• โรคอัลไซเมอร์อาจมีต้นตอมาจากเชื้อโรคในช่องปาก

    นักวิจัยได้เสนอสมมติฐานใหม่ที่น่าตกใจว่าโรคอัลไซเมอร์อาจไม่ใช่เพียงภาวะเสื่อมของสมองตามวัย แต่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ โดยพบว่ามีแบคทีเรีย Porphyromonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือกเรื้อรัง เข้าไปอยู่ในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เสียชีวิต การค้นพบนี้ทำให้เกิดแนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจและอาจนำไปสู่การรักษาในอนาคต

    จุดเริ่มต้นจากโรคเหงือก
    งานวิจัยจากทีมมหาวิทยาลัย Louisville พบว่าเชื้อ P. gingivalis สามารถแพร่จากช่องปากไปยังสมอง และกระตุ้นการสร้างโปรตีนอะไมลอยด์เบต้า (Aβ) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่สะสมในสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ การทดลองในหนูยืนยันว่าการติดเชื้อในช่องปากสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสมองได้จริง

    หลักฐานใหม่ที่ชี้ชัด
    นอกจากการพบเชื้อแล้ว นักวิจัยยังตรวจพบเอนไซม์พิษที่เรียกว่า gingipains ในสมองของผู้ป่วย ซึ่งสัมพันธ์กับโปรตีน tau และ ubiquitin ที่เป็นเครื่องหมายของโรคอัลไซเมอร์ ที่น่าสนใจคือพบเอนไซม์เหล่านี้แม้ในสมองของผู้ที่ยังไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ แสดงว่าอาจเป็น “สัญญาณเริ่มต้น” ของโรคก่อนที่อาการจะปรากฏ

    ความหวังและความท้าทาย
    บริษัทวิจัย Cortexyme ได้พัฒนายา COR388 ที่สามารถลดจำนวนเชื้อในสมองหนูและลดการอักเสบได้ แต่ยังต้องรอการทดลองเพิ่มเติมในมนุษย์ ปัจจุบันโรคอัลไซเมอร์ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในสหรัฐฯ และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญก็เปลี่ยนไปตามยุค เช่น จากการไม่ออกกำลังกายในอดีต กลายเป็น “โรคอ้วน” ที่เป็นตัวแปรหลักในปัจจุบัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์
    เชื้อ Porphyromonas gingivalis จากโรคเหงือกถูกพบในสมองผู้ป่วย
    การติดเชื้อในช่องปากอาจกระตุ้นการสร้างโปรตีน Aβ ที่เกี่ยวข้องกับโรค
    พบเอนไซม์ gingipains ที่สัมพันธ์กับโปรตีน tau และ ubiquitin

    แนวทางการรักษาใหม่
    ยา COR388 สามารถลดเชื้อและการอักเสบในสมองหนู
    ยังต้องมีการทดลองในมนุษย์เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ

    คำเตือนจากงานวิจัย
    โรคเหงือกเรื้อรังอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
    การละเลยสุขภาพช่องปากอาจเพิ่มโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมในระยะยาว

    https://www.sciencealert.com/the-cause-of-alzheimers-may-be-coming-from-within-your-mouth
    🧠 โรคอัลไซเมอร์อาจมีต้นตอมาจากเชื้อโรคในช่องปาก นักวิจัยได้เสนอสมมติฐานใหม่ที่น่าตกใจว่าโรคอัลไซเมอร์อาจไม่ใช่เพียงภาวะเสื่อมของสมองตามวัย แต่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ โดยพบว่ามีแบคทีเรีย Porphyromonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเหงือกเรื้อรัง เข้าไปอยู่ในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เสียชีวิต การค้นพบนี้ทำให้เกิดแนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจและอาจนำไปสู่การรักษาในอนาคต 🦷 จุดเริ่มต้นจากโรคเหงือก งานวิจัยจากทีมมหาวิทยาลัย Louisville พบว่าเชื้อ P. gingivalis สามารถแพร่จากช่องปากไปยังสมอง และกระตุ้นการสร้างโปรตีนอะไมลอยด์เบต้า (Aβ) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่สะสมในสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ การทดลองในหนูยืนยันว่าการติดเชื้อในช่องปากสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสมองได้จริง 🔬 หลักฐานใหม่ที่ชี้ชัด นอกจากการพบเชื้อแล้ว นักวิจัยยังตรวจพบเอนไซม์พิษที่เรียกว่า gingipains ในสมองของผู้ป่วย ซึ่งสัมพันธ์กับโปรตีน tau และ ubiquitin ที่เป็นเครื่องหมายของโรคอัลไซเมอร์ ที่น่าสนใจคือพบเอนไซม์เหล่านี้แม้ในสมองของผู้ที่ยังไม่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ แสดงว่าอาจเป็น “สัญญาณเริ่มต้น” ของโรคก่อนที่อาการจะปรากฏ ⚠️ ความหวังและความท้าทาย บริษัทวิจัย Cortexyme ได้พัฒนายา COR388 ที่สามารถลดจำนวนเชื้อในสมองหนูและลดการอักเสบได้ แต่ยังต้องรอการทดลองเพิ่มเติมในมนุษย์ ปัจจุบันโรคอัลไซเมอร์ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในสหรัฐฯ และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญก็เปลี่ยนไปตามยุค เช่น จากการไม่ออกกำลังกายในอดีต กลายเป็น “โรคอ้วน” ที่เป็นตัวแปรหลักในปัจจุบัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ ➡️ เชื้อ Porphyromonas gingivalis จากโรคเหงือกถูกพบในสมองผู้ป่วย ➡️ การติดเชื้อในช่องปากอาจกระตุ้นการสร้างโปรตีน Aβ ที่เกี่ยวข้องกับโรค ➡️ พบเอนไซม์ gingipains ที่สัมพันธ์กับโปรตีน tau และ ubiquitin ✅ แนวทางการรักษาใหม่ ➡️ ยา COR388 สามารถลดเชื้อและการอักเสบในสมองหนู ➡️ ยังต้องมีการทดลองในมนุษย์เพื่อยืนยันประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ โรคเหงือกเรื้อรังอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ ⛔ การละเลยสุขภาพช่องปากอาจเพิ่มโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมในระยะยาว https://www.sciencealert.com/the-cause-of-alzheimers-may-be-coming-from-within-your-mouth
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    The Cause of Alzheimer's May Be Coming From Within Your Mouth
    In recent years, an increasing number of scientific investigations have backed an alarming hypothesis: Alzheimer's disease may not be merely a condition of an aging brain, but the product of infection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดแคลอรี 30% อาจช่วยป้องกันสมองจากความเสื่อม

    งานวิจัยใหม่ในลิง rhesus พบว่า การลดแคลอรีลงประมาณ 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง โดยเฉพาะการปกป้อง myelin ซึ่งเป็นปลอกหุ้มเส้นใยประสาทที่สำคัญต่อการสื่อสารของสมอง

    รายละเอียดการศึกษา
    ทีมนักวิจัยจาก Boston University ศึกษาลิง rhesus จำนวน 24 ตัว ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารปกติและอาหารลดแคลอรีลง 30% เป็นเวลากว่า 20 ปี พบว่า สมองของลิงที่ลดแคลอรีมีการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้น และมีการปกป้องโครงสร้างสมองจากการเสื่อมตามวัย

    บทบาทของ Myelin
    งานวิจัยเน้นไปที่ myelin ซึ่งเป็นปลอกไขมันหุ้มเส้นใยประสาท ทำหน้าที่เร่งการส่งสัญญาณในสมอง เมื่ออายุมากขึ้น myelin มักเสื่อมสภาพและก่อให้เกิดการอักเสบ แต่ในลิงที่ลดแคลอรี ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานได้ดีกว่า ทำให้สมองยังคงมีประสิทธิภาพสูง

    ความหมายต่อมนุษย์
    แม้การทดลองนี้ทำในลิง แต่สมองของลิง rhesus มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ผลลัพธ์จึงบ่งชี้ว่า การลดแคลอรีในระยะยาวอาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมองในคนได้ และอาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s

    ข้อควรระวัง
    นักวิจัยย้ำว่าแม้การลดแคลอรีมีประโยชน์ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพสมอง เช่น คุณภาพการนอน และการเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ดังนั้นการดูแลสมองควรเป็นการผสมผสานหลายวิธี ไม่ใช่พึ่งพาการลดอาหารเพียงอย่างเดียว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การลดแคลอรีลง 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมองในลิง rhesus
    พบการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้นและโครงสร้างสมองแข็งแรงกว่า

    Myelin ได้รับการปกป้องมากขึ้นในกลุ่มที่ลดแคลอรี
    ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานมีประสิทธิภาพ

    ผลลัพธ์อาจมีความหมายต่อมนุษย์
    อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s

    การลดแคลอรีไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ดูแลสมองได้
    ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น การนอนหลับและการเรียนรู้

    https://www.sciencealert.com/cutting-calories-by-30-may-be-enough-to-shield-brain-against-aging
    🧠 ลดแคลอรี 30% อาจช่วยป้องกันสมองจากความเสื่อม งานวิจัยใหม่ในลิง rhesus พบว่า การลดแคลอรีลงประมาณ 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง โดยเฉพาะการปกป้อง myelin ซึ่งเป็นปลอกหุ้มเส้นใยประสาทที่สำคัญต่อการสื่อสารของสมอง 🔬 รายละเอียดการศึกษา ทีมนักวิจัยจาก Boston University ศึกษาลิง rhesus จำนวน 24 ตัว ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารปกติและอาหารลดแคลอรีลง 30% เป็นเวลากว่า 20 ปี พบว่า สมองของลิงที่ลดแคลอรีมีการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้น และมีการปกป้องโครงสร้างสมองจากการเสื่อมตามวัย 🧩 บทบาทของ Myelin งานวิจัยเน้นไปที่ myelin ซึ่งเป็นปลอกไขมันหุ้มเส้นใยประสาท ทำหน้าที่เร่งการส่งสัญญาณในสมอง เมื่ออายุมากขึ้น myelin มักเสื่อมสภาพและก่อให้เกิดการอักเสบ แต่ในลิงที่ลดแคลอรี ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานได้ดีกว่า ทำให้สมองยังคงมีประสิทธิภาพสูง 🌍 ความหมายต่อมนุษย์ แม้การทดลองนี้ทำในลิง แต่สมองของลิง rhesus มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ผลลัพธ์จึงบ่งชี้ว่า การลดแคลอรีในระยะยาวอาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมองในคนได้ และอาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s ⚖️ ข้อควรระวัง นักวิจัยย้ำว่าแม้การลดแคลอรีมีประโยชน์ แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพสมอง เช่น คุณภาพการนอน และการเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ดังนั้นการดูแลสมองควรเป็นการผสมผสานหลายวิธี ไม่ใช่พึ่งพาการลดอาหารเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การลดแคลอรีลง 30% ช่วยชะลอการเสื่อมของสมองในลิง rhesus ➡️ พบการสื่อสารของเซลล์ประสาทที่ดีขึ้นและโครงสร้างสมองแข็งแรงกว่า ✅ Myelin ได้รับการปกป้องมากขึ้นในกลุ่มที่ลดแคลอรี ➡️ ยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและซ่อมแซม myelin ทำงานมีประสิทธิภาพ ✅ ผลลัพธ์อาจมีความหมายต่อมนุษย์ ➡️ อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เช่น Alzheimer’s และ Parkinson’s ‼️ การลดแคลอรีไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ดูแลสมองได้ ⛔ ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น การนอนหลับและการเรียนรู้ https://www.sciencealert.com/cutting-calories-by-30-may-be-enough-to-shield-brain-against-aging
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Cutting Calories by 30% May Be Enough to Shield Brain Against Aging
    A calorie-restricted diet could slow down the aging that naturally happens in the brain as we get older, according to a new study of rhesus monkeys, and the findings could also be relevant to brain diseases such as Alzheimer's.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • FDA รับรองเครื่องมือ AI ตัวแรกเพื่อเร่งการพัฒนายารักษาโรคตับ

    องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ได้ประกาศรับรองเครื่องมือ AI ตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยแพทย์ประเมินโรคตับชนิดรุนแรงในกระบวนการทดลองยา เครื่องมือนี้มีชื่อว่า AIM-NASH ซึ่งทำงานบนระบบคลาวด์และใช้การวิเคราะห์ภาพชิ้นเนื้อตับ เพื่อประเมินสัญญาณของโรค เช่น การสะสมไขมัน, การอักเสบ และการเกิดพังผืด

    ปัจจุบันการประเมินโรคตับในผู้ป่วยที่เข้าร่วมการทดลองยามักต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหลายคนตรวจสอบชิ้นเนื้อด้วยตา ซึ่งใช้เวลานานและอาจมีความไม่สอดคล้องกัน AIM-NASH จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อ มาตรฐานการประเมินที่แม่นยำและรวดเร็วกว่า โดยผลลัพธ์จาก AI จะถูกส่งต่อให้แพทย์ตีความขั้นสุดท้าย

    โรคที่เครื่องมือนี้มุ่งเป้า คือ Metabolic dysfunction-associated steatohepatitis (MASH) ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรหลายล้านคนในสหรัฐฯ และอาจนำไปสู่ภาวะตับวายหรือมะเร็งตับได้ การใช้ AI ในการประเมินโรคนี้คาดว่าจะช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนายาใหม่ลงได้ถึงครึ่งหนึ่งภายใน 3–5 ปี

    การรับรองครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ FDA ยืนยันว่า AIM-NASH ให้ผลลัพธ์ที่ เทียบเคียงได้กับการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ และจะเปิดให้ใช้ในทุกโครงการพัฒนายาที่เกี่ยวข้องกับโรคตับในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เครื่องมือ AIM-NASH ได้รับการรับรองจาก FDA
    ใช้ AI วิเคราะห์ภาพชิ้นเนื้อตับเพื่อประเมินโรค
    ผลลัพธ์ถูกส่งต่อให้แพทย์ตีความขั้นสุดท้าย

    เป้าหมายการใช้งาน
    มุ่งช่วยเร่งการพัฒนายาสำหรับโรค MASH
    ลดเวลาและต้นทุนการทดลองยาลงได้มาก

    ความสำคัญของการรับรอง
    ผลลัพธ์จาก AIM-NASH เทียบเคียงได้กับผู้เชี่ยวชาญ
    เปิดให้ใช้ในทุกโครงการพัฒนายาที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    แม้ AI จะช่วยเร่งการประเมิน แต่ยังต้องอาศัยแพทย์ตีความขั้นสุดท้าย
    หากพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเสี่ยงต่อการวินิจฉัยผิดพลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/09/us-fda-qualifies-first-ai-tool-to-help-speed-liver-disease-drug-development
    🧪 FDA รับรองเครื่องมือ AI ตัวแรกเพื่อเร่งการพัฒนายารักษาโรคตับ องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ได้ประกาศรับรองเครื่องมือ AI ตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยแพทย์ประเมินโรคตับชนิดรุนแรงในกระบวนการทดลองยา เครื่องมือนี้มีชื่อว่า AIM-NASH ซึ่งทำงานบนระบบคลาวด์และใช้การวิเคราะห์ภาพชิ้นเนื้อตับ เพื่อประเมินสัญญาณของโรค เช่น การสะสมไขมัน, การอักเสบ และการเกิดพังผืด ปัจจุบันการประเมินโรคตับในผู้ป่วยที่เข้าร่วมการทดลองยามักต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหลายคนตรวจสอบชิ้นเนื้อด้วยตา ซึ่งใช้เวลานานและอาจมีความไม่สอดคล้องกัน AIM-NASH จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อ มาตรฐานการประเมินที่แม่นยำและรวดเร็วกว่า โดยผลลัพธ์จาก AI จะถูกส่งต่อให้แพทย์ตีความขั้นสุดท้าย โรคที่เครื่องมือนี้มุ่งเป้า คือ Metabolic dysfunction-associated steatohepatitis (MASH) ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรหลายล้านคนในสหรัฐฯ และอาจนำไปสู่ภาวะตับวายหรือมะเร็งตับได้ การใช้ AI ในการประเมินโรคนี้คาดว่าจะช่วยลดเวลาและต้นทุนในการพัฒนายาใหม่ลงได้ถึงครึ่งหนึ่งภายใน 3–5 ปี การรับรองครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ FDA ยืนยันว่า AIM-NASH ให้ผลลัพธ์ที่ เทียบเคียงได้กับการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ และจะเปิดให้ใช้ในทุกโครงการพัฒนายาที่เกี่ยวข้องกับโรคตับในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เครื่องมือ AIM-NASH ได้รับการรับรองจาก FDA ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์ภาพชิ้นเนื้อตับเพื่อประเมินโรค ➡️ ผลลัพธ์ถูกส่งต่อให้แพทย์ตีความขั้นสุดท้าย ✅ เป้าหมายการใช้งาน ➡️ มุ่งช่วยเร่งการพัฒนายาสำหรับโรค MASH ➡️ ลดเวลาและต้นทุนการทดลองยาลงได้มาก ✅ ความสำคัญของการรับรอง ➡️ ผลลัพธ์จาก AIM-NASH เทียบเคียงได้กับผู้เชี่ยวชาญ ➡️ เปิดให้ใช้ในทุกโครงการพัฒนายาที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ แม้ AI จะช่วยเร่งการประเมิน แต่ยังต้องอาศัยแพทย์ตีความขั้นสุดท้าย ⛔ หากพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเสี่ยงต่อการวินิจฉัยผิดพลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/09/us-fda-qualifies-first-ai-tool-to-help-speed-liver-disease-drug-development
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US FDA qualifies first AI tool to help speed liver disease drug development
    Dec 8 (Reuters) - The U.S. Food and Drug Administration has qualified the first artificial intelligence tool designed to help doctors assess a severe form of fatty liver disease in drug trials, the agency said on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมองเสียหายแบบ "Prion-Like" โดยไม่ต้องมี Prion ติดเชื้อ

    นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Alberta ได้เปิดเผยผลการทดลองใหม่ที่พลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมชนิด Prion disease โดยพบว่าอาการเสียหายของสมอง เช่น การเกิดรูพรุน (spongiform damage), การสะสมของ amyloid plaques และการเกิดแผลเป็นจากเซลล์ประสาท (astrogliosis) สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มี prion ที่ติดเชื้อ อยู่ในสมองเลย

    กลไกที่ค้นพบ
    ทีมวิจัยใช้หนูทดลองที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม โดยบางกลุ่มได้รับโปรตีน PrP ที่ผิดรูปแต่ไม่ติดเชื้อ และบางกลุ่มได้รับสาร lipopolysaccharide (LPS) ซึ่งเป็นสารพิษจากแบคทีเรีย ผลการทดลองพบว่า:
    หนูที่ได้รับ PrP ผิดรูปเพียงอย่างเดียวก็เกิดความเสียหายของสมองแบบ prion-like
    หนูที่ได้รับ LPS เพียงอย่างเดียวเกิด amyloid plaques และความเสียหายของสมอง พร้อมอัตราการตายสูงถึง 40%
    เมื่อรวม LPS กับ PrP ผิดรูป ความเสียหายยิ่งรุนแรงขึ้น แม้ไม่ถึงขั้นติดเชื้อ
    กลุ่มที่ได้รับ prion ติดเชื้อจริงร่วมกับ LPS เสียชีวิตทั้งหมดภายใน 200 วัน

    ความหมายต่อโรคสมองเสื่อม
    ผลการค้นพบนี้ชี้ว่า การอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้โปรตีนผิดรูปก่อความเสียหายต่อสมองได้ แม้ไม่กลายเป็น prion ที่ติดเชื้อจริง ๆ สิ่งนี้มีนัยสำคัญต่อโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ เช่น Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดรูปและการอักเสบในสมอง

    แนวทางใหม่ในการป้องกัน
    นักวิจัยเสนอว่า หากการอักเสบและสารพิษจากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ เราอาจลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ด้วยการควบคุมปัจจัยอักเสบ เช่น การออกกำลังกาย, อาหารต้านการอักเสบ, สุขภาพลำไส้ และการดูแลเมตาบอลิซึม ซึ่งอาจช่วยลดภาระของ endotoxin ในร่างกายและป้องกันการเกิดโรคได้ในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    สมองสามารถเกิดความเสียหายแบบ prion-like ได้แม้ไม่มี prion ติดเชื้อ

    กลไกที่เกี่ยวข้อง
    โปรตีน PrP ผิดรูปและสาร LPS จากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ

    ผลกระทบต่อโรคสมองเสื่อม
    การอักเสบอาจเป็นตัวกระตุ้นหลักใน Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS

    แนวทางป้องกัน
    การลดการอักเสบด้วยอาหาร ออกกำลังกาย และสุขภาพลำไส้

    ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
    การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม

    ความท้าทายในการรักษา
    ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ที่เน้นการควบคุมการอักเสบ ไม่ใช่แค่จัดการกับ prion

    https://www.sciencealert.com/prion-like-brain-damage-can-occur-without-infectious-prions-study-finds
    🧠 สมองเสียหายแบบ "Prion-Like" โดยไม่ต้องมี Prion ติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Alberta ได้เปิดเผยผลการทดลองใหม่ที่พลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมชนิด Prion disease โดยพบว่าอาการเสียหายของสมอง เช่น การเกิดรูพรุน (spongiform damage), การสะสมของ amyloid plaques และการเกิดแผลเป็นจากเซลล์ประสาท (astrogliosis) สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มี prion ที่ติดเชื้อ อยู่ในสมองเลย 🔬 กลไกที่ค้นพบ ทีมวิจัยใช้หนูทดลองที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม โดยบางกลุ่มได้รับโปรตีน PrP ที่ผิดรูปแต่ไม่ติดเชื้อ และบางกลุ่มได้รับสาร lipopolysaccharide (LPS) ซึ่งเป็นสารพิษจากแบคทีเรีย ผลการทดลองพบว่า: 💠 หนูที่ได้รับ PrP ผิดรูปเพียงอย่างเดียวก็เกิดความเสียหายของสมองแบบ prion-like 💠 หนูที่ได้รับ LPS เพียงอย่างเดียวเกิด amyloid plaques และความเสียหายของสมอง พร้อมอัตราการตายสูงถึง 40% 💠 เมื่อรวม LPS กับ PrP ผิดรูป ความเสียหายยิ่งรุนแรงขึ้น แม้ไม่ถึงขั้นติดเชื้อ 💠 กลุ่มที่ได้รับ prion ติดเชื้อจริงร่วมกับ LPS เสียชีวิตทั้งหมดภายใน 200 วัน ⚡ ความหมายต่อโรคสมองเสื่อม ผลการค้นพบนี้ชี้ว่า การอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้โปรตีนผิดรูปก่อความเสียหายต่อสมองได้ แม้ไม่กลายเป็น prion ที่ติดเชื้อจริง ๆ สิ่งนี้มีนัยสำคัญต่อโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ เช่น Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับโปรตีนผิดรูปและการอักเสบในสมอง 🌍 แนวทางใหม่ในการป้องกัน นักวิจัยเสนอว่า หากการอักเสบและสารพิษจากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ เราอาจลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ด้วยการควบคุมปัจจัยอักเสบ เช่น การออกกำลังกาย, อาหารต้านการอักเสบ, สุขภาพลำไส้ และการดูแลเมตาบอลิซึม ซึ่งอาจช่วยลดภาระของ endotoxin ในร่างกายและป้องกันการเกิดโรคได้ในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ สมองสามารถเกิดความเสียหายแบบ prion-like ได้แม้ไม่มี prion ติดเชื้อ ✅ กลไกที่เกี่ยวข้อง ➡️ โปรตีน PrP ผิดรูปและสาร LPS จากแบคทีเรียมีบทบาทสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อโรคสมองเสื่อม ➡️ การอักเสบอาจเป็นตัวกระตุ้นหลักใน Alzheimer’s, Parkinson’s และ ALS ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ การลดการอักเสบด้วยอาหาร ออกกำลังกาย และสุขภาพลำไส้ ‼️ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ⛔ การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม ‼️ ความท้าทายในการรักษา ⛔ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ที่เน้นการควบคุมการอักเสบ ไม่ใช่แค่จัดการกับ prion https://www.sciencealert.com/prion-like-brain-damage-can-occur-without-infectious-prions-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Prion-Like Brain Damage Can Occur Without Infectious Prions, Study Finds
    We may have been overestimating the role of a pathological class of misfolded protein in neurodegenerative disease.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลาที่อุจจาระอยู่ในร่างกายบอกสุขภาพได้
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนพบว่า คนที่มีการเคลื่อนผ่านของอุจจาระเร็ว (fast transit) และ ช้า (slow transit) มีความแตกต่างของจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างสารเมตาโบไลต์และสมดุลกรดในลำไส้ การเคลื่อนที่เร็วเกินไปอาจทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่เต็มที่ ขณะที่การเคลื่อนที่ช้าเกินไปอาจก่อให้เกิดการหมักและสารพิษสะสม

    ข้อมูลจากงานวิจัยสากล
    การศึกษาในวารสาร BMJ Gut ระบุว่า เวลาการเดินทางของอาหารทั้งระบบ (Whole Gut Transit Time) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ชั่วโมง แต่สามารถแตกต่างได้ตั้งแต่ 10–73 ชั่วโมง ขึ้นกับอาหาร อายุ และกิจกรรม คนที่มีเวลานานเกินไปมักเสี่ยงต่อโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS ส่วนคนที่เร็วเกินไปเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง

    ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
    งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า ผู้ป่วยพาร์กินสันมักเริ่มมีอาการท้องผูกนานหลายสิบปีก่อนโรคแสดงออกทางสมอง การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อการผลิตวิตามินบีและกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและการอักเสบ การดูแลสุขภาพลำไส้จึงอาจช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการของโรคได้

    ปัจจัยที่ปรับได้ในชีวิตประจำวัน
    นักโภชนาการแนะนำว่า การกินไฟเบอร์ 25–50 กรัมต่อวัน ดื่มน้ำ 2–3 ลิตร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยปรับเวลาเคลื่อนผ่านของอุจจาระให้อยู่ในระดับเหมาะสม นอกจากนี้การใช้โปรไบโอติกและการลดอาหารแปรรูปก็มีส่วนช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Gut Transit Time มีผลต่อสุขภาพโดยตรง
    ค่าเฉลี่ยในคนปกติ ~28 ชั่วโมง แต่มีความแปรผันสูง

    การเคลื่อนที่เร็วเกินไป
    เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง

    การเคลื่อนที่ช้าเกินไป
    เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS

    ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน
    การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อระบบประสาท

    การปรับพฤติกรรมช่วยได้
    เพิ่มไฟเบอร์ ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และใช้โปรไบโอติก

    สัญญาณเตือนจากระบบขับถ่าย
    ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง/เหลวผิดปกติ

    ความเสี่ยงจากการละเลยสุขภาพลำไส้
    อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เมตาบอลิกซินโดรม และโรคทางสมอง

    https://www.sciencealert.com/how-long-poop-stays-in-your-body-could-impact-your-health-study-finds
    🧬 เวลาที่อุจจาระอยู่ในร่างกายบอกสุขภาพได้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนพบว่า คนที่มีการเคลื่อนผ่านของอุจจาระเร็ว (fast transit) และ ช้า (slow transit) มีความแตกต่างของจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างสารเมตาโบไลต์และสมดุลกรดในลำไส้ การเคลื่อนที่เร็วเกินไปอาจทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่เต็มที่ ขณะที่การเคลื่อนที่ช้าเกินไปอาจก่อให้เกิดการหมักและสารพิษสะสม 🩺 ข้อมูลจากงานวิจัยสากล การศึกษาในวารสาร BMJ Gut ระบุว่า เวลาการเดินทางของอาหารทั้งระบบ (Whole Gut Transit Time) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ชั่วโมง แต่สามารถแตกต่างได้ตั้งแต่ 10–73 ชั่วโมง ขึ้นกับอาหาร อายุ และกิจกรรม คนที่มีเวลานานเกินไปมักเสี่ยงต่อโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS ส่วนคนที่เร็วเกินไปเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง 🧠 ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า ผู้ป่วยพาร์กินสันมักเริ่มมีอาการท้องผูกนานหลายสิบปีก่อนโรคแสดงออกทางสมอง การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อการผลิตวิตามินบีและกรดไขมันสายสั้น ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและการอักเสบ การดูแลสุขภาพลำไส้จึงอาจช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการของโรคได้ 🍎 ปัจจัยที่ปรับได้ในชีวิตประจำวัน นักโภชนาการแนะนำว่า การกินไฟเบอร์ 25–50 กรัมต่อวัน ดื่มน้ำ 2–3 ลิตร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยปรับเวลาเคลื่อนผ่านของอุจจาระให้อยู่ในระดับเหมาะสม นอกจากนี้การใช้โปรไบโอติกและการลดอาหารแปรรูปก็มีส่วนช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สมดุลมากขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Gut Transit Time มีผลต่อสุขภาพโดยตรง ➡️ ค่าเฉลี่ยในคนปกติ ~28 ชั่วโมง แต่มีความแปรผันสูง ✅ การเคลื่อนที่เร็วเกินไป ➡️ เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและท้องเสียเรื้อรัง ✅ การเคลื่อนที่ช้าเกินไป ➡️ เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน ภาวะอักเสบ และ IBS ✅ ความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน ➡️ การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อระบบประสาท ✅ การปรับพฤติกรรมช่วยได้ ➡️ เพิ่มไฟเบอร์ ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และใช้โปรไบโอติก ‼️ สัญญาณเตือนจากระบบขับถ่าย ⛔ ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง/เหลวผิดปกติ ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยสุขภาพลำไส้ ⛔ อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น เมตาบอลิกซินโดรม และโรคทางสมอง https://www.sciencealert.com/how-long-poop-stays-in-your-body-could-impact-your-health-study-finds
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    How Long Poop Stays in Your Body Could Impact Your Health, Study Finds
    Whether poop speeds through your gut like a bullet train or takes a more smell-the-roses approach could have more profound implications for your overall health than a first glance would suggest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยาปฏิชีวนะรักษาสิว อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคจิตเภทได้ถึง 30%

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระและทีมร่วมจากฟินแลนด์ พบหลักฐานที่น่าสนใจว่า doxycycline ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาสิว อาจมีผลช่วยลดโอกาสเกิดโรคจิตเภทในวัยรุ่นที่เคยเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตลงได้ถึง 30–35% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดอื่น การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคทางจิตเวชรุนแรงในอนาคต

    นักวิจัยอธิบายว่า doxycycline สามารถผ่านเข้าสู่สมองและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมถึงช่วยควบคุมกระบวนการ synaptic pruning หรือการตัดแต่งเส้นใยประสาทที่มากเกินไป ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดโรคจิตเภท การศึกษาก่อนหน้านี้ยังพบว่า ยากลุ่ม tetracycline เช่น minocycline ก็มีผลคล้ายกันในการลดการสูญเสียการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ผิดปกติ

    แม้ผลการวิจัยจะน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่เป็นเพียงการศึกษาเชิงสังเกต ไม่ใช่การทดลองแบบสุ่มควบคุม ดังนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่า doxycycline ป้องกันโรคจิตเภทได้จริง จำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์ และเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการดื้อยา

    นอกจากนี้ งานวิจัยใหม่ ๆ ยังชี้ว่าการป้องกันโรคจิตเภทอาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น การลดการอักเสบในสมอง การดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยรุ่น และการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะจิตเภททั่วโลกยังไม่ได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ การค้นพบเกี่ยวกับ doxycycline จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางใหม่ในการป้องกันโรคทางจิตเวชที่รุนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผลการศึกษาใหม่
    วัยรุ่นที่ได้รับ doxycycline มีความเสี่ยงโรคจิตเภทต่ำลง 30–35%
    การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56,000 คนในฟินแลนด์

    กลไกที่เป็นไปได้
    ยามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและผ่านเข้าสมองได้
    ช่วยควบคุมการตัดแต่งเส้นใยประสาท (synaptic pruning) ที่ผิดปกติ

    ความสำคัญทางการแพทย์
    เปิดโอกาสในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคจิตเภท
    สอดคล้องกับทฤษฎีใหม่ที่ชี้ว่า “การอักเสบในสมอง” มีบทบาทสำคัญ

    ข้อควรระวัง
    การศึกษานี้เป็นเชิงสังเกต ไม่สามารถยืนยันสาเหตุและผลได้
    ไม่ควรใช้ doxycycline เพื่อป้องกันโรคจิตเภทโดยตรงจนกว่าจะมีการทดลองเพิ่มเติม
    การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอาจนำไปสู่การดื้อยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ

    https://www.sciencealert.com/common-acne-medication-linked-with-30-lower-schizophrenia-risk
    📰 ยาปฏิชีวนะรักษาสิว อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคจิตเภทได้ถึง 30% นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระและทีมร่วมจากฟินแลนด์ พบหลักฐานที่น่าสนใจว่า doxycycline ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาสิว อาจมีผลช่วยลดโอกาสเกิดโรคจิตเภทในวัยรุ่นที่เคยเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตลงได้ถึง 30–35% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดอื่น การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคทางจิตเวชรุนแรงในอนาคต นักวิจัยอธิบายว่า doxycycline สามารถผ่านเข้าสู่สมองและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมถึงช่วยควบคุมกระบวนการ synaptic pruning หรือการตัดแต่งเส้นใยประสาทที่มากเกินไป ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดโรคจิตเภท การศึกษาก่อนหน้านี้ยังพบว่า ยากลุ่ม tetracycline เช่น minocycline ก็มีผลคล้ายกันในการลดการสูญเสียการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ผิดปกติ แม้ผลการวิจัยจะน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่เป็นเพียงการศึกษาเชิงสังเกต ไม่ใช่การทดลองแบบสุ่มควบคุม ดังนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่า doxycycline ป้องกันโรคจิตเภทได้จริง จำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์ และเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการดื้อยา นอกจากนี้ งานวิจัยใหม่ ๆ ยังชี้ว่าการป้องกันโรคจิตเภทอาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น การลดการอักเสบในสมอง การดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยรุ่น และการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะจิตเภททั่วโลกยังไม่ได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ การค้นพบเกี่ยวกับ doxycycline จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางใหม่ในการป้องกันโรคทางจิตเวชที่รุนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผลการศึกษาใหม่ ➡️ วัยรุ่นที่ได้รับ doxycycline มีความเสี่ยงโรคจิตเภทต่ำลง 30–35% ➡️ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56,000 คนในฟินแลนด์ ✅ กลไกที่เป็นไปได้ ➡️ ยามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและผ่านเข้าสมองได้ ➡️ ช่วยควบคุมการตัดแต่งเส้นใยประสาท (synaptic pruning) ที่ผิดปกติ ✅ ความสำคัญทางการแพทย์ ➡️ เปิดโอกาสในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคจิตเภท ➡️ สอดคล้องกับทฤษฎีใหม่ที่ชี้ว่า “การอักเสบในสมอง” มีบทบาทสำคัญ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การศึกษานี้เป็นเชิงสังเกต ไม่สามารถยืนยันสาเหตุและผลได้ ⛔ ไม่ควรใช้ doxycycline เพื่อป้องกันโรคจิตเภทโดยตรงจนกว่าจะมีการทดลองเพิ่มเติม ⛔ การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอาจนำไปสู่การดื้อยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ https://www.sciencealert.com/common-acne-medication-linked-with-30-lower-schizophrenia-risk
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Common Acne Medication Linked With 30% Lower Schizophrenia Risk
    An antibiotic commonly prescribed for acne management has been linked to a reduced chance of developing schizophrenia.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าววิทยาศาสตร์สุขภาพ: “ไมโครเกลียเปิดโหมดป้องกันสมอง สู้โรคอัลไซเมอร์”

    ทีมนักวิจัยนานาชาติค้นพบว่าเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมองที่เรียกว่า ไมโครเกลีย สามารถเปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายไปเป็นผู้ปกป้องสมองได้ เมื่อเข้าใกล้ก้อนโปรตีน อะไมลอยด์-เบต้า ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ เซลล์ชนิดนี้เข้าสู่ “โหมดป้องกัน” ที่ช่วยลดการอักเสบและชะลอการสะสมของโปรตีนที่เป็นพิษต่อสมอง

    งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าไมโครเกลียที่มีระดับโปรตีน PU.1 ต่ำ และมีการแสดงออกของโปรตีน CD28 สูง จะมีประสิทธิภาพในการลดการก่อตัวของคราบโปรตีนและการรวมตัวของ tau ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวการทำลายเซลล์สมอง การทดลองในหนูพบว่าเมื่อหยุดการผลิต CD28 ไมโครเกลียที่ก่อการอักเสบกลับเพิ่มจำนวน และคราบโปรตีนก็สะสมมากขึ้นอย่างชัดเจน

    นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางพันธุกรรมที่สนับสนุนว่า คนที่มีพันธุกรรมซึ่งทำให้ระดับ PU.1 ต่ำกว่าปกติ มักมีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยกว่า การค้นพบนี้จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ โดยมุ่งเปลี่ยนไมโครเกลียให้เข้าสู่โหมดป้องกันมากขึ้น เพื่อช่วยชะลอหรือป้องกันโรคในมนุษย์

    ในภาพรวม นักวิทยาศาสตร์มองว่านี่คือการเปิดประตูสู่การรักษาแบบ ภูมิคุ้มกันบำบัด สำหรับโรคอัลไซเมอร์ เพราะไมโครเกลียทำงานคล้ายกับเซลล์ T ที่ควบคุมภูมิคุ้มกันในร่างกาย หากสามารถกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้ทำงานในโหมดป้องกันได้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยให้สมองมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่แข็งแรงขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่เกี่ยวกับไมโครเกลีย
    ไมโครเกลียสามารถเปลี่ยนจากโหมดทำลายไปเป็นโหมดป้องกันสมอง
    การลดระดับโปรตีน PU.1 และเพิ่ม CD28 ทำให้สมองทนต่อการสะสมโปรตีนผิดปกติได้ดีขึ้น

    หลักฐานจากการทดลองและพันธุกรรม
    หนูทดลองที่มี CD28 สูงสามารถลดการสะสมของอะไมลอยด์-เบต้าและ tau ได้
    คนที่มีพันธุกรรมทำให้ PU.1 ต่ำ มีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยลง

    แนวทางการรักษาในอนาคต
    การกระตุ้นไมโครเกลียเข้าสู่โหมดป้องกันอาจเป็นแนวทางภูมิคุ้มกันบำบัด
    อาจช่วยชะลอหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในมนุษย์

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การค้นพบยังอยู่ในขั้นทดลองกับหนู ต้องตรวจสอบในมนุษย์ก่อน
    โรคอัลไซเมอร์มีหลายปัจจัยร่วม การรักษาอาจต้องใช้หลายวิธีควบคู่กัน

    https://www.sciencealert.com/switch-turns-brains-defenses-into-protectors-against-alzheimers
    🧠 ข่าววิทยาศาสตร์สุขภาพ: “ไมโครเกลียเปิดโหมดป้องกันสมอง สู้โรคอัลไซเมอร์” ทีมนักวิจัยนานาชาติค้นพบว่าเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมองที่เรียกว่า ไมโครเกลีย สามารถเปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายไปเป็นผู้ปกป้องสมองได้ เมื่อเข้าใกล้ก้อนโปรตีน อะไมลอยด์-เบต้า ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ เซลล์ชนิดนี้เข้าสู่ “โหมดป้องกัน” ที่ช่วยลดการอักเสบและชะลอการสะสมของโปรตีนที่เป็นพิษต่อสมอง งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าไมโครเกลียที่มีระดับโปรตีน PU.1 ต่ำ และมีการแสดงออกของโปรตีน CD28 สูง จะมีประสิทธิภาพในการลดการก่อตัวของคราบโปรตีนและการรวมตัวของ tau ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวการทำลายเซลล์สมอง การทดลองในหนูพบว่าเมื่อหยุดการผลิต CD28 ไมโครเกลียที่ก่อการอักเสบกลับเพิ่มจำนวน และคราบโปรตีนก็สะสมมากขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางพันธุกรรมที่สนับสนุนว่า คนที่มีพันธุกรรมซึ่งทำให้ระดับ PU.1 ต่ำกว่าปกติ มักมีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยกว่า การค้นพบนี้จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ โดยมุ่งเปลี่ยนไมโครเกลียให้เข้าสู่โหมดป้องกันมากขึ้น เพื่อช่วยชะลอหรือป้องกันโรคในมนุษย์ ในภาพรวม นักวิทยาศาสตร์มองว่านี่คือการเปิดประตูสู่การรักษาแบบ ภูมิคุ้มกันบำบัด สำหรับโรคอัลไซเมอร์ เพราะไมโครเกลียทำงานคล้ายกับเซลล์ T ที่ควบคุมภูมิคุ้มกันในร่างกาย หากสามารถกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้ทำงานในโหมดป้องกันได้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นแนวทางใหม่ที่ช่วยให้สมองมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่แข็งแรงขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่เกี่ยวกับไมโครเกลีย ➡️ ไมโครเกลียสามารถเปลี่ยนจากโหมดทำลายไปเป็นโหมดป้องกันสมอง ➡️ การลดระดับโปรตีน PU.1 และเพิ่ม CD28 ทำให้สมองทนต่อการสะสมโปรตีนผิดปกติได้ดีขึ้น ✅ หลักฐานจากการทดลองและพันธุกรรม ➡️ หนูทดลองที่มี CD28 สูงสามารถลดการสะสมของอะไมลอยด์-เบต้าและ tau ได้ ➡️ คนที่มีพันธุกรรมทำให้ PU.1 ต่ำ มีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์น้อยลง ✅ แนวทางการรักษาในอนาคต ➡️ การกระตุ้นไมโครเกลียเข้าสู่โหมดป้องกันอาจเป็นแนวทางภูมิคุ้มกันบำบัด ➡️ อาจช่วยชะลอหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในมนุษย์ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การค้นพบยังอยู่ในขั้นทดลองกับหนู ต้องตรวจสอบในมนุษย์ก่อน ⛔ โรคอัลไซเมอร์มีหลายปัจจัยร่วม การรักษาอาจต้องใช้หลายวิธีควบคู่กัน https://www.sciencealert.com/switch-turns-brains-defenses-into-protectors-against-alzheimers
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Switch Turns Brain's Defenses Into Protectors Against Alzheimer's
    Specific immune cells in the brain may play a crucial role in preventing the onset of Alzheimer's disease, according to a new study – a discovery that could lead to new therapies that try to coax cells into this protective state.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง

    งานวิจัยใหม่พบว่าโปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง โดยช่วยกำจัดคราบโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคสมองเสื่อมในอนาคต

    นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ทดลองเพิ่มระดับโปรตีน Sox9 ในหนูที่มีภาวะคล้ายโรคอัลไซเมอร์ พบว่าเซลล์สมองชนิด astrocytes ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและกำจัดของเสียในสมอง กลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามารถ “ดูดซับ” คราบโปรตีน amyloid-beta ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานด้านความจำและพฤติกรรมของหนูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    กลไกการทำงานของ Sox9
    ผลการทดลองชี้ว่า Sox9 กระตุ้นการแสดงออกของตัวรับ MEGF10 บนผิวเซลล์ astrocytes ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำจัดคราบโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของสมอง การทดลองในหนูที่ถูกตัดยีน Sox9 ออกกลับพบว่า astrocytes ทำงานแย่ลง ความจำเสื่อม และคราบโปรตีนสะสมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า Sox9 เป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพสมอง

    ความซับซ้อนของโรคอัลไซเมอร์
    แม้การกำจัดคราบ amyloid-beta จะเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคอัลไซเมอร์ แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการรักษาแบบนี้ไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากโรคมีหลายปัจจัยร่วม เช่น การอักเสบในสมอง และการเสื่อมของเซลล์ประสาท การค้นพบ Sox9 จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เน้นการเสริมพลังให้กับ เซลล์ดูแลสมอง มากกว่าการรักษาเฉพาะเซลล์ประสาท

    ความหวังและข้อจำกัด
    แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองกับหนู แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้น เพราะแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูสมองที่เสื่อมแล้ว อาจเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรตีน Sox9 ช่วยฟื้นฟูสมองเสื่อมในหนู
    กระตุ้น astrocytes ให้กำจัดคราบ amyloid-beta ได้ดีขึ้น
    หนูที่ได้รับ Sox9 มีความจำและพฤติกรรมดีขึ้น

    กลไก Sox9 ผ่านตัวรับ MEGF10
    เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดูแลสมอง
    การตัด Sox9 ออกทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น

    แนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์
    เน้นเสริมพลังเซลล์ดูแลสมองมากกว่าการรักษาเซลล์ประสาท
    อาจช่วยแก้ปัญหาที่การรักษาแบบเดิมไม่สำเร็จ

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    งานวิจัยยังอยู่ในระดับทดลองกับสัตว์
    ต้องมีการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันความปลอดภัย

    https://www.sciencealert.com/boosting-one-protein-reawakens-aging-brain-cells-in-mice-study-shows
    🧠 โปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง งานวิจัยใหม่พบว่าโปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง โดยช่วยกำจัดคราบโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคสมองเสื่อมในอนาคต นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ทดลองเพิ่มระดับโปรตีน Sox9 ในหนูที่มีภาวะคล้ายโรคอัลไซเมอร์ พบว่าเซลล์สมองชนิด astrocytes ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและกำจัดของเสียในสมอง กลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามารถ “ดูดซับ” คราบโปรตีน amyloid-beta ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานด้านความจำและพฤติกรรมของหนูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 🔬 กลไกการทำงานของ Sox9 ผลการทดลองชี้ว่า Sox9 กระตุ้นการแสดงออกของตัวรับ MEGF10 บนผิวเซลล์ astrocytes ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำจัดคราบโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของสมอง การทดลองในหนูที่ถูกตัดยีน Sox9 ออกกลับพบว่า astrocytes ทำงานแย่ลง ความจำเสื่อม และคราบโปรตีนสะสมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า Sox9 เป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพสมอง 🧩 ความซับซ้อนของโรคอัลไซเมอร์ แม้การกำจัดคราบ amyloid-beta จะเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคอัลไซเมอร์ แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการรักษาแบบนี้ไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากโรคมีหลายปัจจัยร่วม เช่น การอักเสบในสมอง และการเสื่อมของเซลล์ประสาท การค้นพบ Sox9 จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เน้นการเสริมพลังให้กับ เซลล์ดูแลสมอง มากกว่าการรักษาเฉพาะเซลล์ประสาท 🌍 ความหวังและข้อจำกัด แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองกับหนู แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้น เพราะแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูสมองที่เสื่อมแล้ว อาจเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรตีน Sox9 ช่วยฟื้นฟูสมองเสื่อมในหนู ➡️ กระตุ้น astrocytes ให้กำจัดคราบ amyloid-beta ได้ดีขึ้น ➡️ หนูที่ได้รับ Sox9 มีความจำและพฤติกรรมดีขึ้น ✅ กลไก Sox9 ผ่านตัวรับ MEGF10 ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดูแลสมอง ➡️ การตัด Sox9 ออกทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น ✅ แนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ➡️ เน้นเสริมพลังเซลล์ดูแลสมองมากกว่าการรักษาเซลล์ประสาท ➡️ อาจช่วยแก้ปัญหาที่การรักษาแบบเดิมไม่สำเร็จ ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ⛔ งานวิจัยยังอยู่ในระดับทดลองกับสัตว์ ⛔ ต้องมีการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันความปลอดภัย https://www.sciencealert.com/boosting-one-protein-reawakens-aging-brain-cells-in-mice-study-shows
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Boosting One Protein Reawakens Aging Brain Cells in Mice, Study Shows
    A discovery by researchers from the Baylor College of Medicine in the US could lead to treatments that clear the troublesome aggregations of protein thought to play a key role in Alzheimer's disease.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความถี่ในการขับถ่ายบอกสุขภาพได้จริง

    การศึกษาจากสถาบัน ISB พบว่า คนที่ขับถ่ายวันละ 1–2 ครั้งอยู่ใน “Goldilocks Zone” ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดต่อสุขภาพลำไส้และร่างกายโดยรวม ผู้ที่ถ่ายน้อยเกินไป (ท้องผูก) หรือบ่อยเกินไป (ท้องเสีย) มักมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคไตและโรคตับ เนื่องจากจุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนไปและสร้างสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด

    พลังของไฟเบอร์และจุลินทรีย์ดี
    ข้อมูลเสริมจากงานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ไฟเบอร์จากพืช เป็นตัวช่วยสำคัญในการรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยไฟเบอร์ชนิดหมักได้ (เช่น อินูลิน, เพกติน) จะถูกแบคทีเรียย่อยจนเกิดกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ซึ่งช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน รวมถึงมะเร็งบางชนิด การรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายสมดุล

    การออกกำลังกายกับสุขภาพลำไส้
    งานวิจัยจากเยอรมนีในปี 2025 พบว่า การออกกำลังกายแบบต้านแรง (Resistance Training) เพียง 8 สัปดาห์ สามารถเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบจุลินทรีย์ในลำไส้ได้อย่างชัดเจน ผู้ที่แข็งแรงขึ้นมีจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น และหลายคนขยับจากกลุ่มท้องผูกหรือท้องเสียเข้าสู่ช่วง “Goldilocks Zone”

    น้ำและการใช้ชีวิตประจำวัน
    นอกจากอาหารและการออกกำลังกายแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอ และการพักผ่อนอย่างเหมาะสมก็มีผลต่อระบบขับถ่ายเช่นกัน คนที่มีพฤติกรรมสุขภาพดี เช่น ดื่มน้ำมากพอ รับประทานอาหารจากพืช และออกกำลังกายสม่ำเสมอ มักมีจุลินทรีย์ที่หมักไฟเบอร์ได้ดี ส่งผลให้สุขภาพลำไส้แข็งแรงและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง

    สรุปสาระสำคัญ
    ความถี่ในการขับถ่ายสัมพันธ์กับสุขภาพ
    วันละ 1–2 ครั้งคือช่วง “Goldilocks Zone” ที่เหมาะสม
    ถ่ายน้อยหรือบ่อยเกินไปเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง

    ไฟเบอร์ช่วยเสริมจุลินทรีย์ดีในลำไส้
    ไฟเบอร์หมักได้สร้าง SCFAs ลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน
    อาหารจากพืช เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ด เป็นแหล่งสำคัญ

    การออกกำลังกายมีผลต่อจุลินทรีย์
    Resistance Training 8 สัปดาห์ช่วยปรับสมดุลลำไส้
    ผู้ที่แข็งแรงขึ้นมีโอกาสเข้าสู่ช่วงสุขภาพดี

    น้ำและการใช้ชีวิตประจำวัน
    ดื่มน้ำมากพอช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี
    พฤติกรรมสุขภาพดีส่งผลต่อสมดุลจุลินทรีย์

    ความเสี่ยงจากการขับถ่ายผิดปกติ
    ท้องผูกอาจทำให้เกิดสารพิษที่ทำลายไต
    ท้องเสียสัมพันธ์กับการทำงานของตับผิดปกติ

    https://www.sciencealert.com/your-poop-schedule-says-a-lot-about-your-overall-health-study-shows
    🧻 ความถี่ในการขับถ่ายบอกสุขภาพได้จริง การศึกษาจากสถาบัน ISB พบว่า คนที่ขับถ่ายวันละ 1–2 ครั้งอยู่ใน “Goldilocks Zone” ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดต่อสุขภาพลำไส้และร่างกายโดยรวม ผู้ที่ถ่ายน้อยเกินไป (ท้องผูก) หรือบ่อยเกินไป (ท้องเสีย) มักมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคไตและโรคตับ เนื่องจากจุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนไปและสร้างสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด 🥦 พลังของไฟเบอร์และจุลินทรีย์ดี ข้อมูลเสริมจากงานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ไฟเบอร์จากพืช เป็นตัวช่วยสำคัญในการรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยไฟเบอร์ชนิดหมักได้ (เช่น อินูลิน, เพกติน) จะถูกแบคทีเรียย่อยจนเกิดกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ซึ่งช่วยลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน รวมถึงมะเร็งบางชนิด การรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายสมดุล 🏋️‍♂️ การออกกำลังกายกับสุขภาพลำไส้ งานวิจัยจากเยอรมนีในปี 2025 พบว่า การออกกำลังกายแบบต้านแรง (Resistance Training) เพียง 8 สัปดาห์ สามารถเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบจุลินทรีย์ในลำไส้ได้อย่างชัดเจน ผู้ที่แข็งแรงขึ้นมีจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น และหลายคนขยับจากกลุ่มท้องผูกหรือท้องเสียเข้าสู่ช่วง “Goldilocks Zone” 💧 น้ำและการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากอาหารและการออกกำลังกายแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอ และการพักผ่อนอย่างเหมาะสมก็มีผลต่อระบบขับถ่ายเช่นกัน คนที่มีพฤติกรรมสุขภาพดี เช่น ดื่มน้ำมากพอ รับประทานอาหารจากพืช และออกกำลังกายสม่ำเสมอ มักมีจุลินทรีย์ที่หมักไฟเบอร์ได้ดี ส่งผลให้สุขภาพลำไส้แข็งแรงและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความถี่ในการขับถ่ายสัมพันธ์กับสุขภาพ ➡️ วันละ 1–2 ครั้งคือช่วง “Goldilocks Zone” ที่เหมาะสม ➡️ ถ่ายน้อยหรือบ่อยเกินไปเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง ✅ ไฟเบอร์ช่วยเสริมจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ➡️ ไฟเบอร์หมักได้สร้าง SCFAs ลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน ➡️ อาหารจากพืช เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ด เป็นแหล่งสำคัญ ✅ การออกกำลังกายมีผลต่อจุลินทรีย์ ➡️ Resistance Training 8 สัปดาห์ช่วยปรับสมดุลลำไส้ ➡️ ผู้ที่แข็งแรงขึ้นมีโอกาสเข้าสู่ช่วงสุขภาพดี ✅ น้ำและการใช้ชีวิตประจำวัน ➡️ ดื่มน้ำมากพอช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ➡️ พฤติกรรมสุขภาพดีส่งผลต่อสมดุลจุลินทรีย์ ‼️ ความเสี่ยงจากการขับถ่ายผิดปกติ ⛔ ท้องผูกอาจทำให้เกิดสารพิษที่ทำลายไต ⛔ ท้องเสียสัมพันธ์กับการทำงานของตับผิดปกติ https://www.sciencealert.com/your-poop-schedule-says-a-lot-about-your-overall-health-study-shows
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Your Poop Schedule Says a Lot About Your Overall Health, Study Shows
    "How often do you poop?" might sound like a very personal question, but your answer could reveal quite a lot about your overall health.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลวิจัยใหม่: อาร์จินีนเสริมช่วยเคลียร์คราบสมองในสัตว์ทดลอง

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคินไดและสถาบันประสาทวิทยาแห่งชาติญี่ปุ่น พบว่า อาร์จินีน (Arginine) กรดอะมิโนที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บหน้าอก สามารถลดการสะสมของโปรตีน อะไมลอยด์-เบต้า ในสมองของหนูทดลองและแมลงหวี่ได้ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของโรคอัลไซเมอร์

    กลไกการทำงานที่น่าสนใจ
    อาร์จินีนทำหน้าที่เป็น “chaperone” ทางเคมี ช่วยป้องกันการจับตัวผิดปกติของโปรตีนที่นำไปสู่การเกิดคราบเหนียวในสมอง ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าเมื่อเติมอาร์จินีนลงในน้ำดื่มของหนูที่มีภาวะสมองเสื่อม คราบโปรตีนลดลงอย่างชัดเจน พร้อมกับการปรับปรุงพฤติกรรมและการลดการอักเสบของยีนในสมอง

    ความหวังใหม่ในการรักษา
    สิ่งที่ทำให้การค้นพบนี้น่าสนใจคือ อาร์จินีนเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง ราคาถูก และสามารถผ่าน blood-brain barrier ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการรักษาโรคสมอง หากผลลัพธ์นี้สามารถยืนยันได้ในมนุษย์ อาจเป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่เข้าถึงง่ายและไม่ซับซ้อน

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    แม้ผลการทดลองในสัตว์จะให้ความหวัง แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการลดคราบโปรตีนจะช่วยรักษาอัลไซเมอร์ในมนุษย์จริงหรือไม่ อีกทั้งการทดลองใช้ปริมาณอาร์จินีนสูงกว่าที่มนุษย์บริโภคทั่วไป จึงต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาปริมาณที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    อาร์จินีนช่วยลดการสะสมโปรตีนอะไมลอยด์-เบต้าในสมองสัตว์ทดลอง
    ปรับปรุงพฤติกรรมและลดการอักเสบของยีน

    ศักยภาพของอาร์จินีน
    เป็นสารที่ปลอดภัย ราคาถูก และผ่าน blood-brain barrier ได้
    อาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์

    ผลการทดลองในสัตว์
    ใช้ในหนูและแมลงหวี่ พบผลลัพธ์ชัดเจน
    ลดคราบโปรตีนและผลกระทบต่อสมอง

    ข้อควรระวัง
    ยังไม่ยืนยันผลในมนุษย์
    ใช้ปริมาณสูงกว่าที่มนุษย์บริโภคทั่วไป
    ยังไม่ชัดเจนว่าการลดคราบโปรตีนช่วยรักษาอัลไซเมอร์ได้จริง

    https://www.sciencealert.com/supplement-for-high-blood-pressure-clears-signs-of-alzheimers-in-mice
    🧠 ผลวิจัยใหม่: อาร์จินีนเสริมช่วยเคลียร์คราบสมองในสัตว์ทดลอง ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคินไดและสถาบันประสาทวิทยาแห่งชาติญี่ปุ่น พบว่า อาร์จินีน (Arginine) กรดอะมิโนที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บหน้าอก สามารถลดการสะสมของโปรตีน อะไมลอยด์-เบต้า ในสมองของหนูทดลองและแมลงหวี่ได้ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของโรคอัลไซเมอร์ 🔬 กลไกการทำงานที่น่าสนใจ อาร์จินีนทำหน้าที่เป็น “chaperone” ทางเคมี ช่วยป้องกันการจับตัวผิดปกติของโปรตีนที่นำไปสู่การเกิดคราบเหนียวในสมอง ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าเมื่อเติมอาร์จินีนลงในน้ำดื่มของหนูที่มีภาวะสมองเสื่อม คราบโปรตีนลดลงอย่างชัดเจน พร้อมกับการปรับปรุงพฤติกรรมและการลดการอักเสบของยีนในสมอง 🌟 ความหวังใหม่ในการรักษา สิ่งที่ทำให้การค้นพบนี้น่าสนใจคือ อาร์จินีนเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง ราคาถูก และสามารถผ่าน blood-brain barrier ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการรักษาโรคสมอง หากผลลัพธ์นี้สามารถยืนยันได้ในมนุษย์ อาจเป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่เข้าถึงง่ายและไม่ซับซ้อน ⚠️ ข้อจำกัดและความท้าทาย แม้ผลการทดลองในสัตว์จะให้ความหวัง แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการลดคราบโปรตีนจะช่วยรักษาอัลไซเมอร์ในมนุษย์จริงหรือไม่ อีกทั้งการทดลองใช้ปริมาณอาร์จินีนสูงกว่าที่มนุษย์บริโภคทั่วไป จึงต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาปริมาณที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ อาร์จินีนช่วยลดการสะสมโปรตีนอะไมลอยด์-เบต้าในสมองสัตว์ทดลอง ➡️ ปรับปรุงพฤติกรรมและลดการอักเสบของยีน ✅ ศักยภาพของอาร์จินีน ➡️ เป็นสารที่ปลอดภัย ราคาถูก และผ่าน blood-brain barrier ได้ ➡️ อาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ✅ ผลการทดลองในสัตว์ ➡️ ใช้ในหนูและแมลงหวี่ พบผลลัพธ์ชัดเจน ➡️ ลดคราบโปรตีนและผลกระทบต่อสมอง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่ยืนยันผลในมนุษย์ ⛔ ใช้ปริมาณสูงกว่าที่มนุษย์บริโภคทั่วไป ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าการลดคราบโปรตีนช่วยรักษาอัลไซเมอร์ได้จริง https://www.sciencealert.com/supplement-for-high-blood-pressure-clears-signs-of-alzheimers-in-mice
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Supplement For High Blood Pressure Clears Signs of Alzheimer's in Mice
    A build-up of sticky proteins in the brain is a key hallmark of Alzheimer's, thought to be closely linked to the disease's progression.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • โครงสร้างลึกลับในเลือดผู้ป่วยลองโควิด

    งานวิจัยล่าสุดจากทีมความร่วมมือระหว่างฝรั่งเศสและแอฟริกาใต้ พบว่าในเลือดของผู้ป่วยลองโควิดมี “ไมโครคลอต” (microclots) หรือ ลิ่มเลือดขนาดเล็กผิดปกติ ปริมาณมากกว่าคนปกติถึงเกือบ 20 เท่า และยังมีโครงสร้างเหนียวที่เรียกว่า “NETs” (Neutrophil Extracellular Traps) ซึ่งเป็นตาข่ายดีเอ็นเอ–เอนไซม์ที่เม็ดเลือดขาวปล่อยออกมาเพื่อดักจับเชื้อโรค แต่กลับไปฝังตัวอยู่ในไมโครคลอต ทำให้ลิ่มเลือดเหล่านี้ทนต่อการสลายตัวตามธรรมชาติ.

    ความหมายต่ออาการเรื้อรัง
    การที่ไมโครคลอตและ NETs เกิดการจับตัวร่วมกัน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดไหลเวียนติดขัดในหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้ผู้ป่วยลองโควิดมีอาการอ่อนเพลีย สมองเบลอ และหายใจลำบากเรื้อรัง งานวิจัยยังชี้ว่า AI สามารถจำแนกผู้ป่วยลองโควิดจากกลุ่มปกติได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 91% โดยอาศัยรูปแบบของไมโครคลอตและ NETs ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจใช้เป็น “ไบโอมาเคอร์” สำหรับการวินิจฉัยในอนาคต.

    มุมมองจากงานวิจัยสากล
    นักวิทยาศาสตร์มองว่าการค้นพบนี้เป็นอีกชิ้นส่วนสำคัญใน “ปริศนาลองโควิด” เพราะก่อนหน้านี้มีการเสนอว่าลองโควิดอาจเกิดจากการอักเสบเรื้อรังหรือการคงอยู่ของไวรัสในร่างกาย แต่การพบโครงสร้างไมโครคลอต–NETs ที่ฝังตัวกันอย่างชัดเจน ทำให้เห็นกลไกใหม่ที่อาจเป็นตัวขับเคลื่อนอาการเรื้อรัง และเปิดทางสู่การรักษาที่มุ่งลดการสร้างลิ่มเลือดเล็กหรือควบคุมการทำงานของ NETs.

    ความหวังและข้อจำกัด
    แม้ผลการวิจัยจะให้ความหวัง แต่ยังอยู่ในระยะต้นและต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ไม่ใช่เพียงการพบร่วมกัน นักวิจัยเตือนว่าการพัฒนาแนวทางรักษาใหม่ต้องใช้เวลาและการทดลองทางคลินิกที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจลองโควิดมากขึ้น และอาจนำไปสู่การรักษาเฉพาะบุคคลในอนาคต.

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่ในเลือดผู้ป่วยลองโควิด
    พบไมโครคลอตมากกว่าคนปกติถึง 19.7 เท่า
    NETs ฝังตัวอยู่ในไมโครคลอต ทำให้ลิ่มเลือดทนต่อการสลายตัว

    ผลกระทบต่ออาการเรื้อรัง
    การไหลเวียนเลือดติดขัด อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย สมองเบลอ และหายใจลำบาก
    AI สามารถจำแนกผู้ป่วยลองโควิดได้แม่นยำถึง 91%

    ความหมายเชิงวิจัยและการรักษา
    ไมโครคลอต–NETs อาจใช้เป็นไบโอมาเคอร์ในการวินิจฉัย
    เปิดทางสู่การรักษาที่มุ่งลดการสร้างลิ่มเลือดเล็กหรือควบคุม NETs

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    งานวิจัยยังอยู่ในระยะต้น ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
    การพัฒนาแนวทางรักษาใหม่ต้องใช้เวลาและการทดลองทางคลินิกที่เข้มงวด

    https://www.sciencealert.com/strange-structures-found-lurking-in-the-blood-of-people-with-long-covid
    🧬 โครงสร้างลึกลับในเลือดผู้ป่วยลองโควิด งานวิจัยล่าสุดจากทีมความร่วมมือระหว่างฝรั่งเศสและแอฟริกาใต้ พบว่าในเลือดของผู้ป่วยลองโควิดมี “ไมโครคลอต” (microclots) หรือ ลิ่มเลือดขนาดเล็กผิดปกติ ปริมาณมากกว่าคนปกติถึงเกือบ 20 เท่า และยังมีโครงสร้างเหนียวที่เรียกว่า “NETs” (Neutrophil Extracellular Traps) ซึ่งเป็นตาข่ายดีเอ็นเอ–เอนไซม์ที่เม็ดเลือดขาวปล่อยออกมาเพื่อดักจับเชื้อโรค แต่กลับไปฝังตัวอยู่ในไมโครคลอต ทำให้ลิ่มเลือดเหล่านี้ทนต่อการสลายตัวตามธรรมชาติ. 🧪 ความหมายต่ออาการเรื้อรัง การที่ไมโครคลอตและ NETs เกิดการจับตัวร่วมกัน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดไหลเวียนติดขัดในหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้ผู้ป่วยลองโควิดมีอาการอ่อนเพลีย สมองเบลอ และหายใจลำบากเรื้อรัง งานวิจัยยังชี้ว่า AI สามารถจำแนกผู้ป่วยลองโควิดจากกลุ่มปกติได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 91% โดยอาศัยรูปแบบของไมโครคลอตและ NETs ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจใช้เป็น “ไบโอมาเคอร์” สำหรับการวินิจฉัยในอนาคต. 🌍 มุมมองจากงานวิจัยสากล นักวิทยาศาสตร์มองว่าการค้นพบนี้เป็นอีกชิ้นส่วนสำคัญใน “ปริศนาลองโควิด” เพราะก่อนหน้านี้มีการเสนอว่าลองโควิดอาจเกิดจากการอักเสบเรื้อรังหรือการคงอยู่ของไวรัสในร่างกาย แต่การพบโครงสร้างไมโครคลอต–NETs ที่ฝังตัวกันอย่างชัดเจน ทำให้เห็นกลไกใหม่ที่อาจเป็นตัวขับเคลื่อนอาการเรื้อรัง และเปิดทางสู่การรักษาที่มุ่งลดการสร้างลิ่มเลือดเล็กหรือควบคุมการทำงานของ NETs. 💡 ความหวังและข้อจำกัด แม้ผลการวิจัยจะให้ความหวัง แต่ยังอยู่ในระยะต้นและต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ไม่ใช่เพียงการพบร่วมกัน นักวิจัยเตือนว่าการพัฒนาแนวทางรักษาใหม่ต้องใช้เวลาและการทดลองทางคลินิกที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจลองโควิดมากขึ้น และอาจนำไปสู่การรักษาเฉพาะบุคคลในอนาคต. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ในเลือดผู้ป่วยลองโควิด ➡️ พบไมโครคลอตมากกว่าคนปกติถึง 19.7 เท่า ➡️ NETs ฝังตัวอยู่ในไมโครคลอต ทำให้ลิ่มเลือดทนต่อการสลายตัว ✅ ผลกระทบต่ออาการเรื้อรัง ➡️ การไหลเวียนเลือดติดขัด อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย สมองเบลอ และหายใจลำบาก ➡️ AI สามารถจำแนกผู้ป่วยลองโควิดได้แม่นยำถึง 91% ✅ ความหมายเชิงวิจัยและการรักษา ➡️ ไมโครคลอต–NETs อาจใช้เป็นไบโอมาเคอร์ในการวินิจฉัย ➡️ เปิดทางสู่การรักษาที่มุ่งลดการสร้างลิ่มเลือดเล็กหรือควบคุม NETs ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ งานวิจัยยังอยู่ในระยะต้น ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ⛔ การพัฒนาแนวทางรักษาใหม่ต้องใช้เวลาและการทดลองทางคลินิกที่เข้มงวด https://www.sciencealert.com/strange-structures-found-lurking-in-the-blood-of-people-with-long-covid
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Strange Structures Found Lurking in The Blood of People With Long COVID
    A hidden physical change in the body may be helping to drive the prolonged malaise some people experience after contracting COVID-19.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.

    คดีจอมผีดิบ

    การระบาดลึกลับในกรุงเทพ

    เหตุการณ์ไม่ปกติในโรงพยาบาล

    ร.ต.อ.สิงห์ได้รับแจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลหลายแห่ง
    มีผู้ป่วยแสดงอาการแปลกๆ คล้าย"ผีดิบ" แต่เป็นทางการแพทย์

    ```mermaid
    graph TB
    A[ผู้ป่วยมีอาการ<br>ดุร้ายผิดมนุษย์] --> B[ตรวจพบ<br>ปรสิตในเลือด]
    B --> C[ติดต่อผ่าน<br>การสัมผัสเลือด]
    C --> D[ควบคุมอาการ<br>ด้วยยาปกติไม่ได้]
    D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานชีวภาพประหลาด]
    ```

    ลักษณะของปรสิตกลายพันธุ์

    แพทย์รายงานลักษณะประหลาด:
    "มันไม่ใช่ไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไป...
    แต่เป็นปรสิตที่มีสติปัญญา สามารถควบคุมสมองมนุษย์ได้
    และที่สยองคือ...มันพัฒนาต้านทานต่อยาทุกชนิด!"

    การสอบสวนทางวิทยาศาสตร์

    การตามหาต้นตอ

    ร.ต.อ.สิงห์และหนูดีร่วมกับทีมแพทย์สืบสวน:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ตรวจสอบ<br>ผู้ป่วยรายแรก] --> B[ติดตามไปยัง<br>ใต้ดิน]
    B --> C[พบการทดลอง<br>ชีวภาพผิดกฎหมาย]
    C --> D[ค้นพบว่าเป็น<br>ปรสิตดัดแปลงพันธุกรรม]
    ```

    ลักษณะทางวิทยาศาสตร์

    ```python
    class MutatedParasite:
    def __init__(self):
    self.characteristics = {
    "origin": "ปรสิตดัดแปลงจากพยาธิตัวจี๊ด",
    "transmission": "ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวร่างกาย",
    "incubation": "24-48 ชั่วโมง",
    "symptoms": [
    "ผิวหนังคล้ำเหมือนศพ",
    "ตาขาวกลายเป็นสีดำ",
    "ความดุร้ายเพิ่มขึ้น 300%",
    "ความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้น"
    ],
    "intelligence": "สามารถสื่อสารระหว่างปรสิตได้"
    }

    self.abilities = {
    "mind_control": "ควบคุมระบบประสาทส่วนกลาง",
    "rapid_mutation": "ปรับตัวต่อยาอย่างรวดเร็ว",
    "hive_mind": "เชื่อมโยงความคิดระหว่างผู้ติดเชื้อ",
    "biological_enhancement": "เพิ่มความสามารถทางกายภาพ"
    }
    ```

    วิกฤตการณ์ระบาด

    การแพร่กระจายในเมือง

    การระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ:

    · ผู้ติดเชื้อ: แสดงพฤติกรรมคล้ายซอมบี้
    · การติดต่อ: ผ่านการกัด, การสัมผัสเลือด
    · อัตราการเสียชีวิต: 90% ภายใน 1 สัปดาห์

    ความน่าสะพรึงกลัว

    ผู้ติดเชื้อมีลักษณะ:

    · ผิวหนัง: หนาขึ้นเหมือนหนังศพ
    · ดวงตา: ไม่มีอารมณ์ ม่านตาขยายเต็มที่
    · พฤติกรรม: ดุร้าย โจมตีผู้ไม่ติดเชื้อ
    · เสียง: ส่งเสียงคำราม กัดฟัน

    การค้นพบวัคซีนสมุนไพรไทย

    ความหวังจากภูมิปัญญาโบราณ

    หนูดีและทีมแพทย์ค้นพบว่า:
    "ปรสิตนี้อ่อนแอต่อสมุนไพรไทยบางชนิด...
    โดยเฉพาะสูตรยาตำรับโบราณ!"

    สูตรสมุนไพรรักษา

    ```python
    class ThaiHerbalVaccine:
    def __init__(self):
    self.herbal_components = {
    "primary": [
    "ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการแบ่งตัวของปรสิต",
    "ขมิ้นชัน: ลดการอักเสบและทำลายเซลล์ปรสิต",
    "กระเทียม: สร้างสภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่ปรสิต",
    "ว่านหางจระเข้: ซ่อมแซุเซลล์ที่เสียหาย"
    ],
    "secondary": [
    "มะระขี้นก: เพิ่มภูมิคุ้มกันเฉพาะ",
    "ตรีผลา: กำจัดพิษจากปรสิต",
    "เบญจกูล: ปรับสมดุลร่างกาย",
    "ย่านาง: ลดความดุร้ายจากปรสิต"
    ]
    }

    self.preparation = {
    "extraction": "สกัดด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิเหมาะสม",
    "combination": "ผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง",
    "administration": "ฉีดและรับประทานร่วมกัน",
    "dosage": "ปรับตามน้ำหนักและระดับการติดเชื้อ"
    }
    ```

    กระบวนการผลิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[เก็บสมุนไพร<br>คุณภาพสูง] --> B[สกัดสารสำคัญ<br>ด้วยวิธีดั้งเดิม]
    B --> C[ผสมสูตร<br>ตามตำรับโบราณ]
    C --> D[ทดสอบประสิทธิภาพ<br>ในห้องปฏิบัติการ]
    D --> E[ผลิตเป็น<br>วัคซีนและยารักษา]
    ```

    การรักษาและป้องกัน

    โปรโตคอลการรักษา

    พัฒนาระบบรักษาผู้ติดเชื้อ:

    1. กักกัน: ในพื้นที่ปลอดภัย
    2. ให้ยา: สมุนไพรสูตรพิเศษ
    3. บำบัด: ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
    4. ติดตามผล: อย่างใกล้ชิด

    มาตรการป้องกัน

    สำหรับประชาชนทั่วไป:

    · วัคซีนป้องกัน: จากสมุนไพรไทย
    · การตรวจเลือด: เป็นประจำ
    · หลีกเลี่ยง: การสัมผัสเลือดผู้อื่น
    · รู้จักอาการ: เฝ้าระวังตั้งแต่เริ่มต้น

    ความร่วมมือระดับชาติ

    การระดมสรรพกำลัง

    รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ:

    ```python
    class NationalResponse:
    def __init__(self):
    self.agencies_involved = [
    "กระทรวงสาธารณสุข: นำทางการแพทย์",
    "กระทรวงกลาโหม: ควบคุมสถานการณ์",
    "มหาวิทยาลัย: วิจัยและพัฒนา",
    "องค์การเภสัชกรรม: ผลิตยา"
    ]

    self.resources_mobilized = {
    "medical": "แพทย์ พยาบาล เภสัชกร",
    "security": "ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร",
    "research": "นักวิทยาศาสตร์ นักสมุนไพรศาสตร์",
    "production": "โรงงานผลิตยา ศูนย์สกัดสมุนไพร"
    }
    ```

    การจัดการวิกฤต

    ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน:

    · สถานที่: กรมควบคุมโรค
    · หน้าที่: ประสานงานทุกหน่วยงาน
    · เป้าหมาย: ยุติการระบาดภายใน 1 เดือน

    ผลการดำเนินงาน

    ความคืบหน้าของการรักษา

    หลังใช้สมุนไพรไทย:

    ```mermaid
    graph LR
    A[สัปดาห์ที่ 1<br>ทดลองในสัตว์] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ทดลองในมนุษย์]
    B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>ผลิตจำนวนมาก]
    C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>ควบคุมการระบาดได้]
    ```

    อัตราความสำเร็จ

    · ป้องกันการติดเชื้อ: 95%
    · รักษาผู้ติดเชื้อ: 85%
    · ลดอาการดุร้าย: ภายใน 24 ชั่วโมง
    · ฟื้นตัวสมบูรณ์: 70% ภายใน 2 สัปดาห์

    ความสำเร็จที่โดดเด่น

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    การค้นพบที่สำคัญ:

    · ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการสื่อสารระหว่างปรสิต
    · ขมิ้นชัน: ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ปรสิต
    · สูตรรวม: สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว

    การได้รับการยอมรับ

    องค์การอนามัยโลกยกย่อง:
    "ประเทศไทยแสดงความเป็นผู้นำ...
    ในการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมแก้ไขวิกฤตสมัยใหม่"

    บทเรียนจากวิกฤต

    สำหรับวงการแพทย์

    "เราเรียนรู้ว่า...
    ยาสมัยใหม่ไม่ใช่คำตอบเดียว
    และภูมิปัญญาโบราณสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้"

    สำหรับสังคมไทย

    "วิกฤตนี้สอนเราให้เห็นคุณค่า...
    ของสมุนไพรไทยและความรู้ดั้งเดิม

    และแสดงให้เห็นว่า...
    เมื่อเราร่วมมือกัน เราสามารถ overcome ทุกวิกฤต"

    สำหรับอนาคต

    "การวิจัยสมุนไพรไทย...
    ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง

    เพราะในวิกฤตครั้งต่อไป...
    ความรู้เหล่านี้อาจช่วยมนุษยชาติได้อีก"

    การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

    นวัตกรรมต่อยอด

    พัฒนาจากบทเรียนนี้:

    · คลังสมุนไพรชาติ: เก็บรักษาสมุนไพรสำคัญ
    · วิจัยสูตรยา: พัฒนาต่อยอดจากตำรับโบราณ
    · ฝึกบุคลากร: นักสมุนไพรศาสตร์รุ่นใหม่

    โครงการระยะยาว

    ตั้ง สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย:

    · วัตถุประสงค์: ศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพร
    · ความร่วมมือ: ระหว่างภาครัฐและเอกชน
    · เป้าหมาย: เป็นศูนย์กลางสมุนไพรของอาเซียน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากร.ต.อ.สิงห์:
    "วิกฤตครั้งนี้สอนเราว่า...
    บางครั้งคำตอบอยู่ใกล้ตัวเรามาก

    และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ...
    คือมรดกล้ำค่าที่เราต้องรักษาไว้"

    บทเรียนแห่งการอยู่รอด:
    "เมื่อวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณเดินควบคู่...
    ไม่มีวิกฤตใดที่มนุษย์จะ overcome ไม่ได้"

    มรดกจากวิกฤต:
    "จากผีดิบปรสิต...
    สู่การตื่นตัวเรื่องสมุนไพรไทย

    และจากความสยองขวัญ...
    สู่ความหวังใหม่แห่งการแพทย์ไทย"
    O.P.K. 🧟‍♂️ คดีจอมผีดิบ 🚨 การระบาดลึกลับในกรุงเทพ 🏥 เหตุการณ์ไม่ปกติในโรงพยาบาล ร.ต.อ.สิงห์ได้รับแจ้งเหตุการณ์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลหลายแห่ง มีผู้ป่วยแสดงอาการแปลกๆ คล้าย"ผีดิบ" แต่เป็นทางการแพทย์ ```mermaid graph TB A[ผู้ป่วยมีอาการ<br>ดุร้ายผิดมนุษย์] --> B[ตรวจพบ<br>ปรสิตในเลือด] B --> C[ติดต่อผ่าน<br>การสัมผัสเลือด] C --> D[ควบคุมอาการ<br>ด้วยยาปกติไม่ได้] D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานชีวภาพประหลาด] ``` 🧬 ลักษณะของปรสิตกลายพันธุ์ แพทย์รายงานลักษณะประหลาด: "มันไม่ใช่ไวรัสหรือแบคทีเรียทั่วไป... แต่เป็นปรสิตที่มีสติปัญญา สามารถควบคุมสมองมนุษย์ได้ และที่สยองคือ...มันพัฒนาต้านทานต่อยาทุกชนิด!" 🔬 การสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ 🕵️ การตามหาต้นตอ ร.ต.อ.สิงห์และหนูดีร่วมกับทีมแพทย์สืบสวน: ```mermaid graph LR A[ตรวจสอบ<br>ผู้ป่วยรายแรก] --> B[ติดตามไปยัง<br>ใต้ดิน] B --> C[พบการทดลอง<br>ชีวภาพผิดกฎหมาย] C --> D[ค้นพบว่าเป็น<br>ปรสิตดัดแปลงพันธุกรรม] ``` 🧪 ลักษณะทางวิทยาศาสตร์ ```python class MutatedParasite: def __init__(self): self.characteristics = { "origin": "ปรสิตดัดแปลงจากพยาธิตัวจี๊ด", "transmission": "ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวร่างกาย", "incubation": "24-48 ชั่วโมง", "symptoms": [ "ผิวหนังคล้ำเหมือนศพ", "ตาขาวกลายเป็นสีดำ", "ความดุร้ายเพิ่มขึ้น 300%", "ความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้น" ], "intelligence": "สามารถสื่อสารระหว่างปรสิตได้" } self.abilities = { "mind_control": "ควบคุมระบบประสาทส่วนกลาง", "rapid_mutation": "ปรับตัวต่อยาอย่างรวดเร็ว", "hive_mind": "เชื่อมโยงความคิดระหว่างผู้ติดเชื้อ", "biological_enhancement": "เพิ่มความสามารถทางกายภาพ" } ``` 🚨 วิกฤตการณ์ระบาด 🏙️ การแพร่กระจายในเมือง การระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ: · ผู้ติดเชื้อ: แสดงพฤติกรรมคล้ายซอมบี้ · การติดต่อ: ผ่านการกัด, การสัมผัสเลือด · อัตราการเสียชีวิต: 90% ภายใน 1 สัปดาห์ 💀 ความน่าสะพรึงกลัว ผู้ติดเชื้อมีลักษณะ: · ผิวหนัง: หนาขึ้นเหมือนหนังศพ · ดวงตา: ไม่มีอารมณ์ ม่านตาขยายเต็มที่ · พฤติกรรม: ดุร้าย โจมตีผู้ไม่ติดเชื้อ · เสียง: ส่งเสียงคำราม กัดฟัน 🌿 การค้นพบวัคซีนสมุนไพรไทย 🔍 ความหวังจากภูมิปัญญาโบราณ หนูดีและทีมแพทย์ค้นพบว่า: "ปรสิตนี้อ่อนแอต่อสมุนไพรไทยบางชนิด... โดยเฉพาะสูตรยาตำรับโบราณ!" 💊 สูตรสมุนไพรรักษา ```python class ThaiHerbalVaccine: def __init__(self): self.herbal_components = { "primary": [ "ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการแบ่งตัวของปรสิต", "ขมิ้นชัน: ลดการอักเสบและทำลายเซลล์ปรสิต", "กระเทียม: สร้างสภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่ปรสิต", "ว่านหางจระเข้: ซ่อมแซุเซลล์ที่เสียหาย" ], "secondary": [ "มะระขี้นก: เพิ่มภูมิคุ้มกันเฉพาะ", "ตรีผลา: กำจัดพิษจากปรสิต", "เบญจกูล: ปรับสมดุลร่างกาย", "ย่านาง: ลดความดุร้ายจากปรสิต" ] } self.preparation = { "extraction": "สกัดด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิเหมาะสม", "combination": "ผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง", "administration": "ฉีดและรับประทานร่วมกัน", "dosage": "ปรับตามน้ำหนักและระดับการติดเชื้อ" } ``` 🧪 กระบวนการผลิต ```mermaid graph TB A[เก็บสมุนไพร<br>คุณภาพสูง] --> B[สกัดสารสำคัญ<br>ด้วยวิธีดั้งเดิม] B --> C[ผสมสูตร<br>ตามตำรับโบราณ] C --> D[ทดสอบประสิทธิภาพ<br>ในห้องปฏิบัติการ] D --> E[ผลิตเป็น<br>วัคซีนและยารักษา] ``` 🏥 การรักษาและป้องกัน 💉 โปรโตคอลการรักษา พัฒนาระบบรักษาผู้ติดเชื้อ: 1. กักกัน: ในพื้นที่ปลอดภัย 2. ให้ยา: สมุนไพรสูตรพิเศษ 3. บำบัด: ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ 4. ติดตามผล: อย่างใกล้ชิด 🛡️ มาตรการป้องกัน สำหรับประชาชนทั่วไป: · วัคซีนป้องกัน: จากสมุนไพรไทย · การตรวจเลือด: เป็นประจำ · หลีกเลี่ยง: การสัมผัสเลือดผู้อื่น · รู้จักอาการ: เฝ้าระวังตั้งแต่เริ่มต้น 🌍 ความร่วมมือระดับชาติ 🤝 การระดมสรรพกำลัง รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ: ```python class NationalResponse: def __init__(self): self.agencies_involved = [ "กระทรวงสาธารณสุข: นำทางการแพทย์", "กระทรวงกลาโหม: ควบคุมสถานการณ์", "มหาวิทยาลัย: วิจัยและพัฒนา", "องค์การเภสัชกรรม: ผลิตยา" ] self.resources_mobilized = { "medical": "แพทย์ พยาบาล เภสัชกร", "security": "ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร", "research": "นักวิทยาศาสตร์ นักสมุนไพรศาสตร์", "production": "โรงงานผลิตยา ศูนย์สกัดสมุนไพร" } ``` 📊 การจัดการวิกฤต ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน: · สถานที่: กรมควบคุมโรค · หน้าที่: ประสานงานทุกหน่วยงาน · เป้าหมาย: ยุติการระบาดภายใน 1 เดือน 🎯 ผลการดำเนินงาน 📈 ความคืบหน้าของการรักษา หลังใช้สมุนไพรไทย: ```mermaid graph LR A[สัปดาห์ที่ 1<br>ทดลองในสัตว์] --> B[สัปดาห์ที่ 2<br>ทดลองในมนุษย์] B --> C[สัปดาห์ที่ 3<br>ผลิตจำนวนมาก] C --> D[สัปดาห์ที่ 4<br>ควบคุมการระบาดได้] ``` 💪 อัตราความสำเร็จ · ป้องกันการติดเชื้อ: 95% · รักษาผู้ติดเชื้อ: 85% · ลดอาการดุร้าย: ภายใน 24 ชั่วโมง · ฟื้นตัวสมบูรณ์: 70% ภายใน 2 สัปดาห์ 🏆 ความสำเร็จที่โดดเด่น 🌟 จุดเปลี่ยนสำคัญ การค้นพบที่สำคัญ: · ฟ้าทะลายโจร: ยับยั้งการสื่อสารระหว่างปรสิต · ขมิ้นชัน: ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ปรสิต · สูตรรวม: สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว 🎖️ การได้รับการยอมรับ องค์การอนามัยโลกยกย่อง: "ประเทศไทยแสดงความเป็นผู้นำ... ในการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมแก้ไขวิกฤตสมัยใหม่" 📚 บทเรียนจากวิกฤต 🧠 สำหรับวงการแพทย์ "เราเรียนรู้ว่า... ยาสมัยใหม่ไม่ใช่คำตอบเดียว และภูมิปัญญาโบราณสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้" 💫 สำหรับสังคมไทย "วิกฤตนี้สอนเราให้เห็นคุณค่า... ของสมุนไพรไทยและความรู้ดั้งเดิม และแสดงให้เห็นว่า... เมื่อเราร่วมมือกัน เราสามารถ overcome ทุกวิกฤต" 🌿 สำหรับอนาคต "การวิจัยสมุนไพรไทย... ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง เพราะในวิกฤตครั้งต่อไป... ความรู้เหล่านี้อาจช่วยมนุษยชาติได้อีก" 🔮 การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต 💊 นวัตกรรมต่อยอด พัฒนาจากบทเรียนนี้: · คลังสมุนไพรชาติ: เก็บรักษาสมุนไพรสำคัญ · วิจัยสูตรยา: พัฒนาต่อยอดจากตำรับโบราณ · ฝึกบุคลากร: นักสมุนไพรศาสตร์รุ่นใหม่ 🌱 โครงการระยะยาว ตั้ง สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย: · วัตถุประสงค์: ศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพร · ความร่วมมือ: ระหว่างภาครัฐและเอกชน · เป้าหมาย: เป็นศูนย์กลางสมุนไพรของอาเซียน --- คำคมสุดท้ายจากร.ต.อ.สิงห์: "วิกฤตครั้งนี้สอนเราว่า... บางครั้งคำตอบอยู่ใกล้ตัวเรามาก และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ... คือมรดกล้ำค่าที่เราต้องรักษาไว้" บทเรียนแห่งการอยู่รอด: "เมื่อวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณเดินควบคู่... ไม่มีวิกฤตใดที่มนุษย์จะ overcome ไม่ได้"🌿✨ มรดกจากวิกฤต: "จากผีดิบปรสิต... สู่การตื่นตัวเรื่องสมุนไพรไทย และจากความสยองขวัญ... สู่ความหวังใหม่แห่งการแพทย์ไทย"🏥💚
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 902 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อักเสบเรื้อรังกลายเป็นตัวทำนายโรคหัวใจที่แม่นยำกว่าคอเลสเตอรอล — ACC แนะตรวจ hs-CRP เป็นมาตรฐานใหม่”

    เป็นเวลาหลายสิบปีที่คอเลสเตอรอล โดยเฉพาะ LDL หรือ ApoB ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดหลักในการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ แต่ล่าสุด American College of Cardiology (ACC) ได้ออกคำแนะนำใหม่เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 ว่า “การอักเสบเรื้อรัง” โดยเฉพาะค่าที่วัดจาก hs-CRP (high-sensitivity C-reactive protein) เป็นตัวทำนายโรคหัวใจที่แม่นยำกว่า และควรตรวจเป็นมาตรฐานร่วมกับคอเลสเตอรอลในทุกคน ไม่ว่าจะมีโรคหัวใจอยู่แล้วหรือไม่

    เหตุผลคือ แม้ผู้ป่วยจะควบคุมคอเลสเตอรอลได้ดีด้วยยาสแตติน แต่ยังมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่จากการอักเสบที่ไม่ถูกตรวจวัด ซึ่งเรียกว่า “residual inflammatory risk” โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแบบดั้งเดิม เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีเบาหวาน หรือความดันสูง แต่ยังมี hs-CRP สูงเกิน 2 mg/L

    การศึกษาหลายฉบับ เช่น JUPITER, COLCOT และ LoDoCo2 พบว่า การใช้ยาสแตตินและโคลชิซีนสามารถลดความเสี่ยงได้แม้ LDL จะอยู่ในระดับปกติ ส่วนยาใหม่อย่าง canakinumab แม้ลดเหตุการณ์หัวใจได้ แต่มีราคาสูงและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ

    นอกจากยาแล้ว ACC ยังเน้นการปรับพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, การรับประทานอาหารแบบ Mediterranean หรือ DASH, การเลิกบุหรี่ และการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งล้วนช่วยลด hs-CRP ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    การตรวจ hs-CRP เป็นการเจาะเลือดง่าย ๆ และราคาถูก โดยค่าต่ำกว่า 1 mg/L ถือว่าดี, 1–3 mg/L คือความเสี่ยงปานกลาง และมากกว่า 3 mg/L คือความเสี่ยงสูง หากเกิน 10 mg/L อาจเกิดจากการติดเชื้อชั่วคราว ควรตรวจซ้ำใน 2–3 สัปดาห์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ACC แนะนำให้ตรวจ hs-CRP เป็นมาตรฐานร่วมกับคอเลสเตอรอลในทุกคน
    hs-CRP เป็นตัวทำนายโรคหัวใจที่แม่นยำกว่าคอเลสเตอรอลในหลายกลุ่ม
    ความเสี่ยงหลงเหลือจากการอักเสบยังคงอยู่แม้ควบคุม LDL ได้ดี
    hs-CRP สูงกว่า 2 mg/L ในผู้ใช้สแตตินยังมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์หัวใจ
    ยาโคลชิซีนและสแตตินช่วยลด hs-CRP และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
    Canakinumab ลดเหตุการณ์หัวใจได้ แต่มีราคาสูงและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ
    การออกกำลังกายและอาหารแบบ Mediterranean/DASH ช่วยลด hs-CRP
    ค่าปกติของ hs-CRP คือ <1 mg/L, ความเสี่ยงปานกลาง 1–3 mg/L, ความเสี่ยงสูง >3 mg/L
    หาก hs-CRP >10 mg/L ควรตรวจซ้ำหลังจากหายจากการติดเชื้อ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    hs-CRP เป็นโปรตีนที่สร้างจากตับเมื่อเกิดการอักเสบในร่างกาย
    การอักเสบเรื้อรังเกี่ยวข้องกับการเกิดคราบไขมันในหลอดเลือดและการแตกของคราบ
    Imaging เช่น CT, MRI, PET อาจช่วยตรวจการอักเสบในหลอดเลือด แต่ยังไม่พร้อมใช้ทั่วไป
    Omega-3 (EPA + DHA) ช่วยลดการอักเสบและลดเหตุการณ์หัวใจในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว
    IL-6 inhibitors กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อใช้ลดการอักเสบในโรคหัวใจ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การตรวจ hs-CRP ครั้งเดียวอาจไม่แม่นยำ หากมีการติดเชื้อหรืออาการอักเสบอื่น
    ยาโคลชิซีนควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีปัญหาไตหรือตับ
    Canakinumab แม้มีผลดี แต่มีราคาสูงและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ
    การใช้ imaging เพื่อตรวจการอักเสบยังไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
    การไม่ตรวจ hs-CRP อาจทำให้พลาดการประเมินความเสี่ยงที่สำคัญ

    https://www.empirical.health/blog/inflammation-and-heart-health/
    ❤️‍🔥 “อักเสบเรื้อรังกลายเป็นตัวทำนายโรคหัวใจที่แม่นยำกว่าคอเลสเตอรอล — ACC แนะตรวจ hs-CRP เป็นมาตรฐานใหม่” เป็นเวลาหลายสิบปีที่คอเลสเตอรอล โดยเฉพาะ LDL หรือ ApoB ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดหลักในการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ แต่ล่าสุด American College of Cardiology (ACC) ได้ออกคำแนะนำใหม่เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 ว่า “การอักเสบเรื้อรัง” โดยเฉพาะค่าที่วัดจาก hs-CRP (high-sensitivity C-reactive protein) เป็นตัวทำนายโรคหัวใจที่แม่นยำกว่า และควรตรวจเป็นมาตรฐานร่วมกับคอเลสเตอรอลในทุกคน ไม่ว่าจะมีโรคหัวใจอยู่แล้วหรือไม่ เหตุผลคือ แม้ผู้ป่วยจะควบคุมคอเลสเตอรอลได้ดีด้วยยาสแตติน แต่ยังมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่จากการอักเสบที่ไม่ถูกตรวจวัด ซึ่งเรียกว่า “residual inflammatory risk” โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแบบดั้งเดิม เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีเบาหวาน หรือความดันสูง แต่ยังมี hs-CRP สูงเกิน 2 mg/L การศึกษาหลายฉบับ เช่น JUPITER, COLCOT และ LoDoCo2 พบว่า การใช้ยาสแตตินและโคลชิซีนสามารถลดความเสี่ยงได้แม้ LDL จะอยู่ในระดับปกติ ส่วนยาใหม่อย่าง canakinumab แม้ลดเหตุการณ์หัวใจได้ แต่มีราคาสูงและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ นอกจากยาแล้ว ACC ยังเน้นการปรับพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, การรับประทานอาหารแบบ Mediterranean หรือ DASH, การเลิกบุหรี่ และการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งล้วนช่วยลด hs-CRP ได้อย่างมีนัยสำคัญ การตรวจ hs-CRP เป็นการเจาะเลือดง่าย ๆ และราคาถูก โดยค่าต่ำกว่า 1 mg/L ถือว่าดี, 1–3 mg/L คือความเสี่ยงปานกลาง และมากกว่า 3 mg/L คือความเสี่ยงสูง หากเกิน 10 mg/L อาจเกิดจากการติดเชื้อชั่วคราว ควรตรวจซ้ำใน 2–3 สัปดาห์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ACC แนะนำให้ตรวจ hs-CRP เป็นมาตรฐานร่วมกับคอเลสเตอรอลในทุกคน ➡️ hs-CRP เป็นตัวทำนายโรคหัวใจที่แม่นยำกว่าคอเลสเตอรอลในหลายกลุ่ม ➡️ ความเสี่ยงหลงเหลือจากการอักเสบยังคงอยู่แม้ควบคุม LDL ได้ดี ➡️ hs-CRP สูงกว่า 2 mg/L ในผู้ใช้สแตตินยังมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์หัวใจ ➡️ ยาโคลชิซีนและสแตตินช่วยลด hs-CRP และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ➡️ Canakinumab ลดเหตุการณ์หัวใจได้ แต่มีราคาสูงและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ ➡️ การออกกำลังกายและอาหารแบบ Mediterranean/DASH ช่วยลด hs-CRP ➡️ ค่าปกติของ hs-CRP คือ <1 mg/L, ความเสี่ยงปานกลาง 1–3 mg/L, ความเสี่ยงสูง >3 mg/L ➡️ หาก hs-CRP >10 mg/L ควรตรวจซ้ำหลังจากหายจากการติดเชื้อ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ hs-CRP เป็นโปรตีนที่สร้างจากตับเมื่อเกิดการอักเสบในร่างกาย ➡️ การอักเสบเรื้อรังเกี่ยวข้องกับการเกิดคราบไขมันในหลอดเลือดและการแตกของคราบ ➡️ Imaging เช่น CT, MRI, PET อาจช่วยตรวจการอักเสบในหลอดเลือด แต่ยังไม่พร้อมใช้ทั่วไป ➡️ Omega-3 (EPA + DHA) ช่วยลดการอักเสบและลดเหตุการณ์หัวใจในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ➡️ IL-6 inhibitors กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อใช้ลดการอักเสบในโรคหัวใจ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การตรวจ hs-CRP ครั้งเดียวอาจไม่แม่นยำ หากมีการติดเชื้อหรืออาการอักเสบอื่น ⛔ ยาโคลชิซีนควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีปัญหาไตหรือตับ ⛔ Canakinumab แม้มีผลดี แต่มีราคาสูงและเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ ⛔ การใช้ imaging เพื่อตรวจการอักเสบยังไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ⛔ การไม่ตรวจ hs-CRP อาจทำให้พลาดการประเมินความเสี่ยงที่สำคัญ https://www.empirical.health/blog/inflammation-and-heart-health/
    WWW.EMPIRICAL.HEALTH
    Inflammation now predicts heart disease more strongly than cholesterol
    The American College of Cardiology now recommends everybody measure their hs-CRP.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความเหงาไม่ใช่แค่ความรู้สึก — แต่มันคือโรคเรื้อรังที่เปลี่ยนยีน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงตายเทียบเท่าการสูบบุหรี่”

    ในบทความล่าสุดโดย Faruk Alpay นักวิจัยด้านข้อมูลและสุขภาพ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “โรคระบาดแห่งความเหงา” ที่กำลังคุกคามสุขภาพมนุษย์ทั่วโลก โดยมีหลักฐานทางชีววิทยาชัดเจนว่า ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตถึง 32% และเพิ่มโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 31% ผ่านกลไกทางร่างกายที่คล้ายกับโรคเรื้อรัง เช่น การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, และการเปลี่ยนแปลงระดับยีน (epigenetic)

    การศึกษากว่า 90 งานวิจัยที่ครอบคลุมประชากรกว่า 2.2 ล้านคน พบว่าความเหงาทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะ GDF15 และ PCSK9 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ ความเหงายังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดแบบไม่สมดุล เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดการตอบสนองต่อไวรัส ทำให้ผู้ที่เหงาเรื้อรังมีโอกาสติดเชื้อและเจ็บป่วยมากขึ้น

    แต่ข่าวดีคือ เรารู้วิธีรักษาแล้ว — โปรแกรมฝึกสติแบบ 8 สัปดาห์สามารถลดความเหงาได้ถึง 22%, โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนาใช้กิจกรรมกลุ่มและโยคะลดความเหงาได้เกือบครึ่งใน 6 เดือน และการใช้สัตว์เลี้ยง (จริงหรือหุ่นยนต์) กับผู้สูงอายุให้ผลลัพธ์ดีถึง 100% ในการลดความรู้สึกโดดเดี่ยว

    แม้ความเหงาจะเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่การยอมรับมันอย่างไม่ตัดสิน และการสร้างความเชื่อมโยงใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การทักทายเพื่อนบ้าน หรือการเข้าร่วมกลุ่มอาสา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพกายและใจได้อย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิต 32% และโรคสมองเสื่อม 31%
    มีการเปลี่ยนแปลงระดับโปรตีนในร่างกาย เช่น GDF15 และ PCSK9 ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง
    ความเหงาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิดปกติ
    ระบบฮอร์โมนเครียด (HPA axis) ทำงานผิดปกติ เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล
    ความเหงาเร่งอายุชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลง epigenetic เช่น DNA methylation
    โปรแกรมฝึกสติ 14 วันลดความเหงาได้ 22% และเพิ่มการเข้าสังคมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน
    โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนา ลดความเหงาได้ 48.3% ภายใน 18 สัปดาห์
    การใช้สัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์ช่วยลดความเหงาในผู้สูงอายุได้ 100%
    การยอมรับความเหงาโดยไม่ตัดสิน (Monitor + Accept) มีผลดีกว่าการพยายาม “ต่อสู้” กับมัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WHO ระบุว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
    ความเหงาทำให้เกิดโรคหัวใจ, เบาหวาน, ซึมเศร้า และลดอายุขัยอย่างมีนัยสำคัญ
    การเชื่อมโยงทางสังคมช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะยาว
    โปรแกรม “social prescribing” ในอังกฤษช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง £3.42 ต่อ £1 ที่ลงทุน
    ความเหงาส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

    https://lightcapai.medium.com/the-loneliness-epidemic-threatens-physical-health-like-smoking-e063220dde8b
    🧬 “ความเหงาไม่ใช่แค่ความรู้สึก — แต่มันคือโรคเรื้อรังที่เปลี่ยนยีน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงตายเทียบเท่าการสูบบุหรี่” ในบทความล่าสุดโดย Faruk Alpay นักวิจัยด้านข้อมูลและสุขภาพ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ “โรคระบาดแห่งความเหงา” ที่กำลังคุกคามสุขภาพมนุษย์ทั่วโลก โดยมีหลักฐานทางชีววิทยาชัดเจนว่า ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตถึง 32% และเพิ่มโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 31% ผ่านกลไกทางร่างกายที่คล้ายกับโรคเรื้อรัง เช่น การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน, และการเปลี่ยนแปลงระดับยีน (epigenetic) การศึกษากว่า 90 งานวิจัยที่ครอบคลุมประชากรกว่า 2.2 ล้านคน พบว่าความเหงาทำให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะ GDF15 และ PCSK9 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ความเหงายังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดแบบไม่สมดุล เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล และกระตุ้นยีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดการตอบสนองต่อไวรัส ทำให้ผู้ที่เหงาเรื้อรังมีโอกาสติดเชื้อและเจ็บป่วยมากขึ้น แต่ข่าวดีคือ เรารู้วิธีรักษาแล้ว — โปรแกรมฝึกสติแบบ 8 สัปดาห์สามารถลดความเหงาได้ถึง 22%, โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนาใช้กิจกรรมกลุ่มและโยคะลดความเหงาได้เกือบครึ่งใน 6 เดือน และการใช้สัตว์เลี้ยง (จริงหรือหุ่นยนต์) กับผู้สูงอายุให้ผลลัพธ์ดีถึง 100% ในการลดความรู้สึกโดดเดี่ยว แม้ความเหงาจะเป็นภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่การยอมรับมันอย่างไม่ตัดสิน และการสร้างความเชื่อมโยงใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การทักทายเพื่อนบ้าน หรือการเข้าร่วมกลุ่มอาสา ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพกายและใจได้อย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ความเหงาเรื้อรังเพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิต 32% และโรคสมองเสื่อม 31% ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงระดับโปรตีนในร่างกาย เช่น GDF15 และ PCSK9 ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง ➡️ ความเหงาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและภูมิคุ้มกันผิดปกติ ➡️ ระบบฮอร์โมนเครียด (HPA axis) ทำงานผิดปกติ เกิดภาวะดื้อคอร์ติซอล ➡️ ความเหงาเร่งอายุชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลง epigenetic เช่น DNA methylation ➡️ โปรแกรมฝึกสติ 14 วันลดความเหงาได้ 22% และเพิ่มการเข้าสังคมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน ➡️ โปรแกรมชุมชนในบาร์เซโลนา ลดความเหงาได้ 48.3% ภายใน 18 สัปดาห์ ➡️ การใช้สัตว์เลี้ยงหรือหุ่นยนต์ช่วยลดความเหงาในผู้สูงอายุได้ 100% ➡️ การยอมรับความเหงาโดยไม่ตัดสิน (Monitor + Accept) มีผลดีกว่าการพยายาม “ต่อสู้” กับมัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WHO ระบุว่าความเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน ➡️ ความเหงาทำให้เกิดโรคหัวใจ, เบาหวาน, ซึมเศร้า และลดอายุขัยอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การเชื่อมโยงทางสังคมช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะยาว ➡️ โปรแกรม “social prescribing” ในอังกฤษช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึง £3.42 ต่อ £1 ที่ลงทุน ➡️ ความเหงาส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ https://lightcapai.medium.com/the-loneliness-epidemic-threatens-physical-health-like-smoking-e063220dde8b
    LIGHTCAPAI.MEDIUM.COM
    The loneliness epidemic threatens physical health like smoking
    Loneliness increases death risk by 32% but we know how to fix it. Real solutions that cut loneliness in half, from mindfulness to community…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 598 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปาฏิหาริย์แห่งการปลูกถ่าย: ชายอเมริกันมีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม — จุดเปลี่ยนของการแพทย์ข้ามสายพันธุ์”

    Tim Andrews ชายวัย 67 ปีจากสหรัฐฯ กลายเป็นบุคคลแรกในโลกที่มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังได้รับการปลูกถ่ายไตจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในวงการแพทย์ด้าน xenotransplantation — การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์

    ก่อนหน้านี้ Andrews ป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้ายและต้องฟอกไตมานานกว่า 2 ปี โดยมีโอกาสรอรับไตจากมนุษย์นานถึง 7 ปี เนื่องจากกรุ๊ปเลือดหายาก การปลูกถ่ายไตจากหมูจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายภายใต้ระบบ “Compassionate Use” ซึ่งอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติในกรณีฉุกเฉิน

    ไตที่ใช้ปลูกถ่ายมาจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมถึง 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    ลบแอนติเจน 3 ชนิดที่ทำให้ร่างกายมนุษย์ต่อต้านอวัยวะ
    เพิ่มยีนมนุษย์ 7 ตัวเพื่อลดการอักเสบและภาวะแทรกซ้อน
    ปิดการทำงานของไวรัสในจีโนมของหมู

    หลังการผ่าตัด Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลย และไม่มีอาการปฏิเสธอวัยวะหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุดในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หากเขาอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวที่น่าทึ่ง

    ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยที่มีอวัยวะจากหมูอยู่ได้นานที่สุดคือ Towana Looney ซึ่งอยู่ได้ 4 เดือน 9 วัน ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มต่อต้านอวัยวะและต้องนำออก

    ความสำเร็จของ Andrews ทำให้องค์กรด้านชีวเวชศาสตร์ เช่น eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้เริ่มทดลองปลูกถ่ายไตหมูในมนุษย์มากขึ้น โดยมีแผนทดลองกับผู้ป่วยกว่า 80 คนในสหรัฐฯ ภายในปีนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Tim Andrews มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม
    ถือเป็นสถิติใหม่ของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ (xenotransplantation)
    ไตหมูผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ
    Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลยหลังการปลูกถ่าย
    การปลูกถ่ายเกิดขึ้นภายใต้ระบบ Compassionate Use สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือก
    บริษัท eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้ทดลองปลูกถ่ายกับผู้ป่วยเพิ่ม
    หากอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวของเทคโนโลยีนี้
    การทดลองนี้อาจนำไปสู่การปลูกถ่ายอวัยวะอื่นจากหมู เช่น หัวใจและปอด
    การใช้ CRISPR ช่วยให้สามารถดัดแปลงพันธุกรรมหมูได้หลายจุดพร้อมกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในสหรัฐฯ มีผู้รอปลูกถ่ายไตมากกว่า 89,000 คน
    การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์ช่วยลดภาระการรออวัยวะจากมนุษย์
    หมูเป็นสัตว์ที่มีขนาดอวัยวะใกล้เคียงกับมนุษย์ และสามารถดัดแปลงพันธุกรรมได้ง่าย
    การปิดไวรัสในจีโนมหมูช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์
    การปลูกถ่ายแบบ xenotransplantation เคยถูกทดลองตั้งแต่ศตวรรษที่ 17

    https://www.nature.com/articles/d41586-025-02851-w
    🧬 “ปาฏิหาริย์แห่งการปลูกถ่าย: ชายอเมริกันมีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม — จุดเปลี่ยนของการแพทย์ข้ามสายพันธุ์” Tim Andrews ชายวัย 67 ปีจากสหรัฐฯ กลายเป็นบุคคลแรกในโลกที่มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังได้รับการปลูกถ่ายไตจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในวงการแพทย์ด้าน xenotransplantation — การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ ก่อนหน้านี้ Andrews ป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้ายและต้องฟอกไตมานานกว่า 2 ปี โดยมีโอกาสรอรับไตจากมนุษย์นานถึง 7 ปี เนื่องจากกรุ๊ปเลือดหายาก การปลูกถ่ายไตจากหมูจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายภายใต้ระบบ “Compassionate Use” ซึ่งอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติในกรณีฉุกเฉิน ไตที่ใช้ปลูกถ่ายมาจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมถึง 3 ขั้นตอน ได้แก่: 🗝️ ลบแอนติเจน 3 ชนิดที่ทำให้ร่างกายมนุษย์ต่อต้านอวัยวะ 🗝️ เพิ่มยีนมนุษย์ 7 ตัวเพื่อลดการอักเสบและภาวะแทรกซ้อน 🗝️ ปิดการทำงานของไวรัสในจีโนมของหมู หลังการผ่าตัด Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลย และไม่มีอาการปฏิเสธอวัยวะหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุดในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หากเขาอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวที่น่าทึ่ง ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยที่มีอวัยวะจากหมูอยู่ได้นานที่สุดคือ Towana Looney ซึ่งอยู่ได้ 4 เดือน 9 วัน ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มต่อต้านอวัยวะและต้องนำออก ความสำเร็จของ Andrews ทำให้องค์กรด้านชีวเวชศาสตร์ เช่น eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้เริ่มทดลองปลูกถ่ายไตหมูในมนุษย์มากขึ้น โดยมีแผนทดลองกับผู้ป่วยกว่า 80 คนในสหรัฐฯ ภายในปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Tim Andrews มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม ➡️ ถือเป็นสถิติใหม่ของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ (xenotransplantation) ➡️ ไตหมูผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ ➡️ Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลยหลังการปลูกถ่าย ➡️ การปลูกถ่ายเกิดขึ้นภายใต้ระบบ Compassionate Use สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือก ➡️ บริษัท eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้ทดลองปลูกถ่ายกับผู้ป่วยเพิ่ม ➡️ หากอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวของเทคโนโลยีนี้ ➡️ การทดลองนี้อาจนำไปสู่การปลูกถ่ายอวัยวะอื่นจากหมู เช่น หัวใจและปอด ➡️ การใช้ CRISPR ช่วยให้สามารถดัดแปลงพันธุกรรมหมูได้หลายจุดพร้อมกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในสหรัฐฯ มีผู้รอปลูกถ่ายไตมากกว่า 89,000 คน ➡️ การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์ช่วยลดภาระการรออวัยวะจากมนุษย์ ➡️ หมูเป็นสัตว์ที่มีขนาดอวัยวะใกล้เคียงกับมนุษย์ และสามารถดัดแปลงพันธุกรรมได้ง่าย ➡️ การปิดไวรัสในจีโนมหมูช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์ ➡️ การปลูกถ่ายแบบ xenotransplantation เคยถูกทดลองตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 https://www.nature.com/articles/d41586-025-02851-w
    WWW.NATURE.COM
    ‘Amazing feat’: US man still alive six months after pig kidney transplant
    The first six months after an organ transplant are the riskiest for recipients.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • “คิดลบซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น — งานวิจัยจากจีนชี้ชัด ความเครียดทางใจส่งผลต่อความจำและการตัดสินใจในผู้สูงอายุ”

    ในยุคที่ผู้สูงอายุเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและสังคม งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนแห่งหูเป่ย (Hubei University of Chinese Medicine) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่าง “การคิดลบซ้ำ ๆ” หรือ Repetitive Negative Thinking (RNT) กับการเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางปัญญาในผู้สูงอายุ

    การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 424 คน อายุ 60 ปีขึ้นไปในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้แบบสอบถาม Perseverative Thinking Questionnaire (PTQ) เพื่อวัดระดับการคิดลบ และใช้แบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) เพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจ

    ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่มีคะแนน RNT สูง (กลุ่ม Q3 และ Q4) มีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ รายได้ การศึกษา และโรคประจำตัวแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ความสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจน

    นักวิจัยอธิบายว่า การคิดลบซ้ำ ๆ เช่น การกังวลเรื่องอนาคต หรือการครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด จะกระตุ้นระบบความเครียดในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์

    นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “หนี้สมอง” (Cognitive Debt) ที่อธิบายว่า การใช้ทรัพยากรสมองไปกับความคิดลบอย่างต่อเนื่อง จะลดความสามารถในการจดจำและตัดสินใจในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ศึกษาในผู้สูงอายุ 424 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
    ใช้แบบสอบถาม PTQ วัดระดับการคิดลบ และ MoCA วัดความสามารถทางสมอง
    ผู้ที่มี RNT สูงมีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำ
    ความสัมพันธ์ชัดเจนในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป

    กลไกที่อธิบายผลกระทบ
    การคิดลบซ้ำ ๆ กระตุ้นระบบความเครียด ทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้น
    เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมโปรตีนอะไมลอยด์และเทา
    แนวคิด “หนี้สมอง” อธิบายว่าความคิดลบใช้ทรัพยากรสมองจนหมด
    ส่งผลต่อความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจในระยะยาว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจาก UCL พบว่า RNT เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะ 4 ปี
    RNT เป็นอาการร่วมในโรคซึมเศร้า วิตกกังวล PTSD และโรคนอนไม่หลับ
    การลด RNT ด้วย CBT, mindfulness และกิจกรรมทางสังคมช่วยป้องกันสมองเสื่อม
    การตรวจสอบ RNT ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ

    https://bmcpsychiatry.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12888-025-06815-2
    🧠 “คิดลบซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น — งานวิจัยจากจีนชี้ชัด ความเครียดทางใจส่งผลต่อความจำและการตัดสินใจในผู้สูงอายุ” ในยุคที่ผู้สูงอายุเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและสังคม งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนแห่งหูเป่ย (Hubei University of Chinese Medicine) ได้เปิดเผยความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่าง “การคิดลบซ้ำ ๆ” หรือ Repetitive Negative Thinking (RNT) กับการเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางปัญญาในผู้สูงอายุ การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วม 424 คน อายุ 60 ปีขึ้นไปในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้แบบสอบถาม Perseverative Thinking Questionnaire (PTQ) เพื่อวัดระดับการคิดลบ และใช้แบบทดสอบ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) เพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจ ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่มีคะแนน RNT สูง (กลุ่ม Q3 และ Q4) มีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ รายได้ การศึกษา และโรคประจำตัวแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ความสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจน นักวิจัยอธิบายว่า การคิดลบซ้ำ ๆ เช่น การกังวลเรื่องอนาคต หรือการครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด จะกระตุ้นระบบความเครียดในร่างกาย ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ยังมีแนวคิด “หนี้สมอง” (Cognitive Debt) ที่อธิบายว่า การใช้ทรัพยากรสมองไปกับความคิดลบอย่างต่อเนื่อง จะลดความสามารถในการจดจำและตัดสินใจในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ศึกษาในผู้สูงอายุ 424 คนในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ➡️ ใช้แบบสอบถาม PTQ วัดระดับการคิดลบ และ MoCA วัดความสามารถทางสมอง ➡️ ผู้ที่มี RNT สูงมีคะแนน MoCA ต่ำกว่ากลุ่มที่มี RNT ต่ำ ➡️ ความสัมพันธ์ชัดเจนในกลุ่มอายุ 60–79 ปี และผู้มีการศึกษาระดับมัธยมขึ้นไป ✅ กลไกที่อธิบายผลกระทบ ➡️ การคิดลบซ้ำ ๆ กระตุ้นระบบความเครียด ทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้น ➡️ เกิดการอักเสบในสมอง และอาจนำไปสู่การสะสมโปรตีนอะไมลอยด์และเทา ➡️ แนวคิด “หนี้สมอง” อธิบายว่าความคิดลบใช้ทรัพยากรสมองจนหมด ➡️ ส่งผลต่อความจำ ความสนใจ และการตัดสินใจในระยะยาว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจาก UCL พบว่า RNT เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะ 4 ปี ➡️ RNT เป็นอาการร่วมในโรคซึมเศร้า วิตกกังวล PTSD และโรคนอนไม่หลับ ➡️ การลด RNT ด้วย CBT, mindfulness และกิจกรรมทางสังคมช่วยป้องกันสมองเสื่อม ➡️ การตรวจสอบ RNT ควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ https://bmcpsychiatry.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12888-025-06815-2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 643 มุมมอง 0 รีวิว
  • “หัวใจวายอาจไม่ใช่แค่เรื่องไขมัน — งานวิจัยใหม่ชี้ ‘โรคติดเชื้อ’ อาจเป็นต้นเหตุที่ซ่อนอยู่”

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tampere และ Oulu ประเทศฟินแลนด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford สหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโรคหัวใจวาย (myocardial infarction) ไปอย่างสิ้นเชิง โดยพบหลักฐานว่า “การติดเชื้อ” อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจวายได้จริง

    จากการศึกษาชิ้นนี้ นักวิจัยพบว่าในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) มีคราบไขมัน (atherosclerotic plaque) ที่สะสมอยู่ในหลอดเลือด ซึ่งภายในคราบนั้นมี “biofilm” หรือแผ่นฟิล์มแบคทีเรียที่ซ่อนตัวอยู่แบบไม่แสดงอาการมานานหลายปี โดยแบคทีเรียเหล่านี้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันและยาปฏิชีวนะได้ เพราะ biofilm มีโครงสร้างที่หนาแน่นและป้องกันการเข้าถึง

    เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสหรือสิ่งกระตุ้นภายนอกอื่น ๆ biofilm จะถูกกระตุ้นให้ปล่อยแบคทีเรียออกมา ทำให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้คราบไขมันแตกออก เกิดลิ่มเลือด และนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ นักวิจัยสามารถตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปาก เช่น viridans streptococci ในคราบไขมันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากหัวใจวาย และผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือด ซึ่งเป็นหลักฐานโดยตรงครั้งแรกที่เชื่อมโยงแบคทีเรียกับโรคหัวใจ

    การค้นพบนี้เปิดทางให้มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต และอาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจอย่างสิ้นเชิง

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    พบ biofilm แบคทีเรียในคราบไขมันหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคหัวใจ
    แบคทีเรียใน biofilm อยู่ในสภาพไม่แสดงอาการ และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน
    การติดเชื้อไวรัสสามารถกระตุ้นให้ biofilm ปล่อยแบคทีเรียออกมา
    การอักเสบจากแบคทีเรียทำให้คราบไขมันแตก และเกิดลิ่มเลือด

    การตรวจสอบและหลักฐาน
    ตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปากในคราบไขมันของผู้ป่วย
    ใช้เทคนิค immunostaining และ genome-wide analysis เพื่อยืนยันผล
    พบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันผ่านตัวรับ TLR2 ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
    การศึกษาครอบคลุมผู้เสียชีวิตจากหัวใจวาย 121 ราย และผู้ป่วยผ่าตัดหลอดเลือด 96 ราย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Biofilm เป็นโครงสร้างที่แบคทีเรียใช้ป้องกันตัวจากยาปฏิชีวนะและภูมิคุ้มกัน
    Viridans streptococci เป็นแบคทีเรียที่พบทั่วไปในช่องปาก แต่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้
    แนวคิดว่าโรคหัวใจอาจเกิดจากการติดเชื้อมีการถกเถียงมาตั้งแต่ยุค 1980s
    หากพัฒนาเป็นวัคซีนได้ อาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจในระดับประชากร

    https://www.tuni.fi/en/news/myocardial-infarction-may-be-infectious-disease
    🦠 “หัวใจวายอาจไม่ใช่แค่เรื่องไขมัน — งานวิจัยใหม่ชี้ ‘โรคติดเชื้อ’ อาจเป็นต้นเหตุที่ซ่อนอยู่” ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tampere และ Oulu ประเทศฟินแลนด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford สหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโรคหัวใจวาย (myocardial infarction) ไปอย่างสิ้นเชิง โดยพบหลักฐานว่า “การติดเชื้อ” อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจวายได้จริง จากการศึกษาชิ้นนี้ นักวิจัยพบว่าในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) มีคราบไขมัน (atherosclerotic plaque) ที่สะสมอยู่ในหลอดเลือด ซึ่งภายในคราบนั้นมี “biofilm” หรือแผ่นฟิล์มแบคทีเรียที่ซ่อนตัวอยู่แบบไม่แสดงอาการมานานหลายปี โดยแบคทีเรียเหล่านี้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันและยาปฏิชีวนะได้ เพราะ biofilm มีโครงสร้างที่หนาแน่นและป้องกันการเข้าถึง เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสหรือสิ่งกระตุ้นภายนอกอื่น ๆ biofilm จะถูกกระตุ้นให้ปล่อยแบคทีเรียออกมา ทำให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้คราบไขมันแตกออก เกิดลิ่มเลือด และนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด สิ่งที่น่าทึ่งคือ นักวิจัยสามารถตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปาก เช่น viridans streptococci ในคราบไขมันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากหัวใจวาย และผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือด ซึ่งเป็นหลักฐานโดยตรงครั้งแรกที่เชื่อมโยงแบคทีเรียกับโรคหัวใจ การค้นพบนี้เปิดทางให้มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต และอาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจอย่างสิ้นเชิง ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ พบ biofilm แบคทีเรียในคราบไขมันหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคหัวใจ ➡️ แบคทีเรียใน biofilm อยู่ในสภาพไม่แสดงอาการ และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ➡️ การติดเชื้อไวรัสสามารถกระตุ้นให้ biofilm ปล่อยแบคทีเรียออกมา ➡️ การอักเสบจากแบคทีเรียทำให้คราบไขมันแตก และเกิดลิ่มเลือด ✅ การตรวจสอบและหลักฐาน ➡️ ตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปากในคราบไขมันของผู้ป่วย ➡️ ใช้เทคนิค immunostaining และ genome-wide analysis เพื่อยืนยันผล ➡️ พบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันผ่านตัวรับ TLR2 ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ➡️ การศึกษาครอบคลุมผู้เสียชีวิตจากหัวใจวาย 121 ราย และผู้ป่วยผ่าตัดหลอดเลือด 96 ราย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Biofilm เป็นโครงสร้างที่แบคทีเรียใช้ป้องกันตัวจากยาปฏิชีวนะและภูมิคุ้มกัน ➡️ Viridans streptococci เป็นแบคทีเรียที่พบทั่วไปในช่องปาก แต่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ ➡️ แนวคิดว่าโรคหัวใจอาจเกิดจากการติดเชื้อมีการถกเถียงมาตั้งแต่ยุค 1980s ➡️ หากพัฒนาเป็นวัคซีนได้ อาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจในระดับประชากร https://www.tuni.fi/en/news/myocardial-infarction-may-be-infectious-disease
    WWW.TUNI.FI
    Myocardial infarction may be an infectious disease | Tampere universities
    A pioneering study by researchers from Finland and the UK has demonstrated for the first time that myocardial infarction may be an infectious disease. This discovery challenges the conventional und...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 491 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปืนกาวพิมพ์กระดูก — นวัตกรรมใหม่จากเกาหลีใต้ เปลี่ยนการผ่าตัดกระดูกให้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น”

    ใครจะคิดว่า “ปืนกาว” ที่เราใช้ในงานประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตในห้องผ่าตัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ได้พัฒนาอุปกรณ์พิมพ์สามมิติแบบมือถือที่สามารถ “พิมพ์กระดูกเทียม” ลงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้โดยตรงระหว่างการผ่าตัด

    อุปกรณ์นี้มีลักษณะคล้ายปืนกาวทั่วไป แต่ใช้วัสดุแท่งที่ประกอบด้วย polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ และ hydroxyapatite (HA) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกตามธรรมชาติ เมื่อหลอมละลายแล้วจะกลายเป็นโครงสร้างรองรับการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ โดยสามารถปรับทิศทาง ความลึก และมุมการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับการซ่อมแซมรอยแตกหรือช่องว่างที่มีรูปร่างไม่แน่นอน

    นอกจากความสามารถในการพิมพ์โครงสร้างกระดูกแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถผสมยาปฏิชีวนะ เช่น vancomycin และ gentamycin ลงในวัสดุพิมพ์ได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด และลดการใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินที่อาจนำไปสู่การดื้อยา

    การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยอุปกรณ์นี้มีความแข็งแรงสูง กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง โดยวัสดุจะค่อย ๆ สลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริงในระยะเวลา 12 สัปดาห์

    แม้เทคโนโลยีนี้จะยังไม่พร้อมใช้งานในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของการผ่าตัดแบบ “พิมพ์สด” ที่อาจเปลี่ยนวิธีการรักษากระดูกในอนาคต

    จุดเด่นของเทคโนโลยีปืนกาวพิมพ์กระดูก
    พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้
    ใช้วัสดุ PCL และ hydroxyapatite ซึ่งปลอดภัยและกระตุ้นการสร้างกระดูก
    พิมพ์ได้โดยตรงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด
    ปรับทิศทาง มุม และความลึกของการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์

    ความสามารถเพิ่มเติม
    ผสมยาปฏิชีวนะลงในวัสดุพิมพ์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
    ไม่ต้องใช้สารละลายที่เป็นพิษ — ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ
    วัสดุพิมพ์สามารถสลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริง
    ใช้เวลาพิมพ์เพียงไม่กี่นาที — ลดเวลาในการผ่าตัด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองในสัตว์แสดงผลลัพธ์ที่ดีในด้านความแข็งแรงและการฟื้นฟู
    การปรับสัดส่วน HA/PCL สามารถควบคุมความแข็งและอัตราการสลายตัวได้
    อุปกรณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน เช่น MIT, KAIST, SNU
    เทคโนโลยีนี้อาจแทนที่ bone cement และการปลูกถ่ายโลหะในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-develop-modified-glue-gun-that-can-print-bone-device-3d-prints-synthetic-grafts-directly-onto-patients-living-tissue-during-surgery
    🦴 “ปืนกาวพิมพ์กระดูก — นวัตกรรมใหม่จากเกาหลีใต้ เปลี่ยนการผ่าตัดกระดูกให้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น” ใครจะคิดว่า “ปืนกาว” ที่เราใช้ในงานประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตในห้องผ่าตัด ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ได้พัฒนาอุปกรณ์พิมพ์สามมิติแบบมือถือที่สามารถ “พิมพ์กระดูกเทียม” ลงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้โดยตรงระหว่างการผ่าตัด อุปกรณ์นี้มีลักษณะคล้ายปืนกาวทั่วไป แต่ใช้วัสดุแท่งที่ประกอบด้วย polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ และ hydroxyapatite (HA) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกตามธรรมชาติ เมื่อหลอมละลายแล้วจะกลายเป็นโครงสร้างรองรับการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ โดยสามารถปรับทิศทาง ความลึก และมุมการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับการซ่อมแซมรอยแตกหรือช่องว่างที่มีรูปร่างไม่แน่นอน นอกจากความสามารถในการพิมพ์โครงสร้างกระดูกแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถผสมยาปฏิชีวนะ เช่น vancomycin และ gentamycin ลงในวัสดุพิมพ์ได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด และลดการใช้ยาปฏิชีวนะแบบกินที่อาจนำไปสู่การดื้อยา การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างที่พิมพ์ด้วยอุปกรณ์นี้มีความแข็งแรงสูง กระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง โดยวัสดุจะค่อย ๆ สลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริงในระยะเวลา 12 สัปดาห์ แม้เทคโนโลยีนี้จะยังไม่พร้อมใช้งานในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของการผ่าตัดแบบ “พิมพ์สด” ที่อาจเปลี่ยนวิธีการรักษากระดูกในอนาคต ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยีปืนกาวพิมพ์กระดูก ➡️ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Sungkyunkwan (SKKU) ประเทศเกาหลีใต้ ➡️ ใช้วัสดุ PCL และ hydroxyapatite ซึ่งปลอดภัยและกระตุ้นการสร้างกระดูก ➡️ พิมพ์ได้โดยตรงบนเนื้อเยื่อของผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด ➡️ ปรับทิศทาง มุม และความลึกของการพิมพ์ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ความสามารถเพิ่มเติม ➡️ ผสมยาปฏิชีวนะลงในวัสดุพิมพ์เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ➡️ ไม่ต้องใช้สารละลายที่เป็นพิษ — ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อ ➡️ วัสดุพิมพ์สามารถสลายตัวและถูกแทนที่ด้วยกระดูกจริง ➡️ ใช้เวลาพิมพ์เพียงไม่กี่นาที — ลดเวลาในการผ่าตัด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองในสัตว์แสดงผลลัพธ์ที่ดีในด้านความแข็งแรงและการฟื้นฟู ➡️ การปรับสัดส่วน HA/PCL สามารถควบคุมความแข็งและอัตราการสลายตัวได้ ➡️ อุปกรณ์นี้ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบัน เช่น MIT, KAIST, SNU ➡️ เทคโนโลยีนี้อาจแทนที่ bone cement และการปลูกถ่ายโลหะในอนาคต https://www.tomshardware.com/3d-printing/researchers-develop-modified-glue-gun-that-can-print-bone-device-3d-prints-synthetic-grafts-directly-onto-patients-living-tissue-during-surgery
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027

    แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น

    ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง

    ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว

    แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน
    มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry”
    ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน
    ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030

    รายละเอียดของแผน 17 ข้อ
    พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ
    ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน
    สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time
    ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค

    ความคืบหน้าทางเทคนิค
    ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ
    ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด
    มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว

    การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค
    สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว
    วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
    คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    🎙️ เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027 แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว ✅ แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน ➡️ มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry” ➡️ ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน ➡️ ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030 ✅ รายละเอียดของแผน 17 ข้อ ➡️ พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน ➡️ สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ➡️ ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค ✅ ความคืบหน้าทางเทคนิค ➡️ ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ ➡️ ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด ➡️ มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว ✅ การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค ➡️ สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว ➡️ วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ➡️ คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China plans to outpace Neuralink with a state-backed brain chip blitz — seven ministries, a 17-point roadmap, and clinical trials where patients play chess
    Plan aims to streamline approval by bringing regulators in at the beginning, potentially shaving years off the lab-to-market timeline.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชัดเจนขนาดนี้จะพูดอะไรได้อีก จะให้เข้าใจอะไรได้อีก ,รัฐบาลไร้แอ็คชั่นเชิงรุกต่อเขมรและนายกฯชุดทั้งรัฐบาลชุดนี้คือพรรคหลักและพรรคร่วมรวมเป็นชุดรัฐบาลนี้โดยมีผู้นำและที่ปรึกษานายกฯอยู่รอบตัวด้วยทำเอาคลิปหรือเหตุจากคลิปหลุดนั้นให้เข้าใจและเชื่อเป็นอย่างอื่นว่าแกนนำนายกฯรัฐบาลชุดนี้ทั้งคณะไม่มีความซื่อสัตย์ต่อประเทศและไม่จริงใจอะไรต่อทหารไทยตนที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศกำจัดศัตรูที่รุกรานจริง,แต่เสือกอ้อแอ้ทำกิริยาหมาเลียปากกับเขมรกัดคนไทยจนตายด้วย,ใช้ไม่ได้อะไรเลยในการจะสนับสนุนทหารไทยตนเต็มที่เช่นกัน,ไม่ดำเนินเชิงรุกเชิงกำจัดภัยบ้านภัยเมืองภัยชาติของตน,เหลาะแหละอ่อนกากกระจอกแต่เสือกยังอยากอยู่บริหารจัดการประเทศ,พรรคร่วมทั้งหมดก็ด้วย สส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดคือพวกเดียวกันด้วยร่วมขัดขวางทหารไทยตนในการกำจัดศัตรูชาติตนให้เด็ดขาดด้วย,รัฐบาลหมดสิ้นประสิทธิภาพ ไร้ฝีมือปกป้องชาติ ไร้ฝีมือไร้ความสามารถกำจัดภัยร้ายจริงของชาติไทยตนให้สิ้นซากมิให้มารุกรานไทยตนซ้ำซากเหมือนในอดีตจนลุกลามใหญ่โตถึงปัจจุบัน และยังยั่วยุอยู่ตลอดเวลาแต่รัฐบาลกลับให้ทหารไทยตนปฏิบัติลำบากเสมือนช่วยเขมรภัยรุกรานแผ่นดินไทยตนนั้นเอง,ลวดหนามยังสั่งเบรคแสดงความไม่พอใจใช้ได้ที่ไหน,ตนต้องสั่งจัดการขั้นตอนที่ยาวให้สั้นลง,จึงทันกาลต่อภัยเบื้องหน้าที่เผชิญอยู่ระเบียบบ้าบอทางราชการเก็บพับไว้ก่อน เปิดทางให้โล่ง หมวกทหารที่กันหนังสติ๊กก็สั่งสนับสนุนให้ทหารมีทุกๆคนเพื่อปกป้องร่างกายทหารตน ไม่ยิงใส่หัวกระโหลกแตกกระโหลกยุบได้ ถึงอักเสบถึงพิการทางสมองทางร่างกายถึงตายก็ได้แบบระเบิดปิงปองใส่หนังสติ๊กหรือหินพิเศษทะลุให้เจ็บพิการอักเสบได้,การสนับสนุนทางทหารในภาวะผิดปกตินี้มากมายหลากหลายมิติต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ทหารขาดอะไรต้องเรียลไทม์ตอบสนองทันทีเพื่อปกป้องและกำจัดผู้เป็นภัยต่ออธิปไตยชาติตน,การปกป้องอธิปไตยไทยถือว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลว ต้องออกไปทั้งชุดรัฐบาลก่อนมีความผิดมากมายกว่านี้ซึ่งกูรูคนเก่งคนมีความสามารถมากมายบนแผ่นดินไทยเห็นเหตุเห็นหลักฐานเห็นพยานเห็นนัยยะชั่วเลวที่แอบแฝงได้หมดสิ้นล่ะ,อาจประหารชีวิตทั้งชุดสส.ชุดรัฐบาลนี้ด้วยข้อหาเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยตนทั้งคณะรัฐบาล อาทิเช่นพยายามตั้งใจกอด1:200,000ไว้ผิดปกติ ทั้งที่ทหารไทย ทหารลาว ทหารเวียดนามต่างร่วมกันใช้1:50,000เป็นเขตแดน,กอดmou43และ44อย่างมุ่งมั่นตั้งใจกอดทั้งที่เขมรผิดข้อตกลงแล้ว เมื่อผิดข้อตกลงใดๆอีกฝ่ายสามารถยกเลิกข้อตกลงนั้นทั้งหมด,ตลอดสอดไส้ทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งประเทศที่ไม่สนับสนุนให้คนเขมน ทหารเขมรที่มิใช่เชลยศึกเสือกไปสอดไส้ตกลงในการเจรจาที่มาเลย์รับคนเขมร ทหารเขมรมารักษาในโรงพยาบาลไทย ทั้งที่มันเปิดสงครามก่อนยิงโรงพยาบาลไทยโรงเรียนไทยปั้มน้ำมันไทยบ้านเรือนคนไทยตายคา7/11เกือบหมดครอบครัวและเด็กเล็กๆไทยอีก รัฐบาลไทยชุดนี้ทรยศประชาชนคนไทยชัดเจน ทำทุกๆวิถีทางอำนวยอวยเขมร หมดสิ้นความไว้วางใจใดๆต่อรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งสำนึกคนปกติธรรมดาพึ่งรับรู้เป็นปกติได้ว่า,รัฐบาลสมควรหมดอำนาจไป,ออกไปจากอำนาจ,แค่คลิปเสียงก็เข้าข่ายกบฎทรยศต่ออธิปไตยตนแล้ว,คือกบฎทั้งชุดรัฐบาลนี้พรรคหลักพรรคร่วมคือคนกบฎต่ออธิปไตยไทย สส.รัฐบาลคือกบฎต่ออธิปไตยไทย,ไม่มีสส.คนใดในฝ่ายรัฐบาลลาออกใดๆที่เขมรเปิดก่อน,รัฐบาลนี้ล้มเหลวในการปกป้องรักษาอธิปไตยไทยตน,และไม่เคยมีกูรูคนดังมากมายขนาดนี้แสดงความคิดเห็นหนักหน่วงด่าว่ารัฐบาลอย่างเปิดเผยมากมายเหมือนรัฐบาลชุดนีั,เช่นคุณวีระชี้ชัดว่ารัฐบาลนี้ขายชาติขายผลประโยชน์ประเทศเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในทรัพยากรมีค่ามากมายแบบบ่อน้ำมันในอ่าวไทยที่หากใช้1:200,000สำเร็จพื้นที่ดินแดน เขมรจะขีดกินพื้นที่มากมายเข้ามาในอ่าวไทยปกติของเดิมเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ เขมรจะได้ประโยชน์ในทรัยากรมีค่ามากมายในอ่าวไทยที่ขีดลุกล้ำได้มาเพิ่มนั้นตีมูลค่าแค่น้ำมันกว่า10ล้านล้านบาท ทรัพยากรอื่นๆอีกทั้งหมดรวมกันไม่น้อยกว่า100ล้านล้านตลอดแนวพรมแดนที่เขมรได้เข้ามากินพื้นที่เข้ามาจากเขตแดนของประเทศปกติ,เพชรพลอยทองคำแร่เอิร์ดทรัพยากรมีค่ามากมายในพื้นที่ภูเขาพื้นที่พรมแดนถึงอ่าวไทยจะเป็นผลประโยชน์มหาศาลนั้นเอง,ต่างชาติอเมริกาและฝรั่งเศสรวมฝรั่งอื่นๆทั้งหมดเห็นสิ่งนี้ด้วยจึงวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วก่อนเขมรเปิดสงครามยิงก่อนอีก,ก่อนหาวิธีการให้อุ๊งอิ๊งรอดภาระหนักสาระพัดเรื่องตอบออกไปก่อนอุ้มลูกอุ้มหลานอังเคิลลงก่อนให้ตัวแทนมาตายแทนมารับผืดชอบตอบไขปัญหาสู้กับสื่อแทนคือลอยตัวนั้นเอง ไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะนายกฯเพราะพักงานทันก่อนจุดฉนวนก่อเหตุ,คือพื้นๆมากนั้นเอง ละครกำกับฉากโดยciaอเมริกาก็ด้วย.
    ..สรุปทหารไทยประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศทันทีจะตัดตอนหลากหลายกลยุทธของภัยร้ายต่ออธิปไตยชาติไทยเราได้เกือบทั้งหมด,มาเลย์โดยciaกำกับจะลุกรานทางภาคใต้เราอีก,ตีทั้งอีสานใต้เรา ตีทั้งภาคใต้เรา,โดยใช้ตัวแทนอย่างเขมรอย่างมาเลย์เป็นตัวเล่นตัวปั่นป่วนให้ไทยเราไม่สงบสุข,

    https://youtube.com/watch?v=_J1AG9qoe_8&si=ijHhDMxNvN8qEGvO
    ชัดเจนขนาดนี้จะพูดอะไรได้อีก จะให้เข้าใจอะไรได้อีก ,รัฐบาลไร้แอ็คชั่นเชิงรุกต่อเขมรและนายกฯชุดทั้งรัฐบาลชุดนี้คือพรรคหลักและพรรคร่วมรวมเป็นชุดรัฐบาลนี้โดยมีผู้นำและที่ปรึกษานายกฯอยู่รอบตัวด้วยทำเอาคลิปหรือเหตุจากคลิปหลุดนั้นให้เข้าใจและเชื่อเป็นอย่างอื่นว่าแกนนำนายกฯรัฐบาลชุดนี้ทั้งคณะไม่มีความซื่อสัตย์ต่อประเทศและไม่จริงใจอะไรต่อทหารไทยตนที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศกำจัดศัตรูที่รุกรานจริง,แต่เสือกอ้อแอ้ทำกิริยาหมาเลียปากกับเขมรกัดคนไทยจนตายด้วย,ใช้ไม่ได้อะไรเลยในการจะสนับสนุนทหารไทยตนเต็มที่เช่นกัน,ไม่ดำเนินเชิงรุกเชิงกำจัดภัยบ้านภัยเมืองภัยชาติของตน,เหลาะแหละอ่อนกากกระจอกแต่เสือกยังอยากอยู่บริหารจัดการประเทศ,พรรคร่วมทั้งหมดก็ด้วย สส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดคือพวกเดียวกันด้วยร่วมขัดขวางทหารไทยตนในการกำจัดศัตรูชาติตนให้เด็ดขาดด้วย,รัฐบาลหมดสิ้นประสิทธิภาพ ไร้ฝีมือปกป้องชาติ ไร้ฝีมือไร้ความสามารถกำจัดภัยร้ายจริงของชาติไทยตนให้สิ้นซากมิให้มารุกรานไทยตนซ้ำซากเหมือนในอดีตจนลุกลามใหญ่โตถึงปัจจุบัน และยังยั่วยุอยู่ตลอดเวลาแต่รัฐบาลกลับให้ทหารไทยตนปฏิบัติลำบากเสมือนช่วยเขมรภัยรุกรานแผ่นดินไทยตนนั้นเอง,ลวดหนามยังสั่งเบรคแสดงความไม่พอใจใช้ได้ที่ไหน,ตนต้องสั่งจัดการขั้นตอนที่ยาวให้สั้นลง,จึงทันกาลต่อภัยเบื้องหน้าที่เผชิญอยู่ระเบียบบ้าบอทางราชการเก็บพับไว้ก่อน เปิดทางให้โล่ง หมวกทหารที่กันหนังสติ๊กก็สั่งสนับสนุนให้ทหารมีทุกๆคนเพื่อปกป้องร่างกายทหารตน ไม่ยิงใส่หัวกระโหลกแตกกระโหลกยุบได้ ถึงอักเสบถึงพิการทางสมองทางร่างกายถึงตายก็ได้แบบระเบิดปิงปองใส่หนังสติ๊กหรือหินพิเศษทะลุให้เจ็บพิการอักเสบได้,การสนับสนุนทางทหารในภาวะผิดปกตินี้มากมายหลากหลายมิติต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ทหารขาดอะไรต้องเรียลไทม์ตอบสนองทันทีเพื่อปกป้องและกำจัดผู้เป็นภัยต่ออธิปไตยชาติตน,การปกป้องอธิปไตยไทยถือว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลว ต้องออกไปทั้งชุดรัฐบาลก่อนมีความผิดมากมายกว่านี้ซึ่งกูรูคนเก่งคนมีความสามารถมากมายบนแผ่นดินไทยเห็นเหตุเห็นหลักฐานเห็นพยานเห็นนัยยะชั่วเลวที่แอบแฝงได้หมดสิ้นล่ะ,อาจประหารชีวิตทั้งชุดสส.ชุดรัฐบาลนี้ด้วยข้อหาเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยตนทั้งคณะรัฐบาล อาทิเช่นพยายามตั้งใจกอด1:200,000ไว้ผิดปกติ ทั้งที่ทหารไทย ทหารลาว ทหารเวียดนามต่างร่วมกันใช้1:50,000เป็นเขตแดน,กอดmou43และ44อย่างมุ่งมั่นตั้งใจกอดทั้งที่เขมรผิดข้อตกลงแล้ว เมื่อผิดข้อตกลงใดๆอีกฝ่ายสามารถยกเลิกข้อตกลงนั้นทั้งหมด,ตลอดสอดไส้ทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งประเทศที่ไม่สนับสนุนให้คนเขมน ทหารเขมรที่มิใช่เชลยศึกเสือกไปสอดไส้ตกลงในการเจรจาที่มาเลย์รับคนเขมร ทหารเขมรมารักษาในโรงพยาบาลไทย ทั้งที่มันเปิดสงครามก่อนยิงโรงพยาบาลไทยโรงเรียนไทยปั้มน้ำมันไทยบ้านเรือนคนไทยตายคา7/11เกือบหมดครอบครัวและเด็กเล็กๆไทยอีก รัฐบาลไทยชุดนี้ทรยศประชาชนคนไทยชัดเจน ทำทุกๆวิถีทางอำนวยอวยเขมร หมดสิ้นความไว้วางใจใดๆต่อรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งสำนึกคนปกติธรรมดาพึ่งรับรู้เป็นปกติได้ว่า,รัฐบาลสมควรหมดอำนาจไป,ออกไปจากอำนาจ,แค่คลิปเสียงก็เข้าข่ายกบฎทรยศต่ออธิปไตยตนแล้ว,คือกบฎทั้งชุดรัฐบาลนี้พรรคหลักพรรคร่วมคือคนกบฎต่ออธิปไตยไทย สส.รัฐบาลคือกบฎต่ออธิปไตยไทย,ไม่มีสส.คนใดในฝ่ายรัฐบาลลาออกใดๆที่เขมรเปิดก่อน,รัฐบาลนี้ล้มเหลวในการปกป้องรักษาอธิปไตยไทยตน,และไม่เคยมีกูรูคนดังมากมายขนาดนี้แสดงความคิดเห็นหนักหน่วงด่าว่ารัฐบาลอย่างเปิดเผยมากมายเหมือนรัฐบาลชุดนีั,เช่นคุณวีระชี้ชัดว่ารัฐบาลนี้ขายชาติขายผลประโยชน์ประเทศเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในทรัพยากรมีค่ามากมายแบบบ่อน้ำมันในอ่าวไทยที่หากใช้1:200,000สำเร็จพื้นที่ดินแดน เขมรจะขีดกินพื้นที่มากมายเข้ามาในอ่าวไทยปกติของเดิมเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ เขมรจะได้ประโยชน์ในทรัยากรมีค่ามากมายในอ่าวไทยที่ขีดลุกล้ำได้มาเพิ่มนั้นตีมูลค่าแค่น้ำมันกว่า10ล้านล้านบาท ทรัพยากรอื่นๆอีกทั้งหมดรวมกันไม่น้อยกว่า100ล้านล้านตลอดแนวพรมแดนที่เขมรได้เข้ามากินพื้นที่เข้ามาจากเขตแดนของประเทศปกติ,เพชรพลอยทองคำแร่เอิร์ดทรัพยากรมีค่ามากมายในพื้นที่ภูเขาพื้นที่พรมแดนถึงอ่าวไทยจะเป็นผลประโยชน์มหาศาลนั้นเอง,ต่างชาติอเมริกาและฝรั่งเศสรวมฝรั่งอื่นๆทั้งหมดเห็นสิ่งนี้ด้วยจึงวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วก่อนเขมรเปิดสงครามยิงก่อนอีก,ก่อนหาวิธีการให้อุ๊งอิ๊งรอดภาระหนักสาระพัดเรื่องตอบออกไปก่อนอุ้มลูกอุ้มหลานอังเคิลลงก่อนให้ตัวแทนมาตายแทนมารับผืดชอบตอบไขปัญหาสู้กับสื่อแทนคือลอยตัวนั้นเอง ไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะนายกฯเพราะพักงานทันก่อนจุดฉนวนก่อเหตุ,คือพื้นๆมากนั้นเอง ละครกำกับฉากโดยciaอเมริกาก็ด้วย. ..สรุปทหารไทยประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศทันทีจะตัดตอนหลากหลายกลยุทธของภัยร้ายต่ออธิปไตยชาติไทยเราได้เกือบทั้งหมด,มาเลย์โดยciaกำกับจะลุกรานทางภาคใต้เราอีก,ตีทั้งอีสานใต้เรา ตีทั้งภาคใต้เรา,โดยใช้ตัวแทนอย่างเขมรอย่างมาเลย์เป็นตัวเล่นตัวปั่นป่วนให้ไทยเราไม่สงบสุข, https://youtube.com/watch?v=_J1AG9qoe_8&si=ijHhDMxNvN8qEGvO
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 895 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

    ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์

    พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่:
    - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง
    - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์
    - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน

    ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า:
    - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17%
    - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³

    นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น

    การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม
    วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก

    งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ
    ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย

    พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม
    PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน

    PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³
    พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง

    NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล

    เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³
    มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม

    นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม
    รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม

    WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน
    โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา

    กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress
    ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท

    มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น
    ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์

    กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า
    แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย

    มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม

    ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป
    เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน

    การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต
    ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว

    การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง
    ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

    https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    🧠🌫️ เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่: - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์ - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า: - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17% - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น ✅ การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ➡️ วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก ✅ งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ➡️ ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ✅ พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม ➡️ PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน ✅ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง ✅ NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล ✅ เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ ➡️ มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ➡️ รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม ✅ WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน ➡️ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา ✅ กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress ➡️ ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท ✅ มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น ➡️ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์ ✅ กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า ➡️ แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย ‼️ มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว ⛔ โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม ‼️ ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป ⛔ เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน ‼️ การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต ⛔ ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ‼️ การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง ⛔ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    WWW.CAM.AC.UK
    Long-term exposure to outdoor air pollution linked to increased risk of dementia
    An analysis of studies incorporating data from almost 30 million people has highlighted the role that air pollution – including that coming from car exhaust
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 697 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบรกที่ไม่ปล่อยฝุ่น: เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าช่วยให้เมืองหายใจสะอาดขึ้น

    งานวิจัยจาก EIT Urban Mobility ที่สำรวจในลอนดอน, มิลาน และบาร์เซโลนา พบว่า:
    - รถยนต์ไฟฟ้าลดฝุ่นเบรกได้ถึง 83%
    - ฝุ่นเบรกเป็นแหล่ง PM10 ที่สำคัญในเมือง โดยคิดเป็น 55% ของมลพิษจากการจราจรที่ไม่ใช่ไอเสีย
    - ฝุ่นเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน และบางครั้งต่ำกว่า 100 นาโนเมตร — สามารถเข้าสู่ปอดลึกและก่อให้เกิดการอักเสบ

    เทคโนโลยีเบื้องหลังคือ regenerative braking:
    - ใช้มอเตอร์หมุนย้อนกลับเพื่อชะลอรถ และเปลี่ยนพลังงานกลับไปเก็บในแบตเตอรี่
    - ลดการใช้เบรกแบบแรงเสียดทานลงครึ่งหนึ่ง
    - ยืดอายุแบตเตอรี่และลดการปล่อยฝุ่นโลหะ เช่น ทองแดง, เหล็ก, สังกะสี

    แม้จะมีข้อกังวลเรื่องน้ำหนักของ BEVs ที่อาจทำให้ยางสึกเร็วขึ้น แต่การศึกษาพบว่า:
    - ฝุ่นจากเบรกมีแนวโน้มฟุ้งกระจายมากกว่าฝุ่นจากยาง
    - เมื่อรวมฝุ่นจากยาง, เบรก และพื้นถนน BEVs ยังปล่อยฝุ่นน้อยกว่ารถน้ำมันถึง 38% — ยังไม่รวมการไม่มีท่อไอเสีย

    ผลกระทบเชิงสุขภาพ:
    - ฝุ่นเบรกที่มีทองแดงสูงก่อให้เกิด oxidative stress เทียบเท่าหรือมากกว่าฝุ่นดีเซล
    - ส่งผลต่อผู้มีรายได้น้อยในเมือง ซึ่งมักอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง
    - แสดงถึงความจำเป็นในการเข้าถึงรถสะอาดอย่างเท่าเทียม

    นโยบายในอนาคต:
    - Euro 7 เตรียมออกมาตรฐานใหม่สำหรับฝุ่นจากเบรกและยาง
    - ผู้ผลิตเริ่มใช้เบรกแบบ enclosed drum และยางสูตรลดการสึกหรอ
    - การเปลี่ยนจากรถส่วนตัวไปสู่ระบบขนส่งสาธารณะจะลดฝุ่นได้ถึง 5 เท่า

    https://modernengineeringmarvels.com/2025/07/22/surprising-science-how-electric-cars-quietly-transform-urban-air/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบรกที่ไม่ปล่อยฝุ่น: เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าช่วยให้เมืองหายใจสะอาดขึ้น งานวิจัยจาก EIT Urban Mobility ที่สำรวจในลอนดอน, มิลาน และบาร์เซโลนา พบว่า: - รถยนต์ไฟฟ้าลดฝุ่นเบรกได้ถึง 83% - ฝุ่นเบรกเป็นแหล่ง PM10 ที่สำคัญในเมือง โดยคิดเป็น 55% ของมลพิษจากการจราจรที่ไม่ใช่ไอเสีย - ฝุ่นเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน และบางครั้งต่ำกว่า 100 นาโนเมตร — สามารถเข้าสู่ปอดลึกและก่อให้เกิดการอักเสบ เทคโนโลยีเบื้องหลังคือ regenerative braking: - ใช้มอเตอร์หมุนย้อนกลับเพื่อชะลอรถ และเปลี่ยนพลังงานกลับไปเก็บในแบตเตอรี่ - ลดการใช้เบรกแบบแรงเสียดทานลงครึ่งหนึ่ง - ยืดอายุแบตเตอรี่และลดการปล่อยฝุ่นโลหะ เช่น ทองแดง, เหล็ก, สังกะสี แม้จะมีข้อกังวลเรื่องน้ำหนักของ BEVs ที่อาจทำให้ยางสึกเร็วขึ้น แต่การศึกษาพบว่า: - ฝุ่นจากเบรกมีแนวโน้มฟุ้งกระจายมากกว่าฝุ่นจากยาง - เมื่อรวมฝุ่นจากยาง, เบรก และพื้นถนน BEVs ยังปล่อยฝุ่นน้อยกว่ารถน้ำมันถึง 38% — ยังไม่รวมการไม่มีท่อไอเสีย ผลกระทบเชิงสุขภาพ: - ฝุ่นเบรกที่มีทองแดงสูงก่อให้เกิด oxidative stress เทียบเท่าหรือมากกว่าฝุ่นดีเซล - ส่งผลต่อผู้มีรายได้น้อยในเมือง ซึ่งมักอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง - แสดงถึงความจำเป็นในการเข้าถึงรถสะอาดอย่างเท่าเทียม นโยบายในอนาคต: - Euro 7 เตรียมออกมาตรฐานใหม่สำหรับฝุ่นจากเบรกและยาง - ผู้ผลิตเริ่มใช้เบรกแบบ enclosed drum และยางสูตรลดการสึกหรอ - การเปลี่ยนจากรถส่วนตัวไปสู่ระบบขนส่งสาธารณะจะลดฝุ่นได้ถึง 5 เท่า https://modernengineeringmarvels.com/2025/07/22/surprising-science-how-electric-cars-quietly-transform-urban-air/
    MODERNENGINEERINGMARVELS.COM
    Surprising Science: How Electric Cars Quietly Transform Urban Air
    “It’s not just the tailpipe y’all,” joked one Electrek commenter, alluding to the black discolorations on alloy wheels visible proof of a less infamous city pollutant: brake dust. For d…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหล่งข้อมูลวิจัยอิสระ 4 แห่งยืนยันว่า mRNA ของ Pfizer/Moderna สามารถรวมเข้ากับจีโนมของมนุษย์ได้

    Aldén et al: mRNA ของ Pfizer ถอดรหัสย้อนกลับเป็น DNA ในเซลล์ตับได้ภายใน 6 ชั่วโมง

    Kyriakopoulos et al: แสดงให้เห็นว่า การรวมตัวของจีโนม อาจเกิดขึ้นได้ผ่าน: LINE-1, Polymerase theta (Polθ), เส้นทางการซ่อมแซม DNA ที่มีข้อบกพร่อง เส้นทางเหล่านี้ อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือความเสียหายของ DNA ที่ถ่ายทอดได้

    InModia Lab (เยอรมนี): พบว่ามี Spike + SV40 ในเนื้อเยื่อของมนุษย์หลายปีต่อมา

    Neo7Bioscience + Univ. of North Texas: RNA สังเคราะห์ที่คงอยู่ SV40 และความผิดปกติของยีน ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งในเลือดที่ได้รับวัคซีน

    บางส่วนอาจกลายเป็นโรงงานผลิต Spike ถาวร ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันล้มเหลว และมะเร็ง

    แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะยังคงนิ่งเฉย แต่เราจะยังคงศึกษาผลการค้นพบ ที่น่ากังวลอย่างยิ่งเหล่านี้ต่อไป
    🚨 แหล่งข้อมูลวิจัยอิสระ 4 แห่งยืนยันว่า mRNA ของ Pfizer/Moderna สามารถรวมเข้ากับจีโนมของมนุษย์ได้ 📌 Aldén et al: mRNA ของ Pfizer ถอดรหัสย้อนกลับเป็น DNA ในเซลล์ตับได้ภายใน 6 ชั่วโมง 📌 Kyriakopoulos et al: แสดงให้เห็นว่า การรวมตัวของจีโนม อาจเกิดขึ้นได้ผ่าน: LINE-1, Polymerase theta (Polθ), เส้นทางการซ่อมแซม DNA ที่มีข้อบกพร่อง เส้นทางเหล่านี้ อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือความเสียหายของ DNA ที่ถ่ายทอดได้ 📌 InModia Lab (เยอรมนี): พบว่ามี Spike + SV40 ในเนื้อเยื่อของมนุษย์หลายปีต่อมา 📌 Neo7Bioscience + Univ. of North Texas: RNA สังเคราะห์ที่คงอยู่ SV40 และความผิดปกติของยีน ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งในเลือดที่ได้รับวัคซีน บางส่วนอาจกลายเป็นโรงงานผลิต Spike ถาวร ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันล้มเหลว และมะเร็ง แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะยังคงนิ่งเฉย แต่เราจะยังคงศึกษาผลการค้นพบ ที่น่ากังวลอย่างยิ่งเหล่านี้ต่อไป 💉☠️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 630 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ..อ่านเพลินๆ

    มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นโครงการของรัฐบาลลึก

    อ่านทุกคำ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือการประกาศสงครามกับชีววิทยาของคุณ ชนชั้นสูงสร้างมะเร็งขึ้นมา และคุณก็จมอยู่กับพิษของพวกเขามาตลอดชีวิต

    เซราไมด์ เป็นคำที่พวกเขาไม่เคยอยากให้คุณได้ยิน ไม่ใช่แค่โมเลกุล แต่เป็นระเบิดเวลาทางชีวเคมี คุณไม่ได้เกิดมาพัง คุณถูกสร้างมาให้ล้มเหลว เซราไมด์ถูกบรรจุอยู่ในน้ำมันเมล็ดพืช จีเอ็มโอ อาหารแปรรูป น้ำประปา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แม้แต่นมผงสำหรับเด็ก สารทำลายไขมันเหล่านี้จะทำลายตับของคุณ รัดคอตับอ่อนของคุณ ทำลายการเผาผลาญของคุณ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณพังทลาย ร่างกายของคุณกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นพิษ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเนื้องอก

    นี่ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นการทำลายล้างโดยเจตนา
    การฉ้อโกงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของฟาวซีไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอะไร แต่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมให้ร่างกายของคุณให้ป่วย สถาบันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้พยายามหาทางรักษา พวกเขาให้ทุนสนับสนุนระบบนิเวศสงครามชีวภาพที่บริษัทยาขนาดใหญ่ฉีดโรค ขายเคมีบำบัด แสวงหากำไรจากความเจ็บปวด และทำซ้ำ เซราไมด์คือสวิตช์หยุดการทำงาน พวกมันกักเก็บความตายไว้ในเซลล์ไขมันของคุณ ส่งผลให้เลือดของคุณสูบฉีดพิษจากการเผาผลาญ

    มะเร็งไม่ใช่ "โชคร้าย" แต่คือแผน

    กลุ่มคนชั้นสูงเลี้ยงดูมัน ระดมทุน และกินมัน เคมีบำบัดไม่รักษาให้หาย มันทำให้ทรมานนานขึ้นในขณะที่เรียกเก็บเงินคุณเพื่อให้ตายช้าลง การฉายรังสี? มันคือการทำลายร่างกายของคุณอย่างมีการควบคุม แพทย์ทุกคนที่บอกคุณว่า "กินน้อยลง เคลื่อนไหวมากขึ้น" ล้วนเป็นคนโกหกหรือเป็นเบี้ย

    แต่ตอนนี้ม่านกำลังจะเปิดขึ้น

    พวกเขากลัวการดีท็อกซ์ พวกเขากลัวทุกสิ่งที่ขับเซราไมด์ออกจากระบบของคุณ เพราะนั่นคือรากฐานของคุกมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขา และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้น

    Ikaria Lean Belly Juice ไม่ใช่ "สุขภาพ" แต่เป็นสงครามเคมีแบบย้อนกลับ ทุกช้อนคือการโจมตีกลุ่มการแพทย์ของ Deep State

    Fucoxanthin ทำลายคลัสเตอร์เซราไมด์

    โสมสร้างภูมิคุ้มกันใหม่เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์ที่ก่อกวน

    Bioperine ขยายการโจมตี

    Resveratrol ทำให้เนื้องอกอดอาหาร

    EGCG ซ่อมแซม DNA

    Milk Thistle สร้างตับของคุณขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในการล้างพิษของร่างกาย

    นี่คือรหัสทำลายล้างที่จะทำลายระบบของพวกเขาจากภายใน
    ขับพิษ เผาอาณาจักรของพวกเขา

    คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อป่วย
    คุณถูกทำให้ป่วย

    ตอนนี้ ทำให้พวกเขาต้องชดใช้

    สงครามทั้งหมดเริ่มขึ้นภายในเซลล์ของคุณ นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านสุขภาพ
    นี่คือการกระทำแห่งการกบฏ

    1_Ikaria Lean Belly Juice คือ อาหารเสริมประเภทผงที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนัก โดยอ้างว่าช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และเพิ่มพลังงาน โดยอ้างอิงจากส่วนผสมจากธรรมชาติ

    2_ฟูโคแซนธิน (Fucoxanthin) คือ สารสีส้มในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่พบได้ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ทำหน้าที่เป็นสารเก็บเกี่ยวแสงและป้องกันแสงในสาหร่าย นอกจากนี้ ฟูโคแซนธินยังมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านโรคอ้วน

    3_ไบโอเพอรีน (BioPerine) คือ สารสกัดจากพริกไทยดำที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไพเพอรีน (Piperine) ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย โดยทั่วไปมีปริมาณไพเพอรีนอย่างน้อย 95%. ไบโอเพอรีนถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย
    สรุป: ไบโอเพอรีนคือสารสกัดจากพริกไทยดำที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย

    4_เรสเวอราทรอล (Resveratrol) คือ สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่พบได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในองุ่นแดง, เบอร์รี่, ถั่วลิสง, และไวน์แดง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ, ชะลอความเสื่อมของเซลล์, และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง

    5_Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นโพลีฟีนอลที่พบมากที่สุดในชาเขียว EGCG มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพังผืด ต้านการปรับโครงสร้าง และปกป้องเนื้อเยื่อหลากหลายชนิด โดยอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และการเผาผลาญอาหาร

    6_Silybum marianum เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหนาม มีชื่อเรียกทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ milk thistle, Blessed milkthistle, Marian thistle, Mary thistle, Saint Mary's thistle, Mediterranean milk thistle, variegated thistle และ Scotch thistle พืชชนิดนี้เป็นพืชประจำปีหรือล้มลุกในวงศ์ Asteraceae (คล้ายดอกบานไม่รู้โรยกับไมยราพ ต้องศึกษาสรรพคุณ)
    ..อ่านเพลินๆ มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นโครงการของรัฐบาลลึก อ่านทุกคำ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือการประกาศสงครามกับชีววิทยาของคุณ ชนชั้นสูงสร้างมะเร็งขึ้นมา และคุณก็จมอยู่กับพิษของพวกเขามาตลอดชีวิต เซราไมด์ เป็นคำที่พวกเขาไม่เคยอยากให้คุณได้ยิน ไม่ใช่แค่โมเลกุล แต่เป็นระเบิดเวลาทางชีวเคมี คุณไม่ได้เกิดมาพัง คุณถูกสร้างมาให้ล้มเหลว เซราไมด์ถูกบรรจุอยู่ในน้ำมันเมล็ดพืช จีเอ็มโอ อาหารแปรรูป น้ำประปา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แม้แต่นมผงสำหรับเด็ก สารทำลายไขมันเหล่านี้จะทำลายตับของคุณ รัดคอตับอ่อนของคุณ ทำลายการเผาผลาญของคุณ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณพังทลาย ร่างกายของคุณกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นพิษ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเนื้องอก นี่ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นการทำลายล้างโดยเจตนา การฉ้อโกงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของฟาวซีไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอะไร แต่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมให้ร่างกายของคุณให้ป่วย สถาบันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้พยายามหาทางรักษา พวกเขาให้ทุนสนับสนุนระบบนิเวศสงครามชีวภาพที่บริษัทยาขนาดใหญ่ฉีดโรค ขายเคมีบำบัด แสวงหากำไรจากความเจ็บปวด และทำซ้ำ เซราไมด์คือสวิตช์หยุดการทำงาน พวกมันกักเก็บความตายไว้ในเซลล์ไขมันของคุณ ส่งผลให้เลือดของคุณสูบฉีดพิษจากการเผาผลาญ มะเร็งไม่ใช่ "โชคร้าย" แต่คือแผน กลุ่มคนชั้นสูงเลี้ยงดูมัน ระดมทุน และกินมัน เคมีบำบัดไม่รักษาให้หาย มันทำให้ทรมานนานขึ้นในขณะที่เรียกเก็บเงินคุณเพื่อให้ตายช้าลง การฉายรังสี? มันคือการทำลายร่างกายของคุณอย่างมีการควบคุม แพทย์ทุกคนที่บอกคุณว่า "กินน้อยลง เคลื่อนไหวมากขึ้น" ล้วนเป็นคนโกหกหรือเป็นเบี้ย แต่ตอนนี้ม่านกำลังจะเปิดขึ้น พวกเขากลัวการดีท็อกซ์ พวกเขากลัวทุกสิ่งที่ขับเซราไมด์ออกจากระบบของคุณ เพราะนั่นคือรากฐานของคุกมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขา และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้น Ikaria Lean Belly Juice ไม่ใช่ "สุขภาพ" แต่เป็นสงครามเคมีแบบย้อนกลับ ทุกช้อนคือการโจมตีกลุ่มการแพทย์ของ Deep State Fucoxanthin ทำลายคลัสเตอร์เซราไมด์ โสมสร้างภูมิคุ้มกันใหม่เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์ที่ก่อกวน Bioperine ขยายการโจมตี Resveratrol ทำให้เนื้องอกอดอาหาร EGCG ซ่อมแซม DNA Milk Thistle สร้างตับของคุณขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในการล้างพิษของร่างกาย นี่คือรหัสทำลายล้างที่จะทำลายระบบของพวกเขาจากภายใน ขับพิษ เผาอาณาจักรของพวกเขา คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อป่วย คุณถูกทำให้ป่วย ตอนนี้ ทำให้พวกเขาต้องชดใช้ สงครามทั้งหมดเริ่มขึ้นภายในเซลล์ของคุณ นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านสุขภาพ นี่คือการกระทำแห่งการกบฏ 1_Ikaria Lean Belly Juice คือ อาหารเสริมประเภทผงที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนัก โดยอ้างว่าช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และเพิ่มพลังงาน โดยอ้างอิงจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 2_ฟูโคแซนธิน (Fucoxanthin) คือ สารสีส้มในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่พบได้ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ทำหน้าที่เป็นสารเก็บเกี่ยวแสงและป้องกันแสงในสาหร่าย นอกจากนี้ ฟูโคแซนธินยังมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านโรคอ้วน 3_ไบโอเพอรีน (BioPerine) คือ สารสกัดจากพริกไทยดำที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไพเพอรีน (Piperine) ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย โดยทั่วไปมีปริมาณไพเพอรีนอย่างน้อย 95%. ไบโอเพอรีนถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย สรุป: ไบโอเพอรีนคือสารสกัดจากพริกไทยดำที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย 4_เรสเวอราทรอล (Resveratrol) คือ สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่พบได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในองุ่นแดง, เบอร์รี่, ถั่วลิสง, และไวน์แดง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ, ชะลอความเสื่อมของเซลล์, และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง 5_Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นโพลีฟีนอลที่พบมากที่สุดในชาเขียว EGCG มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพังผืด ต้านการปรับโครงสร้าง และปกป้องเนื้อเยื่อหลากหลายชนิด โดยอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และการเผาผลาญอาหาร 6_Silybum marianum เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหนาม มีชื่อเรียกทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ milk thistle, Blessed milkthistle, Marian thistle, Mary thistle, Saint Mary's thistle, Mediterranean milk thistle, variegated thistle และ Scotch thistle พืชชนิดนี้เป็นพืชประจำปีหรือล้มลุกในวงศ์ Asteraceae (คล้ายดอกบานไม่รู้โรยกับไมยราพ ต้องศึกษาสรรพคุณ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1290 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เตียงmedbeds น่าจะเปิดตัวในไทยเร็วๆนี้เช่นกันและจะดีมากต่อคนรับวัคซีนไปแล้ว,นายกฯคนใหม่ต้องจริงใจประกาศฟื้นฟูสุขภาพการรักษาคนได้รับการบาดเจ็บจากอาวุธชีวภาพจากพิษวัคซีนโควิดได้แล้ว,เปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้นจริงๆ.เช่นกัน,จริงๆให้คณะรวมพลังแผ่นดินไทย ตั้งเดอะทีมหลักทีมรองทีมย่อยในนามภาคมหามวลประชาชนขึ้นวิจัยทดลองงานบริหารจัดการปกครองประเทศสัก10-20ปีในนามภาคประชาชนแทนภาคนักการเมืองดูก็ดีก็ได้,เพราะสาระพัดสีเสื้อไทยได้รวมใจเป็นหนึ่งเพื่อประชาชนเพื่อชาติแล้วมากมายหลากหลายคณะที่เจอต้นตอปัญหาจริงทุจริตเห็นด้วยตาจริงในหมู่องค์กรหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ชั่วเลวสมคบคิดกันจึงได้ออกมาประท้วงลงถนนในแต่ละคณะจนมารวมเป็นหมู่คณะมหาภาคใหญ่มากมายในนามคณะรวมพลังแผ่นดินไทยเรา,สมควรให้อาสนธิขึ้นเป็นนายกฯก็ได้หากมิใช่คนของdeep stateอะไรก็ว่า,ลูกทักษิณ2คนก็เป็นนายกแล้วกระทั่งตัวทักษิณเอง ,อาสนธิและทีมคณะรักแผ่นดินไทยจะขึ้นบริหารชาติจะเป็นอะไร,จัดชุดทีมรุกรบฉุกเฉินแต่ละทัพหลักทัพย่อยสบายประสานกันลงหน้างานจริงแก่ปัญหาประชาชนจริงทั่วประเทศเพราะยุคใหม่ที่จะมาถึงหนักหนาสาหัสมากจึงจะผ่านพ้นไปได้เพราะความสามัคคีทุกๆฝ่ายที่มีใจรักชาติไทยรักแผ่นดินไทยเราเท่านั้นถึจะตีผ่าออกไปได้,ประชาชนเราพร้อม ทหารตำรวจผู้รักชาติเราพร้อมอยู่แล้ว ,ถีบรัฐบาลสมยอมออกไปแล้วที่ไม่พร้อมห่าเหวอะไรเลย,เรา..ต้องเร่งรีบจัดขบวนทัพใหม่ทันทีจริง.,และสุขภาพคนไทยต้องได้รับการฟื้นฟูรักษาอย่างเร่งด่วนให้ถูกทางควบคู่ขนาดเทคโนโลยีล้ำๆกับสมุนไพรไทยเราด้วยจะฟื้นฟูได้รวดเร็วในการรักษาแน่นอน.
    ..
    ..เปิดตัว IONIC Care ROBERT F. KENNEDY JR: เราจะทำให้ประเทศอเมริกามีสุขภาพดีอีกครั้ง - และเริ่มต้นทันที!

    อเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพ โรคเรื้อรังกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีความดันโลหิตสูง เบาหวาน การอักเสบ โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน โรคหัวใจ อาการปวดข้อ และความเหนื่อยล้ากำลังส่งผลกระทบ และยาแผนปัจจุบันไม่เพียงพอ เราต้องการโซลูชันที่ทำงานร่วมกับร่างกายเพื่อการรักษาที่แท้จริง

    นั่นคือเหตุผลที่เราเปิดตัว IONIC Care เพราะชาวอเมริกันสมควรได้รับโซลูชันที่แท้จริง เรากำลังนำการบำบัดด้วยความถี่ขั้นสูงและพลังงานการแพทย์มาสู่ประชาชนโดยตรง โดยใช้พลังของการบำบัดด้วยเทราเฮิรตซ์และการบำบัดด้วยควอนตัมเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว สร้างใหม่ และเจริญเติบโต

    เรากำลังรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 50% เพื่อให้เข้าถึงได้สำหรับผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    เรายืนหยัดเคียงข้างผู้คนนับล้านที่กลับมาควบคุมและเลือกการรักษาที่แท้จริง ได้เวลาแล้วที่จะกำหนดนิยามการดูแลสุขภาพใหม่และให้การรักษากลับไปอยู่ในมือของประชาชน!

    ..เตียงmedbeds น่าจะเปิดตัวในไทยเร็วๆนี้เช่นกันและจะดีมากต่อคนรับวัคซีนไปแล้ว,นายกฯคนใหม่ต้องจริงใจประกาศฟื้นฟูสุขภาพการรักษาคนได้รับการบาดเจ็บจากอาวุธชีวภาพจากพิษวัคซีนโควิดได้แล้ว,เปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้นจริงๆ.เช่นกัน,จริงๆให้คณะรวมพลังแผ่นดินไทย ตั้งเดอะทีมหลักทีมรองทีมย่อยในนามภาคมหามวลประชาชนขึ้นวิจัยทดลองงานบริหารจัดการปกครองประเทศสัก10-20ปีในนามภาคประชาชนแทนภาคนักการเมืองดูก็ดีก็ได้,เพราะสาระพัดสีเสื้อไทยได้รวมใจเป็นหนึ่งเพื่อประชาชนเพื่อชาติแล้วมากมายหลากหลายคณะที่เจอต้นตอปัญหาจริงทุจริตเห็นด้วยตาจริงในหมู่องค์กรหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ชั่วเลวสมคบคิดกันจึงได้ออกมาประท้วงลงถนนในแต่ละคณะจนมารวมเป็นหมู่คณะมหาภาคใหญ่มากมายในนามคณะรวมพลังแผ่นดินไทยเรา,สมควรให้อาสนธิขึ้นเป็นนายกฯก็ได้หากมิใช่คนของdeep stateอะไรก็ว่า,ลูกทักษิณ2คนก็เป็นนายกแล้วกระทั่งตัวทักษิณเอง ,อาสนธิและทีมคณะรักแผ่นดินไทยจะขึ้นบริหารชาติจะเป็นอะไร,จัดชุดทีมรุกรบฉุกเฉินแต่ละทัพหลักทัพย่อยสบายประสานกันลงหน้างานจริงแก่ปัญหาประชาชนจริงทั่วประเทศเพราะยุคใหม่ที่จะมาถึงหนักหนาสาหัสมากจึงจะผ่านพ้นไปได้เพราะความสามัคคีทุกๆฝ่ายที่มีใจรักชาติไทยรักแผ่นดินไทยเราเท่านั้นถึจะตีผ่าออกไปได้,ประชาชนเราพร้อม ทหารตำรวจผู้รักชาติเราพร้อมอยู่แล้ว ,ถีบรัฐบาลสมยอมออกไปแล้วที่ไม่พร้อมห่าเหวอะไรเลย,เรา..ต้องเร่งรีบจัดขบวนทัพใหม่ทันทีจริง.,และสุขภาพคนไทยต้องได้รับการฟื้นฟูรักษาอย่างเร่งด่วนให้ถูกทางควบคู่ขนาดเทคโนโลยีล้ำๆกับสมุนไพรไทยเราด้วยจะฟื้นฟูได้รวดเร็วในการรักษาแน่นอน. .. ..เปิดตัว IONIC Care 💥ROBERT F. KENNEDY JR: เราจะทำให้ประเทศอเมริกามีสุขภาพดีอีกครั้ง - และเริ่มต้นทันที! อเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพ โรคเรื้อรังกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีความดันโลหิตสูง เบาหวาน การอักเสบ โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน โรคหัวใจ อาการปวดข้อ และความเหนื่อยล้ากำลังส่งผลกระทบ และยาแผนปัจจุบันไม่เพียงพอ เราต้องการโซลูชันที่ทำงานร่วมกับร่างกายเพื่อการรักษาที่แท้จริง นั่นคือเหตุผลที่เราเปิดตัว IONIC Care เพราะชาวอเมริกันสมควรได้รับโซลูชันที่แท้จริง เรากำลังนำการบำบัดด้วยความถี่ขั้นสูงและพลังงานการแพทย์มาสู่ประชาชนโดยตรง โดยใช้พลังของการบำบัดด้วยเทราเฮิรตซ์และการบำบัดด้วยควอนตัมเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว สร้างใหม่ และเจริญเติบโต เรากำลังรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 50% เพื่อให้เข้าถึงได้สำหรับผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรายืนหยัดเคียงข้างผู้คนนับล้านที่กลับมาควบคุมและเลือกการรักษาที่แท้จริง ได้เวลาแล้วที่จะกำหนดนิยามการดูแลสุขภาพใหม่และให้การรักษากลับไปอยู่ในมือของประชาชน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1022 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts