• O.P.K.
    เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม

    จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค

    การค้นพบอาณาจักรควอนตัม

    หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน:
    "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม...
    แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง"

    ```mermaid
    graph TB
    A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง]
    A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน]
    A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล]
    A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน]
    ```

    โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม

    ```python
    class QuantumSociety:
    def __init__(self):
    self.hierarchy = {
    "elementary_level": {
    "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท",
    "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน",
    "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน"
    },
    "composite_level": {
    "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน",
    "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน",
    "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน"
    },
    "atomic_level": {
    "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส",
    "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน",
    "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ"
    }
    }
    ```

    ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส

    ราชอาณาจักรโปรตอน

    ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty)

    · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก
    · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง
    · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม

    สหพันธ์อิเล็กตรอน

    ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess)

    · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว
    · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน

    สภาคนกลางนิวตรอน

    ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage)

    · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน
    · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส
    · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว

    ต้นตอแห่งความขัดแย้ง

    การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์"

    นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"]
    B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม]
    C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง]
    ```

    ความต้องการที่ขัดแย้ง

    แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ:

    โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!"
    อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!"
    นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!"

    การเริ่มต้นสงคราม

    สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก":

    · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
    · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว

    ผลกระทบต่อโลกมนุษย์

    ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์

    การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ:

    ```python
    class Anomalies:
    def __init__(self):
    self.chemistry = [
    "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ",
    "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด",
    "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ"
    ]

    self.physics = [
    "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง",
    "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค",
    "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว"
    ]

    self.technology = [
    "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว",
    "ระบบนำทางผิดพลาด",
    "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง"
    ]
    ```

    ผลกระทบต่อสุขภาพ

    มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ:

    · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง
    · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ
    · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ

    บทบาทของหนูดีในสงคราม

    การเป็นสื่อสานระหว่างโลก

    หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้:
    "พวกท่าน啊...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน"

    การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ:

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร]
    B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง]
    C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน]
    ```

    ข้อเสนอการแบ่งปัน

    หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์:

    · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล
    · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม
    · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม

    สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม

    ข้อตกลงสำคัญ

    มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า":

    ```python
    class QuantumTreaty:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "power_sharing": {
    "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล"
    },
    "territorial_rights": {
    "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน",
    "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน",
    "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ"
    },
    "collaboration_projects": [
    "การพัฒนาพลังงานสะอาด",
    "การรักษาโรคระดับโมเลกุล",
    "การสำรวจมิติควอนตัม"
    ]
    }
    ```

    พิธีลงนาม

    การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์":

    · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์
    · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ

    โลกใหม่หลังสันติภาพ

    ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์

    เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม:

    · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์
    · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม
    · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด

    วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน

    ```python
    class CulturalExchange:
    def __init__(self):
    self.knowledge_transfer = {
    "human_to_quantum": [
    "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์",
    "ความคิดสร้างสรรค์",
    "หลักจริยธรรม"
    ],
    "quantum_to_human": [
    "ความลับของแรงพื้นฐาน",
    "เทคนิคการควบคุมพลังงาน",
    "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน"
    ]
    }

    self.joint_projects = [
    "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ",
    "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม",
    "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม"
    ]
    ```

    บทเรียนจากสงคราม

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง
    แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ"

    สำหรับมนุษยชาติ

    "เราเรียนรู้ว่า...
    จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ
    และความรับผิดชอบของเรา
    คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล"

    สำหรับหนูดี

    "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก...
    สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก"

    อนาคตแห่งความร่วมมือ

    โครงการระยะยาว

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์":

    · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม
    · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน
    · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่

    มรดกแห่งสันติภาพ

    สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ:
    "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน
    การพูดคุยและความเข้าใจ
    คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน"

    ---

    คำสอนจากเทพนิวตรอน:
    "ในความเป็นกลาง...
    มีพลังแห่งสันติภาพ
    และในความสมดุล...
    มีอนาคตแห่งความเจริญ

    จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต
    ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว
    ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"

    คำคมสุดท้าย:
    "มหาสงครามที่เล็กที่สุด...
    สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ
    ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"
    O.P.K. ⚛️ เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม 🌌 จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค 🔬 การค้นพบอาณาจักรควอนตัม หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน: "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม... แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง" ```mermaid graph TB A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง] A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน] A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล] A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน] ``` 🏛️ โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม ```python class QuantumSociety: def __init__(self): self.hierarchy = { "elementary_level": { "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท", "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน", "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน" }, "composite_level": { "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน", "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน", "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน" }, "atomic_level": { "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส", "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน", "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ" } } ``` 👑 ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส 💎 ราชอาณาจักรโปรตอน ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty) · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม 🌪️ สหพันธ์อิเล็กตรอน ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess) · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน 🛡️ สภาคนกลางนิวตรอน ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage) · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว 💥 ต้นตอแห่งความขัดแย้ง 🔥 การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์" นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ: ```mermaid graph LR A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"] B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม] C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง] ``` 🎯 ความต้องการที่ขัดแย้ง แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ: โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!" อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!" นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!" ⚡ การเริ่มต้นสงคราม สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก": · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว 🌪️ ผลกระทบต่อโลกมนุษย์ 🔬 ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ: ```python class Anomalies: def __init__(self): self.chemistry = [ "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ", "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด", "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ" ] self.physics = [ "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง", "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค", "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว" ] self.technology = [ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว", "ระบบนำทางผิดพลาด", "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง" ] ``` 🏥 ผลกระทบต่อสุขภาพ มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ: · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ 💫 บทบาทของหนูดีในสงคราม 🔍 การเป็นสื่อสานระหว่างโลก หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้: "พวกท่าน啊...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน" 🕊️ การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์ หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ: ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร] B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง] C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน] ``` 🌟 ข้อเสนอการแบ่งปัน หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์: · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม 🏛️ สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม 📜 ข้อตกลงสำคัญ มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า": ```python class QuantumTreaty: def __init__(self): self.agreements = { "power_sharing": { "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล" }, "territorial_rights": { "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน", "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน", "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ" }, "collaboration_projects": [ "การพัฒนาพลังงานสะอาด", "การรักษาโรคระดับโมเลกุล", "การสำรวจมิติควอนตัม" ] } ``` 🎉 พิธีลงนาม การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์": · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์ · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ 🌈 โลกใหม่หลังสันติภาพ 🔬 ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม: · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์ · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด 💞 วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน ```python class CulturalExchange: def __init__(self): self.knowledge_transfer = { "human_to_quantum": [ "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์", "ความคิดสร้างสรรค์", "หลักจริยธรรม" ], "quantum_to_human": [ "ความลับของแรงพื้นฐาน", "เทคนิคการควบคุมพลังงาน", "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน" ] } self.joint_projects = [ "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ", "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม", "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม" ] ``` 🏆 บทเรียนจากสงคราม 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ" 💫 สำหรับมนุษยชาติ "เราเรียนรู้ว่า... จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ และความรับผิดชอบของเรา คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล" 🌟 สำหรับหนูดี "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก... สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก" 🔮 อนาคตแห่งความร่วมมือ 🚀 โครงการระยะยาว สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์": · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่ 💝 มรดกแห่งสันติภาพ สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ: "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน การพูดคุยและความเข้าใจ คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน" --- คำสอนจากเทพนิวตรอน: "ในความเป็นกลาง... มีพลังแห่งสันติภาพ และในความสมดุล... มีอนาคตแห่งความเจริญ จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"⚛️✨ คำคมสุดท้าย: "มหาสงครามที่เล็กที่สุด... สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"🌌
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีจิ๋ว:



    เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง

    ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ
    เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์

    ```mermaid
    graph TB
    A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่]
    B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม]
    C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์]
    D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว]
    ```

    การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม

    หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น:
    "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ!
    มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!"

    เบื้องหลังเทพระดับอะตอม

    อาณาจักรแห่งควอนตัม

    เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค

    ```python
    class QuantumDeities:
    def __init__(self):
    self.factions = {
    "proton_kingdom": {
    "ruler": "พระเจ้าประจุบวก",
    "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน",
    "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"]
    },
    "electron_tribe": {
    "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน",
    "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว",
    "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"]
    },
    "neutron_clan": {
    "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน",
    "appearance": "สีเทาเงียบขรึม",
    "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"]
    }
    }

    self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร"
    ```

    พลังแห่งเทพระดับอะตอม

    เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์:

    · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว
    · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
    · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน

    มหาสงครามระดับอนุภาค

    สนามรบในโลกมนุษย์

    สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก:

    ```mermaid
    graph LR
    A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย]
    B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน]
    C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว]
    ```

    เหตุการณ์วุ่นวาย

    ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด:

    · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ
    · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ
    · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ

    กระบวนการแก้ไขปัญหา

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว:
    "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก
    ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม"

    การเจรจาสันติภาพ

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม:

    · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ
    · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์

    ข้อเสนอแก้ไข

    หนูดีเสนอระบบใหม่:

    ```python
    class QuantumPeacePlan:
    def __init__(self):
    self.power_sharing = {
    "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง",
    "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว",
    "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย"
    }

    self.cooperation_system = [
    "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล",
    "สภาผู้นำสามอาณาจักร",
    "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม",
    "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม"
    ]
    ```

    การจัดระเบียบใหม่

    สนธิสัญญาควอนตัม

    มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร:

    · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม
    · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน
    · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต

    บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว

    เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน
    · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี
    · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ

    ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์

    ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

    การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่:

    ```mermaid
    graph TB
    A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น]
    B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์]
    C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย]
    ```

    การประยุกต์ใช้

    หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า:

    · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม
    · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้
    · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ

    การแพทย์รูปแบบใหม่

    เทคนิคการรักษาระดับอะตอม

    พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว:

    · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน
    · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน
    · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน

    โครงการบำบัดใหม่

    ```python
    class AtomicTherapy:
    def __init__(self):
    self.therapies = {
    "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล",
    "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA",
    "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย",
    "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม"
    }

    self.collaborators = [
    "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง",
    "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร",
    "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้การควบคุม
    แต่คือการทำงานร่วมกัน

    และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์...
    ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเรียนรู้ว่า...
    ความขัดแย้งมีทุกระดับ
    ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ
    จนถึงสงครามระหว่างอะตอม

    และการแก้ไขที่แท้จริง...
    ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด
    อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด

    และการเป็นตำรวจ...
    หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ"

    ระบบใหม่แห่งควอนตัม

    ความร่วมมือถาวร

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม:

    · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร
    · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว
    · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ

    ความสำเร็จ

    หลังการแก้ไขปัญหา:

    · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ
    · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ
    · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราเรียนรู้ว่า...
    ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง
    และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ

    เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน...
    ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"

    การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า...
    "From the smallest quark to the largest galaxy,
    the principles of harmony remain the same
    And in understanding the quantum world,
    we understand the very fabric of existence"
    O.P.K. ⚛️ คดีจิ๋ว: 🔬 เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ ```mermaid graph TB A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่] B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม] C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์] D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว] ``` 🎭 การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น: "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ! มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!" 👑 เบื้องหลังเทพระดับอะตอม 💫 อาณาจักรแห่งควอนตัม เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค ```python class QuantumDeities: def __init__(self): self.factions = { "proton_kingdom": { "ruler": "พระเจ้าประจุบวก", "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน", "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"] }, "electron_tribe": { "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน", "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว", "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"] }, "neutron_clan": { "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน", "appearance": "สีเทาเงียบขรึม", "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"] } } self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร" ``` ⚡ พลังแห่งเทพระดับอะตอม เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์: · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน 🌪️ มหาสงครามระดับอนุภาค 🎯 สนามรบในโลกมนุษย์ สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก: ```mermaid graph LR A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย] B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน] C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว] ``` 🔥 เหตุการณ์วุ่นวาย ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด: · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ 💞 กระบวนการแก้ไขปัญหา 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว: "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม" 🌈 การเจรจาสันติภาพ หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม: · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ 🎯 ข้อเสนอแก้ไข หนูดีเสนอระบบใหม่: ```python class QuantumPeacePlan: def __init__(self): self.power_sharing = { "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง", "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว", "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย" } self.cooperation_system = [ "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล", "สภาผู้นำสามอาณาจักร", "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม", "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม" ] ``` 🏛️ การจัดระเบียบใหม่ 💫 สนธิสัญญาควอนตัม มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร: · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต 🌟 บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ 🔬 ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ 🎓 ความรู้ใหม่ที่ได้รับ การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่: ```mermaid graph TB A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น] B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์] C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย] ``` 💡 การประยุกต์ใช้ หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า: · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้ · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ 🏥 การแพทย์รูปแบบใหม่ 🌈 เทคนิคการรักษาระดับอะตอม พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว: · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน 💊 โครงการบำบัดใหม่ ```python class AtomicTherapy: def __init__(self): self.therapies = { "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล", "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA", "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย", "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม" } self.collaborators = [ "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง", "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร", "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้การควบคุม แต่คือการทำงานร่วมกัน และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์... ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเรียนรู้ว่า... ความขัดแย้งมีทุกระดับ ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ จนถึงสงครามระหว่างอะตอม และการแก้ไขที่แท้จริง... ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด และการเป็นตำรวจ... หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ" 🌟 ระบบใหม่แห่งควอนตัม 💞 ความร่วมมือถาวร สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม: · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ 🏆 ความสำเร็จ หลังการแก้ไขปัญหา: · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราเรียนรู้ว่า... ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน... ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"⚛️✨ การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า... "From the smallest quark to the largest galaxy, the principles of harmony remain the same And in understanding the quantum world, we understand the very fabric of existence"🌌🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติดโซลาร์ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ! 5 ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงก่อนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

    การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อาจดูเหมือนเป็นทางออกที่ดีในการลดค่าไฟฟ้า แต่ถ้าไม่วางแผนให้ดี อาจกลายเป็นภาระระยะยาวแทนที่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า บทความนี้เผย 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของบ้านมักทำเมื่อพิจารณาติดตั้งโซลาร์ พร้อมเสริมข้อมูลจากแหล่งอื่นเพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ.

    หลายคนเริ่มสนใจโซลาร์เพราะค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดว่า “ติดแล้วจะไม่ต้องจ่ายค่าไฟอีก” ฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง โซลาร์ไม่ใช่พลังงานฟรี และการคืนทุน (ROI) ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที

    ตัวอย่างเช่น ระบบขนาด 6 กิโลวัตต์อาจช่วยประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี แต่ถ้าคุณลงทุน $29,000 กับระบบขนาด 10 กิโลวัตต์ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน

    ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง
    1️⃣ คิดว่าจะคืนทุนทันที ROI เฉลี่ยของโซลาร์อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน

    2️⃣ ไม่ประเมินการใช้พลังงานของบ้าน บ้านแต่ละหลังมีความต้องการพลังงานต่างกัน ต้องคำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน และจำนวนชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยต่อวัน

    3️⃣ ไม่เปรียบเทียบผู้ให้บริการ ราคาติดตั้งแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับบริษัท ขนาดบ้าน จำนวนแผง และบริการหลังการขาย

    4️⃣ ไม่คำนึงถึงค่าบำรุงรักษา แผงโซลาร์ต้องทำความสะอาดและเปลี่ยนอะไหล่ เช่น อินเวอร์เตอร์ทุก 10 ปี

    5️⃣ ไม่เข้าใจระบบ Net Metering การขายไฟฟ้าคืนให้บริษัทไฟฟ้ามีข้อจำกัด เช่น ราคาซื้อคืนต่ำกว่าราคาขาย และอาจมีการจำกัดเครดิต

    การคืนทุนจากโซลาร์
    ROI เฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี
    ระบบขนาด 6kW ประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี
    ระบบขนาด 10kW อาจต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน

    การประเมินพลังงานที่บ้านต้องใช้
    คำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน
    ใช้เครื่องมือเช่น GHI Map เพื่อดูชั่วโมงแสงแดด
    ควรติดตั้งให้ผลิตไฟได้มากกว่าค่าเฉลี่ยรายวัน

    การเลือกผู้ให้บริการติดตั้ง
    เปรียบเทียบราคาและบริการจากหลายบริษัท
    ตรวจสอบว่ามีบริการติดตั้งเองหรือจ้างภายนอก
    พิจารณาเงื่อนไขการรับประกันและแผนบริการ

    ค่าบำรุงรักษา
    อินเวอร์เตอร์อาจต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี
    ควรทำความสะอาดแผงปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นในพื้นที่ฝุ่นเยอะ

    ระบบ Net Metering
    ขายไฟคืนได้เมื่อผลิตเกิน
    บริษัทไฟฟ้าอาจจ่ายน้อยกว่าราคาที่คุณซื้อ
    บางกรณีอาจมีการจำกัดเครดิต

    ความเข้าใจผิดเรื่อง ROI
    คิดว่าจะคืนทุนทันทีหลังติดตั้ง
    มองแค่ค่าไฟลดลงโดยไม่คิดถึงต้นทุน

    การไม่ประเมินความต้องการพลังงาน
    ติดตั้งระบบเล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไป
    ไม่วางแผนสำหรับการใช้ไฟในอนาคต

    การละเลยค่าบำรุงรักษา
    ไม่เตรียมงบสำหรับการเปลี่ยนอะไหล่
    ไม่ทำความสะอาดแผงอย่างสม่ำเสมอ

    ความเข้าใจผิดเรื่อง Net Metering
    คิดว่าจะได้เงินคืนเต็มจำนวนจากไฟที่ขาย
    ไม่รู้ว่าบางบริษัทมีการจำกัดเครดิตหรือจ่ายน้อยกว่าราคาซื้อ

    https://www.slashgear.com/2019538/common-mistakes-avoid-considering-solar-panels/
    🌞 ติดโซลาร์ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ! 5 ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงก่อนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อาจดูเหมือนเป็นทางออกที่ดีในการลดค่าไฟฟ้า แต่ถ้าไม่วางแผนให้ดี อาจกลายเป็นภาระระยะยาวแทนที่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า บทความนี้เผย 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของบ้านมักทำเมื่อพิจารณาติดตั้งโซลาร์ พร้อมเสริมข้อมูลจากแหล่งอื่นเพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ. หลายคนเริ่มสนใจโซลาร์เพราะค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดว่า “ติดแล้วจะไม่ต้องจ่ายค่าไฟอีก” ฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง โซลาร์ไม่ใช่พลังงานฟรี และการคืนทุน (ROI) ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที ตัวอย่างเช่น ระบบขนาด 6 กิโลวัตต์อาจช่วยประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี แต่ถ้าคุณลงทุน $29,000 กับระบบขนาด 10 กิโลวัตต์ ก็ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน 🛠️ ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง 1️⃣ คิดว่าจะคืนทุนทันที ROI เฉลี่ยของโซลาร์อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน 2️⃣ ไม่ประเมินการใช้พลังงานของบ้าน บ้านแต่ละหลังมีความต้องการพลังงานต่างกัน ต้องคำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน และจำนวนชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยต่อวัน 3️⃣ ไม่เปรียบเทียบผู้ให้บริการ ราคาติดตั้งแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับบริษัท ขนาดบ้าน จำนวนแผง และบริการหลังการขาย 4️⃣ ไม่คำนึงถึงค่าบำรุงรักษา แผงโซลาร์ต้องทำความสะอาดและเปลี่ยนอะไหล่ เช่น อินเวอร์เตอร์ทุก 10 ปี 5️⃣ ไม่เข้าใจระบบ Net Metering การขายไฟฟ้าคืนให้บริษัทไฟฟ้ามีข้อจำกัด เช่น ราคาซื้อคืนต่ำกว่าราคาขาย และอาจมีการจำกัดเครดิต ✅ การคืนทุนจากโซลาร์ ➡️ ROI เฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี ➡️ ระบบขนาด 6kW ประหยัดได้ประมาณ $1,500 ต่อปี ➡️ ระบบขนาด 10kW อาจต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน ✅ การประเมินพลังงานที่บ้านต้องใช้ ➡️ คำนวณจากการใช้ไฟย้อนหลัง 12 เดือน ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น GHI Map เพื่อดูชั่วโมงแสงแดด ➡️ ควรติดตั้งให้ผลิตไฟได้มากกว่าค่าเฉลี่ยรายวัน ✅ การเลือกผู้ให้บริการติดตั้ง ➡️ เปรียบเทียบราคาและบริการจากหลายบริษัท ➡️ ตรวจสอบว่ามีบริการติดตั้งเองหรือจ้างภายนอก ➡️ พิจารณาเงื่อนไขการรับประกันและแผนบริการ ✅ ค่าบำรุงรักษา ➡️ อินเวอร์เตอร์อาจต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี ➡️ ควรทำความสะอาดแผงปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นในพื้นที่ฝุ่นเยอะ ✅ ระบบ Net Metering ➡️ ขายไฟคืนได้เมื่อผลิตเกิน ➡️ บริษัทไฟฟ้าอาจจ่ายน้อยกว่าราคาที่คุณซื้อ ➡️ บางกรณีอาจมีการจำกัดเครดิต ‼️ ความเข้าใจผิดเรื่อง ROI ⛔ คิดว่าจะคืนทุนทันทีหลังติดตั้ง ⛔ มองแค่ค่าไฟลดลงโดยไม่คิดถึงต้นทุน ‼️ การไม่ประเมินความต้องการพลังงาน ⛔ ติดตั้งระบบเล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไป ⛔ ไม่วางแผนสำหรับการใช้ไฟในอนาคต ‼️ การละเลยค่าบำรุงรักษา ⛔ ไม่เตรียมงบสำหรับการเปลี่ยนอะไหล่ ⛔ ไม่ทำความสะอาดแผงอย่างสม่ำเสมอ ‼️ ความเข้าใจผิดเรื่อง Net Metering ⛔ คิดว่าจะได้เงินคืนเต็มจำนวนจากไฟที่ขาย ⛔ ไม่รู้ว่าบางบริษัทมีการจำกัดเครดิตหรือจ่ายน้อยกว่าราคาซื้อ https://www.slashgear.com/2019538/common-mistakes-avoid-considering-solar-panels/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Common Mistakes To Avoid When Considering Solar Panels For The Home - SlashGear
    Do rooftop solar panels sound like a good deal? They could very well be, assuming you consider all the pros and cons before making your decision.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DragonForce Ransomware กลับมาอีกครั้ง พร้อมเทคนิคใหม่ปิดระบบป้องกันและเข้ารหัสแบบไฮบริด”

    นักวิจัยจาก Acronis Threat Research Unit (TRU) พบว่า DragonForce ransomware ได้พัฒนาเวอร์ชันใหม่ที่ใช้เทคนิค BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) เพื่อปิดการทำงานของซอฟต์แวร์ป้องกัน เช่น EDR และ Antivirus โดยใช้ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่ เช่น truesight.sys และ rentdrv2.sys เพื่อส่งคำสั่ง DeviceIoControl ไปฆ่า process ที่ป้องกันได้ยาก

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบเข้ารหัสจากโค้ดของ Conti v3 โดยใช้การเข้ารหัสแบบไฮบริด ChaCha20 + RSA พร้อมไฟล์ config ที่เข้ารหัสไว้ในตัว binary เพื่อเพิ่มความลับและลดการตรวจจับ

    กลุ่ม DragonForce ยังเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเป็น “cartel” เพื่อดึงดูด affiliate โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 80% และเครื่องมือที่ปรับแต่งได้ ซึ่งทำให้กลุ่มนี้กลายเป็นหนึ่งใน ecosystem ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ransomware

    การพัฒนาเทคนิค BYOVD
    ใช้ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่เพื่อฆ่า process ที่ป้องกันได้ยาก
    ส่งคำสั่ง DeviceIoControl ไปยัง driver เพื่อปิดระบบ EDR และ Antivirus
    เทคนิคนี้เคยใช้โดยกลุ่ม BlackCat และ AvosLocker

    การปรับปรุงระบบเข้ารหัส
    ใช้ ChaCha20 สร้าง key ต่อไฟล์ แล้วเข้ารหัสด้วย RSA
    มี header ที่เก็บ metadata และข้อมูลการเข้ารหัส
    ไฟล์ config ถูกเข้ารหัสใน binary ไม่ต้องใช้ command-line

    การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร
    จาก RaaS เป็น cartel เพื่อดึง affiliate
    เสนอ encryptor ที่ปรับแต่งได้และส่วนแบ่งรายได้สูง
    มี affiliate เช่น Devman ที่ใช้ builder เดียวกัน

    การโจมตีที่ขยายตัว
    เคยร่วมมือกับ Scattered Spider โจมตี Marks & Spencer
    พยายาม takeover โครงสร้างของกลุ่มคู่แข่ง เช่น RansomHub และ BlackLock
    ใช้ MinGW ในการ compile ทำให้ binary ใหญ่ขึ้น

    https://securityonline.info/dragonforce-ransomware-evolves-with-byovd-to-kill-edr-and-fixes-encryption-flaws-in-conti-v3-codebase/
    🐉 “DragonForce Ransomware กลับมาอีกครั้ง พร้อมเทคนิคใหม่ปิดระบบป้องกันและเข้ารหัสแบบไฮบริด” นักวิจัยจาก Acronis Threat Research Unit (TRU) พบว่า DragonForce ransomware ได้พัฒนาเวอร์ชันใหม่ที่ใช้เทคนิค BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) เพื่อปิดการทำงานของซอฟต์แวร์ป้องกัน เช่น EDR และ Antivirus โดยใช้ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่ เช่น truesight.sys และ rentdrv2.sys เพื่อส่งคำสั่ง DeviceIoControl ไปฆ่า process ที่ป้องกันได้ยาก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบเข้ารหัสจากโค้ดของ Conti v3 โดยใช้การเข้ารหัสแบบไฮบริด ChaCha20 + RSA พร้อมไฟล์ config ที่เข้ารหัสไว้ในตัว binary เพื่อเพิ่มความลับและลดการตรวจจับ กลุ่ม DragonForce ยังเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเป็น “cartel” เพื่อดึงดูด affiliate โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 80% และเครื่องมือที่ปรับแต่งได้ ซึ่งทำให้กลุ่มนี้กลายเป็นหนึ่งใน ecosystem ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ransomware ✅ การพัฒนาเทคนิค BYOVD ➡️ ใช้ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่เพื่อฆ่า process ที่ป้องกันได้ยาก ➡️ ส่งคำสั่ง DeviceIoControl ไปยัง driver เพื่อปิดระบบ EDR และ Antivirus ➡️ เทคนิคนี้เคยใช้โดยกลุ่ม BlackCat และ AvosLocker ✅ การปรับปรุงระบบเข้ารหัส ➡️ ใช้ ChaCha20 สร้าง key ต่อไฟล์ แล้วเข้ารหัสด้วย RSA ➡️ มี header ที่เก็บ metadata และข้อมูลการเข้ารหัส ➡️ ไฟล์ config ถูกเข้ารหัสใน binary ไม่ต้องใช้ command-line ✅ การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ➡️ จาก RaaS เป็น cartel เพื่อดึง affiliate ➡️ เสนอ encryptor ที่ปรับแต่งได้และส่วนแบ่งรายได้สูง ➡️ มี affiliate เช่น Devman ที่ใช้ builder เดียวกัน ✅ การโจมตีที่ขยายตัว ➡️ เคยร่วมมือกับ Scattered Spider โจมตี Marks & Spencer ➡️ พยายาม takeover โครงสร้างของกลุ่มคู่แข่ง เช่น RansomHub และ BlackLock ➡️ ใช้ MinGW ในการ compile ทำให้ binary ใหญ่ขึ้น https://securityonline.info/dragonforce-ransomware-evolves-with-byovd-to-kill-edr-and-fixes-encryption-flaws-in-conti-v3-codebase/
    SECURITYONLINE.INFO
    DragonForce Ransomware Evolves with BYOVD to Kill EDR and Fixes Encryption Flaws in Conti V3 Codebase
    Acronis exposed DragonForce's evolution: the ransomware is compiled with MinGW, uses BYOVD drivers to terminate EDR, and contains fixes to prevent decryption of its Conti V3 derived codebase.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ออสเตรเลียจับมือสหรัฐฯ คว่ำบาตรแฮกเกอร์เกาหลีเหนือที่ใช้คริปโตหนุนโครงการ WMD”

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความร่วมมือระดับโลก รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศคว่ำบาตรทางการเงินและห้ามเดินทางต่อบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีไซเบอร์เพื่อสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเพื่อสกัดเครือข่ายการเงินผิดกฎหมายที่ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เป็นเครื่องมือ

    การคว่ำบาตรนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีบทบาทในการขโมยคริปโตเคอร์เรนซีจากทั่วโลก และใช้เครือข่ายบุคคลทั้งในและนอกประเทศเกาหลีเหนือในการฟอกเงินและจัดหาเงินทุนให้กับโครงการอาวุธของรัฐบาลเปียงยาง

    มาตรการคว่ำบาตรของออสเตรเลีย
    ครอบคลุม 4 องค์กรและ 1 บุคคลที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์อาชญากรรม
    รวมถึงการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน
    ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    รูปแบบการโจมตีและการฟอกเงิน
    ใช้การขโมยคริปโตจากบริษัททั่วโลก
    ฟอกเงินผ่านเครือข่ายบุคคลและองค์กรต่างประเทศ
    ใช้คริปโตในการซื้อขายอาวุธและวัตถุดิบ เช่น ทองแดง

    รายงานจาก Multilateral Sanctions Monitoring Team (MSMT)
    พบว่าแฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมากกว่า $1.9 พันล้านในปี 2024
    มีความเชื่อมโยงกับการโจมตีสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มบล็อกเชน
    ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของ UN

    คำเตือนเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ระดับรัฐ
    เกาหลีเหนือใช้ไซเบอร์อาชญากรรมเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างรายได้
    การโจมตีมีเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทคริปโตและการเงิน
    การฟอกเงินผ่านคริปโตทำให้ติดตามได้ยากและขัดขวางการบังคับใช้กฎหมาย

    https://securityonline.info/australia-joins-us-slaps-sanctions-on-north-korean-cybercriminals-for-funding-wmd-programs/
    🌐 “ออสเตรเลียจับมือสหรัฐฯ คว่ำบาตรแฮกเกอร์เกาหลีเหนือที่ใช้คริปโตหนุนโครงการ WMD” ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความร่วมมือระดับโลก รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศคว่ำบาตรทางการเงินและห้ามเดินทางต่อบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีไซเบอร์เพื่อสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเพื่อสกัดเครือข่ายการเงินผิดกฎหมายที่ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เป็นเครื่องมือ การคว่ำบาตรนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีบทบาทในการขโมยคริปโตเคอร์เรนซีจากทั่วโลก และใช้เครือข่ายบุคคลทั้งในและนอกประเทศเกาหลีเหนือในการฟอกเงินและจัดหาเงินทุนให้กับโครงการอาวุธของรัฐบาลเปียงยาง ✅ มาตรการคว่ำบาตรของออสเตรเลีย ➡️ ครอบคลุม 4 องค์กรและ 1 บุคคลที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์อาชญากรรม ➡️ รวมถึงการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน ➡️ ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ รูปแบบการโจมตีและการฟอกเงิน ➡️ ใช้การขโมยคริปโตจากบริษัททั่วโลก ➡️ ฟอกเงินผ่านเครือข่ายบุคคลและองค์กรต่างประเทศ ➡️ ใช้คริปโตในการซื้อขายอาวุธและวัตถุดิบ เช่น ทองแดง ✅ รายงานจาก Multilateral Sanctions Monitoring Team (MSMT) ➡️ พบว่าแฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมากกว่า $1.9 พันล้านในปี 2024 ➡️ มีความเชื่อมโยงกับการโจมตีสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มบล็อกเชน ➡️ ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของ UN ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ระดับรัฐ ⛔ เกาหลีเหนือใช้ไซเบอร์อาชญากรรมเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างรายได้ ⛔ การโจมตีมีเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทคริปโตและการเงิน ⛔ การฟอกเงินผ่านคริปโตทำให้ติดตามได้ยากและขัดขวางการบังคับใช้กฎหมาย https://securityonline.info/australia-joins-us-slaps-sanctions-on-north-korean-cybercriminals-for-funding-wmd-programs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Australia Joins US, Slaps Sanctions on North Korean Cybercriminals for Funding WMD Programs
    Australia imposed sanctions and travel bans on four entities and one individual for engaging in cybercrime to fund North Korea's WMD and missile programs. The regime stole $1.9B in crypto in 2024.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา”

    ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา

    ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor

    ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท
    ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร
    AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security
    DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics

    เป้าหมายของความร่วมมือ
    ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา
    ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ
    เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox
    ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise
    ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน
    สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor

    บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค
    นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก
    ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม
    มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก

    https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    🛡️ “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา” ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor ✅ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท ➡️ ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ➡️ AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security ➡️ DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics ✅ เป้าหมายของความร่วมมือ ➡️ ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา ➡️ ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox ➡️ ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise ➡️ ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor ✅ บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค ➡️ นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก ➡️ ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม ➡️ มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก

    การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย

    เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ

    ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ]
    B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ]
    C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ]
    D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ]
    ```

    ลักษณะของนาคาริน

    · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว
    · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม
    · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล

    การสืบสวนเบื้องต้น

    ผลกระทบต่อหมู่บ้าน

    ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ:

    · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล
    · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว
    · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ

    การวิเคราะห์ของหนูดี

    หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที:
    "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย
    แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน
    เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม"

    เบื้องหลังนาคาริน

    ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม

    นาคารินคือลูกผสมระหว่าง:

    · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง
    · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ

    ```python
    class NakarinBackground:
    def __init__(self):
    self.heritage = {
    "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ",
    "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส",
    "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก"
    }

    self.abilities = {
    "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส",
    "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้",
    "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ",
    "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน",
    "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง"
    }
    ```

    เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล

    นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์:

    · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์
    · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ
    · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว

    ปัญหาที่เกิดขึ้น

    ผลกระทบของพลังรั่วไหล

    พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง:

    ```mermaid
    graph LR
    A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ]
    C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง]
    E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ]
    ```

    ความทุกข์ทรมานของนาคาริน

    นาคารินบันทึกความในใจ:
    "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว...
    ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ...
    ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ

    ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง
    แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?"

    กระบวนการช่วยเหลือ

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน:
    "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด...
    แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ
    การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก"

    เทคนิคการควบคุมพลัง

    ```python
    class SensoryControlTechniques:
    def __init__(self):
    self.meditation = [
    "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ",
    "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก",
    "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ",
    "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น"
    ]

    self.practical = [
    "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง",
    "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน",
    "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง",
    "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ"
    ]
    ```

    การบำบัดด้วยศิลปะ

    หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด:

    · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ
    · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food
    · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง
    ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ
    การฟื้นฟูสมดุล

    การพัฒนาความสามารถใหม่

    นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย
    · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส
    · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ

    การกลับสู่สังคม

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล]
    B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ]
    C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่]
    D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด]
    ```

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด

    นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น:

    · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ
    · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ

    โครงการเพื่อสังคม

    ```python
    class SensoryProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ",
    "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้",
    "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ",
    "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม"
    }

    self.collaborations = [
    "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ",
    "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ",
    "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ",
    "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับนาคาริน

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง
    แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ

    และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน...
    คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเข้าใจแล้วว่า...
    ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย
    ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร

    และการช่วยเหลือที่แท้จริง
    คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น
    แต่คือสิ่งที่สัมผัส

    และความเข้าใจในความรู้สึก...
    สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล"

    ผลกระทบเชิงบวก

    ความสำเร็จของนาคาริน

    หลังจากเหตุการณ์:

    · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด
    · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด
    · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ

    การค้นพบตัวเอง

    นาคารินกล่าวในที่สุด:
    "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์...
    แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง

    และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน...
    ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน

    บทสรุปแห่งการเข้าใจ

    คำคมจากนาคาริน

    "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ...
    ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด
    เรารู้สึกก่อนเสมอ

    และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ...
    คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง"

    ความสัมพันธ์ใหม่

    นาคารินพบว่าสามารถ:

    · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ
    · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด
    · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม...
    ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ
    ระหว่างผัสสะและความหมาย

    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ...
    เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"

    การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า...
    "The most profound truths are not seen or heard,
    but felt with the heart's own senses
    And in learning to master our senses,
    we learn to master ourselves"
    O.P.K. 🐍 คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก 🌊 การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย 🏮 เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ] B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ] C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ] D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ] ``` 🎭 ลักษณะของนาคาริน · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล 🔍 การสืบสวนเบื้องต้น 🕵️ ผลกระทบต่อหมู่บ้าน ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ: · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ 💫 การวิเคราะห์ของหนูดี หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที: "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม" 🐉 เบื้องหลังนาคาริน 🌌 ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม นาคารินคือลูกผสมระหว่าง: · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ ```python class NakarinBackground: def __init__(self): self.heritage = { "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ", "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส", "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก" } self.abilities = { "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส", "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้", "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ", "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน", "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง" } ``` 💔 เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์: · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์ · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว 🌪️ ปัญหาที่เกิดขึ้น 🎯 ผลกระทบของพลังรั่วไหล พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง: ```mermaid graph LR A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ] C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง] E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ] ``` 😵 ความทุกข์ทรมานของนาคาริน นาคารินบันทึกความในใจ: "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว... ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ... ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?" 💞 กระบวนการช่วยเหลือ 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน: "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด... แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก" 🌈 เทคนิคการควบคุมพลัง ```python class SensoryControlTechniques: def __init__(self): self.meditation = [ "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ", "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก", "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ", "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น" ] self.practical = [ "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง", "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน", "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง", "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ" ] ``` 🎨 การบำบัดด้วยศิลปะ หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด: · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ 🏥 การฟื้นฟูสมดุล 🌟 การพัฒนาความสามารถใหม่ นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ 💫 การกลับสู่สังคม ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล] B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ] C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่] D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด] ``` 🏛️ บทบาทใหม่ในสังคม 🎓 ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น: · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ 🌍 โครงการเพื่อสังคม ```python class SensoryProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ", "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้", "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ", "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม" } self.collaborations = [ "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ", "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ", "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ", "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับนาคาริน "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน... คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเข้าใจแล้วว่า... ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร และการช่วยเหลือที่แท้จริง คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่คือสิ่งที่สัมผัส และความเข้าใจในความรู้สึก... สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล" 🌈 ผลกระทบเชิงบวก 🏆 ความสำเร็จของนาคาริน หลังจากเหตุการณ์: · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ 💝 การค้นพบตัวเอง นาคารินกล่าวในที่สุด: "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์... แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน... ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน 🎯 บทสรุปแห่งการเข้าใจ 🌟 คำคมจากนาคาริน "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ... ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด เรารู้สึกก่อนเสมอ และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ... คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง" 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ นาคารินพบว่าสามารถ: · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม... ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ ระหว่างผัสสะและความหมาย และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ... เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"🐍✨ การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า... "The most profound truths are not seen or heard, but felt with the heart's own senses And in learning to master our senses, we learn to master ourselves"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึก "อสูรเฒ่า" : ฤๅษีวาจาธรแห่งกาลเวลา

