• ปรับตั้งค่า Wifi Router ก่อนซื้อใหม่

    บทความจาก SlashGear แนะนำว่า ก่อนจะรีบซื้อเราเตอร์ใหม่เพื่อแก้ปัญหา Wi-Fi ช้า ควรลองปรับตั้งค่าบนอุปกรณ์เดิม เช่น การเปลี่ยนช่องสัญญาณ, เลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม, อัปเดตเฟิร์มแวร์ และจัดตำแหน่งเราเตอร์ใหม่ ซึ่งอาจช่วยให้การเชื่อมต่อดีขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

    หลายคนเมื่อเจอ Wi-Fi สัญญาณอ่อนหรือหลุดบ่อย มักคิดว่าต้องซื้อเราเตอร์ใหม่ แต่จริง ๆ แล้วการ รีเซ็ตเป็นค่าโรงงาน หรือการเข้าไปปรับตั้งค่าผ่านหน้าเว็บของเราเตอร์ เช่น 192.168.0.1 อาจช่วยแก้ปัญหาได้ทันที โดยเฉพาะหากไม่ได้เปลี่ยนการตั้งค่ามาก่อน

    เปลี่ยนช่องสัญญาณและย่านความถี่
    Wi-Fi มักถูกตั้งค่าให้เลือกช่องสัญญาณอัตโนมัติ แต่บางครั้งระบบเลือกช่องที่มี “สัญญาณรบกวน” จากอุปกรณ์อื่น เช่นไมโครเวฟหรือเบบี้มอนิเตอร์ การเปลี่ยนไปใช้ช่องอื่นแบบ Manual อาจช่วยให้สัญญาณเสถียรกว่า นอกจากนี้การเลือกใช้ ย่าน 5 GHz จะได้ความเร็วสูงและรบกวนน้อยกว่า 2.4 GHz ส่วนใครที่มีเราเตอร์ Wi-Fi 6E ก็สามารถใช้ย่าน 6 GHz เพื่อความเร็วสูงสุดในระยะใกล้

    อัปเดตเฟิร์มแวร์และจัดตำแหน่งใหม่
    เฟิร์มแวร์ของเราเตอร์มักมีการอัปเดตเพื่อแก้บั๊กและเพิ่มประสิทธิภาพ หากไม่ได้อัปเดตอาจทำให้การเชื่อมต่อช้าลงหรือไม่ปลอดภัย การดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ล่าสุดจากเว็บไซต์ผู้ผลิตและติดตั้งด้วยสาย LAN จะช่วยให้ระบบเสถียรขึ้น อีกทั้ง ตำแหน่งการวางเราเตอร์ ก็สำคัญ ควรวางในจุดกลางบ้านและสูงขึ้น เช่นบนชั้น เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางอย่างผนังหรือแม้แต่ตู้ปลา

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การปรับตั้งค่าพื้นฐาน
    รีเซ็ตเป็นค่าโรงงานหากไม่เคยปรับแต่ง
    เข้าหน้าเว็บเราเตอร์เพื่อปรับค่าต่าง ๆ

    การเปลี่ยนช่องสัญญาณและย่านความถี่
    เลือกช่องสัญญาณแบบ Manual เพื่อลดการรบกวน
    ใช้ 5 GHz เพื่อความเร็วสูง หรือ 6 GHz สำหรับ Wi-Fi 6E

    การอัปเดตและจัดตำแหน่ง
    อัปเดตเฟิร์มแวร์จากเว็บไซต์ผู้ผลิต
    วางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและกลางบ้าน

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    หากไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์ อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ความปลอดภัย
    การวางเราเตอร์ในตำแหน่งที่มีสิ่งกีดขวาง อาจทำให้สัญญาณอ่อนลง
    การซื้อเราเตอร์ใหม่โดยไม่ลองปรับตั้งค่า อาจเสียเงินโดยไม่จำเป็น

    https://www.slashgear.com/2040501/wifi-router-problems-change-settings-before-buy-new/
    📡 ปรับตั้งค่า Wifi Router ก่อนซื้อใหม่ บทความจาก SlashGear แนะนำว่า ก่อนจะรีบซื้อเราเตอร์ใหม่เพื่อแก้ปัญหา Wi-Fi ช้า ควรลองปรับตั้งค่าบนอุปกรณ์เดิม เช่น การเปลี่ยนช่องสัญญาณ, เลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม, อัปเดตเฟิร์มแวร์ และจัดตำแหน่งเราเตอร์ใหม่ ซึ่งอาจช่วยให้การเชื่อมต่อดีขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม หลายคนเมื่อเจอ Wi-Fi สัญญาณอ่อนหรือหลุดบ่อย มักคิดว่าต้องซื้อเราเตอร์ใหม่ แต่จริง ๆ แล้วการ รีเซ็ตเป็นค่าโรงงาน หรือการเข้าไปปรับตั้งค่าผ่านหน้าเว็บของเราเตอร์ เช่น 192.168.0.1 อาจช่วยแก้ปัญหาได้ทันที โดยเฉพาะหากไม่ได้เปลี่ยนการตั้งค่ามาก่อน 🔄 เปลี่ยนช่องสัญญาณและย่านความถี่ Wi-Fi มักถูกตั้งค่าให้เลือกช่องสัญญาณอัตโนมัติ แต่บางครั้งระบบเลือกช่องที่มี “สัญญาณรบกวน” จากอุปกรณ์อื่น เช่นไมโครเวฟหรือเบบี้มอนิเตอร์ การเปลี่ยนไปใช้ช่องอื่นแบบ Manual อาจช่วยให้สัญญาณเสถียรกว่า นอกจากนี้การเลือกใช้ ย่าน 5 GHz จะได้ความเร็วสูงและรบกวนน้อยกว่า 2.4 GHz ส่วนใครที่มีเราเตอร์ Wi-Fi 6E ก็สามารถใช้ย่าน 6 GHz เพื่อความเร็วสูงสุดในระยะใกล้ 🛠️ อัปเดตเฟิร์มแวร์และจัดตำแหน่งใหม่ เฟิร์มแวร์ของเราเตอร์มักมีการอัปเดตเพื่อแก้บั๊กและเพิ่มประสิทธิภาพ หากไม่ได้อัปเดตอาจทำให้การเชื่อมต่อช้าลงหรือไม่ปลอดภัย การดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ล่าสุดจากเว็บไซต์ผู้ผลิตและติดตั้งด้วยสาย LAN จะช่วยให้ระบบเสถียรขึ้น อีกทั้ง ตำแหน่งการวางเราเตอร์ ก็สำคัญ ควรวางในจุดกลางบ้านและสูงขึ้น เช่นบนชั้น เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางอย่างผนังหรือแม้แต่ตู้ปลา 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การปรับตั้งค่าพื้นฐาน ➡️ รีเซ็ตเป็นค่าโรงงานหากไม่เคยปรับแต่ง ➡️ เข้าหน้าเว็บเราเตอร์เพื่อปรับค่าต่าง ๆ ✅ การเปลี่ยนช่องสัญญาณและย่านความถี่ ➡️ เลือกช่องสัญญาณแบบ Manual เพื่อลดการรบกวน ➡️ ใช้ 5 GHz เพื่อความเร็วสูง หรือ 6 GHz สำหรับ Wi-Fi 6E ✅ การอัปเดตและจัดตำแหน่ง ➡️ อัปเดตเฟิร์มแวร์จากเว็บไซต์ผู้ผลิต ➡️ วางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและกลางบ้าน ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ หากไม่อัปเดตเฟิร์มแวร์ อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ความปลอดภัย ⛔ การวางเราเตอร์ในตำแหน่งที่มีสิ่งกีดขวาง อาจทำให้สัญญาณอ่อนลง ⛔ การซื้อเราเตอร์ใหม่โดยไม่ลองปรับตั้งค่า อาจเสียเงินโดยไม่จำเป็น https://www.slashgear.com/2040501/wifi-router-problems-change-settings-before-buy-new/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Don't Waste Money On A New Wi-Fi Router Just Yet: Try Changing These Settings First - SlashGear
    Your wi-fi router not allowing you to connect to the Internet can be a very stressful occasion, but try these quick tips before you buy a new device.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • บริการสตรีมมิ่งฟรีที่โดดเด่นน่าลอง

    Consumer Reports ได้จัดอันดับบริการสตรีมมิ่งฟรีที่น่าสนใจ โดยเน้นแพลตฟอร์มที่มีคอนเทนต์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ ข่าว และคอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม แม้จะมีโฆษณา แต่ก็ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแทนการสมัครบริการแบบเสียเงิน

    Consumer Reports แนะนำหลายแพลตฟอร์มที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เช่น Pluto TV, Tubi, The Roku Channel, และ Sling Free Stream ซึ่งมีคอนเทนต์ตั้งแต่ภาพยนตร์คลาสสิก ซีรีส์ยอดนิยม ไปจนถึงข่าวสดและช่องเฉพาะกิจ จุดเด่นคือไม่ต้องเสียค่าสมัคร แต่แลกมากับการมีโฆษณาแทรก

    คอนเทนต์ที่หลากหลาย
    Tubi: มีคลังภาพยนตร์และซีรีส์มากกว่า 275,000 เรื่อง รวมถึง Original Content กว่า 300 เรื่อง
    Pluto TV: เสนอช่องสดกว่า 250 ช่อง ครอบคลุมข่าว กีฬา และบันเทิง
    The Roku Channel: รวมคอนเทนต์จากหลายสตูดิโอ พร้อมช่องสดกว่า 500 ช่อง
    Sling Free Stream: มีมากกว่า 600 ช่อง และยังให้รางวัลผู้ชมที่ใช้งานบ่อย

    บริการเฉพาะกลุ่มและทางเลือกเพิ่มเติม
    นอกจากแพลตฟอร์มหลัก ยังมีบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น Blkfam ที่เน้นคอนเทนต์ครอบครัวและชุมชนคนผิวดำ, Kanopy และ Hoopla ที่เชื่อมต่อกับห้องสมุดและมหาวิทยาลัยเพื่อให้เข้าถึงหนังสารคดีและหนังสือเสียงฟรี รวมถึง Vix ที่เน้นคอนเทนต์ภาษาสเปนโดยเฉพาะ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    บริการฟรียอดนิยม
    Pluto TV: ช่องสดกว่า 250 ช่อง
    Tubi: คลังภาพยนตร์ 275,000+ เรื่อง และ Original Content
    The Roku Channel: ช่องสดกว่า 500 ช่อง
    Sling Free Stream: 600+ ช่อง พร้อมรางวัลผู้ชม

    บริการเฉพาะกลุ่ม
    Blkfam: เน้นครอบครัวและชุมชนคนผิวดำ
    Kanopy/Hoopla: ใช้บัตรห้องสมุดเพื่อเข้าถึงหนังและหนังสือเสียง
    Vix: คอนเทนต์ภาษาสเปนโดยเฉพาะ

    ข้อดีของบริการฟรี
    ไม่ต้องเสียค่าสมัคร
    มีคอนเทนต์หลากหลายทั้งหนัง ซีรีส์ ข่าว และสารคดี

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    มีโฆษณาแทรกตลอดการรับชม
    คุณภาพคอนเทนต์บางส่วนอาจไม่เทียบเท่าบริการเสียเงิน
    บริการบางรายจำกัดการเข้าถึงตามภูมิภาค

    https://www.slashgear.com/2037770/best-free-streaming-services-consumer-reports/
    📺 บริการสตรีมมิ่งฟรีที่โดดเด่นน่าลอง Consumer Reports ได้จัดอันดับบริการสตรีมมิ่งฟรีที่น่าสนใจ โดยเน้นแพลตฟอร์มที่มีคอนเทนต์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ ข่าว และคอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม แม้จะมีโฆษณา แต่ก็ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแทนการสมัครบริการแบบเสียเงิน Consumer Reports แนะนำหลายแพลตฟอร์มที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เช่น Pluto TV, Tubi, The Roku Channel, และ Sling Free Stream ซึ่งมีคอนเทนต์ตั้งแต่ภาพยนตร์คลาสสิก ซีรีส์ยอดนิยม ไปจนถึงข่าวสดและช่องเฉพาะกิจ จุดเด่นคือไม่ต้องเสียค่าสมัคร แต่แลกมากับการมีโฆษณาแทรก 🎬 คอนเทนต์ที่หลากหลาย 💠 Tubi: มีคลังภาพยนตร์และซีรีส์มากกว่า 275,000 เรื่อง รวมถึง Original Content กว่า 300 เรื่อง 💠 Pluto TV: เสนอช่องสดกว่า 250 ช่อง ครอบคลุมข่าว กีฬา และบันเทิง 💠 The Roku Channel: รวมคอนเทนต์จากหลายสตูดิโอ พร้อมช่องสดกว่า 500 ช่อง 💠 Sling Free Stream: มีมากกว่า 600 ช่อง และยังให้รางวัลผู้ชมที่ใช้งานบ่อย 🌐 บริการเฉพาะกลุ่มและทางเลือกเพิ่มเติม นอกจากแพลตฟอร์มหลัก ยังมีบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น Blkfam ที่เน้นคอนเทนต์ครอบครัวและชุมชนคนผิวดำ, Kanopy และ Hoopla ที่เชื่อมต่อกับห้องสมุดและมหาวิทยาลัยเพื่อให้เข้าถึงหนังสารคดีและหนังสือเสียงฟรี รวมถึง Vix ที่เน้นคอนเทนต์ภาษาสเปนโดยเฉพาะ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ บริการฟรียอดนิยม ➡️ Pluto TV: ช่องสดกว่า 250 ช่อง ➡️ Tubi: คลังภาพยนตร์ 275,000+ เรื่อง และ Original Content ➡️ The Roku Channel: ช่องสดกว่า 500 ช่อง ➡️ Sling Free Stream: 600+ ช่อง พร้อมรางวัลผู้ชม ✅ บริการเฉพาะกลุ่ม ➡️ Blkfam: เน้นครอบครัวและชุมชนคนผิวดำ ➡️ Kanopy/Hoopla: ใช้บัตรห้องสมุดเพื่อเข้าถึงหนังและหนังสือเสียง ➡️ Vix: คอนเทนต์ภาษาสเปนโดยเฉพาะ ✅ ข้อดีของบริการฟรี ➡️ ไม่ต้องเสียค่าสมัคร ➡️ มีคอนเทนต์หลากหลายทั้งหนัง ซีรีส์ ข่าว และสารคดี ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ มีโฆษณาแทรกตลอดการรับชม ⛔ คุณภาพคอนเทนต์บางส่วนอาจไม่เทียบเท่าบริการเสียเงิน ⛔ บริการบางรายจำกัดการเข้าถึงตามภูมิภาค https://www.slashgear.com/2037770/best-free-streaming-services-consumer-reports/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    15 Of The Best Free Streaming Services, According To Consumer Reports - SlashGear
    The streaming jungle is wild, and with prices climbing ever higher, its good to remember there are still free options out there for the discerning cinephile.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • ฟีเจอร์ใหม่ใน Android แต่ถูกวิจารณ์ว่าอาจไม่จำเป็นและเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว

    Google ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Notification Summaries ที่จะย่อข้อความแจ้งเตือนให้สั้นลง และ Notification Organizer ที่จัดหมวดหมู่แจ้งเตือนเป็นกลุ่มย่อย ฟีเจอร์เหล่านี้จะถูกปล่อยให้ผู้ใช้ Pixel ได้ลองก่อน โดยเป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดตที่แยกออกจากเวอร์ชันระบบหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่บ่อยขึ้น

    บทเรียนจาก iOS
    ฟีเจอร์ Notification Summaries เคยถูก Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่กลายเป็น ความล้มเหลวครั้งใหญ่ เพราะข้อความที่สรุปออกมามักจะสับสน ตลก หรือแม้แต่หลอน เช่น การแจ้งเตือนที่ถูกย่อจนกลายเป็นประโยคแปลก ๆ อย่าง “Dangerous park contraption, parents frantically run over toddlers” หรือ “10 or more people detected at Front Entrance” ซึ่งสร้างความไม่ไว้วางใจจน Apple ต้องถอดออกไป ก่อนจะนำกลับมาใหม่ใน iOS 26

    ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    แม้ Google จะมี AI ที่ล้ำหน้ากว่า Apple แต่คำถามใหญ่คือ ใครต้องการฟีเจอร์นี้จริง ๆ และ ข้อมูลแจ้งเตือนจะถูกประมวลผลอย่างไร เนื่องจากการสรุปข้อความต้องผ่าน AI ของ Google ซึ่งอาจหมายถึงการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ Gemini ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกเก็บหรือใช้ในทางที่ผู้ใช้ไม่คาดคิด

    ความหมายต่อผู้ใช้ Android
    ฟีเจอร์นี้อาจช่วยลดความยุ่งเหยิงของแจ้งเตือน แต่หลายคนมองว่า การแจ้งเตือนถูกออกแบบมาให้สั้นและเข้าใจง่ายอยู่แล้ว การสรุปเพิ่มเติมอาจไม่จำเป็น และเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาดหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Android
    Notification Summaries: ย่อข้อความแจ้งเตือน
    Notification Organizer: จัดหมวดหมู่แจ้งเตือน

    บทเรียนจาก iOS
    ฟีเจอร์คล้ายกันใน iOS 18 เคยล้มเหลว
    ข้อความสรุปออกมาสับสนและสร้างความไม่ไว้วางใจ
    Apple ต้องถอดออกและนำกลับมาใหม่ใน iOS 26

    ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    การสรุปแจ้งเตือนอาจต้องส่งข้อมูลไปยัง AI Server
    เสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว

    ผลต่อผู้ใช้ Android
    อาจช่วยลดความยุ่งเหยิงของแจ้งเตือน
    แต่หลายคนมองว่าไม่จำเป็นและอาจสร้างปัญหาใหม่

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากฟีเจอร์ทำงานบน Cloud ข้อมูลแจ้งเตือนอาจถูกเก็บโดย Google
    การตีความผิดพลาดของ AI อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดในข้อมูลสำคัญ
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวก่อนเปิดใช้งาน

    https://www.slashgear.com/2041903/android-controversial-ai-feature-notification-summaries/
    📱 ฟีเจอร์ใหม่ใน Android แต่ถูกวิจารณ์ว่าอาจไม่จำเป็นและเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว Google ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Notification Summaries ที่จะย่อข้อความแจ้งเตือนให้สั้นลง และ Notification Organizer ที่จัดหมวดหมู่แจ้งเตือนเป็นกลุ่มย่อย ฟีเจอร์เหล่านี้จะถูกปล่อยให้ผู้ใช้ Pixel ได้ลองก่อน โดยเป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดตที่แยกออกจากเวอร์ชันระบบหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่บ่อยขึ้น 🍏 บทเรียนจาก iOS ฟีเจอร์ Notification Summaries เคยถูก Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่กลายเป็น ความล้มเหลวครั้งใหญ่ เพราะข้อความที่สรุปออกมามักจะสับสน ตลก หรือแม้แต่หลอน เช่น การแจ้งเตือนที่ถูกย่อจนกลายเป็นประโยคแปลก ๆ อย่าง “Dangerous park contraption, parents frantically run over toddlers” หรือ “10 or more people detected at Front Entrance” ซึ่งสร้างความไม่ไว้วางใจจน Apple ต้องถอดออกไป ก่อนจะนำกลับมาใหม่ใน iOS 26 🔐 ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว แม้ Google จะมี AI ที่ล้ำหน้ากว่า Apple แต่คำถามใหญ่คือ ใครต้องการฟีเจอร์นี้จริง ๆ และ ข้อมูลแจ้งเตือนจะถูกประมวลผลอย่างไร เนื่องจากการสรุปข้อความต้องผ่าน AI ของ Google ซึ่งอาจหมายถึงการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ Gemini ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกเก็บหรือใช้ในทางที่ผู้ใช้ไม่คาดคิด 🧩 ความหมายต่อผู้ใช้ Android ฟีเจอร์นี้อาจช่วยลดความยุ่งเหยิงของแจ้งเตือน แต่หลายคนมองว่า การแจ้งเตือนถูกออกแบบมาให้สั้นและเข้าใจง่ายอยู่แล้ว การสรุปเพิ่มเติมอาจไม่จำเป็น และเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาดหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Android ➡️ Notification Summaries: ย่อข้อความแจ้งเตือน ➡️ Notification Organizer: จัดหมวดหมู่แจ้งเตือน ✅ บทเรียนจาก iOS ➡️ ฟีเจอร์คล้ายกันใน iOS 18 เคยล้มเหลว ➡️ ข้อความสรุปออกมาสับสนและสร้างความไม่ไว้วางใจ ➡️ Apple ต้องถอดออกและนำกลับมาใหม่ใน iOS 26 ✅ ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ การสรุปแจ้งเตือนอาจต้องส่งข้อมูลไปยัง AI Server ➡️ เสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว ✅ ผลต่อผู้ใช้ Android ➡️ อาจช่วยลดความยุ่งเหยิงของแจ้งเตือน ➡️ แต่หลายคนมองว่าไม่จำเป็นและอาจสร้างปัญหาใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากฟีเจอร์ทำงานบน Cloud ข้อมูลแจ้งเตือนอาจถูกเก็บโดย Google ⛔ การตีความผิดพลาดของ AI อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดในข้อมูลสำคัญ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวก่อนเปิดใช้งาน https://www.slashgear.com/2041903/android-controversial-ai-feature-notification-summaries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Android Is Getting One Of The Most Controversial iOS AI Features - Who Asked For This? - SlashGear
    Google is adapting one of Apple's few out-and-out failures as a new Android AI feature that it seems no one actually even wants. What's the point?
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • HDMI Dummy Plug คืออะไร

    HDMI Dummy Plug เป็นหัวต่อ HDMI ที่มีวงจรภายในเพื่อจำลองการเชื่อมต่อจอภาพ โดยทั่วไปจะทำให้ระบบเชื่อว่ามีจอ 4K เชื่อมต่ออยู่ แม้จริง ๆ จะไม่มีจอภาพเลย จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ GPU ทำงานเต็มประสิทธิภาพ และเปิดใช้งานความละเอียดทั้งหมด แม้ในสภาวะที่ไม่มีจอภาพจริง

    การใช้งานใน Headless Computing
    หนึ่งในกรณีที่ใช้บ่อยคือ เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานตลอดเวลา (Always-on Home Server) หรือ Game Streaming Server เช่น Moonlight ซึ่งต้องการให้ GPU ทำงานเต็มที่แม้ไม่มีจอภาพเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาบน Mac Mini และบางเครื่อง Windows ที่เมื่อ Remote เข้าไปแล้วไม่สามารถปรับความละเอียดให้ตรงกับจอผู้ใช้ได้ HDMI Dummy Plug จะช่วยให้สามารถเลือกความละเอียดที่เหมาะสมได้

    การใช้งานอื่น ๆ
    Single-board computers บางรุ่นไม่สามารถบูตได้หากไม่มีจอภาพเชื่อมต่อ HDMI Dummy Plug จึงจำเป็น
    ใช้เพื่อ จำลองจอเสมือน สำหรับการบันทึกหน้าจอด้วย OBS หรือการทดสอบซอฟต์แวร์
    เคยถูกใช้ในยุค GPU Crypto Mining เพื่อหลอกระบบป้องกันการขุดของการ์ดจอ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    HDMI Dummy Plug คืออะไร
    หัวต่อ HDMI ที่หลอกให้ระบบคิดว่ามีจอภาพเชื่อมต่อ
    ทำให้ GPU ทำงานเต็มประสิทธิภาพและเปิดใช้งานความละเอียดทั้งหมด

    การใช้งานหลัก
    Headless Computing เช่น Home Server และ Game Streaming
    แก้ปัญหาความละเอียดไม่ตรงเมื่อ Remote เข้า Mac Mini หรือ Windows

    การใช้งานอื่น ๆ
    จำลองจอเสมือนเพื่อบันทึกหน้าจอด้วย OBS
    จำเป็นสำหรับ Single-board computers ที่ไม่บูตหากไม่มีจอ
    เคยใช้ใน GPU Crypto Mining เพื่อหลอกระบบป้องกัน

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการใช้งานจอจริง
    หากใช้ผิดวัตถุประสงค์ อาจทำให้ระบบเข้าใจผิดและเกิดปัญหาการตั้งค่าจอภาพ
    ไม่ควรใช้แทนการแก้ปัญหาที่ควรทำผ่านซอฟต์แวร์ เช่น BetterDisplay

    https://www.slashgear.com/2039953/hdmi-dummy-plug-purpose-uses-explained/
    🖥️ HDMI Dummy Plug คืออะไร HDMI Dummy Plug เป็นหัวต่อ HDMI ที่มีวงจรภายในเพื่อจำลองการเชื่อมต่อจอภาพ โดยทั่วไปจะทำให้ระบบเชื่อว่ามีจอ 4K เชื่อมต่ออยู่ แม้จริง ๆ จะไม่มีจอภาพเลย จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ GPU ทำงานเต็มประสิทธิภาพ และเปิดใช้งานความละเอียดทั้งหมด แม้ในสภาวะที่ไม่มีจอภาพจริง ⚙️ การใช้งานใน Headless Computing หนึ่งในกรณีที่ใช้บ่อยคือ เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานตลอดเวลา (Always-on Home Server) หรือ Game Streaming Server เช่น Moonlight ซึ่งต้องการให้ GPU ทำงานเต็มที่แม้ไม่มีจอภาพเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาบน Mac Mini และบางเครื่อง Windows ที่เมื่อ Remote เข้าไปแล้วไม่สามารถปรับความละเอียดให้ตรงกับจอผู้ใช้ได้ HDMI Dummy Plug จะช่วยให้สามารถเลือกความละเอียดที่เหมาะสมได้ 🎮 การใช้งานอื่น ๆ 💠 Single-board computers บางรุ่นไม่สามารถบูตได้หากไม่มีจอภาพเชื่อมต่อ HDMI Dummy Plug จึงจำเป็น 💠 ใช้เพื่อ จำลองจอเสมือน สำหรับการบันทึกหน้าจอด้วย OBS หรือการทดสอบซอฟต์แวร์ 💠 เคยถูกใช้ในยุค GPU Crypto Mining เพื่อหลอกระบบป้องกันการขุดของการ์ดจอ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ HDMI Dummy Plug คืออะไร ➡️ หัวต่อ HDMI ที่หลอกให้ระบบคิดว่ามีจอภาพเชื่อมต่อ ➡️ ทำให้ GPU ทำงานเต็มประสิทธิภาพและเปิดใช้งานความละเอียดทั้งหมด ✅ การใช้งานหลัก ➡️ Headless Computing เช่น Home Server และ Game Streaming ➡️ แก้ปัญหาความละเอียดไม่ตรงเมื่อ Remote เข้า Mac Mini หรือ Windows ✅ การใช้งานอื่น ๆ ➡️ จำลองจอเสมือนเพื่อบันทึกหน้าจอด้วย OBS ➡️ จำเป็นสำหรับ Single-board computers ที่ไม่บูตหากไม่มีจอ ➡️ เคยใช้ใน GPU Crypto Mining เพื่อหลอกระบบป้องกัน ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการใช้งานจอจริง ⛔ หากใช้ผิดวัตถุประสงค์ อาจทำให้ระบบเข้าใจผิดและเกิดปัญหาการตั้งค่าจอภาพ ⛔ ไม่ควรใช้แทนการแก้ปัญหาที่ควรทำผ่านซอฟต์แวร์ เช่น BetterDisplay https://www.slashgear.com/2039953/hdmi-dummy-plug-purpose-uses-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is An HDMI Dummy Plug, And What Are They Used For? - SlashGear
    If you've browsed HDMI cables and products, you've probably encountered a small device called an HDMI dummy plug. These can help with troubleshooting.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Apple ลดรางวัล Security Bounty บน macOS

    Apple ได้ปรับลดเงินรางวัลสำหรับการค้นพบช่องโหว่บน macOS อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในหมวด Transparency, Consent, and Control (TCC) bypasses ที่ลดลงจาก 30,500 ดอลลาร์เหลือเพียง 5,000 ดอลลาร์ ขณะที่ sandbox escapes ลดลงครึ่งหนึ่งจาก 10,000 ดอลลาร์เหลือ 5,000 ดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Apple เพิ่งเพิ่มรางวัลสูงสุดในโปรแกรม ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความจริงใจในการสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัย

    รายละเอียดการปรับลด
    TCC bypasses: ลดลง 83%
    Sandbox escapes: ลดลง 50%
    การเข้าถึงข้อมูลที่ป้องกันโดย TCC โดยไม่ใช้ Target Flag: ลดเหลือ 1,000 ดอลลาร์

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยอย่าง Csaba Fitzl ได้โพสต์บน LinkedIn วิจารณ์ว่า Apple กำลัง “ประหยัดผิดที่” และอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหมดแรงจูงใจในการรายงานช่องโหว่

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักวิจัย
    แม้ Apple จะมีมาตรการเสริม เช่น Lockdown Mode, สถาปัตยกรรม Safari ที่อัปเกรดใหม่ และ Memory Integrity Enforcement ในชิป A19 แต่การลดรางวัลอาจทำให้จำนวนรายงานช่องโหว่ลดลง ส่งผลให้ Mac มีความเสี่ยงมากขึ้นในระยะยาว

    มุมมองในอนาคต
    การตัดสินใจครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “ก้าวถอยหลัง” ของ Apple ในการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หากบริษัทไม่ปรับปรุงแนวทาง อาจทำให้ผู้ใช้และนักวิจัยหันไปสนใจแพลตฟอร์มอื่นที่ให้การสนับสนุนมากกว่า

    สรุปสาระสำคัญ
    Apple ลดเงินรางวัลใน macOS Security Bounty อย่างมาก
    TCC bypasses ลดจาก $30,500 เหลือ $5,000

    Sandbox escapes ลดลงครึ่งหนึ่ง
    จาก $10,000 เหลือ $5,000

    ยังมีมาตรการเสริม เช่น Lockdown Mode และ Memory Integrity Enforcement
    ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับระบบ

    การลดรางวัลอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญหมดแรงจูงใจ
    ส่งผลให้จำนวนรายงานช่องโหว่ลดลง

    Mac อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้น
    ผู้ใช้ควรระวังและอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ

    https://wccftech.com/does-apple-hate-macs-macos-security-bounties-drastically-slashed/
    🍏 Apple ลดรางวัล Security Bounty บน macOS Apple ได้ปรับลดเงินรางวัลสำหรับการค้นพบช่องโหว่บน macOS อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในหมวด Transparency, Consent, and Control (TCC) bypasses ที่ลดลงจาก 30,500 ดอลลาร์เหลือเพียง 5,000 ดอลลาร์ ขณะที่ sandbox escapes ลดลงครึ่งหนึ่งจาก 10,000 ดอลลาร์เหลือ 5,000 ดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Apple เพิ่งเพิ่มรางวัลสูงสุดในโปรแกรม ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความจริงใจในการสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัย 🔧 รายละเอียดการปรับลด 💠 TCC bypasses: ลดลง 83% 💠 Sandbox escapes: ลดลง 50% 💠 การเข้าถึงข้อมูลที่ป้องกันโดย TCC โดยไม่ใช้ Target Flag: ลดเหลือ 1,000 ดอลลาร์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยอย่าง Csaba Fitzl ได้โพสต์บน LinkedIn วิจารณ์ว่า Apple กำลัง “ประหยัดผิดที่” และอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหมดแรงจูงใจในการรายงานช่องโหว่ 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักวิจัย แม้ Apple จะมีมาตรการเสริม เช่น Lockdown Mode, สถาปัตยกรรม Safari ที่อัปเกรดใหม่ และ Memory Integrity Enforcement ในชิป A19 แต่การลดรางวัลอาจทำให้จำนวนรายงานช่องโหว่ลดลง ส่งผลให้ Mac มีความเสี่ยงมากขึ้นในระยะยาว 📊 มุมมองในอนาคต การตัดสินใจครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “ก้าวถอยหลัง” ของ Apple ในการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หากบริษัทไม่ปรับปรุงแนวทาง อาจทำให้ผู้ใช้และนักวิจัยหันไปสนใจแพลตฟอร์มอื่นที่ให้การสนับสนุนมากกว่า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Apple ลดเงินรางวัลใน macOS Security Bounty อย่างมาก ➡️ TCC bypasses ลดจาก $30,500 เหลือ $5,000 ✅ Sandbox escapes ลดลงครึ่งหนึ่ง ➡️ จาก $10,000 เหลือ $5,000 ✅ ยังมีมาตรการเสริม เช่น Lockdown Mode และ Memory Integrity Enforcement ➡️ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับระบบ ‼️ การลดรางวัลอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญหมดแรงจูงใจ ⛔ ส่งผลให้จำนวนรายงานช่องโหว่ลดลง ‼️ Mac อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้น ⛔ ผู้ใช้ควรระวังและอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ https://wccftech.com/does-apple-hate-macs-macos-security-bounties-drastically-slashed/
    WCCFTECH.COM
    Does Apple Hate Macs? macOS Security Bounties Drastically Slashed
    By arbitrarily curtailing the security bounty for finding vulnerabilities in the macOS, Apple has taken an apparent regressive step.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • USB Data Blocker – อุปกรณ์เล็ก ๆ ที่ช่วยป้องกันภัยจากการชาร์จสาธารณะ

    การชาร์จมือถือในที่สาธารณะ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร หรือสถานีขนส่ง อาจดูสะดวก แต่จริง ๆ แล้วมีความเสี่ยงจากการโจมตีที่เรียกว่า Juice Jacking ซึ่งแฮกเกอร์สามารถดัดแปลงพอร์ต USB เพื่อส่งมัลแวร์เข้าสู่เครื่องของผู้ใช้โดยตรง ล่าสุดมีการแนะนำอุปกรณ์เล็ก ๆ อย่าง USB Data Blocker ที่ช่วยป้องกันภัยนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    USB Data Blocker ทำงานโดย ตัดเส้นทางการส่งข้อมูลออกไปทั้งหมด เหลือเพียงการส่งไฟฟ้าเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น ทำให้แม้พอร์ต USB จะถูกดัดแปลงโดยผู้ไม่หวังดี ก็ไม่สามารถส่งข้อมูลหรือมัลแวร์เข้าสู่เครื่องได้ อุปกรณ์นี้มีราคาประมาณ 10–15 ดอลลาร์ และยังมีสายชาร์จพิเศษที่ทำงานแบบเดียวกัน รองรับกำลังไฟสูงถึง 240W

    แม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการโจมตี Juice Jacking ในวงกว้าง แต่หน่วยงานด้านความปลอดภัย เช่น FBI และ FCC เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ โดยระบุว่าอาจมีการติดตั้งมัลแวร์เพื่อขโมยข้อมูลหรือรหัสผ่านจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ การลงทุนซื้อ USB Data Blocker จึงถือเป็นการป้องกันเชิงรุกที่คุ้มค่า

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายก็แสดงความเห็นว่า Juice Jacking ยังเป็นภัยที่พบได้ยากในโลกจริง แต่การมีอุปกรณ์ป้องกันไว้ก็ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางบ่อยและต้องพึ่งพาการชาร์จในที่สาธารณะ ถือเป็นการ “กันไว้ดีกว่าแก้” ในยุคที่ภัยไซเบอร์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา

    สรุปสาระสำคัญ
    ความเสี่ยงจากการชาร์จสาธารณะ
    อาจถูกโจมตีด้วยเทคนิค Juice Jacking
    มัลแวร์สามารถเข้าสู่เครื่องผ่านพอร์ต USB

    การทำงานของ USB Data Blocker
    ตัดเส้นทางการส่งข้อมูล เหลือเพียงไฟฟ้าสำหรับชาร์จ
    มีทั้งแบบอุปกรณ์เสริมและสายชาร์จพิเศษ รองรับไฟสูงถึง 240W

    คำเตือนจากหน่วยงานความปลอดภัย
    FBI และ FCC เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับ Juice Jacking
    อาจถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลและรหัสผ่าน

    ข้อควรระวัง
    แม้ยังไม่มีหลักฐานการโจมตีในวงกว้าง แต่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่
    ผู้ที่เดินทางบ่อยควรลงทุนซื้ออุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัย

    https://www.slashgear.com/2039363/usb-data-blocker-gadget-public-charging/
    🔌 USB Data Blocker – อุปกรณ์เล็ก ๆ ที่ช่วยป้องกันภัยจากการชาร์จสาธารณะ การชาร์จมือถือในที่สาธารณะ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร หรือสถานีขนส่ง อาจดูสะดวก แต่จริง ๆ แล้วมีความเสี่ยงจากการโจมตีที่เรียกว่า Juice Jacking ซึ่งแฮกเกอร์สามารถดัดแปลงพอร์ต USB เพื่อส่งมัลแวร์เข้าสู่เครื่องของผู้ใช้โดยตรง ล่าสุดมีการแนะนำอุปกรณ์เล็ก ๆ อย่าง USB Data Blocker ที่ช่วยป้องกันภัยนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ USB Data Blocker ทำงานโดย ตัดเส้นทางการส่งข้อมูลออกไปทั้งหมด เหลือเพียงการส่งไฟฟ้าเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น ทำให้แม้พอร์ต USB จะถูกดัดแปลงโดยผู้ไม่หวังดี ก็ไม่สามารถส่งข้อมูลหรือมัลแวร์เข้าสู่เครื่องได้ อุปกรณ์นี้มีราคาประมาณ 10–15 ดอลลาร์ และยังมีสายชาร์จพิเศษที่ทำงานแบบเดียวกัน รองรับกำลังไฟสูงถึง 240W แม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการโจมตี Juice Jacking ในวงกว้าง แต่หน่วยงานด้านความปลอดภัย เช่น FBI และ FCC เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ โดยระบุว่าอาจมีการติดตั้งมัลแวร์เพื่อขโมยข้อมูลหรือรหัสผ่านจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ การลงทุนซื้อ USB Data Blocker จึงถือเป็นการป้องกันเชิงรุกที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายก็แสดงความเห็นว่า Juice Jacking ยังเป็นภัยที่พบได้ยากในโลกจริง แต่การมีอุปกรณ์ป้องกันไว้ก็ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางบ่อยและต้องพึ่งพาการชาร์จในที่สาธารณะ ถือเป็นการ “กันไว้ดีกว่าแก้” ในยุคที่ภัยไซเบอร์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความเสี่ยงจากการชาร์จสาธารณะ ➡️ อาจถูกโจมตีด้วยเทคนิค Juice Jacking ➡️ มัลแวร์สามารถเข้าสู่เครื่องผ่านพอร์ต USB ✅ การทำงานของ USB Data Blocker ➡️ ตัดเส้นทางการส่งข้อมูล เหลือเพียงไฟฟ้าสำหรับชาร์จ ➡️ มีทั้งแบบอุปกรณ์เสริมและสายชาร์จพิเศษ รองรับไฟสูงถึง 240W ✅ คำเตือนจากหน่วยงานความปลอดภัย ➡️ FBI และ FCC เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับ Juice Jacking ➡️ อาจถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลและรหัสผ่าน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ แม้ยังไม่มีหลักฐานการโจมตีในวงกว้าง แต่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ ⛔ ผู้ที่เดินทางบ่อยควรลงทุนซื้ออุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัย https://www.slashgear.com/2039363/usb-data-blocker-gadget-public-charging/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Cheap USB Gadget Can Save Your Phone's Data From Hackers - SlashGear
    Protect your phone from "juice jacking" with a cheap USB data blocker. These $15 gadgets block malware transfer at public charging stations.
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • “ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล – อุปกรณ์เก่ากำลังหายไป”

    การพัฒนาเทคโนโลยีทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กลงและทรงพลังมากขึ้น ทั้งสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวิดีโอ 8K ได้ และเกมที่ใช้พื้นที่มหาศาลในเครื่องคอนโซลหรือ PC ความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากและเร็วขึ้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt และ USB-C รุ่นใหม่ ก็ช่วยให้การใช้ external SSD สำหรับงานหนักอย่างตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกมเป็นไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาไดรฟ์ภายใน

    หนึ่งในอุปกรณ์ที่กำลังถูกแทนที่คือ SATA HDD ซึ่งแม้ยังไม่สูญพันธุ์ แต่แทบไม่มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ติดตั้งมาแล้ว เนื่องจาก HDD มีข้อเสียหลายอย่าง เช่น ความเร็วต่ำสุดราว 300 MB/s, เสี่ยงต่อความเสียหายจากแรงกระแทก และทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไปเพราะ fragmentation ในทางตรงกันข้าม SSD ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว มีขนาดเล็กกว่า และมีความเร็วสูงกว่าหลายสิบเท่า ทำให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป

    อีกหนึ่งกลุ่มที่กำลังหายไปคือ CD และ DVD ซึ่งเคยเป็นมาตรฐานสำหรับเก็บภาพยนตร์ เกม และซอฟต์แวร์ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดดิจิทัลและบริการสตรีมมิ่ง เช่น Netflix และ Xbox Game Pass เนื่องจากไฟล์สมัยใหม่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่แผ่นดิสก์จะรองรับได้ อย่างไรก็ตาม optical discs ยังมีบทบาทในงาน เก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในภาคการแพทย์และหน่วยงานรัฐ เพราะทนต่อการรบกวนทางแม่เหล็ก และนักสะสมภาพยนตร์ยังคงนิยม Blu-ray สำหรับคุณภาพเสียงและภาพที่ดีที่สุด

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ การเก็บข้อมูลเน้นความเร็ว ความหนาแน่น และความสะดวก มากกว่าการพึ่งพาอุปกรณ์แบบเก่า แม้ HDD และ optical discs จะยังมีพื้นที่ในตลาดเฉพาะ แต่ผู้ใช้ทั่วไปกำลังหันไปใช้ SSD และ Cloud Storage เป็นหลัก

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเก็บข้อมูล
    สมาร์ทโฟนและเกมต้องการพื้นที่มากขึ้น
    Thunderbolt และ USB-C ทำให้ external SSD ใช้งานได้สะดวก

    SATA HDD กำลังถูกแทนที่
    ความเร็วต่ำและเสี่ยงต่อความเสียหาย
    SSD เร็วกว่า 20 เท่าและเป็นมาตรฐานใหม่

    CD และ DVD กำลังหายไป
    ถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดและสตรีมมิ่ง
    ยังมีบทบาทในงานเก็บข้อมูลระยะยาวและ Blu-ray สำหรับนักสะสม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์เก่า
    HDD เสี่ยงต่อการเสียหายและทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป
    Optical discs ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่และอาจไม่สะดวกในยุคดิจิทัล

    https://www.slashgear.com/2037771/old-storage-types-outdated-being-replaced/
    💾 “ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล – อุปกรณ์เก่ากำลังหายไป” การพัฒนาเทคโนโลยีทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กลงและทรงพลังมากขึ้น ทั้งสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวิดีโอ 8K ได้ และเกมที่ใช้พื้นที่มหาศาลในเครื่องคอนโซลหรือ PC ความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากและเร็วขึ้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt และ USB-C รุ่นใหม่ ก็ช่วยให้การใช้ external SSD สำหรับงานหนักอย่างตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกมเป็นไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาไดรฟ์ภายใน หนึ่งในอุปกรณ์ที่กำลังถูกแทนที่คือ SATA HDD ซึ่งแม้ยังไม่สูญพันธุ์ แต่แทบไม่มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ติดตั้งมาแล้ว เนื่องจาก HDD มีข้อเสียหลายอย่าง เช่น ความเร็วต่ำสุดราว 300 MB/s, เสี่ยงต่อความเสียหายจากแรงกระแทก และทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไปเพราะ fragmentation ในทางตรงกันข้าม SSD ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว มีขนาดเล็กกว่า และมีความเร็วสูงกว่าหลายสิบเท่า ทำให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป อีกหนึ่งกลุ่มที่กำลังหายไปคือ CD และ DVD ซึ่งเคยเป็นมาตรฐานสำหรับเก็บภาพยนตร์ เกม และซอฟต์แวร์ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดดิจิทัลและบริการสตรีมมิ่ง เช่น Netflix และ Xbox Game Pass เนื่องจากไฟล์สมัยใหม่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่แผ่นดิสก์จะรองรับได้ อย่างไรก็ตาม optical discs ยังมีบทบาทในงาน เก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในภาคการแพทย์และหน่วยงานรัฐ เพราะทนต่อการรบกวนทางแม่เหล็ก และนักสะสมภาพยนตร์ยังคงนิยม Blu-ray สำหรับคุณภาพเสียงและภาพที่ดีที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ การเก็บข้อมูลเน้นความเร็ว ความหนาแน่น และความสะดวก มากกว่าการพึ่งพาอุปกรณ์แบบเก่า แม้ HDD และ optical discs จะยังมีพื้นที่ในตลาดเฉพาะ แต่ผู้ใช้ทั่วไปกำลังหันไปใช้ SSD และ Cloud Storage เป็นหลัก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเก็บข้อมูล ➡️ สมาร์ทโฟนและเกมต้องการพื้นที่มากขึ้น ➡️ Thunderbolt และ USB-C ทำให้ external SSD ใช้งานได้สะดวก ✅ SATA HDD กำลังถูกแทนที่ ➡️ ความเร็วต่ำและเสี่ยงต่อความเสียหาย ➡️ SSD เร็วกว่า 20 เท่าและเป็นมาตรฐานใหม่ ✅ CD และ DVD กำลังหายไป ➡️ ถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดและสตรีมมิ่ง ➡️ ยังมีบทบาทในงานเก็บข้อมูลระยะยาวและ Blu-ray สำหรับนักสะสม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์เก่า ⛔ HDD เสี่ยงต่อการเสียหายและทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป ⛔ Optical discs ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่และอาจไม่สะดวกในยุคดิจิทัล https://www.slashgear.com/2037771/old-storage-types-outdated-being-replaced/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Old Storage Types Are Seeing Their Way Out - SlashGear
    Storage in electronic devices has changed a lot over the decades, with CDs, DVDs, and now hard drivers being phased out by better storage solutions like SSDs.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้”

    แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว

    หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น

    อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ

    สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน

    สรุปสาระสำคัญ
    อุปกรณ์ความปลอดภัย
    เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว

    อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ
    นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า

    อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย
    ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ

    คำเตือน
    แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ
    มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว

    https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    🔋 “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้” แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว ✅ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ➡️ นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า ✅ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย ➡️ ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ ‼️ คำเตือน ⛔ แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ ⛔ มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Devices Should Not Use Rechargeable Batteries? - SlashGear
    Avoid using rechargeable batteries in smoke alarms, wall clocks, and remotes. Their lower voltage and self-discharge rates make single-use alkalines safer.
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • “Google Photos เก็บภาพคุณได้ตลอดไปจริงหรือ?”

    Google Photos กลายเป็นหนึ่งในบริการยอดนิยมสำหรับการสำรองรูปภาพและวิดีโอ เนื่องจากใช้งานง่าย เพียงดาวน์โหลดแอปและเปิดฟีเจอร์สำรองข้อมูล ทุกภาพที่ถ่ายหรือบันทึกจะถูกอัปโหลดไปยังคลาวด์ของ Google พร้อมเครื่องมือ AI ฟรีที่ช่วยจัดการและแก้ไขได้สะดวก อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงกังวลว่า Google จะรักษาบริการนี้ไว้ตลอดไปหรือไม่ เพราะบริษัทเคยยุติผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาแล้วหลายครั้ง

    Google ระบุว่าไฟล์ของผู้ใช้จะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย หากยังคงใช้งานบัญชีและชำระค่าบริการตรงเวลา สำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะได้รับพื้นที่ฟรี 15GB ซึ่งรวมทั้ง Gmail, Drive และ Photos หากต้องการพื้นที่เพิ่มสามารถสมัคร Google One แบบรายเดือน แต่หากการชำระเงินหยุดลง ระบบจะเริ่มนับถอยหลังสองปี และอาจลบไฟล์เมื่อครบกำหนด โดย Google จะส่งการแจ้งเตือนล่วงหน้าสามเดือนเพื่อให้ผู้ใช้มีโอกาสแก้ไข

    นอกจากนี้ หากบัญชีเกินโควต้าเก็บข้อมูล ผู้ใช้จะไม่สามารถส่งอีเมลใหม่หรือสร้างไฟล์ใน Google Docs, Sheets และบริการอื่น ๆ ได้ แม้ไฟล์จะยังไม่ถูกลบทันที แต่จะมีผลกระทบต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน จึงควรตรวจสอบพื้นที่เก็บข้อมูลอยู่เสมอ และหากใกล้เต็มสามารถหยุดการสำรองรูปภาพใหม่หรือดาวน์โหลดไฟล์ทั้งหมดเก็บไว้เอง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Google ยังคงเคารพนโยบายเดิมสำหรับไฟล์ที่อัปโหลดก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2021 หากเลือกคุณภาพ High Quality หรือ Express Quality ไฟล์เหล่านั้นจะไม่ถูกนับรวมในโควต้า ทำให้ผู้ใช้บางรายยังมีพื้นที่เหลือมากกว่าที่คิด แต่สำหรับไฟล์ใหม่ทั้งหมดจะถูกนับรวมตามโควต้าอย่างเคร่งครัด

    สรุปสาระสำคัญ
    การเก็บไฟล์ใน Google Photos
    ไฟล์จะถูกเก็บไว้หากยังใช้งานบัญชีและไม่เกินโควต้า
    พื้นที่ฟรี 15GB รวม Gmail, Drive และ Photos

    การสมัครสมาชิก Google One
    หากชำระเงินตรงเวลา ไฟล์จะไม่ถูกลบ
    หากหยุดชำระ จะมีเวลาผ่อนผัน 2 ปี ก่อนถูกลบ

    ผลกระทบเมื่อเกินโควต้า
    ไม่สามารถส่งอีเมลใหม่หรือสร้างไฟล์ใน Docs/Sheets
    ต้องลบไฟล์หรือหยุดสำรองเพื่อคืนพื้นที่

    นโยบายไฟล์เก่า
    ไฟล์ที่อัปโหลดก่อน 1 มิ.ย. 2021 แบบ High/Express Quality ไม่ถูกนับรวมโควต้า

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    หากไม่เข้าสู่ระบบนานเกิน 2 ปี บัญชีเสี่ยงถูกลบ
    หากไม่ชำระค่าบริการ Google One ไฟล์อาจถูกลบหลังครบกำหนด

    https://www.slashgear.com/2037600/oogle-photos-store-forever/
    📸 “Google Photos เก็บภาพคุณได้ตลอดไปจริงหรือ?” Google Photos กลายเป็นหนึ่งในบริการยอดนิยมสำหรับการสำรองรูปภาพและวิดีโอ เนื่องจากใช้งานง่าย เพียงดาวน์โหลดแอปและเปิดฟีเจอร์สำรองข้อมูล ทุกภาพที่ถ่ายหรือบันทึกจะถูกอัปโหลดไปยังคลาวด์ของ Google พร้อมเครื่องมือ AI ฟรีที่ช่วยจัดการและแก้ไขได้สะดวก อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงกังวลว่า Google จะรักษาบริการนี้ไว้ตลอดไปหรือไม่ เพราะบริษัทเคยยุติผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาแล้วหลายครั้ง Google ระบุว่าไฟล์ของผู้ใช้จะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย หากยังคงใช้งานบัญชีและชำระค่าบริการตรงเวลา สำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะได้รับพื้นที่ฟรี 15GB ซึ่งรวมทั้ง Gmail, Drive และ Photos หากต้องการพื้นที่เพิ่มสามารถสมัคร Google One แบบรายเดือน แต่หากการชำระเงินหยุดลง ระบบจะเริ่มนับถอยหลังสองปี และอาจลบไฟล์เมื่อครบกำหนด โดย Google จะส่งการแจ้งเตือนล่วงหน้าสามเดือนเพื่อให้ผู้ใช้มีโอกาสแก้ไข นอกจากนี้ หากบัญชีเกินโควต้าเก็บข้อมูล ผู้ใช้จะไม่สามารถส่งอีเมลใหม่หรือสร้างไฟล์ใน Google Docs, Sheets และบริการอื่น ๆ ได้ แม้ไฟล์จะยังไม่ถูกลบทันที แต่จะมีผลกระทบต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน จึงควรตรวจสอบพื้นที่เก็บข้อมูลอยู่เสมอ และหากใกล้เต็มสามารถหยุดการสำรองรูปภาพใหม่หรือดาวน์โหลดไฟล์ทั้งหมดเก็บไว้เอง สิ่งที่น่าสนใจคือ Google ยังคงเคารพนโยบายเดิมสำหรับไฟล์ที่อัปโหลดก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2021 หากเลือกคุณภาพ High Quality หรือ Express Quality ไฟล์เหล่านั้นจะไม่ถูกนับรวมในโควต้า ทำให้ผู้ใช้บางรายยังมีพื้นที่เหลือมากกว่าที่คิด แต่สำหรับไฟล์ใหม่ทั้งหมดจะถูกนับรวมตามโควต้าอย่างเคร่งครัด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเก็บไฟล์ใน Google Photos ➡️ ไฟล์จะถูกเก็บไว้หากยังใช้งานบัญชีและไม่เกินโควต้า ➡️ พื้นที่ฟรี 15GB รวม Gmail, Drive และ Photos ✅ การสมัครสมาชิก Google One ➡️ หากชำระเงินตรงเวลา ไฟล์จะไม่ถูกลบ ➡️ หากหยุดชำระ จะมีเวลาผ่อนผัน 2 ปี ก่อนถูกลบ ✅ ผลกระทบเมื่อเกินโควต้า ➡️ ไม่สามารถส่งอีเมลใหม่หรือสร้างไฟล์ใน Docs/Sheets ➡️ ต้องลบไฟล์หรือหยุดสำรองเพื่อคืนพื้นที่ ✅ นโยบายไฟล์เก่า ➡️ ไฟล์ที่อัปโหลดก่อน 1 มิ.ย. 2021 แบบ High/Express Quality ไม่ถูกนับรวมโควต้า ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ หากไม่เข้าสู่ระบบนานเกิน 2 ปี บัญชีเสี่ยงถูกลบ ⛔ หากไม่ชำระค่าบริการ Google One ไฟล์อาจถูกลบหลังครบกำหนด https://www.slashgear.com/2037600/oogle-photos-store-forever/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Does Google Photos Store Your Photos Forever? - SlashGear
    Google Photos will keep your photos as long as you stay under your storage limit or sign in every so often. Inactive accounts risk deletion.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “Google เปิดตัว Antigravity IDE – ก้าวใหม่ของการเขียนโค้ดด้วยทีม AI Agents”

    Google ได้เปิดตัว Antigravity IDE เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 ควบคู่กับโมเดล Gemini 3 โดยชูจุดเด่นว่าเป็นสภาพแวดล้อมการพัฒนา (IDE) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ทีม AI agents ทำงานร่วมกันได้เหมือนทีมมนุษย์จริง ๆ นักพัฒนาสามารถปล่อยให้ AI วางแผน สร้างไฟล์ และทดสอบโค้ดได้โดยไม่ต้องสั่งทีละขั้นตอน ทำให้มนุษย์มีบทบาทใหม่คือ “สถาปนิกโซลูชัน” มากกว่าการลงมือเขียนโค้ดทุกบรรทัดเอง

    สิ่งที่ทำให้ Antigravity แตกต่างคือการใช้ multi-agent system ที่สามารถแบ่งงานย่อย เช่น การดีบัก การสร้าง UI หรือการจัดการ API ให้กับ AI แต่ละตัวที่ทำงานคู่ขนานกันได้ นอกจากนี้ยังมี โหมดการจัดการงานสองแบบ ได้แก่ Planning Mode สำหรับโครงการซับซ้อน และ Fast Mode สำหรับงานที่ต้องการความรวดเร็ว พร้อมระบบ Artifacts ที่บันทึกผลลัพธ์เป็นเอกสาร ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

    อย่างไรก็ตาม เสียงตอบรับจากนักพัฒนายังไม่แรงเท่าที่ Google คาดหวัง หลายคนชื่นชมความสามารถในการเข้าใจบริบทและการทำงานอัตโนมัติ แต่ก็มีข้อวิจารณ์ว่าเครื่องมือยัง “half-baked” หรือยังไม่สมบูรณ์ บางครั้งทำงานช้า มีบั๊ก และพบปัญหาในการจัดการภาพหรือการทำงานที่ซับซ้อนเกินไป ทำให้ผู้ใช้ต้องคอยปรับแก้เองอยู่บ่อยครั้ง

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้าน ความปลอดภัย ที่นักวิจัยด้านไซเบอร์เตือนว่า Antigravity อาจเปิดช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดีแทรกโค้ดอันตรายผ่านไฟล์การตั้งค่าได้ หากผู้ใช้ทำงานใน “trusted workspace” โดยไม่ระวัง อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือขโมยข้อมูล ซึ่งเป็นข้อกังวลสำคัญสำหรับการนำไปใช้ในองค์กรใหญ่ ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัว Antigravity IDE
    เปิดตัวพร้อม Gemini 3 เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2025
    ใช้ทีม AI agents ทำงานคู่ขนานเหมือนทีมมนุษย์จริง

    คุณสมบัติเด่น
    Multi-agent system สำหรับแบ่งงานย่อย
    โหมด Planning และ Fast Mode จัดการงานได้ยืดหยุ่น
    ระบบ Artifacts บันทึกผลลัพธ์ตรวจสอบได้

    เสียงตอบรับจากผู้ใช้
    ชื่นชมความเข้าใจบริบทและการทำงานอัตโนมัติ
    แต่ยังถูกวิจารณ์ว่า “half-baked” มีบั๊กและทำงานช้า

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    นักวิจัยพบช่องโหว่ที่อาจเปิดทางให้มัลแวร์แทรกตัว
    การใช้ trusted workspace โดยไม่ระวังอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี

    https://www.slashgear.com/2037355/google-antigravity-ai-coding-tool/
    📰 “Google เปิดตัว Antigravity IDE – ก้าวใหม่ของการเขียนโค้ดด้วยทีม AI Agents” Google ได้เปิดตัว Antigravity IDE เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 ควบคู่กับโมเดล Gemini 3 โดยชูจุดเด่นว่าเป็นสภาพแวดล้อมการพัฒนา (IDE) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ทีม AI agents ทำงานร่วมกันได้เหมือนทีมมนุษย์จริง ๆ นักพัฒนาสามารถปล่อยให้ AI วางแผน สร้างไฟล์ และทดสอบโค้ดได้โดยไม่ต้องสั่งทีละขั้นตอน ทำให้มนุษย์มีบทบาทใหม่คือ “สถาปนิกโซลูชัน” มากกว่าการลงมือเขียนโค้ดทุกบรรทัดเอง สิ่งที่ทำให้ Antigravity แตกต่างคือการใช้ multi-agent system ที่สามารถแบ่งงานย่อย เช่น การดีบัก การสร้าง UI หรือการจัดการ API ให้กับ AI แต่ละตัวที่ทำงานคู่ขนานกันได้ นอกจากนี้ยังมี โหมดการจัดการงานสองแบบ ได้แก่ Planning Mode สำหรับโครงการซับซ้อน และ Fast Mode สำหรับงานที่ต้องการความรวดเร็ว พร้อมระบบ Artifacts ที่บันทึกผลลัพธ์เป็นเอกสาร ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตาม เสียงตอบรับจากนักพัฒนายังไม่แรงเท่าที่ Google คาดหวัง หลายคนชื่นชมความสามารถในการเข้าใจบริบทและการทำงานอัตโนมัติ แต่ก็มีข้อวิจารณ์ว่าเครื่องมือยัง “half-baked” หรือยังไม่สมบูรณ์ บางครั้งทำงานช้า มีบั๊ก และพบปัญหาในการจัดการภาพหรือการทำงานที่ซับซ้อนเกินไป ทำให้ผู้ใช้ต้องคอยปรับแก้เองอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้าน ความปลอดภัย ที่นักวิจัยด้านไซเบอร์เตือนว่า Antigravity อาจเปิดช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดีแทรกโค้ดอันตรายผ่านไฟล์การตั้งค่าได้ หากผู้ใช้ทำงานใน “trusted workspace” โดยไม่ระวัง อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือขโมยข้อมูล ซึ่งเป็นข้อกังวลสำคัญสำหรับการนำไปใช้ในองค์กรใหญ่ ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัว Antigravity IDE ➡️ เปิดตัวพร้อม Gemini 3 เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้ทีม AI agents ทำงานคู่ขนานเหมือนทีมมนุษย์จริง ✅ คุณสมบัติเด่น ➡️ Multi-agent system สำหรับแบ่งงานย่อย ➡️ โหมด Planning และ Fast Mode จัดการงานได้ยืดหยุ่น ➡️ ระบบ Artifacts บันทึกผลลัพธ์ตรวจสอบได้ ✅ เสียงตอบรับจากผู้ใช้ ➡️ ชื่นชมความเข้าใจบริบทและการทำงานอัตโนมัติ ➡️ แต่ยังถูกวิจารณ์ว่า “half-baked” มีบั๊กและทำงานช้า ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ นักวิจัยพบช่องโหว่ที่อาจเปิดทางให้มัลแวร์แทรกตัว ⛔ การใช้ trusted workspace โดยไม่ระวังอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี https://www.slashgear.com/2037355/google-antigravity-ai-coding-tool/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google's Newest Tool Is A Big Leap Forward For AI Coding - SlashGear
    Google launched a new tool for developers to use multiple AI agents to accomplish different parts of coding simultaneously. We tested it. He's what we found.
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • “Mailbox Smart Sensor – ไม่พลาดจดหมายสำคัญอีกต่อไป”

    เทคโนโลยีที่ช่วยชีวิตคนยุคดิจิทัล
    แม้หลายคนจะใช้ อีเมลและแอปแชท เป็นหลัก แต่จดหมายแบบดั้งเดิมยังคงสำคัญ โดยเฉพาะเอกสารราชการ เช่น หมายเรียกคณะลูกขุน หรือ เช็คภาษีคืน ปัญหาคือจดหมายเล็ก ๆ มักถูกลืมในตู้ไปรษณีย์ ทำให้เกิดความเสี่ยงพลาดข้อมูลสำคัญ อุปกรณ์ Mailbox Sensor จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้

    ตัวเลือกหลากหลาย
    Analog Mailbox Alarm: ใช้สัญญาณไร้สายระยะ 600 ฟุต แจ้งเตือนด้วยไฟ LED และเสียง ไม่ต้องใช้บัญชีหรืออินเทอร์เน็ต แต่ไม่สามารถส่งการแจ้งเตือนถึงสมาร์ทโฟนได้
    X-Sense Smart Mailbox Alarm: ใช้ Wi-Fi 2.4 GHz เชื่อมต่อกับแอป X-Sense Home Security ส่งการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ไปยังมือถือ รองรับตู้ไปรษณีย์หลายแบบ
    Ring Mailbox Sensor: เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Ring ใช้ Ring Bridge หรือ Amazon Sidewalk เพื่อเชื่อมต่อ ทำงานร่วมกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่น ๆ ได้อย่างลงตัว

    ทางเลือกอื่น ๆ ที่ประหยัด
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากมี motion detector หรือ กล้อง Ring อยู่แล้ว ก็สามารถปรับตั้งค่าให้ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ตู้ไปรษณีย์แทนการซื้ออุปกรณ์ใหม่ได้ วิธีนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังคงได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน

    แนวโน้มการใช้งาน
    อุปกรณ์ลักษณะนี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่าง สมาร์ทโฮมกับการสื่อสารดั้งเดิม แม้จดหมายจะลดความนิยมลง แต่การมีระบบแจ้งเตือนช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจว่าจะไม่พลาดเอกสารสำคัญ และยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Analog Mailbox Alarm
    ใช้สัญญาณไร้สาย 600 ฟุต
    แจ้งเตือนด้วยไฟ LED และเสียง

    X-Sense Smart Mailbox Alarm
    ใช้ Wi-Fi 2.4 GHz
    ส่งการแจ้งเตือนเรียลไทม์ผ่านมือถือ

    Ring Mailbox Sensor
    ใช้ Ring Bridge หรือ Amazon Sidewalk
    ทำงานร่วมกับระบบสมาร์ทโฮมอื่น ๆ

    อุปกรณ์ทดแทนที่มีอยู่แล้ว
    Motion detector สามารถติดตั้งในตู้ไปรษณีย์
    กล้อง Ring ตั้ง motion zone เพื่อแจ้งเตือน

    ข้อควรระวัง
    รุ่นอนาล็อกไม่สามารถแจ้งเตือนผ่านมือถือ
    หากตู้ไปรษณีย์อยู่นอกระยะ Wi-Fi ต้องใช้เซ็นเซอร์เฉพาะ

    https://www.slashgear.com/2038490/mailbox-smart-sensor-tells-you-when-mail-delivered/
    📬 “Mailbox Smart Sensor – ไม่พลาดจดหมายสำคัญอีกต่อไป” 🛠️ เทคโนโลยีที่ช่วยชีวิตคนยุคดิจิทัล แม้หลายคนจะใช้ อีเมลและแอปแชท เป็นหลัก แต่จดหมายแบบดั้งเดิมยังคงสำคัญ โดยเฉพาะเอกสารราชการ เช่น หมายเรียกคณะลูกขุน หรือ เช็คภาษีคืน ปัญหาคือจดหมายเล็ก ๆ มักถูกลืมในตู้ไปรษณีย์ ทำให้เกิดความเสี่ยงพลาดข้อมูลสำคัญ อุปกรณ์ Mailbox Sensor จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้ 📡 ตัวเลือกหลากหลาย 🎗️ Analog Mailbox Alarm: ใช้สัญญาณไร้สายระยะ 600 ฟุต แจ้งเตือนด้วยไฟ LED และเสียง ไม่ต้องใช้บัญชีหรืออินเทอร์เน็ต แต่ไม่สามารถส่งการแจ้งเตือนถึงสมาร์ทโฟนได้ 🎗️ X-Sense Smart Mailbox Alarm: ใช้ Wi-Fi 2.4 GHz เชื่อมต่อกับแอป X-Sense Home Security ส่งการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ไปยังมือถือ รองรับตู้ไปรษณีย์หลายแบบ 🎗️ Ring Mailbox Sensor: เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Ring ใช้ Ring Bridge หรือ Amazon Sidewalk เพื่อเชื่อมต่อ ทำงานร่วมกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่น ๆ ได้อย่างลงตัว 🔧 ทางเลือกอื่น ๆ ที่ประหยัด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากมี motion detector หรือ กล้อง Ring อยู่แล้ว ก็สามารถปรับตั้งค่าให้ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ตู้ไปรษณีย์แทนการซื้ออุปกรณ์ใหม่ได้ วิธีนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังคงได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน 🌐 แนวโน้มการใช้งาน อุปกรณ์ลักษณะนี้สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่าง สมาร์ทโฮมกับการสื่อสารดั้งเดิม แม้จดหมายจะลดความนิยมลง แต่การมีระบบแจ้งเตือนช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจว่าจะไม่พลาดเอกสารสำคัญ และยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Analog Mailbox Alarm ➡️ ใช้สัญญาณไร้สาย 600 ฟุต ➡️ แจ้งเตือนด้วยไฟ LED และเสียง ✅ X-Sense Smart Mailbox Alarm ➡️ ใช้ Wi-Fi 2.4 GHz ➡️ ส่งการแจ้งเตือนเรียลไทม์ผ่านมือถือ ✅ Ring Mailbox Sensor ➡️ ใช้ Ring Bridge หรือ Amazon Sidewalk ➡️ ทำงานร่วมกับระบบสมาร์ทโฮมอื่น ๆ ✅ อุปกรณ์ทดแทนที่มีอยู่แล้ว ➡️ Motion detector สามารถติดตั้งในตู้ไปรษณีย์ ➡️ กล้อง Ring ตั้ง motion zone เพื่อแจ้งเตือน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ รุ่นอนาล็อกไม่สามารถแจ้งเตือนผ่านมือถือ ⛔ หากตู้ไปรษณีย์อยู่นอกระยะ Wi-Fi ต้องใช้เซ็นเซอร์เฉพาะ https://www.slashgear.com/2038490/mailbox-smart-sensor-tells-you-when-mail-delivered/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You Can Know Exactly When Your Mail's Been Delivered With This Smart Sensor - SlashGear
    The X-Sense Smart Mailbox Alarm requires 2.4 GHz Wi-Fi to connect to its base station. It delivers real-time push alerts to your phone via the X-Sense app.
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • “Samsung Wallet เสื่อมมนต์ขลัง – ผู้ใช้บ่นหนักจนหันไปหา Google Wallet”

    Samsung Wallet เคยเป็นแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลที่โดดเด่น เพราะสามารถเก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และยังมีฟีเจอร์ MST ที่ทำให้จ่ายเงินได้แม้ร้านไม่มี NFC แต่เมื่อฟีเจอร์เหล่านี้ถูกตัดออกไปตั้งแต่ปี 2021 แอปก็เริ่มสูญเสียความแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google Wallet

    ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ
    ผู้ใช้จำนวนมากรายงานว่าเจอ บั๊กบ่อยครั้ง, แอปเด้ง, การแจ้งเตือนสแปม และที่ร้ายแรงคือ บัตรเครดิตถูกยกเลิกในแอปโดยไม่ทราบสาเหตุ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของ Samsung Wallet ลดลงทันที เพราะแอปกระเป๋าเงินควรจะ “เชื่อถือได้” เป็นอันดับแรก

    การเปรียบเทียบกับ Google Wallet
    Google Wallet ถูกมองว่ามีความสะดวกกว่า เพราะสามารถดึงบัตรและตั๋วจาก Gmail มาใส่ในแอปอัตโนมัติ ในขณะที่ Samsung Wallet ต้องทำเองแบบ manual อีกทั้งอินเทอร์เฟซของ Samsung ยังเต็มไปด้วยโฆษณา ต่างจาก Google ที่เน้นความเรียบง่ายและใช้งานทันที

    บทเรียนและแนวโน้ม
    การตัดฟีเจอร์ MST และการบั่นทอนคุณภาพของแอปสะท้อนถึงแนวทาง “ลดต้นทุน” ของ Samsung ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผิดหวัง หากบริษัทต้องการให้ Wallet กลับมาแข่งได้ จำเป็นต้องคืนความแตกต่างและสร้างความเชื่อมั่นใหม่ มิฉะนั้นผู้ใช้จะยังคงย้ายไปใช้ Google Wallet ต่อไป

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Samsung Wallet เคยเป็นแอปที่โดดเด่น
    มีฟีเจอร์ MST ที่จ่ายเงินได้แม้ไม่มี NFC
    ใช้เก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และพาสต่าง ๆ

    ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ
    แอปเด้งและบั๊กบ่อยครั้ง
    การแจ้งเตือนสแปมรบกวน
    บัตรเครดิตถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ

    Google Wallet ได้เปรียบกว่า
    ดึงข้อมูลจาก Gmail อัตโนมัติ
    อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่มีโฆษณา

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Samsung Wallet
    ความเสี่ยงในการชำระเงินล้มเหลว
    ความน่าเชื่อถือของระบบลดลง
    อาจถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้แอปอื่น

    https://www.slashgear.com/2036890/samsung-wallet-app-many-users-say-not-worth-it/
    📰 “Samsung Wallet เสื่อมมนต์ขลัง – ผู้ใช้บ่นหนักจนหันไปหา Google Wallet” Samsung Wallet เคยเป็นแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลที่โดดเด่น เพราะสามารถเก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และยังมีฟีเจอร์ MST ที่ทำให้จ่ายเงินได้แม้ร้านไม่มี NFC แต่เมื่อฟีเจอร์เหล่านี้ถูกตัดออกไปตั้งแต่ปี 2021 แอปก็เริ่มสูญเสียความแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google Wallet ⚡ ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ ผู้ใช้จำนวนมากรายงานว่าเจอ บั๊กบ่อยครั้ง, แอปเด้ง, การแจ้งเตือนสแปม และที่ร้ายแรงคือ บัตรเครดิตถูกยกเลิกในแอปโดยไม่ทราบสาเหตุ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของ Samsung Wallet ลดลงทันที เพราะแอปกระเป๋าเงินควรจะ “เชื่อถือได้” เป็นอันดับแรก 🎯 การเปรียบเทียบกับ Google Wallet Google Wallet ถูกมองว่ามีความสะดวกกว่า เพราะสามารถดึงบัตรและตั๋วจาก Gmail มาใส่ในแอปอัตโนมัติ ในขณะที่ Samsung Wallet ต้องทำเองแบบ manual อีกทั้งอินเทอร์เฟซของ Samsung ยังเต็มไปด้วยโฆษณา ต่างจาก Google ที่เน้นความเรียบง่ายและใช้งานทันที 🔮 บทเรียนและแนวโน้ม การตัดฟีเจอร์ MST และการบั่นทอนคุณภาพของแอปสะท้อนถึงแนวทาง “ลดต้นทุน” ของ Samsung ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผิดหวัง หากบริษัทต้องการให้ Wallet กลับมาแข่งได้ จำเป็นต้องคืนความแตกต่างและสร้างความเชื่อมั่นใหม่ มิฉะนั้นผู้ใช้จะยังคงย้ายไปใช้ Google Wallet ต่อไป 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Samsung Wallet เคยเป็นแอปที่โดดเด่น ➡️ มีฟีเจอร์ MST ที่จ่ายเงินได้แม้ไม่มี NFC ➡️ ใช้เก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และพาสต่าง ๆ ✅ ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ ➡️ แอปเด้งและบั๊กบ่อยครั้ง ➡️ การแจ้งเตือนสแปมรบกวน ➡️ บัตรเครดิตถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ✅ Google Wallet ได้เปรียบกว่า ➡️ ดึงข้อมูลจาก Gmail อัตโนมัติ ➡️ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่มีโฆษณา ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Samsung Wallet ⛔ ความเสี่ยงในการชำระเงินล้มเหลว ⛔ ความน่าเชื่อถือของระบบลดลง ⛔ อาจถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้แอปอื่น https://www.slashgear.com/2036890/samsung-wallet-app-many-users-say-not-worth-it/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Many Samsung Wallet Users Aren't Happy With The App - Here's Why - SlashGear
    Common user complaints about Samsung Wallet include app crashes, spam, advertising, and general unreliability.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • “5 อุปกรณ์เสริม Steam Deck ราคาย่อมเยา ที่คุ้มค่าที่สุดในปี 2025”

    JSAUX Mod Case – ปกป้องและเพิ่มฟังก์ชัน
    เคสนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันหน้าจอและจอยสติ๊กจากการกระแทก แต่ยังมีระบบ “mod” ที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกหรือพาวเวอร์แบงก์ได้ ทำให้การพกพา Steam Deck สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

    Docking Station – เปลี่ยนเป็นคอนโซลเต็มรูปแบบ
    JSAUX Docking Station ราคา 45.99 ดอลลาร์ ช่วยให้ Steam Deck เชื่อมต่อกับทีวีหรือมอนิเตอร์ได้เหมือน Nintendo Switch รองรับการแสดงผลสูงสุด 4K 120Hz และมีพอร์ตครบครัน ทั้ง USB-C, HDMI, Ethernet และ USB-A เหมาะสำหรับการเล่นเกมอินดี้หรือใช้เป็นคอมพิวเตอร์พกพา

    Screen Protector – ป้องกันหน้าจอจากรอยและการแตก
    แม้ Steam Deck จะทนทาน แต่หน้าจอก็ยังเสี่ยงต่อการแตก Screen Protector แบบ Anti-Glare ของ JSAUX ราคา 14.99 ดอลลาร์ ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันค่าใช้จ่ายสูงในการเปลี่ยนหน้าจอ

    Comfort Grips – เพิ่มความสบายในการจับ
    อุปกรณ์เสริมจากผู้ขายบน Etsy ราคาไม่ถึง 20 ดอลลาร์ ทำให้ Steam Deck มีรูปทรงคล้ายจอยคอนโทรลเลอร์ เพิ่มพื้นผิวจับที่มั่นคงและลดความเมื่อยล้า เหมาะสำหรับการเล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมง

    MicroSD Card – เพิ่มพื้นที่จัดเก็บเกม
    แม้รุ่นแพงสุดของ Steam Deck จะมี SSD 1TB แต่ก็ยังไม่พอสำหรับเกม AAA หลาย ๆ เกม MicroSD Card เช่น Samsung PRO Plus 512GB ราคา 49.99 ดอลลาร์ เป็นทางเลือกที่ง่ายและไม่ต้องเสี่ยงกับการแกะเครื่องเพื่อเปลี่ยน SSD

    สรุปเป็นหัวข้อ
    JSAUX Mod Case
    ป้องกันหน้าจอและจอยสติ๊ก
    รองรับการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น พาวเวอร์แบงก์

    Docking Station
    ราคา 45.99 ดอลลาร์
    รองรับ 4K 120Hz และพอร์ตเชื่อมต่อหลากหลาย

    Screen Protector
    ราคา 14.99 ดอลลาร์
    ลดแสงสะท้อนและป้องกันการแตก

    Comfort Grips
    ราคาไม่ถึง 20 ดอลลาร์
    เพิ่มความสบายและลดความเมื่อยมือ

    MicroSD Card
    Samsung PRO Plus 512GB ราคา 49.99 ดอลลาร์
    เพิ่มพื้นที่เกมโดยไม่ต้องแกะเครื่อง

    ข้อควรระวัง
    Steam Deck ยังมีข้อจำกัดด้านพลังประมวลผล โดยเฉพาะเกม AAA
    MicroSD Card มีมาตรฐานหลายแบบ ต้องเลือก UHS-1 หรือสูงกว่าเพื่อความเร็วที่เหมาะสม

    https://www.slashgear.com/2035646/useful-steam-deck-accessories-under-50-dollars/
    🎮 “5 อุปกรณ์เสริม Steam Deck ราคาย่อมเยา ที่คุ้มค่าที่สุดในปี 2025” 🛡️ JSAUX Mod Case – ปกป้องและเพิ่มฟังก์ชัน เคสนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันหน้าจอและจอยสติ๊กจากการกระแทก แต่ยังมีระบบ “mod” ที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกหรือพาวเวอร์แบงก์ได้ ทำให้การพกพา Steam Deck สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น ⚡ Docking Station – เปลี่ยนเป็นคอนโซลเต็มรูปแบบ JSAUX Docking Station ราคา 45.99 ดอลลาร์ ช่วยให้ Steam Deck เชื่อมต่อกับทีวีหรือมอนิเตอร์ได้เหมือน Nintendo Switch รองรับการแสดงผลสูงสุด 4K 120Hz และมีพอร์ตครบครัน ทั้ง USB-C, HDMI, Ethernet และ USB-A เหมาะสำหรับการเล่นเกมอินดี้หรือใช้เป็นคอมพิวเตอร์พกพา 🔒 Screen Protector – ป้องกันหน้าจอจากรอยและการแตก แม้ Steam Deck จะทนทาน แต่หน้าจอก็ยังเสี่ยงต่อการแตก Screen Protector แบบ Anti-Glare ของ JSAUX ราคา 14.99 ดอลลาร์ ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันค่าใช้จ่ายสูงในการเปลี่ยนหน้าจอ ✋ Comfort Grips – เพิ่มความสบายในการจับ อุปกรณ์เสริมจากผู้ขายบน Etsy ราคาไม่ถึง 20 ดอลลาร์ ทำให้ Steam Deck มีรูปทรงคล้ายจอยคอนโทรลเลอร์ เพิ่มพื้นผิวจับที่มั่นคงและลดความเมื่อยล้า เหมาะสำหรับการเล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมง 💾 MicroSD Card – เพิ่มพื้นที่จัดเก็บเกม แม้รุ่นแพงสุดของ Steam Deck จะมี SSD 1TB แต่ก็ยังไม่พอสำหรับเกม AAA หลาย ๆ เกม MicroSD Card เช่น Samsung PRO Plus 512GB ราคา 49.99 ดอลลาร์ เป็นทางเลือกที่ง่ายและไม่ต้องเสี่ยงกับการแกะเครื่องเพื่อเปลี่ยน SSD 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ JSAUX Mod Case ➡️ ป้องกันหน้าจอและจอยสติ๊ก ➡️ รองรับการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น พาวเวอร์แบงก์ ✅ Docking Station ➡️ ราคา 45.99 ดอลลาร์ ➡️ รองรับ 4K 120Hz และพอร์ตเชื่อมต่อหลากหลาย ✅ Screen Protector ➡️ ราคา 14.99 ดอลลาร์ ➡️ ลดแสงสะท้อนและป้องกันการแตก ✅ Comfort Grips ➡️ ราคาไม่ถึง 20 ดอลลาร์ ➡️ เพิ่มความสบายและลดความเมื่อยมือ ✅ MicroSD Card ➡️ Samsung PRO Plus 512GB ราคา 49.99 ดอลลาร์ ➡️ เพิ่มพื้นที่เกมโดยไม่ต้องแกะเครื่อง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ Steam Deck ยังมีข้อจำกัดด้านพลังประมวลผล โดยเฉพาะเกม AAA ⛔ MicroSD Card มีมาตรฐานหลายแบบ ต้องเลือก UHS-1 หรือสูงกว่าเพื่อความเร็วที่เหมาะสม https://www.slashgear.com/2035646/useful-steam-deck-accessories-under-50-dollars/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Useful Steam Deck Accessories You Can Find For Under $50 - SlashGear
    You don't need to spend a fortune to trick out your Steam Deck, as hese accessories will do the trick.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • “GameSir G7 SE – คอนโทรลเลอร์ Xbox ที่ครองใจเกมเมอร์ปี 2025”

    ตั้งแต่ปี 2001 ที่ Xbox รุ่นแรกเปิดตัว คอนโทรลเลอร์ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากรุ่น “Duke” ที่ใหญ่และเทอะทะ สู่รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้กระชับมือและตอบสนองได้ดีกว่า ปัจจุบันผู้เล่นมีตัวเลือกมากมายทั้งจาก Microsoft และแบรนด์อื่น ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเสียงส่วนใหญ่กลับยกให้ GameSir G7 SE เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ Xbox Series X/S

    จุดเด่นที่ทำให้โดนใจ
    ผู้ใช้หลายคนชื่นชมว่า ไม่มีปัญหา stick drift, มี Hall-effect analog sticks ที่ตอบสนองลื่นไหล และมี rear paddles สำหรับปรับแต่งการเล่น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบที่รองรับการเล่นเกมยาว ๆ โดยไม่เมื่อยมือ แม้ตัวเครื่องจะดูเบาและไม่หรูหรา แต่ฟังก์ชันและความทนทานถือว่าคุ้มค่าเกินราคา

    ราคาและความคุ้มค่า
    GameSir G7 SE มีราคาประมาณ 45 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับคอนโทรลเลอร์ระดับโปรที่แพงกว่า ผู้ใช้บางคนถึงขั้นบอกว่ามันดีกว่ารุ่น GameSir G7 Pro ที่ราคาแพงกว่าเสียอีก ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา

    แนวโน้มในอนาคต
    แม้ตอนนี้ GameSir G7 SE จะได้รับการยกย่อง แต่ตลาดคอนโทรลเลอร์ยังคงแข่งขันสูง ทั้ง Microsoft ที่มี Elite Series และแบรนด์อื่น ๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นการเชื่อมต่อไร้สายที่เสถียรกว่า หรือการปรับแต่งปุ่มที่หลากหลาย ดังนั้นอนาคตยังเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นที่ต้องการอัปเกรดอุปกรณ์

    สรุปเป็นหัวข้อ
    GameSir G7 SE ได้รับการยกย่องจากเกมเมอร์
    ไม่มีปัญหา stick drift
    มี Hall-effect analog sticks และ rear paddles

    ราคาเข้าถึงง่าย
    ประมาณ 45 ดอลลาร์สหรัฐ
    ถูกมองว่าคุ้มค่ากว่ารุ่น Pro ที่แพงกว่า

    การออกแบบเพื่อความสบายในการเล่นระยะยาว
    รูปทรงกระชับมือ
    รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องโดยไม่เมื่อย

    ข้อควรระวัง
    ตัวเครื่องอาจรู้สึกเบาและไม่หรูหรา
    ความทนทานในระยะยาวยังต้องติดตามเมื่อมีรุ่นใหม่ออกมา

    https://www.slashgear.com/2036911/best-xbox-controller-right-now-can-buy/
    🎮 “GameSir G7 SE – คอนโทรลเลอร์ Xbox ที่ครองใจเกมเมอร์ปี 2025” ตั้งแต่ปี 2001 ที่ Xbox รุ่นแรกเปิดตัว คอนโทรลเลอร์ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากรุ่น “Duke” ที่ใหญ่และเทอะทะ สู่รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้กระชับมือและตอบสนองได้ดีกว่า ปัจจุบันผู้เล่นมีตัวเลือกมากมายทั้งจาก Microsoft และแบรนด์อื่น ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเสียงส่วนใหญ่กลับยกให้ GameSir G7 SE เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ Xbox Series X/S ⚡ จุดเด่นที่ทำให้โดนใจ ผู้ใช้หลายคนชื่นชมว่า ไม่มีปัญหา stick drift, มี Hall-effect analog sticks ที่ตอบสนองลื่นไหล และมี rear paddles สำหรับปรับแต่งการเล่น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบที่รองรับการเล่นเกมยาว ๆ โดยไม่เมื่อยมือ แม้ตัวเครื่องจะดูเบาและไม่หรูหรา แต่ฟังก์ชันและความทนทานถือว่าคุ้มค่าเกินราคา 💰 ราคาและความคุ้มค่า GameSir G7 SE มีราคาประมาณ 45 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับคอนโทรลเลอร์ระดับโปรที่แพงกว่า ผู้ใช้บางคนถึงขั้นบอกว่ามันดีกว่ารุ่น GameSir G7 Pro ที่ราคาแพงกว่าเสียอีก ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา 🌐 แนวโน้มในอนาคต แม้ตอนนี้ GameSir G7 SE จะได้รับการยกย่อง แต่ตลาดคอนโทรลเลอร์ยังคงแข่งขันสูง ทั้ง Microsoft ที่มี Elite Series และแบรนด์อื่น ๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นการเชื่อมต่อไร้สายที่เสถียรกว่า หรือการปรับแต่งปุ่มที่หลากหลาย ดังนั้นอนาคตยังเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นที่ต้องการอัปเกรดอุปกรณ์ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ GameSir G7 SE ได้รับการยกย่องจากเกมเมอร์ ➡️ ไม่มีปัญหา stick drift ➡️ มี Hall-effect analog sticks และ rear paddles ✅ ราคาเข้าถึงง่าย ➡️ ประมาณ 45 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ ถูกมองว่าคุ้มค่ากว่ารุ่น Pro ที่แพงกว่า ✅ การออกแบบเพื่อความสบายในการเล่นระยะยาว ➡️ รูปทรงกระชับมือ ➡️ รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องโดยไม่เมื่อย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ตัวเครื่องอาจรู้สึกเบาและไม่หรูหรา ⛔ ความทนทานในระยะยาวยังต้องติดตามเมื่อมีรุ่นใหม่ออกมา https://www.slashgear.com/2036911/best-xbox-controller-right-now-can-buy/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is The Best Xbox Controller, According To Gamers? - SlashGear
    Gamers name the GameSir G7 SE as the best Xbox controller for Series X/S. See why this $45 wired model with anti-drift Hall Effect sticks beats the competition.
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • “Google Pixel เปิดฟีเจอร์ใหม่ RCS Archival – ข้อความของคุณอาจอยู่ในมือเจ้านาย”

    Google ประกาศฟีเจอร์ RCS Archival สำหรับเครื่อง Pixel ที่ถูกจัดการโดยองค์กร (Managed Devices) ซึ่งจะทำให้ข้อความ RCS ที่ส่ง รับ หรือแก้ไข ถูกบันทึกลงในระบบของบริษัทพร้อมเวลาและรายละเอียด แม้ข้อความจะยังคงถูกเข้ารหัสระหว่างการส่ง แต่การเก็บบันทึกนี้ทำให้ฝ่าย IT สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรงจากเครื่องพนักงาน

    เหตุผลด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อบังคับ
    ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การเก็บบันทึกการสื่อสารเพื่อใช้ในกรณีฟ้องร้อง การตรวจสอบ หรือการร้องขอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หลายบริษัทในภาคการเงิน การแพทย์ และรัฐบาลจำเป็นต้องมีระบบเก็บข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎหมาย

    ความเป็นส่วนตัวและข้อกังวล
    แม้ Google ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้จะมีการแจ้งเตือนบนเครื่องพนักงานเมื่อมีการเปิดใช้งาน แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าเจ้านายอาจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ หากพนักงานใช้เครื่องที่บริษัทจัดการในการติดต่อเรื่องส่วนตัว ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้แยกการใช้งานออกเป็นสองเครื่อง เพื่อป้องกันการสูญเสียความเป็นส่วนตัว

    แนวโน้มในอนาคต
    การเก็บบันทึกข้อความลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายองค์กรทั่วโลกใช้ระบบ Mobile Device Management (MDM) และเครื่องมือ Compliance เพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์พนักงาน แนวโน้มคือการผสานเข้ากับระบบ AI และ Cloud เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อการรักษาสมดุลระหว่าง “ความปลอดภัย” และ “สิทธิส่วนบุคคล”

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ฟีเจอร์ใหม่ RCS Archival บน Pixel
    ใช้ได้เฉพาะเครื่องที่บริษัทจัดการ (Managed Devices)
    ข้อความ RCS จะถูกบันทึกพร้อมเวลาและรายละเอียด

    เหตุผลด้านกฎหมายและ Compliance
    ช่วยองค์กรปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การเก็บบันทึกเพื่อใช้ในคดีความ
    รองรับการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐและข้อบังคับในอุตสาหกรรม

    การแจ้งเตือนบนเครื่องพนักงาน
    ผู้ใช้จะเห็นการแจ้งเตือนเมื่อระบบเก็บบันทึกถูกเปิดใช้งาน
    องค์กรสามารถเลือกแอปเก็บบันทึกที่ต้องการ เช่น Smarsh, Celltrust

    ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวของพนักงาน
    หากใช้เครื่องบริษัทติดต่อเรื่องส่วนตัว ข้อมูลอาจถูกบันทึก
    การเข้าถึงข้อมูลโดยนายจ้างอาจสร้างความไม่ไว้วางใจ

    คำแนะนำในการใช้งาน
    ควรแยกเครื่องส่วนตัวออกจากเครื่องที่บริษัทจัดการ
    หลีกเลี่ยงการเก็บข้อมูลส่วนตัวสำคัญไว้ในเครื่องที่ถูกควบคุม

    https://www.slashgear.com/2036862/google-pixel-rcs-text-message-archive-update/
    📱 “Google Pixel เปิดฟีเจอร์ใหม่ RCS Archival – ข้อความของคุณอาจอยู่ในมือเจ้านาย” Google ประกาศฟีเจอร์ RCS Archival สำหรับเครื่อง Pixel ที่ถูกจัดการโดยองค์กร (Managed Devices) ซึ่งจะทำให้ข้อความ RCS ที่ส่ง รับ หรือแก้ไข ถูกบันทึกลงในระบบของบริษัทพร้อมเวลาและรายละเอียด แม้ข้อความจะยังคงถูกเข้ารหัสระหว่างการส่ง แต่การเก็บบันทึกนี้ทำให้ฝ่าย IT สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรงจากเครื่องพนักงาน ⚖️ เหตุผลด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อบังคับ ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การเก็บบันทึกการสื่อสารเพื่อใช้ในกรณีฟ้องร้อง การตรวจสอบ หรือการร้องขอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หลายบริษัทในภาคการเงิน การแพทย์ และรัฐบาลจำเป็นต้องมีระบบเก็บข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎหมาย 🔒 ความเป็นส่วนตัวและข้อกังวล แม้ Google ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้จะมีการแจ้งเตือนบนเครื่องพนักงานเมื่อมีการเปิดใช้งาน แต่ก็ยังมีข้อกังวลว่าเจ้านายอาจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ หากพนักงานใช้เครื่องที่บริษัทจัดการในการติดต่อเรื่องส่วนตัว ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้แยกการใช้งานออกเป็นสองเครื่อง เพื่อป้องกันการสูญเสียความเป็นส่วนตัว 🌐 แนวโน้มในอนาคต การเก็บบันทึกข้อความลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายองค์กรทั่วโลกใช้ระบบ Mobile Device Management (MDM) และเครื่องมือ Compliance เพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์พนักงาน แนวโน้มคือการผสานเข้ากับระบบ AI และ Cloud เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อการรักษาสมดุลระหว่าง “ความปลอดภัย” และ “สิทธิส่วนบุคคล” 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ RCS Archival บน Pixel ➡️ ใช้ได้เฉพาะเครื่องที่บริษัทจัดการ (Managed Devices) ➡️ ข้อความ RCS จะถูกบันทึกพร้อมเวลาและรายละเอียด ✅ เหตุผลด้านกฎหมายและ Compliance ➡️ ช่วยองค์กรปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การเก็บบันทึกเพื่อใช้ในคดีความ ➡️ รองรับการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐและข้อบังคับในอุตสาหกรรม ✅ การแจ้งเตือนบนเครื่องพนักงาน ➡️ ผู้ใช้จะเห็นการแจ้งเตือนเมื่อระบบเก็บบันทึกถูกเปิดใช้งาน ➡️ องค์กรสามารถเลือกแอปเก็บบันทึกที่ต้องการ เช่น Smarsh, Celltrust ‼️ ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวของพนักงาน ⛔ หากใช้เครื่องบริษัทติดต่อเรื่องส่วนตัว ข้อมูลอาจถูกบันทึก ⛔ การเข้าถึงข้อมูลโดยนายจ้างอาจสร้างความไม่ไว้วางใจ ‼️ คำแนะนำในการใช้งาน ⛔ ควรแยกเครื่องส่วนตัวออกจากเครื่องที่บริษัทจัดการ ⛔ หลีกเลี่ยงการเก็บข้อมูลส่วนตัวสำคัญไว้ในเครื่องที่ถูกควบคุม https://www.slashgear.com/2036862/google-pixel-rcs-text-message-archive-update/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Google Pixel Update Could Share All Your Text Messages With Your Boss - SlashGear
    The new RCS Archival feature will send timestamped copies of RCS messages to company servers, but only for fully-managed Pixel phones.
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • 5 แท็บเล็ต Android ที่ควรหลีกเลี่ยง

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวมเสียงผู้ใช้จริงจาก Amazon และ Reddit เพื่อเตือนว่าแท็บเล็ต Android บางรุ่นแม้ราคาถูก แต่กลับสร้างปัญหามากกว่าที่คุ้มค่า โดยมี 5 รุ่นที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด

    DigiLand 2025 11-inch Android 14 Gaming Tablet
    แม้สเปกดูดี (Helio G99, RAM 16GB, จอ FHD) แต่ผู้ใช้พบว่า โฆษณาว่ารองรับ WiFi 6 ทั้งที่ไม่จริง อีกทั้งยังเป็นการรีแบรนด์จาก Onn Tablet รุ่นเก่า ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง

    Samsung Galaxy Tab A8
    ชื่อเสียง Samsung ทำให้หลายคนคาดหวังสูง แต่รุ่นนี้มีเพียง RAM 3GB และ ROM 32GB ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเล่นเกมหรือรันหลายแอปพร้อมกัน อีกทั้งหน้าจอ LCD ไม่สว่างพอสำหรับใช้งานกลางแจ้ง

    Lenovo Tab M8 (2023)
    ใช้ชิป Helio A22 และ RAM 2GB ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับแอปยุคปัจจุบัน ผู้ใช้บ่นว่าแม้แต่การเปิด YouTube หรือ Netflix ก็ช้า และยังไม่สามารถดู Netflix แบบ HD เพราะรองรับแค่ Widevine L3

    TCL NxTpaper 11
    จุดขายคือจอ matte ลดแสงสะท้อน แต่กลับทำให้สีซีดและวิดีโอไม่คมชัด แม้แบตเตอรี่ใหญ่ 8000mAh แต่ใช้เวลาชาร์จนานถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งานจริง

    Lenovo Tab P11 Plus (2021)
    แม้สเปกดูดี (Helio G90T, RAM 4GB, จอ 2K) แต่ผู้ใช้พบปัญหา เครื่องค้างบ่อยและอัปเดตระบบล้มเหลว บางรายถึงขั้นถูกล็อกเครื่องหลังอัปเดต Android 12 นอกจากนี้ยังมี bloatware ที่ลบไม่ออก

    สรุปสาระสำคัญ
    DigiLand 2025 Gaming Tablet
    สเปกดีแต่โฆษณาเกินจริง ไม่รองรับ WiFi 6

    Samsung Galaxy Tab A8
    RAM น้อย, จอ LCD ไม่สว่าง ใช้งานกลางแจ้งลำบาก

    Lenovo Tab M8 (2023)
    RAM 2GB ทำงานช้า และไม่รองรับ Netflix HD

    TCL NxTpaper 11
    จอ matte สีซีด, ชาร์จนานแม้แบตใหญ่

    Lenovo Tab P11 Plus (2021)
    เครื่องค้าง, อัปเดตล้มเหลว, มี bloatware

    แท็บเล็ตบางรุ่นแม้ราคาถูก แต่สร้างปัญหามากกว่า
    เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียรและเสียเงินโดยไม่คุ้มค่า

    https://www.slashgear.com/2036067/android-tablet-models-dont-buy-avoid/
    🚫 5 แท็บเล็ต Android ที่ควรหลีกเลี่ยง บทความจาก SlashGear ได้รวบรวมเสียงผู้ใช้จริงจาก Amazon และ Reddit เพื่อเตือนว่าแท็บเล็ต Android บางรุ่นแม้ราคาถูก แต่กลับสร้างปัญหามากกว่าที่คุ้มค่า โดยมี 5 รุ่นที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด 📱 DigiLand 2025 11-inch Android 14 Gaming Tablet แม้สเปกดูดี (Helio G99, RAM 16GB, จอ FHD) แต่ผู้ใช้พบว่า โฆษณาว่ารองรับ WiFi 6 ทั้งที่ไม่จริง อีกทั้งยังเป็นการรีแบรนด์จาก Onn Tablet รุ่นเก่า ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง 📱 Samsung Galaxy Tab A8 ชื่อเสียง Samsung ทำให้หลายคนคาดหวังสูง แต่รุ่นนี้มีเพียง RAM 3GB และ ROM 32GB ทำให้ประสิทธิภาพต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเล่นเกมหรือรันหลายแอปพร้อมกัน อีกทั้งหน้าจอ LCD ไม่สว่างพอสำหรับใช้งานกลางแจ้ง 📱 Lenovo Tab M8 (2023) ใช้ชิป Helio A22 และ RAM 2GB ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับแอปยุคปัจจุบัน ผู้ใช้บ่นว่าแม้แต่การเปิด YouTube หรือ Netflix ก็ช้า และยังไม่สามารถดู Netflix แบบ HD เพราะรองรับแค่ Widevine L3 📱 TCL NxTpaper 11 จุดขายคือจอ matte ลดแสงสะท้อน แต่กลับทำให้สีซีดและวิดีโอไม่คมชัด แม้แบตเตอรี่ใหญ่ 8000mAh แต่ใช้เวลาชาร์จนานถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งานจริง 📱 Lenovo Tab P11 Plus (2021) แม้สเปกดูดี (Helio G90T, RAM 4GB, จอ 2K) แต่ผู้ใช้พบปัญหา เครื่องค้างบ่อยและอัปเดตระบบล้มเหลว บางรายถึงขั้นถูกล็อกเครื่องหลังอัปเดต Android 12 นอกจากนี้ยังมี bloatware ที่ลบไม่ออก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ DigiLand 2025 Gaming Tablet ➡️ สเปกดีแต่โฆษณาเกินจริง ไม่รองรับ WiFi 6 ✅ Samsung Galaxy Tab A8 ➡️ RAM น้อย, จอ LCD ไม่สว่าง ใช้งานกลางแจ้งลำบาก ✅ Lenovo Tab M8 (2023) ➡️ RAM 2GB ทำงานช้า และไม่รองรับ Netflix HD ✅ TCL NxTpaper 11 ➡️ จอ matte สีซีด, ชาร์จนานแม้แบตใหญ่ ✅ Lenovo Tab P11 Plus (2021) ➡️ เครื่องค้าง, อัปเดตล้มเหลว, มี bloatware ‼️ แท็บเล็ตบางรุ่นแม้ราคาถูก แต่สร้างปัญหามากกว่า ⛔ เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียรและเสียเงินโดยไม่คุ้มค่า https://www.slashgear.com/2036067/android-tablet-models-dont-buy-avoid/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Android Tablets Owners Say You Should Avoid - SlashGear
    Users advise avoiding these 5 tablets: DigiLand 2025, Samsung Galaxy Tab A8, Lenovo Tab M8, TCL NxTpaper 11, and Lenovo Tab P11 Plus due to several issues.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ใครคือเจ้าของ Claude AI?

    Claude AI เป็นผลงานของบริษัท Anthropic สตาร์ทอัพจากซานฟรานซิสโก ก่อตั้งในปี 2021 โดยอดีตผู้บริหาร OpenAI คือ Dario และ Daniela Amodei จุดเด่นของ Anthropic คือการมุ่งเน้นเรื่อง ความปลอดภัยและความโปร่งใสในการพัฒนา AI โดย Claude ได้รับการตั้งชื่อตาม Claude Shannon บิดาแห่งทฤษฎีสารสนเทศ และเปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2023.

    การลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่
    แม้ว่า Anthropic จะยังคงเป็นบริษัทอิสระ แต่ก็ได้รับเงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากหลายบริษัท เช่น Amazon ที่ทุ่มสูงสุดถึง 8 พันล้านดอลลาร์ พร้อมให้ใช้โครงสร้างพื้นฐาน AWS และชิป AI ของตนเอง, Google ที่ลงทุนกว่า 3 พันล้านดอลลาร์, รวมถึง Salesforce และ Spark Capital ที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ทำให้ Anthropic มีพันธมิตรเชิงพาณิชย์ที่แข็งแกร่งในตลาด.

    ความสัมพันธ์กับ Microsoft และการใช้งานจริง
    นอกจาก Amazon และ Google แล้ว Microsoft ก็มีบทบาทเช่นกัน โดยนำ Claude มารวมไว้ในชุด Microsoft 365 Copilot ควบคู่กับ GPT models สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Claude ไม่ได้เป็นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นเทคโนโลยีที่หลายยักษ์ใหญ่ในวงการเข้ามามีส่วนร่วมและผลักดัน.

    โครงสร้างบริษัทและความสำคัญ
    Anthropic ถูกจัดตั้งเป็น Public-Benefit Corporation (PBC) ซึ่งหมายความว่ามีพันธกิจด้านความปลอดภัยระยะยาวควบคู่ไปกับการทำกำไร ทำให้แม้จะมีนักลงทุนรายใหญ่ แต่ก็ยากที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะเข้ามาควบคุมทั้งหมดได้ การที่ Claude อยู่ในกลุ่ม AI ระดับแนวหน้าจึงทำให้โครงสร้างการถือครองและการลงทุนมีความสำคัญต่ออนาคตของวงการ AI โดยรวม.

    สรุปสาระสำคัญ
    Claude AI เป็นผลงานของ Anthropic
    ก่อตั้งโดย Dario และ Daniela Amodei อดีตผู้บริหาร OpenAI

    เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2023
    ตั้งชื่อตาม Claude Shannon

    Amazon ลงทุนสูงสุดถึง 8 พันล้านดอลลาร์
    พร้อมให้ใช้ AWS และชิป AI

    Google ลงทุนกว่า 3 พันล้านดอลลาร์
    มี Salesforce และ Spark Capital ร่วมด้วย

    Microsoft นำ Claude ไปใช้ใน 365 Copilot
    ทำงานร่วมกับ GPT models

    Anthropic แม้มีนักลงทุนรายใหญ่ แต่ยังคงเป็นบริษัทอิสระ
    ไม่มีบริษัทใดครอบครองทั้งหมด

    โครงสร้างแบบ Public-Benefit Corporation เน้นความปลอดภัยระยะยาว
    ทำให้การควบคุมโดยนักลงทุนรายเดียวเป็นไปได้ยาก

    https://www.slashgear.com/2035429/who-owns-claude-ai/
    🧠 ใครคือเจ้าของ Claude AI? Claude AI เป็นผลงานของบริษัท Anthropic สตาร์ทอัพจากซานฟรานซิสโก ก่อตั้งในปี 2021 โดยอดีตผู้บริหาร OpenAI คือ Dario และ Daniela Amodei จุดเด่นของ Anthropic คือการมุ่งเน้นเรื่อง ความปลอดภัยและความโปร่งใสในการพัฒนา AI โดย Claude ได้รับการตั้งชื่อตาม Claude Shannon บิดาแห่งทฤษฎีสารสนเทศ และเปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2023. 💵 การลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แม้ว่า Anthropic จะยังคงเป็นบริษัทอิสระ แต่ก็ได้รับเงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากหลายบริษัท เช่น Amazon ที่ทุ่มสูงสุดถึง 8 พันล้านดอลลาร์ พร้อมให้ใช้โครงสร้างพื้นฐาน AWS และชิป AI ของตนเอง, Google ที่ลงทุนกว่า 3 พันล้านดอลลาร์, รวมถึง Salesforce และ Spark Capital ที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ทำให้ Anthropic มีพันธมิตรเชิงพาณิชย์ที่แข็งแกร่งในตลาด. 🔗 ความสัมพันธ์กับ Microsoft และการใช้งานจริง นอกจาก Amazon และ Google แล้ว Microsoft ก็มีบทบาทเช่นกัน โดยนำ Claude มารวมไว้ในชุด Microsoft 365 Copilot ควบคู่กับ GPT models สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Claude ไม่ได้เป็นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นเทคโนโลยีที่หลายยักษ์ใหญ่ในวงการเข้ามามีส่วนร่วมและผลักดัน. ⚖️ โครงสร้างบริษัทและความสำคัญ Anthropic ถูกจัดตั้งเป็น Public-Benefit Corporation (PBC) ซึ่งหมายความว่ามีพันธกิจด้านความปลอดภัยระยะยาวควบคู่ไปกับการทำกำไร ทำให้แม้จะมีนักลงทุนรายใหญ่ แต่ก็ยากที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะเข้ามาควบคุมทั้งหมดได้ การที่ Claude อยู่ในกลุ่ม AI ระดับแนวหน้าจึงทำให้โครงสร้างการถือครองและการลงทุนมีความสำคัญต่ออนาคตของวงการ AI โดยรวม. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Claude AI เป็นผลงานของ Anthropic ➡️ ก่อตั้งโดย Dario และ Daniela Amodei อดีตผู้บริหาร OpenAI ✅ เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2023 ➡️ ตั้งชื่อตาม Claude Shannon ✅ Amazon ลงทุนสูงสุดถึง 8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ พร้อมให้ใช้ AWS และชิป AI ✅ Google ลงทุนกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ➡️ มี Salesforce และ Spark Capital ร่วมด้วย ✅ Microsoft นำ Claude ไปใช้ใน 365 Copilot ➡️ ทำงานร่วมกับ GPT models ‼️ Anthropic แม้มีนักลงทุนรายใหญ่ แต่ยังคงเป็นบริษัทอิสระ ⛔ ไม่มีบริษัทใดครอบครองทั้งหมด ‼️ โครงสร้างแบบ Public-Benefit Corporation เน้นความปลอดภัยระยะยาว ⛔ ทำให้การควบคุมโดยนักลงทุนรายเดียวเป็นไปได้ยาก https://www.slashgear.com/2035429/who-owns-claude-ai/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Who Owns Claude AI (And Is It Amazon?) - SlashGear
    Anthropic owns Claude AI, not Amazon. Big-tech funding and cloud partnerships exist, but no single company controls the model or the startup.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์ AgiBot A2 จากจีน ทำสถิติ Guinness World Record

    บริษัท AgiBot จากเซี่ยงไฮ้ได้สร้างความฮือฮาในโลกหุ่นยนต์ โดยหุ่นยนต์ AgiBot A2 สามารถเดินต่อเนื่องได้ไกลถึง 66.04 ไมล์ (106.286 กิโลเมตร) โดยไม่หยุดพัก จนได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Record ว่าเป็นการเดินทางที่ยาวที่สุดของหุ่นยนต์มนุษย์ (humanoid robot).

    เส้นทางการเดินและความท้าทาย
    การเดินครั้งนี้เริ่มจาก Jinji Lake ในเมืองซูโจว ไปจนถึง North Bund ในเซี่ยงไฮ้ ครอบคลุมทั้งถนนในเมือง สะพาน ทางหลวง และทางเดินที่เปลี่ยว หุ่นยนต์สามารถเดินต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่เกิดการ shutdown หรือหยุดพัก ซึ่งถือว่าน่าทึ่งมาก เพราะก่อนหน้านี้หุ่นยนต์กว่า 70% ที่ร่วมวิ่งมาราธอนกับมนุษย์ไม่สามารถไปถึงเส้นชัยได้ เนื่องจากแบตหมด ความร้อนสูง หรือเดินไม่สมดุล.

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง AgiBot A2
    AgiBot A2 มีน้ำหนักประมาณ 152 ปอนด์ สูงราว 5.5 ฟุต ใช้แบตเตอรี่ 700Wh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ และทำงานต่อเนื่องได้ราว 2 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หุ่นยนต์ถูกออกแบบให้มี ระบบ ActionGPT ซึ่งเป็น AI แบบมัลติโหมด รองรับข้อความ ภาพ และเสียง ทำให้สามารถใช้งานในงานบริการ เช่น ต้อนรับลูกค้า หรือจัดแสดงในงานนิทรรศการได้ นอกจากนี้ยังมี กล้อง 6 ตัวและ LiDAR เพื่อมองเห็นรอบทิศทาง 360° และสามารถควบคุมจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน.

    การใช้งานเชิงพาณิชย์และอนาคต
    หุ่นยนต์รุ่นปรับแต่งพิเศษชื่อ A2-W ได้ถูกนำไปใช้ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของ Fulin Precision เพื่อขนย้ายวัสดุ ลดภาระงานซ้ำซากของมนุษย์ ปัจจุบัน AgiBot A2 ยังมีวางขายบนแพลตฟอร์ม JD ของจีน โดยรุ่น Youth Edition มีราคาอยู่ที่ประมาณ 27,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของหุ่นยนต์ Tesla Optimus ที่กำลังเป็นคู่แข่งในตลาด.

    สรุปสาระสำคัญ
    AgiBot A2 ทำสถิติ Guinness World Record
    เดินต่อเนื่องได้ไกลถึง 106.286 กิโลเมตร

    เส้นทางจาก Jinji Lake ถึง North Bund
    ครอบคลุมทั้งถนน สะพาน และทางหลวง

    ใช้ระบบ ActionGPT รองรับข้อความ ภาพ และเสียง
    เหมาะกับงานบริการและการจัดแสดง

    มี LiDAR และกล้อง 6 ตัวเพื่อการมองเห็นรอบทิศทาง
    สามารถควบคุมจากสมาร์ทโฟนได้

    รุ่น A2-W ถูกใช้งานในโรงงาน Fulin Precision
    ช่วยขนย้ายวัสดุ ลดงานซ้ำซากของมนุษย์

    มีวางขายบน JD China ราคาประมาณ 27,000 ดอลลาร์
    อยู่ในระดับเดียวกับ Tesla Optimus

    แบตเตอรี่ทำงานต่อเนื่องได้เพียง 2 ชั่วโมงต่อการชาร์จ
    ต้องเปลี่ยนแบตบ่อยเมื่อใช้งานจริง

    หุ่นยนต์ยังอยู่ในช่วงทดสอบและพัฒนา
    อาจยังไม่เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง

    https://www.slashgear.com/2036667/china-agibot-a2-humanoid-robot-guinness-world-record-longest-journey/
    🤖 หุ่นยนต์ AgiBot A2 จากจีน ทำสถิติ Guinness World Record บริษัท AgiBot จากเซี่ยงไฮ้ได้สร้างความฮือฮาในโลกหุ่นยนต์ โดยหุ่นยนต์ AgiBot A2 สามารถเดินต่อเนื่องได้ไกลถึง 66.04 ไมล์ (106.286 กิโลเมตร) โดยไม่หยุดพัก จนได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Record ว่าเป็นการเดินทางที่ยาวที่สุดของหุ่นยนต์มนุษย์ (humanoid robot). 🚶‍♂️ เส้นทางการเดินและความท้าทาย การเดินครั้งนี้เริ่มจาก Jinji Lake ในเมืองซูโจว ไปจนถึง North Bund ในเซี่ยงไฮ้ ครอบคลุมทั้งถนนในเมือง สะพาน ทางหลวง และทางเดินที่เปลี่ยว หุ่นยนต์สามารถเดินต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่เกิดการ shutdown หรือหยุดพัก ซึ่งถือว่าน่าทึ่งมาก เพราะก่อนหน้านี้หุ่นยนต์กว่า 70% ที่ร่วมวิ่งมาราธอนกับมนุษย์ไม่สามารถไปถึงเส้นชัยได้ เนื่องจากแบตหมด ความร้อนสูง หรือเดินไม่สมดุล. ⚙️ เทคโนโลยีเบื้องหลัง AgiBot A2 AgiBot A2 มีน้ำหนักประมาณ 152 ปอนด์ สูงราว 5.5 ฟุต ใช้แบตเตอรี่ 700Wh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ และทำงานต่อเนื่องได้ราว 2 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หุ่นยนต์ถูกออกแบบให้มี ระบบ ActionGPT ซึ่งเป็น AI แบบมัลติโหมด รองรับข้อความ ภาพ และเสียง ทำให้สามารถใช้งานในงานบริการ เช่น ต้อนรับลูกค้า หรือจัดแสดงในงานนิทรรศการได้ นอกจากนี้ยังมี กล้อง 6 ตัวและ LiDAR เพื่อมองเห็นรอบทิศทาง 360° และสามารถควบคุมจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน. 🏭 การใช้งานเชิงพาณิชย์และอนาคต หุ่นยนต์รุ่นปรับแต่งพิเศษชื่อ A2-W ได้ถูกนำไปใช้ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของ Fulin Precision เพื่อขนย้ายวัสดุ ลดภาระงานซ้ำซากของมนุษย์ ปัจจุบัน AgiBot A2 ยังมีวางขายบนแพลตฟอร์ม JD ของจีน โดยรุ่น Youth Edition มีราคาอยู่ที่ประมาณ 27,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของหุ่นยนต์ Tesla Optimus ที่กำลังเป็นคู่แข่งในตลาด. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ AgiBot A2 ทำสถิติ Guinness World Record ➡️ เดินต่อเนื่องได้ไกลถึง 106.286 กิโลเมตร ✅ เส้นทางจาก Jinji Lake ถึง North Bund ➡️ ครอบคลุมทั้งถนน สะพาน และทางหลวง ✅ ใช้ระบบ ActionGPT รองรับข้อความ ภาพ และเสียง ➡️ เหมาะกับงานบริการและการจัดแสดง ✅ มี LiDAR และกล้อง 6 ตัวเพื่อการมองเห็นรอบทิศทาง ➡️ สามารถควบคุมจากสมาร์ทโฟนได้ ✅ รุ่น A2-W ถูกใช้งานในโรงงาน Fulin Precision ➡️ ช่วยขนย้ายวัสดุ ลดงานซ้ำซากของมนุษย์ ✅ มีวางขายบน JD China ราคาประมาณ 27,000 ดอลลาร์ ➡️ อยู่ในระดับเดียวกับ Tesla Optimus ‼️ แบตเตอรี่ทำงานต่อเนื่องได้เพียง 2 ชั่วโมงต่อการชาร์จ ⛔ ต้องเปลี่ยนแบตบ่อยเมื่อใช้งานจริง ‼️ หุ่นยนต์ยังอยู่ในช่วงทดสอบและพัฒนา ⛔ อาจยังไม่เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง https://www.slashgear.com/2036667/china-agibot-a2-humanoid-robot-guinness-world-record-longest-journey/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Humanoid Robot Just Scored A Guinness World Record - SlashGear
    The A2 robot from Shanghai-based company AgiBot just set a Guinness World Record for being the first robot to accomplish a surprisingly human feat.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • RedMagic Astra เป็นแท็บเล็ตเกมมิ่งที่ออกแบบมาเป็นคู่แข่ง iPad mini

    RedMagic Astra ถูกออกแบบมาให้มีขนาดใกล้เคียงกับ iPad mini (หน้าจอ 9.06 นิ้ว) แต่ให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าในด้านการเล่นเกม ด้วย Snapdragon 8 Elite SoC และหน้าจอ OLED ที่รองรับรีเฟรชเรตสูงถึง 165Hz ทำให้การเล่นเกมลื่นไหลและภาพคมชัดมากขึ้น เหมาะสำหรับทั้งเกมแนวแข่งขันและเกมที่เน้นภาพสวยสมจริง.

    ประสิทธิภาพและระบบระบายความร้อน
    ผลการทดสอบ Geekbench แสดงให้เห็นว่า Astra ทำคะแนน single-core ได้สูงกว่าเรือธงหลายรุ่น และสามารถรักษาเฟรมเรตสูงสุดแม้เล่นเกมหนักอย่าง Call of Duty หรือ Real Racing 3 ต่อเนื่อง ระบบพัดลมในตัวช่วยลดความร้อนและรักษาความเสถียร โดยยังคงเสียงเงียบ ต่างจากมือถือเกมมิ่งรุ่นก่อนๆ ของ RedMagic.

    หน้าจอและเสียงที่ดึงดูดสายบันเทิง
    จุดเด่นอีกอย่างคือ หน้าจอ OLED ความสว่างสูงสุด 1600 nits ที่ยังมองเห็นได้ชัดแม้กลางแดด พร้อมความละเอียด 2400x1504 พิกเซล ทำให้เหมาะทั้งเล่นเกมและดูหนัง ส่วนลำโพงมีเสียงดังชัดเจน แม้คุณภาพไม่เทียบเท่า iPad แต่ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกมแข่งขันที่ต้องฟังเสียงรอบข้าง.

    แบตเตอรี่และฟีเจอร์เสริม
    แบตเตอรี่ขนาด 8200 mAh ใช้งานได้ทั้งวัน โดยสามารถชาร์จเต็มจาก 0–100% ในราว 71 นาที รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องโดยไม่ต้องพกพาวงจรชาร์จเสริม นอกจากนี้ยังมี Game Space ที่รวมเกมทั้งหมดไว้ในที่เดียว พร้อมฟีเจอร์เสริม เช่น crosshair overlay และ screen recording สำหรับสายแข่งขันหรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์.

    สรุปสาระสำคัญ
    จุดเด่นด้านฮาร์ดแวร์
    Snapdragon 8 Elite, หน้าจอ OLED 165Hz, พัดลมระบายความร้อน

    ประสิทธิภาพการเล่นเกม
    รันเกมหนักได้ลื่นไหล, เฟรมเรตคงที่, ไม่ร้อนมือ

    หน้าจอและเสียง
    OLED สว่าง 1600 nits, ลำโพงดังชัดเจน

    แบตเตอรี่และชาร์จเร็ว
    8200 mAh ใช้งานทั้งวัน, ชาร์จเต็มใน ~71 นาที

    ข้อจำกัดบางประการ
    กล้องคุณภาพกลางๆ, ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม., หนักกว่า iPad mini เล็กน้อย

    https://www.slashgear.com/2037491/redmagic-astra-gaming-tablet-review-ipad-alternative/
    🐉 RedMagic Astra เป็นแท็บเล็ตเกมมิ่งที่ออกแบบมาเป็นคู่แข่ง iPad mini RedMagic Astra ถูกออกแบบมาให้มีขนาดใกล้เคียงกับ iPad mini (หน้าจอ 9.06 นิ้ว) แต่ให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าในด้านการเล่นเกม ด้วย Snapdragon 8 Elite SoC และหน้าจอ OLED ที่รองรับรีเฟรชเรตสูงถึง 165Hz ทำให้การเล่นเกมลื่นไหลและภาพคมชัดมากขึ้น เหมาะสำหรับทั้งเกมแนวแข่งขันและเกมที่เน้นภาพสวยสมจริง. ⚡ ประสิทธิภาพและระบบระบายความร้อน ผลการทดสอบ Geekbench แสดงให้เห็นว่า Astra ทำคะแนน single-core ได้สูงกว่าเรือธงหลายรุ่น และสามารถรักษาเฟรมเรตสูงสุดแม้เล่นเกมหนักอย่าง Call of Duty หรือ Real Racing 3 ต่อเนื่อง ระบบพัดลมในตัวช่วยลดความร้อนและรักษาความเสถียร โดยยังคงเสียงเงียบ ต่างจากมือถือเกมมิ่งรุ่นก่อนๆ ของ RedMagic. 🔊 หน้าจอและเสียงที่ดึงดูดสายบันเทิง จุดเด่นอีกอย่างคือ หน้าจอ OLED ความสว่างสูงสุด 1600 nits ที่ยังมองเห็นได้ชัดแม้กลางแดด พร้อมความละเอียด 2400x1504 พิกเซล ทำให้เหมาะทั้งเล่นเกมและดูหนัง ส่วนลำโพงมีเสียงดังชัดเจน แม้คุณภาพไม่เทียบเท่า iPad แต่ก็เพียงพอสำหรับการเล่นเกมแข่งขันที่ต้องฟังเสียงรอบข้าง. 🔋 แบตเตอรี่และฟีเจอร์เสริม แบตเตอรี่ขนาด 8200 mAh ใช้งานได้ทั้งวัน โดยสามารถชาร์จเต็มจาก 0–100% ในราว 71 นาที รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องโดยไม่ต้องพกพาวงจรชาร์จเสริม นอกจากนี้ยังมี Game Space ที่รวมเกมทั้งหมดไว้ในที่เดียว พร้อมฟีเจอร์เสริม เช่น crosshair overlay และ screen recording สำหรับสายแข่งขันหรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จุดเด่นด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ Snapdragon 8 Elite, หน้าจอ OLED 165Hz, พัดลมระบายความร้อน ✅ ประสิทธิภาพการเล่นเกม ➡️ รันเกมหนักได้ลื่นไหล, เฟรมเรตคงที่, ไม่ร้อนมือ ✅ หน้าจอและเสียง ➡️ OLED สว่าง 1600 nits, ลำโพงดังชัดเจน ✅ แบตเตอรี่และชาร์จเร็ว ➡️ 8200 mAh ใช้งานทั้งวัน, ชาร์จเต็มใน ~71 นาที ‼️ ข้อจำกัดบางประการ ⛔ กล้องคุณภาพกลางๆ, ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม., หนักกว่า iPad mini เล็กน้อย https://www.slashgear.com/2037491/redmagic-astra-gaming-tablet-review-ipad-alternative/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    RedMagic Astra Gaming Tablet Review: More Than An iPad Mini Alternative - SlashGear
    The RedMagic Astra is the most powerful gaming tablet in the segment -- so why is it so (relatively) inexpensive?
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • โทรศัพท์ถูกแฮ็ก: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

    สมาร์ทโฟนในปัจจุบันถูกใช้ทั้งการสื่อสาร การเงิน และข้อมูลส่วนตัว ทำให้เป็นเป้าหมายสำคัญของแฮกเกอร์ แม้ระบบ Android และ iOS จะมีการพัฒนาเรื่องความปลอดภัย แต่การโจมตีผ่าน social engineering เช่น phishing ยังคงเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุด ผู้ใช้จึงควรระวังพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งบอกว่าเครื่องถูกเจาะระบบแล้ว.

    อาการที่บ่งบอกว่าเครื่องอาจถูกเจาะ
    หนึ่งในสัญญาณที่พบบ่อยคือ แอปที่ไม่รู้จักโผล่มาเอง หรือโฆษณาป๊อปอัพที่น่ารำคาญ ซึ่งอาจเป็น adware หรือ trojan ที่ขโมยข้อมูลส่วนตัว นอกจากนี้ แบตหมดเร็วและเครื่องทำงานช้า อาจเกิดจาก malware ที่แอบใช้พลังประมวลผลเพื่อขุดคริปโต (cryptojacking) หรือ spyware ที่ทำงานเบื้องหลังโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว.

    ข้อความและการเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัย
    อีกสัญญาณที่ควรจับตาคือ ข้อความหรืออีเมลที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะที่มีลิงก์ให้กด ซึ่งเป็นวิธี phishing ที่ทำให้ผู้ใช้หลงกรอกข้อมูลส่วนตัว รวมถึงการแจ้งเตือนเข้าสู่ระบบที่ไม่ได้ร้องขอ หากผู้ใช้เผลอกด “Allow” อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงบัญชีได้ทันที.

    วิธีรับมือและป้องกัน
    หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบ ลบแอปต้องสงสัย เปลี่ยนรหัสผ่าน และตรวจสอบการตั้งค่าเครื่อง Android มี Google Play Protect ที่ช่วยสแกนแอป ส่วน iOS แม้จะปลอดภัยกว่า แต่ก็ยังต้องอัปเดตระบบให้ทันสมัยเสมอ หากยังสงสัยว่ามีมัลแวร์ ควรทำ factory reset เพื่อคืนค่าเครื่องให้สะอาดและปลอดภัย.

    สรุปสาระสำคัญ
    สัญญาณที่บ่งบอกว่าเครื่องถูกเจาะ
    แอปไม่รู้จัก, โฆษณาป๊อปอัพ, เครื่องช้า, แบตหมดเร็ว, ข้อความน่าสงสัย

    วิธีตรวจสอบเบื้องต้น
    ใช้ Google Play Protect, ตรวจสอบการใช้แบต, สังเกตการแจ้งเตือนเข้าสู่ระบบ

    การป้องกันที่ควรทำ
    อัปเดตระบบ, ใช้แอนติไวรัส, หลีกเลี่ยงการกดลิงก์จากแหล่งไม่รู้จัก

    ความเสี่ยงจากมัลแวร์
    Cryptojacking ใช้พลังเครื่องขุดคริปโต, Spyware และ Keylogger แอบเก็บข้อมูล

    ความเสี่ยงจาก phishing
    ข้อความหลอกลวงอาจทำให้ผู้ใช้เสียรหัสผ่านและข้อมูลการเงิน

    https://www.slashgear.com/2034632/signs-your-phone-hacked/
    📱 โทรศัพท์ถูกแฮ็ก: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม สมาร์ทโฟนในปัจจุบันถูกใช้ทั้งการสื่อสาร การเงิน และข้อมูลส่วนตัว ทำให้เป็นเป้าหมายสำคัญของแฮกเกอร์ แม้ระบบ Android และ iOS จะมีการพัฒนาเรื่องความปลอดภัย แต่การโจมตีผ่าน social engineering เช่น phishing ยังคงเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุด ผู้ใช้จึงควรระวังพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งบอกว่าเครื่องถูกเจาะระบบแล้ว. ⚡ อาการที่บ่งบอกว่าเครื่องอาจถูกเจาะ หนึ่งในสัญญาณที่พบบ่อยคือ แอปที่ไม่รู้จักโผล่มาเอง หรือโฆษณาป๊อปอัพที่น่ารำคาญ ซึ่งอาจเป็น adware หรือ trojan ที่ขโมยข้อมูลส่วนตัว นอกจากนี้ แบตหมดเร็วและเครื่องทำงานช้า อาจเกิดจาก malware ที่แอบใช้พลังประมวลผลเพื่อขุดคริปโต (cryptojacking) หรือ spyware ที่ทำงานเบื้องหลังโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว. 📩 ข้อความและการเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัย อีกสัญญาณที่ควรจับตาคือ ข้อความหรืออีเมลที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะที่มีลิงก์ให้กด ซึ่งเป็นวิธี phishing ที่ทำให้ผู้ใช้หลงกรอกข้อมูลส่วนตัว รวมถึงการแจ้งเตือนเข้าสู่ระบบที่ไม่ได้ร้องขอ หากผู้ใช้เผลอกด “Allow” อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงบัญชีได้ทันที. 🛡️ วิธีรับมือและป้องกัน หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบ ลบแอปต้องสงสัย เปลี่ยนรหัสผ่าน และตรวจสอบการตั้งค่าเครื่อง Android มี Google Play Protect ที่ช่วยสแกนแอป ส่วน iOS แม้จะปลอดภัยกว่า แต่ก็ยังต้องอัปเดตระบบให้ทันสมัยเสมอ หากยังสงสัยว่ามีมัลแวร์ ควรทำ factory reset เพื่อคืนค่าเครื่องให้สะอาดและปลอดภัย. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สัญญาณที่บ่งบอกว่าเครื่องถูกเจาะ ➡️ แอปไม่รู้จัก, โฆษณาป๊อปอัพ, เครื่องช้า, แบตหมดเร็ว, ข้อความน่าสงสัย ✅ วิธีตรวจสอบเบื้องต้น ➡️ ใช้ Google Play Protect, ตรวจสอบการใช้แบต, สังเกตการแจ้งเตือนเข้าสู่ระบบ ✅ การป้องกันที่ควรทำ ➡️ อัปเดตระบบ, ใช้แอนติไวรัส, หลีกเลี่ยงการกดลิงก์จากแหล่งไม่รู้จัก ‼️ ความเสี่ยงจากมัลแวร์ ⛔ Cryptojacking ใช้พลังเครื่องขุดคริปโต, Spyware และ Keylogger แอบเก็บข้อมูล ‼️ ความเสี่ยงจาก phishing ⛔ ข้อความหลอกลวงอาจทำให้ผู้ใช้เสียรหัสผ่านและข้อมูลการเงิน https://www.slashgear.com/2034632/signs-your-phone-hacked/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    6 Signs Your Phone Was Hacked - SlashGear
    If your'e worried about the prospect of someone gaining access to your phone without your authorization, look for these tell-tale signs of a hack.
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกงานอย่างไม่คาดคิด

    รายงานจาก World Economic Forum ระบุว่า AI จะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงงานทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีการสร้างงานใหม่กว่า 170 ล้านตำแหน่ง แต่ก็จะสูญเสียไปกว่า 92 ล้านตำแหน่งในเวลาเดียวกัน งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานที่มีลักษณะซ้ำๆ ซึ่งกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติและ AI-powered agents

    บริษัทใหญ่เช่น IBM และ Meta ได้เริ่มลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ไม่ใช่สายเทคนิค โดย IBM ถึงขั้นใช้ AI แทนพนักงาน HR ในบางส่วน ขณะที่ Walmart ก็ยืนยันว่า “ทุกงานจะเปลี่ยนไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่งานที่ยังคงอยู่ก็จะถูกปรับเปลี่ยนด้วย AI

    งานใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเติบโตของ AI
    แม้จะมีการลดตำแหน่งงาน แต่ AI ก็สร้างโอกาสใหม่เช่นกัน โดยเฉพาะ Prompt Engineer, Automation Specialist และงานที่เน้น Critical Thinking ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีความต้องการแรงงานฝีมือ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ และช่างประปา เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI

    นอกเหนือจากงานสายเทคนิคแล้ว หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่การเก็บผลไม้ ทำกาแฟ ไปจนถึงการทำงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ แต่ก็ทำให้แรงงานที่มีการศึกษาน้อยถูกแทนที่มากขึ้น

    ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน
    แม้ AI จะสร้างงานใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้มีลักษณะ ไม่สมดุล โดยงานที่ต้องใช้การตัดสินใจและการคิดเชิงวิพากษ์ยังคงมีความต้องการสูง ขณะที่งานที่ซ้ำๆ และใช้แรงงานพื้นฐานกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลาง St. Louis ชี้ว่า หุ่นยนต์มักแทนที่แรงงานที่มีการศึกษาต่ำ และแนวโน้มนี้จะขยายไปยังสายการผลิต เช่น การใช้แขนกลในการเคลื่อนย้ายวัสดุในโรงงาน

    สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า AI จะเป็นผลบวกสุทธิหรือไม่ต่อการจ้างงาน เพราะแม้จะมีการสร้างงานใหม่ แต่จำนวนงานที่หายไปและความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจทำให้แรงงานจำนวนมากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

    สรุปสาระสำคัญ
    AI สร้างและทำลายงานพร้อมกัน
    170 ล้านงานใหม่ แต่ 92 ล้านงานหายไป

    งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
    เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานซ้ำๆ

    บริษัทใหญ่เริ่มใช้ AI แทนคน
    IBM ใช้ AI แทน HR, Walmart ยืนยันทุกงานจะเปลี่ยน

    งานใหม่ที่เกิดขึ้น
    Prompt Engineer, Automation Specialist, ช่างไฟฟ้า และงานที่ใช้ Critical Thinking

    ความเสี่ยงต่อแรงงานการศึกษาต่ำ
    หุ่นยนต์แทนที่งานซ้ำๆ เช่น การผลิตและงานบริการ

    ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน
    แม้มีงานใหม่ แต่ความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจเพิ่มขึ้น

    https://www.slashgear.com/2034261/artificial-intelligence-middle-management-job-layoffs/
    🤖 AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกงานอย่างไม่คาดคิด รายงานจาก World Economic Forum ระบุว่า AI จะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงงานทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีการสร้างงานใหม่กว่า 170 ล้านตำแหน่ง แต่ก็จะสูญเสียไปกว่า 92 ล้านตำแหน่งในเวลาเดียวกัน งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานที่มีลักษณะซ้ำๆ ซึ่งกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติและ AI-powered agents บริษัทใหญ่เช่น IBM และ Meta ได้เริ่มลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ไม่ใช่สายเทคนิค โดย IBM ถึงขั้นใช้ AI แทนพนักงาน HR ในบางส่วน ขณะที่ Walmart ก็ยืนยันว่า “ทุกงานจะเปลี่ยนไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่งานที่ยังคงอยู่ก็จะถูกปรับเปลี่ยนด้วย AI 🛠️ งานใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเติบโตของ AI แม้จะมีการลดตำแหน่งงาน แต่ AI ก็สร้างโอกาสใหม่เช่นกัน โดยเฉพาะ Prompt Engineer, Automation Specialist และงานที่เน้น Critical Thinking ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีความต้องการแรงงานฝีมือ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ และช่างประปา เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI นอกเหนือจากงานสายเทคนิคแล้ว หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่การเก็บผลไม้ ทำกาแฟ ไปจนถึงการทำงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ แต่ก็ทำให้แรงงานที่มีการศึกษาน้อยถูกแทนที่มากขึ้น ⚠️ ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน แม้ AI จะสร้างงานใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้มีลักษณะ ไม่สมดุล โดยงานที่ต้องใช้การตัดสินใจและการคิดเชิงวิพากษ์ยังคงมีความต้องการสูง ขณะที่งานที่ซ้ำๆ และใช้แรงงานพื้นฐานกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลาง St. Louis ชี้ว่า หุ่นยนต์มักแทนที่แรงงานที่มีการศึกษาต่ำ และแนวโน้มนี้จะขยายไปยังสายการผลิต เช่น การใช้แขนกลในการเคลื่อนย้ายวัสดุในโรงงาน สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า AI จะเป็นผลบวกสุทธิหรือไม่ต่อการจ้างงาน เพราะแม้จะมีการสร้างงานใหม่ แต่จำนวนงานที่หายไปและความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจทำให้แรงงานจำนวนมากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ AI สร้างและทำลายงานพร้อมกัน ➡️ 170 ล้านงานใหม่ แต่ 92 ล้านงานหายไป ✅ งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ➡️ เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานซ้ำๆ ✅ บริษัทใหญ่เริ่มใช้ AI แทนคน ➡️ IBM ใช้ AI แทน HR, Walmart ยืนยันทุกงานจะเปลี่ยน ✅ งานใหม่ที่เกิดขึ้น ➡️ Prompt Engineer, Automation Specialist, ช่างไฟฟ้า และงานที่ใช้ Critical Thinking ‼️ ความเสี่ยงต่อแรงงานการศึกษาต่ำ ⛔ หุ่นยนต์แทนที่งานซ้ำๆ เช่น การผลิตและงานบริการ ‼️ ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน ⛔ แม้มีงานใหม่ แต่ความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจเพิ่มขึ้น https://www.slashgear.com/2034261/artificial-intelligence-middle-management-job-layoffs/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Jobs AI Is Taking First Aren't The Ones You Might Expect - SlashGear
    Artificial intelligence has many worried about its impact on the job market, but you may be surprised how things are going.
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • Google เตือนภัย: VPN ปลอมระบาด อันตรายกว่าที่คิด

    การใช้งาน VPN กลายเป็นเรื่องปกติในยุคดิจิทัล โดยมีผู้ใช้ชาวอเมริกันกว่า 43% ติดตั้งเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัด อย่างไรก็ตาม Google ได้ออกคำเตือนล่าสุดว่ามีแอป VPN ปลอมที่แฝงตัวมาในรูปแบบคล้ายของจริง แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเงินของผู้ใช้ได้

    VPN ปลอมเหล่านี้มักใช้กลยุทธ์ทางสังคม เช่น โฆษณาเชิงยั่วยุ หรืออ้างเหตุการณ์ทางการเมืองเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้ติดตั้ง เมื่อได้รับสิทธิ์เข้าถึงระบบแล้ว แอปเหล่านี้สามารถฝัง payload อันตราย เช่น banking trojan ที่เจาะข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือแม้กระทั่งเลี่ยงการยืนยันตัวตนแบบ 2FA ได้ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผู้ใช้ทั่วไป

    Google ยืนยันว่ามีการใช้ระบบ Machine Learning ใน Google Play และ Android เพื่อกรองแอปอันตราย แต่ผู้ใช้ยังคงต้องระวัง โดยเฉพาะการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ (sideloading) ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้แพร่กระจาย VPN ปลอม นอกจากนี้ การตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ เช่น การเข้าถึง SMS หรือรายชื่อผู้ติดต่อ ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

    การป้องกันตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก หากผู้ใช้เปิดใช้งาน Google Play Protect หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ และใช้แอนติไวรัสควบคู่ ก็สามารถลดความเสี่ยงได้มาก อีกทั้งควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของโทรศัพท์ เช่น แบตหมดเร็วหรือการทำงานช้าลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่ามีมัลแวร์แฝงอยู่

    สรุปสาระสำคัญ
    การใช้งาน VPN เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยและเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัด

    Google เตือนภัย VPN ปลอม
    แอปปลอมแฝงตัวเป็น VPN แต่แท้จริงคือมัลแวร์ เช่น banking trojan และ info-stealer

    ระบบป้องกันจาก Google
    ใช้ Machine Learning ใน Google Play และ Android เพื่อกรองแอปอันตราย

    วิธีป้องกันตัวเอง
    เปิด Google Play Protect, หลีกเลี่ยง sideloading, ใช้แอนติไวรัส และตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ

    ความเสี่ยงจาก VPN ปลอม
    สามารถขโมยข้อมูลการเงิน, bypass 2FA, และเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้

    พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ และการอนุญาตสิทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ VPN

    https://www.slashgear.com/2033881/google-warning-fake-vpn-scam/
    🛡️ Google เตือนภัย: VPN ปลอมระบาด อันตรายกว่าที่คิด การใช้งาน VPN กลายเป็นเรื่องปกติในยุคดิจิทัล โดยมีผู้ใช้ชาวอเมริกันกว่า 43% ติดตั้งเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัด อย่างไรก็ตาม Google ได้ออกคำเตือนล่าสุดว่ามีแอป VPN ปลอมที่แฝงตัวมาในรูปแบบคล้ายของจริง แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเงินของผู้ใช้ได้ VPN ปลอมเหล่านี้มักใช้กลยุทธ์ทางสังคม เช่น โฆษณาเชิงยั่วยุ หรืออ้างเหตุการณ์ทางการเมืองเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้ติดตั้ง เมื่อได้รับสิทธิ์เข้าถึงระบบแล้ว แอปเหล่านี้สามารถฝัง payload อันตราย เช่น banking trojan ที่เจาะข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือแม้กระทั่งเลี่ยงการยืนยันตัวตนแบบ 2FA ได้ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผู้ใช้ทั่วไป Google ยืนยันว่ามีการใช้ระบบ Machine Learning ใน Google Play และ Android เพื่อกรองแอปอันตราย แต่ผู้ใช้ยังคงต้องระวัง โดยเฉพาะการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ (sideloading) ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่แฮกเกอร์ใช้แพร่กระจาย VPN ปลอม นอกจากนี้ การตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ เช่น การเข้าถึง SMS หรือรายชื่อผู้ติดต่อ ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม การป้องกันตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก หากผู้ใช้เปิดใช้งาน Google Play Protect หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ และใช้แอนติไวรัสควบคู่ ก็สามารถลดความเสี่ยงได้มาก อีกทั้งควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของโทรศัพท์ เช่น แบตหมดเร็วหรือการทำงานช้าลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่ามีมัลแวร์แฝงอยู่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การใช้งาน VPN เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ 43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยและเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัด ✅ Google เตือนภัย VPN ปลอม ➡️ แอปปลอมแฝงตัวเป็น VPN แต่แท้จริงคือมัลแวร์ เช่น banking trojan และ info-stealer ✅ ระบบป้องกันจาก Google ➡️ ใช้ Machine Learning ใน Google Play และ Android เพื่อกรองแอปอันตราย ✅ วิธีป้องกันตัวเอง ➡️ เปิด Google Play Protect, หลีกเลี่ยง sideloading, ใช้แอนติไวรัส และตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ ‼️ ความเสี่ยงจาก VPN ปลอม ⛔ สามารถขโมยข้อมูลการเงิน, bypass 2FA, และเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ ‼️ พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ⛔ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ และการอนุญาตสิทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ VPN https://www.slashgear.com/2033881/google-warning-fake-vpn-scam/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Warns Users: Don't Fall For This Dangerous VPN Scam - SlashGear
    Google has put out some safety tips to help internet users avoid potentially dangerous fake VPN services that can scam them out of private data and money.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • ทำไมไม่ควรใช้น้ำยาเช็ดกระจกกับทีวี

    ทีวีรุ่นเก่า (CRT) ใช้กระจกหนาและทนทาน จึงสามารถเช็ดด้วยน้ำยาเช็ดกระจกได้ แต่ทีวีสมัยใหม่ เช่น LCD, OLED, Plasma มีการเคลือบผิวพิเศษเพื่อกันแสงสะท้อนและเพิ่มคุณภาพภาพ หากใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีสาร แอมโมเนีย, เบนซีน หรือแอลกอฮอล์ จะทำให้สารเคลือบเสื่อมสภาพ เกิดรอยเหลืองหรือหมองถาวร

    ความเสี่ยงจากการทำความสะอาดผิดวิธี
    นอกจากสารเคมีแล้ว การใช้ กระดาษทิชชู่หรือผ้าใยหยาบ อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนหน้าจอ อีกทั้งการกดแรงเกินไปอาจทำให้ ผลึกเหลว (Liquid Crystals) ในจอ LCD เสียหาย ส่งผลให้ภาพผิดเพี้ยนหรือจอเสียหายถาวร

    วิธีทำความสะอาดที่ถูกต้อง
    ผู้ผลิตทีวีแนะนำให้ใช้:
    ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้ง เช็ดฝุ่นเบา ๆ
    หากมีคราบ ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำสะอาดหมาด ๆ เช็ดอย่างเบามือ
    หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำหรือสเปรย์ตรงหน้าจอ ควรฉีดลงบนผ้าแทน
    ไม่ใช้สารเคมีแรง ๆ เช่น น้ำยาเช็ดกระจก, สบู่, ผงซักฟอก หรือแอลกอฮอล์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ทีวีรุ่นใหม่มีการเคลือบผิวพิเศษ น้ำยาเช็ดกระจกทำลายสารเคลือบและทำให้จอเหลือง/หมอง

    การกดแรงหรือใช้ผ้าไม่เหมาะสม อาจทำให้จอ LCD เสียหายถาวร

    วิธีที่ถูกต้อง ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้งหรือหมาด ๆ เช็ดเบา ๆ

    สิ่งที่ไม่ควรทำ ห้ามใช้น้ำยาเช็ดกระจก, สบู่, แอลกอฮอล์ หรือฉีดน้ำตรงหน้าจอ

    https://www.slashgear.com/2019859/can-you-use-glass-cleaner-on-tv-bad-idea-reason/
    🖥️ ทำไมไม่ควรใช้น้ำยาเช็ดกระจกกับทีวี ทีวีรุ่นเก่า (CRT) ใช้กระจกหนาและทนทาน จึงสามารถเช็ดด้วยน้ำยาเช็ดกระจกได้ แต่ทีวีสมัยใหม่ เช่น LCD, OLED, Plasma มีการเคลือบผิวพิเศษเพื่อกันแสงสะท้อนและเพิ่มคุณภาพภาพ หากใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีสาร แอมโมเนีย, เบนซีน หรือแอลกอฮอล์ จะทำให้สารเคลือบเสื่อมสภาพ เกิดรอยเหลืองหรือหมองถาวร ⚠️ ความเสี่ยงจากการทำความสะอาดผิดวิธี นอกจากสารเคมีแล้ว การใช้ กระดาษทิชชู่หรือผ้าใยหยาบ อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนหน้าจอ อีกทั้งการกดแรงเกินไปอาจทำให้ ผลึกเหลว (Liquid Crystals) ในจอ LCD เสียหาย ส่งผลให้ภาพผิดเพี้ยนหรือจอเสียหายถาวร 🔧 วิธีทำความสะอาดที่ถูกต้อง ผู้ผลิตทีวีแนะนำให้ใช้: 🧽 ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้ง เช็ดฝุ่นเบา ๆ 🧽 หากมีคราบ ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำสะอาดหมาด ๆ เช็ดอย่างเบามือ 🧽 หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำหรือสเปรย์ตรงหน้าจอ ควรฉีดลงบนผ้าแทน 🧽 ไม่ใช้สารเคมีแรง ๆ เช่น น้ำยาเช็ดกระจก, สบู่, ผงซักฟอก หรือแอลกอฮอล์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ทีวีรุ่นใหม่มีการเคลือบผิวพิเศษ ➡️ น้ำยาเช็ดกระจกทำลายสารเคลือบและทำให้จอเหลือง/หมอง ✅ การกดแรงหรือใช้ผ้าไม่เหมาะสม ➡️ อาจทำให้จอ LCD เสียหายถาวร ✅ วิธีที่ถูกต้อง ➡️ ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้งหรือหมาด ๆ เช็ดเบา ๆ ‼️ สิ่งที่ไม่ควรทำ ⛔ ห้ามใช้น้ำยาเช็ดกระจก, สบู่, แอลกอฮอล์ หรือฉีดน้ำตรงหน้าจอ https://www.slashgear.com/2019859/can-you-use-glass-cleaner-on-tv-bad-idea-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Why Using Glass Cleaner On Your TV Is Never A Good Idea - SlashGear
    Old televisions had a thick glass screen, meaning glass cleaner wouldn't do much harm. There are multiple reasons why that's not a good idea for modern TVs.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • วิธีตรวจสอบว่า รหัสผ่าน Gmail ถูกเปิดเผยจากการรั่วไหลข้อมูลหรือไม่

    บทความนี้อธิบายวิธีตรวจสอบว่า รหัสผ่าน Gmail ถูกเปิดเผยจากการรั่วไหลข้อมูลหรือไม่ พร้อมแนวทางแก้ไขและเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของบัญชี Google

    วิธีตรวจสอบผ่าน Google Password Checkup
    Google มีบริการ Password Checkup ที่ช่วยตรวจสอบว่ารหัสผ่านของคุณเคยถูกเปิดเผยในเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ โดยเมื่อเข้าสู่ระบบและกด “Check Passwords” ระบบจะสแกนบัญชีและแสดงรายการเว็บไซต์ที่มีรหัสผ่านถูกเปิดเผย หากพบ Gmail อยู่ในรายการ จะมีปุ่ม “Change password” เพื่อเปลี่ยนรหัสผ่านทันที

    เครื่องมือจาก Third-party
    นอกจาก Google แล้ว ยังมีเว็บไซต์และบริการที่ช่วยตรวจสอบ เช่น Have I Been Pwned, Avast Hack Check, LeakCheck, ScatteredSecrets และ F-Secure Identity Theft Checker เพียงกรอกอีเมล Gmail ระบบจะแสดงว่ามีข้อมูลของคุณอยู่ในฐานข้อมูลการรั่วไหลหรือไม่ นอกจากนี้ Password Manager หลายเจ้า เช่น 1Password, Bitwarden, Dashlane และ NordPass ก็มีฟีเจอร์ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ

    แนวทางแก้ไขและการป้องกัน
    หากพบว่ารหัสผ่านถูกเปิดเผย ควรเปลี่ยนรหัสทันทีเป็นรหัสที่ แข็งแรงและไม่ซ้ำกับบริการอื่น พร้อมเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) หรือ Google Passkeys เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัย นอกจากนี้ควรตรวจสอบและเปลี่ยนรหัสผ่านของบริการอื่น ๆ ที่ใช้รหัสเดียวกัน เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Credential Stuffing

    แนวโน้มภัยคุกคาม
    การรั่วไหลข้อมูลเกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุคดิจิทัล ทำให้ผู้ใช้ Gmail เสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว การใช้เครื่องมือเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น และการอัปเดตพฤติกรรมด้านความปลอดภัย เช่น ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำ และใช้ Password Manager จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Google Password Checkup
    ตรวจสอบรหัสผ่าน Gmail ที่อาจถูกเปิดเผย พร้อมเปลี่ยนรหัสผ่านทันที

    Third-party Tools
    เช่น Have I Been Pwned, Avast Hack Check, LeakCheck, ScatteredSecrets, F-Secure

    Password Manager
    มีฟีเจอร์ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะและช่วยสร้างรหัสที่แข็งแรง

    การป้องกันเพิ่มเติม
    ใช้รหัสผ่านแข็งแรง, เปิด 2FA หรือ Passkeys, ไม่ใช้รหัสซ้ำ

    ความเสี่ยงจากการรั่วไหลข้อมูล
    หากไม่เปลี่ยนรหัสผ่าน อาจถูกโจมตีแบบ Credential Stuffing หรือเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.slashgear.com/2033025/gmail-password-how-to-know-compromised-data-leak/
    🔐 วิธีตรวจสอบว่า รหัสผ่าน Gmail ถูกเปิดเผยจากการรั่วไหลข้อมูลหรือไม่ บทความนี้อธิบายวิธีตรวจสอบว่า รหัสผ่าน Gmail ถูกเปิดเผยจากการรั่วไหลข้อมูลหรือไม่ พร้อมแนวทางแก้ไขและเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของบัญชี Google 🔍 วิธีตรวจสอบผ่าน Google Password Checkup Google มีบริการ Password Checkup ที่ช่วยตรวจสอบว่ารหัสผ่านของคุณเคยถูกเปิดเผยในเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ โดยเมื่อเข้าสู่ระบบและกด “Check Passwords” ระบบจะสแกนบัญชีและแสดงรายการเว็บไซต์ที่มีรหัสผ่านถูกเปิดเผย หากพบ Gmail อยู่ในรายการ จะมีปุ่ม “Change password” เพื่อเปลี่ยนรหัสผ่านทันที 🌐 เครื่องมือจาก Third-party นอกจาก Google แล้ว ยังมีเว็บไซต์และบริการที่ช่วยตรวจสอบ เช่น Have I Been Pwned, Avast Hack Check, LeakCheck, ScatteredSecrets และ F-Secure Identity Theft Checker เพียงกรอกอีเมล Gmail ระบบจะแสดงว่ามีข้อมูลของคุณอยู่ในฐานข้อมูลการรั่วไหลหรือไม่ นอกจากนี้ Password Manager หลายเจ้า เช่น 1Password, Bitwarden, Dashlane และ NordPass ก็มีฟีเจอร์ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ 🔒 แนวทางแก้ไขและการป้องกัน หากพบว่ารหัสผ่านถูกเปิดเผย ควรเปลี่ยนรหัสทันทีเป็นรหัสที่ แข็งแรงและไม่ซ้ำกับบริการอื่น พร้อมเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) หรือ Google Passkeys เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัย นอกจากนี้ควรตรวจสอบและเปลี่ยนรหัสผ่านของบริการอื่น ๆ ที่ใช้รหัสเดียวกัน เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Credential Stuffing 📈 แนวโน้มภัยคุกคาม การรั่วไหลข้อมูลเกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุคดิจิทัล ทำให้ผู้ใช้ Gmail เสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว การใช้เครื่องมือเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น และการอัปเดตพฤติกรรมด้านความปลอดภัย เช่น ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำ และใช้ Password Manager จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Google Password Checkup ➡️ ตรวจสอบรหัสผ่าน Gmail ที่อาจถูกเปิดเผย พร้อมเปลี่ยนรหัสผ่านทันที ✅ Third-party Tools ➡️ เช่น Have I Been Pwned, Avast Hack Check, LeakCheck, ScatteredSecrets, F-Secure ✅ Password Manager ➡️ มีฟีเจอร์ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะและช่วยสร้างรหัสที่แข็งแรง ✅ การป้องกันเพิ่มเติม ➡️ ใช้รหัสผ่านแข็งแรง, เปิด 2FA หรือ Passkeys, ไม่ใช้รหัสซ้ำ ‼️ ความเสี่ยงจากการรั่วไหลข้อมูล ⛔ หากไม่เปลี่ยนรหัสผ่าน อาจถูกโจมตีแบบ Credential Stuffing หรือเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.slashgear.com/2033025/gmail-password-how-to-know-compromised-data-leak/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Check If Your Gmail Account Password Has Been Compromised In Any Massive Leaks - SlashGear
    You can check whether your Gmail password has been compromised using Google’s Password Checkup or third-party breach scanners that flag leaked credentials.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • Firefox VPN: ความพยายามกลับมาของ Mozilla

    Mozilla เคยเป็นเบราว์เซอร์ยอดนิยมในปี 2009 ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 30% แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2.2% เทียบกับ Chrome ที่ครองกว่า 73% เพื่อเรียกความสนใจกลับมา Mozilla จึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Firefox VPN ที่ฝังอยู่ในเบราว์เซอร์ โดยให้ผู้ใช้บางกลุ่มทดลองใช้งานฟรี

    วิธีการทำงานของ Firefox VPN
    เมื่อเปิดใช้งาน Firefox VPN ข้อมูลการท่องเว็บจะถูกส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่ Mozilla จัดการเอง ทำให้ IP ถูกซ่อนและข้อมูลถูกเข้ารหัส เหมาะสำหรับการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ นอกจากนี้ยังไม่มีการจำกัดความเร็วหรือปริมาณข้อมูล ทำให้สามารถเปิดใช้งานได้ตลอดเวลาโดยไม่กระทบประสบการณ์การใช้งาน

    ข้อจำกัดของบริการ
    แม้จะมีข้อดี แต่ Firefox VPN ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น:
    เชื่อมต่อเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด → ไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัดภูมิภาค (เช่น Netflix)
    ปกป้องเฉพาะข้อมูลที่ส่งผ่านเบราว์เซอร์ → แอปอื่น ๆ บนเครื่อง เช่น Cloud Storage จะไม่ถูกเข้ารหัส
    ยังอยู่ใน Beta stage และเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้ใช้บางกลุ่มเท่านั้น

    การแข่งขันกับเบราว์เซอร์อื่น
    Firefox ไม่ใช่เบราว์เซอร์เดียวที่มี VPN ในตัว เช่น Microsoft Edge Secure Network VPN ที่ให้ฟรี 5GB ต่อเดือน และ Opera VPN ที่เปิดให้ใช้งานมานานแล้ว การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงเป็นการยกระดับ Firefox ให้แข่งขันได้ในตลาดที่ Chrome ครองความเป็นผู้นำ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Firefox VPN เปิดตัวใน Beta
    ให้ผู้ใช้บางกลุ่มทดลองใช้งานฟรี

    ข้อดีของ Firefox VPN
    เข้ารหัสข้อมูล, ซ่อน IP, ไม่มีจำกัดความเร็วหรือปริมาณข้อมูล

    ข้อจำกัดของบริการ
    ใช้ได้เฉพาะในเบราว์เซอร์, ไม่เปลี่ยนตำแหน่ง, ไม่ปกป้องแอปอื่น

    คู่แข่งในตลาด
    Edge VPN (5GB ฟรี/เดือน), Opera VPN

    ความเสี่ยงหากเข้าใจผิดว่าเป็น VPN เต็มรูปแบบ
    ผู้ใช้บางคนอาจคิดว่าสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัดภูมิภาคได้ แต่จริง ๆ ไม่สามารถทำได้

    https://www.slashgear.com/2032906/mozilla-comeback-with-firefox-vpn-free-service/
    🦊 Firefox VPN: ความพยายามกลับมาของ Mozilla Mozilla เคยเป็นเบราว์เซอร์ยอดนิยมในปี 2009 ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 30% แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2.2% เทียบกับ Chrome ที่ครองกว่า 73% เพื่อเรียกความสนใจกลับมา Mozilla จึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Firefox VPN ที่ฝังอยู่ในเบราว์เซอร์ โดยให้ผู้ใช้บางกลุ่มทดลองใช้งานฟรี 🔒 วิธีการทำงานของ Firefox VPN เมื่อเปิดใช้งาน Firefox VPN ข้อมูลการท่องเว็บจะถูกส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่ Mozilla จัดการเอง ทำให้ IP ถูกซ่อนและข้อมูลถูกเข้ารหัส เหมาะสำหรับการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ นอกจากนี้ยังไม่มีการจำกัดความเร็วหรือปริมาณข้อมูล ทำให้สามารถเปิดใช้งานได้ตลอดเวลาโดยไม่กระทบประสบการณ์การใช้งาน ⚠️ ข้อจำกัดของบริการ แม้จะมีข้อดี แต่ Firefox VPN ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น: 🌉 เชื่อมต่อเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด → ไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัดภูมิภาค (เช่น Netflix) 🌉 ปกป้องเฉพาะข้อมูลที่ส่งผ่านเบราว์เซอร์ → แอปอื่น ๆ บนเครื่อง เช่น Cloud Storage จะไม่ถูกเข้ารหัส 🌉 ยังอยู่ใน Beta stage และเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้ใช้บางกลุ่มเท่านั้น 🌐 การแข่งขันกับเบราว์เซอร์อื่น Firefox ไม่ใช่เบราว์เซอร์เดียวที่มี VPN ในตัว เช่น Microsoft Edge Secure Network VPN ที่ให้ฟรี 5GB ต่อเดือน และ Opera VPN ที่เปิดให้ใช้งานมานานแล้ว การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงเป็นการยกระดับ Firefox ให้แข่งขันได้ในตลาดที่ Chrome ครองความเป็นผู้นำ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Firefox VPN เปิดตัวใน Beta ➡️ ให้ผู้ใช้บางกลุ่มทดลองใช้งานฟรี ✅ ข้อดีของ Firefox VPN ➡️ เข้ารหัสข้อมูล, ซ่อน IP, ไม่มีจำกัดความเร็วหรือปริมาณข้อมูล ✅ ข้อจำกัดของบริการ ➡️ ใช้ได้เฉพาะในเบราว์เซอร์, ไม่เปลี่ยนตำแหน่ง, ไม่ปกป้องแอปอื่น ✅ คู่แข่งในตลาด ➡️ Edge VPN (5GB ฟรี/เดือน), Opera VPN ‼️ ความเสี่ยงหากเข้าใจผิดว่าเป็น VPN เต็มรูปแบบ ⛔ ผู้ใช้บางคนอาจคิดว่าสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัดภูมิภาคได้ แต่จริง ๆ ไม่สามารถทำได้ https://www.slashgear.com/2032906/mozilla-comeback-with-firefox-vpn-free-service/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Mozilla Is Trying To Get Firefox Back Into The Game With This Free Service - SlashGear
    Much like other browsers, Mozilla's Firefox is also getting a boost in privacy functionality, though for now it's only available to certain beta users.
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
More Results