-in-new-attack/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Malicious Chrome extensions can spoof password managers in new attack
    A newly devised "polymorphic" attack allows malicious Chrome extensions to morph into other browser extensions, including password managers, crypto wallets, and banking apps, to steal sensitive information.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยชาวจีนได้พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลชนิดใหม่ที่เรียกว่า "Molecular HDD" ซึ่งใช้โมเลกุลอินทรีย์เป็นตัวกลางในการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูล เทคโนโลยีนี้เปิดโอกาสให้เกิดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษ และช่วยลดความต้องการพื้นที่จัดเก็บ รวมถึงลดการใช้พลังงานอย่างมาก

    ข้อมูลใน Molecular HDD ถูกอ่านและเขียนโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แรงอะตอม (Atomic Force Microscope - AFM) ที่สามารถเปลี่ยนสถานะทางไฟฟ้าของโมเลกุลเพื่อบันทึกข้อมูล เทคโนโลยีนี้สามารถรองรับสถานะการนำไฟฟ้าได้ถึง 96 สถานะต่อหน่วย (เทียบเท่ากับการเก็บข้อมูล 6 บิต) ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี NAND แบบหลายระดับเซลล์ (Multi-Level Cell NAND)

    == จุดเด่นและความท้าทาย ==
    - พลังงานต่ำ: ระบบนี้ไม่ต้องใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงหรือความร้อนในการเขียนข้อมูล ทำให้การอ่านและเขียนข้อมูลใช้พลังงานเพียงระดับ pW/บิต
    - ความหนาแน่นสูง: Molecular HDD สามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 9.6Gbit ต่อตารางนิ้ว ซึ่งใกล้เคียงกับฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เทคโนโลยี HDMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) ที่จะวางจำหน่ายในอนาคต
    - การเข้ารหัสในตัว: รองรับการเข้ารหัสข้อมูลด้วยการดำเนินการ XOR ที่โมเลกุลโดยตรง เช่น การเข้ารหัสภาพโมเสกของ Mogao Grottoes ที่ข้อมูลของแต่ละพิกเซลถูกเข้ารหัสและถอดรหัสในระดับโมเลกุล

    อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อจำกัดสำคัญ เช่น อายุการใช้งานที่สั้นของปลายกล้อง AFM ซึ่งสามารถใช้งานได้เพียง 50-200 ชั่วโมงในการใช้งานเป็นครั้งคราว และ 5-50 ชั่วโมงในการใช้งานต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับ HDMR ซึ่งคาดว่าจะพร้อมสำหรับการผลิตในปี 2030 Molecular HDD อาจใช้เวลานานกว่าที่จะปรับปรุงและเข้าถึงระดับการผลิตเชิงพาณิชย์