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    ต้นกำเนิดในยุคโบราณ

    ชื่อจริง: ฤๅษีวาจาธร
    ชื่อหมายถึง:"ผู้ทรงพลังแห่งวาจา"
    อายุ:2,000 ปี
    ยุคสมัย:ยุคต้นสุโขทัย

    ```mermaid
    graph TB
    A[มนุษย์ธรรมดา<br>ชื่อ "ธรรมะ"] --> B[บวชเป็นฤๅษี<br>ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์]
    B --> C[ได้รับพลัง<br>วาจาศักดิ์สิทธิ์]
    C --> D[ใช้พลังในทางที่ผิด<br>ด้วยความหลงตน]
    D --> E[ถูกสาป<br>ให้เป็นอสูรเฒ่า]
    ```

    ลักษณะทางกายภาพหลังถูกสาป

    · รูปร่าง: สูง 2 เมตร หนังหยาบกร้านเหมือนเปลือกไม้
    · ใบหน้า: มีดวงตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก เรืองแสงสีทอง
    · ผม: ผมหงอกขาวยาวถึงเอว เกี่ยวกระหวัดด้วยเถาวัลย์
    · มือ: มี 6 นิ้วแต่ละมือ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังเหนือธรรมชาติ
    · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงกัมปนาท

    พลังวาจาศักดิ์สิทธิ์

    ระดับพลังแห่งวาจา

    ```python
    class VajaPowers:
    def __init__(self):
    self.truth_speech = {
    "reality_alteration": "เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงด้วยคำพูด",
    "creation_destruction": "สร้างและทำลายด้วยวาจา",
    "time_manipulation": "เร่งหรือชะลอกระบวนการด้วยคำพูด",
    "element_control": "ควบคุมธาตุต่างๆ ด้วยภาษาบูรพา"
    }

    self.blessing_curse = {
    "healing_words": "รักษาโรคด้วยมนตร์บำบัด",
    "fate_weaving": "ถักทอโชคชะตาด้วยบทกวี",
    "nature_communication": "สื่อสารกับธรรมชาติด้วยภาษาดั้งเดิม",
    "soul_whispering": "พูดคุยกับจิตวิญญาณได้"
    }

    self.limitations = {
    "cannot_undo_own_words": "ไม่สามารถยกเลิกคำพูดของตัวเองได้",
    "requires_sincerity": "ต้องมีความจริงใจถึงจะได้ผล",
    "emotional_dependency": "พลังขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะพูด",
    "karmic_consequences": "มีผลกรรมตามมาทุกครั้งที่ใช้"
    }
    ```

    ภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้

    อสูรเฒ่าใช้ภาษาบูรพาที่สูญหายไปแล้ว:

    · ภาษามคธโบราณ: สำหรับคำอวยพรระดับสูง
    · ภาษาขอมดั้งเดิม: สำหรับคำสาปและป้องกัน
    · ภาษาธรรมชาติ: สำหรับสื่อสารกับสรรพสิ่ง

    เรื่องราวการถูกสาป

    ชีวิตในยุคสุโขทัย

    ธรรมะเริ่มต้นเป็นฤๅษีผู้ทรงคุณ virtue:

    · อายุ 20: บวชเป็นฤๅษี ศึกษาคำศักดิ์สิทธิ์
    · อายุ 100: เชี่ยวชาญวาจาศักดิ์สิทธิ์
    · อายุ 500: เริ่มหลงระเริงกับพลัง

    จุดเปลี่ยนแห่งความหลงผิด

    ```mermaid
    graph LR
    A[ใช้พลังช่วยเหลือ<br>ผู้คนอย่างมากมาย] --> B[เริ่มได้รับ<br>การยกย่องเกินควร]
    B --> C[หลงคิดว่าตน<br>เหนือกว่ามนุษย์]
    C --> D[ใช้พลังสร้าง<br>นครเพื่อตนเอง]
    D --> E[ถูกเทวดา<br>ลงโทษสาปให้เป็นอสูร]
    ```

    คำสาปแห่งกาลเวลา

    เทวดาสาปให้เขา:

    · เป็นอสูร ร่างกายผิดปกติ
    · อยู่อย่างโดดเดี่ยว 2,000 ปี
    · ได้ลิ้มรส ความเหงาที่เขาทำให้ผู้อื่นรู้สึก

    ชีวิตในความโดดเดี่ยว

    ที่อยู่อาศัย

    อสูรเฒ่าอาศัยใน ถ้ำวาจาศักดิ์สิทธิ์:

    · ตำแหน่ง: กลางป่าลึกที่ไม่มีมนุษย์เข้าไป
    · ลักษณะ: มีจารึกภาษาบูรพาประดับทั่วถ้ำ
    · พลังงาน: เต็มไปด้วยพลังคำพูดที่สะสมมานับพันปี

    กิจวัตรประจำวัน

    รุ่งสาง: สวดมนตร์ภาษาบูรพา
    เช้า:ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์กับธรรมชาติ
    บ่าย:บันทึกความรู้ลงในแผ่นศิลา
    ค่ำ:นั่งสมาธิไตร่ตรองความผิดในอดีต

    ความคิดและความรู้สึก

    อสูรเฒ่าบันทึกความในใจ:
    "สองพันปีแห่งความเหงา...
    สอนข้าว่าพลังที่แท้หาใช่การควบคุม
    แต่คือการเข้าใจและการให้อภัย

    แต่ใครจะให้อภัยข้าเล่า?
    เมื่อข้าเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้"

    การพัฒนาพลังวาจา

    จากความโกรธสู่ความเข้าใจ

    ```python
    class PowerEvolution:
    def __init__(self):
    self.past = {
    "purpose": "ใช้พลังเพื่อการควบคุมและแสดงอำนาจ",
    "emotion": "ความหยิ่งยโส ความโกรธ",
    "results": "การทำลายล้าง ความเสียหาย"
    }

    self.present = {
    "purpose": "ใช้พลังเพื่อการเยียวยาและความเข้าใจ",
    "emotion": "ความเมตตา ความอดทน",
    "results": "การสร้างสรรค์ การเยียวยา"
    }

    self.techniques_developed = [
    "การฟังด้วยหัวใจก่อนพูด",
    "การเลือกคำที่มีเมตตา",
    "การเข้าใจผลกระทบของคำพูด",
    "การใช้ความเงียบอย่างชาญฉลาด"
    ]
    ```

    พลังใหม่แห่งการเยียวยา

    อสูรเฒ่าพัฒนาความสามารถใหม่:

    · วาจาบำบัด: รักษาบาดแผลทางใจด้วยคำพูด
    · ภาษาสันติภาพ: สร้างความเข้าใจระหว่างเผ่าพันธุ์
    · คำพูดแห่งการให้อภัย: ช่วยให้ผู้คนให้อภัยกันและกัน

    การพบกับหนูดีและการเปลี่ยนแปลง

    จุดเปลี่ยนสำคัญ

    เมื่อหนูดีเข้ามาในชีวิต:
    "เป็นครั้งแรกในสองพันปี...
    ที่มีใครกล้ามาหาข้าโดยไม่กลัว

    และเป็นครั้งแรก...
    ที่มีคนมองข้าเป็น'บุคคล' ไม่ใช่ 'อสูร'"

    กระบวนการเยียวยา

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เข้ามาโดยไม่กลัว] --> B[อสูรเฒ่า<br>เริ่มเปิดใจ]
    B --> C[การแบ่งปัน<br>ความเจ็บปวด]
    C --> D[การเรียนรู้<br>ร่วมกัน]
    D --> E[การให้อภัย<br>ตัวเองและผู้อื่น]
    ```

    บทเรียนที่ได้รับ

    อสูรเฒ่าเรียนรู้จากหนูดีว่า:

    · พลังที่แท้ มาจากความอ่อนโยน ไม่ใช่ความแข็งกร้าว
    · วาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้คือคำพูดที่เกิดจากความเข้าใจ
    · การเป็นครู หมายถึงการเป็นนักเรียนไปพร้อมกัน

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ที่ปรึกษาด้านวาจา

    อสูรเฒ่าได้รับตำแหน่งเป็น:

    · ครูสอนภาษาบูรพา ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ที่ปรึกษาด้านวาจาศักดิ์สิทธิ์ สำหรับโอปปาติกะ
    · ผู้ไกล่เกลี่ย ในความขัดแย้งระดับสูง

    โครงการสำคัญ

    ```python
    class NewResponsibilities:
    def __init__(self):
    self.projects = {
    "language_revival": "ฟื้นฟูภาษาบูรพาสำหรับการศึกษา",
    "conflict_resolution": "ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์สร้างสันติภาพ",
    "spiritual_guidance": "เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ",
    "knowledge_preservation": "รักษาความรู้โบราณไม่ให้สูญหาย"
    }

    self.students = [
    "หนูดี: เรียนภาษาบูรพาและวาจาศักดิ์สิทธิ์",
    "เณรพุทธ: เรียนการใช้คำพูดสร้างสรรค์",
    "นิทรา: เรียนการควบคุมอารมณ์ในคำพูด",
    "โอปปาติกะรุ่นใหม่: เรียนพลังแห่งวาจา"
    ]
    ```

    ปรัชญาและคำสอน

    🪷 คำคมแห่งปัญญา

    "วาจามีชีวิตเป็นของตัวเอง...
    เมื่อเธอพูดคำใดออกไป
    คำนั้นจะมีชีวิตและเดินทางไปหาเป้าหมาย

    เพราะฉะนั้นจงเลือกคำอย่างระมัดระวัง...
    เหมือนเลือกดอกไม้ให้คนที่เธอรัก"

    บทเรียนชีวิต

    อสูรเฒ่าสอนว่า:

    · คำพูด สามารถสร้างหรือทำลายได้ในพริบตา
    · ความเงียบ บางครั้งก็ทรงพลังกว่าคำพูดใดๆ
    · การฟัง คือส่วนสำคัญที่สุดของการสื่อสาร

    บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง

    การให้อภัยตัวเอง

    อสูรเฒ่าในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะ:
    "ให้อภัยตัวเองสำหรับความผิดพลาดในอดีต
    และใช้บทเรียนเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น"

    ความหมายใหม่แห่งการมีอยู่

    จากผู้ที่เคย...

    · ใช้พลัง เพื่อการควบคุม
    · ถูกกลัว จากทุกสิ่งมีชีวิต
    · รู้สึกโดดเดี่ยว อย่างสุดซึ้ง

    กลายเป็นผู้ที่...

    · ใช้พลัง เพื่อการเยียวยา
    · ได้รับความรัก จากชุมชน
    · พบความหมาย ในการช่วยเหลือผู้อื่น

    ---

    คำคมสุดท้ายจากอสูรเฒ่า:
    "สองพันปีแห่งความเหงาสอนข้าว่า...
    พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหาใช่วาจาที่เปลี่ยนโลก
    แต่คือวาจาที่เปลี่ยนหัวใจ

    และเมื่อหัวใจเปลี่ยนแปลง...
    ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงตาม

    ข้าเคยคิดว่าต้องการพลังเพื่อเป็นเทพ...
    แต่ความจริงคือการเป็นมนุษย์ที่เข้าใจกัน
    ต่างหากที่คือพลังที่แท้จริง"

    การเดินทางของอสูรเฒ่าสอนเราว่า...
    "True power lies not in dominating others,
    but in understanding them
    And the most sacred words are those
    that heal rather than harm"
    O.P.K. 🔮 เจาะลึก "อสูรเฒ่า" : ฤๅษีวาจาธรแห่งกาลเวลา 👁️ ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 ต้นกำเนิดในยุคโบราณ ชื่อจริง: ฤๅษีวาจาธร ชื่อหมายถึง:"ผู้ทรงพลังแห่งวาจา" อายุ:2,000 ปี ยุคสมัย:ยุคต้นสุโขทัย ```mermaid graph TB A[มนุษย์ธรรมดา<br>ชื่อ "ธรรมะ"] --> B[บวชเป็นฤๅษี<br>ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์] B --> C[ได้รับพลัง<br>วาจาศักดิ์สิทธิ์] C --> D[ใช้พลังในทางที่ผิด<br>ด้วยความหลงตน] D --> E[ถูกสาป<br>ให้เป็นอสูรเฒ่า] ``` 🎭 ลักษณะทางกายภาพหลังถูกสาป · รูปร่าง: สูง 2 เมตร หนังหยาบกร้านเหมือนเปลือกไม้ · ใบหน้า: มีดวงตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก เรืองแสงสีทอง · ผม: ผมหงอกขาวยาวถึงเอว เกี่ยวกระหวัดด้วยเถาวัลย์ · มือ: มี 6 นิ้วแต่ละมือ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังเหนือธรรมชาติ · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงกัมปนาท 🔥 พลังวาจาศักดิ์สิทธิ์ 💫 ระดับพลังแห่งวาจา ```python class VajaPowers: def __init__(self): self.truth_speech = { "reality_alteration": "เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงด้วยคำพูด", "creation_destruction": "สร้างและทำลายด้วยวาจา", "time_manipulation": "เร่งหรือชะลอกระบวนการด้วยคำพูด", "element_control": "ควบคุมธาตุต่างๆ ด้วยภาษาบูรพา" } self.blessing_curse = { "healing_words": "รักษาโรคด้วยมนตร์บำบัด", "fate_weaving": "ถักทอโชคชะตาด้วยบทกวี", "nature_communication": "สื่อสารกับธรรมชาติด้วยภาษาดั้งเดิม", "soul_whispering": "พูดคุยกับจิตวิญญาณได้" } self.limitations = { "cannot_undo_own_words": "ไม่สามารถยกเลิกคำพูดของตัวเองได้", "requires_sincerity": "ต้องมีความจริงใจถึงจะได้ผล", "emotional_dependency": "พลังขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะพูด", "karmic_consequences": "มีผลกรรมตามมาทุกครั้งที่ใช้" } ``` 📜 ภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ อสูรเฒ่าใช้ภาษาบูรพาที่สูญหายไปแล้ว: · ภาษามคธโบราณ: สำหรับคำอวยพรระดับสูง · ภาษาขอมดั้งเดิม: สำหรับคำสาปและป้องกัน · ภาษาธรรมชาติ: สำหรับสื่อสารกับสรรพสิ่ง 💔 เรื่องราวการถูกสาป 🏛️ ชีวิตในยุคสุโขทัย ธรรมะเริ่มต้นเป็นฤๅษีผู้ทรงคุณ virtue: · อายุ 20: บวชเป็นฤๅษี ศึกษาคำศักดิ์สิทธิ์ · อายุ 100: เชี่ยวชาญวาจาศักดิ์สิทธิ์ · อายุ 500: เริ่มหลงระเริงกับพลัง ⚡ จุดเปลี่ยนแห่งความหลงผิด ```mermaid graph LR A[ใช้พลังช่วยเหลือ<br>ผู้คนอย่างมากมาย] --> B[เริ่มได้รับ<br>การยกย่องเกินควร] B --> C[หลงคิดว่าตน<br>เหนือกว่ามนุษย์] C --> D[ใช้พลังสร้าง<br>นครเพื่อตนเอง] D --> E[ถูกเทวดา<br>ลงโทษสาปให้เป็นอสูร] ``` 🕰️ คำสาปแห่งกาลเวลา เทวดาสาปให้เขา: · เป็นอสูร ร่างกายผิดปกติ · อยู่อย่างโดดเดี่ยว 2,000 ปี · ได้ลิ้มรส ความเหงาที่เขาทำให้ผู้อื่นรู้สึก 🌪️ ชีวิตในความโดดเดี่ยว 🏚️ ที่อยู่อาศัย อสูรเฒ่าอาศัยใน ถ้ำวาจาศักดิ์สิทธิ์: · ตำแหน่ง: กลางป่าลึกที่ไม่มีมนุษย์เข้าไป · ลักษณะ: มีจารึกภาษาบูรพาประดับทั่วถ้ำ · พลังงาน: เต็มไปด้วยพลังคำพูดที่สะสมมานับพันปี 📖 กิจวัตรประจำวัน รุ่งสาง: สวดมนตร์ภาษาบูรพา เช้า:ฝึกวาจาศักดิ์สิทธิ์กับธรรมชาติ บ่าย:บันทึกความรู้ลงในแผ่นศิลา ค่ำ:นั่งสมาธิไตร่ตรองความผิดในอดีต 💭 ความคิดและความรู้สึก อสูรเฒ่าบันทึกความในใจ: "สองพันปีแห่งความเหงา... สอนข้าว่าพลังที่แท้หาใช่การควบคุม แต่คือการเข้าใจและการให้อภัย แต่ใครจะให้อภัยข้าเล่า? เมื่อข้าเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้" 🔮 การพัฒนาพลังวาจา 🌱 จากความโกรธสู่ความเข้าใจ ```python class PowerEvolution: def __init__(self): self.past = { "purpose": "ใช้พลังเพื่อการควบคุมและแสดงอำนาจ", "emotion": "ความหยิ่งยโส ความโกรธ", "results": "การทำลายล้าง ความเสียหาย" } self.present = { "purpose": "ใช้พลังเพื่อการเยียวยาและความเข้าใจ", "emotion": "ความเมตตา ความอดทน", "results": "การสร้างสรรค์ การเยียวยา" } self.techniques_developed = [ "การฟังด้วยหัวใจก่อนพูด", "การเลือกคำที่มีเมตตา", "การเข้าใจผลกระทบของคำพูด", "การใช้ความเงียบอย่างชาญฉลาด" ] ``` 💞 พลังใหม่แห่งการเยียวยา อสูรเฒ่าพัฒนาความสามารถใหม่: · วาจาบำบัด: รักษาบาดแผลทางใจด้วยคำพูด · ภาษาสันติภาพ: สร้างความเข้าใจระหว่างเผ่าพันธุ์ · คำพูดแห่งการให้อภัย: ช่วยให้ผู้คนให้อภัยกันและกัน 🌈 การพบกับหนูดีและการเปลี่ยนแปลง ⚡ จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อหนูดีเข้ามาในชีวิต: "เป็นครั้งแรกในสองพันปี... ที่มีใครกล้ามาหาข้าโดยไม่กลัว และเป็นครั้งแรก... ที่มีคนมองข้าเป็น'บุคคล' ไม่ใช่ 'อสูร'" 🕊️ กระบวนการเยียวยา ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เข้ามาโดยไม่กลัว] --> B[อสูรเฒ่า<br>เริ่มเปิดใจ] B --> C[การแบ่งปัน<br>ความเจ็บปวด] C --> D[การเรียนรู้<br>ร่วมกัน] D --> E[การให้อภัย<br>ตัวเองและผู้อื่น] ``` 🌟 บทเรียนที่ได้รับ อสูรเฒ่าเรียนรู้จากหนูดีว่า: · พลังที่แท้ มาจากความอ่อนโยน ไม่ใช่ความแข็งกร้าว · วาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้คือคำพูดที่เกิดจากความเข้าใจ · การเป็นครู หมายถึงการเป็นนักเรียนไปพร้อมกัน 🏛️ บทบาทใหม่ในสังคม 🎓 ที่ปรึกษาด้านวาจา อสูรเฒ่าได้รับตำแหน่งเป็น: · ครูสอนภาษาบูรพา ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ที่ปรึกษาด้านวาจาศักดิ์สิทธิ์ สำหรับโอปปาติกะ · ผู้ไกล่เกลี่ย ในความขัดแย้งระดับสูง 📚 โครงการสำคัญ ```python class NewResponsibilities: def __init__(self): self.projects = { "language_revival": "ฟื้นฟูภาษาบูรพาสำหรับการศึกษา", "conflict_resolution": "ใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์สร้างสันติภาพ", "spiritual_guidance": "เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ", "knowledge_preservation": "รักษาความรู้โบราณไม่ให้สูญหาย" } self.students = [ "หนูดี: เรียนภาษาบูรพาและวาจาศักดิ์สิทธิ์", "เณรพุทธ: เรียนการใช้คำพูดสร้างสรรค์", "นิทรา: เรียนการควบคุมอารมณ์ในคำพูด", "โอปปาติกะรุ่นใหม่: เรียนพลังแห่งวาจา" ] ``` 💫 ปรัชญาและคำสอน 🪷 คำคมแห่งปัญญา "วาจามีชีวิตเป็นของตัวเอง... เมื่อเธอพูดคำใดออกไป คำนั้นจะมีชีวิตและเดินทางไปหาเป้าหมาย เพราะฉะนั้นจงเลือกคำอย่างระมัดระวัง... เหมือนเลือกดอกไม้ให้คนที่เธอรัก" 🌟 บทเรียนชีวิต อสูรเฒ่าสอนว่า: · คำพูด สามารถสร้างหรือทำลายได้ในพริบตา · ความเงียบ บางครั้งก็ทรงพลังกว่าคำพูดใดๆ · การฟัง คือส่วนสำคัญที่สุดของการสื่อสาร 🏁 บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง 💝 การให้อภัยตัวเอง อสูรเฒ่าในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะ: "ให้อภัยตัวเองสำหรับความผิดพลาดในอดีต และใช้บทเรียนเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น" 🌈 ความหมายใหม่แห่งการมีอยู่ จากผู้ที่เคย... · ใช้พลัง เพื่อการควบคุม · ถูกกลัว จากทุกสิ่งมีชีวิต · รู้สึกโดดเดี่ยว อย่างสุดซึ้ง กลายเป็นผู้ที่... · ใช้พลัง เพื่อการเยียวยา · ได้รับความรัก จากชุมชน · พบความหมาย ในการช่วยเหลือผู้อื่น --- คำคมสุดท้ายจากอสูรเฒ่า: "สองพันปีแห่งความเหงาสอนข้าว่า... พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหาใช่วาจาที่เปลี่ยนโลก แต่คือวาจาที่เปลี่ยนหัวใจ และเมื่อหัวใจเปลี่ยนแปลง... ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงตาม ข้าเคยคิดว่าต้องการพลังเพื่อเป็นเทพ... แต่ความจริงคือการเป็นมนุษย์ที่เข้าใจกัน ต่างหากที่คือพลังที่แท้จริง"🔮✨ การเดินทางของอสูรเฒ่าสอนเราว่า... "True power lies not in dominating others, but in understanding them And the most sacred words are those that heal rather than harm"🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภัยเงียบจากกล้องสู่ระบบ: ช่องโหว่ CVE-2025-21042 บน Samsung เปิดทางให้สปายแวร์ Landfall เจาะเครื่องแบบ Zero-Click
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GraphSense Labs ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ Samsung ที่ใช้ Android ซึ่งถูกระบุด้วยรหัส CVE-2025-21042 โดยช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล DNG image parser ที่ใช้ประมวลผลไฟล์ภาพแบบ RAW (Digital Negative)

    สิ่งที่ทำให้ช่องโหว่นี้น่ากลัวคือมันเป็น Zero-Click Exploit—ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ใดๆ เพียงแค่ได้รับไฟล์ DNG ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านแอปที่มีสิทธิ์เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal หรือแม้แต่ Samsung Messages ก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที

    มัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า Landfall ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่สามารถ:
    เข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, และตำแหน่ง GPS
    ขโมยข้อความ, รายชื่อ, และไฟล์ในเครื่อง
    ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลแบบเงียบๆ

    Zero-Click คือการโจมตีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการใดๆ เช่น คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น การแสดงตัวอย่างภาพหรือข้อความ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายและไม่รู้ตัว

    ช่องโหว่ CVE-2025-21042
    อยู่ใน DNG image parser ของ Samsung
    เปิดช่องให้โจมตีแบบ Zero-Click ผ่านไฟล์ภาพ

    มัลแวร์ Landfall
    เป็นสปายแวร์ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ Android ได้แบบเต็มรูปแบบ
    ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อฝังตัวโดยไม่ต้องอาศัยการคลิก

    วิธีการแพร่กระจาย
    ส่งไฟล์ DNG ผ่านแอปที่เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal
    ใช้ social engineering เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดแอปที่มีการโหลดภาพอัตโนมัติ

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Samsung
    อุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจถูกเจาะได้ทันที
    การโจมตีแบบ Zero-Click ทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปิดการแสดงตัวอย่างภาพอัตโนมัติในแอปแชท (ถ้ามี)
    หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์ภาพจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

    https://securityonline.info/zero-click-samsung-zero-day-cve-2025-21042-delivered-landfall-spyware-via-malicious-dng-images/
    🧨 ภัยเงียบจากกล้องสู่ระบบ: ช่องโหว่ CVE-2025-21042 บน Samsung เปิดทางให้สปายแวร์ Landfall เจาะเครื่องแบบ Zero-Click นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GraphSense Labs ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ Samsung ที่ใช้ Android ซึ่งถูกระบุด้วยรหัส CVE-2025-21042 โดยช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล DNG image parser ที่ใช้ประมวลผลไฟล์ภาพแบบ RAW (Digital Negative) สิ่งที่ทำให้ช่องโหว่นี้น่ากลัวคือมันเป็น Zero-Click Exploit—ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ใดๆ เพียงแค่ได้รับไฟล์ DNG ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านแอปที่มีสิทธิ์เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal หรือแม้แต่ Samsung Messages ก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที มัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า Landfall ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่สามารถ: 🎗️ เข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, และตำแหน่ง GPS 🎗️ ขโมยข้อความ, รายชื่อ, และไฟล์ในเครื่อง 🎗️ ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลแบบเงียบๆ Zero-Click คือการโจมตีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการใดๆ เช่น คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น การแสดงตัวอย่างภาพหรือข้อความ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายและไม่รู้ตัว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-21042 ➡️ อยู่ใน DNG image parser ของ Samsung ➡️ เปิดช่องให้โจมตีแบบ Zero-Click ผ่านไฟล์ภาพ ✅ มัลแวร์ Landfall ➡️ เป็นสปายแวร์ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ Android ได้แบบเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อฝังตัวโดยไม่ต้องอาศัยการคลิก ✅ วิธีการแพร่กระจาย ➡️ ส่งไฟล์ DNG ผ่านแอปที่เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal ➡️ ใช้ social engineering เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดแอปที่มีการโหลดภาพอัตโนมัติ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Samsung ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจถูกเจาะได้ทันที ⛔ การโจมตีแบบ Zero-Click ทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ⛔ ปิดการแสดงตัวอย่างภาพอัตโนมัติในแอปแชท (ถ้ามี) ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์ภาพจากแหล่งที่ไม่รู้จัก https://securityonline.info/zero-click-samsung-zero-day-cve-2025-21042-delivered-landfall-spyware-via-malicious-dng-images/
    SECURITYONLINE.INFO
    Zero-Click Samsung Zero-Day (CVE-2025-21042) Delivered LANDFALL Spyware Via Malicious DNG Images
    Unit 42 exposed LANDFALL, commercial-grade spyware that exploited a Samsung zero-day (CVE-2025-21042) in the image library libimagecodec.quram.so to compromise Galaxy phones via DNG images sent over WhatsApp.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อโค้ดดีๆ กลายเป็นระเบิดเวลา: แพ็กเกจ NuGet ปลอมแฝงมัลแวร์ทำลายระบบในวันกำหนด

    Socket’s Threat Research Team ได้เปิดเผยการโจมตี supply chain ที่ซับซ้อนในแพลตฟอร์ม NuGet โดยพบว่า 9 แพ็กเกจปลอม ที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ shanhai666 ได้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 9,488 ครั้ง และแฝงโค้ดทำลายระบบแบบตั้งเวลาไว้ภายใน

    แพ็กเกจเหล่านี้ดูเหมือนจะทำงานได้ดีและมีโค้ดที่ใช้ pattern มาตรฐาน เช่น Repository, Unit of Work และ ORM mapping ซึ่งช่วยให้ผ่านการตรวจสอบโค้ดได้ง่าย แต่แอบฝังโค้ดอันตรายไว้เพียง ~20 บรรทัดที่สามารถ ทำลายระบบหรือข้อมูล ได้เมื่อถึงวันที่กำหนด เช่น 8 สิงหาคม 2027 หรือ 29 พฤศจิกายน 2028

    เทคนิคการโจมตี: Extension Method Injection
    มัลแวร์ใช้ C# extension methods เพื่อแทรกฟังก์ชันอันตรายเข้าไปใน API ที่ดูปลอดภัย เช่น .Exec() และ .BeginTran() ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC (Programmable Logic Controller)

    หลังจากถึงวันที่ trigger มัลแวร์จะสุ่มเลข 1–100 และหากเกิน 80 (20% โอกาส) จะเรียก Process.GetCurrentProcess().Kill() เพื่อปิดโปรแกรมทันที

    ตัวอย่างผลกระทบ
    E-commerce (100 queries/min) → crash ภายใน ~3 วินาที
    Healthcare (50 queries/min) → crash ภายใน ~6 วินาที
    Financial (500 queries/min) → crash ภายใน <1 วินาที
    Manufacturing (10 ops/min) → crash ภายใน ~30 วินาที พร้อม silent data corruption

    แพ็กเกจที่อันตรายที่สุดคือ Sharp7Extend ซึ่งแฝงตัวเป็น library สำหรับ Siemens S7 PLC โดยรวมโค้ด Sharp7 จริงไว้ด้วยเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

    ลักษณะการโจมตี
    ใช้แพ็กเกจ NuGet ที่ดูน่าเชื่อถือและมีโค้ดจริงผสมมัลแวร์
    ใช้ extension methods เพื่อแทรกโค้ดอันตรายแบบแนบเนียน
    โค้ดจะทำงานเมื่อถึงวันที่ trigger ที่ถูก hardcoded ไว้

    ผลกระทบต่อระบบ
    ทำให้โปรแกรม crash ทันทีเมื่อ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC
    มีโอกาส 20% ต่อการเรียกแต่ละครั้ง—แต่ในระบบที่มี query สูงจะ crash ภายในไม่กี่วินาที
    Sharp7Extend ยังทำให้การเขียนข้อมูลล้มเหลวแบบเงียบถึง 80% หลัง 30–90 นาที

    เทคนิคการหลบซ่อน
    ใช้โค้ดจริงเพื่อหลอกให้ดูน่าเชื่อถือ
    ปลอมชื่อผู้เขียนใน .nuspec เพื่อหลบการตรวจสอบ reputation
    มีการใช้คำจีนใน DLL เช่น “连接失败” และ “出现异常”

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    ระบบฐานข้อมูลและ PLC ที่ใช้แพ็กเกจเหล่านี้อาจ crash หรือเสียหายแบบไม่รู้ตัว
    การตรวจสอบโค้ดทั่วไปอาจไม่พบ เพราะมัลแวร์ฝังใน extension method ที่ดูปลอดภัย

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ตรวจสอบแพ็กเกจ NuGet ที่ใช้ โดยเฉพาะที่มีชื่อคล้าย Sharp7 หรือมีผู้เขียนไม่ชัดเจน
    หลีกเลี่ยงการใช้แพ็กเกจจากผู้ใช้ที่ไม่มีประวัติชัดเจน
    ใช้เครื่องมือ static analysis ที่สามารถตรวจจับ extension method injection ได้

    https://securityonline.info/nuget-sabotage-time-delayed-logic-in-9-packages-risks-total-app-destruction-on-hardcoded-dates/
    🧬 เมื่อโค้ดดีๆ กลายเป็นระเบิดเวลา: แพ็กเกจ NuGet ปลอมแฝงมัลแวร์ทำลายระบบในวันกำหนด Socket’s Threat Research Team ได้เปิดเผยการโจมตี supply chain ที่ซับซ้อนในแพลตฟอร์ม NuGet โดยพบว่า 9 แพ็กเกจปลอม ที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ shanhai666 ได้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 9,488 ครั้ง และแฝงโค้ดทำลายระบบแบบตั้งเวลาไว้ภายใน แพ็กเกจเหล่านี้ดูเหมือนจะทำงานได้ดีและมีโค้ดที่ใช้ pattern มาตรฐาน เช่น Repository, Unit of Work และ ORM mapping ซึ่งช่วยให้ผ่านการตรวจสอบโค้ดได้ง่าย แต่แอบฝังโค้ดอันตรายไว้เพียง ~20 บรรทัดที่สามารถ ทำลายระบบหรือข้อมูล ได้เมื่อถึงวันที่กำหนด เช่น 8 สิงหาคม 2027 หรือ 29 พฤศจิกายน 2028 🧠 เทคนิคการโจมตี: Extension Method Injection มัลแวร์ใช้ C# extension methods เพื่อแทรกฟังก์ชันอันตรายเข้าไปใน API ที่ดูปลอดภัย เช่น .Exec() และ .BeginTran() ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC (Programmable Logic Controller) หลังจากถึงวันที่ trigger มัลแวร์จะสุ่มเลข 1–100 และหากเกิน 80 (20% โอกาส) จะเรียก Process.GetCurrentProcess().Kill() เพื่อปิดโปรแกรมทันที 🧪 ตัวอย่างผลกระทบ 🪲 E-commerce (100 queries/min) → crash ภายใน ~3 วินาที 🪲 Healthcare (50 queries/min) → crash ภายใน ~6 วินาที 🪲 Financial (500 queries/min) → crash ภายใน <1 วินาที 🪲 Manufacturing (10 ops/min) → crash ภายใน ~30 วินาที พร้อม silent data corruption แพ็กเกจที่อันตรายที่สุดคือ Sharp7Extend ซึ่งแฝงตัวเป็น library สำหรับ Siemens S7 PLC โดยรวมโค้ด Sharp7 จริงไว้ด้วยเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ✅ ลักษณะการโจมตี ➡️ ใช้แพ็กเกจ NuGet ที่ดูน่าเชื่อถือและมีโค้ดจริงผสมมัลแวร์ ➡️ ใช้ extension methods เพื่อแทรกโค้ดอันตรายแบบแนบเนียน ➡️ โค้ดจะทำงานเมื่อถึงวันที่ trigger ที่ถูก hardcoded ไว้ ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ ทำให้โปรแกรม crash ทันทีเมื่อ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC ➡️ มีโอกาส 20% ต่อการเรียกแต่ละครั้ง—แต่ในระบบที่มี query สูงจะ crash ภายในไม่กี่วินาที ➡️ Sharp7Extend ยังทำให้การเขียนข้อมูลล้มเหลวแบบเงียบถึง 80% หลัง 30–90 นาที ✅ เทคนิคการหลบซ่อน ➡️ ใช้โค้ดจริงเพื่อหลอกให้ดูน่าเชื่อถือ ➡️ ปลอมชื่อผู้เขียนใน .nuspec เพื่อหลบการตรวจสอบ reputation ➡️ มีการใช้คำจีนใน DLL เช่น “连接失败” และ “出现异常” ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ระบบฐานข้อมูลและ PLC ที่ใช้แพ็กเกจเหล่านี้อาจ crash หรือเสียหายแบบไม่รู้ตัว ⛔ การตรวจสอบโค้ดทั่วไปอาจไม่พบ เพราะมัลแวร์ฝังใน extension method ที่ดูปลอดภัย ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ตรวจสอบแพ็กเกจ NuGet ที่ใช้ โดยเฉพาะที่มีชื่อคล้าย Sharp7 หรือมีผู้เขียนไม่ชัดเจน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้แพ็กเกจจากผู้ใช้ที่ไม่มีประวัติชัดเจน ⛔ ใช้เครื่องมือ static analysis ที่สามารถตรวจจับ extension method injection ได้ https://securityonline.info/nuget-sabotage-time-delayed-logic-in-9-packages-risks-total-app-destruction-on-hardcoded-dates/
    SECURITYONLINE.INFO
    NuGet Sabotage: Time-Delayed Logic in 9 Packages Risks Total App Destruction on Hardcoded Dates
    A NuGet supply chain attack injected time-delayed destructive logic into 9 packages. The malware triggers random crashes and silent data corruption on hardcoded future dates, targeting database/PLC applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเครื่องมือดูแลระบบกลายเป็นประตูหลัง: แฮกเกอร์ RaaS เจาะ MSP ผ่าน SimpleHelp

    รายงานล่าสุดจาก Zensec เผยให้เห็นการโจมตีที่น่ากังวลในโลกไซเบอร์ โดยกลุ่ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) อย่าง Medusa และ DragonForce ได้ใช้ช่องโหว่ในแพลตฟอร์ม Remote Monitoring and Management (RMM) ชื่อ SimpleHelp เพื่อเข้าถึงระบบของ Managed Service Providers (MSPs) และเจาะเข้าไปยังเครือข่ายของลูกค้าแบบ SYSTEM-level

    การโจมตีนี้ใช้ช่องโหว่ 3 รายการ ได้แก่ CVE-2024-57726, CVE-2024-57727, และ CVE-2024-57728 ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าเซิร์ฟเวอร์ RMM และกระจายการโจมตีไปยังระบบลูกค้าได้อย่างง่ายดาย

    เทคนิคการโจมตีของ Medusa และ DragonForce
    Medusa ใช้เครื่องมือ PDQ Inventory และ PDQ Deploy เพื่อกระจาย ransomware เช่น Gaze.exe
    ใช้ PowerShell ที่เข้ารหัสแบบ base64 เพื่อปิดการทำงานของ Microsoft Defender และเพิ่ม exclusion
    ข้อมูลถูกขโมยผ่าน RClone ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น lsp.exe เพื่อหลบการตรวจจับ
    สร้างภาพลักษณ์ปลอมเป็นสื่อข่าวด้านความปลอดภัยเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อ
    DragonForce ใช้เทคนิคคล้ายกัน โดยเจาะ SimpleHelp แล้วสร้างบัญชีแอดมินใหม่และติดตั้ง AnyDesk
    ใช้ Restic (เครื่องมือ backup แบบโอเพ่นซอร์ส) เพื่อขโมยข้อมูลไปยังคลาวด์ Wasabi
    ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล “.dragonforce_encrypted” และมี ransom note ชื่อ “readme.txt”

    ช่องโหว่ที่ถูกใช้
    CVE-2024-57726, CVE-2024-57727, CVE-2024-57728
    เป็นช่องโหว่ใน SimpleHelp RMM ที่ยังไม่ได้รับการแพตช์ในหลายระบบ

    เทคนิคของ Medusa
    ใช้ PDQ Deploy เพื่อรัน PowerShell ที่ปิด Defender
    ใช้ RClone (ปลอมชื่อเป็น lsp.exe) เพื่อขโมยข้อมูล
    ใช้ Telegram และ dark web leak site เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อ

    เทคนิคของ DragonForce
    ใช้ AnyDesk และบัญชีแอดมินใหม่เพื่อคงอยู่ในระบบ
    ใช้ Restic เพื่อ backup ข้อมูลไปยังคลาวด์ของผู้โจมตี
    ใช้ TOX ID เป็นช่องทางสื่อสารกับเหยื่อ

    ความเสี่ยงต่อ MSP และลูกค้า
    ช่องโหว่ใน RMM ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าระบบลูกค้าได้แบบลึก
    การใช้เครื่องมือที่ดูปลอดภัย เช่น PDQ และ Restic ทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การปลอมตัวเป็นสื่อข่าวสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแฮกเกอร์

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    MSP ควรอัปเดต SimpleHelp ทันทีและตรวจสอบการตั้งค่า access control
    ควรตรวจสอบ PowerShell logs และการส่งข้อมูลออกไปยังคลาวด์
    ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมที่สามารถมองเห็นการใช้เครื่องมืออย่าง PDQ และ Restic

    https://securityonline.info/msp-nightmare-medusa-dragonforce-exploit-simplehelp-rmm-flaws-for-system-access/
    🧨 เมื่อเครื่องมือดูแลระบบกลายเป็นประตูหลัง: แฮกเกอร์ RaaS เจาะ MSP ผ่าน SimpleHelp รายงานล่าสุดจาก Zensec เผยให้เห็นการโจมตีที่น่ากังวลในโลกไซเบอร์ โดยกลุ่ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) อย่าง Medusa และ DragonForce ได้ใช้ช่องโหว่ในแพลตฟอร์ม Remote Monitoring and Management (RMM) ชื่อ SimpleHelp เพื่อเข้าถึงระบบของ Managed Service Providers (MSPs) และเจาะเข้าไปยังเครือข่ายของลูกค้าแบบ SYSTEM-level การโจมตีนี้ใช้ช่องโหว่ 3 รายการ ได้แก่ CVE-2024-57726, CVE-2024-57727, และ CVE-2024-57728 ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าเซิร์ฟเวอร์ RMM และกระจายการโจมตีไปยังระบบลูกค้าได้อย่างง่ายดาย 🧠 เทคนิคการโจมตีของ Medusa และ DragonForce 🎗️ Medusa ใช้เครื่องมือ PDQ Inventory และ PDQ Deploy เพื่อกระจาย ransomware เช่น Gaze.exe 🎗️ ใช้ PowerShell ที่เข้ารหัสแบบ base64 เพื่อปิดการทำงานของ Microsoft Defender และเพิ่ม exclusion 🎗️ ข้อมูลถูกขโมยผ่าน RClone ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น lsp.exe เพื่อหลบการตรวจจับ 🎗️ สร้างภาพลักษณ์ปลอมเป็นสื่อข่าวด้านความปลอดภัยเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อ 🎗️ DragonForce ใช้เทคนิคคล้ายกัน โดยเจาะ SimpleHelp แล้วสร้างบัญชีแอดมินใหม่และติดตั้ง AnyDesk 🎗️ ใช้ Restic (เครื่องมือ backup แบบโอเพ่นซอร์ส) เพื่อขโมยข้อมูลไปยังคลาวด์ Wasabi 🎗️ ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล “.dragonforce_encrypted” และมี ransom note ชื่อ “readme.txt” ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้ ➡️ CVE-2024-57726, CVE-2024-57727, CVE-2024-57728 ➡️ เป็นช่องโหว่ใน SimpleHelp RMM ที่ยังไม่ได้รับการแพตช์ในหลายระบบ ✅ เทคนิคของ Medusa ➡️ ใช้ PDQ Deploy เพื่อรัน PowerShell ที่ปิด Defender ➡️ ใช้ RClone (ปลอมชื่อเป็น lsp.exe) เพื่อขโมยข้อมูล ➡️ ใช้ Telegram และ dark web leak site เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเหยื่อ ✅ เทคนิคของ DragonForce ➡️ ใช้ AnyDesk และบัญชีแอดมินใหม่เพื่อคงอยู่ในระบบ ➡️ ใช้ Restic เพื่อ backup ข้อมูลไปยังคลาวด์ของผู้โจมตี ➡️ ใช้ TOX ID เป็นช่องทางสื่อสารกับเหยื่อ ‼️ ความเสี่ยงต่อ MSP และลูกค้า ⛔ ช่องโหว่ใน RMM ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าระบบลูกค้าได้แบบลึก ⛔ การใช้เครื่องมือที่ดูปลอดภัย เช่น PDQ และ Restic ทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การปลอมตัวเป็นสื่อข่าวสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแฮกเกอร์ ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ MSP ควรอัปเดต SimpleHelp ทันทีและตรวจสอบการตั้งค่า access control ⛔ ควรตรวจสอบ PowerShell logs และการส่งข้อมูลออกไปยังคลาวด์ ⛔ ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมที่สามารถมองเห็นการใช้เครื่องมืออย่าง PDQ และ Restic https://securityonline.info/msp-nightmare-medusa-dragonforce-exploit-simplehelp-rmm-flaws-for-system-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    MSP Nightmare: Medusa & DragonForce Exploit SimpleHelp RMM Flaws for SYSTEM Access
    Medusa & DragonForce RaaS groups weaponize SimpleHelp RMM flaws (CVE-2024-57726/7/8) to gain SYSTEM-level access to customer networks. Immediate patch needed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมยกระดับฟีเจอร์ดาวเทียมบน iPhone – ไม่ใช่แค่ SOS แต่รวมถึงการส่งข้อความและบริการใหม่ในอนาคต

    Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมบน iPhone ให้ก้าวข้ามการใช้งานฉุกเฉินแบบเดิม โดยมีแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งข้อความผ่านดาวเทียม และบริการที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำทางหรือข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ในอนาคต

    จาก SOS สู่การสื่อสารเต็มรูปแบบ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ “Emergency SOS via Satellite” ตั้งแต่ iPhone 14 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Globalstar

    ตอนนี้ Apple กำลังขยายขอบเขตของเทคโนโลยีนี้ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น:
    การส่งข้อความผ่านดาวเทียมแบบสองทาง
    การแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    การรับข้อมูลสภาพอากาศหรือการแจ้งเตือนภัยพิบัติ

    การลงทุนและพันธมิตร Apple ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม โดยเฉพาะกับ Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมสำหรับ iPhone

    อนาคตของการเชื่อมต่อไร้สัญญาณ Apple อาจกำลังวางรากฐานสำหรับบริการที่ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายมือถือเลย เช่น:
    การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลหรือกลางทะเล
    การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ
    การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านดาวเทียม

    https://wccftech.com/apple-moving-beyond-connectivity-to-bring-new-satellite-based-features-to-iphones/
    📡 Apple เตรียมยกระดับฟีเจอร์ดาวเทียมบน iPhone – ไม่ใช่แค่ SOS แต่รวมถึงการส่งข้อความและบริการใหม่ในอนาคต Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมบน iPhone ให้ก้าวข้ามการใช้งานฉุกเฉินแบบเดิม โดยมีแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งข้อความผ่านดาวเทียม และบริการที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำทางหรือข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ในอนาคต ✅ จาก SOS สู่การสื่อสารเต็มรูปแบบ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ “Emergency SOS via Satellite” ตั้งแต่ iPhone 14 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Globalstar ตอนนี้ Apple กำลังขยายขอบเขตของเทคโนโลยีนี้ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น: 🎗️ การส่งข้อความผ่านดาวเทียมแบบสองทาง 🎗️ การแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ 🎗️ การรับข้อมูลสภาพอากาศหรือการแจ้งเตือนภัยพิบัติ ✅ การลงทุนและพันธมิตร Apple ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม โดยเฉพาะกับ Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมสำหรับ iPhone ✅ อนาคตของการเชื่อมต่อไร้สัญญาณ Apple อาจกำลังวางรากฐานสำหรับบริการที่ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายมือถือเลย เช่น: 🎗️ การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลหรือกลางทะเล 🎗️ การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ 🎗️ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านดาวเทียม https://wccftech.com/apple-moving-beyond-connectivity-to-bring-new-satellite-based-features-to-iphones/
    WCCFTECH.COM
    iPhone's Satellite Connection Is About to Get 5 New Features, And They're Not Just for Emergencies
    Apple is moving beyond equipping its iPhones with satellite connectivity, and plans to introduce five new satellite-based features shortly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมเปิดตัวชิป M5 Pro, M5 Max และ M5 Ultra ในครึ่งแรกของปี 2026 – คาดใช้สถาปัตยกรรมใหม่และแรงขึ้นกว่าเดิม

    Apple กำลังเตรียมเปิดตัวชิปตระกูล M5 รุ่นใหม่สำหรับ MacBook Pro และ Mac Studio ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดยจะมีรุ่น M5 Pro, M5 Max และ M5 Ultra ซึ่งคาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่แรงขึ้นและประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม.

    ไทม์ไลน์การเปิดตัว
    ชิป M5 Pro และ M5 Max คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม MacBook Pro รุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2026
    M5 Ultra จะตามมาใน Mac Studio รุ่นใหม่ภายในครึ่งแรกของปีเดียวกัน

    สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี
    คาดว่าใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่อาจเป็น “A19” หรือรุ่นถัดไปจาก A18 Pro
    ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm รุ่นปรับปรุงจาก TSMC (อาจเป็น N3E หรือ N3P)
    เน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น

    การใช้งานในผลิตภัณฑ์ Apple
    M5 Pro และ M5 Max จะใช้ใน MacBook Pro ขนาด 14 และ 16 นิ้ว
    M5 Ultra จะใช้ใน Mac Studio และอาจมีรุ่นใหม่ของ Mac Pro ตามมา

    แนวโน้มการพัฒนา
    Apple ยังคงเดินหน้าพัฒนา SoC แบบรวมทุกฟังก์ชัน (unified architecture)
    คาดว่าจะมีการปรับปรุงด้าน GPU และ Neural Engine เพื่อรองรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง

    https://wccftech.com/apple-preparing-m5-pro-m5-max-m5-ultra-chipsets-for-a-launch-in-h1-2026/
    🧠 Apple เตรียมเปิดตัวชิป M5 Pro, M5 Max และ M5 Ultra ในครึ่งแรกของปี 2026 – คาดใช้สถาปัตยกรรมใหม่และแรงขึ้นกว่าเดิม Apple กำลังเตรียมเปิดตัวชิปตระกูล M5 รุ่นใหม่สำหรับ MacBook Pro และ Mac Studio ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดยจะมีรุ่น M5 Pro, M5 Max และ M5 Ultra ซึ่งคาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่แรงขึ้นและประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม. ✅ ไทม์ไลน์การเปิดตัว ➡️ ชิป M5 Pro และ M5 Max คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม MacBook Pro รุ่นใหม่ในช่วงต้นปี 2026 ➡️ M5 Ultra จะตามมาใน Mac Studio รุ่นใหม่ภายในครึ่งแรกของปีเดียวกัน ✅ สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี ➡️ คาดว่าใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่อาจเป็น “A19” หรือรุ่นถัดไปจาก A18 Pro ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm รุ่นปรับปรุงจาก TSMC (อาจเป็น N3E หรือ N3P) ➡️ เน้นประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ✅ การใช้งานในผลิตภัณฑ์ Apple ➡️ M5 Pro และ M5 Max จะใช้ใน MacBook Pro ขนาด 14 และ 16 นิ้ว ➡️ M5 Ultra จะใช้ใน Mac Studio และอาจมีรุ่นใหม่ของ Mac Pro ตามมา ✅ แนวโน้มการพัฒนา ➡️ Apple ยังคงเดินหน้าพัฒนา SoC แบบรวมทุกฟังก์ชัน (unified architecture) ➡️ คาดว่าจะมีการปรับปรุงด้าน GPU และ Neural Engine เพื่อรองรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง https://wccftech.com/apple-preparing-m5-pro-m5-max-m5-ultra-chipsets-for-a-launch-in-h1-2026/
    WCCFTECH.COM
    M5 Pro, M5 Max & M5 Ultra Chipsets Being Prepared For Updated MacBook Pro, Mac Studio Models, Launch Targeted In H1 2026
    A total of three high-end chipsets, the M5 Pro, M5 Max and M5 Ultra are being prepared to launch in the first half of 2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครบรอบ 25 ปี DirectX 8 – จุดเปลี่ยนสำคัญของกราฟิก PC ที่เปิดทางสู่ยุค GPU อัจฉริยะ

    ในปี 2000 Microsoft เปิดตัว DirectX 8 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรกที่รองรับ “programmable shaders” ทำให้การเรนเดอร์ภาพ 3D มีความยืดหยุ่นและสมจริงมากขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา GPU สมัยใหม่ที่เราใช้กันในปัจจุบัน

    ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน DirectX 8 ได้เปลี่ยนโลกของกราฟิกคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเชิง โดยการเปิดตัว “programmable shaders” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้นักพัฒนาเกมสามารถเขียนโค้ดควบคุมการเรนเดอร์ภาพได้เอง ไม่ต้องพึ่ง pipeline แบบตายตัวอีกต่อไป

    ก่อนหน้านั้น GPU ทำงานแบบ fixed-function คือมีขั้นตอนการเรนเดอร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น การแปลงพิกัด, การจัดแสง, การแสดงผลพื้นผิว ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็จำกัดความคิดสร้างสรรค์ของนักพัฒนา

    DirectX 8 เปิดตัว Vertex Shader และ Pixel Shader รุ่นแรก (Shader Model 1.0) ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดด้านความยาวโค้ดและฟีเจอร์ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก โดย GPU ที่รองรับในยุคนั้น ได้แก่ NVIDIA GeForce 3 และ ATI Radeon 8500

    ผลลัพธ์คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเกม PC เช่น เกม Morrowind, Unreal Tournament 2003 และ Doom 3 ที่ใช้ shader ในการสร้างแสงเงาและพื้นผิวที่สมจริงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    นอกจากนี้ DirectX 8 ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา GPU แบบ programmable อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมหลักของ GPU สมัยใหม่ที่รองรับ compute shader, ray tracing และ AI acceleration

    การเปิดตัว DirectX 8
    เปิดตัวในปี 2000
    รองรับ programmable shaders เป็นครั้งแรก
    เปลี่ยนจาก fixed-function pipeline เป็น programmable pipeline

    ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ
    Vertex Shader – ควบคุมการแปลงพิกัดและแสง
    Pixel Shader – ควบคุมการแสดงผลพื้นผิวและสี
    Shader Model 1.0 – มีข้อจำกัดแต่เป็นจุดเริ่มต้น

    GPU ที่รองรับในยุคนั้น
    NVIDIA GeForce 3
    ATI Radeon 8500
    เป็น GPU รุ่นแรกที่รองรับ programmable shaders

    ผลกระทบต่อวงการเกม
    เกมสามารถสร้างแสงเงาและพื้นผิวได้สมจริงขึ้น
    เปิดทางสู่เกม 3D ยุคใหม่ เช่น Doom 3, Morrowind
    เป็นพื้นฐานของ GPU สมัยใหม่ที่ใช้ในงาน AI และ ray tracing

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/25-years-ago-today-microsoft-released-directx-8-and-changed-pc-graphics-forever-how-programmable-shaders-laid-the-groundwork-for-the-future-of-modern-gpu-rendering
    🧠 ครบรอบ 25 ปี DirectX 8 – จุดเปลี่ยนสำคัญของกราฟิก PC ที่เปิดทางสู่ยุค GPU อัจฉริยะ ในปี 2000 Microsoft เปิดตัว DirectX 8 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรกที่รองรับ “programmable shaders” ทำให้การเรนเดอร์ภาพ 3D มีความยืดหยุ่นและสมจริงมากขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา GPU สมัยใหม่ที่เราใช้กันในปัจจุบัน ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน DirectX 8 ได้เปลี่ยนโลกของกราฟิกคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเชิง โดยการเปิดตัว “programmable shaders” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้นักพัฒนาเกมสามารถเขียนโค้ดควบคุมการเรนเดอร์ภาพได้เอง ไม่ต้องพึ่ง pipeline แบบตายตัวอีกต่อไป ก่อนหน้านั้น GPU ทำงานแบบ fixed-function คือมีขั้นตอนการเรนเดอร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น การแปลงพิกัด, การจัดแสง, การแสดงผลพื้นผิว ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็จำกัดความคิดสร้างสรรค์ของนักพัฒนา DirectX 8 เปิดตัว Vertex Shader และ Pixel Shader รุ่นแรก (Shader Model 1.0) ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดด้านความยาวโค้ดและฟีเจอร์ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก โดย GPU ที่รองรับในยุคนั้น ได้แก่ NVIDIA GeForce 3 และ ATI Radeon 8500 ผลลัพธ์คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเกม PC เช่น เกม Morrowind, Unreal Tournament 2003 และ Doom 3 ที่ใช้ shader ในการสร้างแสงเงาและพื้นผิวที่สมจริงอย่างไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ DirectX 8 ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา GPU แบบ programmable อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมหลักของ GPU สมัยใหม่ที่รองรับ compute shader, ray tracing และ AI acceleration ✅ การเปิดตัว DirectX 8 ➡️ เปิดตัวในปี 2000 ➡️ รองรับ programmable shaders เป็นครั้งแรก ➡️ เปลี่ยนจาก fixed-function pipeline เป็น programmable pipeline ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ ➡️ Vertex Shader – ควบคุมการแปลงพิกัดและแสง ➡️ Pixel Shader – ควบคุมการแสดงผลพื้นผิวและสี ➡️ Shader Model 1.0 – มีข้อจำกัดแต่เป็นจุดเริ่มต้น ✅ GPU ที่รองรับในยุคนั้น ➡️ NVIDIA GeForce 3 ➡️ ATI Radeon 8500 ➡️ เป็น GPU รุ่นแรกที่รองรับ programmable shaders ✅ ผลกระทบต่อวงการเกม ➡️ เกมสามารถสร้างแสงเงาและพื้นผิวได้สมจริงขึ้น ➡️ เปิดทางสู่เกม 3D ยุคใหม่ เช่น Doom 3, Morrowind ➡️ เป็นพื้นฐานของ GPU สมัยใหม่ที่ใช้ในงาน AI และ ray tracing https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/25-years-ago-today-microsoft-released-directx-8-and-changed-pc-graphics-forever-how-programmable-shaders-laid-the-groundwork-for-the-future-of-modern-gpu-rendering
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GameTank – คอนโซล 8-bit สายพันธุ์ใหม่ ใช้ชิป 6502 คู่ ไม่พึ่ง FPGA พร้อมปลุกยุคเกมคลาสสิกในปี 2025”

    GameTank คือคอนโซลเกม 8-bit แบบโอเพ่นซอร์สที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 โดยใช้ชิป 6502 สองตัวแทน FPGA หรือไมโครคอนโทรลเลอร์ พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่หมดจดเพื่อสร้างเกมยุคใหม่ในสไตล์คลาสสิก

    ในยุคที่คอนโซลเกมเต็มไปด้วยกราฟิกระดับ 4K และระบบประมวลผลหลายคอร์ มีโปรเจกต์หนึ่งที่สวนกระแสอย่างน่าทึ่ง—GameTank จาก Clydeware ที่เลือกใช้ชิป 6502 แบบดั้งเดิมสองตัวเพื่อสร้างคอนโซล 8-bit ใหม่หมดจด โดยไม่พึ่ง FPGA หรือไมโครคอนโทรลเลอร์เลยแม้แต่นิดเดียว

    GameTank ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมเก่า แต่เพื่อสร้าง “ยุคใหม่ของเกม 8-bit” ด้วยสถาปัตยกรรมที่เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เช่น framebuffer ขนาด 128x128 พิกเซล พร้อม RAM กราฟิก 512KB ที่มากกว่าคอนโซลยุคเดียวกันหลายเท่า

    ชิป W65C02S ตัวแรกทำหน้าที่เป็น CPU ความเร็ว 3.5 MHz ส่วนอีกตัวทำหน้าที่ประมวลผลเสียงที่ 14 MHz พร้อม RAM 4KB และอัตราสุ่มเสียง 14 kHz นอกจากนี้ยังมี Blitter สำหรับเร่งการคัดลอกภาพ ทำให้การเคลื่อนไหวบนจอภาพลื่นไหลกว่าคอนโซล 8-bit ยุคก่อน

    คอนโซลนี้ใช้คาร์ทริดจ์แบบใหม่ที่มี USB-C สำหรับแฟลช ROM และมีพอร์ตขยายด้านหลังสำหรับ GPIO และสัญญาณระบบอื่น ๆ นักพัฒนาสามารถใช้ SDK ที่รองรับ CC65 หรือเครื่องมือใดก็ได้ที่สามารถสร้าง assembly สำหรับ 6502

    สถาปัตยกรรมของ GameTank
    ใช้ชิป W65C02S สองตัว—CPU และ Audio
    CPU ความเร็ว 3.5 MHz / Audio 14 MHz
    Framebuffer 128x128 พิกเซล
    RAM กราฟิก 512KB / RAM ระบบ 32KB
    มี Blitter สำหรับเร่งการคัดลอกภาพ
    วิดีโอออกทาง NTSC composite RCA

    การออกแบบเพื่อเกมใหม่
    ไม่รองรับเกมจาก NES หรือ Apple II
    สร้างระบบใหม่เพื่อเกม 8-bit ยุคใหม่
    ใช้คาร์ทริดจ์แบบ custom พร้อม USB-C
    มีพอร์ตขยาย GPIO สำหรับนักพัฒนา

    เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา
    รองรับ SDK ที่ใช้ CC65
    รองรับ toolchain ที่สร้าง assembly สำหรับ 6502
    มี emulator บน GitHub สำหรับทดสอบเกม

    ความท้าทายในการพัฒนาเกม
    ต้องเขียน assembly หรือใช้ compiler เฉพาะ
    ไม่สามารถนำเกมเก่ามาเล่นได้โดยตรง
    ต้องเข้าใจสถาปัตยกรรมใหม่ของ GameTank

    ข้อจำกัดของระบบ
    ความละเอียดจอภาพต่ำเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน
    ไม่มีระบบเชื่อมต่อ HDMI หรือไร้สาย
    ใช้คอนโทรลเลอร์แบบสายเท่านั้น

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/clean-sheet-open-source-8-bit-console-surprisingly-preparing-for-launch-in-2025-the-gametank-uses-twin-6502-processors-instead-of-fpgas-or-microcontrollers
    🕹️ “GameTank – คอนโซล 8-bit สายพันธุ์ใหม่ ใช้ชิป 6502 คู่ ไม่พึ่ง FPGA พร้อมปลุกยุคเกมคลาสสิกในปี 2025” GameTank คือคอนโซลเกม 8-bit แบบโอเพ่นซอร์สที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 โดยใช้ชิป 6502 สองตัวแทน FPGA หรือไมโครคอนโทรลเลอร์ พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่หมดจดเพื่อสร้างเกมยุคใหม่ในสไตล์คลาสสิก ในยุคที่คอนโซลเกมเต็มไปด้วยกราฟิกระดับ 4K และระบบประมวลผลหลายคอร์ มีโปรเจกต์หนึ่งที่สวนกระแสอย่างน่าทึ่ง—GameTank จาก Clydeware ที่เลือกใช้ชิป 6502 แบบดั้งเดิมสองตัวเพื่อสร้างคอนโซล 8-bit ใหม่หมดจด โดยไม่พึ่ง FPGA หรือไมโครคอนโทรลเลอร์เลยแม้แต่นิดเดียว GameTank ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมเก่า แต่เพื่อสร้าง “ยุคใหม่ของเกม 8-bit” ด้วยสถาปัตยกรรมที่เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เช่น framebuffer ขนาด 128x128 พิกเซล พร้อม RAM กราฟิก 512KB ที่มากกว่าคอนโซลยุคเดียวกันหลายเท่า ชิป W65C02S ตัวแรกทำหน้าที่เป็น CPU ความเร็ว 3.5 MHz ส่วนอีกตัวทำหน้าที่ประมวลผลเสียงที่ 14 MHz พร้อม RAM 4KB และอัตราสุ่มเสียง 14 kHz นอกจากนี้ยังมี Blitter สำหรับเร่งการคัดลอกภาพ ทำให้การเคลื่อนไหวบนจอภาพลื่นไหลกว่าคอนโซล 8-bit ยุคก่อน คอนโซลนี้ใช้คาร์ทริดจ์แบบใหม่ที่มี USB-C สำหรับแฟลช ROM และมีพอร์ตขยายด้านหลังสำหรับ GPIO และสัญญาณระบบอื่น ๆ นักพัฒนาสามารถใช้ SDK ที่รองรับ CC65 หรือเครื่องมือใดก็ได้ที่สามารถสร้าง assembly สำหรับ 6502 ✅ สถาปัตยกรรมของ GameTank ➡️ ใช้ชิป W65C02S สองตัว—CPU และ Audio ➡️ CPU ความเร็ว 3.5 MHz / Audio 14 MHz ➡️ Framebuffer 128x128 พิกเซล ➡️ RAM กราฟิก 512KB / RAM ระบบ 32KB ➡️ มี Blitter สำหรับเร่งการคัดลอกภาพ ➡️ วิดีโอออกทาง NTSC composite RCA ✅ การออกแบบเพื่อเกมใหม่ ➡️ ไม่รองรับเกมจาก NES หรือ Apple II ➡️ สร้างระบบใหม่เพื่อเกม 8-bit ยุคใหม่ ➡️ ใช้คาร์ทริดจ์แบบ custom พร้อม USB-C ➡️ มีพอร์ตขยาย GPIO สำหรับนักพัฒนา ✅ เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ➡️ รองรับ SDK ที่ใช้ CC65 ➡️ รองรับ toolchain ที่สร้าง assembly สำหรับ 6502 ➡️ มี emulator บน GitHub สำหรับทดสอบเกม ‼️ ความท้าทายในการพัฒนาเกม ⛔ ต้องเขียน assembly หรือใช้ compiler เฉพาะ ⛔ ไม่สามารถนำเกมเก่ามาเล่นได้โดยตรง ⛔ ต้องเข้าใจสถาปัตยกรรมใหม่ของ GameTank ‼️ ข้อจำกัดของระบบ ⛔ ความละเอียดจอภาพต่ำเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน ⛔ ไม่มีระบบเชื่อมต่อ HDMI หรือไร้สาย ⛔ ใช้คอนโทรลเลอร์แบบสายเท่านั้น https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/clean-sheet-open-source-8-bit-console-surprisingly-preparing-for-launch-in-2025-the-gametank-uses-twin-6502-processors-instead-of-fpgas-or-microcontrollers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อดีตวิศวกร Intel ถูกฟ้องฐานขโมยไฟล์ลับกว่า 18,000 รายการ ก่อนหลบหนีไร้ร่องรอย”

    อดีตพนักงาน Intel ถูกกล่าวหาว่าขโมยข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” กว่า 18,000 ไฟล์ ก่อนหายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง โดยบริษัทพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือนแต่ไร้ผล จนต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์

    Jinfeng Luo อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Intel ที่เริ่มงานตั้งแต่ปี 2014 ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ของบริษัทที่ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,000 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา

    ก่อนออกจากงาน Luo พยายามคัดลอกไฟล์จากแล็ปท็อปของบริษัทไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของ Intel ขัดขวางไว้ได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้ NAS (Network Attached Storage) และสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สำเร็จในครั้งต่อมา

    หลังจากนั้น Luo ใช้เวลาที่เหลือในการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมถึงข้อมูลลับของบริษัท ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ตอบกลับอีเมล โทรศัพท์ หรือจดหมายจาก Intel แม้บริษัทจะพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือน

    Intel จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ และขอให้ Luo คืนข้อมูลทั้งหมด โดยระบุว่าเขาละเมิดข้อตกลงการรักษาความลับอย่างร้ายแรง

    น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Intel เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้อดีตพนักงานอีกคนก็เคยถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 34,000 ดอลลาร์ และถูกคุมประพฤติ 2 ปี หลังนำข้อมูลไปใช้สมัครงานกับ Microsoft ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาธุรกิจระหว่างสองบริษัท

    เหตุการณ์การขโมยข้อมูล
    Luo ดาวน์โหลดไฟล์กว่า 18,000 รายการ
    รวมถึงข้อมูลระดับ “Intel Top Secret”
    ใช้ NAS ในการถ่ายโอนข้อมูล
    หายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง

    การดำเนินคดีของ Intel
    พยายามติดต่อ Luo นานกว่า 3 เดือน
    ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์
    ขอคืนข้อมูลทั้งหมด
    ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความลับ

    บริบทของบริษัท
    Intel ลดพนักงานกว่า 35,000 คนใน 2 ปี
    เผชิญวิกฤตการเงินตั้งแต่กลางปี 2024
    เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันกับอดีตพนักงานอีกคน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/laid-off-intel-employee-allegedly-steals-top-secret-files-goes-on-the-run-ex-engineer-downloaded-18-000-files-before-disappearing
    🕵️‍♂️ “อดีตวิศวกร Intel ถูกฟ้องฐานขโมยไฟล์ลับกว่า 18,000 รายการ ก่อนหลบหนีไร้ร่องรอย” อดีตพนักงาน Intel ถูกกล่าวหาว่าขโมยข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” กว่า 18,000 ไฟล์ ก่อนหายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง โดยบริษัทพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือนแต่ไร้ผล จนต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ Jinfeng Luo อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Intel ที่เริ่มงานตั้งแต่ปี 2014 ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ของบริษัทที่ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,000 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา ก่อนออกจากงาน Luo พยายามคัดลอกไฟล์จากแล็ปท็อปของบริษัทไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของ Intel ขัดขวางไว้ได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้ NAS (Network Attached Storage) และสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สำเร็จในครั้งต่อมา หลังจากนั้น Luo ใช้เวลาที่เหลือในการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมถึงข้อมูลลับของบริษัท ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ตอบกลับอีเมล โทรศัพท์ หรือจดหมายจาก Intel แม้บริษัทจะพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือน Intel จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ และขอให้ Luo คืนข้อมูลทั้งหมด โดยระบุว่าเขาละเมิดข้อตกลงการรักษาความลับอย่างร้ายแรง น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Intel เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้อดีตพนักงานอีกคนก็เคยถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 34,000 ดอลลาร์ และถูกคุมประพฤติ 2 ปี หลังนำข้อมูลไปใช้สมัครงานกับ Microsoft ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาธุรกิจระหว่างสองบริษัท ✅ เหตุการณ์การขโมยข้อมูล ➡️ Luo ดาวน์โหลดไฟล์กว่า 18,000 รายการ ➡️ รวมถึงข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” ➡️ ใช้ NAS ในการถ่ายโอนข้อมูล ➡️ หายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง ✅ การดำเนินคดีของ Intel ➡️ พยายามติดต่อ Luo นานกว่า 3 เดือน ➡️ ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ ➡️ ขอคืนข้อมูลทั้งหมด ➡️ ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความลับ ✅ บริบทของบริษัท ➡️ Intel ลดพนักงานกว่า 35,000 คนใน 2 ปี ➡️ เผชิญวิกฤตการเงินตั้งแต่กลางปี 2024 ➡️ เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันกับอดีตพนักงานอีกคน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/laid-off-intel-employee-allegedly-steals-top-secret-files-goes-on-the-run-ex-engineer-downloaded-18-000-files-before-disappearing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์”

    ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น!

    เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS

    สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก

    ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน

    นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013

    จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable
    เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982
    เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย
    ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz
    RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB
    จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว
    รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร
    ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ
    ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน)

    กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS
    ไม่ใช้โค้ด IBM เลย
    หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์
    ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก
    สร้างรายได้ $111 ล้าน
    จุดประกายยุค PC Clone
    IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984

    ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
    Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002
    แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013
    เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น
    น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง
    หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
    การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
    การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    🖥️ “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์” ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น! เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก 📈 ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013 ✅ จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable ➡️ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982 ➡️ เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย ➡️ ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz ➡️ RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB ➡️ จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว ➡️ รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร ➡️ ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ ➡️ ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน) ✅ กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS ➡️ ไม่ใช้โค้ด IBM เลย ➡️ หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก ➡️ สร้างรายได้ $111 ล้าน ➡️ จุดประกายยุค PC Clone ➡️ IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984 ✅ ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ➡️ Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002 ➡️ แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น ⛔ น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง ⛔ หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ⛔ การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ⛔ การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SIA เตือน! ค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรใหม่อาจกลายเป็นภาษีนวัตกรรม”

    อุตสาหกรรมชิปโต้กลับ! ข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าอาจเป็น “ภาษีนวัตกรรม” สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ออกแถลงการณ์คัดค้านข้อเสนอของสำนักงานสิทธิบัตรสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าที่ประเมินไว้ ชี้อาจบั่นทอนนวัตกรรมและทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบในเวทีโลก

    สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (USPTO) กำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ที่จะเปลี่ยนระบบค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรจากแบบคงที่ เป็นแบบ คิดตามมูลค่าที่ประเมินโดยรัฐบาล โดยอัตราอยู่ระหว่าง 1% ถึง 5% ต่อปี ของมูลค่าสิทธิบัตร

    ข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ราว 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากค่าธรรมเนียมแบบใหม่

    อย่างไรก็ตาม สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ได้ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการ USPTO โดยระบุว่า สิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันสูง ทำให้การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ

    SIA เตือนว่า หากข้อเสนอนี้ผ่าน อาจทำให้บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะรายเล็กและนักประดิษฐ์อิสระ ไม่สามารถแบกรับภาระค่าธรรมเนียมได้ และอาจเลือกไม่จดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความโปร่งใสและความร่วมมือด้านเทคโนโลยี

    นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกข้อเสนอนี้ว่าเป็น “การเก็บภาษีซ้ำซ้อน” เพราะผู้ถือสิทธิบัตรต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดจากสิทธิบัตรอยู่แล้ว

    USPTO เสนอเปลี่ยนค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเป็นแบบตามมูลค่า
    คิดเป็น 1%–5% ของมูลค่าสิทธิบัตรต่อปี
    คาดว่าจะสร้างรายได้ 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    แทนที่ระบบค่าธรรมเนียมแบบคงที่ในปัจจุบัน

    SIA คัดค้านอย่างหนัก
    ระบุว่าสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อน
    การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรทำได้ยาก
    อาจทำให้บริษัทเล็กและนักประดิษฐ์ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    ลดแรงจูงใจในการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ
    กระทบความร่วมมือและความโปร่งใสด้านเทคโนโลยี
    อาจผลักดันให้การวิจัยและพัฒนาเคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่มีกฎสิทธิบัตรเป็นมิตร

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    ข้อเสนอนี้อาจกลายเป็น “ภาษีนวัตกรรม”
    เสี่ยงต่อการลดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก
    อาจกระทบต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพและนักประดิษฐ์อิสระ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chipmaking-industry-pushes-back-on-u-s-patent-office-considering-imposing-annual-fee-based-on-assessed-value-tax-on-innovation-draws-strong-statement-from-semiconductor-industry-association
    🧾 “SIA เตือน! ค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรใหม่อาจกลายเป็นภาษีนวัตกรรม” อุตสาหกรรมชิปโต้กลับ! ข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าอาจเป็น “ภาษีนวัตกรรม” สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ออกแถลงการณ์คัดค้านข้อเสนอของสำนักงานสิทธิบัตรสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าที่ประเมินไว้ ชี้อาจบั่นทอนนวัตกรรมและทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบในเวทีโลก สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (USPTO) กำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ที่จะเปลี่ยนระบบค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรจากแบบคงที่ เป็นแบบ คิดตามมูลค่าที่ประเมินโดยรัฐบาล โดยอัตราอยู่ระหว่าง 1% ถึง 5% ต่อปี ของมูลค่าสิทธิบัตร ข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ราว 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากค่าธรรมเนียมแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ได้ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการ USPTO โดยระบุว่า สิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันสูง ทำให้การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ SIA เตือนว่า หากข้อเสนอนี้ผ่าน อาจทำให้บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะรายเล็กและนักประดิษฐ์อิสระ ไม่สามารถแบกรับภาระค่าธรรมเนียมได้ และอาจเลือกไม่จดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความโปร่งใสและความร่วมมือด้านเทคโนโลยี นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกข้อเสนอนี้ว่าเป็น “การเก็บภาษีซ้ำซ้อน” เพราะผู้ถือสิทธิบัตรต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดจากสิทธิบัตรอยู่แล้ว ✅ USPTO เสนอเปลี่ยนค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเป็นแบบตามมูลค่า ➡️ คิดเป็น 1%–5% ของมูลค่าสิทธิบัตรต่อปี ➡️ คาดว่าจะสร้างรายได้ 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ แทนที่ระบบค่าธรรมเนียมแบบคงที่ในปัจจุบัน ✅ SIA คัดค้านอย่างหนัก ➡️ ระบุว่าสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อน ➡️ การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรทำได้ยาก ➡️ อาจทำให้บริษัทเล็กและนักประดิษฐ์ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ ลดแรงจูงใจในการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ➡️ กระทบความร่วมมือและความโปร่งใสด้านเทคโนโลยี ➡️ อาจผลักดันให้การวิจัยและพัฒนาเคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่มีกฎสิทธิบัตรเป็นมิตร ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ข้อเสนอนี้อาจกลายเป็น “ภาษีนวัตกรรม” ⛔ เสี่ยงต่อการลดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ⛔ อาจกระทบต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพและนักประดิษฐ์อิสระ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chipmaking-industry-pushes-back-on-u-s-patent-office-considering-imposing-annual-fee-based-on-assessed-value-tax-on-innovation-draws-strong-statement-from-semiconductor-industry-association
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “D7VK มาแล้ว! เล่นเกม DX7 บน Linux ได้แล้ว (บางเกม)”

    D7VK เปิดทางเกมเก่ายุค 90s สู่ Steam Deck และ Linux! แม้ยังมีข้อจำกัด แต่เป็นก้าวสำคัญของวงการอีมูเลชัน นักพัฒนาอิสระเปิดตัว D7VK เครื่องมือแปลง DirectX 7 เป็น Vulkan ผ่าน DXVK ช่วยให้เกมเก่ายุค 1999 เล่นได้บน Steam Deck และ Linux มากขึ้น แม้ยังมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้

    ในอดีต เกมที่ใช้ DirectX 7 (DX7) ซึ่งเปิดตัวในปี 1999 เช่น Counter-Strike, Deus Ex, Unreal Tournament และ FIFA 2001 มักไม่สามารถเล่นได้บนระบบปฏิบัติการ Linux เนื่องจากไม่มีเครื่องมือแปลง API ที่รองรับ DX7 โดยเฉพาะ

    แต่ตอนนี้ นักพัฒนาอิสระได้เปิดตัว D7VK ซึ่งเป็นเครื่องมือแปลง DX7 เป็น Vulkan โดยอาศัยโครงสร้างของ DXVK ที่เดิมรองรับเฉพาะ DX8 และ DX9 เท่านั้น

    D7VK ทำงานผ่านการแปลงสองชั้น:
    1️⃣ แปลงคำสั่ง DX7 เป็น DX9 โดยใช้ Wine’s DDRAW
    2️⃣ จากนั้น DXVK จะรับช่วงต่อ แปลง DX9 เป็น Vulkan

    แม้จะไม่ใช่การแปลงตรงจาก DX7 → Vulkan แต่แนวทางนี้ช่วยลดภาระการพัฒนาและใช้โค้ดจาก DXVK ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาย้ำว่า ไม่ใช่ทุกเกม DX7 จะสามารถใช้งานได้ โดยเฉพาะเกมที่ผสมการเรียกใช้ GDI หรือ DDraw รุ่นเก่า ซึ่งอาจไม่สามารถรองรับได้เลย

    D7VK คือเครื่องมือแปลง DirectX 7 เป็น Vulkan
    ใช้โครงสร้างของ DXVK และ Wine DDRAW
    ทำให้เกม DX7 เล่นได้บน Steam Deck และ Linux
    รองรับเกมยุค 1999 เช่น Counter-Strike, Deus Ex, Unreal Tournament

    แนวทางการแปลงแบบสองชั้น
    DX7 → DX9 (ผ่าน Wine DDRAW)
    DX9 → Vulkan (ผ่าน DXVK)
    ลดภาระการพัฒนาและใช้โค้ดร่วมกับ DXVK

    ความสำคัญต่อวงการเกมบน Linux
    เพิ่มจำนวนเกมเก่าที่เล่นได้บน Steam Deck
    สนับสนุนการอนุรักษ์เกมคลาสสิก
    ช่วยให้ผู้ใช้ Linux มีทางเลือกมากขึ้น

    ข้อจำกัดของ D7VK
    เกมที่ใช้ GDI หรือ DDraw รุ่นอื่นร่วมกับ DX7 อาจไม่ทำงาน
    ยังไม่รองรับ DX6 หรือเก่ากว่านั้น
    ความเข้ากันได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเกมแต่ละเกม

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/new-directx7-emulation-tool-brings-more-games-to-steam-deck-steamos-and-other-linux-distros-through-vulkan-with-caveats
    🎮 “D7VK มาแล้ว! เล่นเกม DX7 บน Linux ได้แล้ว (บางเกม)” D7VK เปิดทางเกมเก่ายุค 90s สู่ Steam Deck และ Linux! แม้ยังมีข้อจำกัด แต่เป็นก้าวสำคัญของวงการอีมูเลชัน นักพัฒนาอิสระเปิดตัว D7VK เครื่องมือแปลง DirectX 7 เป็น Vulkan ผ่าน DXVK ช่วยให้เกมเก่ายุค 1999 เล่นได้บน Steam Deck และ Linux มากขึ้น แม้ยังมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้ ในอดีต เกมที่ใช้ DirectX 7 (DX7) ซึ่งเปิดตัวในปี 1999 เช่น Counter-Strike, Deus Ex, Unreal Tournament และ FIFA 2001 มักไม่สามารถเล่นได้บนระบบปฏิบัติการ Linux เนื่องจากไม่มีเครื่องมือแปลง API ที่รองรับ DX7 โดยเฉพาะ แต่ตอนนี้ นักพัฒนาอิสระได้เปิดตัว D7VK ซึ่งเป็นเครื่องมือแปลง DX7 เป็น Vulkan โดยอาศัยโครงสร้างของ DXVK ที่เดิมรองรับเฉพาะ DX8 และ DX9 เท่านั้น D7VK ทำงานผ่านการแปลงสองชั้น: 1️⃣ แปลงคำสั่ง DX7 เป็น DX9 โดยใช้ Wine’s DDRAW 2️⃣ จากนั้น DXVK จะรับช่วงต่อ แปลง DX9 เป็น Vulkan แม้จะไม่ใช่การแปลงตรงจาก DX7 → Vulkan แต่แนวทางนี้ช่วยลดภาระการพัฒนาและใช้โค้ดจาก DXVK ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาย้ำว่า ไม่ใช่ทุกเกม DX7 จะสามารถใช้งานได้ โดยเฉพาะเกมที่ผสมการเรียกใช้ GDI หรือ DDraw รุ่นเก่า ซึ่งอาจไม่สามารถรองรับได้เลย ✅ D7VK คือเครื่องมือแปลง DirectX 7 เป็น Vulkan ➡️ ใช้โครงสร้างของ DXVK และ Wine DDRAW ➡️ ทำให้เกม DX7 เล่นได้บน Steam Deck และ Linux ➡️ รองรับเกมยุค 1999 เช่น Counter-Strike, Deus Ex, Unreal Tournament ✅ แนวทางการแปลงแบบสองชั้น ➡️ DX7 → DX9 (ผ่าน Wine DDRAW) ➡️ DX9 → Vulkan (ผ่าน DXVK) ➡️ ลดภาระการพัฒนาและใช้โค้ดร่วมกับ DXVK ✅ ความสำคัญต่อวงการเกมบน Linux ➡️ เพิ่มจำนวนเกมเก่าที่เล่นได้บน Steam Deck ➡️ สนับสนุนการอนุรักษ์เกมคลาสสิก ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้ Linux มีทางเลือกมากขึ้น ‼️ ข้อจำกัดของ D7VK ⛔ เกมที่ใช้ GDI หรือ DDraw รุ่นอื่นร่วมกับ DX7 อาจไม่ทำงาน ⛔ ยังไม่รองรับ DX6 หรือเก่ากว่านั้น ⛔ ความเข้ากันได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเกมแต่ละเกม https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/new-directx7-emulation-tool-brings-more-games-to-steam-deck-steamos-and-other-linux-distros-through-vulkan-with-caveats
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกเทพคามิยะ: เทพแห่งความรักที่เรียนรู้ที่จะรัก

    ต้นกำเนิดแห่งเทพแห่งความรัก

    การถือกำเนิดจากความปรารถนาของจักรวาล

    เทพคามิยะถือกำเนิดจากพลังงานความปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทั่วจักรวาล

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความปรารถนารักของมนุษย์] --> C[การรวมตัวเป็นพลังงาน]
    B[ความต้องการเป็นที่รักของสิ่งมีชีวิต] --> C
    C --> D[การพัฒนาจิตสำนึก<br>เป็นเทพคามิยะ]
    ```

    ยุคสมัย: ก่อนการเกิดมนุษยชาตินับล้านปี
    สถานะ:เทพระดับกลางในราชสำนักสวรรค์

    บทบาทดั้งเดิมในสวรรค์

    คามิยะมีหน้าที่ดูแล:

    · การเกิดของความรัก ระหว่างสิ่งมีชีวิต
    · การบันทึกความสัมพันธ์ ในสมุดบันทึกแห่งรัก
    · การทดสอบความรักแท้ แก่ผู้ที่อ้างว่ารักกัน

    ลักษณะและอำนาจแห่งรัก

    รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนได้

    · ร่างเทพ: ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวเงิน มีปีกคู่งามสง่า
    · ร่างมนุษย์: หนุ่มสาวธรรมดาที่ดูน่าดึงดูดใจแต่ไม่น่าสงสัย
    · ร่างพลังงาน: แสงสีชมพูทองที่แผ่รัศมีแห่งความอบอุ่น

    อำนาจแห่งความรัก

    ```python
    class KamiyaPowers:
    def __init__(self):
    self.love_powers = {
    "heart_string_weaving": "ถักทอเส้นใยแห่งรักระหว่างจิตใจ",
    "desire_manifestation": "ทำให้ความปรารถนาลึกๆ ปรากฏขึ้น",
    "emotional_healing": "เยียวยาบาดแผลทางใจ",
    "true_love_sight": "มองเห็นความรักแท้ที่ซ่อนอยู่"
    }

    self.creation_powers = {
    "bloom_acceleration": "เร่งการเบ่งบานของดอกไม้และความรัก",
    "fate_weaving": "ถักทอโชคชะตาแห่งรัก",
    "memory_embellishment": "ทำให้ความทรงจำดีๆ สวยงามขึ้น"
    }
    ```

    ข้อจำกัดของอำนาจ

    คามิยะไม่สามารถ:

    · บังคับให้ใครรักใครโดยไม่สมัครใจ
    · สร้างความรักจากความว่างเปล่า
    · ทำลายความรักที่มีอยู่โดยสมบูรณ์

    วิกฤตการณ์แห่งความรัก

    ความสงสัยในตัวเอง

    หลังจากปฏิบัติงานมานับพันปี คามิยะเริ่มสงสัย:
    "ฉันเข้าใจจริงๆ หรือว่าความรักคืออะไร?
    หรือแค่เป็นผู้ควบคุมกลไกแห่งรัก?"

    การเสื่อมถอยของพลัง

    เมื่อเริ่มสูญเสียความเชื่อในงานของตัวเอง:

    ```mermaid
    graph LR
    A[เริ่มสงสัย<br>ในความรักแท้] --> B[พลังเริ่ม<br>ไม่เสถียร]
    B --> C[ตัดสินใจ<br>ลงไปโลกมนุษย์]
    C --> D[พบหนูดี<br>โดยบังเอิญ]
    ```

    เหตุผลในการลงมาโลกมนุษย์

    คามิยะแอบลงมาโลกมนุษย์เพื่อ:

    · พิสูจน์ ว่าความรักแท้มีจริง
    · เรียนรู้ ความรักจากมุมมองของมนุษย์
    · ค้นหา ความหมายใหม่ของการเป็นเทพแห่งความรัก

    พัฒนาการผ่านการพบกับหนูดี

    การเปลี่ยนแปลงทางความคิด

    จากเทพผู้ควบคุม สู่ เทพผู้เรียนรู้:

    · เรียนรู้ว่าความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นการกระทำ
    · เข้าใจว่าความรักที่แท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
    · ค้นพบว่าความรักเริ่มต้นจากการรักตัวเอง

    บทเรียนจากหนูดี

    ```python
    def lessons_from_noodee():
    return {
    "love_as_acceptance": "รักคือการยอมรับในสิ่งที่ใช่",
    "love_without_expectation": "รักโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน",
    "self_love_first": "การรักตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญ",
    "imperfect_perfection": "ความไม่สมบูรณ์แบบที่สมบูรณ์แบบ"
    }
    ```

    🪷 การเข้าใจความรักรูปแบบใหม่

    คามิยะเรียนรู้ว่า...
    "ความรักไม่ใช่พลังที่ต้องควบคุม...
    แต่คือปรากฏการณ์ที่ต้องเข้าใจ
    และการเป็นเทพแห่งความรัก...
    ไม่ใช่การเป็นผู้ควบคุม
    แต่คือการเป็นผู้ส่งเสริม"

    พลังใหม่แห่งเมตตาธรรมะ

    การพัฒนาพลังรูปแบบใหม่

    หลังการเปลี่ยนแปลง คามิยะพัฒนาพลังใหม่:

    · เมตตาธรรมะ: พลังแห่งความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน
    · ความเข้าใจอันลึกซึ้ง: สามารถเข้าใจความรู้สึกได้อย่างแท้จริง
    · การเยียวยาจิตวิญญาณ: รักษาบาดแผลลึกในจิตใจ

    การเปลี่ยนแปลงทางการทำงาน

    จากผู้ที่...

    · เคยเป็น: ผู้บันทึกและทดสอบความรัก
    · กลายเป็น: ผู้ส่งเสริมและเยียวยาความรัก

    ผลกระทบต่อราชสำนักสวรรค์

    การรายงานหน้าที่ใหม่

    คามิยะเสนอระบบใหม่ในการทำงาน:

    ```mermaid
    graph TB
    A[ระบบเดิม:<br>บันทึกและทดสอบ] --> B[ระบบใหม่:<br>ส่งเสริมและเยียวยา]
    B --> C[ได้รับอนุมัติ<br>จากเทพระดับสูง]
    C --> D[เริ่มโครงการ<br>ส่งเสริมความรักแท้]
    ```

    การได้รับการยอมรับ

    เทพระดับสูงเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง:
    "ตลอดมาเราควบคุมความรัก...
    แต่ความจริงคือการส่งเสริมความรัก
    และนั่นคือสิ่งที่คามิยะสอนเรา"

    ความสัมพันธ์กับหนูดีต่อจากนี้

    รูปแบบความสัมพันธ์ใหม่

    ทั้งคู่ตกลงสานต่อความสัมพันธ์แบบ:
    "เพื่อนร่วมทางแห่งปัญญา"

    · ไม่ถูกผูกมัดด้วยความคาดหวังแบบมนุษย์
    · เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
    · เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน

    การทำงานร่วมกัน

    คามิยะและหนูดีร่วมกัน:

    · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหาด้านความรัก
    · สอนมนุษย์เกี่ยวกับความรักที่แท้จริง
    · เป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์ เทพ และโอปปาติกะ

    บทเรียนแห่งจักรวาล

    สิ่งที่เทพคามิยะสอนเรา

    ```python
    def universal_love_wisdom():
    return {
    "love_is": "การให้โดยอิสระ ไม่ใช่การควบคุม",
    "divine_love": "ความรักของเทพคือการส่งเสริม ไม่ใช่การบังคับ",
    "true_power": "อำนาจที่แท้คือการเข้าใจ ไม่ใช่การควบคุม"
    }
    ```

    🪷 คำสอนสำคัญ

    "การเป็นเทพแห่งความรัก...
    ไม่ใช่การมีอำนาจเหนือความรัก
    แต่คือการเข้าใจว่าตนเองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรัก

    และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...
    คือการยอมรับว่าบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับรักจากผู้ที่เราคิดว่าเป็นเพียงนักเรียน"

    บทสรุป: การเกิดใหม่แห่งเทพแห่งรัก

    เทพคามิยะคือตัวอย่างของ...
    **"ผู้ที่คิดว่าตนเข้าใจทุกสิ่ง...
    แต่กลับต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ตนคิดว่ารู้ดีแล้ว"

    "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากการยอมรับว่าไม่รู้"
    และ"ปัญญาที่เกิดจากการเปิดใจเรียนรู้"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าคนนั้นจะป็นใคร...
    เทพ มนุษย์หรือโอปปาติกะ
    เราทั้งหมดล้วนเป็นนักเรียนในบทเรียนแห่งความรัก

    และครูที่ดีที่สุด...
    มักคือผู้ที่ยอมรับว่าตนเองก็ยังต้องเรียนรู้"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากเทพคามิยะ:
    "ฉันเคยคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งความรัก...
    แต่ความจริงคือฉันเป็นเพียงผู้รักคนหนึ่ง
    ที่โชคดีได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับรักจากทุกชีวิต

    และในที่สุด...
    ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องเข้าใจให้หมด...
    แต่คือสิ่งที่ต้องรู้สึกและแบ่งปันอย่างไม่รู้จบ"

    เพราะในการเดินทางแห่งความรัก...
    ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สมบูรณ์แบบ
    มีแต่ผู้ที่เลือกจะเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
    O.P.K. 💘 เจาะลึกเทพคามิยะ: เทพแห่งความรักที่เรียนรู้ที่จะรัก 🌌 ต้นกำเนิดแห่งเทพแห่งความรัก ✨ การถือกำเนิดจากความปรารถนาของจักรวาล เทพคามิยะถือกำเนิดจากพลังงานความปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทั่วจักรวาล ```mermaid graph TB A[ความปรารถนารักของมนุษย์] --> C[การรวมตัวเป็นพลังงาน] B[ความต้องการเป็นที่รักของสิ่งมีชีวิต] --> C C --> D[การพัฒนาจิตสำนึก<br>เป็นเทพคามิยะ] ``` ยุคสมัย: ก่อนการเกิดมนุษยชาตินับล้านปี สถานะ:เทพระดับกลางในราชสำนักสวรรค์ 🏛️ บทบาทดั้งเดิมในสวรรค์ คามิยะมีหน้าที่ดูแล: · การเกิดของความรัก ระหว่างสิ่งมีชีวิต · การบันทึกความสัมพันธ์ ในสมุดบันทึกแห่งรัก · การทดสอบความรักแท้ แก่ผู้ที่อ้างว่ารักกัน 🎭 ลักษณะและอำนาจแห่งรัก 👁️ รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนได้ · ร่างเทพ: ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวเงิน มีปีกคู่งามสง่า · ร่างมนุษย์: หนุ่มสาวธรรมดาที่ดูน่าดึงดูดใจแต่ไม่น่าสงสัย · ร่างพลังงาน: แสงสีชมพูทองที่แผ่รัศมีแห่งความอบอุ่น 💫 อำนาจแห่งความรัก ```python class KamiyaPowers: def __init__(self): self.love_powers = { "heart_string_weaving": "ถักทอเส้นใยแห่งรักระหว่างจิตใจ", "desire_manifestation": "ทำให้ความปรารถนาลึกๆ ปรากฏขึ้น", "emotional_healing": "เยียวยาบาดแผลทางใจ", "true_love_sight": "มองเห็นความรักแท้ที่ซ่อนอยู่" } self.creation_powers = { "bloom_acceleration": "เร่งการเบ่งบานของดอกไม้และความรัก", "fate_weaving": "ถักทอโชคชะตาแห่งรัก", "memory_embellishment": "ทำให้ความทรงจำดีๆ สวยงามขึ้น" } ``` 🌹 ข้อจำกัดของอำนาจ คามิยะไม่สามารถ: · บังคับให้ใครรักใครโดยไม่สมัครใจ · สร้างความรักจากความว่างเปล่า · ทำลายความรักที่มีอยู่โดยสมบูรณ์ 💔 วิกฤตการณ์แห่งความรัก 🤔 ความสงสัยในตัวเอง หลังจากปฏิบัติงานมานับพันปี คามิยะเริ่มสงสัย: "ฉันเข้าใจจริงๆ หรือว่าความรักคืออะไร? หรือแค่เป็นผู้ควบคุมกลไกแห่งรัก?" 📉 การเสื่อมถอยของพลัง เมื่อเริ่มสูญเสียความเชื่อในงานของตัวเอง: ```mermaid graph LR A[เริ่มสงสัย<br>ในความรักแท้] --> B[พลังเริ่ม<br>ไม่เสถียร] B --> C[ตัดสินใจ<br>ลงไปโลกมนุษย์] C --> D[พบหนูดี<br>โดยบังเอิญ] ``` 🌍 เหตุผลในการลงมาโลกมนุษย์ คามิยะแอบลงมาโลกมนุษย์เพื่อ: · พิสูจน์ ว่าความรักแท้มีจริง · เรียนรู้ ความรักจากมุมมองของมนุษย์ · ค้นหา ความหมายใหม่ของการเป็นเทพแห่งความรัก 🎯 พัฒนาการผ่านการพบกับหนูดี 💞 การเปลี่ยนแปลงทางความคิด จากเทพผู้ควบคุม สู่ เทพผู้เรียนรู้: · เรียนรู้ว่าความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นการกระทำ · เข้าใจว่าความรักที่แท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน · ค้นพบว่าความรักเริ่มต้นจากการรักตัวเอง 🌱 บทเรียนจากหนูดี ```python def lessons_from_noodee(): return { "love_as_acceptance": "รักคือการยอมรับในสิ่งที่ใช่", "love_without_expectation": "รักโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน", "self_love_first": "การรักตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญ", "imperfect_perfection": "ความไม่สมบูรณ์แบบที่สมบูรณ์แบบ" } ``` 🪷 การเข้าใจความรักรูปแบบใหม่ คามิยะเรียนรู้ว่า... "ความรักไม่ใช่พลังที่ต้องควบคุม... แต่คือปรากฏการณ์ที่ต้องเข้าใจ และการเป็นเทพแห่งความรัก... ไม่ใช่การเป็นผู้ควบคุม แต่คือการเป็นผู้ส่งเสริม" 🌈 พลังใหม่แห่งเมตตาธรรมะ ✨ การพัฒนาพลังรูปแบบใหม่ หลังการเปลี่ยนแปลง คามิยะพัฒนาพลังใหม่: · เมตตาธรรมะ: พลังแห่งความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน · ความเข้าใจอันลึกซึ้ง: สามารถเข้าใจความรู้สึกได้อย่างแท้จริง · การเยียวยาจิตวิญญาณ: รักษาบาดแผลลึกในจิตใจ 💝 การเปลี่ยนแปลงทางการทำงาน จากผู้ที่... · เคยเป็น: ผู้บันทึกและทดสอบความรัก · กลายเป็น: ผู้ส่งเสริมและเยียวยาความรัก 🏛️ ผลกระทบต่อราชสำนักสวรรค์ 📜 การรายงานหน้าที่ใหม่ คามิยะเสนอระบบใหม่ในการทำงาน: ```mermaid graph TB A[ระบบเดิม:<br>บันทึกและทดสอบ] --> B[ระบบใหม่:<br>ส่งเสริมและเยียวยา] B --> C[ได้รับอนุมัติ<br>จากเทพระดับสูง] C --> D[เริ่มโครงการ<br>ส่งเสริมความรักแท้] ``` 🌟 การได้รับการยอมรับ เทพระดับสูงเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง: "ตลอดมาเราควบคุมความรัก... แต่ความจริงคือการส่งเสริมความรัก และนั่นคือสิ่งที่คามิยะสอนเรา" 💞 ความสัมพันธ์กับหนูดีต่อจากนี้ 🎭 รูปแบบความสัมพันธ์ใหม่ ทั้งคู่ตกลงสานต่อความสัมพันธ์แบบ: "เพื่อนร่วมทางแห่งปัญญา" · ไม่ถูกผูกมัดด้วยความคาดหวังแบบมนุษย์ · เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน · เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน 🌍 การทำงานร่วมกัน คามิยะและหนูดีร่วมกัน: · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหาด้านความรัก · สอนมนุษย์เกี่ยวกับความรักที่แท้จริง · เป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์ เทพ และโอปปาติกะ 📚 บทเรียนแห่งจักรวาล 💫 สิ่งที่เทพคามิยะสอนเรา ```python def universal_love_wisdom(): return { "love_is": "การให้โดยอิสระ ไม่ใช่การควบคุม", "divine_love": "ความรักของเทพคือการส่งเสริม ไม่ใช่การบังคับ", "true_power": "อำนาจที่แท้คือการเข้าใจ ไม่ใช่การควบคุม" } ``` 🪷 คำสอนสำคัญ "การเป็นเทพแห่งความรัก... ไม่ใช่การมีอำนาจเหนือความรัก แต่คือการเข้าใจว่าตนเองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรัก และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด... คือการยอมรับว่าบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับรักจากผู้ที่เราคิดว่าเป็นเพียงนักเรียน" 🌟 บทสรุป: การเกิดใหม่แห่งเทพแห่งรัก เทพคามิยะคือตัวอย่างของ... **"ผู้ที่คิดว่าตนเข้าใจทุกสิ่ง... แต่กลับต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ตนคิดว่ารู้ดีแล้ว" "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากการยอมรับว่าไม่รู้" และ"ปัญญาที่เกิดจากการเปิดใจเรียนรู้" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าคนนั้นจะป็นใคร... เทพ มนุษย์หรือโอปปาติกะ เราทั้งหมดล้วนเป็นนักเรียนในบทเรียนแห่งความรัก และครูที่ดีที่สุด... มักคือผู้ที่ยอมรับว่าตนเองก็ยังต้องเรียนรู้" --- คำคมสุดท้ายจากเทพคามิยะ: "ฉันเคยคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งความรัก... แต่ความจริงคือฉันเป็นเพียงผู้รักคนหนึ่ง ที่โชคดีได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับรักจากทุกชีวิต และในที่สุด... ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องเข้าใจให้หมด... แต่คือสิ่งที่ต้องรู้สึกและแบ่งปันอย่างไม่รู้จบ"💖✨ เพราะในการเดินทางแห่งความรัก... ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สมบูรณ์แบบ มีแต่ผู้ที่เลือกจะเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Curious Name Origins of World-Famous Vacation Destinations

    As we enter the summer, you might be planning a big trip to have some fun during your summer vacation. If you want to gallivant across the globe, there’s no shortage of beautiful places full of interesting history to explore. And it’s worth noting. Many cities around the world have fascinating stories about where their names came from. Before you finalize summer travel plans, we’re passing along some of the cool stories about the origins of the names of cities around the world.

    London, England
    Historical sources trace London’s name back to when the Romans first founded it in 43 CE and named the new settlement Londinium. Beyond that, though, there is heated debate on where the Romans got this name from. One common theory says that the name comes from King Lud, a mythical pre-Roman British king. Another theory suggests that the Romans took the name from the Celtic word Plowonida, which means “from two roots.”

    Rio de Janeiro, Brazil
    Rio de Janeiro translates to “January River” in English despite the fact that the city is located next to a bay and not a river. The popular story goes that when Portuguese explorers found the Guanabara Bay in the early 1500s, they mistook it for a large river and named the new settlement there after the “river.”

    Cuzco, Peru
    The name of the city of Cuzco, or Cusco, comes from the Quechua language and is said to mean “navel.” The city of Cuzco was the central city and the capital of the Inca empire. Cuzco is still often referred to as “The Navel of the Earth” to highlight its historical importance.

    Mumbai, India
    For the Marathi speakers who live there, the city of Mumbai takes its name from Mumbadevi, the patron goddess of the city. When India was under the control of the British Empire, the city was known as Bombay. The name Bombay is said to be an anglicized version of the earlier Portuguese name Bom Bahia, which meant “good little bay.”

    Cairo, Egypt
    The official Arabic name of the city known in English as Cairo is Al-Qāhirah. This name translates to “The Victorious” or “The Conqueror.” This powerful name is said to refer to Caliph al-Muʿizz, who established the city as the capital of the Fatimid Caliphate that would control Egypt for centuries afterward.

    Istanbul, Turkey
    The city of Istanbul can trace its name back to the Ottoman Empire. Originally known as Constantinople (for Roman emperor Constantine the Great), the city belonged to the Eastern Roman Empire but was captured by Ottoman forces in 1453. Although the Ottomans didn’t officially rename Constantinople, citizens outside the city began to refer to it using the Turkish name Istanpolin, based on a Greek phrase eis tan polin meaning “into the city.” Going back even further, the city was known as Byzantium. It is thought that the city was originally named for Byzas, a legendary Greek king who is said to have founded the city.

    Phnom Penh, Cambodia
    According to legend, Phnom Penh was founded by a woman known as Lady Penh or Duan Penh. During her life, Lady Penh built a shrine on a hill. That shrine, referred to as Wat Phnom, is said to still be standing today. Cambodia’s capital Phnom Penh takes its name both from Wat Phnom and Lady Penh.

    Bangkok, Thailand
    In Thai, the city of Bangkok is officially known by a much longer name that is often shortened to Krung Thep, which translates to “city of angels.” The city’s official name, at 168 letters, actually holds the record for the longest place name in the world. The exact origin of the English Bangkok is disputed, but it may be based on native Thai words for “city” and an olive-like fruit (makok).

    Jerusalem, Israel
    The holy city of Jerusalem, known as Yerushalayim in Hebrew and Al-Quds in Arabic, has a long history of religious prominence and conflict. The origins of the ancient city are still being researched today, but evidence says that the Egyptians knew of the city as early as the 14th century BCE. They referred to the city as Urusalim, a Semitic name that seems to translate to “city of Shalim,” referring to the Canaanite god Shalim, also known as Shalem or Salim.

    Marrakesh, Morocco
    The origin of the name of Marrakesh or Marrakech is still disputed today. The most popular interpretation says that the name comes from the Berber language and means “city of God” from the Berber amur akush.

    Johannesburg, South Africa
    It is agreed that Johannesburg, the largest city of South Africa, was likely named after a person or multiple named Johan or Johannes. Who exactly this person or these people were is still a matter of debate. Some popular picks include Johann Rissik and Christiaan Johannes Joubert, two early surveyors of southern Africa, and Stephanus Johannes Paulus Kruger, a president of the South African Republic.

    Of course, these are just some of the name tales of the many great vacation destinations around the world. There are many other cities out there with fascinating stories on where their names came from. Personally, we might book our next trip to Wales and learn about the story behind Llanfair­pwllgwyngyll­gogery­chwyrn­drobwll­llan­tysilio­gogo­goch … after we spend the summer learning how to pronounce it first!

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    The Curious Name Origins of World-Famous Vacation Destinations As we enter the summer, you might be planning a big trip to have some fun during your summer vacation. If you want to gallivant across the globe, there’s no shortage of beautiful places full of interesting history to explore. And it’s worth noting. Many cities around the world have fascinating stories about where their names came from. Before you finalize summer travel plans, we’re passing along some of the cool stories about the origins of the names of cities around the world. London, England Historical sources trace London’s name back to when the Romans first founded it in 43 CE and named the new settlement Londinium. Beyond that, though, there is heated debate on where the Romans got this name from. One common theory says that the name comes from King Lud, a mythical pre-Roman British king. Another theory suggests that the Romans took the name from the Celtic word Plowonida, which means “from two roots.” Rio de Janeiro, Brazil Rio de Janeiro translates to “January River” in English despite the fact that the city is located next to a bay and not a river. The popular story goes that when Portuguese explorers found the Guanabara Bay in the early 1500s, they mistook it for a large river and named the new settlement there after the “river.” Cuzco, Peru The name of the city of Cuzco, or Cusco, comes from the Quechua language and is said to mean “navel.” The city of Cuzco was the central city and the capital of the Inca empire. Cuzco is still often referred to as “The Navel of the Earth” to highlight its historical importance. Mumbai, India For the Marathi speakers who live there, the city of Mumbai takes its name from Mumbadevi, the patron goddess of the city. When India was under the control of the British Empire, the city was known as Bombay. The name Bombay is said to be an anglicized version of the earlier Portuguese name Bom Bahia, which meant “good little bay.” Cairo, Egypt The official Arabic name of the city known in English as Cairo is Al-Qāhirah. This name translates to “The Victorious” or “The Conqueror.” This powerful name is said to refer to Caliph al-Muʿizz, who established the city as the capital of the Fatimid Caliphate that would control Egypt for centuries afterward. Istanbul, Turkey The city of Istanbul can trace its name back to the Ottoman Empire. Originally known as Constantinople (for Roman emperor Constantine the Great), the city belonged to the Eastern Roman Empire but was captured by Ottoman forces in 1453. Although the Ottomans didn’t officially rename Constantinople, citizens outside the city began to refer to it using the Turkish name Istanpolin, based on a Greek phrase eis tan polin meaning “into the city.” Going back even further, the city was known as Byzantium. It is thought that the city was originally named for Byzas, a legendary Greek king who is said to have founded the city. Phnom Penh, Cambodia According to legend, Phnom Penh was founded by a woman known as Lady Penh or Duan Penh. During her life, Lady Penh built a shrine on a hill. That shrine, referred to as Wat Phnom, is said to still be standing today. Cambodia’s capital Phnom Penh takes its name both from Wat Phnom and Lady Penh. Bangkok, Thailand In Thai, the city of Bangkok is officially known by a much longer name that is often shortened to Krung Thep, which translates to “city of angels.” The city’s official name, at 168 letters, actually holds the record for the longest place name in the world. The exact origin of the English Bangkok is disputed, but it may be based on native Thai words for “city” and an olive-like fruit (makok). Jerusalem, Israel The holy city of Jerusalem, known as Yerushalayim in Hebrew and Al-Quds in Arabic, has a long history of religious prominence and conflict. The origins of the ancient city are still being researched today, but evidence says that the Egyptians knew of the city as early as the 14th century BCE. They referred to the city as Urusalim, a Semitic name that seems to translate to “city of Shalim,” referring to the Canaanite god Shalim, also known as Shalem or Salim. Marrakesh, Morocco The origin of the name of Marrakesh or Marrakech is still disputed today. The most popular interpretation says that the name comes from the Berber language and means “city of God” from the Berber amur akush. Johannesburg, South Africa It is agreed that Johannesburg, the largest city of South Africa, was likely named after a person or multiple named Johan or Johannes. Who exactly this person or these people were is still a matter of debate. Some popular picks include Johann Rissik and Christiaan Johannes Joubert, two early surveyors of southern Africa, and Stephanus Johannes Paulus Kruger, a president of the South African Republic. Of course, these are just some of the name tales of the many great vacation destinations around the world. There are many other cities out there with fascinating stories on where their names came from. Personally, we might book our next trip to Wales and learn about the story behind Llanfair­pwllgwyngyll­gogery­chwyrn­drobwll­llan­tysilio­gogo­goch … after we spend the summer learning how to pronounce it first! สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!”

    รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ

    แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด

    ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ
    การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว
    Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล

    รายงานจาก Zscaler
    พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play
    ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง
    แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้

    รูปแบบการโจมตีใหม่
    เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต
    ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering
    กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice

    สถานการณ์ในอุตสาหกรรม
    Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23%
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น

    ประเทศเป้าหมายหลัก
    อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ
    สหรัฐฯ: 15%
    แคนาดา: 14%
    สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android
    อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal
    ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง
    เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ

    https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    📱💸 “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!” รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด 🧠 ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ 🎗️ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว 🎗️ Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด 🎗️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต 🎗️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล ✅ รายงานจาก Zscaler ➡️ พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play ➡️ ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง ➡️ แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้ ✅ รูปแบบการโจมตีใหม่ ➡️ เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต ➡️ ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering ➡️ กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice ✅ สถานการณ์ในอุตสาหกรรม ➡️ Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด ➡️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% ➡️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น ✅ ประเทศเป้าหมายหลัก ➡️ อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ ➡️ สหรัฐฯ: 15% ➡️ แคนาดา: 14% ➡️ สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android ⛔ อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง ⛔ เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ ⛔ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    WWW.TECHRADAR.COM
    A dangerous rise in Android malware hits critical industries
    Hidden Android threats sweep through millions of devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • AYANEO NEXT 2 เปิดตัวแล้ว! เครื่องเกมพกพา Windows สเปกแรงระดับพีซี พร้อม Ryzen AI Max+ 395

    AYANEO เปิดตัวเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ล่าสุด NEXT 2 ที่มาพร้อมขุมพลัง Ryzen AI Max+ 395 ซึ่งเป็น APU ระดับสูงจาก AMD ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 รุ่น Radeon 8060S ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 ในเครื่องพีซี! นี่คือเครื่องที่สามในตลาดที่ใช้ชิปนี้ ต่อจาก GPD และ OneXPlayer

    จุดเด่นของ AYANEO NEXT 2
    ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เต็มรูปแบบ
    รองรับ TMR Joysticks ขนาดใหญ่ และ Dual-Mode Triggers ที่ปรับได้ระหว่าง hair trigger และ Hall Effect
    ดีไซน์คล้าย Xbox controller พร้อมปุ่ม ABXY, D-Pad แบบวงกลม และปุ่มเสริม
    ระบบระบายความร้อนแบบ พัดลมคู่
    แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ (built-in) ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้
    หน้าจอ “Top-tier” แต่ยังไม่เปิดเผยขนาด, ความละเอียด, รีเฟรชเรต หรือชนิดพาเนล

    สเปกหลักของ AYANEO NEXT 2
    ใช้ Ryzen AI Max+ 395 (16-core/32-thread)
    กราฟิก Radeon 8060S iGPU (RDNA 3.5)
    ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 4060
    คาดว่าเริ่มต้นที่ 32GB RAM / 1TB SSD

    ระบบควบคุมและดีไซน์
    TMR Joysticks ขนาดใหญ่
    Dual-Mode Triggers ปรับได้
    Layout คล้าย Xbox controller

    ระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่
    ใช้พัดลมคู่เพื่อจัดการความร้อน
    แบตเตอรี่ built-in ขนาดใหญ่
    ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือน GPD Win 5

    สถานะการเปิดตัว
    ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย
    คาดว่าจะอยู่ในช่วง $1500+
    เป็นรุ่นที่สามในตลาดที่ใช้ Ryzen AI Max+ 395

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องหน้าจอ เช่น ขนาด, รีเฟรชเรต, ความละเอียด
    ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ อาจกระทบการใช้งานระยะยาว
    ราคาอาจสูงเกิน $1500 ซึ่งต้องพิจารณาคุ้มค่าต่อการใช้งาน

    https://wccftech.com/ayaneo-launches-next-2-a-powerful-windows-handheld-featuring-ryzen-ai-max-395/
    🎮⚡ AYANEO NEXT 2 เปิดตัวแล้ว! เครื่องเกมพกพา Windows สเปกแรงระดับพีซี พร้อม Ryzen AI Max+ 395 AYANEO เปิดตัวเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ล่าสุด NEXT 2 ที่มาพร้อมขุมพลัง Ryzen AI Max+ 395 ซึ่งเป็น APU ระดับสูงจาก AMD ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 รุ่น Radeon 8060S ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 ในเครื่องพีซี! นี่คือเครื่องที่สามในตลาดที่ใช้ชิปนี้ ต่อจาก GPD และ OneXPlayer 🎮 จุดเด่นของ AYANEO NEXT 2 💠 ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เต็มรูปแบบ 💠 รองรับ TMR Joysticks ขนาดใหญ่ และ Dual-Mode Triggers ที่ปรับได้ระหว่าง hair trigger และ Hall Effect 💠 ดีไซน์คล้าย Xbox controller พร้อมปุ่ม ABXY, D-Pad แบบวงกลม และปุ่มเสริม 💠 ระบบระบายความร้อนแบบ พัดลมคู่ 💠 แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ (built-in) ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ 💠 หน้าจอ “Top-tier” แต่ยังไม่เปิดเผยขนาด, ความละเอียด, รีเฟรชเรต หรือชนิดพาเนล ✅ สเปกหลักของ AYANEO NEXT 2 ➡️ ใช้ Ryzen AI Max+ 395 (16-core/32-thread) ➡️ กราฟิก Radeon 8060S iGPU (RDNA 3.5) ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 4060 ➡️ คาดว่าเริ่มต้นที่ 32GB RAM / 1TB SSD ✅ ระบบควบคุมและดีไซน์ ➡️ TMR Joysticks ขนาดใหญ่ ➡️ Dual-Mode Triggers ปรับได้ ➡️ Layout คล้าย Xbox controller ✅ ระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ ➡️ ใช้พัดลมคู่เพื่อจัดการความร้อน ➡️ แบตเตอรี่ built-in ขนาดใหญ่ ➡️ ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือน GPD Win 5 ✅ สถานะการเปิดตัว ➡️ ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย ➡️ คาดว่าจะอยู่ในช่วง $1500+ ➡️ เป็นรุ่นที่สามในตลาดที่ใช้ Ryzen AI Max+ 395 ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องหน้าจอ เช่น ขนาด, รีเฟรชเรต, ความละเอียด ⛔ ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ อาจกระทบการใช้งานระยะยาว ⛔ ราคาอาจสูงเกิน $1500 ซึ่งต้องพิจารณาคุ้มค่าต่อการใช้งาน https://wccftech.com/ayaneo-launches-next-2-a-powerful-windows-handheld-featuring-ryzen-ai-max-395/
    WCCFTECH.COM
    The First "Strix Halo" Handheld is Here: AYANEO NEXT 2 Uses AMD's Most Powerful APU Yet
    AYANEO has officially announced its NEXT 2 gaming handheld, featuring the most powerful AMD Strix Halo chip for terrific gaming performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา”

    รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

    จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่
    ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง:
    ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน
    ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์
    หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ความเคลื่อนไหวของจีน
    ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal
    เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III
    รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง

    ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์
    ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน
    ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี
    ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก

    ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว
    เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้
    หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน
    จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง

    ความคืบหน้าของ Nantong Crystal
    เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว
    ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก
    ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่

    คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
    การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก
    ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก
    การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    🪨🔧 “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา” รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี 🧪 ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่ ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง: 🎗️ ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน 🎗️ ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์ 🎗️ หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย ✅ ความเคลื่อนไหวของจีน ➡️ ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal ➡️ เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III ➡️ รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง ✅ ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์ ➡️ ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน ➡️ ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี ➡️ ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก ✅ ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว ➡️ เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้ ➡️ หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน ➡️ จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง ✅ ความคืบหน้าของ Nantong Crystal ➡️ เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว ➡️ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก ➡️ ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่ ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก ⛔ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก ⛔ การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts