• OpenAI เตรียมนำ Deep Reasoning มาให้ผู้ใช้ ChatGPT ฟรี ได้ใช้งานเร็ว ๆ นี้ แต่คำถามคือ ChatGPT Plus ยังคุ้มค่าที่จะสมัครหรือไม่? โดย Graham Barlow นักเขียนจาก TechRadar ชี้ว่า ฟีเจอร์ Deep Reasoning แม้จะเปิดให้ใช้ฟรี แต่ยังมีข้อจำกัดในหลายด้านที่ Plus ให้ประโยชน์มากกว่า

    ✅ Deep Reasoning ทำอะไรได้บ้าง?
    - ช่วยให้ ChatGPT ค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก คล้ายทีมวิจัย
    - สามารถรวบรวม ข้อมูล ประมวลผล และนำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์
    - ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอรายงานเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเกมในช่วง 3 ปี Deep Reasoning จะค้นคว้าออนไลน์ และสรุปข้อมูลพร้อมตารางและแหล่งที่มา

    ✅ Deep Reasoning เริ่มต้นใน ChatGPT Pro ก่อนย้ายมาสู่ Plus
    - ก่อนหน้านี้ Deep Reasoning อยู่ในแพ็กเกจ ChatGPT Pro ราคา $200 ต่อเดือน
    - ต่อมา OpenAI นำฟีเจอร์นี้มาสู่ ChatGPT Plus ราคา $20 ต่อเดือน
    - ล่าสุดกำลังเตรียมเปิดให้ผู้ใช้ ChatGPT ฟรี ได้ใช้งาน

    ✅ ChatGPT Plus ยังมีข้อได้เปรียบเหนือเวอร์ชันฟรี
    - ข้อจำกัดน้อยลง: แม้ Deep Reasoning จะเปิดให้ใช้ฟรี แต่คาดว่าจะมีการจำกัดการใช้งาน เช่น จำนวนครั้งต่อวัน
    - มีโมเดล AI มากกว่า: Plus ให้เข้าถึง ChatGPT 4o, 4o-mini, 4.5, o1, o3-mini ขณะที่เวอร์ชันฟรีมีแค่ ChatGPT 4- mini
    - การสร้างวิดีโอ Sora: ผู้ใช้ Plus สามารถ ทดลองสร้างวิดีโอ AI ด้วย Sora แต่ต้องสมัคร Pro หากต้องการสร้างวิดีโอแบบไม่มีลายน้ำ
    - Advanced Voice Mode: Plus ให้ใช้ Advanced Voice Mode ได้มากกว่า 15 นาทีต่อเดือน
    - ฟีเจอร์พิเศษ เช่น Projects และ Tasks: ผู้ใช้ Plus สามารถ จัดกลุ่มไฟล์และแชท รวมถึง ตั้งเวลาทำงานล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/deep-reasoning-is-coming-to-chatgpt-free-but-i-think-its-still-worth-paying-for-chatgpt-plus
    OpenAI เตรียมนำ Deep Reasoning มาให้ผู้ใช้ ChatGPT ฟรี ได้ใช้งานเร็ว ๆ นี้ แต่คำถามคือ ChatGPT Plus ยังคุ้มค่าที่จะสมัครหรือไม่? โดย Graham Barlow นักเขียนจาก TechRadar ชี้ว่า ฟีเจอร์ Deep Reasoning แม้จะเปิดให้ใช้ฟรี แต่ยังมีข้อจำกัดในหลายด้านที่ Plus ให้ประโยชน์มากกว่า ✅ Deep Reasoning ทำอะไรได้บ้าง? - ช่วยให้ ChatGPT ค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก คล้ายทีมวิจัย - สามารถรวบรวม ข้อมูล ประมวลผล และนำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ - ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอรายงานเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเกมในช่วง 3 ปี Deep Reasoning จะค้นคว้าออนไลน์ และสรุปข้อมูลพร้อมตารางและแหล่งที่มา ✅ Deep Reasoning เริ่มต้นใน ChatGPT Pro ก่อนย้ายมาสู่ Plus - ก่อนหน้านี้ Deep Reasoning อยู่ในแพ็กเกจ ChatGPT Pro ราคา $200 ต่อเดือน - ต่อมา OpenAI นำฟีเจอร์นี้มาสู่ ChatGPT Plus ราคา $20 ต่อเดือน - ล่าสุดกำลังเตรียมเปิดให้ผู้ใช้ ChatGPT ฟรี ได้ใช้งาน ✅ ChatGPT Plus ยังมีข้อได้เปรียบเหนือเวอร์ชันฟรี - ข้อจำกัดน้อยลง: แม้ Deep Reasoning จะเปิดให้ใช้ฟรี แต่คาดว่าจะมีการจำกัดการใช้งาน เช่น จำนวนครั้งต่อวัน - มีโมเดล AI มากกว่า: Plus ให้เข้าถึง ChatGPT 4o, 4o-mini, 4.5, o1, o3-mini ขณะที่เวอร์ชันฟรีมีแค่ ChatGPT 4- mini - การสร้างวิดีโอ Sora: ผู้ใช้ Plus สามารถ ทดลองสร้างวิดีโอ AI ด้วย Sora แต่ต้องสมัคร Pro หากต้องการสร้างวิดีโอแบบไม่มีลายน้ำ - Advanced Voice Mode: Plus ให้ใช้ Advanced Voice Mode ได้มากกว่า 15 นาทีต่อเดือน - ฟีเจอร์พิเศษ เช่น Projects และ Tasks: ผู้ใช้ Plus สามารถ จัดกลุ่มไฟล์และแชท รวมถึง ตั้งเวลาทำงานล่วงหน้า https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/deep-reasoning-is-coming-to-chatgpt-free-but-i-think-its-still-worth-paying-for-chatgpt-plus
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • AI อาจช่วยให้ทนายคิดค่าบริการสูงถึง $10,000 ต่อชั่วโมงในอนาคต เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหากฎหมายและวิเคราะห์ข้อมูลคดี อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่อง AI Hallucination ทำให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายหลายครั้ง เช่น กรณีที่ทนายถูกปรับเงินหลังใช้ข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นเอง ดังนั้นทนายต้องระวังการใช้ AI เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง

    AI จะช่วยให้ทนายความทำงานเร็วขึ้น
    - AI สามารถช่วย ค้นหาและวิเคราะห์กฎหมาย ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์
    - สามารถ สรุปข้อโต้แย้ง และช่วยในการเขียนเอกสารทางกฎหมาย
    - วิเคราะห์ข้อมูลของ ผู้พิพากษาและทนายฝ่ายตรงข้าม เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของคดี

    ทนายอาจใช้ AI เพื่อเพิ่มค่าบริการ
    - AI ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น ทนายจึง สามารถคิดค่าบริการสูงขึ้นเพราะให้บริการที่ดีกว่า
    - ทนายสามารถ ลดเวลาทำงาน และรับคดีเพิ่มได้ ซึ่งอาจทำให้รายได้สูงขึ้น

    ปัญหาเรื่อง "AI Hallucination" ในเอกสารกฎหมาย
    - มีหลายกรณีที่ AI สร้างข้อมูลทางกฎหมายปลอม เช่น กรณีทนายในรัฐอินเดียนา ที่ถูกปรับ $15,000 เพราะใช้ ChatGPT ที่สร้างคำพิพากษาปลอม
    - ปี 2023 ทนายสองคนถูกปรับเงินในนิวยอร์กหลังใช้ข้อมูลทางกฎหมายที่ AI สร้างขึ้นมาเอง
    - หากทนายใช้ AI อย่างไม่ระวัง อาจเกิดปัญหาทางกฎหมาย และทำให้คดีเสียหายได้

    AI อาจสร้าง "อัตราค่าบริการใหม่" แต่ต้องใช้ด้วยความรอบคอบ
    - Fitzpatrick เชื่อว่า การคิดค่าบริการ $10,000 ต่อชั่วโมงเป็นไปได้ หาก AI ถูกใช้เพื่อให้บริการระดับสูงขึ้น
    - อย่างไรก็ตาม ทนายต้อง ระวังการใช้ข้อมูลจาก AI เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างข้อมูลผิดพลาด

    https://www.techspot.com/news/107374-lawyers-may-soon-charge-10000-hour-thanks-ai.html
    AI อาจช่วยให้ทนายคิดค่าบริการสูงถึง $10,000 ต่อชั่วโมงในอนาคต เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหากฎหมายและวิเคราะห์ข้อมูลคดี อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่อง AI Hallucination ทำให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายหลายครั้ง เช่น กรณีที่ทนายถูกปรับเงินหลังใช้ข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นเอง ดังนั้นทนายต้องระวังการใช้ AI เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง AI จะช่วยให้ทนายความทำงานเร็วขึ้น - AI สามารถช่วย ค้นหาและวิเคราะห์กฎหมาย ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ - สามารถ สรุปข้อโต้แย้ง และช่วยในการเขียนเอกสารทางกฎหมาย - วิเคราะห์ข้อมูลของ ผู้พิพากษาและทนายฝ่ายตรงข้าม เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของคดี ทนายอาจใช้ AI เพื่อเพิ่มค่าบริการ - AI ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น ทนายจึง สามารถคิดค่าบริการสูงขึ้นเพราะให้บริการที่ดีกว่า - ทนายสามารถ ลดเวลาทำงาน และรับคดีเพิ่มได้ ซึ่งอาจทำให้รายได้สูงขึ้น ปัญหาเรื่อง "AI Hallucination" ในเอกสารกฎหมาย - มีหลายกรณีที่ AI สร้างข้อมูลทางกฎหมายปลอม เช่น กรณีทนายในรัฐอินเดียนา ที่ถูกปรับ $15,000 เพราะใช้ ChatGPT ที่สร้างคำพิพากษาปลอม - ปี 2023 ทนายสองคนถูกปรับเงินในนิวยอร์กหลังใช้ข้อมูลทางกฎหมายที่ AI สร้างขึ้นมาเอง - หากทนายใช้ AI อย่างไม่ระวัง อาจเกิดปัญหาทางกฎหมาย และทำให้คดีเสียหายได้ AI อาจสร้าง "อัตราค่าบริการใหม่" แต่ต้องใช้ด้วยความรอบคอบ - Fitzpatrick เชื่อว่า การคิดค่าบริการ $10,000 ต่อชั่วโมงเป็นไปได้ หาก AI ถูกใช้เพื่อให้บริการระดับสูงขึ้น - อย่างไรก็ตาม ทนายต้อง ระวังการใช้ข้อมูลจาก AI เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างข้อมูลผิดพลาด https://www.techspot.com/news/107374-lawyers-may-soon-charge-10000-hour-thanks-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Lawyers may soon charge $10,000 an hour thanks to AI, says LexisNexis CEO
    Sean Fitzpatrick, CEO of US data analytics company LexisNexis, made the prediction during a panel discussion at Legalweek (via Business Insider).
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • Generative AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยพิมพ์หรือวิเคราะห์ข้อมูลอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น "คู่คิด" ที่สามารถช่วยแนะนำไอเดียใหม่ ท้าทายความคิดเดิม และช่วยให้เราจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รายงานของ Capgemini พบว่ามีเพียง 15% ของผู้จัดการ 1,400 คน เท่านั้นที่ใช้ AI ในงานประจำวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลายคนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ AI

    1) ช่วยจัดการตนเองให้ดีขึ้น
    - AI สามารถช่วยจัดการอีเมลและสรุปเอกสาร
    - ใช้ AI เพื่อประเมิน Feedback ที่ได้รับ และหาวิธีพัฒนาตนเอง
    - วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อช่วยวางแผนการเติบโตในอาชีพ

    2) ช่วยเตรียมการสื่อสารและการนำเสนอ
    - AI สามารถช่วยสร้างเนื้อหาสำหรับงานนำเสนอ โดยคิดถึงผู้ฟัง และจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เข้าใจง่าย
    - วิเคราะห์ Performance ของการพูดในอดีต และช่วยให้คำแนะนำเรื่อง โทนเสียงและภาษากาย
    - ช่วยเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์งาน โดยช่วยฝึกตอบคำถามที่อาจเกิดขึ้น

    3) ช่วยในการบริหารทีมและการประชุม
    - AI สามารถช่วยจัดตารางประชุมและบริหารองค์ประกอบของทีม
    - ใช้ AI เพื่อสร้าง Workshop Agenda ที่มีโครงสร้างชัดเจน
    - สร้างรายงานเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน ทรัพยากร และตารางเวลาของโครงการ

    4) ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในทีม
    - AI สามารถช่วยคิดแนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา
    - วิเคราะห์ความต้องการของโครงการ และช่วยระบุว่า ทีมต้องมีทักษะอะไรบ้าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
    - สร้างไอเดียและมุมมองที่หลากหลาย เพื่อช่วยแก้ปัญหาความคิดสร้างสรรค์ที่ติดขัด

    https://www.zdnet.com/article/4-ways-you-can-start-using-gen-ai-to-its-full-potential/
    Generative AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยพิมพ์หรือวิเคราะห์ข้อมูลอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น "คู่คิด" ที่สามารถช่วยแนะนำไอเดียใหม่ ท้าทายความคิดเดิม และช่วยให้เราจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รายงานของ Capgemini พบว่ามีเพียง 15% ของผู้จัดการ 1,400 คน เท่านั้นที่ใช้ AI ในงานประจำวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลายคนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ AI 1) ช่วยจัดการตนเองให้ดีขึ้น - AI สามารถช่วยจัดการอีเมลและสรุปเอกสาร - ใช้ AI เพื่อประเมิน Feedback ที่ได้รับ และหาวิธีพัฒนาตนเอง - วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อช่วยวางแผนการเติบโตในอาชีพ 2) ช่วยเตรียมการสื่อสารและการนำเสนอ - AI สามารถช่วยสร้างเนื้อหาสำหรับงานนำเสนอ โดยคิดถึงผู้ฟัง และจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เข้าใจง่าย - วิเคราะห์ Performance ของการพูดในอดีต และช่วยให้คำแนะนำเรื่อง โทนเสียงและภาษากาย - ช่วยเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์งาน โดยช่วยฝึกตอบคำถามที่อาจเกิดขึ้น 3) ช่วยในการบริหารทีมและการประชุม - AI สามารถช่วยจัดตารางประชุมและบริหารองค์ประกอบของทีม - ใช้ AI เพื่อสร้าง Workshop Agenda ที่มีโครงสร้างชัดเจน - สร้างรายงานเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน ทรัพยากร และตารางเวลาของโครงการ 4) ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในทีม - AI สามารถช่วยคิดแนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา - วิเคราะห์ความต้องการของโครงการ และช่วยระบุว่า ทีมต้องมีทักษะอะไรบ้าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย - สร้างไอเดียและมุมมองที่หลากหลาย เพื่อช่วยแก้ปัญหาความคิดสร้างสรรค์ที่ติดขัด https://www.zdnet.com/article/4-ways-you-can-start-using-gen-ai-to-its-full-potential/
    WWW.ZDNET.COM
    4 ways you can start using gen AI to its full potential
    Used as a co-thinker, generative AI becomes a thought partner - engaging in conversation, suggesting new perspectives, and challenging assumptions or ideas.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • Microsoft Word ได้รับการอัปเดตใหม่ที่ช่วยให้สามารถสรุปเอกสารขนาดใหญ่ถึง 3,000 หน้า ผ่าน Copilot โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าต้องการสรุปแบบย่อ, สมดุล หรือแบบละเอียด ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การทำงานกับเอกสารยาว ๆ เช่น รายงานทางธุรกิจ และงานวิจัย มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Microsoft กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้การสรุปเอกสารเป็นไปอย่างชาญฉลาดมากขึ้นในอนาคต

    การใช้งาน Copilot ใน Word
    - ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ได้โดยเปิดเอกสารและคลิกปุ่ม Copilot ในแท็บ Home
    - เลือกขนาดสรุปที่ต้องการ: แบบย่อ (brief), สมดุล (balanced), หรือแบบละเอียด (detailed)

    การตอบโจทย์เอกสารขนาดใหญ่
    - Microsoft พบว่าผู้ใช้ต้องการ สรุปที่ละเอียดขึ้น เพื่อให้เข้าใจบริบทของเอกสารและสามารถสื่อสารกับทีมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถทำงานกับ เอกสารทางกฎหมาย, รายงานทางธุรกิจ และงานวิจัย ได้ง่ายขึ้น

    อัปเดตนี้รองรับแพลตฟอร์มใดบ้าง?
    - ผู้ใช้ Microsoft 365 สามารถใช้ฟีเจอร์นี้บน Word for Windows (เวอร์ชัน 2503), Word for Mac (เวอร์ชัน 16.96) และ Word for the Web

    แนวโน้มของ Copilot ในอนาคต
    - Microsoft กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Copilot UI สำหรับเอกสารใหม่ และการสรุปเอกสารอัตโนมัติ
    - อนาคตของ Copilot อาจรวมถึงการ สร้างรายงานที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยไม่ต้องแก้ไขเอง

    https://www.neowin.net/news/you-can-now-summarize-massive-documents-in-word/
    Microsoft Word ได้รับการอัปเดตใหม่ที่ช่วยให้สามารถสรุปเอกสารขนาดใหญ่ถึง 3,000 หน้า ผ่าน Copilot โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าต้องการสรุปแบบย่อ, สมดุล หรือแบบละเอียด ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การทำงานกับเอกสารยาว ๆ เช่น รายงานทางธุรกิจ และงานวิจัย มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Microsoft กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้การสรุปเอกสารเป็นไปอย่างชาญฉลาดมากขึ้นในอนาคต การใช้งาน Copilot ใน Word - ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ได้โดยเปิดเอกสารและคลิกปุ่ม Copilot ในแท็บ Home - เลือกขนาดสรุปที่ต้องการ: แบบย่อ (brief), สมดุล (balanced), หรือแบบละเอียด (detailed) การตอบโจทย์เอกสารขนาดใหญ่ - Microsoft พบว่าผู้ใช้ต้องการ สรุปที่ละเอียดขึ้น เพื่อให้เข้าใจบริบทของเอกสารและสามารถสื่อสารกับทีมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น - นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถทำงานกับ เอกสารทางกฎหมาย, รายงานทางธุรกิจ และงานวิจัย ได้ง่ายขึ้น อัปเดตนี้รองรับแพลตฟอร์มใดบ้าง? - ผู้ใช้ Microsoft 365 สามารถใช้ฟีเจอร์นี้บน Word for Windows (เวอร์ชัน 2503), Word for Mac (เวอร์ชัน 16.96) และ Word for the Web แนวโน้มของ Copilot ในอนาคต - Microsoft กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Copilot UI สำหรับเอกสารใหม่ และการสรุปเอกสารอัตโนมัติ - อนาคตของ Copilot อาจรวมถึงการ สร้างรายงานที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยไม่ต้องแก้ไขเอง https://www.neowin.net/news/you-can-now-summarize-massive-documents-in-word/
    WWW.NEOWIN.NET
    You can now summarize massive documents in Word
    Microsoft has upgraded summarization capabilities in Word, and it can now generate seriously massive documents.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • เมื่อเกิดการโจมตีไซเบอร์ ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค การฝึกซ้อมสถานการณ์, การสื่อสารที่ชัดเจน และการบริหารจัดการภายใต้แรงกดดันล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้องค์กรรับมือได้ดีขึ้น ผู้นำต้องแสดงความรับผิดชอบและปรับปรุงมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ

    == 6 แนวทางสำคัญที่ผู้นำองค์กรควรรู้เมื่อเกิดเหตุโจมตีไซเบอร์ ==
    1) กำหนดอำนาจการตัดสินใจให้ชัดเจน
    - CISO ควรเป็นผู้นำหลักของการรับมือเหตุการณ์ และองค์กรต้องกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน
    - ควรมีเอกสารระบุว่าใครมีอำนาจตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น การแจ้งลูกค้าหรือการประเมินผลกระทบทางธุรกิจ
    2) ซ้อมรับมือกับเหตุการณ์เพื่อสร้างความพร้อม
    - การซ้อมจำลองสถานการณ์ (Tabletop Exercises) ช่วยให้ทีมสามารถรับมือกับวิกฤติจริงได้ดีขึ้น
    - การฝึกซ้อมควรรวมทุกระดับขององค์กร ตั้งแต่ทีมเทคนิคไปจนถึงผู้บริหาร
    3) รักษาความเยือกเย็นภายใต้ความกดดัน
    - ภาวะผู้นำที่สงบนิ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพนักงานและผู้บริหารระดับสูง
    - CISO ควรโฟกัสที่การนำทีม มากกว่าการลงมือแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคเอง
    4) เชื่อมั่นในทีมและขอความช่วยเหลือจากภายนอกหากจำเป็น
    - ผู้นำองค์กรไม่ควรรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว ควรเปิดรับทีมที่มีความเชี่ยวชาญและใช้บุคลากรภายนอกหากจำเป็น
    - บางครั้งการนำทีมที่ปรึกษาด้านไซเบอร์เข้ามาอาจช่วยลดความเสียหายได้ดีกว่าการพยายามแก้ไขเอง
    5) สื่อสารกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
    - ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการสื่อสารกับพนักงานและผู้บริหาร
    - ต้องมีแผนสื่อสารเพื่อให้ลูกค้า, นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้เหตุการณ์โดยไม่เกิดความตื่นตระหนก
    6) รับผิดชอบและเดินหน้าปรับปรุงระบบความปลอดภัย
    - หลังจากเหตุการณ์โจมตีไซเบอร์ต้องมีการปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยและสรุปบทเรียน
    - CISO ควรนำเสนอแผนฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อคณะกรรมการบริษัท

    https://www.csoonline.com/article/3846318/6-hard-earned-tips-for-leading-through-a-cyberattack-from-csos-whove-been-there.html
    เมื่อเกิดการโจมตีไซเบอร์ ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค การฝึกซ้อมสถานการณ์, การสื่อสารที่ชัดเจน และการบริหารจัดการภายใต้แรงกดดันล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้องค์กรรับมือได้ดีขึ้น ผู้นำต้องแสดงความรับผิดชอบและปรับปรุงมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ == 6 แนวทางสำคัญที่ผู้นำองค์กรควรรู้เมื่อเกิดเหตุโจมตีไซเบอร์ == 1) กำหนดอำนาจการตัดสินใจให้ชัดเจน - CISO ควรเป็นผู้นำหลักของการรับมือเหตุการณ์ และองค์กรต้องกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน - ควรมีเอกสารระบุว่าใครมีอำนาจตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น การแจ้งลูกค้าหรือการประเมินผลกระทบทางธุรกิจ 2) ซ้อมรับมือกับเหตุการณ์เพื่อสร้างความพร้อม - การซ้อมจำลองสถานการณ์ (Tabletop Exercises) ช่วยให้ทีมสามารถรับมือกับวิกฤติจริงได้ดีขึ้น - การฝึกซ้อมควรรวมทุกระดับขององค์กร ตั้งแต่ทีมเทคนิคไปจนถึงผู้บริหาร 3) รักษาความเยือกเย็นภายใต้ความกดดัน - ภาวะผู้นำที่สงบนิ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพนักงานและผู้บริหารระดับสูง - CISO ควรโฟกัสที่การนำทีม มากกว่าการลงมือแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคเอง 4) เชื่อมั่นในทีมและขอความช่วยเหลือจากภายนอกหากจำเป็น - ผู้นำองค์กรไม่ควรรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว ควรเปิดรับทีมที่มีความเชี่ยวชาญและใช้บุคลากรภายนอกหากจำเป็น - บางครั้งการนำทีมที่ปรึกษาด้านไซเบอร์เข้ามาอาจช่วยลดความเสียหายได้ดีกว่าการพยายามแก้ไขเอง 5) สื่อสารกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ - ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการสื่อสารกับพนักงานและผู้บริหาร - ต้องมีแผนสื่อสารเพื่อให้ลูกค้า, นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้เหตุการณ์โดยไม่เกิดความตื่นตระหนก 6) รับผิดชอบและเดินหน้าปรับปรุงระบบความปลอดภัย - หลังจากเหตุการณ์โจมตีไซเบอร์ต้องมีการปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยและสรุปบทเรียน - CISO ควรนำเสนอแผนฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อคณะกรรมการบริษัท https://www.csoonline.com/article/3846318/6-hard-earned-tips-for-leading-through-a-cyberattack-from-csos-whove-been-there.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    6 hard-earned tips for leading through a cyberattack — from CSOs who’ve been there
    When a cyberattack strikes, security leaders must go beyond the incident response plan to ensure holistic preparation, effective collaboration, and strong leadership under fire.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • ศูนย์เอราวัณ สรุปพบผู้เสียชีวิตแล้ว 19 ศพ บาดเจ็บรวม 33 ราย
    https://www.thai-tai.tv/news/17958/
    ศูนย์เอราวัณ สรุปพบผู้เสียชีวิตแล้ว 19 ศพ บาดเจ็บรวม 33 ราย https://www.thai-tai.tv/news/17958/
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • "โชคที่แท้: มั่นคงด้วยธรรมในโลกแห่งความปั่นป่วน"

    1. ความหมายของโชคแท้
    • โชคไม่ใช่แค่ได้สิ่งดีโดยไม่คาดหมาย
    • แต่คือ จิตที่มั่นคง เย็นได้ท่ามกลางความวุ่นวาย
    • และการที่ "มีธรรม" อยู่กลางใจแล้ว

    2. สถานการณ์โลกปัจจุบัน
    • ความโกลาหลในโลกสร้างความกลัว กังวล คลุ้มคลั่ง
    • คนทั่วไปห่วงแต่อนาคต หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีเป้าหมาย
    • แต่ผู้มีธรรม จะไม่วุ่นไปตามโลก

    3. การตอบสนองอย่างมีสติ
    • ผู้มีปัญญา ใช้ธรรมะเป็นเครื่องตรวจสอบใจตน
    • วุ่นหรือว่าง?
    • กลัวตายหรือเตรียมพร้อมแล้ว?
    • กลัวอนาคต หรือมีแสงสว่างในใจแล้ว?

    4. ธรรมะที่ควรมี
    • มรณสติ: ทำให้กลัวตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เหตุให้ตระหนก
    • อริยมรรค: ทำให้มั่นคงแม้โลกภายนอกมืดมน
    • สติและสมาธิ: ทำให้แยกแยะใจร้อน vs ใจเย็นได้ทัน

    5. บทสรุปเพื่อปฏิบัติ
    • โชคที่แท้คือ การได้ธรรมประดิษฐานอยู่กลางใจ
    • หากยังไม่มี ต้องเร่งหา
    • หากมีแล้ว ให้อุ่นใจและเดินหน้าด้วยความมั่นคง

    Essence
    "ผู้มีโชคไม่ใช่ผู้ที่ได้อะไรมาง่าย ๆ แต่คือผู้ที่มีธรรมประจำใจท่ามกลางโลกที่กำลังคลุ้มคลั่ง!"
    "โชคที่แท้: มั่นคงด้วยธรรมในโลกแห่งความปั่นป่วน" 1. ความหมายของโชคแท้ • โชคไม่ใช่แค่ได้สิ่งดีโดยไม่คาดหมาย • แต่คือ จิตที่มั่นคง เย็นได้ท่ามกลางความวุ่นวาย • และการที่ "มีธรรม" อยู่กลางใจแล้ว 2. สถานการณ์โลกปัจจุบัน • ความโกลาหลในโลกสร้างความกลัว กังวล คลุ้มคลั่ง • คนทั่วไปห่วงแต่อนาคต หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีเป้าหมาย • แต่ผู้มีธรรม จะไม่วุ่นไปตามโลก 3. การตอบสนองอย่างมีสติ • ผู้มีปัญญา ใช้ธรรมะเป็นเครื่องตรวจสอบใจตน • วุ่นหรือว่าง? • กลัวตายหรือเตรียมพร้อมแล้ว? • กลัวอนาคต หรือมีแสงสว่างในใจแล้ว? 4. ธรรมะที่ควรมี • มรณสติ: ทำให้กลัวตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เหตุให้ตระหนก • อริยมรรค: ทำให้มั่นคงแม้โลกภายนอกมืดมน • สติและสมาธิ: ทำให้แยกแยะใจร้อน vs ใจเย็นได้ทัน 5. บทสรุปเพื่อปฏิบัติ • โชคที่แท้คือ การได้ธรรมประดิษฐานอยู่กลางใจ • หากยังไม่มี ต้องเร่งหา • หากมีแล้ว ให้อุ่นใจและเดินหน้าด้วยความมั่นคง Essence "ผู้มีโชคไม่ใช่ผู้ที่ได้อะไรมาง่าย ๆ แต่คือผู้ที่มีธรรมประจำใจท่ามกลางโลกที่กำลังคลุ้มคลั่ง!"
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • จบอีกเดือนแล้ว สรุปชาเลนจ์ประจำเดือนสักหน่อย
    ....
    สำหรับเดือนมีนา68นี้ถือว่าเป็นเดือนที่ใจดีกับ lit nit มาก ๆ
    - มีเรื่องดีให้ประทับใจ ให้ใจฟู ให้ใจยิ้มในแต่ละวันถึง 16 เรื่อง ใน 15 วัน
    - เรื่องให้ใจน้อย ใจแฟบแค่ 2 เรื่อง ใน 2 วัน
    - ที่เหลือ 14 วันนั้นไม่มีอะไรโดดเด่น มันก็แค่เฉย ๆ^^
    ....
    ชีวิตก็แบบนี้ เดือนที่แล้วโหดร้ายมาก เดือนนี้ถือว่าดีมาก เดือนพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรมาสัมผัสมันต่อ ๆ ไป
    #แล้วค่อยมาสรุปกันสิ้นเดือน^^
    จบอีกเดือนแล้ว สรุปชาเลนจ์ประจำเดือนสักหน่อย .... สำหรับเดือนมีนา68นี้ถือว่าเป็นเดือนที่ใจดีกับ lit nit มาก ๆ - มีเรื่องดีให้ประทับใจ ให้ใจฟู ให้ใจยิ้มในแต่ละวันถึง 16 เรื่อง ใน 15 วัน - เรื่องให้ใจน้อย ใจแฟบแค่ 2 เรื่อง ใน 2 วัน - ที่เหลือ 14 วันนั้นไม่มีอะไรโดดเด่น มันก็แค่เฉย ๆ^^ .... ชีวิตก็แบบนี้ เดือนที่แล้วโหดร้ายมาก เดือนนี้ถือว่าดีมาก เดือนพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรมาสัมผัสมันต่อ ๆ ไป #แล้วค่อยมาสรุปกันสิ้นเดือน^^
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • ผลตรวจสอบเหล็กตึก สตง.ถล่ม พบเหล็กไม่ได้มาตรฐาน 2 ไซส์ ยังไม่สรุปเป็นสาเหตุ-จ่อเก็บตัวอย่างเพิ่ม
    https://www.thai-tai.tv/news/17954/
    ผลตรวจสอบเหล็กตึก สตง.ถล่ม พบเหล็กไม่ได้มาตรฐาน 2 ไซส์ ยังไม่สรุปเป็นสาเหตุ-จ่อเก็บตัวอย่างเพิ่ม https://www.thai-tai.tv/news/17954/
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • ปฏิบัติบัติการกู้ชีพใต้ซากตึก สตง.ใหม่ถล่ม ล่าสุดพบร่างเพศหญิงอีก 1 ราย รวมเสียชีวิตแล้ว 12 ราย อยู่ระหว่างการติดตามอีก 75 ราย

    จากกรณีปฏิบัติการภารกิจกู้ชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างได้พังถล่มลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย รวมถึงคนงานที่ยังสูญหาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต่างช่วยกันระดมค้นหานั้น

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (31 มี.ค.) มีรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้พบร่างผู้เสียชีวิตเป็นเพศหญิง และได้นำร่างลงมาเพื่อที่จะนำร่างไปที่สถาบันนิติเวช เพื่อตรวจสอบอัตลักษณ์

    ขณะที่รายงานสรุปความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น.ที่ผ่านมา ผู้ประสบเหตุ 96 ราย เสียชีวิต 12 ราย (ชาย 8,หญิง 4) ผู้บาดเจ็บ 9 ราย อยู่ระหว่างการติดตามอีก 75 ราย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030694

    #MGROnline #สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน #สตง. #แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    ปฏิบัติบัติการกู้ชีพใต้ซากตึก สตง.ใหม่ถล่ม ล่าสุดพบร่างเพศหญิงอีก 1 ราย รวมเสียชีวิตแล้ว 12 ราย อยู่ระหว่างการติดตามอีก 75 ราย • จากกรณีปฏิบัติการภารกิจกู้ชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างได้พังถล่มลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย รวมถึงคนงานที่ยังสูญหาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต่างช่วยกันระดมค้นหานั้น • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (31 มี.ค.) มีรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้พบร่างผู้เสียชีวิตเป็นเพศหญิง และได้นำร่างลงมาเพื่อที่จะนำร่างไปที่สถาบันนิติเวช เพื่อตรวจสอบอัตลักษณ์ • ขณะที่รายงานสรุปความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น.ที่ผ่านมา ผู้ประสบเหตุ 96 ราย เสียชีวิต 12 ราย (ชาย 8,หญิง 4) ผู้บาดเจ็บ 9 ราย อยู่ระหว่างการติดตามอีก 75 ราย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030694 • #MGROnline #สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน #สตง. #แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    Sad
    1
    0 Comments 1 Shares 183 Views 0 Reviews
  • คนคำนวนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต

    บ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุภัยพิบัติที่เมียนมาทิศตะวันตกรัศมี 225 ถึง 315 องศาของประเทศไทย โดยแผ่นดินไหวในครั้งนี้มีการปลดปล่อยพลังงานเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์กว่า 334 ลูก ทิ้งร่องรอยความเสียหายเป็นซากปรักหักพังสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อทรัพย์สินและชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศต้นทางภัยพิบัติหรือบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างประเทศไทยต่างก็ได้รับผลกระทบมากหรือน้อยเช่นกัน เฉกเช่น “โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” ย่านจตุจักร เกิดถล่มในเวลาไล่หลังกัน

    จากมุมมองของนักฮวงจุ้ยวิทยา ที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างทิศทาง กับ ช่วงห้วงเวลา ก่อเกิดกระแสพลังธรรมชาติคู่ศัตรูธาตุตรงข้ามที่ขัดแย้งปะทะห้ำหั่นต่อกัน ที่เรียกว่า กระแสพลังอัปมงคล “3 อสูร” หรือ “三煞”(ซาสั่วะ) ที่มีลักษณะวิบากต่างๆเป็นปัจจัยจุดชนวนให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิบากจากถนน ช่องลม มุมตึก ป้ายโฆษณา หรือแม้แต่การกระทบกระทั่งต่อพื้นดิน โดยเฉพาะตัวอาคารหลังอิงพิงทิศตะวันตก ราศีระกา “酉”(อิ้ว) ธาตุทอง ปะทะกับเดือนเถาะ “卯”(เบ้า) มีนาคมที่เป็นทิศแตกสลาย 月破(ง๊วยผั่ว) อีกทั้งทางหลักเบญจธาตุรูปทรงตัวอาคารสูงเป็นธาตุไม้ถูกทิศประธานที่เป็นธาตุทองพิฆาต กระตุ้นกระแสพลังอัปมงคลปะทุเกิดเหตุอาคารถล่มใน“โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” ย่านจตุจักร ณ วันศุกร์ที่ 28 เดือนมีนาคม พ.ศ.2568 ปรากฏความเลวร้ายที่ไม่คาดคิด โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝัน เป็นภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่ไม่เคยประสบมาก่อน

    ความสูญเสียและความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ย่อมมีผู้สูญเสียและผู้ได้รับบาดเจ็บ ต่างล้วนเป็นเหยื่อจากกระแสวิบากพลังจักรวาลที่เป็นกฎแห่งความเป็นจริงอันสูงสุดของพลังธรรมชาติ ขณะที่บทสรุปจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบหาความจริงเชิงสถาปัตยกรรมจากแบบแปลนในการคำนวนออกแบบตลอดจนกระบวนการการก่อสร้างทุกๆขั้นตอนเพื่อหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุอาคารถล่มในครั้งนี้ซึ่งยังคงต้องรอพิสูจน์ต่อไป

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    คนคำนวนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต บ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุภัยพิบัติที่เมียนมาทิศตะวันตกรัศมี 225 ถึง 315 องศาของประเทศไทย โดยแผ่นดินไหวในครั้งนี้มีการปลดปล่อยพลังงานเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์กว่า 334 ลูก ทิ้งร่องรอยความเสียหายเป็นซากปรักหักพังสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อทรัพย์สินและชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศต้นทางภัยพิบัติหรือบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างประเทศไทยต่างก็ได้รับผลกระทบมากหรือน้อยเช่นกัน เฉกเช่น “โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” ย่านจตุจักร เกิดถล่มในเวลาไล่หลังกัน จากมุมมองของนักฮวงจุ้ยวิทยา ที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างทิศทาง กับ ช่วงห้วงเวลา ก่อเกิดกระแสพลังธรรมชาติคู่ศัตรูธาตุตรงข้ามที่ขัดแย้งปะทะห้ำหั่นต่อกัน ที่เรียกว่า กระแสพลังอัปมงคล “3 อสูร” หรือ “三煞”(ซาสั่วะ) ที่มีลักษณะวิบากต่างๆเป็นปัจจัยจุดชนวนให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิบากจากถนน ช่องลม มุมตึก ป้ายโฆษณา หรือแม้แต่การกระทบกระทั่งต่อพื้นดิน โดยเฉพาะตัวอาคารหลังอิงพิงทิศตะวันตก ราศีระกา “酉”(อิ้ว) ธาตุทอง ปะทะกับเดือนเถาะ “卯”(เบ้า) มีนาคมที่เป็นทิศแตกสลาย 月破(ง๊วยผั่ว) อีกทั้งทางหลักเบญจธาตุรูปทรงตัวอาคารสูงเป็นธาตุไม้ถูกทิศประธานที่เป็นธาตุทองพิฆาต กระตุ้นกระแสพลังอัปมงคลปะทุเกิดเหตุอาคารถล่มใน“โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” ย่านจตุจักร ณ วันศุกร์ที่ 28 เดือนมีนาคม พ.ศ.2568 ปรากฏความเลวร้ายที่ไม่คาดคิด โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝัน เป็นภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่ไม่เคยประสบมาก่อน ความสูญเสียและความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ย่อมมีผู้สูญเสียและผู้ได้รับบาดเจ็บ ต่างล้วนเป็นเหยื่อจากกระแสวิบากพลังจักรวาลที่เป็นกฎแห่งความเป็นจริงอันสูงสุดของพลังธรรมชาติ ขณะที่บทสรุปจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบหาความจริงเชิงสถาปัตยกรรมจากแบบแปลนในการคำนวนออกแบบตลอดจนกระบวนการการก่อสร้างทุกๆขั้นตอนเพื่อหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุอาคารถล่มในครั้งนี้ซึ่งยังคงต้องรอพิสูจน์ต่อไป ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ

    สรุป ไม่ออกมาถก เพราะครูนัทไม่ได้มาคุยกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร (คงคิดว่ามาทำไม สุดท้ายก็ฟ้องเขาเหมือนเดิม) ไม่มาอย่ามา ก็อยู่กันไปแบบนั้แหละจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงเนาะ

    1. อะไรที่ติงมาว่าสอนผิดเขาบอกเขาแก้แล้ว
    ผิดกี่เรื่อง แก้กี่เรื่องล่ะ เรื่องพระปิณโฑละ นานแล้วยังไม่แก้ อีกหลายเรื่องแกล้งลืม

    2. เขายอมรับว่า เรื่องโกณฑัญญะพราหมณ์ใช้ฌานพยากรณ์ไม่มีในตำรา เขาเข้าใจเอาเอง และยังคงตีมั่วระหว่างฌานกับญาน โอเค อันนี้จบ ในเมื่อยอมรับแล้วว่าเข้าใจเอาเอง ไม่เอาความเห็นตนมาแปดเปื้อนคัมภีร์ ดังนั่นนับแต่นี้ต่อไป อะไรที่เข้าใจเอาเอง ช่วยกรุณาบอกชาวบ้านด้วยว่า อันนี้เข้าใจเอง

    3. เรื่องเดรัจฉานวิชา ยังเชื่อว่าตัวเองสอนถูก อ้างครูบาอาจารย์ยืนยันด้วย ครูบาอาจารย์ท่านไหนเหรอยืนยัน บอกชื่อท่านมาเลย ครูนัทจะเข้าไปคุย มายืนยันได้ยังไง เอาอาจารย์ที่ยืนยันนั่นแหละมาเปิดคัมภีร์ยันกันกับคำพูดของเขาทีละคำ

    4. เขาบอกว่าพระสัทธรรมไม่หาย เพราะมีคนสอนธรรมอยู่ แต่พระสัทธรรมจะหายเมื่อคนสอนให้เชื่อหมอดู ซัดแกรบ ซัดรำบูชาไฟ ฟังแล้วงง ใครสอนให้บูชาไฟวะคะ แน่จริงเอ่ยชื่อมาเลย อย่าตีกินชาวบ้านด้วยสันดานแบบนี้

    เถียงพระพุทธเจ้าอีกว่าพระสัทธรรมไม่หาย ก็เธอสอนผิดๆ ตลอด หนังสือก็ผิด สัทธรรมจะปฏิรูป สัทธรรมจะไม่หายได้ไง ถ้าสอนผิดขนาดนี้ ไม่สอนซะดีกว่านะ ไปสอนอย่างอื่นเถอะ อย่าเอาธรรมะมาทำคอนเท้นท์อีกเลย

    https://vt.tiktok.com/ZSr6ARENp/
    Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ สรุป ไม่ออกมาถก เพราะครูนัทไม่ได้มาคุยกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร (คงคิดว่ามาทำไม สุดท้ายก็ฟ้องเขาเหมือนเดิม) ไม่มาอย่ามา ก็อยู่กันไปแบบนั้แหละจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงเนาะ 1. อะไรที่ติงมาว่าสอนผิดเขาบอกเขาแก้แล้ว ผิดกี่เรื่อง แก้กี่เรื่องล่ะ เรื่องพระปิณโฑละ นานแล้วยังไม่แก้ อีกหลายเรื่องแกล้งลืม 2. เขายอมรับว่า เรื่องโกณฑัญญะพราหมณ์ใช้ฌานพยากรณ์ไม่มีในตำรา เขาเข้าใจเอาเอง และยังคงตีมั่วระหว่างฌานกับญาน โอเค อันนี้จบ ในเมื่อยอมรับแล้วว่าเข้าใจเอาเอง ไม่เอาความเห็นตนมาแปดเปื้อนคัมภีร์ ดังนั่นนับแต่นี้ต่อไป อะไรที่เข้าใจเอาเอง ช่วยกรุณาบอกชาวบ้านด้วยว่า อันนี้เข้าใจเอง 3. เรื่องเดรัจฉานวิชา ยังเชื่อว่าตัวเองสอนถูก อ้างครูบาอาจารย์ยืนยันด้วย ครูบาอาจารย์ท่านไหนเหรอยืนยัน บอกชื่อท่านมาเลย ครูนัทจะเข้าไปคุย มายืนยันได้ยังไง เอาอาจารย์ที่ยืนยันนั่นแหละมาเปิดคัมภีร์ยันกันกับคำพูดของเขาทีละคำ 4. เขาบอกว่าพระสัทธรรมไม่หาย เพราะมีคนสอนธรรมอยู่ แต่พระสัทธรรมจะหายเมื่อคนสอนให้เชื่อหมอดู ซัดแกรบ ซัดรำบูชาไฟ ฟังแล้วงง ใครสอนให้บูชาไฟวะคะ แน่จริงเอ่ยชื่อมาเลย อย่าตีกินชาวบ้านด้วยสันดานแบบนี้ เถียงพระพุทธเจ้าอีกว่าพระสัทธรรมไม่หาย ก็เธอสอนผิดๆ ตลอด หนังสือก็ผิด สัทธรรมจะปฏิรูป สัทธรรมจะไม่หายได้ไง ถ้าสอนผิดขนาดนี้ ไม่สอนซะดีกว่านะ ไปสอนอย่างอื่นเถอะ อย่าเอาธรรมะมาทำคอนเท้นท์อีกเลย https://vt.tiktok.com/ZSr6ARENp/
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • สถานการณ์ของสงครามการค้าโลกในปัจจุบันยังคงมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งแนวโน้มที่ดีขึ้นและความท้าทายที่ยังคงอยู่ ดังนี้

    ### 1. **แนวโน้มที่ดีขึ้น**
    - **การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน**:
    แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเลิกภาษีบางส่วนในสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายปี 2022-2023 ช่วยฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร แม้จะยังไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทหลัก เช่น ปัญหาไต้หวันหรือการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

    - **ความร่วมมือระดับภูมิภาค**:
    ความตกลงทางการค้าในรูปแบบภูมิภาคขยายตัว เช่น **RCEP** (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ในเอเชีย-แปซิฟิก และ **AfCFTA** (เขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา) ซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว

    - **นโยบายการค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม**:
    หลายประเทศเริ่มผนวกเป้าหมายสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เช่น สหภาพยุโรป推行 **CBAM** (มาตรการปรับคาร์บอนชายแดน) เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน แม้อาจก่อความขัดแย้งใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานสากลร่วมกัน

    ---

    ### 2. **ความท้าทายที่ยังคงอยู่**
    - **การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแยกห่วงโซ่อุปทาน**:
    สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) ไปยังจีน ขณะที่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีของตนเอง (เช่น การพัฒนาชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ Huawei) ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกแตกออกเป็น "สองขั้ว" (Tech Decoupling)

    - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**:
    สงครามยูเครน-รัสเซียและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ยังส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเส้นทางการค้า รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาเก็บกักเสบียงอาหารและทรัพยากร стратеติกมากขึ้น

    - **ความอ่อนแอของระบบพหุภาคี**:
    องค์การการค้าโลก (WTO) ยังไม่สามารถปฏิรูปกลไกระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ขาดกลไกกลางในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า

    ---

    ### 3. **ทิศทางในอนาคต**
    - **เศรษฐกิจโลกอาจแบ่งเป็น "บล็อก"**:
    การค้าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่รูปแบบ "friend-shoring" (การผลิตในประเทศพันธมิตร) และ "near-shoring" (การผลิตในประเทศใกล้เคียง) เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ห่วงโซ่อุปทาน

    - **การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว**:
    การเติบโตของการค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการลดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของระบบการค้าโลก แม้อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกฎระเบียบระหว่างประเทศ

    ---

    ### สรุป
    สถานการณ์สงครามการค้าโลกมีทั้งพัฒนาการในทางที่ดี เช่น การเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและการขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความแข่งขันทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าโลกไม่กลับสู่รูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่ปรับตัวสู่ระบบที่ "แบ่งกลุ่มแต่เชื่อมโยง" มากขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
    สถานการณ์ของสงครามการค้าโลกในปัจจุบันยังคงมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีทั้งแนวโน้มที่ดีขึ้นและความท้าทายที่ยังคงอยู่ ดังนี้ ### 1. **แนวโน้มที่ดีขึ้น** - **การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน**: แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเลิกภาษีบางส่วนในสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายปี 2022-2023 ช่วยฟื้นฟูช่องทางการสื่อสาร แม้จะยังไม่มีการแก้ไขข้อพิพาทหลัก เช่น ปัญหาไต้หวันหรือการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง - **ความร่วมมือระดับภูมิภาค**: ความตกลงทางการค้าในรูปแบบภูมิภาคขยายตัว เช่น **RCEP** (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ในเอเชีย-แปซิฟิก และ **AfCFTA** (เขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา) ซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าภายในภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว - **นโยบายการค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม**: หลายประเทศเริ่มผนวกเป้าหมายสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เช่น สหภาพยุโรป推行 **CBAM** (มาตรการปรับคาร์บอนชายแดน) เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน แม้อาจก่อความขัดแย้งใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างมาตรฐานสากลร่วมกัน --- ### 2. **ความท้าทายที่ยังคงอยู่** - **การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแยกห่วงโซ่อุปทาน**: สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์) ไปยังจีน ขณะที่จีนพยายามสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีของตนเอง (เช่น การพัฒนาชิปด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ Huawei) ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกแตกออกเป็น "สองขั้ว" (Tech Decoupling) - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: สงครามยูเครน-รัสเซียและความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ยังส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเส้นทางการค้า รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ หันมาเก็บกักเสบียงอาหารและทรัพยากร стратеติกมากขึ้น - **ความอ่อนแอของระบบพหุภาคี**: องค์การการค้าโลก (WTO) ยังไม่สามารถปฏิรูปกลไกระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ขาดกลไกกลางในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า --- ### 3. **ทิศทางในอนาคต** - **เศรษฐกิจโลกอาจแบ่งเป็น "บล็อก"**: การค้าโลกกำลังเคลื่อนไปสู่รูปแบบ "friend-shoring" (การผลิตในประเทศพันธมิตร) และ "near-shoring" (การผลิตในประเทศใกล้เคียง) เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ห่วงโซ่อุปทาน - **การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว**: การเติบโตของการค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการลดคาร์บอนจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของระบบการค้าโลก แม้อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกฎระเบียบระหว่างประเทศ --- ### สรุป สถานการณ์สงครามการค้าโลกมีทั้งพัฒนาการในทางที่ดี เช่น การเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและการขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากความแข่งขันทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจทำให้การค้าโลกไม่กลับสู่รูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่ปรับตัวสู่ระบบที่ "แบ่งกลุ่มแต่เชื่อมโยง" มากขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • 35 ปี ตึกร้างผีสิง “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ร่องรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่… ไร้รอยฝุ่นฟุ้งแผ่นดินไหว 🏚️

    🏙️ เมื่อสถานที่กลายเป็น ร่องรอยของเหตุการณ์ในอดีต สถานที่บางแห่ง ถูกสร้างขึ้นเพื่อจดจำสิ่งยิ่งใหญ่ เช่น รูปปั้นเทพีเสรีภาพของอเมริกา หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทย แต่บางครั้งสถานที่กลับกลายเป็น "ร่องรอยที่ไม่มีใครอยากจดจำ" อย่างเช่น ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ (Sathorn Unique Tower) ที่ไม่ได้ตั้งอยู่เพื่อเป็นอนุสรณ์ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นเอกของ วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 🕰️

    🌉 Sathorn Unique Tower:ความหวังระดับลักซ์ชัวรี่ใจกลางกรุง ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทย เฟื่องฟูแบบก้าวกระโดด โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู ผุดขึ้นทั่วเมืองกรุง หนึ่งในนั้นคือ “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ที่ออกแบบโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังดีไซน์ของ State Tower ที่โด่งดังเช่นกัน

    ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นคอนโดฯ สไตล์โรมันสูง 49 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน 2 ชั้น บนความสูง 185 เมตร 🏢 รวมทั้งหมด 600 ยูนิต มูลค่าลงทุนมากถึง 1,800 ล้านบาท เป้าหมายคือการเป็นแลนด์มาร์กสุดหรู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    🏗️ โครงการในฝัน กลายเป็นฝันร้าย? แม้จะมีเงินลงทุนจากพรีเซลล์ และบริษัทร่วมทุน แต่ก็ยังไม่พอ จึงต้องพึ่งพาเงินกู้จาก บริษัทหลักทรัพย์ไทยเม็กซ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทันทีที่เจ้าของโครงการ ถูกกล่าวหาคดีอาญาเรื่องจ้างวานฆ่า ซึ่งภายหลังถูกยกฟ้อง ก็ส่งผลให้สถาบันการเงิน “เบรก” การปล่อยกู้ทันที 😨

    แม้จะฟื้นคืนการเงินได้ในภายหลัง แต่ “ความเชื่อมั่น” ก็ไม่กลับมาอีกเลย…

    📉 วิกฤตต้มยำกุ้ง จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจที่ทำให้ตึกหยุดสร้าง

    🔍 พื้นหลังเศรษฐกิจไทยยุคทอง ก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 9% ต่อปี เงินทุนไหลเข้ามหาศาล ดอกเบี้ยในประเทศสูง ต่างชาติแห่ลงทุน ธนาคารไทยเองก็ขยายเครดิตอย่างหนัก 🏦

    มีการตั้ง BIBF เพื่อปล่อยกู้เงินต่างประเทศ เข้ามาภายในประเทศ แต่บริษัทส่วนใหญ่กลับกู้ระยะสั้น ทั้งที่อสังหาฯ ต้องใช้เงินระยะยาว ระบบเศรษฐกิจ "เติบโตเกินจริง" หรือ Overextended

    เมื่อค่าเงินบาทถูก "ลอยตัว" จาก 25 บาท/ดอลลาร์ ไปแตะ 50 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาคเอกชนต้องใช้หนี้เพิ่มขึ้น “เท่าตัว” โดยไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น

    🧨 เมื่อฟองสบู่แตก บริษัทเงินทุนล่มสลาย ปี 2540 รัฐบาลประกาศปิดบริษัทเงินทุนกว่า 50 แห่ง รวมถึง ไทยเม็กซ์
    โครงการสาธร ยูนีค ที่เดินหน้าไปแล้ว 80% ก็ต้องหยุดกะทันหัน ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่น และต้นทุนกู้ยืมที่สูงเกินรับไหว

    👻 จาก “สาธร ยูนีค” สู่ “Ghost Tower” ตำนานความหลอนใจกลางเมือง หลังจากการก่อสร้างถูกปล่อยทิ้งร้าง ตึกนี้ก็เริ่มเสื่อมโทรมตามกาลเวลา และเพราะเป็นตึกสูงใหญ่โดดเด่นที่ "ไม่เสร็จ" ผู้คนก็เริ่มแต่งเรื่องลี้ลับขึ้นมา…

    💀 ข่าวลือที่สร้างชื่อเสียงแบบไม่ตั้งใจ บางคนเชื่อว่า ตึกสร้างไม่เสร็จเพราะอาถรรพ์ บ้างลือว่าตึกนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่สุสานเก่า มีข่าวลือถึงการเสียชีวิตปริศนาในตึก

    🎥 ในปี 2557 มีเหตุสลดจริง เมื่อพบศพชายชาวสวีเดน แขวนคอในตึกดังกล่าว ทำให้ทางเจ้าของตึกแจ้งความ และมีการ “ปิดทางเข้า” ไม่ให้คนภายนอกเข้าไปอีก

    อย่างไรก็ตาม ภาพจากตึกนี้ยังคงปรากฏในหนังหลายเรื่อง เช่น “เพื่อน…ที่ระลึก” ที่ตีแผ่ความหลอนจากวิกฤตเศรษฐกิจและการพลัดพราก 🕯️

    💡 ทำไมถึงขายไม่ได้? ราคาพุ่งจาก 3,000 ล้าน สู่ 4,000 ล้าน

    📌 ต้นทุนที่ยังค้างคา เจ้าของคนปัจจุบันคือ นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชาย ผศ.รังสรรค์ ยืนยันว่า จะขายตึกในราคาที่สามารถคืนทุนทั้งหมด และคืนเงินให้กับผู้ที่ซื้อพรีเซลล์ไว้แล้วกว่า 90%

    ปัจจุบันราคาตึกตั้งไว้ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินกว่าที่นักลงทุนรายใหม่จะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างห้องในอดีตเน้น “ขนาดใหญ่” ซึ่งสวนทางกับเทรนด์ห้องยุคปัจจุบัน ที่ต้องการห้องขนาดกะทัดรัด 😕

    🧱 แต่… “Ghost Tower” แข็งแรงกว่าที่คิด! 🌍 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ขายตึกนี้ในราคา 4,000 ล้านบาท พร้อมข้อมูลว่า…

    ❗ "แม้จะเกิดแผ่นดินไหว แต่โครงสร้างตึก ไม่กระทบเลยแม้แต่น้อย"

    ทำให้มีคนเริ่มสนใจตึกนี้ในฐานะ “อสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแรง และโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม” อีกครั้ง ตึกนี้ไม่เพียงรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยัง "ยืนหยัดท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากธรรมชาติ" ได้อีกด้วย 💪🌎

    🧠 “สาธร” หรือ “สาทร” สรุปใช้คำไหนกันแน่? แม้ตึกจะใช้ชื่อว่า “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ตามชื่อบริษัทที่จดทะเบียน แต่ในความเป็นจริง ชื่อเขตที่ตั้งควรสะกดว่า “สาทร” โดยมีที่มาทางประวัติศาสตร์ดังนี้

    “สาทร” มาจาก หลวงสาทรราชายุตก์ ผู้สร้างถนนและคลองในยุค ร.5 เอกสารราชการในยุค ร.6 ใช้คำว่า “สาทร” อย่างชัดเจน ปัจจุบันการสะกดผิดพลาด และใช้คำว่า “สาธร” แพร่หลาย

    ราชบัณฑิตยสถานจึงแนะนำให้ใช้คำว่า “สาทร” เพื่อความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ 📜

    🎬 "Sathorn Unique Tower" แลนด์มาร์กของ “อดีต” ที่ยังยืนอยู่ใน “ปัจจุบัน” แม้จะผ่านเวลามาแล้ว 35 ปี ตึกแห่งนี้ยังคงตั้งตระหง่าน อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้เพียงเป็นตึกร้าง แต่กลายเป็น สัญลักษณ์ของบทเรียนเศรษฐกิจ กลายเป็น แลนด์มาร์กแห่งความทรงจำ และอาจเป็น “โอกาสใหม่” ที่รอเพียงการตีความใหม่อีกครั้ง ในอนาคต…

    🔚 "ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์" อดีตที่ยัง “ยืนอยู่” ตึกนี้คือบทเรียนทางเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม
    ที่ยังไม่จบ… และอาจเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” หากมีใครกล้าคิด…ต่าง 💡

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 301305 มี.ค. 2568

    🏷️ #ตึกสาธรยูนีค #GhostTower #วิกฤตต้มยำกุ้ง #ตึกร้างกรุงเทพ #อสังหาริมทรัพย์ไทย #สถานที่หลอน #ตึกผีสิง #กรุงเทพมหานคร #SathornUniqueTower #ตำนานเมืองกรุง
    35 ปี ตึกร้างผีสิง “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ร่องรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่… ไร้รอยฝุ่นฟุ้งแผ่นดินไหว 🏚️ 🏙️ เมื่อสถานที่กลายเป็น ร่องรอยของเหตุการณ์ในอดีต สถานที่บางแห่ง ถูกสร้างขึ้นเพื่อจดจำสิ่งยิ่งใหญ่ เช่น รูปปั้นเทพีเสรีภาพของอเมริกา หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทย แต่บางครั้งสถานที่กลับกลายเป็น "ร่องรอยที่ไม่มีใครอยากจดจำ" อย่างเช่น ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ (Sathorn Unique Tower) ที่ไม่ได้ตั้งอยู่เพื่อเป็นอนุสรณ์ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นเอกของ วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 🕰️ 🌉 Sathorn Unique Tower:ความหวังระดับลักซ์ชัวรี่ใจกลางกรุง ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทย เฟื่องฟูแบบก้าวกระโดด โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู ผุดขึ้นทั่วเมืองกรุง หนึ่งในนั้นคือ “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ที่ออกแบบโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังดีไซน์ของ State Tower ที่โด่งดังเช่นกัน ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นคอนโดฯ สไตล์โรมันสูง 49 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน 2 ชั้น บนความสูง 185 เมตร 🏢 รวมทั้งหมด 600 ยูนิต มูลค่าลงทุนมากถึง 1,800 ล้านบาท เป้าหมายคือการเป็นแลนด์มาร์กสุดหรู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 🏗️ โครงการในฝัน กลายเป็นฝันร้าย? แม้จะมีเงินลงทุนจากพรีเซลล์ และบริษัทร่วมทุน แต่ก็ยังไม่พอ จึงต้องพึ่งพาเงินกู้จาก บริษัทหลักทรัพย์ไทยเม็กซ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทันทีที่เจ้าของโครงการ ถูกกล่าวหาคดีอาญาเรื่องจ้างวานฆ่า ซึ่งภายหลังถูกยกฟ้อง ก็ส่งผลให้สถาบันการเงิน “เบรก” การปล่อยกู้ทันที 😨 แม้จะฟื้นคืนการเงินได้ในภายหลัง แต่ “ความเชื่อมั่น” ก็ไม่กลับมาอีกเลย… 📉 วิกฤตต้มยำกุ้ง จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจที่ทำให้ตึกหยุดสร้าง 🔍 พื้นหลังเศรษฐกิจไทยยุคทอง ก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 9% ต่อปี เงินทุนไหลเข้ามหาศาล ดอกเบี้ยในประเทศสูง ต่างชาติแห่ลงทุน ธนาคารไทยเองก็ขยายเครดิตอย่างหนัก 🏦 มีการตั้ง BIBF เพื่อปล่อยกู้เงินต่างประเทศ เข้ามาภายในประเทศ แต่บริษัทส่วนใหญ่กลับกู้ระยะสั้น ทั้งที่อสังหาฯ ต้องใช้เงินระยะยาว ระบบเศรษฐกิจ "เติบโตเกินจริง" หรือ Overextended เมื่อค่าเงินบาทถูก "ลอยตัว" จาก 25 บาท/ดอลลาร์ ไปแตะ 50 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาคเอกชนต้องใช้หนี้เพิ่มขึ้น “เท่าตัว” โดยไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น 🧨 เมื่อฟองสบู่แตก บริษัทเงินทุนล่มสลาย ปี 2540 รัฐบาลประกาศปิดบริษัทเงินทุนกว่า 50 แห่ง รวมถึง ไทยเม็กซ์ โครงการสาธร ยูนีค ที่เดินหน้าไปแล้ว 80% ก็ต้องหยุดกะทันหัน ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่น และต้นทุนกู้ยืมที่สูงเกินรับไหว 👻 จาก “สาธร ยูนีค” สู่ “Ghost Tower” ตำนานความหลอนใจกลางเมือง หลังจากการก่อสร้างถูกปล่อยทิ้งร้าง ตึกนี้ก็เริ่มเสื่อมโทรมตามกาลเวลา และเพราะเป็นตึกสูงใหญ่โดดเด่นที่ "ไม่เสร็จ" ผู้คนก็เริ่มแต่งเรื่องลี้ลับขึ้นมา… 💀 ข่าวลือที่สร้างชื่อเสียงแบบไม่ตั้งใจ บางคนเชื่อว่า ตึกสร้างไม่เสร็จเพราะอาถรรพ์ บ้างลือว่าตึกนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่สุสานเก่า มีข่าวลือถึงการเสียชีวิตปริศนาในตึก 🎥 ในปี 2557 มีเหตุสลดจริง เมื่อพบศพชายชาวสวีเดน แขวนคอในตึกดังกล่าว ทำให้ทางเจ้าของตึกแจ้งความ และมีการ “ปิดทางเข้า” ไม่ให้คนภายนอกเข้าไปอีก อย่างไรก็ตาม ภาพจากตึกนี้ยังคงปรากฏในหนังหลายเรื่อง เช่น “เพื่อน…ที่ระลึก” ที่ตีแผ่ความหลอนจากวิกฤตเศรษฐกิจและการพลัดพราก 🕯️ 💡 ทำไมถึงขายไม่ได้? ราคาพุ่งจาก 3,000 ล้าน สู่ 4,000 ล้าน 📌 ต้นทุนที่ยังค้างคา เจ้าของคนปัจจุบันคือ นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชาย ผศ.รังสรรค์ ยืนยันว่า จะขายตึกในราคาที่สามารถคืนทุนทั้งหมด และคืนเงินให้กับผู้ที่ซื้อพรีเซลล์ไว้แล้วกว่า 90% ปัจจุบันราคาตึกตั้งไว้ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินกว่าที่นักลงทุนรายใหม่จะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างห้องในอดีตเน้น “ขนาดใหญ่” ซึ่งสวนทางกับเทรนด์ห้องยุคปัจจุบัน ที่ต้องการห้องขนาดกะทัดรัด 😕 🧱 แต่… “Ghost Tower” แข็งแรงกว่าที่คิด! 🌍 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ขายตึกนี้ในราคา 4,000 ล้านบาท พร้อมข้อมูลว่า… ❗ "แม้จะเกิดแผ่นดินไหว แต่โครงสร้างตึก ไม่กระทบเลยแม้แต่น้อย" ทำให้มีคนเริ่มสนใจตึกนี้ในฐานะ “อสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแรง และโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม” อีกครั้ง ตึกนี้ไม่เพียงรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยัง "ยืนหยัดท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากธรรมชาติ" ได้อีกด้วย 💪🌎 🧠 “สาธร” หรือ “สาทร” สรุปใช้คำไหนกันแน่? แม้ตึกจะใช้ชื่อว่า “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ตามชื่อบริษัทที่จดทะเบียน แต่ในความเป็นจริง ชื่อเขตที่ตั้งควรสะกดว่า “สาทร” โดยมีที่มาทางประวัติศาสตร์ดังนี้ “สาทร” มาจาก หลวงสาทรราชายุตก์ ผู้สร้างถนนและคลองในยุค ร.5 เอกสารราชการในยุค ร.6 ใช้คำว่า “สาทร” อย่างชัดเจน ปัจจุบันการสะกดผิดพลาด และใช้คำว่า “สาธร” แพร่หลาย ราชบัณฑิตยสถานจึงแนะนำให้ใช้คำว่า “สาทร” เพื่อความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ 📜 🎬 "Sathorn Unique Tower" แลนด์มาร์กของ “อดีต” ที่ยังยืนอยู่ใน “ปัจจุบัน” แม้จะผ่านเวลามาแล้ว 35 ปี ตึกแห่งนี้ยังคงตั้งตระหง่าน อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้เพียงเป็นตึกร้าง แต่กลายเป็น สัญลักษณ์ของบทเรียนเศรษฐกิจ กลายเป็น แลนด์มาร์กแห่งความทรงจำ และอาจเป็น “โอกาสใหม่” ที่รอเพียงการตีความใหม่อีกครั้ง ในอนาคต… 🔚 "ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์" อดีตที่ยัง “ยืนอยู่” ตึกนี้คือบทเรียนทางเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม ที่ยังไม่จบ… และอาจเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” หากมีใครกล้าคิด…ต่าง 💡 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 301305 มี.ค. 2568 🏷️ #ตึกสาธรยูนีค #GhostTower #วิกฤตต้มยำกุ้ง #ตึกร้างกรุงเทพ #อสังหาริมทรัพย์ไทย #สถานที่หลอน #ตึกผีสิง #กรุงเทพมหานคร #SathornUniqueTower #ตำนานเมืองกรุง
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • การลงทุนในทองคำช่วงนี้มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มราคาทองคำ มาดูรายละเอียดกัน:

    ### **ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนทองคำช่วงนี้**
    1. **ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน**
    - ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว วิกฤตการเงิน หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจส่งผลให้นักลงทุน转向ไปสู่ทองคำซึ่งเป็น Safe Haven Asset
    - หากตลาดหุ้นผันผวนหรือเกิดวิกฤต ทองคำมักได้รับความนิยมมากขึ้น

    2. **อัตราดอกเบี้ยและนโยบายของ Fed**
    - หาก Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2024-2025 เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำ (ซึ่งซื้อขายด้วย USD) มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
    - ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ

    3. **ความต้องการทองคำจากประเทศกำลังพัฒนา**
    - ธนาคารกลางหลายประเทศ (เช่น จีน, รัสเซีย, อินเดีย) ยังคงสะสมทองคำเป็นทุนสำรอง สนับสนุนราคาทองในระยะยาว

    4. **เงินเฟ้อและค่าครองชีพ**
    - ทองคำมักทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกัน (Hedge) ต่อเงินเฟ้อ หากภาวะเงินเฟ้อยังสูง ทองคำอาจเป็นทางเลือกที่ดี

    ---

    ### **ปัจจัยที่ต้องระวัง**
    1. **เงินดอลลาร์แข็งค่า**
    - หาก USD แข็งตัวจากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งหรือ Fed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อ ราคาทองคำอาจถูกกดดัน

    2. **ตลาดหุ้นและความเสี่ยงอื่นๆ**
    - หากตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจลดการถือทองคำลง

    3. **ความผันผวนในระยะสั้น**
    - ราคาทองคำอาจปรับตัวลงชั่วคราวจากปัจจัยทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ

    ---

    ### **สรุป: ควรลงทุนทองคำตอนนี้ไหม?**
    - **ระยะยาว (Hold)** → **เหมาะ** เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน
    - **ระยะสั้น (เทรด)** → ต้องติดตามปัจจัยหลัก เช่น นโยบาย Fed, ดอลลาร์, และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    **คำแนะนำเพิ่มเติม:**
    - **Diversify** ไม่ควรลงทุนทองคำ 100% ของพอร์ต แต่แบ่งสัดส่วน (เช่น 5-15%)
    - **รูปแบบการลงทุน**
    - **ทองคำรูปพรรณ** เหมาะสำหรับถือยาว แต่ต้องคำนึงถึงส่วนต่างราคา (Premium)
    - **ทองคำ ETF (เช่น GLD)** หรือ **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า** สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูง
    - **เหมืองทองคำ (หุ้น)** ให้ความได้เปรียบจาก Leverage Effect แต่มีความเสี่ยงเพิ่ม

    หากคุณต้องการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ! 📊🚀
    การลงทุนในทองคำช่วงนี้มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มราคาทองคำ มาดูรายละเอียดกัน: ### **ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนทองคำช่วงนี้** 1. **ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน** - ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว วิกฤตการเงิน หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจส่งผลให้นักลงทุน转向ไปสู่ทองคำซึ่งเป็น Safe Haven Asset - หากตลาดหุ้นผันผวนหรือเกิดวิกฤต ทองคำมักได้รับความนิยมมากขึ้น 2. **อัตราดอกเบี้ยและนโยบายของ Fed** - หาก Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2024-2025 เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำ (ซึ่งซื้อขายด้วย USD) มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น - ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ 3. **ความต้องการทองคำจากประเทศกำลังพัฒนา** - ธนาคารกลางหลายประเทศ (เช่น จีน, รัสเซีย, อินเดีย) ยังคงสะสมทองคำเป็นทุนสำรอง สนับสนุนราคาทองในระยะยาว 4. **เงินเฟ้อและค่าครองชีพ** - ทองคำมักทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกัน (Hedge) ต่อเงินเฟ้อ หากภาวะเงินเฟ้อยังสูง ทองคำอาจเป็นทางเลือกที่ดี --- ### **ปัจจัยที่ต้องระวัง** 1. **เงินดอลลาร์แข็งค่า** - หาก USD แข็งตัวจากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งหรือ Fed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อ ราคาทองคำอาจถูกกดดัน 2. **ตลาดหุ้นและความเสี่ยงอื่นๆ** - หากตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจลดการถือทองคำลง 3. **ความผันผวนในระยะสั้น** - ราคาทองคำอาจปรับตัวลงชั่วคราวจากปัจจัยทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ --- ### **สรุป: ควรลงทุนทองคำตอนนี้ไหม?** - **ระยะยาว (Hold)** → **เหมาะ** เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน - **ระยะสั้น (เทรด)** → ต้องติดตามปัจจัยหลัก เช่น นโยบาย Fed, ดอลลาร์, และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ **คำแนะนำเพิ่มเติม:** - **Diversify** ไม่ควรลงทุนทองคำ 100% ของพอร์ต แต่แบ่งสัดส่วน (เช่น 5-15%) - **รูปแบบการลงทุน** - **ทองคำรูปพรรณ** เหมาะสำหรับถือยาว แต่ต้องคำนึงถึงส่วนต่างราคา (Premium) - **ทองคำ ETF (เช่น GLD)** หรือ **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า** สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูง - **เหมืองทองคำ (หุ้น)** ให้ความได้เปรียบจาก Leverage Effect แต่มีความเสี่ยงเพิ่ม หากคุณต้องการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ! 📊🚀
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews
  • การเมืองไทยมีความซับซ้อนและมีปัญหาหลายด้านที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ปัญหาหลักๆ และแนวทางการแก้ไขอาจรวมถึง以下几个方面:

    ### 1. **ปัญหาความแตกแยกและความขัดแย้งทางการเมือง**
    - **สาเหตุ**: ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เช่น คณะรัฐประหาร ประชาชน และพรรคการเมือง
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ส่งเสริม **การเจรจาและปรองดอง** ระหว่างกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกัน
    - ลดการใช้อำนาจรัฐเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
    - สร้างกลไกแก้ไขความขัดแย้งที่เป็นกลาง เช่น คณะกรรมการอิสระ

    ### 2. **ระบบเลือกตั้งที่ไม่สมบูรณ์**
    - **สาเหตุ**: ระบบเลือกตั้งอาจไม่สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง เช่น การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคใหญ่
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ปรับปรุง **ระบบเลือกตั้ง** ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น ใช้ระบบสัดส่วนผสม (Mixed-Member Proportional: MMP)
    - เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีส่วนร่วมในสภา
    - ป้องกันการทุจริตเลือกตั้งด้วยเทคโนโลยีและกลไกตรวจสอบ

    ### 3. **ปัญหาอำนาจนอกระบบ (อำนาจนอกการเมือง)**
    - **สาเหตุ**: การแทรกแซงทางการเมืองโดยสถาบันอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - เสริมสร้าง **หลักนิติธรรม** และลดบทบาทของอำนาจนอกระบบในการเมือง
    - ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้กองทัพและองค์กรอิสระอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน

    ### 4. **การทุจริตและระบบอุปถัมภ์**
    - **สาเหตุ**: การคอร์รัปชันในวงราชการและระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้การเมืองไทยไม่โปร่งใส
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - เสริมสร้าง **กลไกตรวจสอบ** เช่น ปรับปรุงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.)
    - เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data) เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้
    - ส่งเสริมวัฒนธรรมการต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับการศึกษา

    ### 5. **การกระจายอำนาจที่ไม่ทั่วถึง**
    - **สาเหตุ**: อำนาจยังรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และรัฐบาลกลาง ทำให้ท้องถิ่นขาดอิสระ
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - **กระจายอำนาจการปกครอง** ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น
    - ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณเอง

    ### 6. **ปัญหาการเซ็นเซอร์และเสรีภาพสื่อ**
    - **สาเหตุ**: การควบคุมสื่อโดยรัฐ และการใช้กฎหมายเช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพื่อจำกัดเสรีภาพ
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อ
    - ส่งเสริมสื่ออิสระและปลอดจากการแทรกแซงของรัฐ

    ### 7. **การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม**
    - **สาเหตุ**: กระบวนการยุติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ปรับปรุงระบบตุลาการให้เป็นอิสระและเป็นกลาง
    - ตรวจสอบการใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

    ### 8. **การมีส่วนร่วมของประชาชน**
    - **แนวทางแก้ไข**:
    - ส่งเสริม **ประชาธิปไตยทางตรง** เช่น การลงประชามติในประเด็นสำคัญ
    - ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรับฟังความเห็นประชาชน (E-Participation)

    ### **สรุป**
    การเมืองไทยต้องการการปฏิรูปหลายด้าน ทั้งระบบเลือกตั้ง การลดอำนาจนอกระบบ การต่อต้านคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจ และการส่งเสริมเสรีภาพ หากแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การเมืองไทยมีความมั่นคงและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

    คุณคิดว่าประเด็นไหนสำคัญที่สุดหรือควรเริ่มแก้ไขก่อน?
    การเมืองไทยมีความซับซ้อนและมีปัญหาหลายด้านที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ปัญหาหลักๆ และแนวทางการแก้ไขอาจรวมถึง以下几个方面: ### 1. **ปัญหาความแตกแยกและความขัดแย้งทางการเมือง** - **สาเหตุ**: ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เช่น คณะรัฐประหาร ประชาชน และพรรคการเมือง - **แนวทางแก้ไข**: - ส่งเสริม **การเจรจาและปรองดอง** ระหว่างกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกัน - ลดการใช้อำนาจรัฐเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม - สร้างกลไกแก้ไขความขัดแย้งที่เป็นกลาง เช่น คณะกรรมการอิสระ ### 2. **ระบบเลือกตั้งที่ไม่สมบูรณ์** - **สาเหตุ**: ระบบเลือกตั้งอาจไม่สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง เช่น การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม หรือกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคใหญ่ - **แนวทางแก้ไข**: - ปรับปรุง **ระบบเลือกตั้ง** ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น ใช้ระบบสัดส่วนผสม (Mixed-Member Proportional: MMP) - เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีส่วนร่วมในสภา - ป้องกันการทุจริตเลือกตั้งด้วยเทคโนโลยีและกลไกตรวจสอบ ### 3. **ปัญหาอำนาจนอกระบบ (อำนาจนอกการเมือง)** - **สาเหตุ**: การแทรกแซงทางการเมืองโดยสถาบันอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง - **แนวทางแก้ไข**: - เสริมสร้าง **หลักนิติธรรม** และลดบทบาทของอำนาจนอกระบบในการเมือง - ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้กองทัพและองค์กรอิสระอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน ### 4. **การทุจริตและระบบอุปถัมภ์** - **สาเหตุ**: การคอร์รัปชันในวงราชการและระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้การเมืองไทยไม่โปร่งใส - **แนวทางแก้ไข**: - เสริมสร้าง **กลไกตรวจสอบ** เช่น ปรับปรุงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) - เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data) เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ - ส่งเสริมวัฒนธรรมการต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับการศึกษา ### 5. **การกระจายอำนาจที่ไม่ทั่วถึง** - **สาเหตุ**: อำนาจยังรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และรัฐบาลกลาง ทำให้ท้องถิ่นขาดอิสระ - **แนวทางแก้ไข**: - **กระจายอำนาจการปกครอง** ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น - ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณเอง ### 6. **ปัญหาการเซ็นเซอร์และเสรีภาพสื่อ** - **สาเหตุ**: การควบคุมสื่อโดยรัฐ และการใช้กฎหมายเช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพื่อจำกัดเสรีภาพ - **แนวทางแก้ไข**: - ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อ - ส่งเสริมสื่ออิสระและปลอดจากการแทรกแซงของรัฐ ### 7. **การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม** - **สาเหตุ**: กระบวนการยุติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง - **แนวทางแก้ไข**: - ปรับปรุงระบบตุลาการให้เป็นอิสระและเป็นกลาง - ตรวจสอบการใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ### 8. **การมีส่วนร่วมของประชาชน** - **แนวทางแก้ไข**: - ส่งเสริม **ประชาธิปไตยทางตรง** เช่น การลงประชามติในประเด็นสำคัญ - ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรับฟังความเห็นประชาชน (E-Participation) ### **สรุป** การเมืองไทยต้องการการปฏิรูปหลายด้าน ทั้งระบบเลือกตั้ง การลดอำนาจนอกระบบ การต่อต้านคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจ และการส่งเสริมเสรีภาพ หากแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การเมืองไทยมีความมั่นคงและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คุณคิดว่าประเด็นไหนสำคัญที่สุดหรือควรเริ่มแก้ไขก่อน?
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • CEO ออริจิ้น ลุยเอง พาสำรวจโครงสร้างทางเชื่อมสะพานโครงการ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ย้ำ แข็งแรง ยันโครงสร้างไม่ได้เสียหายถึงขั้นวิบัติ

    นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งเป็นสามัญวิศวกรด้วย นำทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมา เข้าตรวจสอบสะพานทางเชื่อมอาคารโครงการ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ที่เสียหายจากแผ่นดินไหวด้วยตนเอง

    เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า โครงสร้างอาคารแต่ละส่วนยังคงแข็งแรงและใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งเป็นไปตามการประเมินเบื้องต้นตามที่ได้แถลงการณ์ก่อนหน้า รวมทั้งสะพานทางเชื่อมอาคารที่ออกแบบให้สามารถเคลื่อนที่จากอาคารได้เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ว่าโครงสร้างไม่ได้เสียหายถึงขั้นวิบัติแต่อย่างใด มีเพียงความเสียหายด้านงานสถาปัตยกรรมที่จะรีบดำเนินการวางแผนซ่อมแซมโดยเร่งด่วน

    อย่างไรก็ตามออริจิ้นได้มีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือลูกค้าไว้เพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าช่วยเหลือลูกค้าทุกโครงการให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างเต็มกำลังทุกโครงการแล้ว และทีมวิศวกรตรวจสอบความปลอดภัยด้านโครงสร้างจะเข้าตรวจสอบครบทั้ง 87 โครงการภายในวันนี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000030021

    #MGROnline #ORI #พาร์คออริจิ้นทองหล่อ #ออริจิ้น #ตึกถล่ม #คอนโดหรู
    CEO ออริจิ้น ลุยเอง พาสำรวจโครงสร้างทางเชื่อมสะพานโครงการ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ย้ำ แข็งแรง ยันโครงสร้างไม่ได้เสียหายถึงขั้นวิบัติ • นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งเป็นสามัญวิศวกรด้วย นำทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมา เข้าตรวจสอบสะพานทางเชื่อมอาคารโครงการ พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ที่เสียหายจากแผ่นดินไหวด้วยตนเอง • เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า โครงสร้างอาคารแต่ละส่วนยังคงแข็งแรงและใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งเป็นไปตามการประเมินเบื้องต้นตามที่ได้แถลงการณ์ก่อนหน้า รวมทั้งสะพานทางเชื่อมอาคารที่ออกแบบให้สามารถเคลื่อนที่จากอาคารได้เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ว่าโครงสร้างไม่ได้เสียหายถึงขั้นวิบัติแต่อย่างใด มีเพียงความเสียหายด้านงานสถาปัตยกรรมที่จะรีบดำเนินการวางแผนซ่อมแซมโดยเร่งด่วน • อย่างไรก็ตามออริจิ้นได้มีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือลูกค้าไว้เพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าช่วยเหลือลูกค้าทุกโครงการให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างเต็มกำลังทุกโครงการแล้ว และทีมวิศวกรตรวจสอบความปลอดภัยด้านโครงสร้างจะเข้าตรวจสอบครบทั้ง 87 โครงการภายในวันนี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000030021 • #MGROnline #ORI #พาร์คออริจิ้นทองหล่อ #ออริจิ้น #ตึกถล่ม #คอนโดหรู
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวที่ดีที่สุดในโลกปัจจุบันคือ **ระบบ Earthquake Early Warning (EEW)** ของญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า **"ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า (緊急地震速報, Kinkyū Jishin Sokuhō)"** ซึ่งดำเนินการโดย **Japan Meteorological Agency (JMA)**

    ### 🔍 **เหตุผลที่ญี่ปุ่นมีระบบที่ดีที่สุด**:
    1. **ความเร็วในการตรวจจับ**:
    - ญี่ปุ่นใช้เครือข่ายเซ็นเซอร์วัดแผ่นดินไหว (Seismometers) จำนวนมากทั่วประเทศ ที่สามารถตรวจจับคลื่นแผ่นดินไหว (คลื่น P) ได้ทันทีและส่งสัญญาณเตือนภายในเวลา **ไม่กี่วินาที** ก่อนที่คลื่นทำลายล้าง (คลื่น S) จะมาถึง
    - ในบางกรณี สามารถแจ้งเตือนได้ **5-30 วินาที** ก่อนเกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง

    2. **การบูรณาการกับระบบสาธารณะ**:
    - การแจ้งเตือนถูกส่งไปยัง **โทรศัพท์มือถือทุกเครื่อง** ในพื้นที่เสี่ยงผ่านระบบ **J-Alert**
    - ระบบกระจายเสียงผ่าน **ทีวี วิทยุ และลำโพงฉุกเฉิน**
    - บางเมืองยังเชื่อมกับระบบขนส่ง เช่น **รถไฟชินคันเซน** ที่หยุดทำงานอัตโนมัติเมื่อได้รับสัญญาณเตือน

    3. **ความแม่นยำสูง**:
    - ญี่ปุ่นลงทุนในเทคโนโลยี AI และระบบประมวลผลแบบเรียลไทม์ เพื่อลด **ผลบวกปลอม (False Alarms)** และปรับปรุงความแม่นยำ

    4. **ประสบการณ์กับแผ่นดินไหว**:
    - ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อย จึงมีการพัฒนาระบบมาอย่างต่อเนื่อง เช่น หลังเหตุการณ์ **แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน (1995)** และ **โทโฮกุ (2011)**

    ### 🌍 **ระบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ**:
    - **สหรัฐอเมริกา (ShakeAlert)** – ใช้ในแคลิฟอร์เนีย ออริกอน และวอชิงตัน
    - **เม็กซิโก (SASMEX)** – แจ้งเตือนในเม็กซิโกซิตี้
    - **ไต้หวัน** – มีระบบที่คล้ายญี่ปุ่น แต่ครอบคลุมพื้นที่เล็กกว่า
    - **จีนและอินโดนีเซีย** – กำลังพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ### ⚠️ **ข้อจำกัดของระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว**:
    - **เวลาเตือนสั้นมาก** (มักไม่เกิน 1 นาที)
    - **ไม่สามารถทำนายแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า** แต่แจ้งเตือนเมื่อตรวจพบคลื่นแรกเท่านั้น
    - **ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับระยะทางจากจุดศูนย์กลาง** (ถ้าอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ อาจได้รับแจ้งเตือนช้าหรือไม่ทัน)

    ### 🚨 **สรุป**:
    ญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ละประเทศก็พยายามปรับปรุงระบบของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัตินี้
    ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวที่ดีที่สุดในโลกปัจจุบันคือ **ระบบ Earthquake Early Warning (EEW)** ของญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า **"ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า (緊急地震速報, Kinkyū Jishin Sokuhō)"** ซึ่งดำเนินการโดย **Japan Meteorological Agency (JMA)** ### 🔍 **เหตุผลที่ญี่ปุ่นมีระบบที่ดีที่สุด**: 1. **ความเร็วในการตรวจจับ**: - ญี่ปุ่นใช้เครือข่ายเซ็นเซอร์วัดแผ่นดินไหว (Seismometers) จำนวนมากทั่วประเทศ ที่สามารถตรวจจับคลื่นแผ่นดินไหว (คลื่น P) ได้ทันทีและส่งสัญญาณเตือนภายในเวลา **ไม่กี่วินาที** ก่อนที่คลื่นทำลายล้าง (คลื่น S) จะมาถึง - ในบางกรณี สามารถแจ้งเตือนได้ **5-30 วินาที** ก่อนเกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง 2. **การบูรณาการกับระบบสาธารณะ**: - การแจ้งเตือนถูกส่งไปยัง **โทรศัพท์มือถือทุกเครื่อง** ในพื้นที่เสี่ยงผ่านระบบ **J-Alert** - ระบบกระจายเสียงผ่าน **ทีวี วิทยุ และลำโพงฉุกเฉิน** - บางเมืองยังเชื่อมกับระบบขนส่ง เช่น **รถไฟชินคันเซน** ที่หยุดทำงานอัตโนมัติเมื่อได้รับสัญญาณเตือน 3. **ความแม่นยำสูง**: - ญี่ปุ่นลงทุนในเทคโนโลยี AI และระบบประมวลผลแบบเรียลไทม์ เพื่อลด **ผลบวกปลอม (False Alarms)** และปรับปรุงความแม่นยำ 4. **ประสบการณ์กับแผ่นดินไหว**: - ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อย จึงมีการพัฒนาระบบมาอย่างต่อเนื่อง เช่น หลังเหตุการณ์ **แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิน (1995)** และ **โทโฮกุ (2011)** ### 🌍 **ระบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ**: - **สหรัฐอเมริกา (ShakeAlert)** – ใช้ในแคลิฟอร์เนีย ออริกอน และวอชิงตัน - **เม็กซิโก (SASMEX)** – แจ้งเตือนในเม็กซิโกซิตี้ - **ไต้หวัน** – มีระบบที่คล้ายญี่ปุ่น แต่ครอบคลุมพื้นที่เล็กกว่า - **จีนและอินโดนีเซีย** – กำลังพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ### ⚠️ **ข้อจำกัดของระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว**: - **เวลาเตือนสั้นมาก** (มักไม่เกิน 1 นาที) - **ไม่สามารถทำนายแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า** แต่แจ้งเตือนเมื่อตรวจพบคลื่นแรกเท่านั้น - **ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับระยะทางจากจุดศูนย์กลาง** (ถ้าอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ อาจได้รับแจ้งเตือนช้าหรือไม่ทัน) ### 🚨 **สรุป**: ญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ละประเทศก็พยายามปรับปรุงระบบของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัตินี้
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • แบตเตอรี่รุ่นใหม่ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความจุ ความเร็วในการชาร์จ ความปลอดภัย และอายุการใช้งาน นี่คือความคืบหน้าล่าสุดและเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง:

    ### 1. **แบตเตอรี่ Solid-State**
    - **ความคืบหน้า**: หลายบริษัทเช่น Toyota, QuantumScape และ Samsung SDI กำลังเร่งพัฒนาสู่การผลิตมวลชน คาดว่าจะเริ่มใช้ในรถไฟฟ้า (EV) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในปี 2025-2030
    - **จุดเด่น**:
    - ความหนาแน่นพลังงานสูงขึ้น (อาจถึง 2-3 เท่าของ Li-ion)
    - ชาร์จเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงการระเบิดหรือ overheating
    - อายุการใช้งานยาวนานกว่า

    ### 2. **แบตเตอรี่ Lithium-Sulfur (Li-S)**
    - **ความคืบหน้า**: บริษัทเช่น Oxis Energy และ Sion Power กำลังทดสอบในโดรนและอากาศยาน
    - **จุดเด่น**:
    - ความจุพลังงานสูงกว่าลิเธียม-ไอออนถึง 5 เท่า
    - วัสดุราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า

    ### 3. **เทคโนโลยี Silicon Anode**
    - **ความคืบหน้า**: Tesla, Panasonic และ Sila Nanotechnologies เริ่มใช้ซิลิกอนแทนกราไฟต์ในแอโนด
    - **จุดเด่น**:
    - เพิ่มความจุพลังงาน 20-40%
    - ชาร์จเร็วขึ้นโดยไม่ลดอายุการใช้งาน

    ### 4. **แบตเตอรี่ Sodium-Ion (แทน Lithium)**
    - **ความคืบหน้า**: CATL (ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน) เริ่มผลิตแล้วในปี 2023
    - **จุดเด่น**:
    - ราคาถูกกว่าเพราะใช้โซเดียม (มีมากในธรรมชาติ)
    - ทำงานได้ดีในอุณหภูมิต่ำ

    ### 5. **นวัตกรรมการชาร์จ**
    - **Ultra-Fast Charging**: แบตเตอรี่รุ่นใหม่บางชนิดชาร์จได้ 80% ใน 15 นาที (เช่นในรถไฟฟ้ารุ่นล่าสุด)
    - **Wireless Charging**: เริ่มใช้ในสมาร์ทโฟนและรถไฟฟ้าแบบไร้สาย

    ### **สรุปการพัฒนา**
    - **ดีขึ้นชัดเจน** ในด้านความจุและความเร็ว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการผลิตมวลชน
    - **รถไฟฟ้าได้ประโยชน์มากสุด** จากแบตเตอรี่ความจุสูงและปลอดภัยขึ้น
    - **อุปกรณ์พกพา** เช่น สมาร์ทโฟนอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงช้ากว่า เน้นการชาร์จเร็วและอายุการใช้งาน

    คาดการณ์ว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะลดราคาและแพร่หลาย ส่งผลให้รถไฟฟ้าราคาถูกลงและเก็บพลังงานสะอาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น!
    แบตเตอรี่รุ่นใหม่ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความจุ ความเร็วในการชาร์จ ความปลอดภัย และอายุการใช้งาน นี่คือความคืบหน้าล่าสุดและเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง: ### 1. **แบตเตอรี่ Solid-State** - **ความคืบหน้า**: หลายบริษัทเช่น Toyota, QuantumScape และ Samsung SDI กำลังเร่งพัฒนาสู่การผลิตมวลชน คาดว่าจะเริ่มใช้ในรถไฟฟ้า (EV) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในปี 2025-2030 - **จุดเด่น**: - ความหนาแน่นพลังงานสูงขึ้น (อาจถึง 2-3 เท่าของ Li-ion) - ชาร์จเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงการระเบิดหรือ overheating - อายุการใช้งานยาวนานกว่า ### 2. **แบตเตอรี่ Lithium-Sulfur (Li-S)** - **ความคืบหน้า**: บริษัทเช่น Oxis Energy และ Sion Power กำลังทดสอบในโดรนและอากาศยาน - **จุดเด่น**: - ความจุพลังงานสูงกว่าลิเธียม-ไอออนถึง 5 เท่า - วัสดุราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า ### 3. **เทคโนโลยี Silicon Anode** - **ความคืบหน้า**: Tesla, Panasonic และ Sila Nanotechnologies เริ่มใช้ซิลิกอนแทนกราไฟต์ในแอโนด - **จุดเด่น**: - เพิ่มความจุพลังงาน 20-40% - ชาร์จเร็วขึ้นโดยไม่ลดอายุการใช้งาน ### 4. **แบตเตอรี่ Sodium-Ion (แทน Lithium)** - **ความคืบหน้า**: CATL (ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน) เริ่มผลิตแล้วในปี 2023 - **จุดเด่น**: - ราคาถูกกว่าเพราะใช้โซเดียม (มีมากในธรรมชาติ) - ทำงานได้ดีในอุณหภูมิต่ำ ### 5. **นวัตกรรมการชาร์จ** - **Ultra-Fast Charging**: แบตเตอรี่รุ่นใหม่บางชนิดชาร์จได้ 80% ใน 15 นาที (เช่นในรถไฟฟ้ารุ่นล่าสุด) - **Wireless Charging**: เริ่มใช้ในสมาร์ทโฟนและรถไฟฟ้าแบบไร้สาย ### **สรุปการพัฒนา** - **ดีขึ้นชัดเจน** ในด้านความจุและความเร็ว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการผลิตมวลชน - **รถไฟฟ้าได้ประโยชน์มากสุด** จากแบตเตอรี่ความจุสูงและปลอดภัยขึ้น - **อุปกรณ์พกพา** เช่น สมาร์ทโฟนอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงช้ากว่า เน้นการชาร์จเร็วและอายุการใช้งาน คาดการณ์ว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะลดราคาและแพร่หลาย ส่งผลให้รถไฟฟ้าราคาถูกลงและเก็บพลังงานสะอาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น!
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย

    📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ

    🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ

    เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳

    📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀

    จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน

    แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ

    ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ

    📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต
    🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น.
    - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ
    - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ
    - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน
    - ผู้สูญหาย 47 คน
    - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน

    การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D
    📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย
    📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย
    📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย

    การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย

    💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว

    🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร

    👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ

    โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง

    🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน

    โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น
    - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน”
    - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form)
    - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ
    - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว

    👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น...

    🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน
    - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้

    - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง”

    - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น

    🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง
    – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

    – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

    – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก

    ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด

    หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568

    🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย 📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ 🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳 📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀 จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ 📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต 🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น. - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน - ผู้สูญหาย 47 คน - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D 📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย 📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย 📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย 💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว 🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร 👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง 🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน” - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form) - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว 👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น... 🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้ - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น 🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568 🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    0 Comments 0 Shares 440 Views 0 Reviews
  • จุดจบวัฒนธรรมพิการ ศาลสั่งประหาร! “อั้ม-อนาวิน แก้วเก็บ” มือยิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด”

    ✍️ จากวัฒนธรรมรับน้องผิดเพี้ยน สู่บทสรุปคดีสะเทือนขวัญ วัยรุ่นไทยควรได้บทเรียนอะไร จากโศกนาฏกรรมนี้? ศาลสั่งประหาร “อั้ม-อนาวิน” คดียิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” สะเทือนใจทั้งประเทศ จุดจบวัฒนธรรมพิการต้องจบที่รุ่นเรา เหยื่อบริสุทธิ์จากวัฒนธรรมรับน้องผิดๆ จุดเริ่มต้นของการล้มล้างความรุนแรง แฝงในระบบการศึกษาไทย

    🔵 ความสูญเสียที่ต้องไม่สูญเปล่า วันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นวันที่หลายคนจดจำ เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาชั้นต้นให้ “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อั้ม” มือยิงผู้บริสุทธิ์สองราย ได้แก่ “ครูเจี๊ยบ” และ “น้องหยอด” จากเหตุการณ์เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2566

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “คดีฆาตกรรม” แต่สะท้อนปัญหาฝังลึกในสังคม คือ “วัฒนธรรมรับน้องอันรุนแรง” ที่ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และส่งต่อกันมาโดยไร้การตรวจสอบ ❌

    🔴 “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวันกลับมา คดีเริ่มต้นจากความตั้งใจของกลุ่มอดีตเด็กช่าง ที่ต้องการ “สร้างผลงาน” เพื่อไปอวดในวันรับน้องของสถาบันแห่งหนึ่ง โดยนายอนาวิน วางแผนมาก่อนแล้วว่า จะก่อเหตุในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันก่อนวันรับน้อง 1 วัน

    📍 สถานที่เกิดเหตุ หน้าธนาคาร TTB สาขาคลองเตย ใจกลางกรุงเทพฯ

    🔫 เหยื่อ
    - นางสาวศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนเวนต์
    - นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย

    การยิงเกิดจาก “กระสุนพลาดเป้า” ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะยิงน้องหยอด แต่กลับทำให้ครูเจี๊ยบเสียชีวิตทันที 😢

    🟠 บทเรียนจากการล่า 24 ผู้ต้องหา ปฏิบัติการ “ปิดเมือง” หลังเกิดเหตุ ตำรวจเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ “ปิดเมืองล่ามือยิง” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่าจะจับตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คนจาก 26 หมายจับ 💣

    🔍 ตรวจสอบกล้องวงจรกว่า 1,000 ตัว
    🚔 ปิดล้อม 14 จุดทั่วกรุงและปริมณฑล
    🔫 ตรวจสอบกลุ่มแชตลับ 103 คน มีแผนฆ่า มีระบบดูแลคนใน
    📱 ใช้ไลน์กลุ่มลับ 84 คน วางแผนคล้าย "องค์กรอาชญากรรม"

    หนึ่งในตำรวจสืบสวนเล่าว่า การไล่ล่าครั้งนี้ “ยิ่งกว่านิยายไล่ล่าตี๋ใหญ่” เพราะผู้ต้องหาหนีอย่างแนบเนียน เปลี่ยนสีรถ, เปลี่ยนทะเบียน, เปลี่ยนเสื้อผ้า, วางจุดลวงสับสนเจ้าหน้าที่

    🟡 จุดแตกหัก จับกุม “อั้ม-อนาวิน” บนดอยปุย 🎯 หลังไล่ล่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ตำรวจไล่ติดตามจนกระทั่งพบตัว “อนาวิน” พร้อม “กฤติ” เพื่อนร่วมขบวนการ ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันที่ 19 ธันวาคม 2566

    👮‍♂️ ตำรวจคุกเข่าร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากตามล่ามา 1 เดือนเต็ม 🥹

    🟢 ศาลตัดสิน “ประหารชีวิต” เพื่อยุติวัฏจักร วันที่ 28 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ล้านบาท

    👉 ความผิดตามกฎหมาย
    - ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
    - มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ยิงปืนในที่ชุมชน
    - สมคบก่ออาชญากรรม

    🔵 วัฒนธรรมรับน้อง = จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม จากการสอบปากคำ “อั้ม-อนาวิน” ยอมรับว่า ต้องการสร้าง “ผลงาน” เพื่อเอาไปโชว์ในวันรับน้อง ซึ่งมาจากการปลูกฝังของรุ่นพี่ 💣

    พร้อมมีการพูดคุยผ่านไลน์กลุ่มลับว่า “ใครฆ่าอริได้ จะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม”

    “ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก... ที่พาน้องไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกล” นี่คือคำพูดในแชตลับที่ชวนให้ขนลุก 😨
    มันไม่ใช่แค่ “การแกล้ง” หรือ “กิจกรรมรุ่นพี่-รุ่นน้อง” อีกต่อไป แต่เป็นการหล่อหลอมความรุนแรง

    🔴 จุดจบของ “วัฒนธรรมพิการ” ต้องจบที่รุ่นเรา คดีนี้เป็น ภาพสะท้อนของปัญหาสังคมไทย ที่สั่งสมมานาน
    วัฒนธรรมรับน้องที่ขาดจรรยาบรรณ สร้างเงื่อนไขของการยอมรับผ่านความรุนแรง อวดอำนาจเหนือผู้อื่น

    🧠 คำถามที่ต้องถามคือ...

    👉 วัฒนธรรมที่ต้องมีคนตาย ถึงจะได้รับการยอมรับ เราจะยังเรียกมันว่า “วัฒนธรรม” ได้อีกหรือ?

    🟣 บทสรุป ความยุติธรรม และภารกิจต่อไปของสังคม คดีนี้ไม่เพียงปิดฉากด้วย “คำสั่งประหารชีวิต” แต่มันคือเสียงร้องของสังคมที่ว่า…

    🔊 ถึงเวลา “ล้มล้างวัฒนธรรมพิการ”
    🔊 ถึงเวลาทบทวนระบบสถาบัน ที่หล่อหลอมความรุนแรงให้เป็นเรื่องปกติ
    🔊 ถึงเวลาสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281803 มี.ค. 2568

    📢 #จุดจบวัฒนธรรมพิการ #คดีครูเจี๊ยบ #น้องหยอดอุเทน #อนาวินแก้วเก็บ #ประหารชีวิต #อาชญากรรมไทย #ยิงกลางกรุง #รับน้องผิดๆ #ยุติธรรมไทย #ตำรวจไทยไล่ล่า
    จุดจบวัฒนธรรมพิการ ศาลสั่งประหาร! “อั้ม-อนาวิน แก้วเก็บ” มือยิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ✍️ จากวัฒนธรรมรับน้องผิดเพี้ยน สู่บทสรุปคดีสะเทือนขวัญ วัยรุ่นไทยควรได้บทเรียนอะไร จากโศกนาฏกรรมนี้? ศาลสั่งประหาร “อั้ม-อนาวิน” คดียิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” สะเทือนใจทั้งประเทศ จุดจบวัฒนธรรมพิการต้องจบที่รุ่นเรา เหยื่อบริสุทธิ์จากวัฒนธรรมรับน้องผิดๆ จุดเริ่มต้นของการล้มล้างความรุนแรง แฝงในระบบการศึกษาไทย 🔵 ความสูญเสียที่ต้องไม่สูญเปล่า วันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นวันที่หลายคนจดจำ เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาชั้นต้นให้ “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อั้ม” มือยิงผู้บริสุทธิ์สองราย ได้แก่ “ครูเจี๊ยบ” และ “น้องหยอด” จากเหตุการณ์เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2566 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “คดีฆาตกรรม” แต่สะท้อนปัญหาฝังลึกในสังคม คือ “วัฒนธรรมรับน้องอันรุนแรง” ที่ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และส่งต่อกันมาโดยไร้การตรวจสอบ ❌ 🔴 “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวันกลับมา คดีเริ่มต้นจากความตั้งใจของกลุ่มอดีตเด็กช่าง ที่ต้องการ “สร้างผลงาน” เพื่อไปอวดในวันรับน้องของสถาบันแห่งหนึ่ง โดยนายอนาวิน วางแผนมาก่อนแล้วว่า จะก่อเหตุในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันก่อนวันรับน้อง 1 วัน 📍 สถานที่เกิดเหตุ หน้าธนาคาร TTB สาขาคลองเตย ใจกลางกรุงเทพฯ 🔫 เหยื่อ - นางสาวศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนเวนต์ - นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย การยิงเกิดจาก “กระสุนพลาดเป้า” ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะยิงน้องหยอด แต่กลับทำให้ครูเจี๊ยบเสียชีวิตทันที 😢 🟠 บทเรียนจากการล่า 24 ผู้ต้องหา ปฏิบัติการ “ปิดเมือง” หลังเกิดเหตุ ตำรวจเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ “ปิดเมืองล่ามือยิง” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่าจะจับตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คนจาก 26 หมายจับ 💣 🔍 ตรวจสอบกล้องวงจรกว่า 1,000 ตัว 🚔 ปิดล้อม 14 จุดทั่วกรุงและปริมณฑล 🔫 ตรวจสอบกลุ่มแชตลับ 103 คน มีแผนฆ่า มีระบบดูแลคนใน 📱 ใช้ไลน์กลุ่มลับ 84 คน วางแผนคล้าย "องค์กรอาชญากรรม" หนึ่งในตำรวจสืบสวนเล่าว่า การไล่ล่าครั้งนี้ “ยิ่งกว่านิยายไล่ล่าตี๋ใหญ่” เพราะผู้ต้องหาหนีอย่างแนบเนียน เปลี่ยนสีรถ, เปลี่ยนทะเบียน, เปลี่ยนเสื้อผ้า, วางจุดลวงสับสนเจ้าหน้าที่ 🟡 จุดแตกหัก จับกุม “อั้ม-อนาวิน” บนดอยปุย 🎯 หลังไล่ล่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ตำรวจไล่ติดตามจนกระทั่งพบตัว “อนาวิน” พร้อม “กฤติ” เพื่อนร่วมขบวนการ ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันที่ 19 ธันวาคม 2566 👮‍♂️ ตำรวจคุกเข่าร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากตามล่ามา 1 เดือนเต็ม 🥹 🟢 ศาลตัดสิน “ประหารชีวิต” เพื่อยุติวัฏจักร วันที่ 28 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ล้านบาท 👉 ความผิดตามกฎหมาย - ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน - มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต - ยิงปืนในที่ชุมชน - สมคบก่ออาชญากรรม 🔵 วัฒนธรรมรับน้อง = จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม จากการสอบปากคำ “อั้ม-อนาวิน” ยอมรับว่า ต้องการสร้าง “ผลงาน” เพื่อเอาไปโชว์ในวันรับน้อง ซึ่งมาจากการปลูกฝังของรุ่นพี่ 💣 พร้อมมีการพูดคุยผ่านไลน์กลุ่มลับว่า “ใครฆ่าอริได้ จะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม” “ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก... ที่พาน้องไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกล” นี่คือคำพูดในแชตลับที่ชวนให้ขนลุก 😨 มันไม่ใช่แค่ “การแกล้ง” หรือ “กิจกรรมรุ่นพี่-รุ่นน้อง” อีกต่อไป แต่เป็นการหล่อหลอมความรุนแรง 🔴 จุดจบของ “วัฒนธรรมพิการ” ต้องจบที่รุ่นเรา คดีนี้เป็น ภาพสะท้อนของปัญหาสังคมไทย ที่สั่งสมมานาน วัฒนธรรมรับน้องที่ขาดจรรยาบรรณ สร้างเงื่อนไขของการยอมรับผ่านความรุนแรง อวดอำนาจเหนือผู้อื่น 🧠 คำถามที่ต้องถามคือ... 👉 วัฒนธรรมที่ต้องมีคนตาย ถึงจะได้รับการยอมรับ เราจะยังเรียกมันว่า “วัฒนธรรม” ได้อีกหรือ? 🟣 บทสรุป ความยุติธรรม และภารกิจต่อไปของสังคม คดีนี้ไม่เพียงปิดฉากด้วย “คำสั่งประหารชีวิต” แต่มันคือเสียงร้องของสังคมที่ว่า… 🔊 ถึงเวลา “ล้มล้างวัฒนธรรมพิการ” 🔊 ถึงเวลาทบทวนระบบสถาบัน ที่หล่อหลอมความรุนแรงให้เป็นเรื่องปกติ 🔊 ถึงเวลาสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281803 มี.ค. 2568 📢 #จุดจบวัฒนธรรมพิการ #คดีครูเจี๊ยบ #น้องหยอดอุเทน #อนาวินแก้วเก็บ #ประหารชีวิต #อาชญากรรมไทย #ยิงกลางกรุง #รับน้องผิดๆ #ยุติธรรมไทย #ตำรวจไทยไล่ล่า
    0 Comments 0 Shares 396 Views 0 Reviews
  • ปัจจุบัน **ยังไม่มีวิธีการพยากรณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำและถูกต้อง 100%** ในทางวิทยาศาสตร์ แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ซับซ้อน และยังไม่มีเทคโนโลยีหรือวิธีการใดที่สามารถทำนายเวลา สถานที่ และขนาดของแผ่นดินไหวได้อย่างแน่นอน

    ### **เหตุผลที่การพยากรณ์แผ่นดินไหวยังทำได้ยาก**
    1. **กระบวนการเกิดแผ่นดินไหวซับซ้อน**
    - แผ่นดินไหวเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกอย่างฉับพลัน ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเค้น (stress) การสะสมพลังงาน และความเสียดทานระหว่างหิน
    - การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นใต้ดินลึก ทำให้ติดตามและวัดได้ยาก

    2. **ขาดข้อมูลที่เพียงพอ**
    - แม้จะมีเครือข่ายเซ็นเซอร์วัดแผ่นดินไหว (seismometers) และระบบ GPS ติดตามการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก แต่ข้อมูลเหล่านี้มักบอกได้เพียง **"ความเสี่ยง"** ของพื้นที่ ไม่ใช่เวลาที่แน่นอน

    3. **ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจน**
    - บางครั้งอาจพบสัญญาณก่อนเกิดแผ่นดินไหว เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน หรือการเกิดแผ่นดินไหวเล็กๆ (foreshocks) แต่ก็ไม่เสมอไป และมักไม่สามารถยืนยันได้จนกว่าแผ่นดินไหวใหญ่จะเกิดขึ้น

    ### **ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในการเตือนภัยแผ่นดินไหว**
    แม้จะไม่สามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้า แต่มีระบบที่ช่วย **เตือนภัยก่อนเกิดแผ่นดินไหว (Early Warning System)** เช่น:
    - **ระบบ ShakeAlert (สหรัฐฯ), ระบบ J-Alert (ญี่ปุ่น)**
    - ใช้คลื่นแผ่นดินไหวที่เดินทางเร็วกว่า (คลื่น P) เพื่อส่งสัญญาณเตือนก่อนที่คลื่นทำลาย (คลื่น S) จะมาถึง
    - ช่วยให้มีเวลาเตรียมตัว **เพียงไม่กี่วินาทีถึงนาที**

    - **การประเมินความเสี่ยงระยะยาว**
    - นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุ **พื้นที่เสี่ยงสูง** จากประวัติแผ่นดินไหวและรอยเลื่อนมีพลัง เช่น แถบวงแหวนไฟแปซิฟิก (Ring of Fire)

    ### **ข้อสรุป**
    - **ยังไม่มีการพยากรณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำ** ในแง่ของการบอกเวลาและขนาดได้ล่วงหน้า
    - **ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว (Early Warning)** สามารถช่วยลดความเสียหายได้บ้าง แต่ให้เวลาเตรียมตัวน้อยมาก
    - วิธีที่ดีที่สุดคือ **เตรียมความพร้อม** เช่น รู้จุดปลอดภัยในบ้าน มีชุดฉุกเฉิน และฝึกซ้อม应对แผ่นดินไหว

    หากมีข่าวเกี่ยวกับการทำนายแผ่นดินไหวที่อ้างว่าแม่นยำ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดี เพราะปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถทำได้อย่างแน่นอน!
    ปัจจุบัน **ยังไม่มีวิธีการพยากรณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำและถูกต้อง 100%** ในทางวิทยาศาสตร์ แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ซับซ้อน และยังไม่มีเทคโนโลยีหรือวิธีการใดที่สามารถทำนายเวลา สถานที่ และขนาดของแผ่นดินไหวได้อย่างแน่นอน ### **เหตุผลที่การพยากรณ์แผ่นดินไหวยังทำได้ยาก** 1. **กระบวนการเกิดแผ่นดินไหวซับซ้อน** - แผ่นดินไหวเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกอย่างฉับพลัน ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเค้น (stress) การสะสมพลังงาน และความเสียดทานระหว่างหิน - การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นใต้ดินลึก ทำให้ติดตามและวัดได้ยาก 2. **ขาดข้อมูลที่เพียงพอ** - แม้จะมีเครือข่ายเซ็นเซอร์วัดแผ่นดินไหว (seismometers) และระบบ GPS ติดตามการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก แต่ข้อมูลเหล่านี้มักบอกได้เพียง **"ความเสี่ยง"** ของพื้นที่ ไม่ใช่เวลาที่แน่นอน 3. **ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจน** - บางครั้งอาจพบสัญญาณก่อนเกิดแผ่นดินไหว เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน หรือการเกิดแผ่นดินไหวเล็กๆ (foreshocks) แต่ก็ไม่เสมอไป และมักไม่สามารถยืนยันได้จนกว่าแผ่นดินไหวใหญ่จะเกิดขึ้น ### **ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในการเตือนภัยแผ่นดินไหว** แม้จะไม่สามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้า แต่มีระบบที่ช่วย **เตือนภัยก่อนเกิดแผ่นดินไหว (Early Warning System)** เช่น: - **ระบบ ShakeAlert (สหรัฐฯ), ระบบ J-Alert (ญี่ปุ่น)** - ใช้คลื่นแผ่นดินไหวที่เดินทางเร็วกว่า (คลื่น P) เพื่อส่งสัญญาณเตือนก่อนที่คลื่นทำลาย (คลื่น S) จะมาถึง - ช่วยให้มีเวลาเตรียมตัว **เพียงไม่กี่วินาทีถึงนาที** - **การประเมินความเสี่ยงระยะยาว** - นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุ **พื้นที่เสี่ยงสูง** จากประวัติแผ่นดินไหวและรอยเลื่อนมีพลัง เช่น แถบวงแหวนไฟแปซิฟิก (Ring of Fire) ### **ข้อสรุป** - **ยังไม่มีการพยากรณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำ** ในแง่ของการบอกเวลาและขนาดได้ล่วงหน้า - **ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว (Early Warning)** สามารถช่วยลดความเสียหายได้บ้าง แต่ให้เวลาเตรียมตัวน้อยมาก - วิธีที่ดีที่สุดคือ **เตรียมความพร้อม** เช่น รู้จุดปลอดภัยในบ้าน มีชุดฉุกเฉิน และฝึกซ้อม应对แผ่นดินไหว หากมีข่าวเกี่ยวกับการทำนายแผ่นดินไหวที่อ้างว่าแม่นยำ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดี เพราะปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถทำได้อย่างแน่นอน!
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • Google Workspace อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ เช่น การใช้ Gemini เพื่อช่วยสรุปข้อมูลการประชุมและแนะนำขั้นตอนถัดไป การสร้างวิดีโอด้วย AI ที่มีเสียงบรรยายที่ปรับแต่งได้ รวมถึงการแปลข้อความใน Google Chat ที่ครอบคลุม 120 ภาษา ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    Gemini ใน Meets:
    - ฟีเจอร์ใหม่นี้ช่วยสรุปประเด็นสำคัญหลังการประชุม และแนะนำขั้นตอนถัดไปที่ควรดำเนินการ เช่น การมอบหมายงานให้สมาชิกในทีม รวมถึงอีเมลที่มีบทสรุปและบันทึกการประชุมแบบเต็มพร้อมลิงก์ไปยังช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง.

    การสร้างวิดีโอด้วย AI:
    - เครื่องมือ AI ของ Google สำหรับการสร้างวิดีโอ สามารถสร้างวิดีโอแบบครบวงจรได้จากคำสั่งเดียว พร้อมเพิ่มเสียงบรรยายที่สอดคล้องกับเนื้อหาในแต่ละฉาก ลดเวลาการตัดต่อวิดีโอ และทำให้เสียงดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น.

    การขยายความสามารถในการแปลข้อความ:
    - Google Chat รองรับการแปลมากกว่า 120 ภาษาโดยอัตโนมัติ ช่วยให้การสื่อสารในทีมที่มีความหลากหลายทางภาษาเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแปลภาษาภายนอก.

    https://www.zdnet.com/home-and-office/work-life/google-workspace-feature-drop-delivers-better-meetings-videos-translations/
    Google Workspace อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ เช่น การใช้ Gemini เพื่อช่วยสรุปข้อมูลการประชุมและแนะนำขั้นตอนถัดไป การสร้างวิดีโอด้วย AI ที่มีเสียงบรรยายที่ปรับแต่งได้ รวมถึงการแปลข้อความใน Google Chat ที่ครอบคลุม 120 ภาษา ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น Gemini ใน Meets: - ฟีเจอร์ใหม่นี้ช่วยสรุปประเด็นสำคัญหลังการประชุม และแนะนำขั้นตอนถัดไปที่ควรดำเนินการ เช่น การมอบหมายงานให้สมาชิกในทีม รวมถึงอีเมลที่มีบทสรุปและบันทึกการประชุมแบบเต็มพร้อมลิงก์ไปยังช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง. การสร้างวิดีโอด้วย AI: - เครื่องมือ AI ของ Google สำหรับการสร้างวิดีโอ สามารถสร้างวิดีโอแบบครบวงจรได้จากคำสั่งเดียว พร้อมเพิ่มเสียงบรรยายที่สอดคล้องกับเนื้อหาในแต่ละฉาก ลดเวลาการตัดต่อวิดีโอ และทำให้เสียงดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น. การขยายความสามารถในการแปลข้อความ: - Google Chat รองรับการแปลมากกว่า 120 ภาษาโดยอัตโนมัติ ช่วยให้การสื่อสารในทีมที่มีความหลากหลายทางภาษาเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแปลภาษาภายนอก. https://www.zdnet.com/home-and-office/work-life/google-workspace-feature-drop-delivers-better-meetings-videos-translations/
    WWW.ZDNET.COM
    Google Workspace 'Feature Drop' delivers better meetings, videos, translations
    After a meeting, Gemini now automatically suggests your next steps. Video generation and chat translation also receive AI enhancements.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ศึกษาการได้สมาธิที่มีสัญญาในนิพพาน
    สัทธรรมลำดับที่ : 943
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=943
    ชื่อบทธรรม :- สมาธิที่เป็นอสังขตมนสิการ
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สมาธิที่เป็นอสังขตมนสิการ
    [ต่อไปนี้เป็นคำตอบของพระสารีบุตรต่อคำถามของพระอานนท์
    ซึ่งถามอย่างเดียวกันกับที่ทูลถามพระพุทธเจ้า
    พระสารีบุตรก็ได้ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบ
    จนกระทั่งพระอานนท์สรรเสริญว่า พระศาสดาและสาวกมีคำกล่าวตรงกัน
    ทั้งโดยอรรถะและโดยพยัญชนะ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก.
    --แต่ในที่อื่นในคราวอื่น (ทสก.อ ๒๔/๑๐/๗-๘)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/10/?keywords=%E0%B9%97
    พระสารีบุตรได้ตอบคำถามของพระอานนท์
    ซึ่งอานนท์ซึ่งถามเรื่องเดียวกัน
    คือเรื่องสมาธิที่ไม่มีสัญญาในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ
    หากแต่ถามเว้นอารมณ์จำพวกสุดท้าย คือ
    สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ฟัง สิ่งที่ได้รู้สึก สิ่งที่ไม่รู้แจ้ง สิ่งที่ได้บรรลุ
    สิ่งที่ได้แสวงหา สิ่งที่ใจติดตาม เสียเท่านั้น,
    ซึ่งโดยหลักเกณฑ์นี้แล้ว ท่านควรจะตอบด้วยคำตอบเดียวกัน
    คือตอบว่าการได้สมาธิที่มีสัญญาในนิพพาน
    ดังบทว่า นั่นสงบระงับ นั่นประณีต ดังนี้เป็นต้น,
    แต่ท่านกลับไปตอบว่าได้แก่ การได้สมาธิที่มีสัญญาว่า
    #การดับไม่เหลือแห่งภพคือนิพพาน (ภวนิโรโธ นิพฺพานํ)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/11/?keywords=ภวนิโรโธ+นิพฺพานํ
    ซึ่งเป็นสัญญาที่เคยเกิดแก่ท่านซ้ำ ๆ กันไปไม่ขาดสายเหมือนเปลวไฟที่เกิดขึ้น
    ทยอยกันฉันนั้น อันเป็นการได้สมาธิที่ได้เมื่อท่านอาศัยอยู่ที่ป่าอันธวันใกล้เมืองสาวัตถี.

    (ขอให้ผู้ศึกษาสังเกตให้เห็นว่า คำตอบอย่างแรกโน้น
    บรรยายลักษณะของนิพพานในหลายแง่หลายมุม,
    ส่วนคำตอบในสูตรนี้
    ระบุแต่เพียงแง่เดียวประเด็นเดียว ว่าได้แก่ &​การดับไม่เหลือแห่งภพ.
    และขอให้เห็นลึกลงไปถึงว่า นิพพาน
    ไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ แต่ก็เป็นอารมณ์แห่งสัญญาได้เหมือนกัน
    สัญญาจึงเป็นสิ่งที่มีได้ทั้งในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือและในสิ่งที่มิได้เป็น.
    อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ กล่าวคือ ในพระนิพพานนั่นเอง.
    )​

    สรุปความว่า สัญญามีได้ทั้งในสิ่งที่เป็นสังขตะและอสังขตะ
    โดยลักษณะที่ตรงกันข้ามทีเดียว
    ].

    --“มีอยู่หรือหนอ พระเจ้าข้า ! การที่ภิกษุได้เฉพาะซึ่งสมาธิชนิดที่
    -ไม่กระทำในใจ
    ซึ่งจักษุ (และ) รูป
    ซึ่งโสตะ (และ) เสียง
    ซึ่งฆานะ (และ) กลิ่น
    ซึ่งชิวหา (และ) รส
    ซึ่งกาย (และ) โผฏฐัพพะ
    ไม่กระทำในใจ
    ซึ่งดิน ซึ่งน้ำ ซึ่งไฟ ซึ่งลม
    -ไม่กระทำในใจ
    ซึ่งอากาสานัญจายตนะ
    ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ
    ซึ่งอากิญจัญญายตน
    ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ
    -ไม่กระทำในใจ
    ซึ่งโลกนี้ ซึ่งโลกอื่น
    -ไม่กระทำในใจแม้สิ่งซึ่ง
    ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหา ได้ติดตามด้วยใจ นั้น ๆ
    แม้กระนั้นก็ยังกระทำในใจอยู่ ?”
    --อานนท์ ! การที่ภิกษุได้สมาธิชนิดที่เธอถามนั้น มีอยู่.
    --“มีอยู่อย่างไร พระเจ้าข้า !”
    --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อม กระทำในใจอย่างนี้ว่า
    “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
    เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย
    เป็นความดับ เป็นนิพพาน”*--๑
    ดังนี้.
    --อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า การที่ภิกษุได้เฉพาะซึ่งสมาธิชนิดที่
    -ไม่กระทำในใจ ซึ่งจักษุ (และ) รูป ซึ่งโสตะ (และ) เสียง ซึ่งฆานะ (และ)
    กลิ่น ซึ่งชิวหา (และ) รส ซึ่งกาย (และ) โผฏฐัพพะ
    -ไม่กระทำในใจซึ่งดิน ซึ่งน้ำ ซึ่งไฟ ซึ่งลม
    -ไม่กระทำในใจซึ่งอากาสานัญจายตนะ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ
    ซึ่งอากิญจัญญายตนะ ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ
    -ไม่กระทำในใจ ซึ่งโลกนี้ ซึ่งโลกอื่น
    -ไม่กระทำในใจแม้สิ่งซึ่งได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ
    ได้แสวงหา ได้ติดตามด้วยใจ นั้นๆ เลย ;
    แต่ก็ยังมีการกระทำในใจอยู่.-

    *--๑.บาลีว่า
    “เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ
    ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค
    ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานนฺติ”.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/344/?keywords=นิพฺพานนฺติ

    #สัมมาสมาธิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/346/215.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/297/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๖/๒๑๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/346/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=943
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=80&id=943
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=80
    ลำดับสาธยายธรรม : 80 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_80.mp3
    อริยสาวก​พึง​ศึกษาการได้สมาธิที่มีสัญญาในนิพพาน สัทธรรมลำดับที่ : 943 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=943 ชื่อบทธรรม :- สมาธิที่เป็นอสังขตมนสิการ เนื้อความทั้งหมด :- --สมาธิที่เป็นอสังขตมนสิการ [ต่อไปนี้เป็นคำตอบของพระสารีบุตรต่อคำถามของพระอานนท์ ซึ่งถามอย่างเดียวกันกับที่ทูลถามพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็ได้ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบ จนกระทั่งพระอานนท์สรรเสริญว่า พระศาสดาและสาวกมีคำกล่าวตรงกัน ทั้งโดยอรรถะและโดยพยัญชนะ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก. --แต่ในที่อื่นในคราวอื่น (ทสก.อ ๒๔/๑๐/๗-๘) http://etipitaka.com/read/pali/24/10/?keywords=%E0%B9%97 พระสารีบุตรได้ตอบคำถามของพระอานนท์ ซึ่งอานนท์ซึ่งถามเรื่องเดียวกัน คือเรื่องสมาธิที่ไม่มีสัญญาในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ หากแต่ถามเว้นอารมณ์จำพวกสุดท้าย คือ สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ฟัง สิ่งที่ได้รู้สึก สิ่งที่ไม่รู้แจ้ง สิ่งที่ได้บรรลุ สิ่งที่ได้แสวงหา สิ่งที่ใจติดตาม เสียเท่านั้น, ซึ่งโดยหลักเกณฑ์นี้แล้ว ท่านควรจะตอบด้วยคำตอบเดียวกัน คือตอบว่าการได้สมาธิที่มีสัญญาในนิพพาน ดังบทว่า นั่นสงบระงับ นั่นประณีต ดังนี้เป็นต้น, แต่ท่านกลับไปตอบว่าได้แก่ การได้สมาธิที่มีสัญญาว่า #การดับไม่เหลือแห่งภพคือนิพพาน (ภวนิโรโธ นิพฺพานํ) http://etipitaka.com/read/pali/24/11/?keywords=ภวนิโรโธ+นิพฺพานํ ซึ่งเป็นสัญญาที่เคยเกิดแก่ท่านซ้ำ ๆ กันไปไม่ขาดสายเหมือนเปลวไฟที่เกิดขึ้น ทยอยกันฉันนั้น อันเป็นการได้สมาธิที่ได้เมื่อท่านอาศัยอยู่ที่ป่าอันธวันใกล้เมืองสาวัตถี. (ขอให้ผู้ศึกษาสังเกตให้เห็นว่า คำตอบอย่างแรกโน้น บรรยายลักษณะของนิพพานในหลายแง่หลายมุม, ส่วนคำตอบในสูตรนี้ ระบุแต่เพียงแง่เดียวประเด็นเดียว ว่าได้แก่ &​การดับไม่เหลือแห่งภพ. และขอให้เห็นลึกลงไปถึงว่า นิพพาน ไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ แต่ก็เป็นอารมณ์แห่งสัญญาได้เหมือนกัน สัญญาจึงเป็นสิ่งที่มีได้ทั้งในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือและในสิ่งที่มิได้เป็น. อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ กล่าวคือ ในพระนิพพานนั่นเอง. )​ สรุปความว่า สัญญามีได้ทั้งในสิ่งที่เป็นสังขตะและอสังขตะ โดยลักษณะที่ตรงกันข้ามทีเดียว ]. --“มีอยู่หรือหนอ พระเจ้าข้า ! การที่ภิกษุได้เฉพาะซึ่งสมาธิชนิดที่ -ไม่กระทำในใจ ซึ่งจักษุ (และ) รูป ซึ่งโสตะ (และ) เสียง ซึ่งฆานะ (และ) กลิ่น ซึ่งชิวหา (และ) รส ซึ่งกาย (และ) โผฏฐัพพะ ไม่กระทำในใจ ซึ่งดิน ซึ่งน้ำ ซึ่งไฟ ซึ่งลม -ไม่กระทำในใจ ซึ่งอากาสานัญจายตนะ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ ซึ่งอากิญจัญญายตน ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ -ไม่กระทำในใจ ซึ่งโลกนี้ ซึ่งโลกอื่น -ไม่กระทำในใจแม้สิ่งซึ่ง ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหา ได้ติดตามด้วยใจ นั้น ๆ แม้กระนั้นก็ยังกระทำในใจอยู่ ?” --อานนท์ ! การที่ภิกษุได้สมาธิชนิดที่เธอถามนั้น มีอยู่. --“มีอยู่อย่างไร พระเจ้าข้า !” --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อม กระทำในใจอย่างนี้ว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”*--๑ ดังนี้. --อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า การที่ภิกษุได้เฉพาะซึ่งสมาธิชนิดที่ -ไม่กระทำในใจ ซึ่งจักษุ (และ) รูป ซึ่งโสตะ (และ) เสียง ซึ่งฆานะ (และ) กลิ่น ซึ่งชิวหา (และ) รส ซึ่งกาย (และ) โผฏฐัพพะ -ไม่กระทำในใจซึ่งดิน ซึ่งน้ำ ซึ่งไฟ ซึ่งลม -ไม่กระทำในใจซึ่งอากาสานัญจายตนะ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ ซึ่งอากิญจัญญายตนะ ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ -ไม่กระทำในใจ ซึ่งโลกนี้ ซึ่งโลกอื่น -ไม่กระทำในใจแม้สิ่งซึ่งได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหา ได้ติดตามด้วยใจ นั้นๆ เลย ; แต่ก็ยังมีการกระทำในใจอยู่.- *--๑.บาลีว่า “เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานนฺติ”. http://etipitaka.com/read/pali/24/344/?keywords=นิพฺพานนฺติ #สัมมาสมาธิ​ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/346/215. http://etipitaka.com/read/thai/24/297/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๖/๒๑๕. http://etipitaka.com/read/pali/24/346/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=943 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=80&id=943 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=80 ลำดับสาธยายธรรม : 80 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_80.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ต่อไปนี้เป็นคำตอบของพระสารีบุตรต่อคำถามของพระอานนท์ ซึ่งถามอย่างเดียวกันกับที่ทูลถามพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็ได้ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบ จนกระทั่งพระอานนท์สรรเสริญว่า พระศาสดาและสาวกมีคำกล่าวตรงกัน ทั้งโดยอรรถะและโดยพยัญชนะ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก.
    -[ต่อไปนี้เป็นคำตอบของพระสารีบุตรต่อคำถามของพระอานนท์ ซึ่งถามอย่างเดียวกันกับที่ทูลถามพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็ได้ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบ จนกระทั่งพระอานนท์สรรเสริญว่า พระศาสดาและสาวกมีคำกล่าวตรงกัน ทั้งโดยอรรถะและโดยพยัญชนะ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก. แต่ในที่อื่นในคราวอื่น (ทสก.อ ๒๔/๑๐/๗) พระสารีบุตรได้ตอบคำถามของพระอานนท์ซึ่งอานนท์ซึ่งถามเรื่องเดียวกัน คือเรื่องสมาธิที่ไม่มีสัญญาในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ หากแต่ถามเว้นอารมณ์จำพวกสุดท้าย คือ สิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ฟัง สิ่งที่ได้รู้สึก สิ่งที่ไม่รู้แจ้ง สิ่งที่ได้ ๑. บาลีว่า “เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํ”. บรรลุ สิ่งที่ได้แสวงหา สิ่งที่ใจติดตาม เสียเท่านั้น, ซึ่งโดยหลักเกณฑ์นี้แล้ว ท่านควรจะตอบด้วยคำตอบเดียวกัน คือตอบว่าการได้สมาธิที่มีสัญญาในนิพพานดังบทว่า นั่นสงบระงับ นั่นประณีต ดังนี้เป็นต้น, แต่ท่านกลับไปตอบว่าได้แก่ การได้สมาธิที่มีสัญญาว่า การดับไม่เหลือแห่งภพคือนิพพาน (ภวนิโรโธ นิพฺพานํ) ซึ่งเป็นสัญญาที่เคยเกิดแก่ท่านซ้ำ ๆ กันไปไม่ขาดสายเหมือนเปลวไฟที่เกิดขึ้นทยอยกันฉันนั้น อันเป็นการได้สมาธิที่ได้เมื่อท่านอาศัยอยู่ที่ป่าอันธวันใกล้เมืองสาวัตถี. ขอให้ผู้ศึกษาสังเกตให้เห็นว่า คำตอบอย่างแรกโน้น บรรยายลักษณะของนิพพานในหลายแง่หลายมุม, ส่วนคำตอบในสูตรนี้ ระบุแต่เพียงแง่เดียวประเด็นเดียว ว่าได้แก่การดับไม่เหลือแห่งภพ. และขอให้เห็นลึกลงไปถึงว่า นิพพาน ไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ แต่ก็เป็นอารมณ์แห่งสัญญาได้เหมือนกัน สัญญาจึงเป็นสิ่งที่มีได้ทั้งในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือและในสิ่งที่มิได้เป็นอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ กล่าวคือ ในพระนิพพานนั่นเอง. สรุปความว่า สัญญามีได้ทั้งในสิ่งที่เป็นสังขตะและอสังขตะ โดยลักษณะที่ตรงกันข้ามทีเดียว]. สมาธิที่เป็นอสังขตมนสิการ “มีอยู่หรือหนอ พระเจ้าข้า ! การที่ภิกษุได้เฉพาะซึ่งสมาธิชนิดที่ไม่กระทำในใจซึ่งจักษุ (และ) รูป ซึ่งโสตะ (และ) เสียง ซึ่งฆานะ (และ) กลิ่น ซึ่งชิวหา (และ) รสซึ่งกาย (และ) โผฏฐัพพะ ไม่กระทำในใจซึ่งดิน ซึ่งน้ำ ซึ่งไฟ ซึ่งลม ไม่กระทำในใจซึ่งอากาสานัญจายตนะ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ ซึ่งอากิญจัญญายตน ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่กระทำในใจซึ่งโลกนี้ ซึ่งโลกอื่น ไม่กระทำในใจแม้สิ่งซึ่งได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหา ได้ติดตามด้วยใจ นั้น ๆ แม้กระนั้นก็ยังกระทำในใจอยู่ ?” อานนท์ ! การที่ภิกษุได้สมาธิชนิดที่เธอถามนั้น มีอยู่. “มีอยู่อย่างไร พระเจ้าข้า !” อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อม กระทำในใจอย่างนี้ว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”๑ ดังนี้. อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า การที่ภิกษุได้เฉพาะซึ่งสมาธิชนิดที่ไม่ กระทำในใจ ซึ่งจักษุ (และ) รูป ซึ่งโสตะ (และ) เสียง ซึ่งฆานะ (และ) กลิ่น ซึ่งชิวหา (และ) รส ซึ่งกาย (และ) โผฏฐัพพะ ไม่กระทำในใจซึ่งดิน ซึ่งน้ำ ซึ่งไฟ ซึ่งลม ไม่กระทำในใจซึ่งอากาสานัญจายตนะ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ ซึ่งอากิญจัญญายตนะ ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่กระทำในใจ ซึ่งโลกนี้ ซึ่งโลกอื่น ไม่กระทำในใจแม้สิ่งซึ่งได้เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหา ได้ติดตามด้วยใจ นั้นๆ เลย ; แต่ก็ยังมีการกระทำในใจอยู่.
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • สืบเนื่องจากมีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนเกี่ยวกับวลีจีนที่มาจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ วันนี้ Storyฯ จะมาคุยเกี่ยวกับคำพังเพยที่หลายท่านต้องร้อง “อ๋อ!” ซึ่งก็คือ ‘แมวป่าสับเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาท’ (หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ / 狸猫换太子) หรือที่แฟนคลับเปาบุ้นจิ้นต้องเคยได้ยินชื่อตอน ‘คดีสับเปลี่ยนพระโอรส’

    เป็นคำพังเพยที่ไม่ได้มาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่เป็นการอ้างอิงเรื่องเล่าที่มีตัวละครจากประวัติศาสตร์ แรกเริ่มเป็นละครงิ้วในสมัยราชวงศ์หยวน ต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของนวนิยาย <สามผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม> (ซ้านเสียอู่อี้ / 三俠五義) ที่ประพันธ์ขึ้นโดยสืออวี้คุ้น ในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนอิงประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่งเดินเรื่องโดยเปาบุ้นจิ้น และต่อมาถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์หลายครั้ง

    ในเนื้อความเดิมจาก <สามผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม> นั้น กล่าวถึงพระนางหลิวเอ๋อ ซึ่งก็คือพระอัครมเหสีในองค์ซ่งเจินจง และต่อมาเป็นไทเฮาและผู้สำเร็จราชการแทนองค์ซ่งเหรินจงเป็นเวลาเก้าปี (ค.ศ. 1022–1031) โดยเล่าว่าพระนางหลิวเอ๋อริษยาพระชายาหลี่เฉินที่ได้ความรักจากองค์ซ่งเจินจง และต้องการรักษาราชอำนาจแต่แท้งลูก จึงเอาศพแมวป่าถลกหนังออกสลับไปเป็นลูกของพระชายาหลี่ที่เพิ่งคลอดออกมา แล้วสลับเอาลูกของพระชายาหลี่มาเป็นลูกของตนเพื่อว่าเด็กจะได้เป็นองค์ชายรัชทายาทและขึ้นครองราชย์ต่อไป ส่วนพระชายาหลี่เฉินนั้นก็ถูกจองจำในตำหนักเย็นเพราะคลอดลูกออกมาเป็นสัตว์ประหลาด ต่อมาเปาบุ้นจิ้นสืบสวนจนปรากฏข้อเท็จจริง (ขออภัยที่ไม่ใช้ราชาศัพท์)

    แต่ในละครเรื่อง <จอมนางแห่งวังหลัง> ได้มีการนำเสนออีกในแง่มุม ว่าเรื่องราวการสลับองค์ชายเป็นแผนขององค์ฮ่องเต้ซ่งเจินจงเพื่อไม่ให้ราชอำนาจในราชสำนักสั่นคลอน เรียกได้ว่าลบภาพลักษณ์ตัวร้ายของพระนางหลิวเอ๋อออกไปได้ รายละเอียดความเป็นมาเป็นอย่างไร ติดตามดูกันได้ในละครเรื่องนี้

    มีคนเคยวิเคราะห์แล้วว่า ‘แมวป่าสับเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาท’ เป็นเรื่องที่มีความขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หลายประเด็น เช่นว่า
    – ตอนที่องค์ซ่งเหรินจงสืบหาความจริงเกี่ยวกับแม่แท้ๆ นั้น เปาบุ้นจิ้นยังไม่เข้ารับราชการ
    – พระนางหลิวเอ๋อไม่จำเป็นต้องสลับลูกเพราะนางเองในตอนนั้นมีฐานอำนาจที่มั่นคงมากแล้ว อีกทั้งนางพบรักกับองค์ซ่งเจินจงมานานก่อนหน้านั้น และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระชายาหลี่เฉินมากกว่า
    – พระนางหลิวเอ๋อจัดงานศพพระชายาหลี่เฉินให้ตามพิธีการของอัครมเหสี ไม่ใช่ชายาทั่วไป

    เรื่องราวที่แท้จริงตามประวัติศาสตร์เป็นอย่างไรไม่ทราบได้ แต่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าพระนางหลิวเอ๋อใช้พระราชอำนาจในการบริหารบ้านเมืองได้ดี เป็นอีกหนึ่งสตรีเหล็กแห่งประวัติศาสตร์จีน และเรื่องสับเปลี่ยนพระโอรสนี้กลายเป็นนิทานปรำปราและเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า ‘แมวป่าสับเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาท’ หรือ ‘หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ’

    ในวลี ‘หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ’ นี้ Storyฯ แปลคำว่า ‘หลีเม้า’ เป็นแมวป่า แต่จริงๆ แล้วมันหน้าตาเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ เพราะบ้างบรรยายว่ามันเป็นแมวลายดาว (Leopard Cat) และบ้างว่ามันเป็นแมวชะมด (Civet Cat) หน้าตาต่างกันค่อนข้างมาก เลยแปะรูปมาให้ดูเป็นการเปรียบเทียบ

    เล่ามาเสียยืดยาว สรุป ‘หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ’ หมายถึงอะไร? เป็นคำพังเพยที่หมายความว่า เอาของปลอมมาสลับเปลี่ยนแทนของจริง หรือที่บ้านเราอาจเรียกว่า ‘ย้อมแมวขาย’ นั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=efb5598dede9bd9a810a7272
    https://www.163.com/dy/article/G72T9QTQ05179OJ2.html
    http://www.china.org.cn/english/scitech/67652.htm
    https://felids.wordpress.com/2011/12/14/cats-in-china-leopard-cat/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.baike.com/wikiid/8060072274706103379?from=wiki_content&prd=innerlink&view_id=4mgrmib6ruo000
    http://k.sina.com.cn/article_5863047530_15d77016a00100jl1w.html?from=history#/
    https://new.qq.com/rain/a/20211209A08QHG00

    #จอมนางแห่งวังหลัง #หลิวเอ๋อ #สับเปลี่ยนพระโอรส #เปาบุ้นจิ้น #หลีเม้า #แมวป่าจีน #หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ
    สืบเนื่องจากมีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนเกี่ยวกับวลีจีนที่มาจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ วันนี้ Storyฯ จะมาคุยเกี่ยวกับคำพังเพยที่หลายท่านต้องร้อง “อ๋อ!” ซึ่งก็คือ ‘แมวป่าสับเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาท’ (หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ / 狸猫换太子) หรือที่แฟนคลับเปาบุ้นจิ้นต้องเคยได้ยินชื่อตอน ‘คดีสับเปลี่ยนพระโอรส’ เป็นคำพังเพยที่ไม่ได้มาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่เป็นการอ้างอิงเรื่องเล่าที่มีตัวละครจากประวัติศาสตร์ แรกเริ่มเป็นละครงิ้วในสมัยราชวงศ์หยวน ต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของนวนิยาย <สามผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม> (ซ้านเสียอู่อี้ / 三俠五義) ที่ประพันธ์ขึ้นโดยสืออวี้คุ้น ในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนอิงประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่งเดินเรื่องโดยเปาบุ้นจิ้น และต่อมาถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์หลายครั้ง ในเนื้อความเดิมจาก <สามผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม> นั้น กล่าวถึงพระนางหลิวเอ๋อ ซึ่งก็คือพระอัครมเหสีในองค์ซ่งเจินจง และต่อมาเป็นไทเฮาและผู้สำเร็จราชการแทนองค์ซ่งเหรินจงเป็นเวลาเก้าปี (ค.ศ. 1022–1031) โดยเล่าว่าพระนางหลิวเอ๋อริษยาพระชายาหลี่เฉินที่ได้ความรักจากองค์ซ่งเจินจง และต้องการรักษาราชอำนาจแต่แท้งลูก จึงเอาศพแมวป่าถลกหนังออกสลับไปเป็นลูกของพระชายาหลี่ที่เพิ่งคลอดออกมา แล้วสลับเอาลูกของพระชายาหลี่มาเป็นลูกของตนเพื่อว่าเด็กจะได้เป็นองค์ชายรัชทายาทและขึ้นครองราชย์ต่อไป ส่วนพระชายาหลี่เฉินนั้นก็ถูกจองจำในตำหนักเย็นเพราะคลอดลูกออกมาเป็นสัตว์ประหลาด ต่อมาเปาบุ้นจิ้นสืบสวนจนปรากฏข้อเท็จจริง (ขออภัยที่ไม่ใช้ราชาศัพท์) แต่ในละครเรื่อง <จอมนางแห่งวังหลัง> ได้มีการนำเสนออีกในแง่มุม ว่าเรื่องราวการสลับองค์ชายเป็นแผนขององค์ฮ่องเต้ซ่งเจินจงเพื่อไม่ให้ราชอำนาจในราชสำนักสั่นคลอน เรียกได้ว่าลบภาพลักษณ์ตัวร้ายของพระนางหลิวเอ๋อออกไปได้ รายละเอียดความเป็นมาเป็นอย่างไร ติดตามดูกันได้ในละครเรื่องนี้ มีคนเคยวิเคราะห์แล้วว่า ‘แมวป่าสับเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาท’ เป็นเรื่องที่มีความขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หลายประเด็น เช่นว่า – ตอนที่องค์ซ่งเหรินจงสืบหาความจริงเกี่ยวกับแม่แท้ๆ นั้น เปาบุ้นจิ้นยังไม่เข้ารับราชการ – พระนางหลิวเอ๋อไม่จำเป็นต้องสลับลูกเพราะนางเองในตอนนั้นมีฐานอำนาจที่มั่นคงมากแล้ว อีกทั้งนางพบรักกับองค์ซ่งเจินจงมานานก่อนหน้านั้น และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระชายาหลี่เฉินมากกว่า – พระนางหลิวเอ๋อจัดงานศพพระชายาหลี่เฉินให้ตามพิธีการของอัครมเหสี ไม่ใช่ชายาทั่วไป เรื่องราวที่แท้จริงตามประวัติศาสตร์เป็นอย่างไรไม่ทราบได้ แต่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าพระนางหลิวเอ๋อใช้พระราชอำนาจในการบริหารบ้านเมืองได้ดี เป็นอีกหนึ่งสตรีเหล็กแห่งประวัติศาสตร์จีน และเรื่องสับเปลี่ยนพระโอรสนี้กลายเป็นนิทานปรำปราและเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า ‘แมวป่าสับเปลี่ยนองค์ชายรัชทายาท’ หรือ ‘หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ’ ในวลี ‘หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ’ นี้ Storyฯ แปลคำว่า ‘หลีเม้า’ เป็นแมวป่า แต่จริงๆ แล้วมันหน้าตาเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่แน่ใจ เพราะบ้างบรรยายว่ามันเป็นแมวลายดาว (Leopard Cat) และบ้างว่ามันเป็นแมวชะมด (Civet Cat) หน้าตาต่างกันค่อนข้างมาก เลยแปะรูปมาให้ดูเป็นการเปรียบเทียบ เล่ามาเสียยืดยาว สรุป ‘หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ’ หมายถึงอะไร? เป็นคำพังเพยที่หมายความว่า เอาของปลอมมาสลับเปลี่ยนแทนของจริง หรือที่บ้านเราอาจเรียกว่า ‘ย้อมแมวขาย’ นั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=efb5598dede9bd9a810a7272 https://www.163.com/dy/article/G72T9QTQ05179OJ2.html http://www.china.org.cn/english/scitech/67652.htm https://felids.wordpress.com/2011/12/14/cats-in-china-leopard-cat/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.baike.com/wikiid/8060072274706103379?from=wiki_content&prd=innerlink&view_id=4mgrmib6ruo000 http://k.sina.com.cn/article_5863047530_15d77016a00100jl1w.html?from=history#/ https://new.qq.com/rain/a/20211209A08QHG00 #จอมนางแห่งวังหลัง #หลิวเอ๋อ #สับเปลี่ยนพระโอรส #เปาบุ้นจิ้น #หลีเม้า #แมวป่าจีน #หลีเม้าฮ่วนไท่จื่อ
    《大宋宫词》评分下滑惨烈,古装剧只有唯美画风是不够的_百科TA说
    百度百科是一部内容开放、自由的网络百科全书,旨在创造一个涵盖所有领域知识,服务所有互联网用户的中文知识性百科全书。在这里你可以参与词条编辑,分享贡献你的知识。
    1 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
More Results