• คำถามการเลือกตั้งท้องถิ่นในภูเก็ต1​ จะแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างไร?2. จะแก้ปัญหารถติดอย่างไร?3.​ จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างไร?4.จะแก้ปัญหาห้องพักที่ว่างไม่มีนักท่องเที่ยวจำนวน​80, 000-90,000 ห้องต่อวันได้อย่างไร5.​ จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตให้ถึงปีละ​20​ล้านคนได้อย่างไร?6.จะวางระบบผังเมืองควบคุมการลงทุนของภาคเอกชนให้มีทิศทางที่เหมาะสมได้อย่างไร?หรือปัญหาเหล่านี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​ และนักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องรับผิดชอบ?
    คำถามการเลือกตั้งท้องถิ่นในภูเก็ต1​ จะแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างไร?2. จะแก้ปัญหารถติดอย่างไร?3.​ จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างไร?4.จะแก้ปัญหาห้องพักที่ว่างไม่มีนักท่องเที่ยวจำนวน​80, 000-90,000 ห้องต่อวันได้อย่างไร5.​ จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตให้ถึงปีละ​20​ล้านคนได้อย่างไร?6.จะวางระบบผังเมืองควบคุมการลงทุนของภาคเอกชนให้มีทิศทางที่เหมาะสมได้อย่างไร?หรือปัญหาเหล่านี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​ และนักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องรับผิดชอบ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/sdQf3lGAm3A?si=0XEf2Hl0sR7adK9o
    https://youtu.be/sdQf3lGAm3A?si=0XEf2Hl0sR7adK9o
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ

    ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ

    ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 

    ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา

    ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?

     ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า

    “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย

    สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้ 

    ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด

    การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

    อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง”

    ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน?

    ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

      แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

    จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ?

    จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

      “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต



    “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?  ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้  ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง” ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน? ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”   แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ” จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ? จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”   “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1072 มุมมอง 0 รีวิว
  • "If we write books with a deep sense of responsibility, believing that the book is written for our future selves to read in the next life, then perhaps there would be fewer falsehoods in the world.

    And if the knowledge created within human civilization was such that its creator could honestly answer why it was conceived, then the culture shaped by this knowledge would not lead humanity astray."

    Given my current perspective that, in this lifetime, I have no desire to teach anyone anymore, all I can do is write. I write books and leave them for my future self to read in the next life, but this act also serves as a form of merit for others.

    For those interested in delving deeper into the knowledge beyond what I've penned in my books, snippets of this wisdom will occasionally be shared on this my personal Facebook, as well as on the Facebook of my dearly departed wife.

    Thus, I've decided to establish this group to provide an easier platform for others to access the 'Truth Quote' and the knowledge that originated from my 'Pạỵỵā'.
    "If we write books with a deep sense of responsibility, believing that the book is written for our future selves to read in the next life, then perhaps there would be fewer falsehoods in the world. And if the knowledge created within human civilization was such that its creator could honestly answer why it was conceived, then the culture shaped by this knowledge would not lead humanity astray." Given my current perspective that, in this lifetime, I have no desire to teach anyone anymore, all I can do is write. I write books and leave them for my future self to read in the next life, but this act also serves as a form of merit for others. For those interested in delving deeper into the knowledge beyond what I've penned in my books, snippets of this wisdom will occasionally be shared on this my personal Facebook, as well as on the Facebook of my dearly departed wife. Thus, I've decided to establish this group to provide an easier platform for others to access the 'Truth Quote' and the knowledge that originated from my 'Pạỵỵā'.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 795 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำหอมนำเข้า Ariana Forever
    100ml. กลิ่นเทียบอีเทอร์นิตี้
    พิกัด
    Shopee: https://s.shopee.co.th/4pyctzTwm6
    LAZADA:
    https://s.lazada.co.th/s.IokwQ
    TikTok:
    https://vt.tiktok.com/ZSjtu9Ugm/
    .

    น้ำหอมนำเข้า Ariana Forever 100ml. กลิ่นเทียบอีเทอร์นิตี้ พิกัด📍 Shopee: https://s.shopee.co.th/4pyctzTwm6 LAZADA: https://s.lazada.co.th/s.IokwQ TikTok: https://vt.tiktok.com/ZSjtu9Ugm/ .
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 777 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • อิสราเอลอยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูงหลังจากได้รับคำสั่งจากเฮอร์ซี ฮาเลวี เสนาธิการกองทัพอิสราเอล ซึ่งข่าวกรองของอิสราเอลรายงานว่าอิหร่านกำลังพิจารณาใช้มาตรการรุนแรงต่อรัฐอิสราเอลอีกครั้ง
    อิสราเอลอยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูงหลังจากได้รับคำสั่งจากเฮอร์ซี ฮาเลวี เสนาธิการกองทัพอิสราเอล ซึ่งข่าวกรองของอิสราเอลรายงานว่าอิหร่านกำลังพิจารณาใช้มาตรการรุนแรงต่อรัฐอิสราเอลอีกครั้ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงพยาบาลในอินโดนีเซีย (Indonesian Hospital) ในกาซาตอนเหนือหยุดให้บริการอย่างถาวร หลังจากถูกอิสราเอลโจมตีอย่างหนักมาตลอดหลายวัน
    กระทรวงสาธารณสุขของกาซารายงาน
    โรงพยาบาลในอินโดนีเซีย (Indonesian Hospital) ในกาซาตอนเหนือหยุดให้บริการอย่างถาวร หลังจากถูกอิสราเอลโจมตีอย่างหนักมาตลอดหลายวัน กระทรวงสาธารณสุขของกาซารายงาน
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายรณณรงค์ ชี้ผับดังนำข้อมูลส่วนตัวไปขายมีความผิดแพ่ง อาญา ปกครอง ปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001133

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทนายรณณรงค์ ชี้ผับดังนำข้อมูลส่วนตัวไปขายมีความผิดแพ่ง อาญา ปกครอง ปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001133 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1380 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยาบำรุงจิต มีแต่พุทโธ รักษาจิต บำรุงจิตใก้ดีงาม สงบ
    ยาบำรุงจิต มีแต่พุทโธ รักษาจิต บำรุงจิตใก้ดีงาม สงบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปากอย่างใจอย่าง ปากว่าตาขยิบ ปากศอพอ ปากหอยปากปู ปากอีกา ยุคของมัน
    ปากอย่างใจอย่าง ปากว่าตาขยิบ ปากศอพอ ปากหอยปากปู ปากอีกา ยุคของมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิ๋ม ล๊อค จู๋ เกิดขึ้นได้ในมนุษย์ (18+)

    ศัพท์ทางการแพทย์ เรียกว่า Vaginismus

    ปัญหา คือ หลังเสร็จกามกิจ ฝ่ายชายดึงจู๋(ไม่ออก) เกิดจาก จิ๋ม บีบ+รัด จู๋(อย่างรุนแรง) มีเกิดขึ้นจริง และแพทย์สามารถช่วยแก้ไขได้ คือ ไปถึงโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด.

    สาเหตุ เกิดจาก #ภาวะความผิดปกติของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Dysfunction) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการหดตัวหรือคลายตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ตามที่ต้องการ เกิดในสตรี ทำให้การทำงานของช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์เกิดความผิดปกติ จะทำให้ไม่สามารถคลายกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดการรัดองคชาติของฝ่ายชาย(ดึงไม่ออก)

    การแก้ไข แพทย์ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อกับฝ่ายหญิง

    ***คำเตือน หากปล่อยไว้นาน จู๋ฝ่ายชายอาจพิการถาวร***

    -------------------------------
    ภาพแรก สอดใส่ไม่เข้า คงไม่มีปัญหาอะไรกับแพทย์และรพ.
    ภาพที่สอง เสร็จกิจแล้วดึงไม่ออก ต้องใช้ผ้าปูที่นอนห่อทั้งสองคน รีบนำส่ง รพ.ด่วน
    จิ๋ม ล๊อค จู๋ เกิดขึ้นได้ในมนุษย์ (18+) ศัพท์ทางการแพทย์ เรียกว่า Vaginismus ปัญหา คือ หลังเสร็จกามกิจ ฝ่ายชายดึงจู๋(ไม่ออก) เกิดจาก จิ๋ม บีบ+รัด จู๋(อย่างรุนแรง) มีเกิดขึ้นจริง และแพทย์สามารถช่วยแก้ไขได้ คือ ไปถึงโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด. สาเหตุ เกิดจาก #ภาวะความผิดปกติของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Dysfunction) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการหดตัวหรือคลายตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ตามที่ต้องการ เกิดในสตรี ทำให้การทำงานของช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์เกิดความผิดปกติ จะทำให้ไม่สามารถคลายกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดการรัดองคชาติของฝ่ายชาย(ดึงไม่ออก) การแก้ไข แพทย์ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อกับฝ่ายหญิง ***คำเตือน หากปล่อยไว้นาน จู๋ฝ่ายชายอาจพิการถาวร*** ------------------------------- ภาพแรก สอดใส่ไม่เข้า คงไม่มีปัญหาอะไรกับแพทย์และรพ. ภาพที่สอง เสร็จกิจแล้วดึงไม่ออก ต้องใช้ผ้าปูที่นอนห่อทั้งสองคน รีบนำส่ง รพ.ด่วน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดรับอาสาสมัคร คนรูปร่างและการแต่งกายเหมือน “แตงโม” และ “แซน” ด่วน พร้อมคุณสมบัติต้องร่างกายแข็งแรงและว่ายน้ำเป็น เพื่อจำลองเหตุการณ์ตกเรือ วันที่ 16 ม.ค.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001129

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เปิดรับอาสาสมัคร คนรูปร่างและการแต่งกายเหมือน “แตงโม” และ “แซน” ด่วน พร้อมคุณสมบัติต้องร่างกายแข็งแรงและว่ายน้ำเป็น เพื่อจำลองเหตุการณ์ตกเรือ วันที่ 16 ม.ค.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001129 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1504 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บิ๊กเพื่อไทย” ยันข่าวปรับ ครม.ไม่มีมูล หยัน ”พวกเสี้ยม“ ปั่นหวังทำรัฐบาลร้าว ส่วนข่าวปรับ ”พีระพันธุ์“ เลอะเทอะ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001127

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “บิ๊กเพื่อไทย” ยันข่าวปรับ ครม.ไม่มีมูล หยัน ”พวกเสี้ยม“ ปั่นหวังทำรัฐบาลร้าว ส่วนข่าวปรับ ”พีระพันธุ์“ เลอะเทอะ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001127 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1412 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบช.ก.ส่งตัวแทนแจ้งความดำเนินคดีแก๊งอบรมอาสาตำรวจชาวจีน แอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ “CIB” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ลั่นเอาผิดให้ถึงที่สุด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001103

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบช.ก.ส่งตัวแทนแจ้งความดำเนินคดีแก๊งอบรมอาสาตำรวจชาวจีน แอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ “CIB” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ลั่นเอาผิดให้ถึงที่สุด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000001103 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1588 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ (5 ม.ค.) เพจ “รศ.ดร. เสรี ศุภราทิตย์” หรือ ผู้อำนวยการ ศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “#สวัสดีหลังปีใหม่สภาพอากาศหนาวเย็นช่วงแรก 5-6-7 มกราคมนี้ มาแล้วครับหนาวจริงหนาวจังหนาวแรกปีใหม่ระหว่าง 5-7 มกราคม โดยจะหนาวสุดในวันที่ 6 มกราคมนี้ครับ อุณหภูมิจะลดลงไปอีก 2-3℃ อุณหภูมิต่ำสุด กทม. และปริมณฑลอาจจะลงไปถึง 15℃ส่วนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 12℃ความหนาวเย็นจะอยู่กับเราจนถึงประมาณวันที่ 20 มกราคม จะเริ่มอุ่นขึ้น
    วันนี้ (5 ม.ค.) เพจ “รศ.ดร. เสรี ศุภราทิตย์” หรือ ผู้อำนวยการ ศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “#สวัสดีหลังปีใหม่สภาพอากาศหนาวเย็นช่วงแรก 5-6-7 มกราคมนี้ มาแล้วครับหนาวจริงหนาวจังหนาวแรกปีใหม่ระหว่าง 5-7 มกราคม โดยจะหนาวสุดในวันที่ 6 มกราคมนี้ครับ อุณหภูมิจะลดลงไปอีก 2-3℃ อุณหภูมิต่ำสุด กทม. และปริมณฑลอาจจะลงไปถึง 15℃ส่วนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 12℃ความหนาวเย็นจะอยู่กับเราจนถึงประมาณวันที่ 20 มกราคม จะเริ่มอุ่นขึ้น
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว