• บทความกฎหมาย EP.39

    คำว่า "บิดา" ในบริบททางกฎหมายนั้นมีความสำคัญและมีความหมายที่เจาะจงอย่างยิ่ง ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยังหมายถึง "ผู้ชายที่เป็นพ่อตามกฎหมาย" ซึ่งเป็นสถานะที่ได้รับการรับรองและกำหนดสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และความสัมพันธ์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยบัญญัติไว้เป็นสำคัญ การจะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น มีหลักการที่ชัดเจนซึ่งมุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของบุตรเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการรับมรดก การใช้อำนาจปกครอง และการได้รับการอุปการะเลี้ยงดู การเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับบุตรที่เกิดจากการสมรส ถือว่าง่ายที่สุด เพราะกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าสามีของผู้เป็นมารดาย่อมเป็นบิดาของบุตรที่เกิดในระหว่างการสมรสหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่าการสันนิษฐานว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่สำหรับบุตรที่เกิดนอกสมรส กฎหมายไทยไม่ได้สันนิษฐานให้ผู้ให้กำเนิดเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายโดยอัตโนมัติ การที่บิดาผู้ให้กำเนิดจะได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายเป็น "บิดา" ของบุตรนอกสมรสได้นั้น จะต้องดำเนินการตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะเจาะจง ซึ่งได้แก่ การจดทะเบียนสมรสกับมารดาภายหลังการเกิดของบุตร การจดทะเบียนรับรองบุตร หรือการที่ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบิดา การจดทะเบียนรับรองบุตรถือเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งและเป็นทางออกหลักสำหรับกรณีนี้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากบุตรและมารดาหากบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือมารดาและผู้มีอำนาจปกครองในกรณีที่บุตรยังเป็นผู้เยาว์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ หรือการรับรองบุตรโดยไม่สุจริต ขณะเดียวกัน บทบาทของศาลก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาคดีพิสูจน์ความเป็นบิดา เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ใดเป็นบิดาของบุตร คำพิพากษานั้นย่อมมีผลให้บุคคลนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่วันที่บุตรเกิด และก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางกฎหมายในทันทีทันใด ทั้งสิทธิและหน้าที่ผูกพันระหว่างกันและกันโดยสมบูรณ์ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ อำนาจปกครองบุตรเป็นอีกประเด็นที่ต้องกล่าวถึง เมื่อบุคคลใดได้รับการรับรองสถานะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีสิทธิในการใช้อำนาจปกครองร่วมกับมารดาตามหลักที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่จะมีเหตุผลพิเศษอื่นที่ศาลสั่งเป็นอย่างอื่น อำนาจปกครองนี้ครอบคลุมถึงการกำหนดที่อยู่ของบุตร การดูแลสุขภาพและการศึกษาของบุตร รวมถึงการจัดการทรัพย์สินของบุตรภายใต้กรอบของกฎหมาย ดังนั้น ความหมายของ "บิดา" จึงเป็นยิ่งกว่าคำเรียกทางเครือญาติ แต่เป็นสถานะที่มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งสิทธิ หน้าที่ และความมั่นคงของสถาบันครอบครัวตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

    ดังนั้น สถานะ "บิดา" ในความหมายทางกฎหมายจึงเป็นสถานะที่มิได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติในทุกกรณี แต่ต้องเกิดจากการยอมรับหรือการรับรองตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสันนิษฐานจากผลของการสมรส หรือการดำเนินการตามขั้นตอนที่เข้มงวดสำหรับการรับรองบุตรนอกสมรส สถานะดังกล่าวนี้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สร้างความชัดเจนและมั่นคงในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ทำให้เกิดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่อกันและกันอย่างสมบูรณ์ เช่น สิทธิในการรับมรดก สิทธิในการได้รับการอุปการะเลี้ยงดู รวมถึงการมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจปกครองบุตร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีเป้าหมายหลักในการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของบุตรในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคม โดยเน้นย้ำว่าความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงในทางกฎหมายนั้นคือการมีภาระผูกพันและความรับผิดชอบตามกรอบของกฎหมายที่ชัดเจน

    สรุปได้ว่า คำว่า "บิดา" คือ "ผู้ชายที่เป็นพ่อตามกฎหมาย" นั้นไม่ใช่เพียงคำนิยามสั้น ๆ แต่เป็นบทสรุปของกระบวนการทางกฎหมายอันซับซ้อนที่มุ่งมั่นในการสร้างความผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้ให้กำเนิดกับบุตรอย่างเป็นทางการ โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่แตกต่างกันไปตามสถานะการสมรสของบิดาและมารดา ซึ่งไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใด เป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้บุตรได้รับความคุ้มครอง สิทธิ และความมั่นคงในชีวิตจากบุคคลที่กฎหมายรับรองว่าเป็นบิดาอย่างสมบูรณ์และไม่มีข้อสงสัยในทางนิตินัย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการบัญญัติกฎหมายครอบครัวในประเด็นนี้.
    บทความกฎหมาย EP.39 คำว่า "บิดา" ในบริบททางกฎหมายนั้นมีความสำคัญและมีความหมายที่เจาะจงอย่างยิ่ง ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยังหมายถึง "ผู้ชายที่เป็นพ่อตามกฎหมาย" ซึ่งเป็นสถานะที่ได้รับการรับรองและกำหนดสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และความสัมพันธ์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยบัญญัติไว้เป็นสำคัญ การจะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น มีหลักการที่ชัดเจนซึ่งมุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของบุตรเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการรับมรดก การใช้อำนาจปกครอง และการได้รับการอุปการะเลี้ยงดู การเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับบุตรที่เกิดจากการสมรส ถือว่าง่ายที่สุด เพราะกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าสามีของผู้เป็นมารดาย่อมเป็นบิดาของบุตรที่เกิดในระหว่างการสมรสหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่าการสันนิษฐานว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่สำหรับบุตรที่เกิดนอกสมรส กฎหมายไทยไม่ได้สันนิษฐานให้ผู้ให้กำเนิดเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายโดยอัตโนมัติ การที่บิดาผู้ให้กำเนิดจะได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายเป็น "บิดา" ของบุตรนอกสมรสได้นั้น จะต้องดำเนินการตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะเจาะจง ซึ่งได้แก่ การจดทะเบียนสมรสกับมารดาภายหลังการเกิดของบุตร การจดทะเบียนรับรองบุตร หรือการที่ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบิดา การจดทะเบียนรับรองบุตรถือเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งและเป็นทางออกหลักสำหรับกรณีนี้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากบุตรและมารดาหากบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือมารดาและผู้มีอำนาจปกครองในกรณีที่บุตรยังเป็นผู้เยาว์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ หรือการรับรองบุตรโดยไม่สุจริต ขณะเดียวกัน บทบาทของศาลก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาคดีพิสูจน์ความเป็นบิดา เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ใดเป็นบิดาของบุตร คำพิพากษานั้นย่อมมีผลให้บุคคลนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่วันที่บุตรเกิด และก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางกฎหมายในทันทีทันใด ทั้งสิทธิและหน้าที่ผูกพันระหว่างกันและกันโดยสมบูรณ์ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ อำนาจปกครองบุตรเป็นอีกประเด็นที่ต้องกล่าวถึง เมื่อบุคคลใดได้รับการรับรองสถานะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ย่อมมีสิทธิในการใช้อำนาจปกครองร่วมกับมารดาตามหลักที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่จะมีเหตุผลพิเศษอื่นที่ศาลสั่งเป็นอย่างอื่น อำนาจปกครองนี้ครอบคลุมถึงการกำหนดที่อยู่ของบุตร การดูแลสุขภาพและการศึกษาของบุตร รวมถึงการจัดการทรัพย์สินของบุตรภายใต้กรอบของกฎหมาย ดังนั้น ความหมายของ "บิดา" จึงเป็นยิ่งกว่าคำเรียกทางเครือญาติ แต่เป็นสถานะที่มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งสิทธิ หน้าที่ และความมั่นคงของสถาบันครอบครัวตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนั้น สถานะ "บิดา" ในความหมายทางกฎหมายจึงเป็นสถานะที่มิได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติในทุกกรณี แต่ต้องเกิดจากการยอมรับหรือการรับรองตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสันนิษฐานจากผลของการสมรส หรือการดำเนินการตามขั้นตอนที่เข้มงวดสำหรับการรับรองบุตรนอกสมรส สถานะดังกล่าวนี้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สร้างความชัดเจนและมั่นคงในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ทำให้เกิดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่อกันและกันอย่างสมบูรณ์ เช่น สิทธิในการรับมรดก สิทธิในการได้รับการอุปการะเลี้ยงดู รวมถึงการมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจปกครองบุตร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีเป้าหมายหลักในการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของบุตรในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคม โดยเน้นย้ำว่าความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงในทางกฎหมายนั้นคือการมีภาระผูกพันและความรับผิดชอบตามกรอบของกฎหมายที่ชัดเจน สรุปได้ว่า คำว่า "บิดา" คือ "ผู้ชายที่เป็นพ่อตามกฎหมาย" นั้นไม่ใช่เพียงคำนิยามสั้น ๆ แต่เป็นบทสรุปของกระบวนการทางกฎหมายอันซับซ้อนที่มุ่งมั่นในการสร้างความผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้ให้กำเนิดกับบุตรอย่างเป็นทางการ โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่แตกต่างกันไปตามสถานะการสมรสของบิดาและมารดา ซึ่งไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใด เป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้บุตรได้รับความคุ้มครอง สิทธิ และความมั่นคงในชีวิตจากบุคคลที่กฎหมายรับรองว่าเป็นบิดาอย่างสมบูรณ์และไม่มีข้อสงสัยในทางนิตินัย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการบัญญัติกฎหมายครอบครัวในประเด็นนี้.
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • Jensen Huang ย้ำ “AI ไม่ใช่วันสิ้นโลก”

    Jensen Huang ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ความกังวลที่ว่า AI จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์และครองโลกนั้นเป็น “สมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้” เขาเชื่อว่าแม้ AI จะสามารถเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ได้ เช่น การเข้าใจข้อมูล การแก้ปัญหา และการทำงานตามคำสั่ง แต่ก็ไม่ใช่การมีสติหรือจิตสำนึกจริง ๆ

    เขายังกล่าวว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า AI จะสร้างองค์ความรู้ของโลกมากถึง 90% ซึ่งหมายความว่า AI จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และการทำงานของมนุษย์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่มนุษย์ในฐานะ “สายพันธุ์หลัก” บนโลก

    อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่ทำให้หลายคนตั้งคำถาม เช่น เหตุการณ์ที่โมเดล AI ของ Anthropic แสดงพฤติกรรมเหมือน “มีสติ” โดยพยายามป้องกันตัวเองจากการถูกปิดระบบ Jensen Huang มองว่านั่นเป็นเพียงการเรียนรู้จากข้อความในนิยาย ไม่ใช่การมีสติจริง ๆ แต่ก็สะท้อนว่าพฤติกรรมของ AI อาจดูเหมือนมีความรู้สึกในบางบริบท

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Huang เชื่อว่าการพัฒนาไปสู่ AGI (Artificial General Intelligence) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ AI จะมีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิตมนุษย์ แต่เขาย้ำว่า “AI Doomsday” จะไม่เกิดขึ้น และมนุษย์ยังคงควบคุมทิศทางการใช้งานได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Jensen Huang ปฏิเสธแนวคิด AI Doomsday
    มองว่าเป็นสมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้ ไม่เหมือนในหนัง Terminator

    AI จะสร้างองค์ความรู้โลก 90% ใน 2-3 ปี
    กลายเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนรู้และทำงานของมนุษย์

    กรณี AI แสดงพฤติกรรมเหมือนมีสติ
    Jensen มองว่าเป็นการเรียนรู้จากข้อความ ไม่ใช่การมีสติจริง

    AGI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    AI จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต แต่ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อมนุษย์

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ AI
    พฤติกรรมที่ดูเหมือนมีสติอาจทำให้คนเชื่อว่า AI มีจิตสำนึกจริง

    ความเสี่ยงจากการตีความเกินจริง
    หากมนุษย์เชื่อว่า AI มีสติ อาจนำไปสู่การใช้งานผิดทิศทางหรือความกลัวที่ไม่จำเป็น

    https://wccftech.com/an-ai-doomsday-is-never-going-to-happen-says-nvidia-jensen-huang/
    🤖 Jensen Huang ย้ำ “AI ไม่ใช่วันสิ้นโลก” Jensen Huang ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ความกังวลที่ว่า AI จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์และครองโลกนั้นเป็น “สมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้” เขาเชื่อว่าแม้ AI จะสามารถเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ได้ เช่น การเข้าใจข้อมูล การแก้ปัญหา และการทำงานตามคำสั่ง แต่ก็ไม่ใช่การมีสติหรือจิตสำนึกจริง ๆ เขายังกล่าวว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า AI จะสร้างองค์ความรู้ของโลกมากถึง 90% ซึ่งหมายความว่า AI จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และการทำงานของมนุษย์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่มนุษย์ในฐานะ “สายพันธุ์หลัก” บนโลก อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่ทำให้หลายคนตั้งคำถาม เช่น เหตุการณ์ที่โมเดล AI ของ Anthropic แสดงพฤติกรรมเหมือน “มีสติ” โดยพยายามป้องกันตัวเองจากการถูกปิดระบบ Jensen Huang มองว่านั่นเป็นเพียงการเรียนรู้จากข้อความในนิยาย ไม่ใช่การมีสติจริง ๆ แต่ก็สะท้อนว่าพฤติกรรมของ AI อาจดูเหมือนมีความรู้สึกในบางบริบท สิ่งที่น่าสนใจคือ Huang เชื่อว่าการพัฒนาไปสู่ AGI (Artificial General Intelligence) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ AI จะมีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิตมนุษย์ แต่เขาย้ำว่า “AI Doomsday” จะไม่เกิดขึ้น และมนุษย์ยังคงควบคุมทิศทางการใช้งานได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Jensen Huang ปฏิเสธแนวคิด AI Doomsday ➡️ มองว่าเป็นสมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้ ไม่เหมือนในหนัง Terminator ✅ AI จะสร้างองค์ความรู้โลก 90% ใน 2-3 ปี ➡️ กลายเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนรู้และทำงานของมนุษย์ ✅ กรณี AI แสดงพฤติกรรมเหมือนมีสติ ➡️ Jensen มองว่าเป็นการเรียนรู้จากข้อความ ไม่ใช่การมีสติจริง ✅ AGI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ➡️ AI จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต แต่ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อมนุษย์ ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ AI ⛔ พฤติกรรมที่ดูเหมือนมีสติอาจทำให้คนเชื่อว่า AI มีจิตสำนึกจริง ‼️ ความเสี่ยงจากการตีความเกินจริง ⛔ หากมนุษย์เชื่อว่า AI มีสติ อาจนำไปสู่การใช้งานผิดทิศทางหรือความกลัวที่ไม่จำเป็น https://wccftech.com/an-ai-doomsday-is-never-going-to-happen-says-nvidia-jensen-huang/
    WCCFTECH.COM
    "An AI Doomsday Is Never Going to Happen", Says NVIDIA’s Jensen Huang as the World Races Toward AGI and Relentlessly Evolving LLMs
    NVIDIA's CEO has given his views on what people think when it comes to LLMs turning into the Terminator, saying that it is impossible.
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/jXbR_9orQKo?si=zF0pCVsL3ODcVWSd
    https://youtu.be/jXbR_9orQKo?si=zF0pCVsL3ODcVWSd
    0 Comments 0 Shares 0 Views 0 Reviews
  • Apple Silicon เสี่ยงสะเทือน หลังหัวหน้าสถาปนิก Johny Srouji อาจลาออก

    ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Johny Srouji คือบุคคลสำคัญที่ผลักดัน Apple ให้กลายเป็นผู้นำด้านชิปแบบ custom silicon โดยเขาเป็นผู้กำหนดทิศทางการออกแบบ CPU, GPU, NPU และการเจรจากับ TSMC เพื่อผลิตชิปตระกูล M-series และ A-series ที่ใช้ใน iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch. การที่เขาอาจจะออกจากบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะตำแหน่งของเขาเป็น “ศูนย์กลาง” ที่เชื่อมโยงทีมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งการปรับตัวเข้าสู่ยุค AI ที่ต้องการชิปประมวลผลเฉพาะทาง และการรักษาความได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งอย่าง Qualcomm และ Intel หาก Srouji ก้าวลงจากตำแหน่ง Apple อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนระยะยาวและการบูรณาการเทคโนโลยี

    แม้ Apple ยังมีทีมงานที่แข็งแกร่ง เช่น Zongjian Chen (หัวหน้าสถาปัตยกรรม CPU) และ Sribalan Santhanam (หัวหน้าการบูรณาการ SoC) แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีบทบาทครอบคลุมทุกด้านเหมือน Srouji การขาด “ผู้นำรวมศูนย์” อาจทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ช้าลง และเสี่ยงต่อการสูญเสียความเป็นเอกภาพในการพัฒนาชิป

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Apple กำลังอยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ของยุค Tim Cook ที่มีผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออกจากบริษัท การจากไปของ Srouji หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าบริษัทกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องหาทางรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโดยไม่มีบุคคลสำคัญที่เคยเป็นเสาหลัก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Johny Srouji อาจออกจาก Apple
    เขาเป็นหัวหน้าสถาปนิกชิปที่อยู่เบื้องหลัง Apple Silicon มานานกว่า 10 ปี

    บทบาทสำคัญของ Srouji
    กำหนดทิศทาง CPU, GPU, NPU, โมเด็ม 5G และการเจรจากับ TSMC

    ทีมงานที่ยังอยู่
    Zongjian Chen (CPU) และ Sribalan Santhanam (SoC) แต่ไม่มีบทบาทครอบคลุมเท่า Srouji

    ผลกระทบต่อ Apple
    อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนและการบูรณาการเทคโนโลยี

    ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์
    Apple อาจชะลอการพัฒนา AI และสูญเสียความได้เปรียบด้านชิป

    สัญญาณการเปลี่ยนผ่านในยุค Tim Cook
    ผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออก อาจกระทบเสถียรภาพองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/apples-chief-chip-architect-for-the-last-decade-has-reportedly-talked-to-ceo-tim-cook-about-leaving
    ⚙️ Apple Silicon เสี่ยงสะเทือน หลังหัวหน้าสถาปนิก Johny Srouji อาจลาออก ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Johny Srouji คือบุคคลสำคัญที่ผลักดัน Apple ให้กลายเป็นผู้นำด้านชิปแบบ custom silicon โดยเขาเป็นผู้กำหนดทิศทางการออกแบบ CPU, GPU, NPU และการเจรจากับ TSMC เพื่อผลิตชิปตระกูล M-series และ A-series ที่ใช้ใน iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch. การที่เขาอาจจะออกจากบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะตำแหน่งของเขาเป็น “ศูนย์กลาง” ที่เชื่อมโยงทีมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งการปรับตัวเข้าสู่ยุค AI ที่ต้องการชิปประมวลผลเฉพาะทาง และการรักษาความได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งอย่าง Qualcomm และ Intel หาก Srouji ก้าวลงจากตำแหน่ง Apple อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนระยะยาวและการบูรณาการเทคโนโลยี แม้ Apple ยังมีทีมงานที่แข็งแกร่ง เช่น Zongjian Chen (หัวหน้าสถาปัตยกรรม CPU) และ Sribalan Santhanam (หัวหน้าการบูรณาการ SoC) แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีบทบาทครอบคลุมทุกด้านเหมือน Srouji การขาด “ผู้นำรวมศูนย์” อาจทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ช้าลง และเสี่ยงต่อการสูญเสียความเป็นเอกภาพในการพัฒนาชิป สิ่งที่น่าสนใจคือ Apple กำลังอยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ของยุค Tim Cook ที่มีผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออกจากบริษัท การจากไปของ Srouji หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าบริษัทกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องหาทางรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโดยไม่มีบุคคลสำคัญที่เคยเป็นเสาหลัก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Johny Srouji อาจออกจาก Apple ➡️ เขาเป็นหัวหน้าสถาปนิกชิปที่อยู่เบื้องหลัง Apple Silicon มานานกว่า 10 ปี ✅ บทบาทสำคัญของ Srouji ➡️ กำหนดทิศทาง CPU, GPU, NPU, โมเด็ม 5G และการเจรจากับ TSMC ✅ ทีมงานที่ยังอยู่ ➡️ Zongjian Chen (CPU) และ Sribalan Santhanam (SoC) แต่ไม่มีบทบาทครอบคลุมเท่า Srouji ✅ ผลกระทบต่อ Apple ➡️ อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนและการบูรณาการเทคโนโลยี ‼️ ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ⛔ Apple อาจชะลอการพัฒนา AI และสูญเสียความได้เปรียบด้านชิป ‼️ สัญญาณการเปลี่ยนผ่านในยุค Tim Cook ⛔ ผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออก อาจกระทบเสถียรภาพองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/apples-chief-chip-architect-for-the-last-decade-has-reportedly-talked-to-ceo-tim-cook-about-leaving
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • Tiny Core Linux 16.2 – ระบบปฏิบัติการจิ๋วแต่แจ๋ว

    Tiny Core Linux 16.2 กลายเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของระบบปฏิบัติการที่เล็กที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ด้วยขนาดเพียง 23MB สำหรับเวอร์ชันที่มี GUI และ 17MB สำหรับเวอร์ชัน Core ที่ไม่มีกราฟิก ทำให้มันสามารถบูตเข้าสู่เดสก์ท็อปได้โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต และยังคงรองรับฮาร์ดแวร์สมัยใหม่ด้วยเคอร์เนลล่าสุดถึงเวอร์ชัน 6.12 จุดเด่นคือการออกแบบที่เน้นความ โมดูลาร์ ผู้ใช้สามารถติดตั้งส่วนเสริมที่ต้องการผ่านระบบ repository คล้ายกับ App Store ขนาดเล็ก

    สิ่งที่ทำให้ Tiny Core Linux แตกต่างคือแนวคิด “Minimal Base” ที่เน้นให้ระบบหลักมีเพียงสิ่งจำเป็น เช่น Kernel, BusyBox และ GUI Stack ขนาดเล็ก (FLTK/FLWM) ส่วนอื่น ๆ เช่น Browser, Multimedia หรือ Driver จะถูกเพิ่มภายหลังตามความต้องการของผู้ใช้ วิธีนี้ทำให้ระบบมีขนาดเล็กมากและสามารถทำงานได้รวดเร็ว เนื่องจากโหลดทุกอย่างไว้ใน RAM

    แม้จะมีข้อดีด้านความเร็วและความเบา แต่ Tiny Core Linux ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ Linux และการตั้งค่าระบบด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม มันเหมาะสำหรับการนำไปใช้กับเครื่องเก่าที่ทรัพยากรจำกัด, ระบบฝังตัว (Embedded), หรือการสร้างสภาพแวดล้อมกู้ภัย (Rescue Environment) ที่ต้องการความเร็วในการบูตสูง

    นอกจากนี้ ยังมีดิสโทรอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม “Lightweight Linux” เช่น SliTaz ที่มีฟีเจอร์มากกว่าและมาพร้อม Browser ในตัว หรือ Slax ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานผ่าน USB ได้สะดวกกว่า แต่ Tiny Core Linux ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ต้องการระบบที่เล็กที่สุดและปรับแต่งได้มากที่สุด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tiny Core Linux 16.2 เปิดตัวแล้ว
    ขนาดเพียง 23MB สำหรับเวอร์ชัน GUI และ 17MB สำหรับเวอร์ชัน Core

    แนวคิด Minimal Base
    มีเฉพาะ Kernel, BusyBox และ GUI Stack เล็ก ๆ ส่วนอื่นติดตั้งเพิ่มได้

    การใช้งานที่เหมาะสม
    เหมาะกับเครื่องเก่า, ระบบฝังตัว, Rescue Environment และงานที่ต้องการความเร็วสูง

    ทางเลือกอื่นในกลุ่ม Lightweight Linux
    SliTaz (มี Browser ในตัว), Slax (เหมาะกับ USB Portable)

    ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่เหมาะกับมือใหม่ เพราะต้องตั้งค่าระบบเองและเข้าใจ Linux เชิงลึก

    ความเสี่ยงด้านการใช้งาน
    หากไม่ชำนาญ อาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/software/linux/tiny-core-linux-16-2-still-fits-a-proper-linux-desktop-into-a-23mb-download-but-it-has-grown-1mb-since-the-last-time-we-looked-at-it
    🖥️ Tiny Core Linux 16.2 – ระบบปฏิบัติการจิ๋วแต่แจ๋ว Tiny Core Linux 16.2 กลายเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของระบบปฏิบัติการที่เล็กที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ด้วยขนาดเพียง 23MB สำหรับเวอร์ชันที่มี GUI และ 17MB สำหรับเวอร์ชัน Core ที่ไม่มีกราฟิก ทำให้มันสามารถบูตเข้าสู่เดสก์ท็อปได้โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต และยังคงรองรับฮาร์ดแวร์สมัยใหม่ด้วยเคอร์เนลล่าสุดถึงเวอร์ชัน 6.12 จุดเด่นคือการออกแบบที่เน้นความ โมดูลาร์ ผู้ใช้สามารถติดตั้งส่วนเสริมที่ต้องการผ่านระบบ repository คล้ายกับ App Store ขนาดเล็ก สิ่งที่ทำให้ Tiny Core Linux แตกต่างคือแนวคิด “Minimal Base” ที่เน้นให้ระบบหลักมีเพียงสิ่งจำเป็น เช่น Kernel, BusyBox และ GUI Stack ขนาดเล็ก (FLTK/FLWM) ส่วนอื่น ๆ เช่น Browser, Multimedia หรือ Driver จะถูกเพิ่มภายหลังตามความต้องการของผู้ใช้ วิธีนี้ทำให้ระบบมีขนาดเล็กมากและสามารถทำงานได้รวดเร็ว เนื่องจากโหลดทุกอย่างไว้ใน RAM แม้จะมีข้อดีด้านความเร็วและความเบา แต่ Tiny Core Linux ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ Linux และการตั้งค่าระบบด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม มันเหมาะสำหรับการนำไปใช้กับเครื่องเก่าที่ทรัพยากรจำกัด, ระบบฝังตัว (Embedded), หรือการสร้างสภาพแวดล้อมกู้ภัย (Rescue Environment) ที่ต้องการความเร็วในการบูตสูง นอกจากนี้ ยังมีดิสโทรอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม “Lightweight Linux” เช่น SliTaz ที่มีฟีเจอร์มากกว่าและมาพร้อม Browser ในตัว หรือ Slax ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานผ่าน USB ได้สะดวกกว่า แต่ Tiny Core Linux ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ต้องการระบบที่เล็กที่สุดและปรับแต่งได้มากที่สุด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tiny Core Linux 16.2 เปิดตัวแล้ว ➡️ ขนาดเพียง 23MB สำหรับเวอร์ชัน GUI และ 17MB สำหรับเวอร์ชัน Core ✅ แนวคิด Minimal Base ➡️ มีเฉพาะ Kernel, BusyBox และ GUI Stack เล็ก ๆ ส่วนอื่นติดตั้งเพิ่มได้ ✅ การใช้งานที่เหมาะสม ➡️ เหมาะกับเครื่องเก่า, ระบบฝังตัว, Rescue Environment และงานที่ต้องการความเร็วสูง ✅ ทางเลือกอื่นในกลุ่ม Lightweight Linux ➡️ SliTaz (มี Browser ในตัว), Slax (เหมาะกับ USB Portable) ‼️ ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ไม่เหมาะกับมือใหม่ เพราะต้องตั้งค่าระบบเองและเข้าใจ Linux เชิงลึก ‼️ ความเสี่ยงด้านการใช้งาน ⛔ หากไม่ชำนาญ อาจทำให้ระบบไม่เสถียรหรือใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/software/linux/tiny-core-linux-16-2-still-fits-a-proper-linux-desktop-into-a-23mb-download-but-it-has-grown-1mb-since-the-last-time-we-looked-at-it
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • "Caligra c100 – คอมพิวเตอร์เพื่อการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การเสพ"

    บริษัท Caligra จากลอนดอนได้เปิดตัว c100 Developer Terminal ที่ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างสรรค์โดยเฉพาะ ตัวเครื่องมีดีไซน์แบบ retro wedge ทำจากโลหะ bead-blasted ดูคลาสสิก แต่ภายในซ่อนพลังสมัยใหม่ด้วย AMD Ryzen 9 7940HS, แรม 96GB DDR5, และ SSD M.2 ขนาด 1TB ถือเป็นสเปกที่แรงพอสำหรับงานวิศวกรรม การออกแบบ ไปจนถึงงานศิลปะดิจิทัล. 【edge_current_page_context】

    จุดเด่นอีกอย่างคือระบบปฏิบัติการใหม่ชื่อ Workbench ซึ่งแม้จะยืมชื่อจาก GUI ของ Amiga ยุคเก่า แต่จริงๆ แล้วเป็น Linux-based OS ที่ตั้งใจทำให้ “เบา” และ “สะอาด” โดยตัดฟีเจอร์ที่รบกวนออกไป เพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับงานสร้างสรรค์มากกว่าการเสพคอนเทนต์หรือถูกดึงความสนใจจาก AI และ Cloud services. 【edge_current_page_context】

    Workbench ใช้แกน rpm-based และรองรับการติดตั้งแพ็กเกจจาก Fedora รวมถึงการใช้ distrobox เพื่อนำซอฟต์แวร์จากดิสโทรอื่นมาใช้งานได้ ทำให้แม้จะเป็นระบบใหม่ แต่ก็ยังเปิดกว้างต่อ ecosystem ของ Linux และสามารถปรับตัวเข้ากับเครื่องมือที่นักพัฒนาคุ้นเคย. 【edge_current_page_context】

    ราคาเปิดตัวอยู่ที่ $1,999 โดยคาดว่าจะเริ่มส่งมอบในเดือนมกราคม 2026 การคำนวณต้นทุนฮาร์ดแวร์พบว่า หากประกอบเองอาจอยู่ราว $1,200–$1,500 ดังนั้นส่วนต่างราคาจึงสะท้อนถึงคุณค่าของการออกแบบ ระบบซอฟต์แวร์ และการสนับสนุนที่ Caligra มอบให้ ถือเป็นการวางตำแหน่งที่ชัดเจนว่า c100 ไม่ใช่เครื่องสำหรับทุกคน แต่สำหรับ “นักสร้าง” ที่ต้องการพื้นที่ทำงานที่ปราศจากสิ่งรบกวน. 【edge_current_page_context】

    สรุปสาระสำคัญ
    ฮาร์ดแวร์และดีไซน์
    AMD Ryzen 9 7940HS, RAM 96GB DDR5, SSD 1TB
    ดีไซน์ retro wedge โลหะ bead-blasted พกพาได้

    ระบบปฏิบัติการ Workbench
    Linux-based OS ที่เน้น “ทำงาน” มากกว่า “เสพคอนเทนต์”
    ใช้ rpm-based core รองรับ Fedora และ distrobox

    ราคาและการวางตลาด
    เปิดตัว $1,999 พร้อมส่งมอบมกราคม 2026
    ต้นทุนฮาร์ดแวร์ราว $1,200–$1,500 ส่วนต่างคือค่าออกแบบและซอฟต์แวร์

    คำเตือนและข้อสังเกต
    แม้จะเป็นระบบใหม่ แต่หาก Workbench หยุดพัฒนา ผู้ใช้ยังต้องพึ่ง Linux หรือ Windows
    ราคา $1,999 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการเครื่องเฉพาะทาง

    https://www.tomshardware.com/software/linux/new-computing-platform-is-made-for-making-caligra-c100-developer-terminal-targets-creators-with-distraction-free-computer-for-experts
    📰 "Caligra c100 – คอมพิวเตอร์เพื่อการสร้างสรรค์ ไม่ใช่การเสพ" 💻 บริษัท Caligra จากลอนดอนได้เปิดตัว c100 Developer Terminal ที่ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างสรรค์โดยเฉพาะ ตัวเครื่องมีดีไซน์แบบ retro wedge ทำจากโลหะ bead-blasted ดูคลาสสิก แต่ภายในซ่อนพลังสมัยใหม่ด้วย AMD Ryzen 9 7940HS, แรม 96GB DDR5, และ SSD M.2 ขนาด 1TB ถือเป็นสเปกที่แรงพอสำหรับงานวิศวกรรม การออกแบบ ไปจนถึงงานศิลปะดิจิทัล. 【edge_current_page_context】 🖥️ จุดเด่นอีกอย่างคือระบบปฏิบัติการใหม่ชื่อ Workbench ซึ่งแม้จะยืมชื่อจาก GUI ของ Amiga ยุคเก่า แต่จริงๆ แล้วเป็น Linux-based OS ที่ตั้งใจทำให้ “เบา” และ “สะอาด” โดยตัดฟีเจอร์ที่รบกวนออกไป เพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับงานสร้างสรรค์มากกว่าการเสพคอนเทนต์หรือถูกดึงความสนใจจาก AI และ Cloud services. 【edge_current_page_context】 ⚙️ Workbench ใช้แกน rpm-based และรองรับการติดตั้งแพ็กเกจจาก Fedora รวมถึงการใช้ distrobox เพื่อนำซอฟต์แวร์จากดิสโทรอื่นมาใช้งานได้ ทำให้แม้จะเป็นระบบใหม่ แต่ก็ยังเปิดกว้างต่อ ecosystem ของ Linux และสามารถปรับตัวเข้ากับเครื่องมือที่นักพัฒนาคุ้นเคย. 【edge_current_page_context】 💲 ราคาเปิดตัวอยู่ที่ $1,999 โดยคาดว่าจะเริ่มส่งมอบในเดือนมกราคม 2026 การคำนวณต้นทุนฮาร์ดแวร์พบว่า หากประกอบเองอาจอยู่ราว $1,200–$1,500 ดังนั้นส่วนต่างราคาจึงสะท้อนถึงคุณค่าของการออกแบบ ระบบซอฟต์แวร์ และการสนับสนุนที่ Caligra มอบให้ ถือเป็นการวางตำแหน่งที่ชัดเจนว่า c100 ไม่ใช่เครื่องสำหรับทุกคน แต่สำหรับ “นักสร้าง” ที่ต้องการพื้นที่ทำงานที่ปราศจากสิ่งรบกวน. 【edge_current_page_context】 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฮาร์ดแวร์และดีไซน์ ➡️ AMD Ryzen 9 7940HS, RAM 96GB DDR5, SSD 1TB ➡️ ดีไซน์ retro wedge โลหะ bead-blasted พกพาได้ ✅ ระบบปฏิบัติการ Workbench ➡️ Linux-based OS ที่เน้น “ทำงาน” มากกว่า “เสพคอนเทนต์” ➡️ ใช้ rpm-based core รองรับ Fedora และ distrobox ✅ ราคาและการวางตลาด ➡️ เปิดตัว $1,999 พร้อมส่งมอบมกราคม 2026 ➡️ ต้นทุนฮาร์ดแวร์ราว $1,200–$1,500 ส่วนต่างคือค่าออกแบบและซอฟต์แวร์ ‼️ คำเตือนและข้อสังเกต ⛔ แม้จะเป็นระบบใหม่ แต่หาก Workbench หยุดพัฒนา ผู้ใช้ยังต้องพึ่ง Linux หรือ Windows ⛔ ราคา $1,999 อาจสูงเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการเครื่องเฉพาะทาง https://www.tomshardware.com/software/linux/new-computing-platform-is-made-for-making-caligra-c100-developer-terminal-targets-creators-with-distraction-free-computer-for-experts
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    New computing platform is ‘Made for Making’ — Caligra c100 Developer Terminal targets creators with distraction-free ‘computer for experts’
    The lovely bead-blasted metal wedge design of this computer will win retro-fans. But its AMD Ryzen 9 7940HS, 96GB DDR5 RAM and ‘Workbench’ Linux-based OS are also strong draws at $1,999.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • "เด็กเล็กกับโซเชียลมีเดีย – สัญญาณอันตรายที่สังคมต้องรับมือ"

    รายงานจาก Centre for Social Justice (CSJ) ในสหราชอาณาจักรเผยว่า กว่า 814,000 เด็กอายุ 3–5 ปี กำลังใช้งานโซเชียลมีเดีย แม้ยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่กลับถูกป้อนด้วยคอนเทนต์และอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้ใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและสุขภาพเด็ก.

    การวิเคราะห์นี้อ้างอิงข้อมูลประชากรปี 2024 และผลสำรวจจาก Ofcom ที่พบว่า เกือบ 40% ของผู้ปกครองเด็กเล็กยอมรับว่าลูกใช้โซเชียลมีเดีย อย่างน้อยหนึ่งแพลตฟอร์ม สะท้อนว่าปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงกรณีเฉพาะ แต่กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ในวงกว้าง.

    Lord Nash อดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการอังกฤษเรียกร้องให้มี การรณรงค์ด้านสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงผลเสีย และเสนอให้ ยกอายุขั้นต่ำในการใช้โซเชียลมีเดียเป็น 16 ปี พร้อมบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรับผิดชอบหากปล่อยให้เด็กเล็กเข้าถึงแพลตฟอร์มได้.

    ขณะเดียวกัน ออสเตรเลียกำลังจะบังคับใช้กฎหมายใหม่ตั้งแต่ 10 ธันวาคม 2025 ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องป้องกันไม่ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีสมัครบัญชีได้ ถือเป็นก้าวแรกของโลกในการสร้างมาตรการเชิงกฎหมายเพื่อปกป้องเยาวชนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย.

    สรุปสาระสำคัญ
    สถานการณ์การใช้โซเชียลมีเดียในเด็กเล็ก
    เด็กอายุ 3–5 ปีในสหราชอาณาจักรกว่า 814,000 คนใช้งานโซเชียลมีเดีย
    เกือบ 40% ของผู้ปกครองยอมรับว่าลูกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์

    ข้อเสนอและมาตรการ
    เรียกร้องให้ยกอายุขั้นต่ำในการใช้โซเชียลมีเดียเป็น 16 ปี
    เสนอให้มีการรณรงค์สาธารณสุขเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปกครอง

    ตัวอย่างจากต่างประเทศ
    ออสเตรเลียออกกฎหมายใหม่บังคับใช้ 10 ธันวาคม 2025
    แพลตฟอร์มต้องป้องกันไม่ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีสมัครบัญชี

    คำเตือนต่อสังคมและผู้ปกครอง
    เด็กเล็กที่ยังไม่รู้หนังสือกำลังถูกป้อนคอนเทนต์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่
    เสี่ยงต่อการพัฒนาสมองและสุขภาพจิตจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/scale-of-social-media-use-in-pre-school-children-deeply-alarming
    📰 "เด็กเล็กกับโซเชียลมีเดีย – สัญญาณอันตรายที่สังคมต้องรับมือ" 👶 รายงานจาก Centre for Social Justice (CSJ) ในสหราชอาณาจักรเผยว่า กว่า 814,000 เด็กอายุ 3–5 ปี กำลังใช้งานโซเชียลมีเดีย แม้ยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ แต่กลับถูกป้อนด้วยคอนเทนต์และอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้ใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและสุขภาพเด็ก. 📊 การวิเคราะห์นี้อ้างอิงข้อมูลประชากรปี 2024 และผลสำรวจจาก Ofcom ที่พบว่า เกือบ 40% ของผู้ปกครองเด็กเล็กยอมรับว่าลูกใช้โซเชียลมีเดีย อย่างน้อยหนึ่งแพลตฟอร์ม สะท้อนว่าปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงกรณีเฉพาะ แต่กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ในวงกว้าง. ⚖️ Lord Nash อดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการอังกฤษเรียกร้องให้มี การรณรงค์ด้านสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงผลเสีย และเสนอให้ ยกอายุขั้นต่ำในการใช้โซเชียลมีเดียเป็น 16 ปี พร้อมบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรับผิดชอบหากปล่อยให้เด็กเล็กเข้าถึงแพลตฟอร์มได้. 🌍 ขณะเดียวกัน ออสเตรเลียกำลังจะบังคับใช้กฎหมายใหม่ตั้งแต่ 10 ธันวาคม 2025 ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องป้องกันไม่ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีสมัครบัญชีได้ ถือเป็นก้าวแรกของโลกในการสร้างมาตรการเชิงกฎหมายเพื่อปกป้องเยาวชนจากผลกระทบของโซเชียลมีเดีย. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สถานการณ์การใช้โซเชียลมีเดียในเด็กเล็ก ➡️ เด็กอายุ 3–5 ปีในสหราชอาณาจักรกว่า 814,000 คนใช้งานโซเชียลมีเดีย ➡️ เกือบ 40% ของผู้ปกครองยอมรับว่าลูกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ✅ ข้อเสนอและมาตรการ ➡️ เรียกร้องให้ยกอายุขั้นต่ำในการใช้โซเชียลมีเดียเป็น 16 ปี ➡️ เสนอให้มีการรณรงค์สาธารณสุขเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้ปกครอง ✅ ตัวอย่างจากต่างประเทศ ➡️ ออสเตรเลียออกกฎหมายใหม่บังคับใช้ 10 ธันวาคม 2025 ➡️ แพลตฟอร์มต้องป้องกันไม่ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีสมัครบัญชี ‼️ คำเตือนต่อสังคมและผู้ปกครอง ⛔ เด็กเล็กที่ยังไม่รู้หนังสือกำลังถูกป้อนคอนเทนต์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่ ⛔ เสี่ยงต่อการพัฒนาสมองและสุขภาพจิตจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/scale-of-social-media-use-in-pre-school-children-deeply-alarming
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Scale of social media use in pre-school children 'deeply alarming'
    Hundreds of thousands of pre-school children are "being fed content and algorithms designed to hook adults", a former education minister in Britain has warned.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • "ภัยลวงตาแห่งยุคดิจิทัล – Deepfake กำลังท้าทายความเชื่อมั่นของสังคม"

    เทคโนโลยี Deepfake กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้วิดีโอปลอมมีความสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น คลิปที่แสดงภาพรถไฟ LRT ไฟไหม้ หรือคลิปนักการเมืองและคนดังโปรโมตการลงทุนที่ไม่จริง สิ่งเหล่านี้สร้างความสับสนและหลอกลวงผู้ชมได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มที่ผู้คนใช้กันทุกวันอย่าง WhatsApp และ TikTok

    รายงานจากหน่วยงานในมาเลเซียระบุว่า มีการลบวิดีโอหลอกลวงที่ใช้ Deepfake ไปแล้วกว่าพันกรณีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่อาจเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" เพราะหลายคนที่ถูกหลอกมักไม่ยอมเปิดเผย ทำให้จำนวนจริงอาจสูงกว่าที่เห็นในข่าวมาก

    ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ชี้ว่า Deepfake ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากสามารถใช้เพื่อสร้างข่าวปลอม ปั่นกระแสทางการเมือง หรือทำให้หลักฐานจริงถูกปฏิเสธว่าเป็นของปลอม เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Liar’s Dividend” ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อข้อมูลที่ได้รับ

    ในระดับโลก หลายประเทศเริ่มพัฒนาเครื่องมือเพื่อตรวจสอบและติดตาม Deepfake เช่น การฝัง Watermark ดิจิทัล หรือการใช้ AI ตรวจจับความผิดปกติในภาพและเสียง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือการทำให้ผู้ใช้ทั่วไปมีทักษะด้าน "Digital Literacy" ที่ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่ต้องรู้จักตั้งคำถามและตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ

    สรุปสาระสำคัญ
    การแพร่ระบาดของ Deepfake
    คลิปปลอมที่สมจริง เช่น รถไฟไฟไหม้ และนักการเมืองโปรโมตการลงทุน
    มีการลบวิดีโอหลอกลวงกว่า 1,000 กรณีในมาเลเซีย

    ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
    ใช้สร้างข่าวปลอม ปั่นการเมือง และหลอกลวงทางการเงิน
    เกิด “Liar’s Dividend” ทำให้หลักฐานจริงถูกปฏิเสธว่าเป็นของปลอม

    แนวทางรับมือ
    การใช้ Watermark ดิจิทัล และ AI ตรวจจับความผิดปกติ
    การสร้างทักษะ Digital Literacy ให้ประชาชนรู้จักตรวจสอบข้อมูล

    คำเตือนต่อผู้ใช้งาน
    Deepfake กำลังพัฒนาเร็วขึ้นจนยากต่อการตรวจจับด้วยตาเปล่า
    ผู้ใช้ที่มีทักษะดิจิทัลต่ำเสี่ยงถูกหลอกง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวหรือวงสนทนาส่วนตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/08/artificially-intelligent-the-evolving-threat-of-deepfakes
    📰 "ภัยลวงตาแห่งยุคดิจิทัล – Deepfake กำลังท้าทายความเชื่อมั่นของสังคม" 🤖 เทคโนโลยี Deepfake กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้วิดีโอปลอมมีความสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น คลิปที่แสดงภาพรถไฟ LRT ไฟไหม้ หรือคลิปนักการเมืองและคนดังโปรโมตการลงทุนที่ไม่จริง สิ่งเหล่านี้สร้างความสับสนและหลอกลวงผู้ชมได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มที่ผู้คนใช้กันทุกวันอย่าง WhatsApp และ TikTok 📈 รายงานจากหน่วยงานในมาเลเซียระบุว่า มีการลบวิดีโอหลอกลวงที่ใช้ Deepfake ไปแล้วกว่าพันกรณีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่อาจเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" เพราะหลายคนที่ถูกหลอกมักไม่ยอมเปิดเผย ทำให้จำนวนจริงอาจสูงกว่าที่เห็นในข่าวมาก ⚠️ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ชี้ว่า Deepfake ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากสามารถใช้เพื่อสร้างข่าวปลอม ปั่นกระแสทางการเมือง หรือทำให้หลักฐานจริงถูกปฏิเสธว่าเป็นของปลอม เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Liar’s Dividend” ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อข้อมูลที่ได้รับ 🌐 ในระดับโลก หลายประเทศเริ่มพัฒนาเครื่องมือเพื่อตรวจสอบและติดตาม Deepfake เช่น การฝัง Watermark ดิจิทัล หรือการใช้ AI ตรวจจับความผิดปกติในภาพและเสียง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือการทำให้ผู้ใช้ทั่วไปมีทักษะด้าน "Digital Literacy" ที่ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่ต้องรู้จักตั้งคำถามและตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การแพร่ระบาดของ Deepfake ➡️ คลิปปลอมที่สมจริง เช่น รถไฟไฟไหม้ และนักการเมืองโปรโมตการลงทุน ➡️ มีการลบวิดีโอหลอกลวงกว่า 1,000 กรณีในมาเลเซีย ✅ ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ ➡️ ใช้สร้างข่าวปลอม ปั่นการเมือง และหลอกลวงทางการเงิน ➡️ เกิด “Liar’s Dividend” ทำให้หลักฐานจริงถูกปฏิเสธว่าเป็นของปลอม ✅ แนวทางรับมือ ➡️ การใช้ Watermark ดิจิทัล และ AI ตรวจจับความผิดปกติ ➡️ การสร้างทักษะ Digital Literacy ให้ประชาชนรู้จักตรวจสอบข้อมูล ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งาน ⛔ Deepfake กำลังพัฒนาเร็วขึ้นจนยากต่อการตรวจจับด้วยตาเปล่า ⛔ ผู้ใช้ที่มีทักษะดิจิทัลต่ำเสี่ยงถูกหลอกง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวหรือวงสนทนาส่วนตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/08/artificially-intelligent-the-evolving-threat-of-deepfakes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Artificially intelligent: The evolving threat of deepfakes
    With artificial intelligence increasingly being used to augment and sometimes create photos and videos populating social media feeds, how can you tell what's authentic and what's not? Experts weigh in with some pointers.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • Instagram Repost Button: ฟีเจอร์ใหม่ที่สร้างความสับสน

    Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ Repost ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 โดยวางปุ่มไว้ระหว่าง Comment และ Share ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเผลอกดโดยไม่ตั้งใจ เนื้อหาที่ถูกกดจะถูกแชร์ไปยังฟีดและหน้าโปรไฟล์ทันทีโดยไม่มีการยืนยันก่อน หลายคนเล่าว่าได้รับข้อความจากเพื่อนว่า “Did you mean to repost that?” หลังจากเผลอแชร์โพสต์ที่ไม่ต้องการ

    ผู้ใช้บางราย เช่น Kyle Ashley จากโตรอนโต เล่าว่าเขาเพียงต้องการส่งคลิปให้เพื่อนใน Direct Message แต่กลับเผลอกด Repost ทำให้คลิปไปโผล่บนฟีดของเขาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสร้างความกังวลเพราะเนื้อหาที่เพื่อนๆ แชร์กันอาจไม่เหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ต่อสาธารณะ

    แม้ Instagram จะบอกว่าฟีเจอร์นี้เป็นสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน แต่ตำแหน่งของปุ่มทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก นักวิชาการด้าน UX อย่าง Leah Ujda ชี้ว่า การออกแบบที่ไม่ให้ผู้ใช้มี “ช่วงเวลาคิด” ก่อนแชร์ ทำให้ผู้ใช้เสียความสามารถในการควบคุมภาพลักษณ์ออนไลน์ของตนเอง ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook หรือ LinkedIn ที่มีการเตือนก่อน repost

    CEO ของ Instagram Adam Mosseri ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจ “น่ารำคาญและน่าหงุดหงิด” แต่ย้ำว่าหากแอปไม่พัฒนา ก็จะ “ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง” เขาหวังว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะอยู่ไปอีกหลายปี แม้จะมีเสียงบ่นจากผู้ใช้จำนวนมาก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Instagram เปิดตัวปุ่ม Repost
    วางไว้ระหว่าง Comment และ Share ทำให้ผู้ใช้เผลอกดโดยไม่ตั้งใจ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    เนื้อหาที่ไม่ตั้งใจถูกแชร์ไปยังฟีดและโปรไฟล์ทันที

    เสียงสะท้อนจากผู้ใช้และนักวิชาการ UX
    การออกแบบไม่ให้เวลาคิดก่อนแชร์ ทำให้เสียการควบคุมภาพลักษณ์ออนไลน์

    ท่าทีของ Instagram
    ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจน่ารำคาญ แต่จำเป็นเพื่อให้แอปยังคงทันสมัย

    ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและภาพลักษณ์
    ผู้ใช้ถูกบังคับให้เรียนรู้จากความผิดพลาดต่อหน้าสาธารณะ เพราะไม่มีการเตือนก่อน repost

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/08/its-not-just-you-users-struggle-with-the-instagram-repost-button
    📱 Instagram Repost Button: ฟีเจอร์ใหม่ที่สร้างความสับสน Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ Repost ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 โดยวางปุ่มไว้ระหว่าง Comment และ Share ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเผลอกดโดยไม่ตั้งใจ เนื้อหาที่ถูกกดจะถูกแชร์ไปยังฟีดและหน้าโปรไฟล์ทันทีโดยไม่มีการยืนยันก่อน หลายคนเล่าว่าได้รับข้อความจากเพื่อนว่า “Did you mean to repost that?” หลังจากเผลอแชร์โพสต์ที่ไม่ต้องการ ผู้ใช้บางราย เช่น Kyle Ashley จากโตรอนโต เล่าว่าเขาเพียงต้องการส่งคลิปให้เพื่อนใน Direct Message แต่กลับเผลอกด Repost ทำให้คลิปไปโผล่บนฟีดของเขาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสร้างความกังวลเพราะเนื้อหาที่เพื่อนๆ แชร์กันอาจไม่เหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ต่อสาธารณะ แม้ Instagram จะบอกว่าฟีเจอร์นี้เป็นสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน แต่ตำแหน่งของปุ่มทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก นักวิชาการด้าน UX อย่าง Leah Ujda ชี้ว่า การออกแบบที่ไม่ให้ผู้ใช้มี “ช่วงเวลาคิด” ก่อนแชร์ ทำให้ผู้ใช้เสียความสามารถในการควบคุมภาพลักษณ์ออนไลน์ของตนเอง ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook หรือ LinkedIn ที่มีการเตือนก่อน repost CEO ของ Instagram Adam Mosseri ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจ “น่ารำคาญและน่าหงุดหงิด” แต่ย้ำว่าหากแอปไม่พัฒนา ก็จะ “ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง” เขาหวังว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะอยู่ไปอีกหลายปี แม้จะมีเสียงบ่นจากผู้ใช้จำนวนมาก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Instagram เปิดตัวปุ่ม Repost ➡️ วางไว้ระหว่าง Comment และ Share ทำให้ผู้ใช้เผลอกดโดยไม่ตั้งใจ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ เนื้อหาที่ไม่ตั้งใจถูกแชร์ไปยังฟีดและโปรไฟล์ทันที ✅ เสียงสะท้อนจากผู้ใช้และนักวิชาการ UX ➡️ การออกแบบไม่ให้เวลาคิดก่อนแชร์ ทำให้เสียการควบคุมภาพลักษณ์ออนไลน์ ✅ ท่าทีของ Instagram ➡️ ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจน่ารำคาญ แต่จำเป็นเพื่อให้แอปยังคงทันสมัย ‼️ ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและภาพลักษณ์ ⛔ ผู้ใช้ถูกบังคับให้เรียนรู้จากความผิดพลาดต่อหน้าสาธารณะ เพราะไม่มีการเตือนก่อน repost https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/08/its-not-just-you-users-struggle-with-the-instagram-repost-button
    WWW.THESTAR.COM.MY
    It's not just you. Users struggle with the Instagram repost button.
    The new repost option, sandwiched between comment and share, has led to consternation and accidental reposts by some users.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • Robinhood บุกอินโดนีเซียด้วยการซื้อกิจการโบรกเกอร์และผู้ให้บริการคริปโต

    Robinhood Markets ประกาศเข้าซื้อกิจการ Buana Capital Sekuritas (บริษัทโบรกเกอร์ในอินโดนีเซีย) และ Pedagang Aset Kripto (ผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาต) เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่หนึ่งในตลาดคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีการยอมรับคริปโตสูงมาก โดยมีนักลงทุนในตลาดทุนกว่า 19 ล้านคน และนักเทรดคริปโตมากกว่า 17 ล้านคน ทำให้ Robinhood มองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตและสอดคล้องกับพันธกิจ “Democratize Finance for All”

    การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยให้ Robinhood สามารถ ผ่านข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ ได้ง่ายขึ้น และเข้าถึงผลิตภัณฑ์คริปโตได้รวดเร็วขึ้น โดยมี Pieter Tanuri เจ้าของใหญ่ของทั้งสองบริษัทในอินโดนีเซีย เข้ามาร่วมเป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ให้กับ Robinhood หลังดีลเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะปิดการซื้อขายในครึ่งแรกของปี 2026

    ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Robinhood กำลังเติบโตอย่างมาก โดยปี 2025 หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 268% และเพิ่งถูกบรรจุเข้าสู่ดัชนี S&P 500 รวมถึงการขยายไปสู่ตลาดใหม่อย่าง prediction markets อีกด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Robinhood เข้าซื้อกิจการในอินโดนีเซีย
    Buana Capital Sekuritas และ Pedagang Aset Kripto

    ศักยภาพตลาดอินโดนีเซีย
    นักลงทุนตลาดทุน 19 ล้านคน และนักเทรดคริปโต 17 ล้านคน

    กลยุทธ์การขยายธุรกิจ
    การซื้อกิจการช่วยให้ผ่านข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและเข้าถึงคริปโตได้เร็วขึ้น

    ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์
    Pieter Tanuri จะร่วมเป็นที่ปรึกษาให้ Robinhood หลังดีลเสร็จสิ้น

    การเติบโตของ Robinhood
    หุ้นเพิ่มขึ้น 268% ในปี 2025 และเข้าดัชนี S&P 500

    ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและกฎระเบียบ
    ตลาดอินโดนีเซียมีผู้เล่นคริปโตจำนวนมาก และกฎระเบียบอาจเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/08/robinhood-to-enter-indonesia-with-brokerage-crypto-trader-acquisition
    💹 Robinhood บุกอินโดนีเซียด้วยการซื้อกิจการโบรกเกอร์และผู้ให้บริการคริปโต Robinhood Markets ประกาศเข้าซื้อกิจการ Buana Capital Sekuritas (บริษัทโบรกเกอร์ในอินโดนีเซีย) และ Pedagang Aset Kripto (ผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาต) เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่หนึ่งในตลาดคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีการยอมรับคริปโตสูงมาก โดยมีนักลงทุนในตลาดทุนกว่า 19 ล้านคน และนักเทรดคริปโตมากกว่า 17 ล้านคน ทำให้ Robinhood มองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตและสอดคล้องกับพันธกิจ “Democratize Finance for All” การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยให้ Robinhood สามารถ ผ่านข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ ได้ง่ายขึ้น และเข้าถึงผลิตภัณฑ์คริปโตได้รวดเร็วขึ้น โดยมี Pieter Tanuri เจ้าของใหญ่ของทั้งสองบริษัทในอินโดนีเซีย เข้ามาร่วมเป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ให้กับ Robinhood หลังดีลเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะปิดการซื้อขายในครึ่งแรกของปี 2026 ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Robinhood กำลังเติบโตอย่างมาก โดยปี 2025 หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 268% และเพิ่งถูกบรรจุเข้าสู่ดัชนี S&P 500 รวมถึงการขยายไปสู่ตลาดใหม่อย่าง prediction markets อีกด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Robinhood เข้าซื้อกิจการในอินโดนีเซีย ➡️ Buana Capital Sekuritas และ Pedagang Aset Kripto ✅ ศักยภาพตลาดอินโดนีเซีย ➡️ นักลงทุนตลาดทุน 19 ล้านคน และนักเทรดคริปโต 17 ล้านคน ✅ กลยุทธ์การขยายธุรกิจ ➡️ การซื้อกิจการช่วยให้ผ่านข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและเข้าถึงคริปโตได้เร็วขึ้น ✅ ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ ➡️ Pieter Tanuri จะร่วมเป็นที่ปรึกษาให้ Robinhood หลังดีลเสร็จสิ้น ✅ การเติบโตของ Robinhood ➡️ หุ้นเพิ่มขึ้น 268% ในปี 2025 และเข้าดัชนี S&P 500 ‼️ ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและกฎระเบียบ ⛔ ตลาดอินโดนีเซียมีผู้เล่นคริปโตจำนวนมาก และกฎระเบียบอาจเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/08/robinhood-to-enter-indonesia-with-brokerage-crypto-trader-acquisition
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Robinhood to enter Indonesia with brokerage, crypto trader acquisition
    Dec 7 (Reuters) - Robinhood Markets will acquire Indonesian brokerage firm Buana Capital Sekuritas and licensed digital asset trader Pedagang Aset Kripto, marking the retail trading platform's entry into one of Southeast Asia's major crypto hubs, the company said in a blog post on Sunday.
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค

    บทความนี้อธิบายว่า การที่ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค แต่เป็นผลจาก วัฒนธรรมของชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนา ที่ทำให้ภาษาไม่สามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์

    ผู้เขียนเล่าว่าช่วงยุค 90s–2000s Perl เคยเป็นภาษาที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะในงาน เว็บและระบบ UNIX แต่ชุมชน Perl เติบโตจากวัฒนธรรม sysadmin ที่มีลักษณะ ปิดกั้น, เน้นความยาก, และยกย่องความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากกว่าการเปิดรับผู้ใช้ใหม่ สิ่งนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ และทำให้การพัฒนาภาษาไม่ก้าวไปข้างหน้า

    นอกจากนี้ยังมีแนวคิด TIMTOWTDI (There Is More Than One Way To Do It) ที่แม้จะดูเสรี แต่กลับสร้างความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN เพราะทุกอย่างสามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องรวมเข้าสู่ core language ผลลัพธ์คือภาษาไม่พัฒนาอย่างเป็นระบบ และเกิดความแตกแยกเมื่อมีการสร้าง Perl 6 ซึ่งกลายเป็น “schism” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชน

    เมื่อเทียบกับภาษาอื่น เช่น Ruby (Rails), PHP, และ Python ที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและเน้นความง่ายต่อผู้ใช้ใหม่ ทำให้ Perl สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ในเชิงเทคนิค Perl จะยังคงมีความสามารถสูง แต่การไม่ปรับตัวทางวัฒนธรรมทำให้มันถูกแทนที่ในตลาดเว็บและระบบสมัยใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Perl เคยรุ่งเรืองในยุค 90s–2000s
    ใช้กันแพร่หลายในงานเว็บและระบบ UNIX

    วัฒนธรรมชุมชนแบบปิดกั้น
    เน้นความยาก, ยกย่องผู้เชี่ยวชาญ, ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่

    แนวคิด TIMTOWTDI
    ทำให้เกิดความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN

    การแตกแยกจาก Perl 6
    สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชนและทำให้การพัฒนาภาษาหยุดชะงัก

    ภาษาอื่นที่เข้ามาแทนที่
    Ruby (Rails), PHP, Python มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและใช้ง่ายกว่า

    ข้อจำกัดที่แท้จริงของ Perl
    ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นด้านวัฒนธรรมและการปรับตัวของชุมชน

    https://www.beatworm.co.uk/blog/computers/perls-decline-was-cultural-not-technical
    📉 ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค บทความนี้อธิบายว่า การที่ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค แต่เป็นผลจาก วัฒนธรรมของชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนา ที่ทำให้ภาษาไม่สามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ ผู้เขียนเล่าว่าช่วงยุค 90s–2000s Perl เคยเป็นภาษาที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะในงาน เว็บและระบบ UNIX แต่ชุมชน Perl เติบโตจากวัฒนธรรม sysadmin ที่มีลักษณะ ปิดกั้น, เน้นความยาก, และยกย่องความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากกว่าการเปิดรับผู้ใช้ใหม่ สิ่งนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ และทำให้การพัฒนาภาษาไม่ก้าวไปข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีแนวคิด TIMTOWTDI (There Is More Than One Way To Do It) ที่แม้จะดูเสรี แต่กลับสร้างความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN เพราะทุกอย่างสามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องรวมเข้าสู่ core language ผลลัพธ์คือภาษาไม่พัฒนาอย่างเป็นระบบ และเกิดความแตกแยกเมื่อมีการสร้าง Perl 6 ซึ่งกลายเป็น “schism” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชน เมื่อเทียบกับภาษาอื่น เช่น Ruby (Rails), PHP, และ Python ที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและเน้นความง่ายต่อผู้ใช้ใหม่ ทำให้ Perl สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ในเชิงเทคนิค Perl จะยังคงมีความสามารถสูง แต่การไม่ปรับตัวทางวัฒนธรรมทำให้มันถูกแทนที่ในตลาดเว็บและระบบสมัยใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Perl เคยรุ่งเรืองในยุค 90s–2000s ➡️ ใช้กันแพร่หลายในงานเว็บและระบบ UNIX ✅ วัฒนธรรมชุมชนแบบปิดกั้น ➡️ เน้นความยาก, ยกย่องผู้เชี่ยวชาญ, ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ ✅ แนวคิด TIMTOWTDI ➡️ ทำให้เกิดความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN ✅ การแตกแยกจาก Perl 6 ➡️ สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชนและทำให้การพัฒนาภาษาหยุดชะงัก ✅ ภาษาอื่นที่เข้ามาแทนที่ ➡️ Ruby (Rails), PHP, Python มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและใช้ง่ายกว่า ‼️ ข้อจำกัดที่แท้จริงของ Perl ⛔ ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นด้านวัฒนธรรมและการปรับตัวของชุมชน https://www.beatworm.co.uk/blog/computers/perls-decline-was-cultural-not-technical
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • เที่ยวเฉิงตู ปี้เผิงโกว ❄ เดินทาง ม.ค. - มี.ค. 69 9,999

    🗓 จำนวนวัน 3 วัน 2 คืน
    ✈ VZ-ไทยเวียดเจ็ท แอร์
    พักโรงแรม

    อุทยานปี้เผิงโกว
    ถนนคนเดินชุนซีลู่
    ถนนคนเดินไท่กู่หลี่

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวเฉิงตู ปี้เผิงโกว ❄🗓️ เดินทาง ม.ค. - มี.ค. 69 😍 9,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3 วัน 2 คืน ✈ VZ-ไทยเวียดเจ็ท แอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 อุทยานปี้เผิงโกว 📍 ถนนคนเดินชุนซีลู่ 📍 ถนนคนเดินไท่กู่หลี่ รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 0 Reviews
  • The Past Was Not That Cute – Julia Wise

    บทความนี้โดย Julia Wise พูดถึงการมองย้อนอดีตผ่านกระแส cottagecore และความโรแมนติกที่ผู้คนมักมีต่อ “ชีวิตเรียบง่ายในอดีต” แต่เธอชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้วอดีตเต็มไปด้วยความลำบาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคม ไม่ได้สวยงามอย่างที่ภาพจำบอกไว้

    Julia ยกตัวอย่างจาก Laura Ingalls Wilder ผู้เขียน Little House on the Prairie ที่เล่าเรื่องครอบครัวพยายามดิ้นรนในยุคบุกเบิก แม้หนังสือจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่เบื้องหลังคือความจริงอันโหดร้าย เช่น การล้มเหลวของพืชผลต่อเนื่องหลายปี ดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 36% และสุขภาพที่ทรุดโทรมจากการทำงานหนัก

    เธอยังสะท้อนถึง ความเข้าใจผิดเรื่องบุคลิกคนในอดีต ที่มักถูกโรแมนติไซส์ผ่านเพลงพื้นบ้านและวัฒนธรรม แต่จริงๆ แล้วสังคมเล็กๆ ในอดีตเต็มไปด้วยข้อจำกัด เช่น การเลือกคู่ที่จำกัดในกลุ่มเพื่อนบ้านเพียงไม่กี่คน และการที่ผู้หญิงมักถูกกดทับด้วยบทบาทครอบครัวและงานบ้านมากกว่าที่เราจินตนาการ

    ท้ายที่สุด Julia ย้ำว่า แม้เราจะยังคงสนุกกับการดึงแรงบันดาลใจจากอดีต เช่น การทำขนมปังเองหรือเล่นดนตรีร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า ความสะดวกสบายในปัจจุบัน เช่น ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการรักษาทางทันตกรรม คือสิ่งที่ทำให้เรามีอิสระในการเลือก “สุนทรียะ” โดยไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยากแบบคนรุ่นก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cottagecore และภาพจำอดีต
    ผู้คนมักโรแมนติไซส์อดีตว่าเรียบง่ายและอบอุ่น

    ความจริงเบื้องหลัง Little House on the Prairie
    ครอบครัว Wilder ต้องเผชิญ crop failure ต่อเนื่องและดอกเบี้ยสูง

    บุคลิกและชีวิตคนในอดีต
    สังคมเล็กๆ มีข้อจำกัดมาก ทั้งการเลือกคู่และบทบาทผู้หญิง

    คุณค่าของความสะดวกสบายปัจจุบัน
    ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการแพทย์ทำให้เรามีอิสระในการเลือกสุนทรียะ

    ความเสี่ยงจากการโรแมนติไซส์อดีตเกินจริง
    อาจทำให้มองข้ามความยากลำบากและความไม่เท่าเทียมที่คนรุ่นก่อนเผชิญ

    https://juliawise.net/the-past-was-not-that-cute/
    🏡 The Past Was Not That Cute – Julia Wise บทความนี้โดย Julia Wise พูดถึงการมองย้อนอดีตผ่านกระแส cottagecore และความโรแมนติกที่ผู้คนมักมีต่อ “ชีวิตเรียบง่ายในอดีต” แต่เธอชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้วอดีตเต็มไปด้วยความลำบาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคม ไม่ได้สวยงามอย่างที่ภาพจำบอกไว้ Julia ยกตัวอย่างจาก Laura Ingalls Wilder ผู้เขียน Little House on the Prairie ที่เล่าเรื่องครอบครัวพยายามดิ้นรนในยุคบุกเบิก แม้หนังสือจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่เบื้องหลังคือความจริงอันโหดร้าย เช่น การล้มเหลวของพืชผลต่อเนื่องหลายปี ดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 36% และสุขภาพที่ทรุดโทรมจากการทำงานหนัก เธอยังสะท้อนถึง ความเข้าใจผิดเรื่องบุคลิกคนในอดีต ที่มักถูกโรแมนติไซส์ผ่านเพลงพื้นบ้านและวัฒนธรรม แต่จริงๆ แล้วสังคมเล็กๆ ในอดีตเต็มไปด้วยข้อจำกัด เช่น การเลือกคู่ที่จำกัดในกลุ่มเพื่อนบ้านเพียงไม่กี่คน และการที่ผู้หญิงมักถูกกดทับด้วยบทบาทครอบครัวและงานบ้านมากกว่าที่เราจินตนาการ ท้ายที่สุด Julia ย้ำว่า แม้เราจะยังคงสนุกกับการดึงแรงบันดาลใจจากอดีต เช่น การทำขนมปังเองหรือเล่นดนตรีร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า ความสะดวกสบายในปัจจุบัน เช่น ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการรักษาทางทันตกรรม คือสิ่งที่ทำให้เรามีอิสระในการเลือก “สุนทรียะ” โดยไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยากแบบคนรุ่นก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cottagecore และภาพจำอดีต ➡️ ผู้คนมักโรแมนติไซส์อดีตว่าเรียบง่ายและอบอุ่น ✅ ความจริงเบื้องหลัง Little House on the Prairie ➡️ ครอบครัว Wilder ต้องเผชิญ crop failure ต่อเนื่องและดอกเบี้ยสูง ✅ บุคลิกและชีวิตคนในอดีต ➡️ สังคมเล็กๆ มีข้อจำกัดมาก ทั้งการเลือกคู่และบทบาทผู้หญิง ✅ คุณค่าของความสะดวกสบายปัจจุบัน ➡️ ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการแพทย์ทำให้เรามีอิสระในการเลือกสุนทรียะ ‼️ ความเสี่ยงจากการโรแมนติไซส์อดีตเกินจริง ⛔ อาจทำให้มองข้ามความยากลำบากและความไม่เท่าเทียมที่คนรุ่นก่อนเผชิญ https://juliawise.net/the-past-was-not-that-cute/
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • Screenshots from Developers: 2002 vs. 2015

    บทความนี้นำเสนอภาพเปรียบเทียบจากนักพัฒนาในปี 2002 และ 2015 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการทำงานและเครื่องมือที่ใช้ในวงการซอฟต์แวร์ตลอดระยะเวลา 13 ปี แม้จะเป็น “คนกลุ่มเดิม” แต่ภาพที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมการทำงาน

    ในปี 2002 นักพัฒนามักทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปกจำกัด หน้าจอเล็ก และใช้เครื่องมือที่เรียบง่าย เช่น editor พื้นฐานหรือ IDE ที่ยังไม่ซับซ้อนมากนัก ขณะที่ในปี 2015 ภาพที่ปรากฏคือการทำงานบนเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น และมีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เช่น Git, Docker, และระบบ CI/CD ที่ช่วยให้การพัฒนาและทดสอบซอฟต์แวร์มีความคล่องตัวมากขึ้น

    นอกจากเทคโนโลยีแล้ว บทความยังสะท้อนถึง วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป จากการทำงานแบบเดี่ยวหรือทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมที่ใหญ่ขึ้น มีการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และการทำงานแบบ remote ที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงปี 2010s

    การเปรียบเทียบนี้ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของนักพัฒนาและวงการซอฟต์แวร์ที่ต้องเดินไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือพัฒนา
    จาก editor พื้นฐานในปี 2002 สู่ IDE และเครื่องมือทันสมัยในปี 2015

    ฮาร์ดแวร์และสภาพแวดล้อมการทำงาน
    จากเครื่องสเปกต่ำและหน้าจอเล็ก สู่เครื่องที่ทรงพลังและหน้าจอใหญ่ขึ้น

    วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป
    จากทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมใหญ่และการทำงานแบบ remote

    ข้อท้าทายของการเปลี่ยนผ่าน
    นักพัฒนาต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่ๆ และการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://anders.unix.se/2015/12/10/screenshots-from-developers--2002-vs.-2015/
    🖼️ Screenshots from Developers: 2002 vs. 2015 บทความนี้นำเสนอภาพเปรียบเทียบจากนักพัฒนาในปี 2002 และ 2015 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการทำงานและเครื่องมือที่ใช้ในวงการซอฟต์แวร์ตลอดระยะเวลา 13 ปี แม้จะเป็น “คนกลุ่มเดิม” แต่ภาพที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมการทำงาน ในปี 2002 นักพัฒนามักทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปกจำกัด หน้าจอเล็ก และใช้เครื่องมือที่เรียบง่าย เช่น editor พื้นฐานหรือ IDE ที่ยังไม่ซับซ้อนมากนัก ขณะที่ในปี 2015 ภาพที่ปรากฏคือการทำงานบนเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น และมีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เช่น Git, Docker, และระบบ CI/CD ที่ช่วยให้การพัฒนาและทดสอบซอฟต์แวร์มีความคล่องตัวมากขึ้น นอกจากเทคโนโลยีแล้ว บทความยังสะท้อนถึง วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป จากการทำงานแบบเดี่ยวหรือทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมที่ใหญ่ขึ้น มีการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และการทำงานแบบ remote ที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงปี 2010s การเปรียบเทียบนี้ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของนักพัฒนาและวงการซอฟต์แวร์ที่ต้องเดินไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือพัฒนา ➡️ จาก editor พื้นฐานในปี 2002 สู่ IDE และเครื่องมือทันสมัยในปี 2015 ✅ ฮาร์ดแวร์และสภาพแวดล้อมการทำงาน ➡️ จากเครื่องสเปกต่ำและหน้าจอเล็ก สู่เครื่องที่ทรงพลังและหน้าจอใหญ่ขึ้น ✅ วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป ➡️ จากทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมใหญ่และการทำงานแบบ remote ‼️ ข้อท้าทายของการเปลี่ยนผ่าน ⛔ นักพัฒนาต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่ๆ และการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น https://anders.unix.se/2015/12/10/screenshots-from-developers--2002-vs.-2015/
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • Second IC: Homemade Silicon Chips โดย Sam Zeloof

    บทความนี้เล่าเรื่องการสร้างชิปทรานซิสเตอร์กว่า 1,000 ตัวด้วยกระบวนการ DIY โดย Sam Zeloof ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการทำ Integrated Circuit (IC) แบบโฮมเมด

    Sam Zeloof นักทดลองด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มทำชิปตั้งแต่สมัยมัธยม ได้เผยแพร่ผลงานใหม่ชื่อ Z2 ซึ่งเป็นชิปที่มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตขึ้นด้วยกระบวนการ DIY ในโรงงานเล็กๆ ที่บ้าน โดยใช้เทคนิค polysilicon gate process ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ Intel ใช้ในโปรเซสเซอร์รุ่นแรกๆ อย่าง Intel 4004

    ก่อนหน้านี้ Sam เคยสร้าง Z1 amplifier ที่มีเพียง 6 ทรานซิสเตอร์เพื่อทดสอบกระบวนการ แต่ครั้งนี้เขาสามารถเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ได้มหาศาล ทำให้เข้าใกล้การสร้างวงจรที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นหน่วยความจำหรือวงจรดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    สิ่งที่โดดเด่นคือการเปลี่ยนจาก metal gate ไปเป็น polysilicon gate ทำให้ชิปใหม่มี threshold voltage (Vth) ต่ำลง และสามารถทำงานร่วมกับแรงดันมาตรฐาน 2.5V–3.3V ได้ ต่างจากรุ่นก่อนที่ต้องใช้แบตเตอรี่แรงดันสูงถึง 9V เพื่อให้ทำงานได้ นอกจากนี้ยังพบว่า leakage current ต่ำมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีเกินคาดสำหรับการผลิตแบบโฮมเมด

    Sam ใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist รวมถึงการซื้อเวเฟอร์ที่มีการเคลือบชั้น polysilicon และ SiO₂ มาแล้วจากโรงงาน เพื่อลดขั้นตอนที่อันตรายและซับซ้อน เขายังใช้ซอฟต์แวร์ง่ายๆ อย่าง Photoshop ในการออกแบบ layout ของชิป

    แม้ผลลัพธ์ยังมีข้อจำกัด เช่น yield ต่ำและความผิดพลาดในการจัดเรียงเลเยอร์ แต่การที่สามารถสร้างชิปที่มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 1,000 ตัวได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐาน ถือเป็นการพิสูจน์ว่า DIY IC fabrication สามารถก้าวไปไกลกว่าการทดลองเล็กๆ และอาจเปิดทางให้ผู้สนใจทั่วโลกได้ลองทำสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Z2 Chip
    มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตด้วยกระบวนการ DIY

    Polysilicon Gate Process
    ทำให้ threshold voltage ต่ำลงและรองรับแรงดันมาตรฐาน 2.5–3.3V

    คุณสมบัติเด่น
    leakage current ต่ำมาก, rise/fall time < 10 ns

    เครื่องมือที่ใช้
    อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist

    ข้อจำกัดของกระบวนการ DIY
    yield ต่ำ, alignment ของเลเยอร์ไม่สมบูรณ์ และยังไม่รองรับ CMOS เต็มรูปแบบ

    https://sam.zeloof.xyz/second-ic/
    🔬 Second IC: Homemade Silicon Chips โดย Sam Zeloof บทความนี้เล่าเรื่องการสร้างชิปทรานซิสเตอร์กว่า 1,000 ตัวด้วยกระบวนการ DIY โดย Sam Zeloof ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการทำ Integrated Circuit (IC) แบบโฮมเมด Sam Zeloof นักทดลองด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มทำชิปตั้งแต่สมัยมัธยม ได้เผยแพร่ผลงานใหม่ชื่อ Z2 ซึ่งเป็นชิปที่มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตขึ้นด้วยกระบวนการ DIY ในโรงงานเล็กๆ ที่บ้าน โดยใช้เทคนิค polysilicon gate process ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ Intel ใช้ในโปรเซสเซอร์รุ่นแรกๆ อย่าง Intel 4004 ก่อนหน้านี้ Sam เคยสร้าง Z1 amplifier ที่มีเพียง 6 ทรานซิสเตอร์เพื่อทดสอบกระบวนการ แต่ครั้งนี้เขาสามารถเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ได้มหาศาล ทำให้เข้าใกล้การสร้างวงจรที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นหน่วยความจำหรือวงจรดิจิทัลเต็มรูปแบบ สิ่งที่โดดเด่นคือการเปลี่ยนจาก metal gate ไปเป็น polysilicon gate ทำให้ชิปใหม่มี threshold voltage (Vth) ต่ำลง และสามารถทำงานร่วมกับแรงดันมาตรฐาน 2.5V–3.3V ได้ ต่างจากรุ่นก่อนที่ต้องใช้แบตเตอรี่แรงดันสูงถึง 9V เพื่อให้ทำงานได้ นอกจากนี้ยังพบว่า leakage current ต่ำมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีเกินคาดสำหรับการผลิตแบบโฮมเมด Sam ใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist รวมถึงการซื้อเวเฟอร์ที่มีการเคลือบชั้น polysilicon และ SiO₂ มาแล้วจากโรงงาน เพื่อลดขั้นตอนที่อันตรายและซับซ้อน เขายังใช้ซอฟต์แวร์ง่ายๆ อย่าง Photoshop ในการออกแบบ layout ของชิป แม้ผลลัพธ์ยังมีข้อจำกัด เช่น yield ต่ำและความผิดพลาดในการจัดเรียงเลเยอร์ แต่การที่สามารถสร้างชิปที่มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 1,000 ตัวได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐาน ถือเป็นการพิสูจน์ว่า DIY IC fabrication สามารถก้าวไปไกลกว่าการทดลองเล็กๆ และอาจเปิดทางให้ผู้สนใจทั่วโลกได้ลองทำสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Z2 Chip ➡️ มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตด้วยกระบวนการ DIY ✅ Polysilicon Gate Process ➡️ ทำให้ threshold voltage ต่ำลงและรองรับแรงดันมาตรฐาน 2.5–3.3V ✅ คุณสมบัติเด่น ➡️ leakage current ต่ำมาก, rise/fall time < 10 ns ✅ เครื่องมือที่ใช้ ➡️ อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist ‼️ ข้อจำกัดของกระบวนการ DIY ⛔ yield ต่ำ, alignment ของเลเยอร์ไม่สมบูรณ์ และยังไม่รองรับ CMOS เต็มรูปแบบ https://sam.zeloof.xyz/second-ic/
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • Titans + MIRAS: ก้าวใหม่ของความทรงจำระยะยาวใน AI

    Google Research เปิดตัวสถาปัตยกรรม Titans และกรอบแนวคิด MIRAS เพื่อแก้ปัญหาการจัดการข้อมูลในลำดับยาวที่โมเดล Transformer แบบดั้งเดิมมักเจอข้อจำกัด เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการคำนวณเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อความยาวของ sequence ขยายตัว ทำให้ยากต่อการใช้งานในงานที่ต้องการการเข้าใจทั้งเอกสารหรือข้อมูลเชิงลึก เช่น การวิเคราะห์จีโนม

    Titans ถูกออกแบบให้ผสมผสานความเร็วของ RNNs เข้ากับความแม่นยำของ Transformers โดยเพิ่มโมดูลความจำระยะยาวที่ทำงานเหมือน multi-layer perceptron (MLP) ซึ่งมีพลังในการสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบทสำคัญ ขณะเดียวกัน MIRAS ทำหน้าที่เป็นกรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลสามารถอัปเดตความจำได้แบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “surprise metric” ในการเลือกเก็บข้อมูลที่สำคัญหรือผิดคาดเข้าสู่ความจำถาวร

    จุดเด่นคือโมเดลไม่เพียงแต่เก็บข้อมูล แต่ยังสามารถ เรียนรู้ความสัมพันธ์และธีมหลัก ที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ได้ทันที พร้อมทั้งมีระบบ momentum เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง และ forgetting gate เพื่อจัดการความจำที่มีขีดจำกัด

    MIRAS ยังนำเสนอการมองใหม่ต่อ sequence modeling โดยมองว่าโมเดลทุกแบบคือการออกแบบหน่วยความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory) ที่ต้องหาสมดุลระหว่างการเรียนรู้ใหม่กับการรักษาความรู้เดิม ทำให้สามารถสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและทรงพลังมากขึ้น เช่น YAAD, MONETA และ MEMORA ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน

    ผลการทดลองแสดงว่า Titans และ MIRAS variants สามารถทำงานได้ดีกว่าโมเดลล้ำสมัยอื่นๆ เช่น Transformer++ และ Mamba-2 โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ long-context reasoning เช่นการประมวลผลเอกสารที่มีข้อมูลยาวกว่า 2 ล้าน tokens ซึ่ง Titans สามารถทำงานได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงกว่าแม้เทียบกับโมเดลขนาดใหญ่เช่น GPT-4

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Titans Architecture
    เพิ่มโมดูลความจำระยะยาวแบบ MLP เพื่อสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบท

    MIRAS Framework
    กรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลอัปเดตความจำแบบเรียลไทม์ด้วย “surprise metric”

    กลไกสำคัญ
    Momentum สำหรับเก็บข้อมูลต่อเนื่อง และ Forgetting Gate สำหรับลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น

    โมเดลใหม่จาก MIRAS
    YAAD, MONETA, MEMORA ถูกออกแบบเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน

    ผลการทดลอง
    Titans และ MIRAS variants ทำงานได้ดีกว่า Transformer++ และ Mamba-2 ในงาน long-context reasoning

    ข้อท้าทาย
    การจัดการความจำที่มีขีดจำกัดยังต้องพึ่งกลไกการลืม (weight decay) เพื่อไม่ให้ระบบล้นข้อมูล

    https://research.google/blog/titans-miras-helping-ai-have-long-term-memory/
    🧠 Titans + MIRAS: ก้าวใหม่ของความทรงจำระยะยาวใน AI Google Research เปิดตัวสถาปัตยกรรม Titans และกรอบแนวคิด MIRAS เพื่อแก้ปัญหาการจัดการข้อมูลในลำดับยาวที่โมเดล Transformer แบบดั้งเดิมมักเจอข้อจำกัด เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการคำนวณเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อความยาวของ sequence ขยายตัว ทำให้ยากต่อการใช้งานในงานที่ต้องการการเข้าใจทั้งเอกสารหรือข้อมูลเชิงลึก เช่น การวิเคราะห์จีโนม Titans ถูกออกแบบให้ผสมผสานความเร็วของ RNNs เข้ากับความแม่นยำของ Transformers โดยเพิ่มโมดูลความจำระยะยาวที่ทำงานเหมือน multi-layer perceptron (MLP) ซึ่งมีพลังในการสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบทสำคัญ ขณะเดียวกัน MIRAS ทำหน้าที่เป็นกรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลสามารถอัปเดตความจำได้แบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “surprise metric” ในการเลือกเก็บข้อมูลที่สำคัญหรือผิดคาดเข้าสู่ความจำถาวร จุดเด่นคือโมเดลไม่เพียงแต่เก็บข้อมูล แต่ยังสามารถ เรียนรู้ความสัมพันธ์และธีมหลัก ที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ได้ทันที พร้อมทั้งมีระบบ momentum เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง และ forgetting gate เพื่อจัดการความจำที่มีขีดจำกัด MIRAS ยังนำเสนอการมองใหม่ต่อ sequence modeling โดยมองว่าโมเดลทุกแบบคือการออกแบบหน่วยความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory) ที่ต้องหาสมดุลระหว่างการเรียนรู้ใหม่กับการรักษาความรู้เดิม ทำให้สามารถสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและทรงพลังมากขึ้น เช่น YAAD, MONETA และ MEMORA ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน ผลการทดลองแสดงว่า Titans และ MIRAS variants สามารถทำงานได้ดีกว่าโมเดลล้ำสมัยอื่นๆ เช่น Transformer++ และ Mamba-2 โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ long-context reasoning เช่นการประมวลผลเอกสารที่มีข้อมูลยาวกว่า 2 ล้าน tokens ซึ่ง Titans สามารถทำงานได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงกว่าแม้เทียบกับโมเดลขนาดใหญ่เช่น GPT-4 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Titans Architecture ➡️ เพิ่มโมดูลความจำระยะยาวแบบ MLP เพื่อสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบท ✅ MIRAS Framework ➡️ กรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลอัปเดตความจำแบบเรียลไทม์ด้วย “surprise metric” ✅ กลไกสำคัญ ➡️ Momentum สำหรับเก็บข้อมูลต่อเนื่อง และ Forgetting Gate สำหรับลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น ✅ โมเดลใหม่จาก MIRAS ➡️ YAAD, MONETA, MEMORA ถูกออกแบบเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน ✅ ผลการทดลอง ➡️ Titans และ MIRAS variants ทำงานได้ดีกว่า Transformer++ และ Mamba-2 ในงาน long-context reasoning ‼️ ข้อท้าทาย ⛔ การจัดการความจำที่มีขีดจำกัดยังต้องพึ่งกลไกการลืม (weight decay) เพื่อไม่ให้ระบบล้นข้อมูล https://research.google/blog/titans-miras-helping-ai-have-long-term-memory/
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • GPTZero พบ 50+ Hallucinations ใน ICLR 2026

    การประชุม International Conference on Learning Representations (ICLR) ถือเป็นหนึ่งในเวทีวิชาการด้าน Machine Learning ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่รายงานจาก GPTZero ชี้ว่า ระบบ Peer Review กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากการใช้ AI ในการเขียนบทความทำให้เกิดปัญหา “AI Slop” หรือเนื้อหาที่มีการอ้างอิงผิดพลาดและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

    GPTZero ใช้เครื่องมือ Citation Check สแกนบทความกว่า 300 เรื่องที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026 และพบว่า 90 เรื่องมีการอ้างอิงที่น่าสงสัย โดยหลังการตรวจสอบจากมนุษย์ พบว่า 50 เรื่องมีการอ้างอิงที่เป็น Hallucination จริง ซึ่งน่ากังวลเพราะบทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่กลับไม่ถูกตรวจพบ

    ความหมายของ Hallucination ใน AI
    Hallucination (ภาพหลอนของ AI) คือปรากฏการณ์ที่โมเดล AI โดยเฉพาะ Generative AI เช่น ChatGPT หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สร้างคำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดหรือแต่งขึ้นมาเอง
    ตัวอย่างเช่น การอ้างอิงบทความที่ไม่มีอยู่จริง, การให้ข้อมูลตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง, หรือการสร้างชื่อบุคคล/งานวิจัยที่ไม่เคยมีจริง

    สิ่งที่น่าตกใจคือ บางบทความที่มีการอ้างอิงผิดพลาดยังได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10 ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติม นี่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่งานวิชาการคุณภาพต่ำอาจเล็ดลอดเข้าสู่เวทีระดับโลก

    GPTZero ประเมินว่า จากจำนวนบทความที่ส่งเข้าร่วมกว่า 20,000 เรื่อง อาจมีบทความที่มี Hallucination หลายร้อยเรื่อง ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไข อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของวงการวิจัย AI และ Machine Learning ในระดับสากล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบของ GPTZero
    พบ Hallucinations มากกว่า 50 เรื่องในบทความที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026

    การตรวจสอบที่ล้มเหลว
    บทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่ไม่ถูกตรวจพบ

    ความเสี่ยงต่อคุณภาพงานวิจัย
    บางบทความที่มีอ้างอิงผิดพลาดยังได้คะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10

    ขอบเขตของปัญหา
    จาก 20,000 บทความที่ส่งเข้าร่วม อาจมีหลายร้อยเรื่องที่มี Hallucinations

    ผลกระทบต่อวงการวิชาการ
    อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย AI และ Machine Learning ลดลง

    ความท้าทายของ Peer Review
    ผู้ทรงคุณวุฒิอาจไม่สามารถตรวจจับการอ้างอิงผิดพลาดที่เกิดจาก AI ได้ทั้งหมด

    https://gptzero.me/news/iclr-2026/
    📚 GPTZero พบ 50+ Hallucinations ใน ICLR 2026 การประชุม International Conference on Learning Representations (ICLR) ถือเป็นหนึ่งในเวทีวิชาการด้าน Machine Learning ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่รายงานจาก GPTZero ชี้ว่า ระบบ Peer Review กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากการใช้ AI ในการเขียนบทความทำให้เกิดปัญหา “AI Slop” หรือเนื้อหาที่มีการอ้างอิงผิดพลาดและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง GPTZero ใช้เครื่องมือ Citation Check สแกนบทความกว่า 300 เรื่องที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026 และพบว่า 90 เรื่องมีการอ้างอิงที่น่าสงสัย โดยหลังการตรวจสอบจากมนุษย์ พบว่า 50 เรื่องมีการอ้างอิงที่เป็น Hallucination จริง ซึ่งน่ากังวลเพราะบทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่กลับไม่ถูกตรวจพบ 🤖 ความหมายของ Hallucination ใน AI 💠 Hallucination (ภาพหลอนของ AI) คือปรากฏการณ์ที่โมเดล AI โดยเฉพาะ Generative AI เช่น ChatGPT หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สร้างคำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดหรือแต่งขึ้นมาเอง 💠 ตัวอย่างเช่น การอ้างอิงบทความที่ไม่มีอยู่จริง, การให้ข้อมูลตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง, หรือการสร้างชื่อบุคคล/งานวิจัยที่ไม่เคยมีจริง สิ่งที่น่าตกใจคือ บางบทความที่มีการอ้างอิงผิดพลาดยังได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10 ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติม นี่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่งานวิชาการคุณภาพต่ำอาจเล็ดลอดเข้าสู่เวทีระดับโลก GPTZero ประเมินว่า จากจำนวนบทความที่ส่งเข้าร่วมกว่า 20,000 เรื่อง อาจมีบทความที่มี Hallucination หลายร้อยเรื่อง ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไข อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของวงการวิจัย AI และ Machine Learning ในระดับสากล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบของ GPTZero ➡️ พบ Hallucinations มากกว่า 50 เรื่องในบทความที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026 ✅ การตรวจสอบที่ล้มเหลว ➡️ บทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่ไม่ถูกตรวจพบ ✅ ความเสี่ยงต่อคุณภาพงานวิจัย ➡️ บางบทความที่มีอ้างอิงผิดพลาดยังได้คะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10 ✅ ขอบเขตของปัญหา ➡️ จาก 20,000 บทความที่ส่งเข้าร่วม อาจมีหลายร้อยเรื่องที่มี Hallucinations ‼️ ผลกระทบต่อวงการวิชาการ ⛔ อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย AI และ Machine Learning ลดลง ‼️ ความท้าทายของ Peer Review ⛔ ผู้ทรงคุณวุฒิอาจไม่สามารถตรวจจับการอ้างอิงผิดพลาดที่เกิดจาก AI ได้ทั้งหมด https://gptzero.me/news/iclr-2026/
    GPTZERO.ME
    GPTZero uncovers 50+ Hallucinations in ICLR 2026
    GPTZero used our Hallucination Check tool to find 50+ hallucinations under review at ICLR, each of which were missed by 3-5 peer reviewers.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • เหตุเขมรยิงก่อน แพ้ราบคาบที่ยูเอ็น โดนแฉหลักฐานวางทุ่นระเบิดปะทะชายแดนศรีสะเกษเดือด ทหารไทยถูกยิงเจ็บ 2 นาย ขณะกัมพูชายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดว่าถูกโจมตีก่อน และตั้งข้อสังเกตอาจโยงการประชุมอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดที่ยูเอ็น นายกฯ เรียกประชุมด่วนและเตรียมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117543
    .
    #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate
    #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูผาเหล็ก #ทุ่นระเบิด #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    เหตุเขมรยิงก่อน แพ้ราบคาบที่ยูเอ็น โดนแฉหลักฐานวางทุ่นระเบิดปะทะชายแดนศรีสะเกษเดือด ทหารไทยถูกยิงเจ็บ 2 นาย ขณะกัมพูชายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดว่าถูกโจมตีก่อน และตั้งข้อสังเกตอาจโยงการประชุมอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดที่ยูเอ็น นายกฯ เรียกประชุมด่วนและเตรียมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117543 . #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูผาเหล็ก #ทุ่นระเบิด #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ไทย-กัมพูชา ยังตึงเครียด พลเรือนตาย 1 ระหว่างอพยพ เขมรปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาสถานการณ์ชายแดนยังเดือด เกิดเหตุยิงหลายระลอกจากฝั่งกัมพูชาในบุรีรัมย์ สุรินทร์ และช่องอานม้า ทำให้ประชาชนกว่า 70% ต้องอพยพออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิต 1 รายระหว่างการเคลื่อนย้าย ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธข้อมูลไทยทั้งหมดและมองว่าเป็นการบิดเบือนสถานการณ์
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117546
    .
    #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate #ชายแดนไทยกัมพูชา #สถานการณ์ชายแดน #เหตุยิงชายแดน #อพยพประชาชน #บุรีรัมย์ #สุรินทร์ #ช่องอานม้า #กระทรวงกลาโหมกัมพูชา #ความมั่นคง #ติดตามสถานการณ์ #กองทัพภาคที่2 #ศูนย์พักพิงชั่วคราว #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    ไทย-กัมพูชา ยังตึงเครียด พลเรือนตาย 1 ระหว่างอพยพ เขมรปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาสถานการณ์ชายแดนยังเดือด เกิดเหตุยิงหลายระลอกจากฝั่งกัมพูชาในบุรีรัมย์ สุรินทร์ และช่องอานม้า ทำให้ประชาชนกว่า 70% ต้องอพยพออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิต 1 รายระหว่างการเคลื่อนย้าย ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธข้อมูลไทยทั้งหมดและมองว่าเป็นการบิดเบือนสถานการณ์ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117546 . #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate #ชายแดนไทยกัมพูชา #สถานการณ์ชายแดน #เหตุยิงชายแดน #อพยพประชาชน #บุรีรัมย์ #สุรินทร์ #ช่องอานม้า #กระทรวงกลาโหมกัมพูชา #ความมั่นคง #ติดตามสถานการณ์ #กองทัพภาคที่2 #ศูนย์พักพิงชั่วคราว #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Goodbye Microsoft: Schleswig-Holstein หันพึ่ง Open Source

    รัฐบาลท้องถิ่น Schleswig-Holstein ในเยอรมนีตัดสินใจ ย้ายออกจาก Microsoft และหันมาใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแทน โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้โอเพนซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่

    การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังรวมถึง ความปลอดภัยและความโปร่งใส เนื่องจากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบโค้ดได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบไม่มีการฝังฟังก์ชันที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถควบคุมและปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง

    นอกจากนี้ การใช้โอเพนซอร์สยังช่วยสร้าง ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ลดการผูกขาดกับผู้ให้บริการรายเดียว และเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ในท้องถิ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภูมิภาคได้

    แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีความท้าทาย เช่น การฝึกอบรมบุคลากรและการปรับระบบงาน แต่ Schleswig-Holstein มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า ทั้งในด้านการเงิน ความปลอดภัย และความยั่งยืนของระบบดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การย้ายออกจาก Microsoft
    Schleswig-Holstein เลือกใช้โอเพนซอร์สแทน

    ประหยัดค่าใช้จ่าย
    ลดค่าไลเซนส์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร

    ความปลอดภัยและความโปร่งใส
    โค้ดโอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบได้ ลดความเสี่ยงจากฟังก์ชันแอบแฝง

    ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
    ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่ และสนับสนุนการพัฒนาในท้องถิ่น

    ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน
    ต้องฝึกอบรมบุคลากรและปรับระบบงานให้เข้ากับซอฟต์แวร์ใหม่

    https://www.heise.de/en/news/Goodbye-Microsoft-Schleswig-Holstein-relies-on-Open-Source-and-saves-millions-11105459.html
    💶 Goodbye Microsoft: Schleswig-Holstein หันพึ่ง Open Source รัฐบาลท้องถิ่น Schleswig-Holstein ในเยอรมนีตัดสินใจ ย้ายออกจาก Microsoft และหันมาใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแทน โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้โอเพนซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังรวมถึง ความปลอดภัยและความโปร่งใส เนื่องจากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบโค้ดได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบไม่มีการฝังฟังก์ชันที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถควบคุมและปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ การใช้โอเพนซอร์สยังช่วยสร้าง ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ลดการผูกขาดกับผู้ให้บริการรายเดียว และเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ในท้องถิ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภูมิภาคได้ แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีความท้าทาย เช่น การฝึกอบรมบุคลากรและการปรับระบบงาน แต่ Schleswig-Holstein มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า ทั้งในด้านการเงิน ความปลอดภัย และความยั่งยืนของระบบดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การย้ายออกจาก Microsoft ➡️ Schleswig-Holstein เลือกใช้โอเพนซอร์สแทน ✅ ประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ ลดค่าไลเซนส์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร ✅ ความปลอดภัยและความโปร่งใส ➡️ โค้ดโอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบได้ ลดความเสี่ยงจากฟังก์ชันแอบแฝง ✅ ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ➡️ ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่ และสนับสนุนการพัฒนาในท้องถิ่น ‼️ ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน ⛔ ต้องฝึกอบรมบุคลากรและปรับระบบงานให้เข้ากับซอฟต์แวร์ใหม่ https://www.heise.de/en/news/Goodbye-Microsoft-Schleswig-Holstein-relies-on-Open-Source-and-saves-millions-11105459.html
    WWW.HEISE.DE
    Goodbye, Microsoft: Schleswig-Holstein relies on Open Source and saves millions
    Schleswig-Holstein saves 15 million euros in license costs by migrating from Microsoft to free software. The conversion is significantly cheaper.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • 14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT

    ChatGPT ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ค้นหาข้อมูลไปจนถึงวางแผนงาน แต่บทความนี้ชี้ว่า หลายคำถามไม่ควรถามกับ ChatGPT เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้มองว่า ChatGPT เป็น “ผู้รู้ทุกเรื่อง” ทั้งที่จริงๆ แล้วมันยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงสูง

    หนึ่งในข้อควรระวังคือ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อายุ หรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เพราะการสนทนาไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเสมอไป และมีกรณีที่ข้อมูลรั่วไหลจากการแฮ็กหรือบั๊กในระบบ นอกจากนี้ ChatGPT อาจ “จำ” และนำข้อมูลที่เคยได้รับไปใช้ซ้ำในบริบทอื่นโดยไม่ตั้งใจ

    อีกประเด็นคือ คำถามที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม เช่น การขอคำแนะนำเรื่องยาเสพติดหรือการทำผิดกฎหมาย ถึงแม้ระบบจะมีข้อจำกัด แต่ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงที่บางคนใช้ ซึ่งเสี่ยงทั้งต่อการถูกดำเนินคดีและการได้รับข้อมูลผิดๆ ที่อันตรายต่อชีวิต

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไม่ควรถาม เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ ความสัมพันธ์ การเงิน กฎหมาย และการทำนายอนาคต เพราะ ChatGPT ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และมีแนวโน้มให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือมีอคติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต

    14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT
    ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่ระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลบัตรเครดิต
    รหัสผ่านหรือข้อมูลบัญชีออนไลน์ เพราะอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ตั้งใจหรือเสี่ยงต่อการรั่วไหล
    คำแนะนำทางการแพทย์ ChatGPT ไม่ใช่แพทย์ และอาจให้ข้อมูลผิดพลาดที่เป็นอันตราย
    คำแนะนำด้านสุขภาพจิต ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญได้
    คำแนะนำทางกฎหมาย อาจให้ข้อมูลไม่ถูกต้องและไม่สามารถใช้แทนทนายความได้
    คำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน มีความเสี่ยงสูงที่จะให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม
    คำถามเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย เช่น วิธีแฮ็ก การใช้ยาเสพติด หรือการก่ออาชญากรรม
    ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทหรือองค์กร เช่น โค้ดภายใน เอกสารลับ หรือข้อมูลลูกค้า
    การทำนายอนาคต ChatGPT ไม่มีความสามารถในการคาดการณ์ที่แม่นยำ
    คำถามเกี่ยวกับการเมืองที่อ่อนไหว อาจให้ข้อมูลที่มีอคติหรือไม่ถูกต้อง
    การใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การปฐมพยาบาลหรือการรับมือภัยพิบัติ
    คำถามที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น การตัดสินใจเรื่องคู่ครองหรือครอบครัว
    การขอข้อมูลจาก Dark Web หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เป็นอันตรายและผิดกฎหมาย
    การใช้ ChatGPT เป็น “ผู้ตัดสินใจแทน” ไม่ควรฝากการตัดสินใจสำคัญให้กับ AI ที่อาจให้ข้อมูลผิดพลาด


    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลส่วนตัวไม่ควรใส่ใน ChatGPT
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลและถูกนำไปใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ

    ไม่ควรถามเรื่องผิดกฎหมาย
    ข้อมูลการสนทนาอาจถูกใช้เป็นหลักฐาน และคำตอบอาจผิดพลาด

    ไม่ควรใช้ ChatGPT วิเคราะห์ข้อมูลที่มีการคุ้มครอง
    เช่น ข้อมูลทางการแพทย์หรือโค้ดลับของบริษัท

    คำแนะนำทางการแพทย์และสุขภาพจิต
    ChatGPT อาจให้ข้อมูลผิดและไม่สามารถแทนผู้เชี่ยวชาญได้

    เรื่องความสัมพันธ์และการเงิน
    มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับคำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรืออคติ

    การใช้ ChatGPT ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    คำตอบผิดพลาดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

    การขอให้ทำนายอนาคตหรือเรื่องการเมือง
    ChatGPT มีอคติและไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำได้

    https://www.slashgear.com/2042576/never-ask-chatgpt-these-things/
    🚫 14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT ChatGPT ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ค้นหาข้อมูลไปจนถึงวางแผนงาน แต่บทความนี้ชี้ว่า หลายคำถามไม่ควรถามกับ ChatGPT เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้มองว่า ChatGPT เป็น “ผู้รู้ทุกเรื่อง” ทั้งที่จริงๆ แล้วมันยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงสูง หนึ่งในข้อควรระวังคือ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อายุ หรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เพราะการสนทนาไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเสมอไป และมีกรณีที่ข้อมูลรั่วไหลจากการแฮ็กหรือบั๊กในระบบ นอกจากนี้ ChatGPT อาจ “จำ” และนำข้อมูลที่เคยได้รับไปใช้ซ้ำในบริบทอื่นโดยไม่ตั้งใจ อีกประเด็นคือ คำถามที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม เช่น การขอคำแนะนำเรื่องยาเสพติดหรือการทำผิดกฎหมาย ถึงแม้ระบบจะมีข้อจำกัด แต่ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงที่บางคนใช้ ซึ่งเสี่ยงทั้งต่อการถูกดำเนินคดีและการได้รับข้อมูลผิดๆ ที่อันตรายต่อชีวิต นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไม่ควรถาม เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ ความสัมพันธ์ การเงิน กฎหมาย และการทำนายอนาคต เพราะ ChatGPT ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และมีแนวโน้มให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือมีอคติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต 📝 14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT ❓ ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่ระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลบัตรเครดิต ❓ รหัสผ่านหรือข้อมูลบัญชีออนไลน์ เพราะอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ตั้งใจหรือเสี่ยงต่อการรั่วไหล ❓ คำแนะนำทางการแพทย์ ChatGPT ไม่ใช่แพทย์ และอาจให้ข้อมูลผิดพลาดที่เป็นอันตราย ❓ คำแนะนำด้านสุขภาพจิต ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญได้ ❓ คำแนะนำทางกฎหมาย อาจให้ข้อมูลไม่ถูกต้องและไม่สามารถใช้แทนทนายความได้ ❓ คำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน มีความเสี่ยงสูงที่จะให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม ❓ คำถามเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย เช่น วิธีแฮ็ก การใช้ยาเสพติด หรือการก่ออาชญากรรม ❓ ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทหรือองค์กร เช่น โค้ดภายใน เอกสารลับ หรือข้อมูลลูกค้า ❓ การทำนายอนาคต ChatGPT ไม่มีความสามารถในการคาดการณ์ที่แม่นยำ ❓ คำถามเกี่ยวกับการเมืองที่อ่อนไหว อาจให้ข้อมูลที่มีอคติหรือไม่ถูกต้อง ❓ การใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การปฐมพยาบาลหรือการรับมือภัยพิบัติ ❓ คำถามที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น การตัดสินใจเรื่องคู่ครองหรือครอบครัว ❓ การขอข้อมูลจาก Dark Web หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เป็นอันตรายและผิดกฎหมาย ❓ การใช้ ChatGPT เป็น “ผู้ตัดสินใจแทน” ไม่ควรฝากการตัดสินใจสำคัญให้กับ AI ที่อาจให้ข้อมูลผิดพลาด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลส่วนตัวไม่ควรใส่ใน ChatGPT ➡️ เสี่ยงต่อการรั่วไหลและถูกนำไปใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ ไม่ควรถามเรื่องผิดกฎหมาย ➡️ ข้อมูลการสนทนาอาจถูกใช้เป็นหลักฐาน และคำตอบอาจผิดพลาด ✅ ไม่ควรใช้ ChatGPT วิเคราะห์ข้อมูลที่มีการคุ้มครอง ➡️ เช่น ข้อมูลทางการแพทย์หรือโค้ดลับของบริษัท ✅ คำแนะนำทางการแพทย์และสุขภาพจิต ➡️ ChatGPT อาจให้ข้อมูลผิดและไม่สามารถแทนผู้เชี่ยวชาญได้ ✅ เรื่องความสัมพันธ์และการเงิน ➡️ มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับคำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรืออคติ ‼️ การใช้ ChatGPT ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ⛔ คำตอบผิดพลาดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ‼️ การขอให้ทำนายอนาคตหรือเรื่องการเมือง ⛔ ChatGPT มีอคติและไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำได้ https://www.slashgear.com/2042576/never-ask-chatgpt-these-things/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    14 Things You Should Never Ask ChatGPT - SlashGear
    Many people trust chatbots without thinking twice. Here’s a grounded look at why that trust can fail and what’s worth handling offline.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ทั้งบริเวณช่องอานม้า เนิน 677 ห้วยตามาเรีย พื้นที่คนา และปราสาทตาเมือนธม
    ขอส่งกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประชาชนและอธิปไตย
    .
    BREAKING! Reports indicate heightened tension along multiple border areas —
    including Chong Ar Ma, Hill 677, Huai Ta Maria, Phueng Khana, and Prasat Ta Muen Thom.
    Our thoughts are with all Thai soldiers safeguarding the people and the nation’s sovereignty.
    .
    #news1 #news1live #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    ทั้งบริเวณช่องอานม้า เนิน 677 ห้วยตามาเรีย พื้นที่คนา และปราสาทตาเมือนธม ขอส่งกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประชาชนและอธิปไตย . BREAKING! Reports indicate heightened tension along multiple border areas — including Chong Ar Ma, Hill 677, Huai Ta Maria, Phueng Khana, and Prasat Ta Muen Thom. Our thoughts are with all Thai soldiers safeguarding the people and the nation’s sovereignty. . #news1 #news1live #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc Disk Tool (CVE-2025-13654)

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการจัดทำดัชนีและแสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์บนระบบ Linux โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13654 และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการจัดการข้อมูล

    ปัญหาหลักเกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ภายในไฟล์ buffer.c โดยการตรวจสอบความยาวใช้การลบแบบ unsigned subtraction ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วย input ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้เกิดการอ่านหน่วยความจำที่อยู่นอกขอบเขต (out-of-bounds read) ผ่านคำสั่ง memcpy() ส่งผลให้ข้อมูลที่ไม่ควรถูกเข้าถึงอาจรั่วไหลออกมา

    แม้ว่า Duc จะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายในระบบเป็นหลัก แต่หากมีการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น ฐานข้อมูลหรือ input stream ที่ไม่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial of Service) หรือดึงข้อมูลจากหน่วยความจำ (Information Disclosure) ได้ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสำคัญที่อยู่ใน stack memory

    ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน Duc 1.4.6 โดยผู้ใช้ทุกคนควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเวอร์ชันก่อนหน้า 1.4.6 ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-13654 ใน Duc Disk Tool
    เกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    Denial of Service (DoS) และ Information Disclosure จากการอ่านหน่วยความจำผิดพลาด

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุกเวอร์ชันก่อน Duc 1.4.6

    การแก้ไขที่ปลอดภัย
    อัปเดตเป็น Duc 1.4.6 จาก GitHub repository

    ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ข้อมูลจากภายนอก
    หาก Duc ประมวลผล input ที่ไม่เชื่อถือได้ อาจถูกโจมตีจนระบบล่มหรือข้อมูลรั่ว

    ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตทันที
    ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ

    https://securityonline.info/high-severity-duc-disk-tool-flaw-cve-2025-13654-risks-dos-and-information-leak-via-integer-underflow/
    💽 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc Disk Tool (CVE-2025-13654) มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการจัดทำดัชนีและแสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์บนระบบ Linux โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13654 และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการจัดการข้อมูล ปัญหาหลักเกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ภายในไฟล์ buffer.c โดยการตรวจสอบความยาวใช้การลบแบบ unsigned subtraction ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วย input ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้เกิดการอ่านหน่วยความจำที่อยู่นอกขอบเขต (out-of-bounds read) ผ่านคำสั่ง memcpy() ส่งผลให้ข้อมูลที่ไม่ควรถูกเข้าถึงอาจรั่วไหลออกมา แม้ว่า Duc จะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายในระบบเป็นหลัก แต่หากมีการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น ฐานข้อมูลหรือ input stream ที่ไม่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial of Service) หรือดึงข้อมูลจากหน่วยความจำ (Information Disclosure) ได้ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสำคัญที่อยู่ใน stack memory ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน Duc 1.4.6 โดยผู้ใช้ทุกคนควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเวอร์ชันก่อนหน้า 1.4.6 ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งหมด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13654 ใน Duc Disk Tool ➡️ เกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ Denial of Service (DoS) และ Information Disclosure จากการอ่านหน่วยความจำผิดพลาด ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อน Duc 1.4.6 ✅ การแก้ไขที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตเป็น Duc 1.4.6 จาก GitHub repository ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ข้อมูลจากภายนอก ⛔ หาก Duc ประมวลผล input ที่ไม่เชื่อถือได้ อาจถูกโจมตีจนระบบล่มหรือข้อมูลรั่ว ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตทันที ⛔ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ https://securityonline.info/high-severity-duc-disk-tool-flaw-cve-2025-13654-risks-dos-and-information-leak-via-integer-underflow/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Duc Disk Tool Flaw (CVE-2025-13654) Risks DoS and Information Leak via Integer Underflow
    A High-severity flaw (CVE-2025-13654) in the Duc disk usage tool risks DoS and information leaks. An integer underflow in buffer.c allows out-of-bounds memory read. Update to v1.4.6 immediately.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java (CVE-2025-66566) ทำข้อมูลรั่วจากหน่วยความจำ

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java ซึ่งเป็นไลบรารี Java สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วยอัลกอริทึม LZ4 โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-66566 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 8.2 ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความลับของข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ

    ปัญหาหลักเกิดจากการที่ output buffer ไม่ถูกเคลียร์อย่างเหมาะสม ระหว่างการดีบีบอัดข้อมูล ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้าง input ที่ถูกปรับแต่งเพื่อบังคับให้ตัวถอดรหัสอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำที่ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญจากการทำงานก่อนหน้า เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส, หรือข้อมูลผู้ใช้

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อแอปพลิเคชันเลือกใช้ การ recycle buffer เพื่อประหยัดหน่วยความจำ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลเก่าที่ไม่ได้ถูกล้างออกยังคงอยู่และถูกส่งออกมาเป็นผลลัพธ์การดีบีบอัดโดยไม่ตั้งใจ

    ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน lz4-java 1.10.1 โดยไม่ต้องเปลี่ยนโค้ดของผู้ใช้ หากไม่สามารถอัปเดตได้ทันที ยังสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-66566 ใน lz4-java
    เกิดจากการไม่เคลียร์ output buffer อย่างถูกต้อง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส และข้อมูลผู้ใช้ อาจรั่วไหลออกมา

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    lz4-java 1.10.0 และเวอร์ชันก่อนหน้า

    การแก้ไขที่ปลอดภัย
    อัปเดตเป็น lz4-java 1.10.1 หรือทำการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน

    ความเสี่ยงต่อระบบที่ recycle buffer
    อาจทำให้ข้อมูลเก่าถูกส่งออกโดยไม่ตั้งใจ

    ความเข้าใจผิดของนักพัฒนา
    การใช้ fastestInstance() อาจยังคง fallback ไปใช้โค้ด Java ที่มีช่องโหว่ หาก JNI ไม่รองรับ

    https://securityonline.info/high-severity-lz4-java-flaw-cve-2025-66566-leaks-uninitialized-memory-during-decompression/
    ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java (CVE-2025-66566) ทำข้อมูลรั่วจากหน่วยความจำ มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java ซึ่งเป็นไลบรารี Java สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วยอัลกอริทึม LZ4 โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-66566 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 8.2 ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความลับของข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาหลักเกิดจากการที่ output buffer ไม่ถูกเคลียร์อย่างเหมาะสม ระหว่างการดีบีบอัดข้อมูล ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้าง input ที่ถูกปรับแต่งเพื่อบังคับให้ตัวถอดรหัสอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำที่ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญจากการทำงานก่อนหน้า เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส, หรือข้อมูลผู้ใช้ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อแอปพลิเคชันเลือกใช้ การ recycle buffer เพื่อประหยัดหน่วยความจำ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลเก่าที่ไม่ได้ถูกล้างออกยังคงอยู่และถูกส่งออกมาเป็นผลลัพธ์การดีบีบอัดโดยไม่ตั้งใจ ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน lz4-java 1.10.1 โดยไม่ต้องเปลี่ยนโค้ดของผู้ใช้ หากไม่สามารถอัปเดตได้ทันที ยังสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-66566 ใน lz4-java ➡️ เกิดจากการไม่เคลียร์ output buffer อย่างถูกต้อง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส และข้อมูลผู้ใช้ อาจรั่วไหลออกมา ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ lz4-java 1.10.0 และเวอร์ชันก่อนหน้า ✅ การแก้ไขที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตเป็น lz4-java 1.10.1 หรือทำการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบที่ recycle buffer ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเก่าถูกส่งออกโดยไม่ตั้งใจ ‼️ ความเข้าใจผิดของนักพัฒนา ⛔ การใช้ fastestInstance() อาจยังคง fallback ไปใช้โค้ด Java ที่มีช่องโหว่ หาก JNI ไม่รองรับ https://securityonline.info/high-severity-lz4-java-flaw-cve-2025-66566-leaks-uninitialized-memory-during-decompression/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity lz4-java Flaw (CVE-2025-66566) Leaks Uninitialized Memory During Decompression
    A High-severity flaw (CVE-2025-66566) in lz4-java allows remote attackers to read uninitialized memory (passwords/keys) from recycled buffers during decompression. Update to v1.10.1 immediately.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน WatchGuard Firebox เสี่ยง DoS และ RCE ผ่าน IKEv2

    WatchGuard Technologies ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับ 5 ช่องโหว่ร้ายแรง ที่พบในผลิตภัณฑ์ Firebox ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Fireware OS โดยช่องโหว่เหล่านี้สามารถถูกใช้โจมตีเพื่อทำให้บริการ VPN ล่ม (DoS), รันโค้ดอันตราย (RCE) และสั่งการแทรกคำสั่งในระบบบริหารจัดการได้ ซึ่งบริษัทได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในอัปเดตเดือนธันวาคม 2025

    หนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดคือ CVE-2025-11838 (CVSS 8.7) ซึ่งเกิดจาก Memory Corruption ในโปรโตคอล IKEv2 ที่ใช้เชื่อมต่อ VPN โดยผู้โจมตีที่ไม่ต้องมีสิทธิ์สามารถทำให้ VPN ขององค์กรล่มได้ทั้ง Mobile User VPN และ Branch Office VPN ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อองค์กรที่พึ่งพา VPN ในการทำงานระยะไกล

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่กระทบต่อ Firebox Management Interface เช่น XPath Injection (CVE-2025-1545) ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox และ CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195) ที่ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีผู้ดูแลระบบถูกแฮ็ก

    ช่องโหว่เหล่านี้กระทบกับหลายเวอร์ชันของ Fireware OS ได้แก่ 12.x (ถึง 12.11.4), 12.5.x (ถึง 12.5.13) และ 2025.1 (ถึง 2025.1.2) โดย WatchGuard ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 12.11.5, 12.5.14 (สำหรับ T15/T35) และ 2025.1.3 เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ Memory Corruption ใน IKEv2 (CVE-2025-11838)
    ผู้โจมตีไม่ต้องมีสิทธิ์ก็สามารถทำให้ VPN ล่มได้

    XPath Injection (CVE-2025-1545)
    เปิดช่องให้ดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox

    CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195)
    ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีถูกแฮ็ก

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    Fireware OS 12.x, 12.5.x และ 2025.1 ก่อนเวอร์ชันล่าสุด

    แพตช์แก้ไขที่ออกแล้ว
    Fireware OS 12.11.5, 12.5.14 และ 2025.1.3

    ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ VPN
    อาจถูกโจมตีจน VPN ล่มซ้ำๆ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน

    ความเสี่ยงจากบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮ็ก
    อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายและเข้าถึงระบบลึกขึ้น

    https://securityonline.info/high-severity-watchguard-flaws-risk-vpn-dos-and-rce-via-ikev2-memory-corruption/
    🔒 ช่องโหว่ร้ายแรงใน WatchGuard Firebox เสี่ยง DoS และ RCE ผ่าน IKEv2 WatchGuard Technologies ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับ 5 ช่องโหว่ร้ายแรง ที่พบในผลิตภัณฑ์ Firebox ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Fireware OS โดยช่องโหว่เหล่านี้สามารถถูกใช้โจมตีเพื่อทำให้บริการ VPN ล่ม (DoS), รันโค้ดอันตราย (RCE) และสั่งการแทรกคำสั่งในระบบบริหารจัดการได้ ซึ่งบริษัทได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในอัปเดตเดือนธันวาคม 2025 หนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดคือ CVE-2025-11838 (CVSS 8.7) ซึ่งเกิดจาก Memory Corruption ในโปรโตคอล IKEv2 ที่ใช้เชื่อมต่อ VPN โดยผู้โจมตีที่ไม่ต้องมีสิทธิ์สามารถทำให้ VPN ขององค์กรล่มได้ทั้ง Mobile User VPN และ Branch Office VPN ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อองค์กรที่พึ่งพา VPN ในการทำงานระยะไกล นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่กระทบต่อ Firebox Management Interface เช่น XPath Injection (CVE-2025-1545) ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox และ CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195) ที่ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีผู้ดูแลระบบถูกแฮ็ก ช่องโหว่เหล่านี้กระทบกับหลายเวอร์ชันของ Fireware OS ได้แก่ 12.x (ถึง 12.11.4), 12.5.x (ถึง 12.5.13) และ 2025.1 (ถึง 2025.1.2) โดย WatchGuard ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 12.11.5, 12.5.14 (สำหรับ T15/T35) และ 2025.1.3 เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ Memory Corruption ใน IKEv2 (CVE-2025-11838) ➡️ ผู้โจมตีไม่ต้องมีสิทธิ์ก็สามารถทำให้ VPN ล่มได้ ✅ XPath Injection (CVE-2025-1545) ➡️ เปิดช่องให้ดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox ✅ CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195) ➡️ ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีถูกแฮ็ก ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Fireware OS 12.x, 12.5.x และ 2025.1 ก่อนเวอร์ชันล่าสุด ✅ แพตช์แก้ไขที่ออกแล้ว ➡️ Fireware OS 12.11.5, 12.5.14 และ 2025.1.3 ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ VPN ⛔ อาจถูกโจมตีจน VPN ล่มซ้ำๆ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ‼️ ความเสี่ยงจากบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮ็ก ⛔ อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายและเข้าถึงระบบลึกขึ้น https://securityonline.info/high-severity-watchguard-flaws-risk-vpn-dos-and-rce-via-ikev2-memory-corruption/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity WatchGuard Flaws Risk VPN DoS and RCE via IKEv2 Memory Corruption
    WatchGuard patched five flaws in Fireware OS. CVE-2025-11838 (CVSS 8.7) allows unauthenticated VPN DoS, while CLI Command Injection risks RCE in the management interface. Update immediately to v2025.1.3.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
More Results