    หากปัญหาด้านความทนทานของปลายกล้อง AFM ได้รับการแก้ไข เทคโนโลยี Molecular HDD อาจก้าวเข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ในฐานะตัวเลือกใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ในความจุสูงกว่าฮาร์ดดิสก์รุ่นปัจจุบัน รวมถึงมีศักยภาพสำหรับการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกอย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/chinese-researchers-reveal-self-encrypting-molecular-hdd-technology-supporting-100tb-capacities
    นักวิจัยชาวจีนได้พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลชนิดใหม่ที่เรียกว่า "Molecular HDD" ซึ่งใช้โมเลกุลอินทรีย์เป็นตัวกลางในการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูล เทคโนโลยีนี้เปิดโอกาสให้เกิดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษ และช่วยลดความต้องการพื้นที่จัดเก็บ รวมถึงลดการใช้พลังงานอย่างมาก ข้อมูลใน Molecular HDD ถูกอ่านและเขียนโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แรงอะตอม (Atomic Force Microscope - AFM) ที่สามารถเปลี่ยนสถานะทางไฟฟ้าของโมเลกุลเพื่อบันทึกข้อมูล เทคโนโลยีนี้สามารถรองรับสถานะการนำไฟฟ้าได้ถึง 96 สถานะต่อหน่วย (เทียบเท่ากับการเก็บข้อมูล 6 บิต) ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี NAND แบบหลายระดับเซลล์ (Multi-Level Cell NAND) == จุดเด่นและความท้าทาย == - พลังงานต่ำ: ระบบนี้ไม่ต้องใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงหรือความร้อนในการเขียนข้อมูล ทำให้การอ่านและเขียนข้อมูลใช้พลังงานเพียงระดับ pW/บิต - ความหนาแน่นสูง: Molecular HDD สามารถเก็บข้อมูลได้ประมาณ 9.6Gbit ต่อตารางนิ้ว ซึ่งใกล้เคียงกับฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เทคโนโลยี HDMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) ที่จะวางจำหน่ายในอนาคต - การเข้ารหัสในตัว: รองรับการเข้ารหัสข้อมูลด้วยการดำเนินการ XOR ที่โมเลกุลโดยตรง เช่น การเข้ารหัสภาพโมเสกของ Mogao Grottoes ที่ข้อมูลของแต่ละพิกเซลถูกเข้ารหัสและถอดรหัสในระดับโมเลกุล อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อจำกัดสำคัญ เช่น อายุการใช้งานที่สั้นของปลายกล้อง AFM ซึ่งสามารถใช้งานได้เพียง 50-200 ชั่วโมงในการใช้งานเป็นครั้งคราว และ 5-50 ชั่วโมงในการใช้งานต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับ HDMR ซึ่งคาดว่าจะพร้อมสำหรับการผลิตในปี 2030 Molecular HDD อาจใช้เวลานานกว่าที่จะปรับปรุงและเข้าถึงระดับการผลิตเชิงพาณิชย์ หากปัญหาด้านความทนทานของปลายกล้อง AFM ได้รับการแก้ไข เทคโนโลยี Molecular HDD อาจก้าวเข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ในฐานะตัวเลือกใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ในความจุสูงกว่าฮาร์ดดิสก์รุ่นปัจจุบัน รวมถึงมีศักยภาพสำหรับการจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกอย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/chinese-researchers-reveal-self-encrypting-molecular-hdd-technology-supporting-100tb-capacities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลรัฐบาลกลางในซานฟรานซิสโกได้สั่งยกฟ้องคดีที่ยื่นฟ้องต่อ Intel โดยกลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งกล่าวหาว่าบริษัทและผู้บริหารปกปิดปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นในแผนกผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2023 คดีนี้ถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของบริษัท อย่างไรก็ตาม การยกฟ้องนี้เป็นการยกฟ้องแบบ ไม่ตัดสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าผู้ฟ้องร้องสามารถกลับมายื่นคดีใหม่ได้ หากมีหลักฐานที่ชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้น

    เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2023 เมื่อ Intel เปิดเผยว่าแผนกใหม่ที่ชื่อว่า Intel Foundry มีผลขาดทุนกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่บริษัทเปลี่ยนโครงสร้างการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2024 ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งนำไปสู่การตกของหุ้น Intel และมูลค่าตลาดที่ลดลงถึง 32 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังอ้างว่าคำกล่าวของ CEO และ CFO ในขณะนั้นเกี่ยวกับ "ความต้องการที่เติบโต" ของธุรกิจ Intel Foundry อาจเป็นการหลอกลวง อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นการสื่อถึงความสัมพันธ์กับลูกค้ารายบุคคลเท่านั้น และไม่ได้สื่อถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทในภาพรวม

    ผู้พิพากษาชี้ว่าการลดลงของราคาหุ้น Intel อันเป็นผลจากการประกาศเลิกจ้างและการระงับเงินปันผลในกลางปี 2024 ไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานของการฉ้อโกง นอกจากนี้ Intel ยังเคยเปิดเผยแนวทางการลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว

    แม้ว่าศาลจะยกฟ้องคดีในครั้งนี้ Intel อาจต้องเตรียมพร้อมสำหรับการยื่นฟ้องรอบใหม่หากผู้ถือหุ้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่สนับสนุนข้อกล่าวหาได้สำเร็จ การต่อสู้ในศาลนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในธุรกิจใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นจำนวนมาก

    สถานการณ์นี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ Intel อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่ก็สะท้อนถึงความสำคัญของการสื่อสารและความโปร่งใสต่อผู้ถือหุ้นในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลยังเปิดช่องทางให้ Intel และนักลงทุนมีโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-shareholder-lawsuit-dismissed-complaints-stemmed-from-single-day-usd32b-devaluation-in-2024
    ศาลรัฐบาลกลางในซานฟรานซิสโกได้สั่งยกฟ้องคดีที่ยื่นฟ้องต่อ Intel โดยกลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งกล่าวหาว่าบริษัทและผู้บริหารปกปิดปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นในแผนกผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2023 คดีนี้ถูกตัดสินว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของบริษัท อย่างไรก็ตาม การยกฟ้องนี้เป็นการยกฟ้องแบบ ไม่ตัดสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าผู้ฟ้องร้องสามารถกลับมายื่นคดีใหม่ได้ หากมีหลักฐานที่ชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้น เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2023 เมื่อ Intel เปิดเผยว่าแผนกใหม่ที่ชื่อว่า Intel Foundry มีผลขาดทุนกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่บริษัทเปลี่ยนโครงสร้างการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2024 ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งนำไปสู่การตกของหุ้น Intel และมูลค่าตลาดที่ลดลงถึง 32 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นยังอ้างว่าคำกล่าวของ CEO และ CFO ในขณะนั้นเกี่ยวกับ "ความต้องการที่เติบโต" ของธุรกิจ Intel Foundry อาจเป็นการหลอกลวง อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นการสื่อถึงความสัมพันธ์กับลูกค้ารายบุคคลเท่านั้น และไม่ได้สื่อถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทในภาพรวม ผู้พิพากษาชี้ว่าการลดลงของราคาหุ้น Intel อันเป็นผลจากการประกาศเลิกจ้างและการระงับเงินปันผลในกลางปี 2024 ไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐานของการฉ้อโกง นอกจากนี้ Intel ยังเคยเปิดเผยแนวทางการลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว แม้ว่าศาลจะยกฟ้องคดีในครั้งนี้ Intel อาจต้องเตรียมพร้อมสำหรับการยื่นฟ้องรอบใหม่หากผู้ถือหุ้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่สนับสนุนข้อกล่าวหาได้สำเร็จ การต่อสู้ในศาลนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในธุรกิจใหญ่ที่มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นจำนวนมาก สถานการณ์นี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ Intel อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่ก็สะท้อนถึงความสำคัญของการสื่อสารและความโปร่งใสต่อผู้ถือหุ้นในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลยังเปิดช่องทางให้ Intel และนักลงทุนมีโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-shareholder-lawsuit-dismissed-complaints-stemmed-from-single-day-usd32b-devaluation-in-2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมบุญด้วยกันครับผม
    รวมบุญด้วยกันครับผม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Cortical Labs ในออสเตรเลียได้เปิดตัว CL1 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพตัวแรกของโลกที่ผสมผสานเซลล์สมองมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีซิลิคอนแบบดั้งเดิม CL1 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา และถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของ AI และ Machine Learning ที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์

    CL1 ใช้ชิปซิลิคอนที่มีเซลล์สมองมนุษย์เพาะเลี้ยงอยู่บนพื้นผิว เซลล์สมองเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายที่ประมวลผลข้อมูลในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้สามารถสื่อสารสองทางได้ โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง และเก็บข้อมูลการตอบสนองเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อ

    เพื่อให้เซลล์สมองเหล่านี้ยังคงทำงานได้ดี CL1 มาพร้อมระบบช่วยชีวิตที่ควบคุมอุณหภูมิ การแลกเปลี่ยนก๊าซ และเงื่อนไขที่จำเป็นอื่น ๆ

    CL1 ถูกออกแบบมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ ตัวอย่างที่เคยมีการทดลอง เช่น การฝึกเซลล์สมองให้เล่นวิดีโอเกมพื้นฐาน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ชีวภาพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านที่ AI แบบเดิมยังไม่สมบูรณ์ เช่น การจดจำรูปแบบและการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน

    นอกจากนี้ ความสามารถของเซลล์สมองในการปรับตัวทำให้เกิดศักยภาพใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้งาน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน

    ปัญหาและข้อควรระวัง
    - ความซับซ้อนในการผลิต: การสร้างและดูแลระบบ CL1 ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและยังไม่สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้
    - ปัญหาด้านจริยธรรม: แม้ว่าเซลล์สมองที่ใช้จะถูกเพาะเลี้ยงในห้องแล็บและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีนี้อาจต้องการกรอบกฎหมายและจริยธรรมที่ชัดเจนในอนาคต เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ชีวภาพมนุษย์

    CL1 จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 เหมาะสำหรับองค์กรและสถาบันวิจัยที่ต้องการทดสอบหรือสำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์ชีวภาพในเชิงลึก

    CL1 ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ซึ่งอาจช่วยพัฒนาอนาคตของการเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CL1 และความเป็นไปได้ในอนาคตของเทคโนโลยีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/worlds-first-body-in-a-box-biological-computer-uses-human-brain-cells-with-silicon-based-computing
    บริษัท Cortical Labs ในออสเตรเลียได้เปิดตัว CL1 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพตัวแรกของโลกที่ผสมผสานเซลล์สมองมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีซิลิคอนแบบดั้งเดิม CL1 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา และถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของ AI และ Machine Learning ที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์ CL1 ใช้ชิปซิลิคอนที่มีเซลล์สมองมนุษย์เพาะเลี้ยงอยู่บนพื้นผิว เซลล์สมองเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายที่ประมวลผลข้อมูลในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้สามารถสื่อสารสองทางได้ โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง และเก็บข้อมูลการตอบสนองเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อ เพื่อให้เซลล์สมองเหล่านี้ยังคงทำงานได้ดี CL1 มาพร้อมระบบช่วยชีวิตที่ควบคุมอุณหภูมิ การแลกเปลี่ยนก๊าซ และเงื่อนไขที่จำเป็นอื่น ๆ CL1 ถูกออกแบบมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ ตัวอย่างที่เคยมีการทดลอง เช่น การฝึกเซลล์สมองให้เล่นวิดีโอเกมพื้นฐาน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ชีวภาพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านที่ AI แบบเดิมยังไม่สมบูรณ์ เช่น การจดจำรูปแบบและการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ความสามารถของเซลล์สมองในการปรับตัวทำให้เกิดศักยภาพใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้งาน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน ปัญหาและข้อควรระวัง - ความซับซ้อนในการผลิต: การสร้างและดูแลระบบ CL1 ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและยังไม่สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ - ปัญหาด้านจริยธรรม: แม้ว่าเซลล์สมองที่ใช้จะถูกเพาะเลี้ยงในห้องแล็บและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีนี้อาจต้องการกรอบกฎหมายและจริยธรรมที่ชัดเจนในอนาคต เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ชีวภาพมนุษย์ CL1 จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 เหมาะสำหรับองค์กรและสถาบันวิจัยที่ต้องการทดสอบหรือสำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์ชีวภาพในเชิงลึก CL1 ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ซึ่งอาจช่วยพัฒนาอนาคตของการเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CL1 และความเป็นไปได้ในอนาคตของเทคโนโลยีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/worlds-first-body-in-a-box-biological-computer-uses-human-brain-cells-with-silicon-based-computing
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    World's first 'body in a box' biological computer uses human brain cells with silicon-based computing
    Cortical Labs said the CL1 will be available from June, priced at around $35,000.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 658 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงาน Mobile World Congress 2025 ที่ผ่านมา AMD ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Cisco, Nokia และ Jio Platforms เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Open Telecom AI Platform โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในโครงสร้างโทรคมนาคมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างเครือข่ายที่มีความชาญฉลาด

    == องค์ประกอบและบทบาทของพันธมิตร ==
    - AMD: สนับสนุนด้วยโซลูชันการประมวลผลประสิทธิภาพสูง เช่น CPU EPYC, GPU Instinct และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ปรับเปลี่ยนได้
    - Cisco: มาพร้อมโซลูชันเครือข่ายและการวิเคราะห์ AI เช่น Cisco Agile Services Networking และ Splunk Analytics
    - Nokia: เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายไร้สาย การขนส่งข้อมูลผ่าน IP และบรอดแบนด์
    - Jio Platforms: เป็นผู้นำในแพลตฟอร์มนี้ พร้อมแสดงต้นแบบและนำไปใช้งานในตลาดโทรคมนาคมทั่วโลก

    แพลตฟอร์มนี้จะรวม AI เข้ากับทุกระดับของโครงสร้างโทรคมนาคม โดยใช้อัลกอริทึมที่ล้ำสมัย เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อบริหารจัดการเครือข่ายให้สามารถปรับตัวได้เองในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

    การเปิดตัว Open APIs จะช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างโทรคมนาคมเดิมได้อย่างราบรื่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน

    == เป้าหมายและประโยชน์ ==
    - เพิ่มความปลอดภัย: ระบบจะสามารถตรวจจับความเสี่ยงได้อัตโนมัติและปรับการทำงานเพื่อป้องกันการโจมตี
    - ลดต้นทุน: การใช้ AI ในการบริหารจัดการเครือข่ายช่วยลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน
    - ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น: ผู้ให้บริการสามารถปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้

    ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ AMD ในตลาดโทรคมนาคม ซึ่งก่อนหน้านี้ Intel มีบทบาทนำหน้าอย่างชัดเจนในเทคโนโลยี 5G และการพัฒนาระบบโทรคมนาคม แพลตฟอร์มนี้ยังสะท้อนถึงการใช้ AI เพื่อสร้างโครงสร้างเครือข่ายที่มีความยืดหยุ่นและชาญฉลาด พร้อมเพิ่มโอกาสใหม่ในการนำเทคโนโลยีไปใช้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-teams-up-with-cisco-nokia-and-jio-platforms-for-open-telecom-ai-platform
    ในงาน Mobile World Congress 2025 ที่ผ่านมา AMD ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Cisco, Nokia และ Jio Platforms เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Open Telecom AI Platform โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในโครงสร้างโทรคมนาคมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างเครือข่ายที่มีความชาญฉลาด == องค์ประกอบและบทบาทของพันธมิตร == - AMD: สนับสนุนด้วยโซลูชันการประมวลผลประสิทธิภาพสูง เช่น CPU EPYC, GPU Instinct และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ปรับเปลี่ยนได้ - Cisco: มาพร้อมโซลูชันเครือข่ายและการวิเคราะห์ AI เช่น Cisco Agile Services Networking และ Splunk Analytics - Nokia: เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายไร้สาย การขนส่งข้อมูลผ่าน IP และบรอดแบนด์ - Jio Platforms: เป็นผู้นำในแพลตฟอร์มนี้ พร้อมแสดงต้นแบบและนำไปใช้งานในตลาดโทรคมนาคมทั่วโลก แพลตฟอร์มนี้จะรวม AI เข้ากับทุกระดับของโครงสร้างโทรคมนาคม โดยใช้อัลกอริทึมที่ล้ำสมัย เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อบริหารจัดการเครือข่ายให้สามารถปรับตัวได้เองในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การเปิดตัว Open APIs จะช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างโทรคมนาคมเดิมได้อย่างราบรื่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน == เป้าหมายและประโยชน์ == - เพิ่มความปลอดภัย: ระบบจะสามารถตรวจจับความเสี่ยงได้อัตโนมัติและปรับการทำงานเพื่อป้องกันการโจมตี - ลดต้นทุน: การใช้ AI ในการบริหารจัดการเครือข่ายช่วยลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน - ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น: ผู้ให้บริการสามารถปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้ ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ AMD ในตลาดโทรคมนาคม ซึ่งก่อนหน้านี้ Intel มีบทบาทนำหน้าอย่างชัดเจนในเทคโนโลยี 5G และการพัฒนาระบบโทรคมนาคม แพลตฟอร์มนี้ยังสะท้อนถึงการใช้ AI เพื่อสร้างโครงสร้างเครือข่ายที่มีความยืดหยุ่นและชาญฉลาด พร้อมเพิ่มโอกาสใหม่ในการนำเทคโนโลยีไปใช้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-teams-up-with-cisco-nokia-and-jio-platforms-for-open-telecom-ai-platform
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD teams up with Cisco, Nokia, and Jio Platforms for Open Telecom AI platform
    Promises to improve network security while cutting operational costs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมต้องเรียนภาษาอินโดนีเซีย (Bahasa Indonesia)

    ความน่าสนใจของภาษาอินโดนีเซีย
    1. เรียนง่าย – ไม่มีการผันกริยา ไม่มีเพศของคำ และไม่มีโทนเสียง
    2. ใช้แพร่หลาย – เป็นภาษาทางการของอินโดนีเซีย (ประชากรกว่า 270 ล้านคน) และเข้าใจได้ในมาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์
    3. มีคำคล้ายภาษาอังกฤษ – เช่น “gratis” (ฟรี), “polisi” (ตำรวจ), “kantor” (สำนักงาน)
    4. โอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว – ช่วยให้เดินทางและทำงานในอินโดนีเซียได้สะดวกขึ้น
    5. ใช้ตัวอักษรโรมัน – อ่านง่าย ไม่ต้องเรียนตัวอักษรใหม่

    สนุกและง่ายขนาดนี้ มาเริ่มเรียนกันเลย! #ไทยคำอินโดคำ
    ทำไมต้องเรียนภาษาอินโดนีเซีย (Bahasa Indonesia) ความน่าสนใจของภาษาอินโดนีเซีย 1. เรียนง่าย – ไม่มีการผันกริยา ไม่มีเพศของคำ และไม่มีโทนเสียง 2. ใช้แพร่หลาย – เป็นภาษาทางการของอินโดนีเซีย (ประชากรกว่า 270 ล้านคน) และเข้าใจได้ในมาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ 3. มีคำคล้ายภาษาอังกฤษ – เช่น “gratis” (ฟรี), “polisi” (ตำรวจ), “kantor” (สำนักงาน) 4. โอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว – ช่วยให้เดินทางและทำงานในอินโดนีเซียได้สะดวกขึ้น 5. ใช้ตัวอักษรโรมัน – อ่านง่าย ไม่ต้องเรียนตัวอักษรใหม่ สนุกและง่ายขนาดนี้ มาเริ่มเรียนกันเลย! 🇹🇭❤️🇮🇩 #ไทยคำอินโดคำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 รีวิว
  • Doug Ford นายกรัฐมนตรีประจำจังหวัดออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เพิ่งประกาศยกเลิกสัญญา มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ กับ Starlink ของ SpaceX การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดี Trump ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากแคนาดาถึง 25% นอกจากนี้ Ford ยังตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีไฟฟ้าที่ส่งออกไปยังรัฐนิวยอร์ก มิชิแกน และมินนิโซตาอีกด้วย

    แม้ว่าจะมีการขู่ยกเลิกในอดีต แต่ Ford ได้ตัดสินใจเดินหน้าสัญญาในครั้งแรกหลัง Trump ชะลอการเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ Ford ยืนยันชัดเจนว่าการยกเลิกเป็นการตัดสินใจถาวร ไม่ว่าภาษีจะถูกยกเลิกหรือไม่ก็ตาม

    นอกจากออนแทรีโอแล้ว อิตาลีเองก็มีแนวโน้มที่จะยกเลิกดีลกับ Starlink เช่นกัน อิตาลีเคยพิจารณาใช้เครือข่ายดาวเทียมของ Starlink มูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริการด้านการสื่อสารทางทหารและสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับ NATO และความมั่นคงในยุโรป ทำให้อิตาลีพิจารณาเลือกทางเลือกอื่น เช่น Eutelsat จากฝรั่งเศส ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและมีเครือข่ายดาวเทียมเป็นอันดับสองรองจาก SpaceX

    นายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni ของอิตาลีกล่าวว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทำเนียบขาวเกี่ยวกับการสนับสนุนยูเครนส่งผลให้รัฐบาลต้องการแผนสำรองที่มั่นคงกว่าเดิม

    แม้ว่า SpaceX อาจเสียรายได้จากอิตาลีและออนแทรีโอ แต่ Elon Musk ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างไม่กังวล โดยโพสต์ข้อความว่า "Oh well" ลงใน X (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเอง) แสดงถึงความมั่นใจในสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีดาวเทียมจำนวนมหาศาลที่ระดับวงโคจรต่ำกว่า 550 กิโลเมตร

    การยกเลิกดีลนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การตัดสินใจของอิตาลีที่จะพิจารณา Eutelsat อาจทำให้ยุโรปเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีในอนาคต และลดการพึ่งพาบริษัทอเมริกันที่ไม่แน่นอนในด้านการสนับสนุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ontario-cancels-starlink-deal-over-us-tariffs-italy-may-follow-due-to-us-pullback-from-europe
    Doug Ford นายกรัฐมนตรีประจำจังหวัดออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เพิ่งประกาศยกเลิกสัญญา มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ กับ Starlink ของ SpaceX การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดี Trump ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากแคนาดาถึง 25% นอกจากนี้ Ford ยังตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีไฟฟ้าที่ส่งออกไปยังรัฐนิวยอร์ก มิชิแกน และมินนิโซตาอีกด้วย แม้ว่าจะมีการขู่ยกเลิกในอดีต แต่ Ford ได้ตัดสินใจเดินหน้าสัญญาในครั้งแรกหลัง Trump ชะลอการเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ Ford ยืนยันชัดเจนว่าการยกเลิกเป็นการตัดสินใจถาวร ไม่ว่าภาษีจะถูกยกเลิกหรือไม่ก็ตาม นอกจากออนแทรีโอแล้ว อิตาลีเองก็มีแนวโน้มที่จะยกเลิกดีลกับ Starlink เช่นกัน อิตาลีเคยพิจารณาใช้เครือข่ายดาวเทียมของ Starlink มูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริการด้านการสื่อสารทางทหารและสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับ NATO และความมั่นคงในยุโรป ทำให้อิตาลีพิจารณาเลือกทางเลือกอื่น เช่น Eutelsat จากฝรั่งเศส ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและมีเครือข่ายดาวเทียมเป็นอันดับสองรองจาก SpaceX นายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni ของอิตาลีกล่าวว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทำเนียบขาวเกี่ยวกับการสนับสนุนยูเครนส่งผลให้รัฐบาลต้องการแผนสำรองที่มั่นคงกว่าเดิม แม้ว่า SpaceX อาจเสียรายได้จากอิตาลีและออนแทรีโอ แต่ Elon Musk ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างไม่กังวล โดยโพสต์ข้อความว่า "Oh well" ลงใน X (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเอง) แสดงถึงความมั่นใจในสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีดาวเทียมจำนวนมหาศาลที่ระดับวงโคจรต่ำกว่า 550 กิโลเมตร การยกเลิกดีลนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การตัดสินใจของอิตาลีที่จะพิจารณา Eutelsat อาจทำให้ยุโรปเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีในอนาคต และลดการพึ่งพาบริษัทอเมริกันที่ไม่แน่นอนในด้านการสนับสนุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/ontario-cancels-starlink-deal-over-us-tariffs-italy-may-follow-due-to-us-pullback-from-europe
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Ontario cancels Starlink deal over US tariffs — Italy may follow due to US pullback from Europe
    Trump policies are causing some countries to second-guess their Starlink contracts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1098 มุมมอง 0 รีวิว
  • พิชัย รมว.พาณิชย์ แนะปลูกกล้วยแทนข้าว 07/03/68 #พิชัย #รมว.พาณิชย์ #ปลูกกล้วยแทนข้าว #ราคาข้าว #ชาวนา #เกษตรกร
    พิชัย รมว.พาณิชย์ แนะปลูกกล้วยแทนข้าว 07/03/68 #พิชัย #รมว.พาณิชย์ #ปลูกกล้วยแทนข้าว #ราคาข้าว #ชาวนา #เกษตรกร
    Haha
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1361 มุมมอง 41 0 รีวิว
  • Brother ผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ชื่อดัง ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเฟิร์มแวร์ (firmware) ของเครื่องพิมพ์ของตนออกแบบมาเพื่อปิดกั้นการใช้หมึกและตลับโทนเนอร์จากผู้ผลิตรายอื่น Louis Rossmann ผู้สร้างเนื้อหาบน YouTube ได้เผยแพร่วิดีโอที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของ Brother และกล่าวว่า Brother อาจใช้นโยบายที่จำกัดการใช้งานเครื่องพิมพ์เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์

    Brother ชี้แจงอย่างหนักแน่นว่า การอัปเดตเฟิร์มแวร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะบล็อกการใช้งานหมึกหรือตลับโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของ Brother โดยให้เหตุผลว่า หากเครื่องพิมพ์แสดงข้อความเกี่ยวกับการตรวจสอบ "Brother Genuine" นั้นเป็นเพียงกระบวนการแก้ไขปัญหาในอุปกรณ์ ไม่ใช่การบังคับให้ใช้เฉพาะหมึกของ Brother

    นอกจากนี้ Brother ยังระบุว่า คุณภาพของตลับหมึกที่ไม่ใช่ของ Brother อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจผิดว่าการพิมพ์มีคุณภาพต่ำ เนื่องจากไม่สามารถการันตีคุณภาพเมื่อใช้หมึกจากผู้ผลิตรายอื่นได้

    ผู้ใช้งานหลายคนรู้สึกว่ากระบวนการ "Brother Genuine Check" มีความกดดัน เนื่องจากมีการร้องขอให้เปลี่ยนไปใช้หมึกที่ได้รับการรับรองของ Brother ในสถานการณ์ที่ต้องการการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม Brother ได้ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องพิมพ์โดยตรง

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความท้าทายของผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ในการสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของตนเองและการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น หาก Brother สามารถสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนและโปร่งใส อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน

    https://www.tomshardware.com/peripherals/printers/brother-denies-firmware-blocks-third-party-toner-and-ink-use
    Brother ผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ชื่อดัง ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเฟิร์มแวร์ (firmware) ของเครื่องพิมพ์ของตนออกแบบมาเพื่อปิดกั้นการใช้หมึกและตลับโทนเนอร์จากผู้ผลิตรายอื่น Louis Rossmann ผู้สร้างเนื้อหาบน YouTube ได้เผยแพร่วิดีโอที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของ Brother และกล่าวว่า Brother อาจใช้นโยบายที่จำกัดการใช้งานเครื่องพิมพ์เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ Brother ชี้แจงอย่างหนักแน่นว่า การอัปเดตเฟิร์มแวร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะบล็อกการใช้งานหมึกหรือตลับโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของ Brother โดยให้เหตุผลว่า หากเครื่องพิมพ์แสดงข้อความเกี่ยวกับการตรวจสอบ "Brother Genuine" นั้นเป็นเพียงกระบวนการแก้ไขปัญหาในอุปกรณ์ ไม่ใช่การบังคับให้ใช้เฉพาะหมึกของ Brother นอกจากนี้ Brother ยังระบุว่า คุณภาพของตลับหมึกที่ไม่ใช่ของ Brother อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจผิดว่าการพิมพ์มีคุณภาพต่ำ เนื่องจากไม่สามารถการันตีคุณภาพเมื่อใช้หมึกจากผู้ผลิตรายอื่นได้ ผู้ใช้งานหลายคนรู้สึกว่ากระบวนการ "Brother Genuine Check" มีความกดดัน เนื่องจากมีการร้องขอให้เปลี่ยนไปใช้หมึกที่ได้รับการรับรองของ Brother ในสถานการณ์ที่ต้องการการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม Brother ได้ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องพิมพ์โดยตรง สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความท้าทายของผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ในการสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของตนเองและการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น หาก Brother สามารถสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนและโปร่งใส อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน https://www.tomshardware.com/peripherals/printers/brother-denies-firmware-blocks-third-party-toner-and-ink-use
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Brother denies firmware blocks third-party toner and ink use
    The printer firm says its machines only perform a Brother Genuine check when troubleshooting.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากมาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสแสดงท่าทีแข็งกร้าวด้วยการประกาศปกป้องยูเครนและพันธมิตรยุโรปด้วยนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีปูตินแสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า "ยังมีคนที่ต้องการจะกลับไปสู่ยุคของนโปเลียน พวกเขาลืมไปแล้วว่ามันจบลงอย่างไร" วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ!
    หลังจากมาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสแสดงท่าทีแข็งกร้าวด้วยการประกาศปกป้องยูเครนและพันธมิตรยุโรปด้วยนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีปูตินแสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า "ยังมีคนที่ต้องการจะกลับไปสู่ยุคของนโปเลียน พวกเขาลืมไปแล้วว่ามันจบลงอย่างไร" วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว