• “ดร.เอ้” ตั้งคำถามแรง! จี้การเมืองต้องเห็นคุณค่า “การศึกษามาก่อน”...ก่อนไทยจะหมดทางสู้ในเวทีโลก!
    https://www.thai-tai.tv/news/20727/
    .
    #ภาษี #อเมริกา #เศรษฐกิจ #การศึกษา #เอ้สุชัชวีร์ #ภาษีทรัมป์ #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #เศรษฐกิจไทย #การศึกษา #อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ #ห่วงโซ่อุปทาน #ไทยไท
    “ดร.เอ้” ตั้งคำถามแรง! จี้การเมืองต้องเห็นคุณค่า “การศึกษามาก่อน”...ก่อนไทยจะหมดทางสู้ในเวทีโลก! https://www.thai-tai.tv/news/20727/ . #ภาษี #อเมริกา #เศรษฐกิจ #การศึกษา #เอ้สุชัชวีร์ #ภาษีทรัมป์ #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #เศรษฐกิจไทย #การศึกษา #อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ #ห่วงโซ่อุปทาน #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิปที่แพงขึ้นเพราะข้ามมหาสมุทร: เมื่อการผลิตในอเมริกายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม AI

    TSMC ขยายโรงงานในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรัฐแอริโซนา หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผลักดันให้ลดการพึ่งพาไต้หวันในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

    แต่ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า:
    - การผลิตชิปจากโรงงาน TSMC ในสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20%
    - สาเหตุหลักคือค่าแรงที่แพง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของห่วงโซ่อุปทานในประเทศ

    แม้จะมีต้นทุนสูง แต่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง AMD และ NVIDIA ก็ยังต้องสั่งผลิตจากโรงงานในสหรัฐฯ เพราะ:
    - โรงงานในไต้หวันผลิตเต็มกำลังแล้ว
    - ความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - AMD คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี

    AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดย:
    - สั่งผลิตชิป 4nm สำหรับ EPYC Venice CPU
    - มีแผนขยายไปถึง 2nm ในอนาคต

    TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าการผลิตชิปจาก TSMC US มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20%
    สาเหตุหลักคือค่าแรง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของ supply chain

    TSMC ขยายโรงงานในรัฐแอริโซนาอย่างรวดเร็วหลังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    เพื่อลดการพึ่งพาไต้หวันในด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดยสั่งผลิตชิป 4nm และมีแผนขยายไปถึง 2nm
    ใช้สำหรับ EPYC Venice CPU ในตลาด data center

    Lisa Su คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี
    สะท้อนความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา
    และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://wccftech.com/amd-ceo-lisa-su-says-sourcing-ai-chips-from-tsmc-us-plants-is-more-expensive/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปที่แพงขึ้นเพราะข้ามมหาสมุทร: เมื่อการผลิตในอเมริกายังไม่พร้อมสำหรับสงคราม AI TSMC ขยายโรงงานในสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรัฐแอริโซนา หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผลักดันให้ลดการพึ่งพาไต้หวันในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า: - การผลิตชิปจากโรงงาน TSMC ในสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20% - สาเหตุหลักคือค่าแรงที่แพง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของห่วงโซ่อุปทานในประเทศ แม้จะมีต้นทุนสูง แต่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง AMD และ NVIDIA ก็ยังต้องสั่งผลิตจากโรงงานในสหรัฐฯ เพราะ: - โรงงานในไต้หวันผลิตเต็มกำลังแล้ว - ความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - AMD คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดย: - สั่งผลิตชิป 4nm สำหรับ EPYC Venice CPU - มีแผนขยายไปถึง 2nm ในอนาคต TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าการผลิตชิปจาก TSMC US มีต้นทุนสูงกว่าจากไต้หวันถึง 20% ➡️ สาเหตุหลักคือค่าแรง, ค่าขนส่งอุปกรณ์, และความไม่พร้อมของ supply chain ✅ TSMC ขยายโรงงานในรัฐแอริโซนาอย่างรวดเร็วหลังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ เพื่อลดการพึ่งพาไต้หวันในด้านการผลิตชิปขั้นสูง ✅ AMD เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของ TSMC US โดยสั่งผลิตชิป 4nm และมีแผนขยายไปถึง 2nm ➡️ ใช้สำหรับ EPYC Venice CPU ในตลาด data center ✅ Lisa Su คาดว่าตลาด accelerator จะมีมูลค่าถึง $500 พันล้านภายใน 5 ปี ➡️ สะท้อนความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ TSMC วางแผนจะผลิตชิปขั้นสูงกว่า 30% จากโรงงานในแอริโซนา ➡️ และอาจใช้โดรนในการตรวจสอบโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ https://wccftech.com/amd-ceo-lisa-su-says-sourcing-ai-chips-from-tsmc-us-plants-is-more-expensive/
    WCCFTECH.COM
    AMD CEO Lisa Su Says Sourcing AI Chips From TSMC’s U.S. Plants Is 20% More Expensive, Highlighting the Complications of Building Supply Chains in America
    While TSMC US operations are seeing massive attraction from American clients, AMD's CEO Lisa Su says it is still a very expensive venture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนและสเมริกามองประเทศไทยในบริบททางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของไทยในภูมิภาค ดังนี้

    ### มุมมองของจีนต่อไทย:
    1. **หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงภูมิภาค**
    - จีนมองไทยเป็น "ศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-จีน" ภายใต้ความริเริ่ม Belt and Road (BRI) โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงและระเบียงเศรษฐกิจอีสานตะวันออก (EEC)
    - ให้ความสำคัญกับไทยในฐานะคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียน (มูลค่าการค้า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023)

    2. **ความร่วมมือด้านความมั่นคง**
    - ส่งเสริมการฝึกทหารร่วมและความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ
    - เน้นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของไทยโดยไม่แทรกแซงกิจการภายใน

    3. **มิติทางวัฒนธรรม**
    - ใช้ "อำนาจอ่อน" ผ่านสถาบันขงจื่อและการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกว่า 5 ล้านคน/ปีก่อนโควิด)

    ### มุมมองของสหรัฐอเมริกาต่อไทย:
    1. **พันธมิตรด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม**
    - เน้นบทบาทไทยในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันอาเซียน-สหรัฐฯ (ADMM-Plus) และการฝึก Cobra Gold
    - ยังคงสถานะ "พันธมิตรนอกนาโต้" (Major Non-NATO Ally) แม้มีความกังวลหลังรัฐประการ 2557

    2. **เกมภูมิรัฐศาสตร์**
    - มองไทยเป็นจุดสมดุลสำคัญต่อการขยายอิทธิพลจีนในลุ่มแม่น้ำโขง
    - สนับสนุนความเข้มแข็งของอาเซียนผ่านโครงการ Mekong-US Partnership

    3. **ประเด็นค่านิยม**
    - กดดันไทยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
    - ใช้กลไกตรวจสอบการค้า (เช่น รายงาน TIP Report) เป็นเครื่องมือทางการทูต

    ### จุดร่วมของทั้งสองมหาอำนาจ:
    - เห็นไทยเป็น "ประตูสู่อาเซียน" ด้วยศักยภาพทางโลจิสติกส์และฐานการผลิต
    - ต่างแข่งขันลงทุนใน EEC โดยจีนเน้นอุตสาหกรรม (เช่น ยานยนต์ EV) สหรัฐฯ เน้นดิจิทัลและพลังงานสะอาด
    - ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก

    ### ยุทธศาสตร์ "สมดุลอำนาจ" ของไทย:
    ไทยดำเนินนโยบาย "ไม้สามเส้า" อย่างชาญฉลาด โดย:
    1. รักษาความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ
    2. ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจกับจีน
    3. ยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลาง

    ข้อมูลล่าสุดปี 2024 แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถรักษาสัดส่วนการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจได้ใกล้เคียงกัน (การค้าไทย-จีน 18% ของทั้งหมด ไทย-สหรัฐฯ 11%) สะท้อนความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    จีนและสเมริกามองประเทศไทยในบริบททางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับบทบาทของไทยในภูมิภาค ดังนี้ ### มุมมองของจีนต่อไทย: 1. **หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงภูมิภาค** - จีนมองไทยเป็น "ศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-จีน" ภายใต้ความริเริ่ม Belt and Road (BRI) โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงและระเบียงเศรษฐกิจอีสานตะวันออก (EEC) - ให้ความสำคัญกับไทยในฐานะคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียน (มูลค่าการค้า 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023) 2. **ความร่วมมือด้านความมั่นคง** - ส่งเสริมการฝึกทหารร่วมและความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ - เน้นการแก้ไขปัญหาภาคใต้ของไทยโดยไม่แทรกแซงกิจการภายใน 3. **มิติทางวัฒนธรรม** - ใช้ "อำนาจอ่อน" ผ่านสถาบันขงจื่อและการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกว่า 5 ล้านคน/ปีก่อนโควิด) ### มุมมองของสหรัฐอเมริกาต่อไทย: 1. **พันธมิตรด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม** - เน้นบทบาทไทยในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันอาเซียน-สหรัฐฯ (ADMM-Plus) และการฝึก Cobra Gold - ยังคงสถานะ "พันธมิตรนอกนาโต้" (Major Non-NATO Ally) แม้มีความกังวลหลังรัฐประการ 2557 2. **เกมภูมิรัฐศาสตร์** - มองไทยเป็นจุดสมดุลสำคัญต่อการขยายอิทธิพลจีนในลุ่มแม่น้ำโขง - สนับสนุนความเข้มแข็งของอาเซียนผ่านโครงการ Mekong-US Partnership 3. **ประเด็นค่านิยม** - กดดันไทยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง - ใช้กลไกตรวจสอบการค้า (เช่น รายงาน TIP Report) เป็นเครื่องมือทางการทูต ### จุดร่วมของทั้งสองมหาอำนาจ: - เห็นไทยเป็น "ประตูสู่อาเซียน" ด้วยศักยภาพทางโลจิสติกส์และฐานการผลิต - ต่างแข่งขันลงทุนใน EEC โดยจีนเน้นอุตสาหกรรม (เช่น ยานยนต์ EV) สหรัฐฯ เน้นดิจิทัลและพลังงานสะอาด - ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก ### ยุทธศาสตร์ "สมดุลอำนาจ" ของไทย: ไทยดำเนินนโยบาย "ไม้สามเส้า" อย่างชาญฉลาด โดย: 1. รักษาความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ 2. ผลักดันความร่วมมือเศรษฐกิจกับจีน 3. ยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลาง ข้อมูลล่าสุดปี 2024 แสดงให้เห็นว่าไทยสามารถรักษาสัดส่วนการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจได้ใกล้เคียงกัน (การค้าไทย-จีน 18% ของทั้งหมด ไทย-สหรัฐฯ 11%) สะท้อนความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อจีนใช้ phishing โจมตีอุตสาหกรรมชิปของไต้หวัน

    Proofpoint รายงานว่ามีอย่างน้อย 3 กลุ่มแฮกเกอร์ใหม่ ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp ที่ร่วมกันโจมตีบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2025 โดยใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดอีเมลที่มีมัลแวร์

    เป้าหมายของการโจมตีคือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ออกแบบ และทดสอบชิป รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน

    กลุ่มแฮกเกอร์ใช้เครื่องมือหลากหลาย เช่น Cobalt Strike, Voldemort (backdoor แบบ custom ที่เขียนด้วยภาษา C), HealthKick (backdoor ที่สามารถรันคำสั่ง) และ Spark (Remote Access Trojan) ซึ่งใช้โดยกลุ่มที่สี่ชื่อ UNK_ColtCentury หรือ TAG-100 (Storm-2077)

    นักวิจัยเชื่อว่าการโจมตีเหล่านี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก

    Proofpoint พบการโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์จีน 3 กลุ่มหลัก
    ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp

    เป้าหมายคือบริษัทผลิต ออกแบบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน
    รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุน

    ใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เปิดอีเมลที่มีมัลแวร์
    เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเจาะระบบองค์กร

    เครื่องมือที่ใช้รวมถึง Cobalt Strike, Voldemort, HealthKick และ Spark
    เป็นมัลแวร์ที่สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและขโมยข้อมูล

    กลุ่ม UNK_ColtCentury (TAG-100 / Storm-2077) ใช้เทคนิคสร้างความไว้ใจก่อนโจมตี
    เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการหลอกล่อแบบเชิงจิตวิทยา

    การโจมตีสะท้อนยุทธศาสตร์จีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    โดยเฉพาะในช่วงที่มีการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ และไต้หวัน

    การโจมตีแบบ spear phishing ยังเป็นภัยคุกคามหลักต่อองค์กร
    พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อระวังอีเมลหลอกลวง

    มัลแวร์ที่ใช้มีความสามารถในการควบคุมระบบและขโมยข้อมูลลึก
    อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีสำคัญ

    การโจมตีมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ
    อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของไต้หวัน

    การใช้เครื่องมือเช่น Cobalt Strike อาจหลบเลี่ยงระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป
    ต้องใช้ระบบตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-hit-taiwan-semiconductor-manufacturing-in-spear-phishing-campaign
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อจีนใช้ phishing โจมตีอุตสาหกรรมชิปของไต้หวัน Proofpoint รายงานว่ามีอย่างน้อย 3 กลุ่มแฮกเกอร์ใหม่ ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp ที่ร่วมกันโจมตีบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2025 โดยใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดอีเมลที่มีมัลแวร์ เป้าหมายของการโจมตีคือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ออกแบบ และทดสอบชิป รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน กลุ่มแฮกเกอร์ใช้เครื่องมือหลากหลาย เช่น Cobalt Strike, Voldemort (backdoor แบบ custom ที่เขียนด้วยภาษา C), HealthKick (backdoor ที่สามารถรันคำสั่ง) และ Spark (Remote Access Trojan) ซึ่งใช้โดยกลุ่มที่สี่ชื่อ UNK_ColtCentury หรือ TAG-100 (Storm-2077) นักวิจัยเชื่อว่าการโจมตีเหล่านี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ✅ Proofpoint พบการโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์จีน 3 กลุ่มหลัก ➡️ ได้แก่ UNK_FistBump, UNK_DropPitch และ UNK_SparkyCarp ✅ เป้าหมายคือบริษัทผลิต ออกแบบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน ➡️ รวมถึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทานและนักวิเคราะห์การลงทุน ✅ ใช้เทคนิค spear phishing เพื่อหลอกให้เปิดอีเมลที่มีมัลแวร์ ➡️ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเจาะระบบองค์กร ✅ เครื่องมือที่ใช้รวมถึง Cobalt Strike, Voldemort, HealthKick และ Spark ➡️ เป็นมัลแวร์ที่สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและขโมยข้อมูล ✅ กลุ่ม UNK_ColtCentury (TAG-100 / Storm-2077) ใช้เทคนิคสร้างความไว้ใจก่อนโจมตี ➡️ เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการหลอกล่อแบบเชิงจิตวิทยา ✅ การโจมตีสะท้อนยุทธศาสตร์จีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ➡️ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ และไต้หวัน ‼️ การโจมตีแบบ spear phishing ยังเป็นภัยคุกคามหลักต่อองค์กร ⛔ พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อระวังอีเมลหลอกลวง ‼️ มัลแวร์ที่ใช้มีความสามารถในการควบคุมระบบและขโมยข้อมูลลึก ⛔ อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีสำคัญ ‼️ การโจมตีมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ⛔ อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของไต้หวัน ‼️ การใช้เครื่องมือเช่น Cobalt Strike อาจหลบเลี่ยงระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป ⛔ ต้องใช้ระบบตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-hit-taiwan-semiconductor-manufacturing-in-spear-phishing-campaign
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเตือนคณะบริหารทรัมป์อย่าคิดฟื้นสงครามศุลกากรรอบใหม่ พร้อมขู่เอาคืนประเทศที่ทำข้อตกลงกับอเมริกาด้วยการตัดขาดห่วงโซ่อุปทานแดนมังกร ขณะที่ผู้นำบราซิลในฐานะเจ้าภาพซัมมิตบริกส์ ประกาศกร้าว “โลกไม่ต้องการจักรพรรดิ์”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000064510

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    จีนเตือนคณะบริหารทรัมป์อย่าคิดฟื้นสงครามศุลกากรรอบใหม่ พร้อมขู่เอาคืนประเทศที่ทำข้อตกลงกับอเมริกาด้วยการตัดขาดห่วงโซ่อุปทานแดนมังกร ขณะที่ผู้นำบราซิลในฐานะเจ้าภาพซัมมิตบริกส์ ประกาศกร้าว “โลกไม่ต้องการจักรพรรดิ์” . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000064510 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1058 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลาพูดถึงปัญหาชิป ขาดตลาด เรามักนึกถึงโรงงานเจอวิกฤต หรือจีน–ไต้หวันมีเรื่องกัน แต่รอบนี้ PwC เผยว่า ภัยคุกคามตัวจริงที่กำลังมา คือความเสี่ยงเรื่อง "ทองแดง" (copper)

    ทองแดงไม่ใช่แค่วัตถุดิบทั่วไป → มันคือ "เส้นเลือด" ของชิปยุคใหม่ ใช้เป็นสายส่งสัญญาณในอินเตอร์คอนเน็กต์ระดับนาโน → เพราะเหนี่ยวนำกระแสไฟดี ทนความร้อนดี กว่าการใช้อลูมิเนียมแบบเดิม

    แต่ปัญหาคือ — เหมืองทองแดงต้องใช้น้ำมหาศาลในการสกัด → และประเทศผู้ผลิตหลักอย่าง ชิลี (อันดับ 1 ของโลก) กำลังเจอภาวะแห้งแล้งรุนแรง → PwC คาดว่า 25% ของกำลังผลิตทองแดงในชิลีจะเสี่ยงภายใน 2035 และแตะ 75–100% ภายใน 2050

    สถานการณ์จะยิ่งน่ากังวลขึ้น หากการปล่อยคาร์บอนไม่ลดลง → เพราะไม่ใช่แค่ชิลี — แต่ 17 ประเทศที่ส่งทองแดงให้วงการชิป จะเจอภัยแล้งใน 10 ปีข้างหน้า

    ในขณะที่บางประเทศเริ่มลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำทะเล และรีไซเคิลน้ำ → แต่ประเทศที่ไม่มีชายฝั่ง หรือน้ำทะเลใช้งานไม่ได้ ก็อาจหมดทางเลือก

    PwC คาดว่าภายในปี 2035 → 32% ของการผลิตชิปทั่วโลกจะพึ่งพาทองแดงจากแหล่งที่เสี่ยงภัยแล้ง  
    • และตัวเลขจะพุ่งเป็น 58% ในปี 2050 หากไม่ลดการปล่อยคาร์บอน

    ชิลีคือผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่สุดของโลก แต่ต้องพึ่งน้ำจำนวนมากในการทำเหมือง  
    • ปัจจุบัน 25% ของเหมืองในชิลีกำลังเผชิญภัยแล้ง  
    • อาจเพิ่มเป็น 75–100% ภายใน 2050

    ทองแดงคือวัสดุหลักของ “interconnects” ในชิปยุคใหม่  
    • เพราะค่าความต้านทานต่ำและทนการเสื่อมสภาพ (electromigration) ดีกว่าอลูมิเนียม

    PwC แนะให้แก้ปัญหา 3 ทาง:  
    • ลงทุนเทคโนโลยีรีไซเคิลน้ำและโรงกลั่นน้ำทะเล  
    • พัฒนา “วัสดุทดแทนทองแดง”  
    • กระจายซัพพลายเชน ไม่ให้กระจุกในประเทศที่เสี่ยงภัยแล้ง

    บทเรียนจากวิกฤตชิปในยุคโควิด-19 (2020):  
    • เสียหาย GDP สหรัฐฯ ไป 1% และเยอรมนี 2.4%  
    • ตอกย้ำความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน

    https://www.techspot.com/news/108596-drought-stricken-copper-mines-may-disrupt-one-third.html
    เวลาพูดถึงปัญหาชิป ขาดตลาด เรามักนึกถึงโรงงานเจอวิกฤต หรือจีน–ไต้หวันมีเรื่องกัน แต่รอบนี้ PwC เผยว่า ภัยคุกคามตัวจริงที่กำลังมา คือความเสี่ยงเรื่อง "ทองแดง" (copper) ทองแดงไม่ใช่แค่วัตถุดิบทั่วไป → มันคือ "เส้นเลือด" ของชิปยุคใหม่ ใช้เป็นสายส่งสัญญาณในอินเตอร์คอนเน็กต์ระดับนาโน → เพราะเหนี่ยวนำกระแสไฟดี ทนความร้อนดี กว่าการใช้อลูมิเนียมแบบเดิม แต่ปัญหาคือ — เหมืองทองแดงต้องใช้น้ำมหาศาลในการสกัด → และประเทศผู้ผลิตหลักอย่าง ชิลี (อันดับ 1 ของโลก) กำลังเจอภาวะแห้งแล้งรุนแรง → PwC คาดว่า 25% ของกำลังผลิตทองแดงในชิลีจะเสี่ยงภายใน 2035 และแตะ 75–100% ภายใน 2050 สถานการณ์จะยิ่งน่ากังวลขึ้น หากการปล่อยคาร์บอนไม่ลดลง → เพราะไม่ใช่แค่ชิลี — แต่ 17 ประเทศที่ส่งทองแดงให้วงการชิป จะเจอภัยแล้งใน 10 ปีข้างหน้า ในขณะที่บางประเทศเริ่มลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำทะเล และรีไซเคิลน้ำ → แต่ประเทศที่ไม่มีชายฝั่ง หรือน้ำทะเลใช้งานไม่ได้ ก็อาจหมดทางเลือก ✅ PwC คาดว่าภายในปี 2035 → 32% ของการผลิตชิปทั่วโลกจะพึ่งพาทองแดงจากแหล่งที่เสี่ยงภัยแล้ง   • และตัวเลขจะพุ่งเป็น 58% ในปี 2050 หากไม่ลดการปล่อยคาร์บอน ✅ ชิลีคือผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่สุดของโลก แต่ต้องพึ่งน้ำจำนวนมากในการทำเหมือง   • ปัจจุบัน 25% ของเหมืองในชิลีกำลังเผชิญภัยแล้ง   • อาจเพิ่มเป็น 75–100% ภายใน 2050 ✅ ทองแดงคือวัสดุหลักของ “interconnects” ในชิปยุคใหม่   • เพราะค่าความต้านทานต่ำและทนการเสื่อมสภาพ (electromigration) ดีกว่าอลูมิเนียม ✅ PwC แนะให้แก้ปัญหา 3 ทาง:   • ลงทุนเทคโนโลยีรีไซเคิลน้ำและโรงกลั่นน้ำทะเล   • พัฒนา “วัสดุทดแทนทองแดง”   • กระจายซัพพลายเชน ไม่ให้กระจุกในประเทศที่เสี่ยงภัยแล้ง ✅ บทเรียนจากวิกฤตชิปในยุคโควิด-19 (2020):   • เสียหาย GDP สหรัฐฯ ไป 1% และเยอรมนี 2.4%   • ตอกย้ำความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน https://www.techspot.com/news/108596-drought-stricken-copper-mines-may-disrupt-one-third.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Drought-stricken copper mines may disrupt one-third of global semiconductor production by 2035
    PricewaterhouseCoopers (PwC) writes that the global semiconductor industry is expected to reach $1 trillion by 2030. However, it adds that one-third (32%) of worldwide production will be...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนขึ้นบัญชีดำบริษัทอินเดียมากกว่า 20 แห่ง หลังจากพบว่าพยายามแอบลักลอบส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ

    คาดว่า หลังจากนี้จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักและการเพิ่มขึ้นของราคาสำหรับผู้ผลิตทั่วโลกที่พึ่งพาแร่หายากสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน

    การกระทำของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก (Rare Earth) เนื่องจากจีนควบคุมการขุดและแปรรูปแร่หายากของโลกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้จีนเป็น "ผู้เล่นหลัก" ในห่วงโซ่อุปทานโลกสำหรับแร่สำคัญเหล่านี้

    "แร่หายาก" เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ไฮเทคหลากหลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า ฮาร์ดแวร์ทางการทหาร และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน

    ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาจึงมองจีนว่าใช้แร่หายากเป็นช่องทางในการสร้างอิทธิพลของตนเองต่อข้อพิพาททางการค้าและเพื่อกดดันประเทศต่างๆ
    จีนขึ้นบัญชีดำบริษัทอินเดียมากกว่า 20 แห่ง หลังจากพบว่าพยายามแอบลักลอบส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ต่อไปยังสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ คาดว่า หลังจากนี้จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักและการเพิ่มขึ้นของราคาสำหรับผู้ผลิตทั่วโลกที่พึ่งพาแร่หายากสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน การกระทำของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก (Rare Earth) เนื่องจากจีนควบคุมการขุดและแปรรูปแร่หายากของโลกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้จีนเป็น "ผู้เล่นหลัก" ในห่วงโซ่อุปทานโลกสำหรับแร่สำคัญเหล่านี้ "แร่หายาก" เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ไฮเทคหลากหลายประเภท เช่น สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า ฮาร์ดแวร์ทางการทหาร และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาจึงมองจีนว่าใช้แร่หายากเป็นช่องทางในการสร้างอิทธิพลของตนเองต่อข้อพิพาททางการค้าและเพื่อกดดันประเทศต่างๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ภาษีทรัมป์’ ชี้ชะตาขีดแข่งขันไทย : [Biz Talk]

    นอกจากจะลุ้นให้ผลเจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ได้ข้อสรุปก่อนครบกำหนด 9 ก.ค.68 แล้ว /ยังต้องลุ้นด้วยว่า ผลที่ออกมา จะทำให้ไทย เสียเปรียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค หรือไม่ หวั่นส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของไทย

    https://www.youtube.com/watch?v=JQ9CwY7-S1w
    ‘ภาษีทรัมป์’ ชี้ชะตาขีดแข่งขันไทย : [Biz Talk] นอกจากจะลุ้นให้ผลเจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ได้ข้อสรุปก่อนครบกำหนด 9 ก.ค.68 แล้ว /ยังต้องลุ้นด้วยว่า ผลที่ออกมา จะทำให้ไทย เสียเปรียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค หรือไม่ หวั่นส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของไทย https://www.youtube.com/watch?v=JQ9CwY7-S1w
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • BRICS ระเบิด: จากสหภาพธนาคารสู่แกนทหาร — จีนและรัสเซียส่งอาวุธให้อิหร่าน ขณะที่แผนสงครามเริ่มมีผลบังคับใช้ ขีปนาวุธ 800 ลูกพร้อมแล้ว เส้นทางส่งกำลังบำรุงกำลังร้อนระอุ

    ข่าวด่วน: จีนส่งเชื้อเพลิงขีปนาวุธพิสัยไกลให้กับอิหร่านอย่างเงียบๆ — เพียงพอสำหรับหัวรบนิวเคลียร์ 800 ลูก รัสเซียสนับสนุนคลังอาวุธของเตหะราน BRICS กลายเป็นแกนกลางทางการทหาร แนวรบต่อไปไม่ใช่สมมติฐาน แต่เป็นปฏิบัติการเต็มรูปแบบ

    จีน: การเสริมกำลังผ่านห่วงโซ่อุปทานผี!

    อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/brics-detonated-from-banking-union-to-military-axis-china-russia-arm-iran-as-war-blueprint-goes-live-800-missiles-ready-supply-lines-hot/
    BRICS ระเบิด: จากสหภาพธนาคารสู่แกนทหาร — จีนและรัสเซียส่งอาวุธให้อิหร่าน ขณะที่แผนสงครามเริ่มมีผลบังคับใช้ ขีปนาวุธ 800 ลูกพร้อมแล้ว เส้นทางส่งกำลังบำรุงกำลังร้อนระอุ ข่าวด่วน: จีนส่งเชื้อเพลิงขีปนาวุธพิสัยไกลให้กับอิหร่านอย่างเงียบๆ — เพียงพอสำหรับหัวรบนิวเคลียร์ 800 ลูก รัสเซียสนับสนุนคลังอาวุธของเตหะราน BRICS กลายเป็นแกนกลางทางการทหาร แนวรบต่อไปไม่ใช่สมมติฐาน แต่เป็นปฏิบัติการเต็มรูปแบบ 🟥 จีน: การเสริมกำลังผ่านห่วงโซ่อุปทานผี! 👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/brics-detonated-from-banking-union-to-military-axis-china-russia-arm-iran-as-war-blueprint-goes-live-800-missiles-ready-supply-lines-hot/
    AMG-NEWS.COM
    BRICS DETONATED: FROM BANKING UNION TO MILITARY AXIS — CHINA & RUSSIA ARM IRAN AS WAR BLUEPRINT GOES LIVE, 800 Missiles Ready. Supply Lines Hot. - amg-news.com - American Media Group
    BREAKING: China is quietly supplying Iran with ballistic missile fuel — enough for 800 warheads. Russia backs Tehran’s arsenal. BRICS morphs into a military axis. The next warfront is not hypothetical — it’s fully operational.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 เพื่อควบคุมต้นทุน
    Nvidia ได้ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 โดยเลือกใช้ ชิปจาก Samsung และ SK hynix ซึ่งช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

    แม้ว่า GDDR7 จะมี ความเร็วสูงกว่า แต่ GDDR6 มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ Nvidia สามารถผลิต RTX 5050 ได้ในปริมาณมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิป

    ข้อมูลจากข่าว
    - RTX 5050 จะใช้ GDDR6 จาก Samsung และ SK Hynix แทน GDDR7
    - การใช้ GDDR6 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
    - GDDR6 มีหลายรุ่น ตั้งแต่ 12 Gbps ถึง 20 Gbps แต่ยังไม่ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้รุ่นใด
    - RTX 5050 จะมี 8GB GDDR6 และใช้ชิป GB207 พร้อม 2,560 CUDA cores
    - อาจมีรุ่น RTX 5050 Super ที่ใช้ GDDR7 เปิดตัวในอนาคต

    ผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ RTX 5050
    แม้ว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด หากใช้ 18 Gbps GDDR6 จะมีแบนด์วิดท์ 288GB/s ซึ่งต่ำกว่า RTX 5060 ที่มี 448GB/s

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - RTX 5050 อาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้ GDDR7
    - ต้องติดตามว่า Nvidia จะเปิดตัว RTX 5050 Super พร้อม GDDR7 หรือไม่
    - การใช้ GDDR6 อาจทำให้ RTX 5050 มีข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อก
    = ต้องรอดูว่าผู้ผลิตจะใช้ GDDR6 รุ่นใดใน RTX 5050

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5050-wont-use-gddr7-memory-entry-level-gpu-tipped-to-use-samsung-and-sk-hynix-gddr6-modules-instead
    🎮 Nvidia RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 เพื่อควบคุมต้นทุน Nvidia ได้ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 โดยเลือกใช้ ชิปจาก Samsung และ SK hynix ซึ่งช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่า GDDR7 จะมี ความเร็วสูงกว่า แต่ GDDR6 มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ Nvidia สามารถผลิต RTX 5050 ได้ในปริมาณมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิป ✅ ข้อมูลจากข่าว - RTX 5050 จะใช้ GDDR6 จาก Samsung และ SK Hynix แทน GDDR7 - การใช้ GDDR6 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน - GDDR6 มีหลายรุ่น ตั้งแต่ 12 Gbps ถึง 20 Gbps แต่ยังไม่ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้รุ่นใด - RTX 5050 จะมี 8GB GDDR6 และใช้ชิป GB207 พร้อม 2,560 CUDA cores - อาจมีรุ่น RTX 5050 Super ที่ใช้ GDDR7 เปิดตัวในอนาคต 🔥 ผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ RTX 5050 แม้ว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด หากใช้ 18 Gbps GDDR6 จะมีแบนด์วิดท์ 288GB/s ซึ่งต่ำกว่า RTX 5060 ที่มี 448GB/s ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - RTX 5050 อาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้ GDDR7 - ต้องติดตามว่า Nvidia จะเปิดตัว RTX 5050 Super พร้อม GDDR7 หรือไม่ - การใช้ GDDR6 อาจทำให้ RTX 5050 มีข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อก = ต้องรอดูว่าผู้ผลิตจะใช้ GDDR6 รุ่นใดใน RTX 5050 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5050-wont-use-gddr7-memory-entry-level-gpu-tipped-to-use-samsung-and-sk-hynix-gddr6-modules-instead
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia RTX 5050 won't use GDDR7 memory— entry-level GPU tipped to use Samsung & SK hynix GDDR6 modules instead
    Nvidia will utilize different GDDR memory versions on its RTX 50 series graphics cards, just like the Turing generation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm

    ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น

    การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ

    ข้อมูลจากข่าว
    - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP)
    - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm
    - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux
    - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่
    - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
    - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว

    การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้ - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่ - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่
    Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย

    แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น
    - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์
    - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026
    - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่
    - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง
    - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

    แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต

    https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่ Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026 - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่ - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    COMPUTERCITY.COM
    Apple Reportedly Cancels AR Video Glasses – What’s Next for Its Wearable Future?
    Apple has reportedly scrapped its long-rumored AR video glasses project, codenamed N107, marking a major pivot in the company’s vision for lightweight
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนปรับนโยบายส่งออกแร่หายากเพื่อช่วยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจ ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก เพื่อช่วยเหลือบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีนและยุโรป หลังจากที่มาตรการเดิมทำให้กระบวนการอนุมัติใช้เวลานานและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน

    แร่หายากเป็น วัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางทหาร โดยจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก การปรับนโยบายครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมระหว่าง เจ้าหน้าที่จีนและสมาชิกหอการค้ายุโรป ซึ่งแสดงความกังวลว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง สายการผลิตในยุโรปอาจต้องหยุดชะงัก

    อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ไม่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากจีนยังคงจำกัดการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้

    ข้อมูลจากข่าว
    - จีนผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก เพื่อช่วยเหลือบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีนและยุโรป
    - มาตรการเดิมทำให้กระบวนการอนุมัติใช้เวลานาน และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
    - การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมกับหอการค้ายุโรป ซึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    - สหรัฐฯ, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ไม่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลว่าจีนจะได้รับผลตอบแทนอะไรจากยุโรป ในการผ่อนปรนนโยบายนี้
    - การเปลี่ยนแปลงนโยบายอาจทำให้เกิดความสับสนในกระบวนการศุลกากร และต้องใช้เวลาปรับตัว
    - สหรัฐฯ และจีนยังคงอยู่ในสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อการส่งออกแร่หายากในอนาคต
    - บริษัทที่ต้องการนำเข้าแร่หายากยังต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อน แม้ว่าจะมีการผ่อนปรนแล้ว

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การปรับนโยบายของจีนอาจช่วยให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และพันธมิตรยังคงได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก ซึ่งอาจทำให้ต้องหาทางเลือกอื่นในการจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการผลิตชิป

    จีนกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับยุโรป ในขณะที่ยังคงควบคุมการส่งออกไปยังประเทศที่เป็นคู่แข่งทางเทคโนโลยี
    🌍 จีนปรับนโยบายส่งออกแร่หายากเพื่อช่วยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจ ผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก เพื่อช่วยเหลือบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีนและยุโรป หลังจากที่มาตรการเดิมทำให้กระบวนการอนุมัติใช้เวลานานและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน แร่หายากเป็น วัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางทหาร โดยจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก การปรับนโยบายครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมระหว่าง เจ้าหน้าที่จีนและสมาชิกหอการค้ายุโรป ซึ่งแสดงความกังวลว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง สายการผลิตในยุโรปอาจต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ไม่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากจีนยังคงจำกัดการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - จีนผ่อนปรนข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก เพื่อช่วยเหลือบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีนและยุโรป - มาตรการเดิมทำให้กระบวนการอนุมัติใช้เวลานาน และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน - การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมกับหอการค้ายุโรป ซึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุตสาหกรรม - สหรัฐฯ, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ไม่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลว่าจีนจะได้รับผลตอบแทนอะไรจากยุโรป ในการผ่อนปรนนโยบายนี้ - การเปลี่ยนแปลงนโยบายอาจทำให้เกิดความสับสนในกระบวนการศุลกากร และต้องใช้เวลาปรับตัว - สหรัฐฯ และจีนยังคงอยู่ในสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อการส่งออกแร่หายากในอนาคต - บริษัทที่ต้องการนำเข้าแร่หายากยังต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อน แม้ว่าจะมีการผ่อนปรนแล้ว 🔎 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การปรับนโยบายของจีนอาจช่วยให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และพันธมิตรยังคงได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก ซึ่งอาจทำให้ต้องหาทางเลือกอื่นในการจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการผลิตชิป จีนกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับยุโรป ในขณะที่ยังคงควบคุมการส่งออกไปยังประเทศที่เป็นคู่แข่งทางเทคโนโลยี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC เผชิญปัญหาขาดแคลนวัสดุ BT Substrate จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้น

    TSMC กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนวัสดุ BT Substrate ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดย Mitsubishi Gas Chemical (MGC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศว่าการจัดส่งวัสดุจะล่าช้าอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อ ตลาด NAND Flash Controllers และ SSDs

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน BT Substrate
    TSMC ใช้เทคโนโลยี CoWoS ซึ่งต้องใช้วัสดุ BT Substrate ในกระบวนการผลิต
    - CoWoS เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia Blackwell

    MGC ประกาศว่าการจัดส่งวัตถุดิบสำหรับ BT Substrate จะล่าช้าเนื่องจากอุปทานต่ำ
    - ส่งผลให้ เกิดปัญหาขาดแคลนในตลาด NAND Flash Controllers และ SSDs

    Phison และ Silicon Motion ซึ่งเป็นผู้ผลิต NAND Flash Controllers อาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้
    - เนื่องจาก มีสินค้าคงคลังอยู่แล้วและสามารถขายในราคาสูงขึ้น

    TSMC กำลังพิจารณาผลิตโปรเซสเซอร์ 1000W บน CoWoS Substrate ขนาด 120x150 มม.
    - อาจทำให้ ความต้องการวัสดุเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

    บริษัทต่าง ๆ ในห่วงโซ่อุปทาน BT Substrate กำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการคำสั่งซื้อและลดผลกระทบ
    - เพื่อ ป้องกันไม่ให้ตลาดเกิดภาวะขาดแคลนรุนแรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/ai-chip-boom-sparks-bt-substrate-materials-shortage-tsmcs-huge-demand-causes-supply-disruptions-for-nand-flash-controllers-ssds
    TSMC เผชิญปัญหาขาดแคลนวัสดุ BT Substrate จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้น TSMC กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนวัสดุ BT Substrate ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดย Mitsubishi Gas Chemical (MGC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศว่าการจัดส่งวัสดุจะล่าช้าอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อ ตลาด NAND Flash Controllers และ SSDs 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน BT Substrate ✅ TSMC ใช้เทคโนโลยี CoWoS ซึ่งต้องใช้วัสดุ BT Substrate ในกระบวนการผลิต - CoWoS เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia Blackwell ✅ MGC ประกาศว่าการจัดส่งวัตถุดิบสำหรับ BT Substrate จะล่าช้าเนื่องจากอุปทานต่ำ - ส่งผลให้ เกิดปัญหาขาดแคลนในตลาด NAND Flash Controllers และ SSDs ✅ Phison และ Silicon Motion ซึ่งเป็นผู้ผลิต NAND Flash Controllers อาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ - เนื่องจาก มีสินค้าคงคลังอยู่แล้วและสามารถขายในราคาสูงขึ้น ✅ TSMC กำลังพิจารณาผลิตโปรเซสเซอร์ 1000W บน CoWoS Substrate ขนาด 120x150 มม. - อาจทำให้ ความต้องการวัสดุเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ✅ บริษัทต่าง ๆ ในห่วงโซ่อุปทาน BT Substrate กำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการคำสั่งซื้อและลดผลกระทบ - เพื่อ ป้องกันไม่ให้ตลาดเกิดภาวะขาดแคลนรุนแรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/ai-chip-boom-sparks-bt-substrate-materials-shortage-tsmcs-huge-demand-causes-supply-disruptions-for-nand-flash-controllers-ssds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อาจช่วยเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน

    รายงานล่าสุดระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน อาจกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองได้เร็วขึ้น โดยพบว่า บริษัทจีนบางแห่งสามารถปรับตัวและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านการนำเข้าเทคโนโลยีจากตะวันตก

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร
    แม้สหรัฐฯ และจีนจะตกลงระงับภาษีที่รุนแรงเป็นเวลา 90 วัน แต่ความตึงเครียดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเพิ่มขึ้น
    - บริษัทไต้หวันที่ดำเนินธุรกิจในจีนกำลังถูกจับตามองมากขึ้น

    บริษัท Zhen Ding Technology ในจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    - เนื่องจาก กลยุทธ์ "China for China" ที่เน้นการผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศ

    Nvidia CEO Jensen Huang ระบุว่าการห้ามส่งออกชิป AI ไปจีนเป็น "ความล้มเหลว"
    - เพราะ บริษัทจีนหันไปใช้ผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งในประเทศแทน

    บริษัทจีนอาจใช้สวนอุตสาหกรรม AI ในไต้หวันเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
    - อาจทำให้ ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เปลี่ยนแปลงไป

    Nvidia อาจเปิดตัวชิป Blackwell รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีนภายในสิ้นปีนี้
    - เพื่อ ทดแทนชิป H20 ที่ถูกแบน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/instead-of-crippling-chinas-semiconductor-ambitions-u-s-sanctions-may-be-inadvertently-accelerating-them-report-claims-washington-measures-could-be-bolstering-chinas-chip-market
    มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อาจช่วยเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน รายงานล่าสุดระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน อาจกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองได้เร็วขึ้น โดยพบว่า บริษัทจีนบางแห่งสามารถปรับตัวและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านการนำเข้าเทคโนโลยีจากตะวันตก 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร ✅ แม้สหรัฐฯ และจีนจะตกลงระงับภาษีที่รุนแรงเป็นเวลา 90 วัน แต่ความตึงเครียดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเพิ่มขึ้น - บริษัทไต้หวันที่ดำเนินธุรกิจในจีนกำลังถูกจับตามองมากขึ้น ✅ บริษัท Zhen Ding Technology ในจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา - เนื่องจาก กลยุทธ์ "China for China" ที่เน้นการผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศ ✅ Nvidia CEO Jensen Huang ระบุว่าการห้ามส่งออกชิป AI ไปจีนเป็น "ความล้มเหลว" - เพราะ บริษัทจีนหันไปใช้ผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งในประเทศแทน ✅ บริษัทจีนอาจใช้สวนอุตสาหกรรม AI ในไต้หวันเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น - อาจทำให้ ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เปลี่ยนแปลงไป ✅ Nvidia อาจเปิดตัวชิป Blackwell รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีนภายในสิ้นปีนี้ - เพื่อ ทดแทนชิป H20 ที่ถูกแบน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/instead-of-crippling-chinas-semiconductor-ambitions-u-s-sanctions-may-be-inadvertently-accelerating-them-report-claims-washington-measures-could-be-bolstering-chinas-chip-market
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Report claims Washington measures could be bolstering China's chip market
    China's chip industry could emerge more resilient from U.S. sanctions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เลื่อนเปิดตัวเทคโนโลยี SOCAMM ไปยังรุ่น Rubin Ultra แทน Blackwell Ultra GB300

    Nvidia ได้ตัดสินใจ เลื่อนการเปิดตัวเทคโนโลยี SOCAMM ซึ่งเดิมทีถูกวางแผนให้ใช้กับ Blackwell Ultra GB300 ไปยัง Rubin Ultra ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม GPU รุ่นถัดไปของบริษัท สาเหตุหลักมาจาก ปัญหาด้านความน่าเชื่อถือและห่วงโซ่อุปทาน

    SOCAMM เดิมทีถูกวางแผนให้ใช้กับ Blackwell Ultra GB300 แต่ถูกเลื่อนออกไป
    - Nvidia เปลี่ยนไปใช้ Rubin Ultra แทน

    GB300 เดิมทีใช้ดีไซน์เมนบอร์ด "Cordelia" แต่เปลี่ยนไปใช้ "Bianca" ที่ไม่มี SOCAMM
    - ส่งผลให้ SOCAMM ไม่สามารถใช้งานกับ GB300 ได้

    SOCAMM เป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ที่พัฒนาโดย Nvidia ร่วมกับ SK Hynix และ Micron
    - มีประสิทธิภาพสูงกว่า DDR5 DIMMs และ RDIMMs

    SOCAMM จะเปิดตัวพร้อมกับ Rubin Ultra ซึ่งคาดว่าจะรองรับ HBM4E ในปี 2027
    - มีแบนด์วิดท์สูงถึง 13TB/s

    Rubin Ultra จะสามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้าง NVL72 ของ Blackwell ได้
    - ทำให้ สามารถอัปเกรดระบบได้ง่ายขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-postpones-socamm-technology-originally-planned-for-blackwell-ultra-gb300-now-scheduled-for-rubin-rubin-ultra
    Nvidia เลื่อนเปิดตัวเทคโนโลยี SOCAMM ไปยังรุ่น Rubin Ultra แทน Blackwell Ultra GB300 Nvidia ได้ตัดสินใจ เลื่อนการเปิดตัวเทคโนโลยี SOCAMM ซึ่งเดิมทีถูกวางแผนให้ใช้กับ Blackwell Ultra GB300 ไปยัง Rubin Ultra ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม GPU รุ่นถัดไปของบริษัท สาเหตุหลักมาจาก ปัญหาด้านความน่าเชื่อถือและห่วงโซ่อุปทาน ✅ SOCAMM เดิมทีถูกวางแผนให้ใช้กับ Blackwell Ultra GB300 แต่ถูกเลื่อนออกไป - Nvidia เปลี่ยนไปใช้ Rubin Ultra แทน ✅ GB300 เดิมทีใช้ดีไซน์เมนบอร์ด "Cordelia" แต่เปลี่ยนไปใช้ "Bianca" ที่ไม่มี SOCAMM - ส่งผลให้ SOCAMM ไม่สามารถใช้งานกับ GB300 ได้ ✅ SOCAMM เป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ที่พัฒนาโดย Nvidia ร่วมกับ SK Hynix และ Micron - มีประสิทธิภาพสูงกว่า DDR5 DIMMs และ RDIMMs ✅ SOCAMM จะเปิดตัวพร้อมกับ Rubin Ultra ซึ่งคาดว่าจะรองรับ HBM4E ในปี 2027 - มีแบนด์วิดท์สูงถึง 13TB/s ✅ Rubin Ultra จะสามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้าง NVL72 ของ Blackwell ได้ - ทำให้ สามารถอัปเกรดระบบได้ง่ายขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-postpones-socamm-technology-originally-planned-for-blackwell-ultra-gb300-now-scheduled-for-rubin-rubin-ultra
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei ขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน: ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่ง

    Huawei กำลังเสริมความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน โดยล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และ DRAM

    Huawei ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วจีน
    - โรงงานเหล่านี้ ดำเนินงานภายใต้บริษัทลูกที่มีชื่อแตกต่างกัน เพื่อให้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับ Huawei

    โรงงานบางแห่งสามารถผลิตชิปที่ระดับ 7nm ได้
    - ทำให้ Huawei มีศักยภาพเทียบเท่ากับ SMIC ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของจีน

    Huawei มีการบูรณาการแนวตั้งในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง
    - ครอบคลุม ทั้งการผลิตชิปสำหรับมือถือและ AI accelerators

    โรงงานหลักของ Huawei ตั้งอยู่ในเซินเจิ้น เช่น PST, PXW, SWX และ PJHT
    - แสดงให้เห็นว่า บริษัทกำลังขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว

    Huawei ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - ทำให้บริษัท มีทรัพยากรด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมหาศาล

    https://wccftech.com/huawei-strengthens-its-grip-over-the-chip-supply-chain/
    Huawei ขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน: ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่ง Huawei กำลังเสริมความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน โดยล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และ DRAM ✅ Huawei ดำเนินงานโรงงานผลิตชิปกว่า 11 แห่งทั่วจีน - โรงงานเหล่านี้ ดำเนินงานภายใต้บริษัทลูกที่มีชื่อแตกต่างกัน เพื่อให้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับ Huawei ✅ โรงงานบางแห่งสามารถผลิตชิปที่ระดับ 7nm ได้ - ทำให้ Huawei มีศักยภาพเทียบเท่ากับ SMIC ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของจีน ✅ Huawei มีการบูรณาการแนวตั้งในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง - ครอบคลุม ทั้งการผลิตชิปสำหรับมือถือและ AI accelerators ✅ โรงงานหลักของ Huawei ตั้งอยู่ในเซินเจิ้น เช่น PST, PXW, SWX และ PJHT - แสดงให้เห็นว่า บริษัทกำลังขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว ✅ Huawei ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - ทำให้บริษัท มีทรัพยากรด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมหาศาล https://wccftech.com/huawei-strengthens-its-grip-over-the-chip-supply-chain/
    WCCFTECH.COM
    Huawei Strengthens Its Grip Over The Chip Supply Chain; Now Reported To Operate Over 11 Fabs Across China Producing Foundry & DRAM Products
    Huawei has managed to take over the chip supply chain in China, as, according to a new report, the firm now operates multiple facilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025

    Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ

    Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ
    - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร

    ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง

    วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล

    Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
    - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025
    - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้

    การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี
    - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
    - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025 Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ ✅ Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง ✅ วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล ✅ Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025 - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้ ‼️ การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ‼️ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธศาสตร์โลก (Global Strategy) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการดำเนินการในระดับโลกเพื่อตอบสนองความท้าทายและโอกาสในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี

    ### **ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์โลกปัจจุบัน**
    1. **การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ**
    - **สหรัฐอเมริกา vs จีน**: การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี (เช่น สงครามชิป) และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์
    - **บทบาทของรัสเซีย**: สงครามยูเครนและผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและอาหารโลก
    - **EU และกลุ่มประเทศอื่นๆ**: แสวงหาความเป็นเอกภาพหรือความเป็นกลางในความขัดแย้ง

    2. **เศรษฐกิจและการค้าโลก**
    - **ห่วงโซ่อุปทานใหม่**: การลดการพึ่งพาจีน (Friend-shoring, Reshoring)
    - **การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI**
    - **ความตกลงการค้าใหม่**: เช่น CPTPP, RCEP

    3. **ความมั่นคงและความขัดแย้ง**
    - **สงครามในตะวันออกกลาง** (อิสราเอล-ปาเลสไตน์, ความตึงเครียดกับอิหร่าน)
    - **ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน**
    - **การขยายตัวของ NATO และความสัมพันธ์กับรัสเซีย**

    4. **สิ่งแวดล้อมและพลังงาน**
    - **การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด** (Net Zero, Renewable Energy)
    - **ผลกระทบจาก Climate Change** และนโยบายลดคาร์บอน
    - **ความมั่นคงด้านพลังงาน** (การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางและรัสเซีย)

    5. **เทคโนโลยีและไซเบอร์**
    - **การแข่งขันด้าน AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, อวกาศ**
    - **สงครามไซเบอร์และความปลอดภัยข้อมูล**
    - **กฎระเบียบเทคโนโลยีระหว่างประเทศ** (เช่น GDPR, การควบคุม AI)

    6. **การทูตและองค์กรระหว่างประเทศ**
    - **บทบาทของ UN, WTO, IMF** ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเศรษฐกิจ
    - **กลุ่มประเทศ BRICS+** ที่ขยายตัวเพื่อท้าทายระบบโลกเดิม
    - **Soft Power และการทูตวัฒนธรรม**

    ### **ยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ**
    - **สหรัฐอเมริกา**: มุ่งรักษา hegemony ผ่านการเสริมกำลัง NATO, สนับสนุนไต้หวัน, และลงทุนในเทคโนโลยี
    - **จีน**: Belt and Road Initiative (BRI), การขยายอิทธิพลใน Global South
    - **ยุโรป**: ลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย, ส่งเสริม Green Deal
    - **รัสเซีย**: หาพันธมิตรใหม่ (จีน, อิหร่าน) หลังถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตก
    - **กลุ่ม Global South (อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้)**: แสวงหาความเป็นกลางหรือประโยชน์จากหลายฝ่าย

    ### **แนวโน้มในอนาคต**
    - **โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)** แทนระบบที่นำโดยสหรัฐเพียงอย่างเดียว
    - **ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเทคโนโลยี**
    - **ความเสี่ยงจากความขัดแย้งใหม่ๆ** (เช่น AI Warfare, การแย่งชิงทรัพยากร)

    ยุทธศาสตร์โลกในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึง **ความร่วมมือระหว่างประเทศ** แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับ **การแข่งขันและการเผชิญหน้า** ในหลายด้านด้วย
    ยุทธศาสตร์โลก (Global Strategy) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการดำเนินการในระดับโลกเพื่อตอบสนองความท้าทายและโอกาสในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ### **ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์โลกปัจจุบัน** 1. **การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ** - **สหรัฐอเมริกา vs จีน**: การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี (เช่น สงครามชิป) และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ - **บทบาทของรัสเซีย**: สงครามยูเครนและผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและอาหารโลก - **EU และกลุ่มประเทศอื่นๆ**: แสวงหาความเป็นเอกภาพหรือความเป็นกลางในความขัดแย้ง 2. **เศรษฐกิจและการค้าโลก** - **ห่วงโซ่อุปทานใหม่**: การลดการพึ่งพาจีน (Friend-shoring, Reshoring) - **การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI** - **ความตกลงการค้าใหม่**: เช่น CPTPP, RCEP 3. **ความมั่นคงและความขัดแย้ง** - **สงครามในตะวันออกกลาง** (อิสราเอล-ปาเลสไตน์, ความตึงเครียดกับอิหร่าน) - **ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน** - **การขยายตัวของ NATO และความสัมพันธ์กับรัสเซีย** 4. **สิ่งแวดล้อมและพลังงาน** - **การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด** (Net Zero, Renewable Energy) - **ผลกระทบจาก Climate Change** และนโยบายลดคาร์บอน - **ความมั่นคงด้านพลังงาน** (การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางและรัสเซีย) 5. **เทคโนโลยีและไซเบอร์** - **การแข่งขันด้าน AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, อวกาศ** - **สงครามไซเบอร์และความปลอดภัยข้อมูล** - **กฎระเบียบเทคโนโลยีระหว่างประเทศ** (เช่น GDPR, การควบคุม AI) 6. **การทูตและองค์กรระหว่างประเทศ** - **บทบาทของ UN, WTO, IMF** ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเศรษฐกิจ - **กลุ่มประเทศ BRICS+** ที่ขยายตัวเพื่อท้าทายระบบโลกเดิม - **Soft Power และการทูตวัฒนธรรม** ### **ยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ** - **สหรัฐอเมริกา**: มุ่งรักษา hegemony ผ่านการเสริมกำลัง NATO, สนับสนุนไต้หวัน, และลงทุนในเทคโนโลยี - **จีน**: Belt and Road Initiative (BRI), การขยายอิทธิพลใน Global South - **ยุโรป**: ลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย, ส่งเสริม Green Deal - **รัสเซีย**: หาพันธมิตรใหม่ (จีน, อิหร่าน) หลังถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตก - **กลุ่ม Global South (อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้)**: แสวงหาความเป็นกลางหรือประโยชน์จากหลายฝ่าย ### **แนวโน้มในอนาคต** - **โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)** แทนระบบที่นำโดยสหรัฐเพียงอย่างเดียว - **ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเทคโนโลยี** - **ความเสี่ยงจากความขัดแย้งใหม่ๆ** (เช่น AI Warfare, การแย่งชิงทรัพยากร) ยุทธศาสตร์โลกในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึง **ความร่วมมือระหว่างประเทศ** แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับ **การแข่งขันและการเผชิญหน้า** ในหลายด้านด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • การคอร์รัปชันระดับโลก (Global Corruption) เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มักมีระบบตรวจสอบและกลไกต่อต้านคอร์รัปชันที่อ่อนแอ

    ### **รูปแบบของการคอร์รัปชันระดับโลก**
    1. **การทุจริตข้ามชาติ (Transnational Corruption)**
    - การติดสินบนระหว่างประเทศ (เช่น บริษัทข้ามชาติให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อชนะโครงการใหญ่)
    - การฟอกเงินผ่านระบบการเงินระหว่างประเทศ

    2. **การหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Evasion)**
    - การใช้บัญชีธนาคารลับในต่างประเทศ (เช่น เอกสารลับ Panama Papers, Paradise Papers)
    - การโอนผลกำไรไปยังประเทศที่มีภาษีต่ำ (Tax Havens)

    3. **การคอร์รัปชันในองค์กรระหว่างประเทศ**
    - การทุจริตในโครงการช่วยเหลือของสหประชาชาติ (UN) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
    - การใช้อำนาจในองค์กรโลกบาลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

    4. **การคอร์รัปชันในห่วงโซ่อุปทานโลก**
    - การใช้แรงงานบังคับหรือการจ่ายเงินใต้โต๊ะในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงาน

    ### **กรณีศึกษาที่โดดเด่น**
    - **Panama Papers (2016)** – เอกสารรั่วไหลเผยให้เห็นว่าผู้นำโลกและคนรวยใช้บริษัทหลอกเพื่อซ่อนทรัพย์สิน
    - **Operation Car Wash (巴西洗车行动)** – คดีทุจริตใหญ่ในบราซิลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทน้ำมัน Petrobras และนักการเมืองหลายประเทศ
    - **1MDB Scandal (มาเลเซีย)** – อดีตนายกฯ นาจิบ ราซัก ถูกกล่าวหาลักลอบใช้เงินกองทุนรัฐ

    ### **ผลกระทบ**
    - **เศรษฐกิจ** : สร้างความเสียหายมหาศาล ทำลายความเชื่อมั่นนักลงทุน
    - **สังคม** : เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ทำลายระบบสวัสดิการ
    - **การเมือง** : บ่อนทำลายประชาธิปไตย สร้างระบอบอำนาจนิยม

    ### **ความพยายามต่อต้านคอร์รัปชันระดับโลก**
    - **UN Convention Against Corruption (UNCAC)** – ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามคอร์รัปชัน
    - **OECD Anti-Bribery Convention** – ควบคุมการติดสินบนข้ามชาติของบริษัท
    - **Transparency International** – องค์กรนอกภาครัฐที่จัดดัชนีชี้วัดความโปร่งใส (CPI)

    ### **ความท้าทาย**
    - การบังคับใช้กฎหมายในบางประเทศยังอ่อนแอ
    - การใช้เทคโนโลยี (Cryptocurrency, Shell Companies) ทำให้การตรวจจับยากขึ้น

    การแก้ปัญหาคอร์รัปชันระดับโลกต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน
    การคอร์รัปชันระดับโลก (Global Corruption) เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มักมีระบบตรวจสอบและกลไกต่อต้านคอร์รัปชันที่อ่อนแอ ### **รูปแบบของการคอร์รัปชันระดับโลก** 1. **การทุจริตข้ามชาติ (Transnational Corruption)** - การติดสินบนระหว่างประเทศ (เช่น บริษัทข้ามชาติให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อชนะโครงการใหญ่) - การฟอกเงินผ่านระบบการเงินระหว่างประเทศ 2. **การหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Evasion)** - การใช้บัญชีธนาคารลับในต่างประเทศ (เช่น เอกสารลับ Panama Papers, Paradise Papers) - การโอนผลกำไรไปยังประเทศที่มีภาษีต่ำ (Tax Havens) 3. **การคอร์รัปชันในองค์กรระหว่างประเทศ** - การทุจริตในโครงการช่วยเหลือของสหประชาชาติ (UN) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) - การใช้อำนาจในองค์กรโลกบาลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 4. **การคอร์รัปชันในห่วงโซ่อุปทานโลก** - การใช้แรงงานบังคับหรือการจ่ายเงินใต้โต๊ะในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงาน ### **กรณีศึกษาที่โดดเด่น** - **Panama Papers (2016)** – เอกสารรั่วไหลเผยให้เห็นว่าผู้นำโลกและคนรวยใช้บริษัทหลอกเพื่อซ่อนทรัพย์สิน - **Operation Car Wash (巴西洗车行动)** – คดีทุจริตใหญ่ในบราซิลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทน้ำมัน Petrobras และนักการเมืองหลายประเทศ - **1MDB Scandal (มาเลเซีย)** – อดีตนายกฯ นาจิบ ราซัก ถูกกล่าวหาลักลอบใช้เงินกองทุนรัฐ ### **ผลกระทบ** - **เศรษฐกิจ** : สร้างความเสียหายมหาศาล ทำลายความเชื่อมั่นนักลงทุน - **สังคม** : เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ทำลายระบบสวัสดิการ - **การเมือง** : บ่อนทำลายประชาธิปไตย สร้างระบอบอำนาจนิยม ### **ความพยายามต่อต้านคอร์รัปชันระดับโลก** - **UN Convention Against Corruption (UNCAC)** – ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามคอร์รัปชัน - **OECD Anti-Bribery Convention** – ควบคุมการติดสินบนข้ามชาติของบริษัท - **Transparency International** – องค์กรนอกภาครัฐที่จัดดัชนีชี้วัดความโปร่งใส (CPI) ### **ความท้าทาย** - การบังคับใช้กฎหมายในบางประเทศยังอ่อนแอ - การใช้เทคโนโลยี (Cryptocurrency, Shell Companies) ทำให้การตรวจจับยากขึ้น การแก้ปัญหาคอร์รัปชันระดับโลกต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสในภาครัฐและเอกชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 734 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DOD) เตรียมปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อซอฟต์แวร์ DOD กำลังดำเนินการ ปรับปรุงระบบจัดซื้อซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย เพื่อเพิ่ม ความปลอดภัยและความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน โดยมีแผนเปิดตัว Software Fast-Track (SWFT) Initiative ภายใน 90 วัน

    Katherine Arrington หัวหน้าเจ้าหน้าที่สารสนเทศของ DOD ระบุว่า SWFT Framework จะกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการบริหารความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน รวมถึง กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ที่เข้มงวดขึ้น

    DOD เตรียมเปิดตัว Software Fast-Track (SWFT) Initiative ภายใน 90 วัน
    - มุ่งเน้น การปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อซอฟต์แวร์ให้มีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น
    - เพิ่ม ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานซอฟต์แวร์

    SWFT Framework จะกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการบริหารความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน
    - รวมถึง กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ที่เข้มงวดขึ้น

    DOD ต้องการลดกระบวนการที่ซ้ำซ้อนและสิ้นเปลือง
    - คาดว่าจะช่วย ประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น

    DOD ระบุว่า Open Source Software เป็นความท้าทายสำคัญ
    - เนื่องจาก ขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโค้ดและความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/pentagon-looks-to-shake-up-outdated-software-procurement-declares-war-on-open-source
    กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DOD) เตรียมปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อซอฟต์แวร์ DOD กำลังดำเนินการ ปรับปรุงระบบจัดซื้อซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย เพื่อเพิ่ม ความปลอดภัยและความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน โดยมีแผนเปิดตัว Software Fast-Track (SWFT) Initiative ภายใน 90 วัน Katherine Arrington หัวหน้าเจ้าหน้าที่สารสนเทศของ DOD ระบุว่า SWFT Framework จะกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการบริหารความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน รวมถึง กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ที่เข้มงวดขึ้น ✅ DOD เตรียมเปิดตัว Software Fast-Track (SWFT) Initiative ภายใน 90 วัน - มุ่งเน้น การปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อซอฟต์แวร์ให้มีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น - เพิ่ม ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานซอฟต์แวร์ ✅ SWFT Framework จะกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการบริหารความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน - รวมถึง กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ที่เข้มงวดขึ้น ✅ DOD ต้องการลดกระบวนการที่ซ้ำซ้อนและสิ้นเปลือง - คาดว่าจะช่วย ประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น ✅ DOD ระบุว่า Open Source Software เป็นความท้าทายสำคัญ - เนื่องจาก ขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโค้ดและความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/pentagon-looks-to-shake-up-outdated-software-procurement-declares-war-on-open-source
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังผลักดัน เศรษฐกิจหมุนเวียนในยุคพลังงานใหม่ โดยใช้ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซลล์แสงอาทิตย์ที่หมดอายุ เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญในการรีไซเคิล

    บริษัทรีไซเคิลในจีน เช่น Ma Long’s recycling company กำลังสร้างกำไรจาก การสกัดลิเธียม, โคบอลต์ และนิกเกิล จากแบตเตอรี่ที่หมดอายุ ซึ่งช่วยให้จีนสามารถ ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ในขณะที่สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน

    จีนใช้แบตเตอรี่ EV และเซลล์แสงอาทิตย์ที่หมดอายุเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ
    - ช่วยให้สามารถ รีไซเคิลลิเธียม, โคบอลต์ และนิกเกิล
    - ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ

    บริษัทรีไซเคิลในจีนกำลังสร้างกำไรจากการสกัดวัสดุสำคัญ
    - เช่น Ma Long’s recycling company
    - ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการ สกัดโลหะมีค่าและนำกลับมาใช้ใหม่

    ผลกระทบต่อความมั่นคงด้านทรัพยากรของจีน
    - ช่วยให้จีนสามารถ รักษาความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
    - ลดผลกระทบจาก สงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต
    - อุตสาหกรรมรีไซเคิลอาจ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - อาจช่วยให้จีน เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในยุคพลังงานใหม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/chinas-dying-ev-batteries-solar-cells-are-powering-a-circular-economy-in-new-energy-era
    จีนกำลังผลักดัน เศรษฐกิจหมุนเวียนในยุคพลังงานใหม่ โดยใช้ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซลล์แสงอาทิตย์ที่หมดอายุ เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญในการรีไซเคิล บริษัทรีไซเคิลในจีน เช่น Ma Long’s recycling company กำลังสร้างกำไรจาก การสกัดลิเธียม, โคบอลต์ และนิกเกิล จากแบตเตอรี่ที่หมดอายุ ซึ่งช่วยให้จีนสามารถ ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ในขณะที่สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ✅ จีนใช้แบตเตอรี่ EV และเซลล์แสงอาทิตย์ที่หมดอายุเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ - ช่วยให้สามารถ รีไซเคิลลิเธียม, โคบอลต์ และนิกเกิล - ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ✅ บริษัทรีไซเคิลในจีนกำลังสร้างกำไรจากการสกัดวัสดุสำคัญ - เช่น Ma Long’s recycling company - ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการ สกัดโลหะมีค่าและนำกลับมาใช้ใหม่ ✅ ผลกระทบต่อความมั่นคงด้านทรัพยากรของจีน - ช่วยให้จีนสามารถ รักษาความมั่นคงด้านวัตถุดิบ - ลดผลกระทบจาก สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ✅ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต - อุตสาหกรรมรีไซเคิลอาจ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว - อาจช่วยให้จีน เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในยุคพลังงานใหม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/chinas-dying-ev-batteries-solar-cells-are-powering-a-circular-economy-in-new-energy-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China’s dying EV batteries, solar cells are powering a circular economy in new-energy era
    Recycling critical materials such as lithium, cobalt and nickel are driving profits and shoring up China's resource security as trade war with US hits supply chains.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนได้ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าชิปบางประเภทจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการลดภาษีตอบโต้ที่เคยกำหนดไว้สูงถึง 125% โดยการยกเว้นนี้ครอบคลุมรหัสภาษี 8 หมวดหมู่ ที่เกี่ยวข้องกับวงจรรวม (Integrated Circuits) แต่ไม่รวมถึงชิปหน่วยความจำที่จีนผลิตภายในประเทศเอง

    บริษัทที่ได้ชำระภาษีสำหรับสินค้าที่ได้รับการยกเว้นระหว่างวันที่ 10-24 เมษายน สามารถยื่นขอคืนเงินภาษีได้ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจสะท้อนถึงความพยายามในการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีนี้

    การยกเว้นภาษีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านชิปขั้นสูงที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

    การยกเว้นภาษีชิปบางประเภท
    - ครอบคลุมรหัสภาษี 8 หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับวงจรรวม
    - ไม่รวมถึงชิปหน่วยความจำที่จีนผลิตเอง

    การคืนเงินภาษี
    - บริษัทที่ชำระภาษีระหว่างวันที่ 10-24 เมษายนสามารถยื่นขอคืนเงินได้

    ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า
    - อาจสะท้อนถึงความพยายามในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ

    ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การยกเว้นภาษีช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-reportedly-waives-tariffs-on-some-us-chip-imports-duties-paid-are-eligible-for-refunds
    จีนได้ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าชิปบางประเภทจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการลดภาษีตอบโต้ที่เคยกำหนดไว้สูงถึง 125% โดยการยกเว้นนี้ครอบคลุมรหัสภาษี 8 หมวดหมู่ ที่เกี่ยวข้องกับวงจรรวม (Integrated Circuits) แต่ไม่รวมถึงชิปหน่วยความจำที่จีนผลิตภายในประเทศเอง บริษัทที่ได้ชำระภาษีสำหรับสินค้าที่ได้รับการยกเว้นระหว่างวันที่ 10-24 เมษายน สามารถยื่นขอคืนเงินภาษีได้ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจสะท้อนถึงความพยายามในการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีนี้ การยกเว้นภาษีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านชิปขั้นสูงที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ✅ การยกเว้นภาษีชิปบางประเภท - ครอบคลุมรหัสภาษี 8 หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับวงจรรวม - ไม่รวมถึงชิปหน่วยความจำที่จีนผลิตเอง ✅ การคืนเงินภาษี - บริษัทที่ชำระภาษีระหว่างวันที่ 10-24 เมษายนสามารถยื่นขอคืนเงินได้ ✅ ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า - อาจสะท้อนถึงความพยายามในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ✅ ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การยกเว้นภาษีช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-reportedly-waives-tariffs-on-some-us-chip-imports-duties-paid-are-eligible-for-refunds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • Logitech ได้ปรับราคาสินค้าหลายรายการขึ้นสูงสุดถึง 25% โดยไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ การปรับราคานี้เกิดจากผลกระทบของ ภาษีศุลกากร และ ต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน ที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบรวมถึง MX Master 3S mouse และ K400 Plus Wireless Touch Keyboard ซึ่งราคาของสินค้าบางรายการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    Logitech ปรับราคาสินค้าขึ้นสูงสุดถึง 25%
    - MX Master 3S mouse เพิ่มขึ้นจาก $100 เป็น $120 (20%)
    - K400 Plus Wireless Touch Keyboard เพิ่มขึ้นจาก $27.99 เป็น $34.99 (25%)

    สินค้าบางรายการมีราคาลดลง
    - เช่น G Pro X Superlight mouse ลดลงจาก $159.99 เป็น $149.99

    การปรับราคาสินค้าเกิดจากผลกระทบของภาษีศุลกากร
    - ภาษีศุลกากรที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ผลิตในจีน

    Logitech ถอนการคาดการณ์ทางการเงินสำหรับปีงบประมาณหน้า
    - บริษัทระบุว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรเป็นปัจจัยสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/107631-logitech-quietly-raises-prices-popular-pc-accessories-up.html
    Logitech ได้ปรับราคาสินค้าหลายรายการขึ้นสูงสุดถึง 25% โดยไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ การปรับราคานี้เกิดจากผลกระทบของ ภาษีศุลกากร และ ต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน ที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบรวมถึง MX Master 3S mouse และ K400 Plus Wireless Touch Keyboard ซึ่งราคาของสินค้าบางรายการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ✅ Logitech ปรับราคาสินค้าขึ้นสูงสุดถึง 25% - MX Master 3S mouse เพิ่มขึ้นจาก $100 เป็น $120 (20%) - K400 Plus Wireless Touch Keyboard เพิ่มขึ้นจาก $27.99 เป็น $34.99 (25%) ✅ สินค้าบางรายการมีราคาลดลง - เช่น G Pro X Superlight mouse ลดลงจาก $159.99 เป็น $149.99 ✅ การปรับราคาสินค้าเกิดจากผลกระทบของภาษีศุลกากร - ภาษีศุลกากรที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ผลิตในจีน ✅ Logitech ถอนการคาดการณ์ทางการเงินสำหรับปีงบประมาณหน้า - บริษัทระบุว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรเป็นปัจจัยสำคัญ https://www.techspot.com/news/107631-logitech-quietly-raises-prices-popular-pc-accessories-up.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Logitech quietly raises prices on popular PC accessories by up to 25% after tariffs
    In his video, Dougherty raises questions about the impact of ongoing tariffs and the future affordability of tech gear in the United States. Flagship products such as...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC กำลังเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมการส่งออกชิป หลังจากที่บริษัทถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลิตชิปให้กับ Huawei ผ่านบริษัทตัวแทน โดย TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถรับประกันได้ว่าชิปที่ผลิตจะไม่ถูกส่งไปยังจีน เนื่องจากข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน

    TSMC ถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์จากการผลิตชิปให้ Huawei ผ่านตัวแทน
    - Huawei ใช้บริษัทตัวแทนในการสั่งผลิตชิปจาก TSMC เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า
    - สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตร Huawei ทำให้ TSMC ต้องเผชิญกับบทลงโทษ

    TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมปลายทางของชิปที่ผลิตได้
    - บริษัทระบุว่าเมื่อชิปออกจากโรงงานแล้ว จะไม่สามารถติดตามได้ว่าถูกนำไปใช้ที่ไหน
    - มีความเสี่ยงที่บริษัทตัวแทนจะนำชิปไปขายให้กับ Huawei หรือบริษัทอื่นในจีน

    TSMC ใช้ GDS file ในการผลิตชิป ซึ่งไม่สามารถระบุผู้พัฒนาได้
    - GDS file เป็นข้อมูลที่ใช้ในการออกแบบและผลิตชิป แต่ไม่ได้ระบุว่าชิปถูกพัฒนาโดยใคร
    - ทำให้ TSMC ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชิปที่ผลิตจะถูกนำไปใช้โดย Huawei หรือไม่

    TSMC อาจเผชิญกับมาตรการลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
    - สหรัฐฯ อาจเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกชิปเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-says-it-cannot-guarantee-that-its-chips-dont-end-up-in-china
    TSMC กำลังเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมการส่งออกชิป หลังจากที่บริษัทถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลิตชิปให้กับ Huawei ผ่านบริษัทตัวแทน โดย TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถรับประกันได้ว่าชิปที่ผลิตจะไม่ถูกส่งไปยังจีน เนื่องจากข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน ✅ TSMC ถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์จากการผลิตชิปให้ Huawei ผ่านตัวแทน - Huawei ใช้บริษัทตัวแทนในการสั่งผลิตชิปจาก TSMC เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า - สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตร Huawei ทำให้ TSMC ต้องเผชิญกับบทลงโทษ ✅ TSMC ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมปลายทางของชิปที่ผลิตได้ - บริษัทระบุว่าเมื่อชิปออกจากโรงงานแล้ว จะไม่สามารถติดตามได้ว่าถูกนำไปใช้ที่ไหน - มีความเสี่ยงที่บริษัทตัวแทนจะนำชิปไปขายให้กับ Huawei หรือบริษัทอื่นในจีน ✅ TSMC ใช้ GDS file ในการผลิตชิป ซึ่งไม่สามารถระบุผู้พัฒนาได้ - GDS file เป็นข้อมูลที่ใช้ในการออกแบบและผลิตชิป แต่ไม่ได้ระบุว่าชิปถูกพัฒนาโดยใคร - ทำให้ TSMC ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าชิปที่ผลิตจะถูกนำไปใช้โดย Huawei หรือไม่ ✅ TSMC อาจเผชิญกับมาตรการลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต - สหรัฐฯ อาจเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกชิปเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-says-it-cannot-guarantee-that-its-chips-dont-end-up-in-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts