• https://youtube.com/shorts/JdXAQwSdgIM?si=BOW4mrVENSMg5F04
    https://youtube.com/shorts/JdXAQwSdgIM?si=BOW4mrVENSMg5F04
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/A3QrhxbVPAc?si=bGEsdTCTm5KpoxWt
    https://youtu.be/A3QrhxbVPAc?si=bGEsdTCTm5KpoxWt
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก XPU ถึง N3: เมื่อ OpenAI ไม่รอใครอีกต่อไป และเลือกสร้างชิปเองเพื่อควบคุมอนาคตของ AI

    Broadcom เพิ่งประกาศว่าได้รับคำสั่งซื้อฮาร์ดแวร์ AI มูลค่า $10 พันล้านดอลลาร์จากลูกค้ารายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ โดยประกอบด้วย XPU (custom AI accelerator), ชิปเครือข่าย, และ reference rack platform สำหรับการประกอบเป็นระบบ AI ขนาดใหญ่

    แม้ Broadcom จะไม่ระบุชื่อ แต่หลายฝ่าย—including CNBC, Financial Times และนักวิเคราะห์จาก Mizuho และ KeyBanc—ต่างชี้ว่า “ลูกค้าลึกลับ” รายนี้คือ OpenAI ซึ่งกำลังเตรียมเปลี่ยนจากการใช้ GPU ของ Nvidia และ AMD บน Azure ไปสู่การใช้ฮาร์ดแวร์ของตัวเองที่ออกแบบร่วมกับ Broadcom

    ชิปใหม่นี้คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรม systolic array ที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ และจะมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM ระดับสูง (อาจเป็น HBM3E หรือ HBM4) ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm-class ของ TSMC (N3 หรือ N3P)

    Broadcom ระบุว่าลูกค้ารายนี้ได้ผ่านการ validate แล้ว และได้ “ปล่อยคำสั่งผลิตจริง” ซึ่งหมายความว่าออกจากขั้นตอน prototype สู่การผลิตเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มส่งมอบใน Q3 ปี 2026 และคาดว่าจะ deploy ได้ภายในปลายปีนั้น

    หากประเมินจากราคาชิป AI ที่อยู่ระหว่าง $5,000–$10,000 ต่อตัว ดีลนี้อาจหมายถึงการสั่งซื้อ XPU จำนวน 1–2 ล้านตัว ซึ่งจะถูกกระจายไปในหลายหมื่น node และ rack—เทียบเท่าหรือมากกว่าคลัสเตอร์ inference ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน

    ดีลนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ OpenAI มีฮาร์ดแวร์ของตัวเอง แต่ยังเพิ่มอำนาจต่อรองกับ Nvidia และ AMD ในอนาคต และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจาก “GPU-centric AI” สู่ “custom silicon AI” ที่ออกแบบมาเพื่องานเฉพาะทางโดยตรง

    รายละเอียดของดีล Broadcom–OpenAI
    มูลค่า $10 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ XPU, networking chip และ reference rack
    ลูกค้าผ่านการ validate และปล่อยคำสั่งผลิตจริง
    ส่งมอบใน Q3 2026 และ deploy ได้ภายในปลายปี

    สเปกของชิป AI ที่คาดว่าจะใช้
    สถาปัตยกรรม systolic array สำหรับงาน inference
    ใช้ HBM3E หรือ HBM4 เป็นหน่วยความจำ
    ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N3 หรือ N3P (3nm-class)

    ขนาดของการ deploy
    คาดว่าจะมี XPU 1–2 ล้านตัว กระจายในหลายหมื่น node
    เทียบเท่าหรือมากกว่าคลัสเตอร์ AI inference ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    เป็นการเปลี่ยนผ่านจาก GPU-centric ไปสู่ custom silicon

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เพิ่มอำนาจต่อรองของ OpenAI กับ Nvidia และ AMD
    Broadcom กลายเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาด AI hardware
    อาจเร่งให้ hyperscaler รายอื่นหันมาพัฒนา custom chip ของตัวเอง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-widely-thought-to-be-broadcoms-mystery-usd10-billion-custom-ai-processor-customer-order-could-be-for-millions-of-ai-processors
    🎙️ เรื่องเล่าจาก XPU ถึง N3: เมื่อ OpenAI ไม่รอใครอีกต่อไป และเลือกสร้างชิปเองเพื่อควบคุมอนาคตของ AI Broadcom เพิ่งประกาศว่าได้รับคำสั่งซื้อฮาร์ดแวร์ AI มูลค่า $10 พันล้านดอลลาร์จากลูกค้ารายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ โดยประกอบด้วย XPU (custom AI accelerator), ชิปเครือข่าย, และ reference rack platform สำหรับการประกอบเป็นระบบ AI ขนาดใหญ่ แม้ Broadcom จะไม่ระบุชื่อ แต่หลายฝ่าย—including CNBC, Financial Times และนักวิเคราะห์จาก Mizuho และ KeyBanc—ต่างชี้ว่า “ลูกค้าลึกลับ” รายนี้คือ OpenAI ซึ่งกำลังเตรียมเปลี่ยนจากการใช้ GPU ของ Nvidia และ AMD บน Azure ไปสู่การใช้ฮาร์ดแวร์ของตัวเองที่ออกแบบร่วมกับ Broadcom ชิปใหม่นี้คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรม systolic array ที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ และจะมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM ระดับสูง (อาจเป็น HBM3E หรือ HBM4) ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm-class ของ TSMC (N3 หรือ N3P) Broadcom ระบุว่าลูกค้ารายนี้ได้ผ่านการ validate แล้ว และได้ “ปล่อยคำสั่งผลิตจริง” ซึ่งหมายความว่าออกจากขั้นตอน prototype สู่การผลิตเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มส่งมอบใน Q3 ปี 2026 และคาดว่าจะ deploy ได้ภายในปลายปีนั้น หากประเมินจากราคาชิป AI ที่อยู่ระหว่าง $5,000–$10,000 ต่อตัว ดีลนี้อาจหมายถึงการสั่งซื้อ XPU จำนวน 1–2 ล้านตัว ซึ่งจะถูกกระจายไปในหลายหมื่น node และ rack—เทียบเท่าหรือมากกว่าคลัสเตอร์ inference ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน ดีลนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ OpenAI มีฮาร์ดแวร์ของตัวเอง แต่ยังเพิ่มอำนาจต่อรองกับ Nvidia และ AMD ในอนาคต และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจาก “GPU-centric AI” สู่ “custom silicon AI” ที่ออกแบบมาเพื่องานเฉพาะทางโดยตรง ✅ รายละเอียดของดีล Broadcom–OpenAI ➡️ มูลค่า $10 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ XPU, networking chip และ reference rack ➡️ ลูกค้าผ่านการ validate และปล่อยคำสั่งผลิตจริง ➡️ ส่งมอบใน Q3 2026 และ deploy ได้ภายในปลายปี ✅ สเปกของชิป AI ที่คาดว่าจะใช้ ➡️ สถาปัตยกรรม systolic array สำหรับงาน inference ➡️ ใช้ HBM3E หรือ HBM4 เป็นหน่วยความจำ ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N3 หรือ N3P (3nm-class) ✅ ขนาดของการ deploy ➡️ คาดว่าจะมี XPU 1–2 ล้านตัว กระจายในหลายหมื่น node ➡️ เทียบเท่าหรือมากกว่าคลัสเตอร์ AI inference ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ เป็นการเปลี่ยนผ่านจาก GPU-centric ไปสู่ custom silicon ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เพิ่มอำนาจต่อรองของ OpenAI กับ Nvidia และ AMD ➡️ Broadcom กลายเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาด AI hardware ➡️ อาจเร่งให้ hyperscaler รายอื่นหันมาพัฒนา custom chip ของตัวเอง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-widely-thought-to-be-broadcoms-mystery-usd10-billion-custom-ai-processor-customer-order-could-be-for-millions-of-ai-processors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Lambda Loop: เมื่อ Nvidia กลายเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้เช่าในระบบ AI ที่ตัวเองสร้างขึ้น

    ในเดือนกันยายน 2025 Nvidia ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์กับ Lambda ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านคลาวด์ AI ที่ Nvidia เคยลงทุนไว้ก่อนหน้านี้ โดยดีลนี้ประกอบด้วยการเช่ากลับ GPU จำนวน 18,000 ตัวที่ Lambda เคยซื้อจาก Nvidia ไปแล้ว

    แบ่งเป็นสัญญาเช่า 4 ปีสำหรับ GPU จำนวน 10,000 ตัว มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และอีก 200 ล้านดอลลาร์สำหรับ GPU รุ่นเก่าหรือระดับรองอีก 8,000 ตัว ซึ่งจะถูกใช้โดยทีมวิจัยของ Nvidia เอง เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Microsoft ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Lambda สำหรับงานภายใน

    Lambda ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 และมีพนักงานประมาณ 400 คน กำลังเตรียม IPO โดยคาดว่าจะมีรายได้จากคลาวด์เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 และตั้งเป้าแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลจาก 47 เมกะวัตต์เป็น 3 กิกะวัตต์ภายในทศวรรษนี้

    ดีลนี้สะท้อนถึงปัญหาการขาดแคลน GPU ระดับสูงทั่วโลก แม้แต่ Nvidia เองก็ต้องหาทางเข้าถึงทรัพยากรผ่านพันธมิตรที่เคยขายชิปให้ และยังเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับที่ Nvidia เคยใช้กับ CoreWeave ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และใช้ GPU เป็นหลักประกันเงินกู้มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023

    การเช่ากลับ GPU จาก Lambda ยังช่วยให้ Nvidia เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ และยังรักษาความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีของ Nvidia เป็นหลัก—เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศแบบปิด” ที่ Nvidia เป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้ใช้งาน

    ข้อตกลงระหว่าง Nvidia กับ Lambda
    มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ GPU 18,000 ตัว
    แบ่งเป็น 1.3 พันล้านสำหรับ GPU 10,000 ตัว และ 200 ล้านสำหรับอีก 8,000 ตัว
    Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Lambda

    จุดแข็งของ Lambda และแผนการเติบโต
    ก่อตั้งในปี 2012 มีพนักงานประมาณ 400 คน
    คาดว่ารายได้คลาวด์จะเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026
    ตั้งเป้าขยายกำลังประมวลผลเป็น 3 กิกะวัตต์ภายในปี 2030

    กลยุทธ์ของ Nvidia ในการสร้างระบบนิเวศ
    เคยใช้กลยุทธ์เดียวกันกับ CoreWeave ก่อน IPO
    เป็นทั้งผู้ผลิต, ผู้ลงทุน, และผู้ใช้งานในระบบเดียวกัน
    หลีกเลี่ยงการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตร

    การใช้งาน GPU ที่เช่ากลับ
    ใช้สำหรับงานวิจัยภายในของ Nvidia
    สนับสนุนบริการ DGX Cloud และการพัฒนาโมเดล AI
    ช่วยให้ Nvidia เข้าถึงทรัพยากรได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการผลิตใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-signs-usd1-5-billion-deal-with-cloud-startup-lambda-to-rent-back-its-own-ai-chips-18-000-gpus-will-be-leased-over-4-years-as-lambda-gears-up-for-its-ipo
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Lambda Loop: เมื่อ Nvidia กลายเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้เช่าในระบบ AI ที่ตัวเองสร้างขึ้น ในเดือนกันยายน 2025 Nvidia ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์กับ Lambda ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านคลาวด์ AI ที่ Nvidia เคยลงทุนไว้ก่อนหน้านี้ โดยดีลนี้ประกอบด้วยการเช่ากลับ GPU จำนวน 18,000 ตัวที่ Lambda เคยซื้อจาก Nvidia ไปแล้ว แบ่งเป็นสัญญาเช่า 4 ปีสำหรับ GPU จำนวน 10,000 ตัว มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และอีก 200 ล้านดอลลาร์สำหรับ GPU รุ่นเก่าหรือระดับรองอีก 8,000 ตัว ซึ่งจะถูกใช้โดยทีมวิจัยของ Nvidia เอง เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Microsoft ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Lambda สำหรับงานภายใน Lambda ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 และมีพนักงานประมาณ 400 คน กำลังเตรียม IPO โดยคาดว่าจะมีรายได้จากคลาวด์เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 และตั้งเป้าแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลจาก 47 เมกะวัตต์เป็น 3 กิกะวัตต์ภายในทศวรรษนี้ ดีลนี้สะท้อนถึงปัญหาการขาดแคลน GPU ระดับสูงทั่วโลก แม้แต่ Nvidia เองก็ต้องหาทางเข้าถึงทรัพยากรผ่านพันธมิตรที่เคยขายชิปให้ และยังเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับที่ Nvidia เคยใช้กับ CoreWeave ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และใช้ GPU เป็นหลักประกันเงินกู้มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 การเช่ากลับ GPU จาก Lambda ยังช่วยให้ Nvidia เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ และยังรักษาความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีของ Nvidia เป็นหลัก—เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศแบบปิด” ที่ Nvidia เป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้ใช้งาน ✅ ข้อตกลงระหว่าง Nvidia กับ Lambda ➡️ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ GPU 18,000 ตัว ➡️ แบ่งเป็น 1.3 พันล้านสำหรับ GPU 10,000 ตัว และ 200 ล้านสำหรับอีก 8,000 ตัว ➡️ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Lambda ✅ จุดแข็งของ Lambda และแผนการเติบโต ➡️ ก่อตั้งในปี 2012 มีพนักงานประมาณ 400 คน ➡️ คาดว่ารายได้คลาวด์จะเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 ➡️ ตั้งเป้าขยายกำลังประมวลผลเป็น 3 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 ✅ กลยุทธ์ของ Nvidia ในการสร้างระบบนิเวศ ➡️ เคยใช้กลยุทธ์เดียวกันกับ CoreWeave ก่อน IPO ➡️ เป็นทั้งผู้ผลิต, ผู้ลงทุน, และผู้ใช้งานในระบบเดียวกัน ➡️ หลีกเลี่ยงการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตร ✅ การใช้งาน GPU ที่เช่ากลับ ➡️ ใช้สำหรับงานวิจัยภายในของ Nvidia ➡️ สนับสนุนบริการ DGX Cloud และการพัฒนาโมเดล AI ➡️ ช่วยให้ Nvidia เข้าถึงทรัพยากรได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการผลิตใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-signs-usd1-5-billion-deal-with-cloud-startup-lambda-to-rent-back-its-own-ai-chips-18-000-gpus-will-be-leased-over-4-years-as-lambda-gears-up-for-its-ipo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก TS434U: เมื่อกล่องเก็บข้อมูลกลายเป็นอุปกรณ์ที่ “คิดเผื่อ” ให้คุณแล้ว

    SilverStone เปิดตัว TS434U ซึ่งเป็นกล่องเก็บข้อมูลแบบ external ขนาด 4-bay ที่รองรับทั้ง HDD และ SSD ขนาด 3.5 นิ้วและ 2.5 นิ้ว โดยใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps พร้อมระบบ hot-swap ที่ให้คุณเปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

    ภายในตัวกล่องใช้ชิปควบคุมจาก ASMedia ได้แก่ ASM2074 และ ASM235CM จำนวน 4 ตัว เพื่อจัดการการเชื่อมต่อของแต่ละไดรฟ์อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีพัดลมขนาด 120 มม. ที่ติดตั้งด้านล่างเพื่อระบายความร้อน พร้อมระบบป้องกันความร้อนเกินแบบ built-in

    ดีไซน์ด้านหน้ามีฝาแม่เหล็กที่สามารถถอดออกและติดไว้ด้านข้างได้ เพื่อให้เข้าถึงไดรฟ์ได้ง่าย และยังช่วยซ่อนไฟ LED ที่แสดงสถานะของพลังงาน พัดลม และการทำงานของแต่ละไดรฟ์ด้วยสีที่แตกต่างกัน

    TS434U ไม่รองรับ hardware RAID แต่สามารถตั้งค่า software RAID ผ่านระบบปฏิบัติการ เช่น macOS Disk Utility หรือ Windows Storage Spaces ได้ตามต้องการ

    คุณสมบัติหลักของ SilverStone TS434U
    รองรับ 4 × 3.5" HDD หรือ 2.5" SSD ด้วย SATA I/II/III
    เชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ความเร็วสูงสุด 10Gbps
    รองรับ hot-swap เปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

    ระบบภายในและการควบคุม
    ใช้ชิป ASMedia ASM2074 และ ASM235CM × 4
    พัดลม 120 มม. แบบ dual-ball bearing ติดตั้งด้านล่าง
    มีระบบป้องกันความร้อนเกินและ sleep mode ประหยัดพลังงาน

    ดีไซน์และการใช้งาน
    ฝาแม่เหล็กด้านหน้า ถอดและติดด้านข้างได้
    LED แสดงสถานะพลังงาน พัดลม และ HDD แต่ละตัว
    ติดตั้งไดรฟ์แบบ tool-free สำหรับ 3.5" HDD

    การตั้งค่า RAID และการใช้งานร่วมกับระบบ
    ไม่รองรับ hardware RAID ต้องใช้ software RAID ผ่าน OS
    รองรับ macOS, Windows, Linux และระบบอื่น ๆ
    เหมาะกับงานสำรองข้อมูล, สื่อมัลติมีเดีย, และการใช้งานระดับมืออาชีพ

    https://www.techpowerup.com/340672/silverstone-launches-ts434u-external-4-bay-10gbps-sata-hot-swap-hard-drive-enclosure
    🎙️ เรื่องเล่าจาก TS434U: เมื่อกล่องเก็บข้อมูลกลายเป็นอุปกรณ์ที่ “คิดเผื่อ” ให้คุณแล้ว SilverStone เปิดตัว TS434U ซึ่งเป็นกล่องเก็บข้อมูลแบบ external ขนาด 4-bay ที่รองรับทั้ง HDD และ SSD ขนาด 3.5 นิ้วและ 2.5 นิ้ว โดยใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps พร้อมระบบ hot-swap ที่ให้คุณเปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง ภายในตัวกล่องใช้ชิปควบคุมจาก ASMedia ได้แก่ ASM2074 และ ASM235CM จำนวน 4 ตัว เพื่อจัดการการเชื่อมต่อของแต่ละไดรฟ์อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีพัดลมขนาด 120 มม. ที่ติดตั้งด้านล่างเพื่อระบายความร้อน พร้อมระบบป้องกันความร้อนเกินแบบ built-in ดีไซน์ด้านหน้ามีฝาแม่เหล็กที่สามารถถอดออกและติดไว้ด้านข้างได้ เพื่อให้เข้าถึงไดรฟ์ได้ง่าย และยังช่วยซ่อนไฟ LED ที่แสดงสถานะของพลังงาน พัดลม และการทำงานของแต่ละไดรฟ์ด้วยสีที่แตกต่างกัน TS434U ไม่รองรับ hardware RAID แต่สามารถตั้งค่า software RAID ผ่านระบบปฏิบัติการ เช่น macOS Disk Utility หรือ Windows Storage Spaces ได้ตามต้องการ ✅ คุณสมบัติหลักของ SilverStone TS434U ➡️ รองรับ 4 × 3.5" HDD หรือ 2.5" SSD ด้วย SATA I/II/III ➡️ เชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ความเร็วสูงสุด 10Gbps ➡️ รองรับ hot-swap เปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง ✅ ระบบภายในและการควบคุม ➡️ ใช้ชิป ASMedia ASM2074 และ ASM235CM × 4 ➡️ พัดลม 120 มม. แบบ dual-ball bearing ติดตั้งด้านล่าง ➡️ มีระบบป้องกันความร้อนเกินและ sleep mode ประหยัดพลังงาน ✅ ดีไซน์และการใช้งาน ➡️ ฝาแม่เหล็กด้านหน้า ถอดและติดด้านข้างได้ ➡️ LED แสดงสถานะพลังงาน พัดลม และ HDD แต่ละตัว ➡️ ติดตั้งไดรฟ์แบบ tool-free สำหรับ 3.5" HDD ✅ การตั้งค่า RAID และการใช้งานร่วมกับระบบ ➡️ ไม่รองรับ hardware RAID ต้องใช้ software RAID ผ่าน OS ➡️ รองรับ macOS, Windows, Linux และระบบอื่น ๆ ➡️ เหมาะกับงานสำรองข้อมูล, สื่อมัลติมีเดีย, และการใช้งานระดับมืออาชีพ https://www.techpowerup.com/340672/silverstone-launches-ts434u-external-4-bay-10gbps-sata-hot-swap-hard-drive-enclosure
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SilverStone Launches TS434U External 4-Bay 10Gbps SATA Hot-Swap Hard Drive Enclosure
    SilverStone has launched the TS434U, a compact external hard drive enclosure designed for users who need high-capacity storage with modern connectivity. Measuring 158 mm × 173 mm × 210 mm, it holds up to four 3.5-inch HDDs or 2.5-inch SSDs using regular SATA I/II/III connections with full hot-swap f...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Dragonfly ถึง $10M: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศล่าตัวแฮกเกอร์รัฐรัสเซียที่เจาะโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศตั้งรางวัลสูงถึง $10 ล้าน สำหรับผู้ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมแฮกเกอร์ชาวรัสเซีย 3 ราย ได้แก่ Marat Tyukov, Mikhail Gavrilov และ Pavel Akulov ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ FSB หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย และเป็นสมาชิกของ Center 16 หรือที่รู้จักในวงการไซเบอร์ว่า Dragonfly, Berserk Bear, Energetic Bear และ Crouching Yeti

    ตั้งแต่ปี 2012–2017 กลุ่มนี้ได้เจาะระบบของโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, ระบบส่งกำลัง, บริษัทน้ำมันและก๊าซ, และแม้แต่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Nuclear Regulatory Commission โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น spear-phishing, watering hole, supply chain attack และการฝังมัลแวร์ Havex

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเจาะระบบโรงกลั่นน้ำมันในปี 2017 และติดตั้งมัลแวร์ที่ทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัย (ICS) “ดูเหมือนทำงานปกติ” ทั้งที่จริงแล้วสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ทันที

    แม้ Cisco จะออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2018-0171 ตั้งแต่ปี 2018 แต่กลุ่มนี้ยังคงใช้ช่องโหว่นี้เจาะระบบที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Smart Install บน IOS และ IOS XE ซึ่งไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการเข้าถึง configuration

    การโจมตีล่าสุดยังพบว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่เดิมเพื่อเข้าถึงระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐท้องถิ่น, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และโรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดย FBI เตือนว่าองค์กรอาจไม่รู้ตัวเลยว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะเกิดการโจมตีขั้นที่สองที่สร้างความเสียหายจริง

    การตั้งรางวัลนำจับโดยสหรัฐฯ
    กระทรวงการต่างประเทศเสนอรางวัล $10M ผ่านโปรแกรม Rewards for Justice
    เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ FSB 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการเจาะโครงสร้างพื้นฐาน
    เปิดช่องทางรับข้อมูลผ่าน Tor เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส

    กลุ่ม Dragonfly และประวัติการโจมตี
    เป็นหน่วย Center 16 ของ FSB มีชื่อเรียกหลายชื่อในวงการไซเบอร์
    เคยเจาะระบบโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ
    ใช้เทคนิค Havex, watering hole, spear-phishing และ supply chain attack

    ช่องโหว่ CVE-2018-0171 และการใช้งานล่าสุด
    เป็นช่องโหว่ใน Smart Install ของ Cisco IOS/IOS XE
    เปิดให้เข้าถึง configuration โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ยังถูกใช้เจาะระบบที่ใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดต

    ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน
    ระบบ ICS/SCADA ถูกเจาะเพื่อเตรียมการโจมตีขั้นที่สอง
    องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง
    มีความเสี่ยงต่อระบบพลังงาน, น้ำ, และการสื่อสารทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-offers-usd10m-reward-for-snitching-on-trio-of-russians-who-hacked-critical-infrastructure
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dragonfly ถึง $10M: เมื่อสหรัฐฯ ประกาศล่าตัวแฮกเกอร์รัฐรัสเซียที่เจาะโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศตั้งรางวัลสูงถึง $10 ล้าน สำหรับผู้ให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมแฮกเกอร์ชาวรัสเซีย 3 ราย ได้แก่ Marat Tyukov, Mikhail Gavrilov และ Pavel Akulov ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ FSB หน่วยข่าวกรองของรัสเซีย และเป็นสมาชิกของ Center 16 หรือที่รู้จักในวงการไซเบอร์ว่า Dragonfly, Berserk Bear, Energetic Bear และ Crouching Yeti ตั้งแต่ปี 2012–2017 กลุ่มนี้ได้เจาะระบบของโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, ระบบส่งกำลัง, บริษัทน้ำมันและก๊าซ, และแม้แต่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Nuclear Regulatory Commission โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น spear-phishing, watering hole, supply chain attack และการฝังมัลแวร์ Havex หนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการเจาะระบบโรงกลั่นน้ำมันในปี 2017 และติดตั้งมัลแวร์ที่ทำให้ระบบควบคุมความปลอดภัย (ICS) “ดูเหมือนทำงานปกติ” ทั้งที่จริงแล้วสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ทันที แม้ Cisco จะออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2018-0171 ตั้งแต่ปี 2018 แต่กลุ่มนี้ยังคงใช้ช่องโหว่นี้เจาะระบบที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Smart Install บน IOS และ IOS XE ซึ่งไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนในการเข้าถึง configuration การโจมตีล่าสุดยังพบว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่เดิมเพื่อเข้าถึงระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัย, หน่วยงานรัฐท้องถิ่น, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และโรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดย FBI เตือนว่าองค์กรอาจไม่รู้ตัวเลยว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะเกิดการโจมตีขั้นที่สองที่สร้างความเสียหายจริง ✅ การตั้งรางวัลนำจับโดยสหรัฐฯ ➡️ กระทรวงการต่างประเทศเสนอรางวัล $10M ผ่านโปรแกรม Rewards for Justice ➡️ เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ FSB 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการเจาะโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เปิดช่องทางรับข้อมูลผ่าน Tor เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส ✅ กลุ่ม Dragonfly และประวัติการโจมตี ➡️ เป็นหน่วย Center 16 ของ FSB มีชื่อเรียกหลายชื่อในวงการไซเบอร์ ➡️ เคยเจาะระบบโรงงานพลังงานกว่า 500 แห่งใน 135 ประเทศ ➡️ ใช้เทคนิค Havex, watering hole, spear-phishing และ supply chain attack ✅ ช่องโหว่ CVE-2018-0171 และการใช้งานล่าสุด ➡️ เป็นช่องโหว่ใน Smart Install ของ Cisco IOS/IOS XE ➡️ เปิดให้เข้าถึง configuration โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ยังถูกใช้เจาะระบบที่ใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดต ✅ ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ระบบ ICS/SCADA ถูกเจาะเพื่อเตรียมการโจมตีขั้นที่สอง ➡️ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าระบบถูกเปลี่ยนแปลง ➡️ มีความเสี่ยงต่อระบบพลังงาน, น้ำ, และการสื่อสารทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-offers-usd10m-reward-for-snitching-on-trio-of-russians-who-hacked-critical-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Dalian: เมื่อโรงงาน NAND ที่เคยเป็นความหวังของ Intel กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดการเติบโต

    โรงงานผลิต NAND ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเดิมเป็นของ Intel และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ที่ SK hynix ทำกับ Intel ตั้งแต่ปี 2020

    แม้ SK hynix จะควบคุมโรงงานนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังคงผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ผ่านแบรนด์ Solidigm แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศยกเลิกใบอนุญาต VEU (Validated End-User) สำหรับโรงงานในจีนของ SK hynix และ Samsung ซึ่งเคยอนุญาตให้นำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง

    การยกเลิกใบอนุญาตนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 และจะทำให้โรงงาน Dalian ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยี NAND รุ่นใหม่ เช่น 238-layer หรือ 321-layer ได้อีกต่อไป แม้จะยังสามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือเดิมได้ก็ตาม

    SK hynix จึงกลายเป็นเจ้าของโรงงานที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโตอย่างชัดเจน และอาจต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่นอกจีน หากต้องการแข่งขันในตลาด NAND ระดับสูง ซึ่งอาจใช้เงินถึง 10–20 พันล้านดอลลาร์

    การเปลี่ยนชื่อและโครงสร้างกรรมสิทธิ์
    โรงงาน Dalian เปลี่ยนชื่อเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd.
    เป็นขั้นตอนสุดท้ายของดีลมูลค่า $9B ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020
    Intel Asia Holding ออกจากสถานะผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม

    สถานะการผลิตและเทคโนโลยี
    โรงงานยังผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC
    ใช้เทคโนโลยีที่สืบทอดจาก Intel ผ่านแบรนด์ Solidigm
    ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่ 238- หรือ 321-layer NAND ได้

    ผลกระทบจากการยกเลิกใบอนุญาต VEU
    สหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาต VEU สำหรับ SK hynix และ Samsung ในจีน
    มีผลตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2025
    ไม่สามารถนำเข้าเครื่องมือใหม่จากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ขออนุญาตรายครั้ง

    ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ SK hynix
    อาจต้องสร้างโรงงานใหม่นอกจีนเพื่อรองรับ NAND รุ่นใหม่
    คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน $10–20B
    ต้องปรับแผนการผลิตและ supply chain อย่างมีนัยสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-dalian-plant-now-officially-sk-hynix
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dalian: เมื่อโรงงาน NAND ที่เคยเป็นความหวังของ Intel กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดการเติบโต โรงงานผลิต NAND ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเดิมเป็นของ Intel และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ที่ SK hynix ทำกับ Intel ตั้งแต่ปี 2020 แม้ SK hynix จะควบคุมโรงงานนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังคงผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ผ่านแบรนด์ Solidigm แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศยกเลิกใบอนุญาต VEU (Validated End-User) สำหรับโรงงานในจีนของ SK hynix และ Samsung ซึ่งเคยอนุญาตให้นำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง การยกเลิกใบอนุญาตนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 และจะทำให้โรงงาน Dalian ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยี NAND รุ่นใหม่ เช่น 238-layer หรือ 321-layer ได้อีกต่อไป แม้จะยังสามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือเดิมได้ก็ตาม SK hynix จึงกลายเป็นเจ้าของโรงงานที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโตอย่างชัดเจน และอาจต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่นอกจีน หากต้องการแข่งขันในตลาด NAND ระดับสูง ซึ่งอาจใช้เงินถึง 10–20 พันล้านดอลลาร์ ✅ การเปลี่ยนชื่อและโครงสร้างกรรมสิทธิ์ ➡️ โรงงาน Dalian เปลี่ยนชื่อเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. ➡️ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของดีลมูลค่า $9B ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020 ➡️ Intel Asia Holding ออกจากสถานะผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ✅ สถานะการผลิตและเทคโนโลยี ➡️ โรงงานยังผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ➡️ ใช้เทคโนโลยีที่สืบทอดจาก Intel ผ่านแบรนด์ Solidigm ➡️ ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่ 238- หรือ 321-layer NAND ได้ ✅ ผลกระทบจากการยกเลิกใบอนุญาต VEU ➡️ สหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาต VEU สำหรับ SK hynix และ Samsung ในจีน ➡️ มีผลตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2025 ➡️ ไม่สามารถนำเข้าเครื่องมือใหม่จากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ขออนุญาตรายครั้ง ✅ ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ SK hynix ➡️ อาจต้องสร้างโรงงานใหม่นอกจีนเพื่อรองรับ NAND รุ่นใหม่ ➡️ คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน $10–20B ➡️ ต้องปรับแผนการผลิตและ supply chain อย่างมีนัยสำคัญ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-dalian-plant-now-officially-sk-hynix
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/ABASSD-thwE?si=R43je3_tWZ4PGQRA
    https://youtu.be/ABASSD-thwE?si=R43je3_tWZ4PGQRA
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อพญามังกรเต้นแทงโก้กับพญาคชสารในงานประชุมSCO : คนเคาะข่าว 04-09-68

    อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

    https://www.youtube.com/watch?v=slusD1GdRdw
    เมื่อพญามังกรเต้นแทงโก้กับพญาคชสารในงานประชุมSCO : คนเคาะข่าว 04-09-68 อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร https://www.youtube.com/watch?v=slusD1GdRdw
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก OceanDisk: เมื่อ SSD กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเทคโนโลยี AI

    ในงานเปิดตัวล่าสุด Huawei ได้เผยโฉม OceanDisk EX 560, SP 560 และ LC 560 ซึ่งเป็น SSD สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ลดการพึ่งพา HBM (High Bandwidth Memory) ที่จีนถูกจำกัดการนำเข้าอย่างหนักจากสหรัฐฯ

    OceanDisk LC 560 คือไฮไลต์ของงาน ด้วยความจุ 245TB ซึ่งถือเป็น SSD ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ และมี read bandwidth สูงถึง 14.7GB/s เหมาะสำหรับงานฝึกโมเดลขนาดใหญ่แบบ multimodal ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล

    OceanDisk EX 560 เน้นประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย write speed 1,500K IOPS, latency ต่ำกว่า 7µs และ endurance สูงถึง 60 DWPD เหมาะสำหรับงาน fine-tuning LLM ที่ต้องการความเร็วและความทนทาน ส่วน SP 560 เป็นรุ่นประหยัดที่เน้น inference โดยลด latency ของ token แรกได้ถึง 75% และเพิ่ม throughput เป็นสองเท่า

    แต่สิ่งที่ทำให้ OceanDisk น่าสนใจไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์—Huawei ยังเปิดตัว DiskBooster ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR ให้เป็น memory pool เดียวกัน เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่า และลด write amplification ด้วยเทคโนโลยี multi-stream

    ทั้งหมดนี้คือความพยายามของ Huawei ในการสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่ง HBM เพียงอย่างเดียว โดยใช้ SSD ความจุสูงและซอฟต์แวร์อัจฉริยะเป็นตัวเสริม เพื่อให้สามารถฝึกและใช้งานโมเดล AI ได้แม้จะถูกจำกัดด้านฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ

    การเปิดตัว OceanDisk SSD สำหรับ AI
    OceanDisk LC 560 มีความจุ 245TB และ read bandwidth 14.7GB/s
    OceanDisk EX 560 มี write speed 1,500K IOPS และ latency ต่ำกว่า 7µs
    OceanDisk SP 560 ลด latency ของ token แรกได้ 75% และเพิ่ม throughput 2 เท่า

    ความสามารถของ DiskBooster
    รวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR เป็น memory pool เดียว
    เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม
    ใช้ multi-stream เพื่อลด write amplification และเพิ่มอายุการใช้งาน SSD

    บริบทของการพัฒนา
    Huawei พัฒนา OceanDisk เพื่อลดการพึ่งพา HBM ซึ่งถูกจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ
    เน้นใช้ NAND flash ภายในประเทศเพื่อสร้างระบบที่พึ่งพาตัวเอง
    ตอบโจทย์ปัญหา “memory wall” และ “capacity wall” ในงาน AI ขนาดใหญ่

    ผลกระทบต่อวงการ AI
    อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฝึกโมเดลจาก HBM-centric เป็น SSD-centric
    เปิดทางให้ประเทศที่เข้าถึง HBM ได้จำกัดสามารถสร้างระบบ AI ได้ด้วยต้นทุนต่ำ
    เป็นตัวอย่างของการใช้ “ระบบเสริมหลายชั้น” แทนการพึ่งพาหน่วยความจำจุดเดียว

    https://www.techradar.com/pro/huawei-released-an-ai-ssd-that-uses-a-secret-sauce-to-reduce-the-need-for-large-amounts-of-expensive-hbm
    🎙️ เรื่องเล่าจาก OceanDisk: เมื่อ SSD กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเทคโนโลยี AI ในงานเปิดตัวล่าสุด Huawei ได้เผยโฉม OceanDisk EX 560, SP 560 และ LC 560 ซึ่งเป็น SSD สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ลดการพึ่งพา HBM (High Bandwidth Memory) ที่จีนถูกจำกัดการนำเข้าอย่างหนักจากสหรัฐฯ OceanDisk LC 560 คือไฮไลต์ของงาน ด้วยความจุ 245TB ซึ่งถือเป็น SSD ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ และมี read bandwidth สูงถึง 14.7GB/s เหมาะสำหรับงานฝึกโมเดลขนาดใหญ่แบบ multimodal ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล OceanDisk EX 560 เน้นประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย write speed 1,500K IOPS, latency ต่ำกว่า 7µs และ endurance สูงถึง 60 DWPD เหมาะสำหรับงาน fine-tuning LLM ที่ต้องการความเร็วและความทนทาน ส่วน SP 560 เป็นรุ่นประหยัดที่เน้น inference โดยลด latency ของ token แรกได้ถึง 75% และเพิ่ม throughput เป็นสองเท่า แต่สิ่งที่ทำให้ OceanDisk น่าสนใจไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์—Huawei ยังเปิดตัว DiskBooster ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR ให้เป็น memory pool เดียวกัน เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่า และลด write amplification ด้วยเทคโนโลยี multi-stream ทั้งหมดนี้คือความพยายามของ Huawei ในการสร้างระบบ AI ที่ไม่ต้องพึ่ง HBM เพียงอย่างเดียว โดยใช้ SSD ความจุสูงและซอฟต์แวร์อัจฉริยะเป็นตัวเสริม เพื่อให้สามารถฝึกและใช้งานโมเดล AI ได้แม้จะถูกจำกัดด้านฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ ✅ การเปิดตัว OceanDisk SSD สำหรับ AI ➡️ OceanDisk LC 560 มีความจุ 245TB และ read bandwidth 14.7GB/s ➡️ OceanDisk EX 560 มี write speed 1,500K IOPS และ latency ต่ำกว่า 7µs ➡️ OceanDisk SP 560 ลด latency ของ token แรกได้ 75% และเพิ่ม throughput 2 เท่า ✅ ความสามารถของ DiskBooster ➡️ รวมหน่วยความจำจาก SSD, HBM และ DDR เป็น memory pool เดียว ➡️ เพิ่มความจุได้ถึง 20 เท่าเมื่อเทียบกับระบบเดิม ➡️ ใช้ multi-stream เพื่อลด write amplification และเพิ่มอายุการใช้งาน SSD ✅ บริบทของการพัฒนา ➡️ Huawei พัฒนา OceanDisk เพื่อลดการพึ่งพา HBM ซึ่งถูกจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ➡️ เน้นใช้ NAND flash ภายในประเทศเพื่อสร้างระบบที่พึ่งพาตัวเอง ➡️ ตอบโจทย์ปัญหา “memory wall” และ “capacity wall” ในงาน AI ขนาดใหญ่ ✅ ผลกระทบต่อวงการ AI ➡️ อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฝึกโมเดลจาก HBM-centric เป็น SSD-centric ➡️ เปิดทางให้ประเทศที่เข้าถึง HBM ได้จำกัดสามารถสร้างระบบ AI ได้ด้วยต้นทุนต่ำ ➡️ เป็นตัวอย่างของการใช้ “ระบบเสริมหลายชั้น” แทนการพึ่งพาหน่วยความจำจุดเดียว https://www.techradar.com/pro/huawei-released-an-ai-ssd-that-uses-a-secret-sauce-to-reduce-the-need-for-large-amounts-of-expensive-hbm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ACP: เมื่อ Claude Code หลุดจากเทอร์มินัลและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใน Zed

    หลังจากเสียงเรียกร้องจากนักพัฒนาทั่วโลก ทีมงาน Zed ได้เปิดตัวการเชื่อมต่อ Claude Code แบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพึ่งการผูกติดแบบเฉพาะเจาะจง

    Claude Code ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ต้องรันผ่าน CLI ตอนนี้สามารถทำงานใน Zed ได้แบบเต็มรูปแบบ: แก้โค้ดหลายไฟล์พร้อมกัน, แสดง syntax highlight, ใช้ language server, และให้ผู้ใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแบบ granular ผ่าน multibuffer—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk

    ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง workflow ของตัวเองผ่าน slash command และดู task list ของ Claude Code ได้จาก sidebar แบบ real-time ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับ agent เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

    การเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เกิดจากการ hardcode แต่ใช้ ACP ซึ่งเป็นมาตรฐาน JSON-RPC ที่ Zed พัฒนาและเปิดซอร์สไว้ ทำให้ Claude Code สามารถทำงานใน Zed ได้แบบ process อิสระ และสามารถนำไปใช้ใน editor อื่นที่รองรับ ACP เช่น Neovim ผ่าน community adapter

    แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง beta และบางฟีเจอร์ของ Claude Code ยังไม่รองรับผ่าน SDK เช่น Plan mode หรือ slash command บางตัว แต่ทีมงาน Zed ยืนยันว่าจะเพิ่มความสามารถต่อเนื่องตามการอัปเดตจาก Anthropic

    https://zed.dev/blog/claude-code-via-acp
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ACP: เมื่อ Claude Code หลุดจากเทอร์มินัลและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใน Zed หลังจากเสียงเรียกร้องจากนักพัฒนาทั่วโลก ทีมงาน Zed ได้เปิดตัวการเชื่อมต่อ Claude Code แบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพึ่งการผูกติดแบบเฉพาะเจาะจง Claude Code ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ต้องรันผ่าน CLI ตอนนี้สามารถทำงานใน Zed ได้แบบเต็มรูปแบบ: แก้โค้ดหลายไฟล์พร้อมกัน, แสดง syntax highlight, ใช้ language server, และให้ผู้ใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแบบ granular ผ่าน multibuffer—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง workflow ของตัวเองผ่าน slash command และดู task list ของ Claude Code ได้จาก sidebar แบบ real-time ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับ agent เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เกิดจากการ hardcode แต่ใช้ ACP ซึ่งเป็นมาตรฐาน JSON-RPC ที่ Zed พัฒนาและเปิดซอร์สไว้ ทำให้ Claude Code สามารถทำงานใน Zed ได้แบบ process อิสระ และสามารถนำไปใช้ใน editor อื่นที่รองรับ ACP เช่น Neovim ผ่าน community adapter แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง beta และบางฟีเจอร์ของ Claude Code ยังไม่รองรับผ่าน SDK เช่น Plan mode หรือ slash command บางตัว แต่ทีมงาน Zed ยืนยันว่าจะเพิ่มความสามารถต่อเนื่องตามการอัปเดตจาก Anthropic https://zed.dev/blog/claude-code-via-acp
    ZED.DEV
    Claude Code: Now in Beta in Zed - Zed Blog
    From the Zed Blog: You asked, and here it is. Use Claude Code in public beta directly in Zed, built on the new Agent Client Protocol.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/XcDCV_RiE_U?si=F6ZeMQaKhdDRaSDV
    https://youtu.be/XcDCV_RiE_U?si=F6ZeMQaKhdDRaSDV
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Project Digits: เมื่อพลังระดับเซิร์ฟเวอร์ถูกย่อส่วนให้พกพาได้

    ในงาน IFA 2025 Acer เปิดตัว Veriton GN100 ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ Project Digits ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip โดยออกแบบมาเพื่อเป็น “AI mini workstation” สำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, มหาวิทยาลัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. แต่ภายในบรรจุพลังระดับเซิร์ฟเวอร์: CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725), GPU Blackwell ที่ให้พลัง FP4 สูงถึง 1 PFLOP, RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB พร้อมระบบเข้ารหัสในตัว

    ที่โดดเด่นคือการรองรับ NVFP4 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Nvidia สำหรับการประมวลผล AI แบบ FP4 ที่มีประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำใกล้เคียงกับ BF16 แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้สามารถเทรนโมเดลขนาดใหญ่ได้ในเครื่องเดียว

    GN100 ยังมาพร้อมกับ Nvidia AI software stack เต็มรูปแบบ เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT และรองรับ framework ยอดนิยมอย่าง PyTorch, TensorFlow, JAX และ Ollama โดยสามารถเชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดสูงสุดถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์

    สเปกของ Acer Veriton GN100
    ใช้ Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip
    CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725)
    GPU Blackwell รองรับ FP4 ได้ถึง 1 PFLOP
    RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB

    ความสามารถด้าน AI
    รองรับ NVFP4 สำหรับการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ใช้ Nvidia AI software stack เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT
    รองรับ framework ยอดนิยม เช่น PyTorch, TensorFlow, JAX, Ollama

    การเชื่อมต่อและการขยาย
    มี USB-C 4 ช่อง, HDMI 2.1b, Ethernet, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.1
    เชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่
    รองรับการทำงานร่วมกับระบบคลาวด์หรือศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบและการใช้งาน
    ขนาดเล็กเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. เหมาะกับโต๊ะทำงานหรือห้องวิจัย
    มี Kensington lock สำหรับความปลอดภัย
    ราคาเริ่มต้นที่ $3,999 ในอเมริกาเหนือ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/acer-unveils-project-digits-supercomputer-featuring-nvidias-gb10-superchip-with-128gb-of-lpddr5x
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Project Digits: เมื่อพลังระดับเซิร์ฟเวอร์ถูกย่อส่วนให้พกพาได้ ในงาน IFA 2025 Acer เปิดตัว Veriton GN100 ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ Project Digits ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip โดยออกแบบมาเพื่อเป็น “AI mini workstation” สำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, มหาวิทยาลัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. แต่ภายในบรรจุพลังระดับเซิร์ฟเวอร์: CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725), GPU Blackwell ที่ให้พลัง FP4 สูงถึง 1 PFLOP, RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB พร้อมระบบเข้ารหัสในตัว ที่โดดเด่นคือการรองรับ NVFP4 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Nvidia สำหรับการประมวลผล AI แบบ FP4 ที่มีประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำใกล้เคียงกับ BF16 แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้สามารถเทรนโมเดลขนาดใหญ่ได้ในเครื่องเดียว GN100 ยังมาพร้อมกับ Nvidia AI software stack เต็มรูปแบบ เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT และรองรับ framework ยอดนิยมอย่าง PyTorch, TensorFlow, JAX และ Ollama โดยสามารถเชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดสูงสุดถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์ ✅ สเปกของ Acer Veriton GN100 ➡️ ใช้ Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip ➡️ CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725) ➡️ GPU Blackwell รองรับ FP4 ได้ถึง 1 PFLOP ➡️ RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB ✅ ความสามารถด้าน AI ➡️ รองรับ NVFP4 สำหรับการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ใช้ Nvidia AI software stack เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT ➡️ รองรับ framework ยอดนิยม เช่น PyTorch, TensorFlow, JAX, Ollama ✅ การเชื่อมต่อและการขยาย ➡️ มี USB-C 4 ช่อง, HDMI 2.1b, Ethernet, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.1 ➡️ เชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการทำงานร่วมกับระบบคลาวด์หรือศูนย์ข้อมูล ✅ การออกแบบและการใช้งาน ➡️ ขนาดเล็กเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. เหมาะกับโต๊ะทำงานหรือห้องวิจัย ➡️ มี Kensington lock สำหรับความปลอดภัย ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $3,999 ในอเมริกาเหนือ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/acer-unveils-project-digits-supercomputer-featuring-nvidias-gb10-superchip-with-128gb-of-lpddr5x
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer unveils Project Digits supercomputer featuring Nvidia's GB10 superchip with 128GB of LPDDR5x
    Acer joins Asus, Lenovo, and Dell with its third-party Project Digits variation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม

    หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล

    GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์

    หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์

    ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป

    สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง
    ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร
    รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย
    GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5

    ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก
    รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง
    เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง
    ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว

    หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator
    Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี
    มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ

    ระบบระบายความร้อนระดับสูง
    ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม.
    มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe
    ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling

    https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์ หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์ ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป ✅ สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร ➡️ รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย ➡️ GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ✅ ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก ➡️ รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง ➡️ เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง ➡️ ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว ✅ หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator ➡️ Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี ➡️ มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ ✅ ระบบระบายความร้อนระดับสูง ➡️ ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม. ➡️ มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe ➡️ ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer hedges its hardware bets, puts vPro and ECC memory in new high-end gaming laptop
    The company says the Predator Helios 18P AI is also a local AI workstation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการแลกเปลี่ยนในเงา: เมื่อคริปโตกลายเป็นสกุลเงินหลักในประเทศที่ถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก

    ในปี 2025 เวเนซุเอลายังคงเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐขาดแคลนอย่างหนัก และธุรกิจเอกชนไม่สามารถซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ตามปกติ

    รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงเริ่ม “เปิดช่องทางใหม่” โดยอนุญาตให้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกกับดอลลาร์ เช่น USDT (Tether) ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน โดยมีธนาคารบางแห่งที่ได้รับอนุญาตให้ขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐ

    บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ก็เริ่มเปลี่ยนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศมาเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ซึ่งถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ

    แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง แต่รองประธานาธิบดี Delcy Rodriguez ได้กล่าวในที่ประชุมกับภาคธุรกิจว่า “เรากำลังใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน” ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้คริปโตในภาคเอกชน

    ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ในประเทศระบุว่า มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

    การเปลี่ยนผ่านจากดอลลาร์สู่คริปโต
    รัฐบาลเวเนซุเอลาอนุญาตให้ใช้ USDT ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน
    ธนาคารบางแห่งสามารถขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุมัติ
    เป็นการตอบสนองต่อการขาดแคลนดอลลาร์จากการคว่ำบาตรด้านน้ำมัน

    บทบาทของ PDVSA และภาคธุรกิจ
    บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA เริ่มรับชำระเงินเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว
    ธุรกิจเอกชนใช้ USDT เพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ
    การใช้คริปโตช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อได้แม้ถูกตัดขาดจากระบบธนาคาร

    การยอมรับเชิงนโยบายโดยรัฐบาล
    รองประธานาธิบดีกล่าวถึง “กลไกที่ไม่เป็นทางการ” ในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน
    ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง
    การใช้คริปโตยังจำกัดเฉพาะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและมี wallet ที่ผ่านการตรวจสอบ

    ข้อมูลจากภาควิเคราะห์
    มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม
    แสดงถึงการขยายตัวของคริปโตในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา
    เป็นการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากต่างประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/with-dollars-scarce-venezuela-currency-exchanges-turn-to-crypto
    🎙️ เรื่องเล่าจากการแลกเปลี่ยนในเงา: เมื่อคริปโตกลายเป็นสกุลเงินหลักในประเทศที่ถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก ในปี 2025 เวเนซุเอลายังคงเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐขาดแคลนอย่างหนัก และธุรกิจเอกชนไม่สามารถซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ตามปกติ รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงเริ่ม “เปิดช่องทางใหม่” โดยอนุญาตให้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกกับดอลลาร์ เช่น USDT (Tether) ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน โดยมีธนาคารบางแห่งที่ได้รับอนุญาตให้ขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ก็เริ่มเปลี่ยนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศมาเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ซึ่งถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง แต่รองประธานาธิบดี Delcy Rodriguez ได้กล่าวในที่ประชุมกับภาคธุรกิจว่า “เรากำลังใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน” ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้คริปโตในภาคเอกชน ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ในประเทศระบุว่า มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ✅ การเปลี่ยนผ่านจากดอลลาร์สู่คริปโต ➡️ รัฐบาลเวเนซุเอลาอนุญาตให้ใช้ USDT ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน ➡️ ธนาคารบางแห่งสามารถขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุมัติ ➡️ เป็นการตอบสนองต่อการขาดแคลนดอลลาร์จากการคว่ำบาตรด้านน้ำมัน ✅ บทบาทของ PDVSA และภาคธุรกิจ ➡️ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA เริ่มรับชำระเงินเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว ➡️ ธุรกิจเอกชนใช้ USDT เพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ➡️ การใช้คริปโตช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อได้แม้ถูกตัดขาดจากระบบธนาคาร ✅ การยอมรับเชิงนโยบายโดยรัฐบาล ➡️ รองประธานาธิบดีกล่าวถึง “กลไกที่ไม่เป็นทางการ” ในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน ➡️ ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง ➡️ การใช้คริปโตยังจำกัดเฉพาะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและมี wallet ที่ผ่านการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลจากภาควิเคราะห์ ➡️ มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ➡️ แสดงถึงการขยายตัวของคริปโตในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ➡️ เป็นการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากต่างประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/with-dollars-scarce-venezuela-currency-exchanges-turn-to-crypto
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With dollars scarce, Venezuela currency exchanges turn to crypto
    (Reuters) -Venezuela's government is slowly allowing the use of dollar-tied cryptocurrencies in currency exchanges for the private sector, a dozen sources said, as U.S. restrictions on oil exports reduce available foreign currency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก

    ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain

    USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด

    สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์

    แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin

    ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT
    มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1
    โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร
    ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด

    การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ
    อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ
    ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน
    ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด

    เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT
    TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
    ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง
    BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน

    การใช้งานในฝั่งบริษัท
    ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ
    จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น
    ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย

    https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin ✅ ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT ➡️ มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 ➡️ โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร ➡️ ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด ✅ การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ➡️ อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ ➡️ ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน ➡️ ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด ✅ เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT ➡️ TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ➡️ ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง ➡️ BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน ✅ การใช้งานในฝั่งบริษัท ➡️ ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น ➡️ ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    HACKREAD.COM
    Why Users and Businesses Are Choosing to Get Paid in USDT Instead of Local Currency
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newskit, an online news service that feels like a Thai newspaper, is currently testing an English version (translated by ChatGPT). Stay tuned for more details in the comments on the Newskit Facebook page and Thaitimes until further notice.

    See you every Monday to Thursday morning.

    Newskit ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ กำลังทดลองการแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ผ่าน ChatGPT ท่านสามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ในช่องแสดงความคิดเห็น บนเพจ Newskit ในเฟซบุ๊กและ Thaitimes จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    พบกันทุกเช้าวันจันทร์ ถึงพฤหัสบดี (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
    Newskit, an online news service that feels like a Thai newspaper, is currently testing an English version (translated by ChatGPT). Stay tuned for more details in the comments on the Newskit Facebook page and Thaitimes until further notice. See you every Monday to Thursday morning. Newskit ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ กำลังทดลองการแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ ผ่าน ChatGPT ท่านสามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ในช่องแสดงความคิดเห็น บนเพจ Newskit ในเฟซบุ๊กและ Thaitimes จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง พบกันทุกเช้าวันจันทร์ ถึงพฤหัสบดี (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงที่ประชาชนคนไทยดีๆช่วยกันตีแผ่,แต่นักการเมืองและข้าราชการไทยในพื้นที่พยายามฝังกลบ,เรามีทหารและตำรวจในภาคตะวันออกนี้ไว้ทำไม?,คนทำอาชีพสุจริตโดยรังแกชัดเจนจากคนทำอาชีพไม่สุจริต,บ้านเมืองเสื่อมมาก,คนบ้านหนองจานและลักษณะแบบจ.สระแก้วเป็นโซนต้องรักษาหนักสุด คนไข้icuสุดๆติดหาตังจากวิถีเถื่อนๆเต็มพื้นที่ไปหมด,ขาดคือลงแดงทันที,วันไหนไม่ได้ทำกิจกรรมลักษณะนี้จะลงแดงตายแน่นอน,ไม่สามารถกลับไปทำสัมมาอาชีพใดๆได้อีก ปลูกข้าวปลูกยางปลูกมันฯปลูกอ้อย ไม่สามารถทำรายได้และเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำได้ขนาดนี้และใช้ระยะเวลาอันสั้นด้วย,ไม่แปลกใจคนแถวนี้มีตังมีเงินทองมากมายโดยรอบเสียเหลือเกิน,ธนาคารแถวนี้รับฝากเงินสกปรกนี้เป็นอันมากจากนั้นจึงโอนตังกันได้,ฟอกตังสาระพัดอีก,นอกจากฟอกตังมุกอื่นๆ นอกจากขนตังสดๆข้ามชายแดนไปมาด้วย ขนให้ลูกน้องนายใหญ่เพื่อเก็บซ่อนให้นายใหญ่ใช้ในวัยชราใกล้ตายหรือออกจากราชการไทยไปแล้วนั้นเอง.,ใครๆจึงอยากเป็นใหญ่เป็นราชการชั้นปกครองกันมันสามารถอยู่ในอำนาจและเหนืออำนาจควบคุมคนใต้อำนาจได้ ทั้งทำการใดๆผิดบ้างชั่วบ้างก็จะเป็นที่ยอมรับเหมือนเดิมตราบที่ตนยังมีอำนาจในราชการไทยและมีโอกาสทำลักษณะนี้แบบในบ้านหนองจานทั่วไทยได้โล่งทางด้วย,สั่งเก็บใครก็ได้ที่ขัดขวางในสาระพัดวิธีการ ทั้งเก็บสั่งฆ่าตรงๆหรือเล่นทางข้อบทกฎหมาย,เพราะตนใหญ่สุดสั่งทั่วไทยได้มีความสัมพันธ์รอบไทยทั่ว,ชาวบ้านแบบหนองจานจึงน่าสงสารมากๆ,ยุคสมัยใดๆกฎหมายว่าล้ำขนาดไหนก็เอาพวกนี้ไม่ลง จบไม่ได้ ยืนหนึ่งสร้างการค้าขายการตลาดนี้ล่ำไป,การปกครองเราเสื่อมค่าจริงๆ ทหารแม่ทัพภาค1เจ้าของพื้นที่แท้ๆยังปล่อยปละละเลยเป็นอันมากจริงๆตำรวจพื้นที่ก็ด้วย อบต.อบจ. นายอำเภอ ผู้ว่า เป็นไปด้วยกันหมด, สรรพากร พานิชย์จังหวัด กรมที่ดิน หอการค้า สมาคมนักธุรกิจ รวมความเป็นไปด้วยกันหมด,และจริงๆตำรวจกับทหารชายแดนทหารภาคคือหน้าที่ตรงของตนเต็มๆต้องจัดการแต่ก็ไม่ทำ ,บ้านเมืองเราเน่าจริงๆเน่าหลายพื้นที่ เน่าเต็มๆฝั่งภาค1อีกและตำรวจภาคพื้นที่นี้ด้วย,อ.วีระ และทนายแผ่นดินสมควรรวมตัวกันทำเพื่อประเทศ อัยการศาลจังหวัดสระแก้วต้องยื่นฟ้องข้าราชการรัฐในพื้นที่นี้ทั้งหมด.ข้อหา ม.157เลย,ตลอด ม.119ด้วยที่ทำให้อธิปไตยถูกยึดครองสูญเสียไปและบนส่วนในแผ่นดินไทย เขตแดนเข้ามาฝั่งไทยด้วย,และที่น่าเสียใจคือแม่ทัพภาค1ยังติดโผทหารรอขึ้น ผบ.ทบ.อีก,ตลอด มทภ.1รุ่นก่อนๆที่ปกครองพื้นที่ดูแลสระแก้วตลอดแนวพรมแดนก่อนมทภ1.ปัจจุบันรับตำแหน่งก็ต้องโดน ม.157 ม.119ด้วยที่สามารถส่งไม้ต่อจนไม่ปราบปรามถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยอะไรเลย,แถมส่งให้มทภ.1อีก,มทภ1.ก็นิ่งเฉยไม่ถีบเขมรอะไรแม้เคสกรณีอีสานใต้บังเกิดขึ้นเป็นจังหวะอันดีงามแต่ก็นำพาดำเนินการ,ใครที่เกี่ยวข้องสั่งมทภ.1ไม่ออกปฏิบัติการถีบเขมร ยับยั้งมทภ.1ไว้ก็เข้าข่าย ม.119,ไม่ต่างจากคลิปเสียงนายกฯอดีตนายกฯไม่ซื่อสัตย์ผิดจรรยธรรมร้านแรงนั้นด้วยเลย.,ต้องเอามาลงโทษให้ได้ แฉสิ่งที่คุยกัน มีคลิปเสียงคุยกันยิ่งดี,กสทช.ต้องมีบันทึกแน่ ทหารสายลับสามารถดักเสียงได้แน่นอน.,อย่าพากันเก็บทหารเลวไว้หนักกองทัพไทยเลย,สมควรกำจัดเถอะ.

    https://youtube.com/watch?v=ai3k6kgSSDo&si=S_-95UU8YWerUPcZ
    ความจริงที่ประชาชนคนไทยดีๆช่วยกันตีแผ่,แต่นักการเมืองและข้าราชการไทยในพื้นที่พยายามฝังกลบ,เรามีทหารและตำรวจในภาคตะวันออกนี้ไว้ทำไม?,คนทำอาชีพสุจริตโดยรังแกชัดเจนจากคนทำอาชีพไม่สุจริต,บ้านเมืองเสื่อมมาก,คนบ้านหนองจานและลักษณะแบบจ.สระแก้วเป็นโซนต้องรักษาหนักสุด คนไข้icuสุดๆติดหาตังจากวิถีเถื่อนๆเต็มพื้นที่ไปหมด,ขาดคือลงแดงทันที,วันไหนไม่ได้ทำกิจกรรมลักษณะนี้จะลงแดงตายแน่นอน,ไม่สามารถกลับไปทำสัมมาอาชีพใดๆได้อีก ปลูกข้าวปลูกยางปลูกมันฯปลูกอ้อย ไม่สามารถทำรายได้และเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำได้ขนาดนี้และใช้ระยะเวลาอันสั้นด้วย,ไม่แปลกใจคนแถวนี้มีตังมีเงินทองมากมายโดยรอบเสียเหลือเกิน,ธนาคารแถวนี้รับฝากเงินสกปรกนี้เป็นอันมากจากนั้นจึงโอนตังกันได้,ฟอกตังสาระพัดอีก,นอกจากฟอกตังมุกอื่นๆ นอกจากขนตังสดๆข้ามชายแดนไปมาด้วย ขนให้ลูกน้องนายใหญ่เพื่อเก็บซ่อนให้นายใหญ่ใช้ในวัยชราใกล้ตายหรือออกจากราชการไทยไปแล้วนั้นเอง.,ใครๆจึงอยากเป็นใหญ่เป็นราชการชั้นปกครองกันมันสามารถอยู่ในอำนาจและเหนืออำนาจควบคุมคนใต้อำนาจได้ ทั้งทำการใดๆผิดบ้างชั่วบ้างก็จะเป็นที่ยอมรับเหมือนเดิมตราบที่ตนยังมีอำนาจในราชการไทยและมีโอกาสทำลักษณะนี้แบบในบ้านหนองจานทั่วไทยได้โล่งทางด้วย,สั่งเก็บใครก็ได้ที่ขัดขวางในสาระพัดวิธีการ ทั้งเก็บสั่งฆ่าตรงๆหรือเล่นทางข้อบทกฎหมาย,เพราะตนใหญ่สุดสั่งทั่วไทยได้มีความสัมพันธ์รอบไทยทั่ว,ชาวบ้านแบบหนองจานจึงน่าสงสารมากๆ,ยุคสมัยใดๆกฎหมายว่าล้ำขนาดไหนก็เอาพวกนี้ไม่ลง จบไม่ได้ ยืนหนึ่งสร้างการค้าขายการตลาดนี้ล่ำไป,การปกครองเราเสื่อมค่าจริงๆ ทหารแม่ทัพภาค1เจ้าของพื้นที่แท้ๆยังปล่อยปละละเลยเป็นอันมากจริงๆตำรวจพื้นที่ก็ด้วย อบต.อบจ. นายอำเภอ ผู้ว่า เป็นไปด้วยกันหมด, สรรพากร พานิชย์จังหวัด กรมที่ดิน หอการค้า สมาคมนักธุรกิจ รวมความเป็นไปด้วยกันหมด,และจริงๆตำรวจกับทหารชายแดนทหารภาคคือหน้าที่ตรงของตนเต็มๆต้องจัดการแต่ก็ไม่ทำ ,บ้านเมืองเราเน่าจริงๆเน่าหลายพื้นที่ เน่าเต็มๆฝั่งภาค1อีกและตำรวจภาคพื้นที่นี้ด้วย,อ.วีระ และทนายแผ่นดินสมควรรวมตัวกันทำเพื่อประเทศ อัยการศาลจังหวัดสระแก้วต้องยื่นฟ้องข้าราชการรัฐในพื้นที่นี้ทั้งหมด.ข้อหา ม.157เลย,ตลอด ม.119ด้วยที่ทำให้อธิปไตยถูกยึดครองสูญเสียไปและบนส่วนในแผ่นดินไทย เขตแดนเข้ามาฝั่งไทยด้วย,และที่น่าเสียใจคือแม่ทัพภาค1ยังติดโผทหารรอขึ้น ผบ.ทบ.อีก,ตลอด มทภ.1รุ่นก่อนๆที่ปกครองพื้นที่ดูแลสระแก้วตลอดแนวพรมแดนก่อนมทภ1.ปัจจุบันรับตำแหน่งก็ต้องโดน ม.157 ม.119ด้วยที่สามารถส่งไม้ต่อจนไม่ปราบปรามถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยอะไรเลย,แถมส่งให้มทภ.1อีก,มทภ1.ก็นิ่งเฉยไม่ถีบเขมรอะไรแม้เคสกรณีอีสานใต้บังเกิดขึ้นเป็นจังหวะอันดีงามแต่ก็นำพาดำเนินการ,ใครที่เกี่ยวข้องสั่งมทภ.1ไม่ออกปฏิบัติการถีบเขมร ยับยั้งมทภ.1ไว้ก็เข้าข่าย ม.119,ไม่ต่างจากคลิปเสียงนายกฯอดีตนายกฯไม่ซื่อสัตย์ผิดจรรยธรรมร้านแรงนั้นด้วยเลย.,ต้องเอามาลงโทษให้ได้ แฉสิ่งที่คุยกัน มีคลิปเสียงคุยกันยิ่งดี,กสทช.ต้องมีบันทึกแน่ ทหารสายลับสามารถดักเสียงได้แน่นอน.,อย่าพากันเก็บทหารเลวไว้หนักกองทัพไทยเลย,สมควรกำจัดเถอะ. https://youtube.com/watch?v=ai3k6kgSSDo&si=S_-95UU8YWerUPcZ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USB สีฟ้า: เมื่อสีของพอร์ตกลายเป็นภาษาลับของความเร็วและฟังก์ชัน

    ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ช่อง USB บนคอมพิวเตอร์มีแต่สีดำ—รองรับ USB 2.0 ที่มีความเร็วสูงสุดแค่ 480 Mbps ใช้สำหรับเมาส์ คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์เล็ก ๆ แต่เมื่อ USB 3.0 เปิดตัว สีฟ้าก็ถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่า “ช่องนี้เร็วกว่า” โดยสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 5 Gbps และรองรับการสื่อสารแบบ full-duplex คือส่งและรับข้อมูลพร้อมกันได้

    พอร์ตสีฟ้าจึงกลายเป็นจุดเด่นบนเมนบอร์ดและแล็ปท็อปที่เน้นประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น external SSD, backup drive หรืออุปกรณ์วิดีโอความละเอียดสูง

    แต่ความจริงคือ “สีฟ้า” ไม่ใช่มาตรฐานที่บังคับ—USB-IF ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน USB ไม่ได้กำหนดสีไว้ ทำให้แต่ละแบรนด์ใช้สีต่างกันไป เช่น Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ HP บางรุ่นใช้สีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS (SuperSpeed) แทน

    ในอุปกรณ์เกมหรือเมนบอร์ดระดับสูง พอร์ตสีฟ้าอาจหมายถึง USB 3.2 Gen 1 แต่บางครั้งก็มีฟีเจอร์พิเศษแฝงอยู่ เช่น BIOS flashback หรือการปรับแต่งอุปกรณ์เฉพาะทาง ส่วนใน PlayStation พอร์ตสีฟ้ามักใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง

    หากไม่แน่ใจว่าพอร์ตสีฟ้าทำอะไรได้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือดูคู่มือหรือสเปกของอุปกรณ์ หรือสังเกตสัญลักษณ์ข้างพอร์ต เช่น SS, ตัวเลข 5/10/20 (Gbps), หรือไอคอนสายฟ้า ซึ่งบอกถึงความสามารถในการชาร์จเร็ว

    ความหมายของพอร์ต USB สีฟ้า
    มักหมายถึง USB 3.x (เช่น 3.0, 3.1, 3.2 Gen 1) ที่มีความเร็วสูง
    รองรับ full-duplex communication ส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน
    เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ bandwidth สูง เช่น external SSD หรือกล้อง

    ความแตกต่างระหว่างแบรนด์
    Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ
    HP ใช้ทั้งสีฟ้าและสีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS
    Apple ไม่ใช้สี แต่ระบุในคู่มือหรือสเปกแทน

    สัญลักษณ์ที่ควรสังเกต
    SS = SuperSpeed (USB 3.x)
    ตัวเลข 5/10/20 = ความเร็วในการส่งข้อมูล (Gbps)
    ไอคอนสายฟ้า = รองรับการชาร์จเร็วหรือ Power Delivery

    การใช้งานในอุปกรณ์เฉพาะ
    เมนบอร์ดเกมมิ่งอาจใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับ BIOS flashback หรือการปรับแต่ง
    PlayStation ใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก
    Docking station และฮับมักใช้สีฟ้าเพื่อแยก USB 3.x จาก USB 2.0

    https://www.slashgear.com/1953890/blue-usb-port-what-means-uses-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USB สีฟ้า: เมื่อสีของพอร์ตกลายเป็นภาษาลับของความเร็วและฟังก์ชัน ย้อนกลับไปก่อนปี 2008 ช่อง USB บนคอมพิวเตอร์มีแต่สีดำ—รองรับ USB 2.0 ที่มีความเร็วสูงสุดแค่ 480 Mbps ใช้สำหรับเมาส์ คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์เล็ก ๆ แต่เมื่อ USB 3.0 เปิดตัว สีฟ้าก็ถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่า “ช่องนี้เร็วกว่า” โดยสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 5 Gbps และรองรับการสื่อสารแบบ full-duplex คือส่งและรับข้อมูลพร้อมกันได้ พอร์ตสีฟ้าจึงกลายเป็นจุดเด่นบนเมนบอร์ดและแล็ปท็อปที่เน้นประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น external SSD, backup drive หรืออุปกรณ์วิดีโอความละเอียดสูง แต่ความจริงคือ “สีฟ้า” ไม่ใช่มาตรฐานที่บังคับ—USB-IF ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน USB ไม่ได้กำหนดสีไว้ ทำให้แต่ละแบรนด์ใช้สีต่างกันไป เช่น Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ HP บางรุ่นใช้สีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS (SuperSpeed) แทน ในอุปกรณ์เกมหรือเมนบอร์ดระดับสูง พอร์ตสีฟ้าอาจหมายถึง USB 3.2 Gen 1 แต่บางครั้งก็มีฟีเจอร์พิเศษแฝงอยู่ เช่น BIOS flashback หรือการปรับแต่งอุปกรณ์เฉพาะทาง ส่วนใน PlayStation พอร์ตสีฟ้ามักใช้สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง หากไม่แน่ใจว่าพอร์ตสีฟ้าทำอะไรได้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดคือดูคู่มือหรือสเปกของอุปกรณ์ หรือสังเกตสัญลักษณ์ข้างพอร์ต เช่น SS, ตัวเลข 5/10/20 (Gbps), หรือไอคอนสายฟ้า ซึ่งบอกถึงความสามารถในการชาร์จเร็ว ✅ ความหมายของพอร์ต USB สีฟ้า ➡️ มักหมายถึง USB 3.x (เช่น 3.0, 3.1, 3.2 Gen 1) ที่มีความเร็วสูง ➡️ รองรับ full-duplex communication ส่งและรับข้อมูลพร้อมกัน ➡️ เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ bandwidth สูง เช่น external SSD หรือกล้อง ✅ ความแตกต่างระหว่างแบรนด์ ➡️ Dell และ Lenovo ใช้สีฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ➡️ HP ใช้ทั้งสีฟ้าและสีดำพร้อมสัญลักษณ์ SS ➡️ Apple ไม่ใช้สี แต่ระบุในคู่มือหรือสเปกแทน ✅ สัญลักษณ์ที่ควรสังเกต ➡️ SS = SuperSpeed (USB 3.x) ➡️ ตัวเลข 5/10/20 = ความเร็วในการส่งข้อมูล (Gbps) ➡️ ไอคอนสายฟ้า = รองรับการชาร์จเร็วหรือ Power Delivery ✅ การใช้งานในอุปกรณ์เฉพาะ ➡️ เมนบอร์ดเกมมิ่งอาจใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับ BIOS flashback หรือการปรับแต่ง ➡️ PlayStation ใช้พอร์ตสีฟ้าสำหรับอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก ➡️ Docking station และฮับมักใช้สีฟ้าเพื่อแยก USB 3.x จาก USB 2.0 https://www.slashgear.com/1953890/blue-usb-port-what-means-uses-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does It Mean When A USB Port Is Blue? - SlashGear
    The color of your USB port can tell you everything you need to know about what the port is capable of, so what does it mean if you have a blue USB port?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Linux Kernel: เมื่อการอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมลืมอดีต

    ในยุคที่ SSD ความจุหลายเทราไบต์และ cloud storage ครองโลก การพูดถึงแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ในเดือนกันยายน 2025 นักพัฒนา Linux อย่าง Andy Shevchenko ได้ส่ง patch ใหม่เข้า kernel เพื่อ “ทำความสะอาด” โค้ดของไดรเวอร์ฟลอปปี้—เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี

    การอัปเดตนี้ไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นการลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย และจัดเรียง header ใหม่ให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น จุดประสงค์คือเพื่อให้โค้ดสะอาดและดูแลรักษาได้ง่าย แม้ว่าไดรเวอร์นี้จะถูกมองว่า “ถูกทอดทิ้ง” มานานแล้ว

    แต่การที่ Linux ยังเก็บไดรเวอร์ฟลอปปี้ไว้ใน kernel ก็สะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความเคารพต่อ legacy system ที่ยังมีอยู่จริงในบางกรณี เช่น ในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ นักโทษยังใช้แผ่นฟลอปปี้ในการเก็บข้อมูลคดี เพราะอุปกรณ์อื่นถูกห้ามใช้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

    แม้ Sony จะหยุดผลิตแผ่นฟลอปปี้ตั้งแต่ปี 2010 และผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง Tom Persky ก็เคยกล่าวว่า “อุตสาหกรรมนี้น่าจะอยู่ได้อีกแค่ 4 ปี” แต่การที่ Linux ยังรองรับฟลอปปี้ก็เหมือนการบอกว่า “เรายังไม่ลืมคุณ”

    การอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้ใน Linux
    นำโดย Andy Shevchenko เพื่อทำความสะอาดโค้ด
    ลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย, จัดเรียง header ใหม่
    ไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือปรับปรุงการทำงาน

    เหตุผลที่ยังคงรองรับฟลอปปี้
    ยังมีการใช้งานในบางกรณี เช่น เรือนจำที่ห้ามใช้อุปกรณ์อื่น
    Linux มีแนวทางที่เคารพ legacy system และความเข้ากันได้ย้อนหลัง
    การลบไดรเวอร์อาจกระทบผู้ใช้เฉพาะกลุ่มที่ยังพึ่งพาระบบนี้

    สถานะของอุตสาหกรรมฟลอปปี้
    Sony หยุดผลิตตั้งแต่ปี 2010
    ผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง floppydisk.com ดำเนินการจาก stock เดิม
    คาดว่า supply จะหมดภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

    บริบทของเทคโนโลยีปัจจุบัน
    SSD มีความจุหลายเทราไบต์และราคาถูกลงเรื่อย ๆ
    Cloud storage ทำให้การใช้ physical media ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกมากกว่าการใช้งานจริง

    https://www.techradar.com/pro/floppy-disks-live-on-linux-drivers-get-first-update-for-years-perhaps-signalling-a-comeback-for-the-much-loved-system
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Linux Kernel: เมื่อการอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมลืมอดีต ในยุคที่ SSD ความจุหลายเทราไบต์และ cloud storage ครองโลก การพูดถึงแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ในเดือนกันยายน 2025 นักพัฒนา Linux อย่าง Andy Shevchenko ได้ส่ง patch ใหม่เข้า kernel เพื่อ “ทำความสะอาด” โค้ดของไดรเวอร์ฟลอปปี้—เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี การอัปเดตนี้ไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นการลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย และจัดเรียง header ใหม่ให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น จุดประสงค์คือเพื่อให้โค้ดสะอาดและดูแลรักษาได้ง่าย แม้ว่าไดรเวอร์นี้จะถูกมองว่า “ถูกทอดทิ้ง” มานานแล้ว แต่การที่ Linux ยังเก็บไดรเวอร์ฟลอปปี้ไว้ใน kernel ก็สะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความเคารพต่อ legacy system ที่ยังมีอยู่จริงในบางกรณี เช่น ในเรือนจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ นักโทษยังใช้แผ่นฟลอปปี้ในการเก็บข้อมูลคดี เพราะอุปกรณ์อื่นถูกห้ามใช้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แม้ Sony จะหยุดผลิตแผ่นฟลอปปี้ตั้งแต่ปี 2010 และผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง Tom Persky ก็เคยกล่าวว่า “อุตสาหกรรมนี้น่าจะอยู่ได้อีกแค่ 4 ปี” แต่การที่ Linux ยังรองรับฟลอปปี้ก็เหมือนการบอกว่า “เรายังไม่ลืมคุณ” ✅ การอัปเดตไดรเวอร์ฟลอปปี้ใน Linux ➡️ นำโดย Andy Shevchenko เพื่อทำความสะอาดโค้ด ➡️ ลบ macro ที่ไม่ได้ใช้, แก้ constant ที่ล้าสมัย, จัดเรียง header ใหม่ ➡️ ไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หรือปรับปรุงการทำงาน ✅ เหตุผลที่ยังคงรองรับฟลอปปี้ ➡️ ยังมีการใช้งานในบางกรณี เช่น เรือนจำที่ห้ามใช้อุปกรณ์อื่น ➡️ Linux มีแนวทางที่เคารพ legacy system และความเข้ากันได้ย้อนหลัง ➡️ การลบไดรเวอร์อาจกระทบผู้ใช้เฉพาะกลุ่มที่ยังพึ่งพาระบบนี้ ✅ สถานะของอุตสาหกรรมฟลอปปี้ ➡️ Sony หยุดผลิตตั้งแต่ปี 2010 ➡️ ผู้ขายรายสุดท้ายอย่าง floppydisk.com ดำเนินการจาก stock เดิม ➡️ คาดว่า supply จะหมดภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ บริบทของเทคโนโลยีปัจจุบัน ➡️ SSD มีความจุหลายเทราไบต์และราคาถูกลงเรื่อย ๆ ➡️ Cloud storage ทำให้การใช้ physical media ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ฟลอปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกมากกว่าการใช้งานจริง https://www.techradar.com/pro/floppy-disks-live-on-linux-drivers-get-first-update-for-years-perhaps-signalling-a-comeback-for-the-much-loved-system
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ”

    ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้

    UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น

    แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน

    Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที

    ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น

    โครงสร้างของ UB-Mesh
    ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack
    รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น
    ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่

    เป้าหมายของ UB-Mesh
    เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center
    ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น
    ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล

    ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม
    Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์
    Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที
    ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว

    การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน
    Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า
    หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน
    ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น

    การทดสอบและการใช้งานจริง
    Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด
    UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน
    เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง

    https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    🎙️ เรื่องเล่าจาก UB-Mesh: เมื่อการเชื่อมต่อใน data center ไม่ใช่แค่สายไฟ แต่คือ “ภาษากลางของระบบอัจฉริยะ” ในงาน Hot Chips 2025 Huawei ได้เปิดตัว UB-Mesh ซึ่งเป็น interconnect protocol แบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อภายใน AI data center ขนาดใหญ่ระดับ SuperNode โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ลดต้นทุน, เพิ่มความเสถียร, และ “เปิด source” ให้ทุกคนเข้าถึงได้ UB-Mesh ใช้โครงสร้างแบบ hybrid topology โดยผสมผสาน CLOS backbone ระดับ data hall เข้ากับ mesh แบบหลายมิติภายในแต่ละ rack ทำให้สามารถขยายระบบได้ถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น แนวคิดนี้เกิดจากปัญหาที่ interconnect แบบเดิม เช่น PCIe, NVLink, UALink หรือ Ultra Ethernet เริ่มมีต้นทุนสูงเกินไปเมื่อระบบขยายขนาด และยังต้องใช้ protocol conversion หลายชั้น ซึ่งเพิ่ม latency และความซับซ้อน Huawei จึงเสนอ UB-Mesh เป็น “ภาษากลาง” ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์—CPU, GPU, SSD, memory, switch—ให้ทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในเครื่องเดียว โดยมี bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ และ latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ที่สำคัญคือ Huawei จะเปิด source โปรโตคอลนี้ในเดือนหน้า พร้อมอนุญาตให้ใช้แบบ free license เพื่อผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม แม้จะยังมีคำถามเรื่อง governance และความเชื่อมั่นจากผู้ผลิตรายอื่น ✅ โครงสร้างของ UB-Mesh ➡️ ใช้ CLOS backbone ระดับ data hall ร่วมกับ multidimensional mesh ภายใน rack ➡️ รองรับการขยายระบบถึงระดับหลายหมื่น node โดยไม่เพิ่มต้นทุนแบบเชิงเส้น ➡️ ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา latency และ hardware failure ในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ เป้าหมายของ UB-Mesh ➡️ เป็น interconnect แบบ universal ที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ใน data center ➡️ ลดความซับซ้อนจากการใช้ protocol conversion หลายชั้น ➡️ ทำให้ทุกพอร์ตสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องแปลงโปรโตคอล ✅ ประสิทธิภาพที่ Huawei เคลม ➡️ Bandwidth มากกว่า 1TB/s ต่ออุปกรณ์ ➡️ Latency ต่ำกว่าหนึ่งไมโครวินาที ➡️ ใช้ได้กับระบบที่มี CPU, GPU, memory, SSD และ switch ใน node เดียว ✅ การเปิด source และการผลักดันเป็นมาตรฐาน ➡️ Huawei จะเปิดเผยโปรโตคอล UB-Mesh พร้อม free license ในเดือนหน้า ➡️ หวังให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนระบบที่ fragmented ในปัจจุบัน ➡️ ขึ้นอยู่กับการยอมรับจาก partner และผู้ผลิตรายอื่น ✅ การทดสอบและการใช้งานจริง ➡️ Huawei ใช้ระบบ 8,192-node เป็นตัวอย่างว่าต้นทุนไม่จำเป็นต้องเพิ่มตามขนาด ➡️ UB-Mesh เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด SuperNode ที่รวมทุกอุปกรณ์ให้ทำงานร่วมกัน ➡️ เหมาะกับ AI training, cloud storage และ HPC ที่ต้องการ bandwidth สูง https://www.techradar.com/pro/could-this-be-the-next-big-step-forward-for-ai-huaweis-open-source-move-will-make-it-easier-than-ever-to-connect-together-well-pretty-much-everything
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Kazeta: เมื่อ Linux กลายเป็นคอนโซลยุค 90 ที่ไม่ต้องต่อเน็ต ไม่ต้องล็อกอิน แค่เสียบแล้วเล่น

    ในยุคที่เกมพีซีเต็มไปด้วย launcher, DRM, cloud save, subscription และ UI ที่ซับซ้อน Kazeta OS กลับเลือกเดินทางย้อนยุค—พัฒนา Linux OS ที่ให้ประสบการณ์แบบ “เสียบตลับ กดเปิด แล้วเล่น” เหมือนเครื่องเกมในยุค 1990s โดยไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องอัปเดตอะไรทั้งสิ้น

    Kazeta พัฒนาโดย Alesh Slovak ผู้สร้าง ChimeraOS มาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อผู้เล่นที่เบื่อความซับซ้อนของ SteamOS หรือ digital storefronts และอยากเก็บเกมแบบ physical media ที่จับต้องได้ Kazeta จึงอนุญาตให้ผู้ใช้แปลงเกม DRM-free เช่นจาก GOG หรือ itch.io ให้กลายเป็น “ตลับเกม” บน SD card ที่เสียบแล้วเล่นได้ทันที

    เมื่อไม่มีตลับเสียบ เครื่องจะบูตเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นจัดการเซฟเกมได้อย่างง่ายดาย โดยเซฟจะเก็บไว้ในเครื่อง ส่วนตลับเกมจะเป็น read-only เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของไฟล์เกม

    แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ Kazeta รองรับทั้งเกมใหม่และเกมเก่าผ่าน emulator และสามารถใช้กับพีซีทั่วไปที่มี GPU ระดับกลางขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่รองรับ dual boot, VM, hybrid graphics หรือ Bluetooth controller (แต่จะรองรับในอนาคต)

    แนวคิดหลักของ Kazeta OS
    สร้างประสบการณ์ “เสียบตลับแล้วเล่น” แบบคอนโซลยุค 90
    ไม่ต้องล็อกอิน, ไม่ต้องต่อเน็ต, ไม่มี launcher หรือ subscription
    รองรับเกม DRM-free จาก GOG, itch.io และ emulator

    วิธีใช้งาน
    ติดตั้ง Kazeta OS บนพีซีที่มีสเปกพอประมาณ
    เตรียม SD card เป็น “ตลับเกม” โดยใส่เกม DRM-free ทีละเกม
    เสียบ SD card แล้วเปิดเครื่องเพื่อเข้าเกมทันที
    หากไม่มีตลับ จะเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรเพื่อจัดการเซฟเกม

    จุดเด่นด้านการเก็บเกม
    ตลับเกมเป็น read-only เพื่อรักษาไฟล์เกม
    เซฟเกมเก็บไว้ในเครื่อง และสามารถแบ็กอัปออกไปได้
    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกมแบบ physical media

    ความเข้ากันได้ของระบบ
    รองรับ GPU: AMD RX 400+, NVIDIA GTX 1600+, Intel Gen 9+ (แต่ไม่แนะนำ)
    รองรับ controller: 8Bitdo Ultimate 2C (ผ่าน dongle หรือสาย)
    ไม่รองรับ VM, dual boot, hybrid graphics, Bluetooth controller (ยังไม่พร้อม)

    https://www.tomshardware.com/software/linux/linux-gaming-os-kazeta-promises-console-gaming-experience-of-the-1990s-for-pc-users-supports-almost-any-drm-free-game-past-or-present
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Kazeta: เมื่อ Linux กลายเป็นคอนโซลยุค 90 ที่ไม่ต้องต่อเน็ต ไม่ต้องล็อกอิน แค่เสียบแล้วเล่น ในยุคที่เกมพีซีเต็มไปด้วย launcher, DRM, cloud save, subscription และ UI ที่ซับซ้อน Kazeta OS กลับเลือกเดินทางย้อนยุค—พัฒนา Linux OS ที่ให้ประสบการณ์แบบ “เสียบตลับ กดเปิด แล้วเล่น” เหมือนเครื่องเกมในยุค 1990s โดยไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องอัปเดตอะไรทั้งสิ้น Kazeta พัฒนาโดย Alesh Slovak ผู้สร้าง ChimeraOS มาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อผู้เล่นที่เบื่อความซับซ้อนของ SteamOS หรือ digital storefronts และอยากเก็บเกมแบบ physical media ที่จับต้องได้ Kazeta จึงอนุญาตให้ผู้ใช้แปลงเกม DRM-free เช่นจาก GOG หรือ itch.io ให้กลายเป็น “ตลับเกม” บน SD card ที่เสียบแล้วเล่นได้ทันที เมื่อไม่มีตลับเสียบ เครื่องจะบูตเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นจัดการเซฟเกมได้อย่างง่ายดาย โดยเซฟจะเก็บไว้ในเครื่อง ส่วนตลับเกมจะเป็น read-only เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของไฟล์เกม แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ Kazeta รองรับทั้งเกมใหม่และเกมเก่าผ่าน emulator และสามารถใช้กับพีซีทั่วไปที่มี GPU ระดับกลางขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่รองรับ dual boot, VM, hybrid graphics หรือ Bluetooth controller (แต่จะรองรับในอนาคต) ✅ แนวคิดหลักของ Kazeta OS ➡️ สร้างประสบการณ์ “เสียบตลับแล้วเล่น” แบบคอนโซลยุค 90 ➡️ ไม่ต้องล็อกอิน, ไม่ต้องต่อเน็ต, ไม่มี launcher หรือ subscription ➡️ รองรับเกม DRM-free จาก GOG, itch.io และ emulator ✅ วิธีใช้งาน ➡️ ติดตั้ง Kazeta OS บนพีซีที่มีสเปกพอประมาณ ➡️ เตรียม SD card เป็น “ตลับเกม” โดยใส่เกม DRM-free ทีละเกม ➡️ เสียบ SD card แล้วเปิดเครื่องเพื่อเข้าเกมทันที ➡️ หากไม่มีตลับ จะเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรเพื่อจัดการเซฟเกม ✅ จุดเด่นด้านการเก็บเกม ➡️ ตลับเกมเป็น read-only เพื่อรักษาไฟล์เกม ➡️ เซฟเกมเก็บไว้ในเครื่อง และสามารถแบ็กอัปออกไปได้ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกมแบบ physical media ✅ ความเข้ากันได้ของระบบ ➡️ รองรับ GPU: AMD RX 400+, NVIDIA GTX 1600+, Intel Gen 9+ (แต่ไม่แนะนำ) ➡️ รองรับ controller: 8Bitdo Ultimate 2C (ผ่าน dongle หรือสาย) ➡️ ไม่รองรับ VM, dual boot, hybrid graphics, Bluetooth controller (ยังไม่พร้อม) https://www.tomshardware.com/software/linux/linux-gaming-os-kazeta-promises-console-gaming-experience-of-the-1990s-for-pc-users-supports-almost-any-drm-free-game-past-or-present
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Intel: เมื่อหลายคอร์รวมพลังกลายเป็น “ซูเปอร์คอร์” เพื่องานเดี่ยว

    ในโลกของ CPU เรามักคิดว่า “คอร์เยอะ” เหมาะกับงานหลายเธรด แต่ถ้าเราต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากงานเดี่ยวล่ะ? Intel กำลังทดลองแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Software Defined Supercore (SDC) ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์รวมหลายคอร์ให้ทำงานร่วมกันเป็น “คอร์เสมือน” ที่กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องสร้างคอร์ขนาดใหญ่ที่กินพลังงานมหาศาล

    แนวคิดนี้คล้ายกับการสร้าง pipeline เสมือนที่กว้างขึ้น โดยแบ่งคำสั่งของเธรดเดียวออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน พร้อมมีระบบซิงก์และการจัดการลำดับคำสั่งเพื่อให้ผลลัพธ์ยังถูกต้องตามลำดับเดิม

    Intel ใช้เทคนิคทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เช่น wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์, JIT หรือ static compiler สำหรับแบ่งโค้ด, และ OS-level scheduling เพื่อควบคุมว่าเมื่อใดควรเปิดหรือปิดโหมด supercore

    แม้จะยังเป็นแค่สิทธิบัตร แต่แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง IPC (Instructions per Clock) ไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อจำกัดของ x86 ที่ไม่สามารถสร้างคอร์แบบ 8-way superscalar ได้จริงเพราะติด bottleneck ด้าน front-end

    แนวคิด Software Defined Supercore (SDC)
    รวมหลาย physical core ให้ทำงานเป็น virtual supercore สำหรับงาน single-thread
    แบ่งคำสั่งออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน
    ใช้ระบบซิงก์และการจัดลำดับเพื่อรักษาความถูกต้องของโปรแกรม

    เทคนิคที่ใช้ใน SDC
    wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์
    ใช้ JIT compiler, static compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด
    inject คำสั่งพิเศษสำหรับ flow control และ register passing

    การจัดการโดย OS
    OS เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดหรือปิดโหมด supercore ตาม runtime condition
    ช่วยบาลานซ์ระหว่าง performance และ core availability

    เปรียบเทียบกับแนวทางเดิม
    x86 core ปัจจุบัน decode ได้ 4–6 คำสั่ง และ execute ได้ 8–9 micro-ops ต่อ cycle
    Apple Arm core เช่น Firestorm สามารถ decode ได้ถึง 8 และ execute ได้มากกว่า 10
    SDC อาจช่วยให้ x86 เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ Arm โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์

    ความเชื่อมโยงกับแนวคิดเก่า
    คล้ายกับ inverse hyper-threading และแนวคิด Bulldozer ของ AMD
    อาจมีรากฐานจากโครงการ Royal Core ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-patents-software-defined-supercore-mimicking-ultra-wide-execution-using-multiple-cores
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Intel: เมื่อหลายคอร์รวมพลังกลายเป็น “ซูเปอร์คอร์” เพื่องานเดี่ยว ในโลกของ CPU เรามักคิดว่า “คอร์เยอะ” เหมาะกับงานหลายเธรด แต่ถ้าเราต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากงานเดี่ยวล่ะ? Intel กำลังทดลองแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Software Defined Supercore (SDC) ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์รวมหลายคอร์ให้ทำงานร่วมกันเป็น “คอร์เสมือน” ที่กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องสร้างคอร์ขนาดใหญ่ที่กินพลังงานมหาศาล แนวคิดนี้คล้ายกับการสร้าง pipeline เสมือนที่กว้างขึ้น โดยแบ่งคำสั่งของเธรดเดียวออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน พร้อมมีระบบซิงก์และการจัดการลำดับคำสั่งเพื่อให้ผลลัพธ์ยังถูกต้องตามลำดับเดิม Intel ใช้เทคนิคทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เช่น wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์, JIT หรือ static compiler สำหรับแบ่งโค้ด, และ OS-level scheduling เพื่อควบคุมว่าเมื่อใดควรเปิดหรือปิดโหมด supercore แม้จะยังเป็นแค่สิทธิบัตร แต่แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง IPC (Instructions per Clock) ไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อจำกัดของ x86 ที่ไม่สามารถสร้างคอร์แบบ 8-way superscalar ได้จริงเพราะติด bottleneck ด้าน front-end ✅ แนวคิด Software Defined Supercore (SDC) ➡️ รวมหลาย physical core ให้ทำงานเป็น virtual supercore สำหรับงาน single-thread ➡️ แบ่งคำสั่งออกเป็นบล็อก แล้วให้แต่ละคอร์ประมวลผลพร้อมกัน ➡️ ใช้ระบบซิงก์และการจัดลำดับเพื่อรักษาความถูกต้องของโปรแกรม ✅ เทคนิคที่ใช้ใน SDC ➡️ wormhole address space สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างคอร์ ➡️ ใช้ JIT compiler, static compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด ➡️ inject คำสั่งพิเศษสำหรับ flow control และ register passing ✅ การจัดการโดย OS ➡️ OS เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดหรือปิดโหมด supercore ตาม runtime condition ➡️ ช่วยบาลานซ์ระหว่าง performance และ core availability ✅ เปรียบเทียบกับแนวทางเดิม ➡️ x86 core ปัจจุบัน decode ได้ 4–6 คำสั่ง และ execute ได้ 8–9 micro-ops ต่อ cycle ➡️ Apple Arm core เช่น Firestorm สามารถ decode ได้ถึง 8 และ execute ได้มากกว่า 10 ➡️ SDC อาจช่วยให้ x86 เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ Arm โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์ ✅ ความเชื่อมโยงกับแนวคิดเก่า ➡️ คล้ายกับ inverse hyper-threading และแนวคิด Bulldozer ของ AMD ➡️ อาจมีรากฐานจากโครงการ Royal Core ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-patents-software-defined-supercore-mimicking-ultra-wide-execution-using-multiple-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก KB5063878: เมื่ออัปเดตเพื่อป้องกัน กลับกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องทำลาย

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ Windows หลายคนเริ่มรายงานว่า SSD ของตน “หายไป” หรือ “พัง” หลังจากติดตั้งอัปเดต KB5063878 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพตช์ความปลอดภัย Windows 11 24H2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเขียนไฟล์ต่อเนื่องเกิน 50GB บนไดรฟ์ที่มีข้อมูลเกิน 60% ขึ้นไป

    บางรายงานชี้ว่า SSD ที่ไม่มี DRAM และใช้คอนโทรลเลอร์ Phison ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เมื่อมีการทดสอบ SSD 21 รุ่น กลับพบว่าแบรนด์อื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft และ Phison ต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่สามารถ “ทำให้เกิดปัญหา” ได้ในการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง และ 2,200 รอบการเขียน

    แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัปเดตเป็นสาเหตุ แต่เอกสารลับที่อ้างว่าเป็นรายชื่อคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบก็ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ Phison ต้องออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ

    Microsoft เองก็ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลจาก telemetry หรือการแจ้งจากลูกค้าโดยตรงที่ชี้ว่าอัปเดตนี้ทำให้ SSD พัง และแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาแจ้งกลับเพื่อสร้าง “paper trail” ที่จะช่วยให้ตรวจสอบได้ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-swats-down-reports-of-ssd-failures-in-windows-company-says-recent-update-didnt-cause-storage-failures
    🎙️ เรื่องเล่าจาก KB5063878: เมื่ออัปเดตเพื่อป้องกัน กลับกลายเป็นข้อกล่าวหาเรื่องทำลาย ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ Windows หลายคนเริ่มรายงานว่า SSD ของตน “หายไป” หรือ “พัง” หลังจากติดตั้งอัปเดต KB5063878 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพตช์ความปลอดภัย Windows 11 24H2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเขียนไฟล์ต่อเนื่องเกิน 50GB บนไดรฟ์ที่มีข้อมูลเกิน 60% ขึ้นไป บางรายงานชี้ว่า SSD ที่ไม่มี DRAM และใช้คอนโทรลเลอร์ Phison ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เมื่อมีการทดสอบ SSD 21 รุ่น กลับพบว่าแบรนด์อื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft และ Phison ต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่สามารถ “ทำให้เกิดปัญหา” ได้ในการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง และ 2,200 รอบการเขียน แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอัปเดตเป็นสาเหตุ แต่เอกสารลับที่อ้างว่าเป็นรายชื่อคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบก็ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ Phison ต้องออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ Microsoft เองก็ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลจาก telemetry หรือการแจ้งจากลูกค้าโดยตรงที่ชี้ว่าอัปเดตนี้ทำให้ SSD พัง และแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาแจ้งกลับเพื่อสร้าง “paper trail” ที่จะช่วยให้ตรวจสอบได้ในอนาคต https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-swats-down-reports-of-ssd-failures-in-windows-company-says-recent-update-didnt-cause-storage-failures
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Silver Fox: เมื่อ “ไดรเวอร์ที่เซ็นแล้ว” กลายเป็นอาวุธของ APT

    กลุ่มแฮกเกอร์ระดับชาติที่ชื่อว่า Silver Fox APT ได้เปิดแคมเปญโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) โดยอาศัยไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft อย่างถูกต้อง แต่มีช่องโหว่ร้ายแรง เพื่อปิดระบบป้องกันของ Windows แล้วติดตั้งมัลแวร์ ValleyRAT

    ไดรเวอร์ที่ถูกใช้คือ WatchDog Antimalware (amsdk.sys v1.0.600) ซึ่งแม้จะเซ็นโดย Microsoft แต่ไม่เคยถูกขึ้นบัญชีบล็อกของ Microsoft หรือชุมชนอย่าง LOLDrivers มาก่อน Silver Fox ยังใช้ไดรเวอร์เก่าของ Zemana (zam.exe) เพื่อให้แคมเปญทำงานได้ทั้งบน Windows 7, 10 และ 11

    Loader ที่ใช้ในแคมเปญนี้เป็นแพ็กเกจแบบ all-in-one ที่รวม anti-analysis, driver ฝังตัว, logic สำหรับฆ่า process และ ValleyRAT downloader ไว้ในไฟล์เดียว เมื่อรันแล้วจะเลือกไดรเวอร์ให้เหมาะกับระบบ ติดตั้งตัวเองแบบ persistent และเริ่มฆ่า process ของโปรแกรมป้องกันทันที

    ที่น่าตกใจคือ แม้ WatchDog จะออก patch ใหม่ (v1.1.100) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ privilege escalation แต่ Silver Fox กลับ “พลิกเกม” โดยเปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น ทำให้ได้ hash ใหม่ที่หลบ blocklist ได้ โดยไม่ทำให้ลายเซ็นเสีย—Windows ยังเชื่อว่าเป็นไฟล์ที่ปลอดภัย

    เทคนิค BYOVD ที่ใช้ในแคมเปญ Silver Fox
    ใช้ไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft แต่มีช่องโหว่จริง
    WatchDog (amsdk.sys v1.0.600) และ Zemana (zam.exe) ถูกใช้ร่วมกัน
    Loader แบบ all-in-one รวมทุกฟีเจอร์ไว้ในไฟล์เดียว

    จุดอ่อนของ WatchDog driver
    สามารถฆ่า process ได้โดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ (PP/PPL bypass)
    มีช่องโหว่ privilege escalation และ raw disk access
    ไม่มีการควบคุม access บน device namespace ทำให้ user ธรรมดาใช้ได้

    การหลบการตรวจจับด้วยการเปลี่ยน hash
    เปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น
    ได้ hash ใหม่ที่ไม่อยู่ใน blocklist แต่ยังคงลายเซ็นที่ถูกต้อง
    Windows ยังมองว่าเป็นไฟล์ที่เชื่อถือได้

    ValleyRAT: Payload สุดท้าย
    เป็น modular backdoor ที่มีฟีเจอร์ spying, command execution และ data exfiltration
    โครงสร้าง C2 ถูก trace ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน
    เป้าหมายหลักคือองค์กรในเอเชีย โดยเฉพาะจีน

    การตอบสนองจาก WatchDog และ Microsoft
    WatchDog ออก patch v1.1.100 เพื่อแก้ LPE ด้วยการเพิ่ม DACL
    แต่ยังไม่แก้ปัญหา process termination
    Microsoft blocklist อัปเดตช้า ทำให้มีช่องว่างให้โจมตี

    ความเสี่ยงจากการเชื่อมั่นลายเซ็นมากเกินไป
    ลายเซ็นที่ถูกต้องไม่เท่ากับความปลอดภัย หาก hash ถูกเปลี่ยน
    ระบบที่ใช้ hash-based blocklist อาจถูกหลอกได้ง่าย

    ความล่าช้าในการอัปเดต blocklist
    Microsoft อัปเดต blocklist ปีละไม่กี่ครั้ง ทำให้มีช่องว่างหลายเดือน
    ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่แต่ยังไม่ถูกบล็อกสามารถใช้โจมตีได้ทันที

    ความเสี่ยงจากการใช้ driver ที่ไม่ได้ตรวจสอบ
    ระบบ endpoint protection อาจถูกปิดก่อนที่ detection engine จะทำงาน
    การใช้ driver ที่มีสิทธิ์ระดับ kernel ทำให้มัลแวร์ฝังตัวได้ลึกและยากต่อการลบ

    https://hackread.com/silver-fox-apt-exploit-signed-windows-driver-valleyrat/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Silver Fox: เมื่อ “ไดรเวอร์ที่เซ็นแล้ว” กลายเป็นอาวุธของ APT กลุ่มแฮกเกอร์ระดับชาติที่ชื่อว่า Silver Fox APT ได้เปิดแคมเปญโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) โดยอาศัยไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft อย่างถูกต้อง แต่มีช่องโหว่ร้ายแรง เพื่อปิดระบบป้องกันของ Windows แล้วติดตั้งมัลแวร์ ValleyRAT ไดรเวอร์ที่ถูกใช้คือ WatchDog Antimalware (amsdk.sys v1.0.600) ซึ่งแม้จะเซ็นโดย Microsoft แต่ไม่เคยถูกขึ้นบัญชีบล็อกของ Microsoft หรือชุมชนอย่าง LOLDrivers มาก่อน Silver Fox ยังใช้ไดรเวอร์เก่าของ Zemana (zam.exe) เพื่อให้แคมเปญทำงานได้ทั้งบน Windows 7, 10 และ 11 Loader ที่ใช้ในแคมเปญนี้เป็นแพ็กเกจแบบ all-in-one ที่รวม anti-analysis, driver ฝังตัว, logic สำหรับฆ่า process และ ValleyRAT downloader ไว้ในไฟล์เดียว เมื่อรันแล้วจะเลือกไดรเวอร์ให้เหมาะกับระบบ ติดตั้งตัวเองแบบ persistent และเริ่มฆ่า process ของโปรแกรมป้องกันทันที ที่น่าตกใจคือ แม้ WatchDog จะออก patch ใหม่ (v1.1.100) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ privilege escalation แต่ Silver Fox กลับ “พลิกเกม” โดยเปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น ทำให้ได้ hash ใหม่ที่หลบ blocklist ได้ โดยไม่ทำให้ลายเซ็นเสีย—Windows ยังเชื่อว่าเป็นไฟล์ที่ปลอดภัย ✅ เทคนิค BYOVD ที่ใช้ในแคมเปญ Silver Fox ➡️ ใช้ไดรเวอร์ที่เซ็นโดย Microsoft แต่มีช่องโหว่จริง ➡️ WatchDog (amsdk.sys v1.0.600) และ Zemana (zam.exe) ถูกใช้ร่วมกัน ➡️ Loader แบบ all-in-one รวมทุกฟีเจอร์ไว้ในไฟล์เดียว ✅ จุดอ่อนของ WatchDog driver ➡️ สามารถฆ่า process ได้โดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ (PP/PPL bypass) ➡️ มีช่องโหว่ privilege escalation และ raw disk access ➡️ ไม่มีการควบคุม access บน device namespace ทำให้ user ธรรมดาใช้ได้ ✅ การหลบการตรวจจับด้วยการเปลี่ยน hash ➡️ เปลี่ยนแค่ 1 byte ใน timestamp ของลายเซ็น ➡️ ได้ hash ใหม่ที่ไม่อยู่ใน blocklist แต่ยังคงลายเซ็นที่ถูกต้อง ➡️ Windows ยังมองว่าเป็นไฟล์ที่เชื่อถือได้ ✅ ValleyRAT: Payload สุดท้าย ➡️ เป็น modular backdoor ที่มีฟีเจอร์ spying, command execution และ data exfiltration ➡️ โครงสร้าง C2 ถูก trace ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน ➡️ เป้าหมายหลักคือองค์กรในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ✅ การตอบสนองจาก WatchDog และ Microsoft ➡️ WatchDog ออก patch v1.1.100 เพื่อแก้ LPE ด้วยการเพิ่ม DACL ➡️ แต่ยังไม่แก้ปัญหา process termination ➡️ Microsoft blocklist อัปเดตช้า ทำให้มีช่องว่างให้โจมตี ‼️ ความเสี่ยงจากการเชื่อมั่นลายเซ็นมากเกินไป ⛔ ลายเซ็นที่ถูกต้องไม่เท่ากับความปลอดภัย หาก hash ถูกเปลี่ยน ⛔ ระบบที่ใช้ hash-based blocklist อาจถูกหลอกได้ง่าย ‼️ ความล่าช้าในการอัปเดต blocklist ⛔ Microsoft อัปเดต blocklist ปีละไม่กี่ครั้ง ทำให้มีช่องว่างหลายเดือน ⛔ ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่แต่ยังไม่ถูกบล็อกสามารถใช้โจมตีได้ทันที ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ driver ที่ไม่ได้ตรวจสอบ ⛔ ระบบ endpoint protection อาจถูกปิดก่อนที่ detection engine จะทำงาน ⛔ การใช้ driver ที่มีสิทธิ์ระดับ kernel ทำให้มัลแวร์ฝังตัวได้ลึกและยากต่อการลบ https://hackread.com/silver-fox-apt-exploit-signed-windows-driver-valleyrat/
    HACKREAD.COM
    Silver Fox APT Exploits Signed Windows Driver to Deliver ValleyRAT
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts