• 🔄 Windows Update Orchestration Platform: ระบบอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว
    Microsoft เปิดตัว Windows Update Orchestration Platform ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ อัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว แทนที่จะต้องจัดการอัปเดตแยกกัน

    Windows Update ปกติจะอัปเดตเฉพาะ ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ แต่แอปของ Microsoft และแอปของบุคคลที่สามยังต้องจัดการอัปเดตแยกกัน

    แพลตฟอร์มใหม่นี้ช่วยให้ นักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT สามารถจัดการอัปเดตแอปได้ง่ายขึ้น ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึง ลดต้นทุนการสนับสนุน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Windows Update Orchestration Platform ช่วยให้สามารถอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว
    - Microsoft เปิดตัวแพลตฟอร์มนี้เพื่อช่วยนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT
    - ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการอัปเดตแยกกัน
    - ช่วยให้มีการแจ้งเตือนที่สม่ำเสมอผ่านระบบ Windows Update
    - นักพัฒนาสามารถใช้ Windows Runtime APIs และ PowerShell commands เพื่อจัดการอัปเดต

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แพลตฟอร์มนี้ยังอยู่ในช่วง Private Preview และต้องรอการเปิดตัวเต็มรูปแบบ
    - ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่
    - อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานสำหรับองค์กรที่มีระบบอัปเดตเฉพาะทาง
    - ต้องรอดูว่าการรวมแอปทั้งหมดเข้ากับ Windows Update จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบหรือไม่

    Windows Update Orchestration Platform อาจช่วยให้ การจัดการอัปเดตแอปง่ายขึ้น และลดปัญหาด้านประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่

    https://wccftech.com/microsoft-debuts-windows-update-orchestration-platform-for-updating-all-apps/
    🔄 Windows Update Orchestration Platform: ระบบอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว Microsoft เปิดตัว Windows Update Orchestration Platform ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ อัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว แทนที่จะต้องจัดการอัปเดตแยกกัน Windows Update ปกติจะอัปเดตเฉพาะ ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ แต่แอปของ Microsoft และแอปของบุคคลที่สามยังต้องจัดการอัปเดตแยกกัน แพลตฟอร์มใหม่นี้ช่วยให้ นักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT สามารถจัดการอัปเดตแอปได้ง่ายขึ้น ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึง ลดต้นทุนการสนับสนุน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Windows Update Orchestration Platform ช่วยให้สามารถอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว - Microsoft เปิดตัวแพลตฟอร์มนี้เพื่อช่วยนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT - ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการอัปเดตแยกกัน - ช่วยให้มีการแจ้งเตือนที่สม่ำเสมอผ่านระบบ Windows Update - นักพัฒนาสามารถใช้ Windows Runtime APIs และ PowerShell commands เพื่อจัดการอัปเดต ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แพลตฟอร์มนี้ยังอยู่ในช่วง Private Preview และต้องรอการเปิดตัวเต็มรูปแบบ - ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่ - อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานสำหรับองค์กรที่มีระบบอัปเดตเฉพาะทาง - ต้องรอดูว่าการรวมแอปทั้งหมดเข้ากับ Windows Update จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบหรือไม่ Windows Update Orchestration Platform อาจช่วยให้ การจัดการอัปเดตแอปง่ายขึ้น และลดปัญหาด้านประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่ https://wccftech.com/microsoft-debuts-windows-update-orchestration-platform-for-updating-all-apps/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Debuts Windows Update Orchestration Platform For Updating All Apps From A Single Place
    Microsoft has announced that it will now handle all the apps from the Windows Update Orchestration Platform in order to update them easily.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 ชิป SM2324 ของ Silicon Motion: ก้าวใหม่ของ SSD ความจุสูง
    Silicon Motion เปิดตัว SM2324 ซึ่งเป็น ชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB และมีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s

    SM2324 ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต SSD ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และช่วยให้สามารถสร้าง SSD ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น

    นอกจากนี้ ชิปนี้ยังรองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SM2324 เป็นชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่รองรับความจุสูงสุด 32TB
    - มีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s และเขียนข้อมูลสูงสุด 3,809MB/s
    - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1
    - ใช้กระบวนการผลิต 12nm ของ TSMC เพื่อประหยัดพลังงาน
    - รองรับ Windows, macOS, Linux และ Apple ProRes workflows บน iPhone

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะลดต้นทุนการผลิต แต่ SSD ที่ใช้ SM2324 อาจยังมีราคาสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพื่อให้ SSD ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    - ข้อจำกัดด้านพลังงานและการจัดการความร้อนอาจทำให้ SSD ขนาด 32TB ไม่เหมาะกับทุกการใช้งาน
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิต SSD รายใดจะนำ SM2324 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

    SM2324 อาจช่วยให้ตลาด SSD ความจุสูงแบบพกพา เติบโตขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างภาพยนตร์และผู้ที่ต้องการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะสามารถทำให้ SSD ที่ใช้ชิปนี้มีราคาที่เข้าถึงได้หรือไม่

    📢📢 ไม่ต้องพูดมาก ลุงสู้ทุกราคา !! 😅😅

    https://www.techradar.com/pro/superfast-32tb-usb4-external-ssds-are-coming-thanks-to-a-new-chip-but-i-bet-they-wont-be-cheap
    🚀 ชิป SM2324 ของ Silicon Motion: ก้าวใหม่ของ SSD ความจุสูง Silicon Motion เปิดตัว SM2324 ซึ่งเป็น ชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB และมีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s SM2324 ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต SSD ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และช่วยให้สามารถสร้าง SSD ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น นอกจากนี้ ชิปนี้ยังรองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SM2324 เป็นชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่รองรับความจุสูงสุด 32TB - มีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s และเขียนข้อมูลสูงสุด 3,809MB/s - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 - ใช้กระบวนการผลิต 12nm ของ TSMC เพื่อประหยัดพลังงาน - รองรับ Windows, macOS, Linux และ Apple ProRes workflows บน iPhone ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะลดต้นทุนการผลิต แต่ SSD ที่ใช้ SM2324 อาจยังมีราคาสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพื่อให้ SSD ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ - ข้อจำกัดด้านพลังงานและการจัดการความร้อนอาจทำให้ SSD ขนาด 32TB ไม่เหมาะกับทุกการใช้งาน - ต้องติดตามว่าผู้ผลิต SSD รายใดจะนำ SM2324 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน SM2324 อาจช่วยให้ตลาด SSD ความจุสูงแบบพกพา เติบโตขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างภาพยนตร์และผู้ที่ต้องการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะสามารถทำให้ SSD ที่ใช้ชิปนี้มีราคาที่เข้าถึงได้หรือไม่ 📢📢 ไม่ต้องพูดมาก ลุงสู้ทุกราคา !! 😅😅 https://www.techradar.com/pro/superfast-32tb-usb4-external-ssds-are-coming-thanks-to-a-new-chip-but-i-bet-they-wont-be-cheap
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาใน Yeston Radeon RX 9060 XT

    Yeston ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ซึ่งมีทั้งรุ่น 16 GB และ 8 GB โดยพบว่ามีความแตกต่างของ ความเร็วสัญญาณนาฬิกา ระหว่างสองรุ่นนี้

    รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz ในขณะที่รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz

    นอกจากนี้ รุ่น Game Ace OC 16 GB ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Yeston มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Yeston เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA รุ่น 16 GB และ 8 GB
    - รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz
    - รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz
    - Game Ace OC 16 GB มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz
    - รุ่น White Game Ace มีเฉพาะตัวเลือก 8 GB และไม่มีการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพมากนัก
    - ข้อมูลที่เผยแพร่อาจเป็นตัวเลขชั่วคราวหรือ placeholder
    - ต้องติดตามว่ารุ่น Game Ace OC 8 GB จะเปิดตัวหรือไม่
    - ราคาของรุ่นต่าง ๆ อาจมีผลต่อความคุ้มค่าของการเลือกซื้อ

    การเปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ของ Yeston แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของสเปกภายในแบรนด์เดียวกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพจริงหรือไม่

    https://www.techpowerup.com/337504/clock-speed-disparities-noted-between-yestons-radeon-rx-9060-xt-gaea-16-gb-8-gb-skus
    🎮 ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาใน Yeston Radeon RX 9060 XT Yeston ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ซึ่งมีทั้งรุ่น 16 GB และ 8 GB โดยพบว่ามีความแตกต่างของ ความเร็วสัญญาณนาฬิกา ระหว่างสองรุ่นนี้ รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz ในขณะที่รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz นอกจากนี้ รุ่น Game Ace OC 16 GB ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Yeston มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz ✅ ข้อมูลจากข่าว - Yeston เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA รุ่น 16 GB และ 8 GB - รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz - รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz - Game Ace OC 16 GB มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz - รุ่น White Game Ace มีเฉพาะตัวเลือก 8 GB และไม่มีการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพมากนัก - ข้อมูลที่เผยแพร่อาจเป็นตัวเลขชั่วคราวหรือ placeholder - ต้องติดตามว่ารุ่น Game Ace OC 8 GB จะเปิดตัวหรือไม่ - ราคาของรุ่นต่าง ๆ อาจมีผลต่อความคุ้มค่าของการเลือกซื้อ การเปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ของ Yeston แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของสเปกภายในแบรนด์เดียวกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพจริงหรือไม่ https://www.techpowerup.com/337504/clock-speed-disparities-noted-between-yestons-radeon-rx-9060-xt-gaea-16-gb-8-gb-skus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Clock Speed Disparities Noted Between Yeston's Radeon RX 9060 XT GAEA 16 GB & 8 GB SKUs
    Earlier in the week, Yeston revealed a sci-fi/cyberpunk character-themed Radeon RX 9060 XT 16 GB Game Ace SKU. Eager followers of the Chinese brand were wondering whether additional custom designs—based on AMD's Navi 44 XT GPU—were in the pipeline, possibly ready in time for an official June 5 launc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💾 SSD รูปแบบใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1,000,000 GB

    อุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย E2 SSD ซึ่งเป็นรูปแบบ SSD ที่สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB) โดยถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่าง HDD ความจุสูง และ SSD ประสิทธิภาพสูง

    E2 SSD ได้รับการพัฒนาโดย Storage Networking Industry Association (SNIA) และ Open Compute Project (OCP) โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับ "warm data" ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องการความหนาแน่นสูงและต้นทุนต่ำ

    อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับ เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เซิร์ฟเวอร์เดียวสามารถมีความจุสูงถึง 40 เพตะไบต์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - E2 SSD สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB)
    - พัฒนาโดย SNIA และ OCP เพื่อรองรับ "warm data"
    - ออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์
    - ใช้มาตรฐาน EDSFF และเชื่อมต่อผ่าน PCIe 6.0 x4 หรือดีกว่า
    - Micron เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักของ E2 SSD

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - E2 SSD มีการใช้พลังงานสูงถึง 80 วัตต์ต่อไดรฟ์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาด้านความร้อน
    - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากอาจไม่สามารถใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศได้
    - ความเร็วของ E2 SSD อยู่ที่ 8-10 MB/s ต่อเทราไบต์ ซึ่งเน้นความจุมากกว่าประสิทธิภาพ
    - ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะนำไปใช้งานในเซิร์ฟเวอร์จริง

    E2 SSD อาจเป็นทางออกสำหรับ ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงในราคาที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่เหมาะสม และ ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/a-new-ssd-form-factor-can-house-a-staggering-1-000-000-gb-of-storage-e2-drives-could-store-11-000-4k-movies-with-80w-power-draw
    💾 SSD รูปแบบใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1,000,000 GB อุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย E2 SSD ซึ่งเป็นรูปแบบ SSD ที่สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB) โดยถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่าง HDD ความจุสูง และ SSD ประสิทธิภาพสูง E2 SSD ได้รับการพัฒนาโดย Storage Networking Industry Association (SNIA) และ Open Compute Project (OCP) โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับ "warm data" ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องการความหนาแน่นสูงและต้นทุนต่ำ อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับ เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เซิร์ฟเวอร์เดียวสามารถมีความจุสูงถึง 40 เพตะไบต์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - E2 SSD สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB) - พัฒนาโดย SNIA และ OCP เพื่อรองรับ "warm data" - ออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ - ใช้มาตรฐาน EDSFF และเชื่อมต่อผ่าน PCIe 6.0 x4 หรือดีกว่า - Micron เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักของ E2 SSD ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - E2 SSD มีการใช้พลังงานสูงถึง 80 วัตต์ต่อไดรฟ์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาด้านความร้อน - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากอาจไม่สามารถใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศได้ - ความเร็วของ E2 SSD อยู่ที่ 8-10 MB/s ต่อเทราไบต์ ซึ่งเน้นความจุมากกว่าประสิทธิภาพ - ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะนำไปใช้งานในเซิร์ฟเวอร์จริง E2 SSD อาจเป็นทางออกสำหรับ ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงในราคาที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่เหมาะสม และ ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/a-new-ssd-form-factor-can-house-a-staggering-1-000-000-gb-of-storage-e2-drives-could-store-11-000-4k-movies-with-80w-power-draw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Worse” vs. “Worst”: Get A Better Understanding Of The Difference

    The words worse and worst are extremely useful. They are the main and often best way we can indicate that something is, well, more bad or most bad. But because they look and sound so similar, it can be easy to mix them up, especially in certain expressions.

    In this article, we’ll break down the difference between worse and worst, explain how they relate to comparative and superlative adjectives (and what those are), and clear up confusion around which word is the correct one to use in some common expressions.

    Quick summary

    Worse and worst are both forms of the word bad. Worse is what’s called the comparative form, basically meaning “more bad.” Worst is the superlative form, basically meaning “most bad.” Worse is used when making a comparison to only one other thing: Your breath is bad, but mine is worse or The situation was bad and it just got worse. Worst is used in comparisons of more than two things: Yours is bad, mine is worse, but his is the worst or That was the worst meal I’ve ever eaten.

    worse vs. worst

    Worse and worst are different words, but both are forms of the adjective bad. Worse is the comparative form and worst is the superlative form.

    A comparative adjective is typically used to compare two things. For example, My brother is bad at basketball, but honestly I’m worse.

    A superlative adjective is used to compare more than two things (as in Out of the five exam I have today, this one is going to be the worst) or state that something is the most extreme out of every possible option (as in That was the worst idea I have ever heard).

    Worse and worst are just like the words better and best, which are the comparative and superlative forms of the word good.

    In most cases, the comparative form of an adjective is made by either adding -er to the end (faster, smarter, bigger, etc.) or adding the word more or less before it (more impressive, less powerful, etc.).

    To form superlatives, it’s most common to add -est to the end of the word (fastest, smartest, biggest, etc.) or add most or least before it (most impressive, least powerful, etc.).

    Worse and worst don’t follow these rules, but you can see a remnant of the superlative ending -est at the end of worst and best, which can help you remember that they are superlatives.

    Worse is used in the expression from bad to worse, which means that something started bad and has only deteriorated in quality or condition, as in My handwriting has gone from bad to worse since I graduated high school.

    Let’s look at some other common questions people have about expressions that use worse or worst.

    Is it worse case or worst case?

    The phrase worst case is used in the two idiomatic expressions: in the worst case and worst-case scenario. Both of these phrases refer to a situation that is as bad as possible compared to any other possible situation, which is why it uses the superlative form worst.

    For example:

    - In the worst case, the beams will collapse instantly.
    - This isn’t what we expect to happen—it’s just the worst-case scenario.

    While it’s possible for the words worse and case to be paired together in a sentence (as in Jacob had a worse case of bronchitis than Melanie did), it’s not a set expression like worst case is.

    Is it if worse comes to worst or if worst comes to worst?

    There are actually two very similar versions of the expression that means “if the worst possible outcome happens”: if worse comes to worst or if worst comes to worst. However, if worst comes to worst is much more commonly used (even though it arguably makes less sense).

    Whatever form is used, the expression is usually accompanied by a proposed solution to the problem. For example:

    - If worse comes to worst and every door is locked, we’ll get in by opening a window.
    - I’m going to try to make it to the store before the storm starts, but if worst comes to worst, I’ll at least have my umbrella with me.

    Examples of worse and worst used in a sentence

    Let’s wrap things up by looking at some of the many different ways we can use worse and worst in a sentence.

    - I think the pink paint looks worse on the wall than the red paint did.
    - Out of all of us, Tom had the worst case of poison ivy.
    - Debra Deer had a worse finishing time than Charlie Cheetah, but Sam Sloth had the worst time by far.
    - My grades went from bad to worse after I missed a few classes.
    - If worst comes to worst and we miss the bus, we’ll just hail a cab.
    - It’s possible that the losses could lead to bankruptcy, but the company is doing everything it can to avoid this worst-case scenario.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Worse” vs. “Worst”: Get A Better Understanding Of The Difference The words worse and worst are extremely useful. They are the main and often best way we can indicate that something is, well, more bad or most bad. But because they look and sound so similar, it can be easy to mix them up, especially in certain expressions. In this article, we’ll break down the difference between worse and worst, explain how they relate to comparative and superlative adjectives (and what those are), and clear up confusion around which word is the correct one to use in some common expressions. Quick summary Worse and worst are both forms of the word bad. Worse is what’s called the comparative form, basically meaning “more bad.” Worst is the superlative form, basically meaning “most bad.” Worse is used when making a comparison to only one other thing: Your breath is bad, but mine is worse or The situation was bad and it just got worse. Worst is used in comparisons of more than two things: Yours is bad, mine is worse, but his is the worst or That was the worst meal I’ve ever eaten. worse vs. worst Worse and worst are different words, but both are forms of the adjective bad. Worse is the comparative form and worst is the superlative form. A comparative adjective is typically used to compare two things. For example, My brother is bad at basketball, but honestly I’m worse. A superlative adjective is used to compare more than two things (as in Out of the five exam I have today, this one is going to be the worst) or state that something is the most extreme out of every possible option (as in That was the worst idea I have ever heard). Worse and worst are just like the words better and best, which are the comparative and superlative forms of the word good. In most cases, the comparative form of an adjective is made by either adding -er to the end (faster, smarter, bigger, etc.) or adding the word more or less before it (more impressive, less powerful, etc.). To form superlatives, it’s most common to add -est to the end of the word (fastest, smartest, biggest, etc.) or add most or least before it (most impressive, least powerful, etc.). Worse and worst don’t follow these rules, but you can see a remnant of the superlative ending -est at the end of worst and best, which can help you remember that they are superlatives. Worse is used in the expression from bad to worse, which means that something started bad and has only deteriorated in quality or condition, as in My handwriting has gone from bad to worse since I graduated high school. Let’s look at some other common questions people have about expressions that use worse or worst. Is it worse case or worst case? The phrase worst case is used in the two idiomatic expressions: in the worst case and worst-case scenario. Both of these phrases refer to a situation that is as bad as possible compared to any other possible situation, which is why it uses the superlative form worst. For example: - In the worst case, the beams will collapse instantly. - This isn’t what we expect to happen—it’s just the worst-case scenario. While it’s possible for the words worse and case to be paired together in a sentence (as in Jacob had a worse case of bronchitis than Melanie did), it’s not a set expression like worst case is. Is it if worse comes to worst or if worst comes to worst? There are actually two very similar versions of the expression that means “if the worst possible outcome happens”: if worse comes to worst or if worst comes to worst. However, if worst comes to worst is much more commonly used (even though it arguably makes less sense). Whatever form is used, the expression is usually accompanied by a proposed solution to the problem. For example: - If worse comes to worst and every door is locked, we’ll get in by opening a window. - I’m going to try to make it to the store before the storm starts, but if worst comes to worst, I’ll at least have my umbrella with me. Examples of worse and worst used in a sentence Let’s wrap things up by looking at some of the many different ways we can use worse and worst in a sentence. - I think the pink paint looks worse on the wall than the red paint did. - Out of all of us, Tom had the worst case of poison ivy. - Debra Deer had a worse finishing time than Charlie Cheetah, but Sam Sloth had the worst time by far. - My grades went from bad to worse after I missed a few classes. - If worst comes to worst and we miss the bus, we’ll just hail a cab. - It’s possible that the losses could lead to bankruptcy, but the company is doing everything it can to avoid this worst-case scenario. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงรออยู่พอดี รีบๆ ออกมาขายนะ !!

    🔥 AMD Ryzen 9000G APUs: สัญญาณการเปิดตัวที่ใกล้เข้ามา
    Gigabyte ได้อัปเดต หน้าความเข้ากันได้ของหน่วยความจำสำหรับเมนบอร์ด B650 โดยเปลี่ยนจาก Ryzen 9000 series เป็น Ryzen 9000G series ซึ่งเป็นสัญญาณว่า AMD อาจเตรียมเปิดตัว Ryzen 9000G APUs อย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

    Ryzen 9000G APUs คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU ซึ่งแตกต่างจาก Ryzen 9000 รุ่นปกติที่มี iGPU เพียงเพื่อการแสดงผลพื้นฐาน

    นอกจากนี้ มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G อาจมาพร้อมกับ Radeon 890M ซึ่งเป็น iGPU ที่ใช้ใน Windows gaming handhelds หลายรุ่น ทำให้สามารถเล่นเกม e-sports และเกมที่ใช้ทรัพยากรต่ำได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Gigabyte อัปเดตข้อมูลเมนบอร์ด B650 โดยเพิ่ม Ryzen 9000G series
    - Ryzen 9000G คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU
    - iGPU ใน Ryzen 9000G อาจรองรับการเล่นเกม e-sports และเกมเบา ๆ
    - AMD อาจเปิดตัว Ryzen 9000G ในไตรมาสที่ 4 ปี 2025
    - Radeon 890M อาจเป็น iGPU ที่ใช้ใน Ryzen 9000G

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีการยืนยันจาก AMD เกี่ยวกับสเปกของ Ryzen 9000G
    - การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของ Gigabyte อาจเป็นเพียงการเตรียมความพร้อม ไม่ใช่การยืนยันการเปิดตัว
    - Ryzen 9000G อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับ CPU ที่ใช้ GPU แยก
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและวันวางจำหน่าย

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    หาก AMD เปิดตัว Ryzen 9000G พร้อม iGPU ที่มีประสิทธิภาพสูง อาจช่วยให้ตลาด APUs สำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้ทั่วไป มีตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพของ RDNA 3.5 iGPU จะสามารถแข่งขันกับ GPU แยกได้หรือไม่

    AMD กำลังเตรียมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ของตน และ Ryzen 9000G อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ APU ที่สามารถเล่นเกมได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก

    https://www.techpowerup.com/337466/amd-ryzen-9000g-apus-appear-in-gigabyte-am5-motherboard-leak
    ลุงรออยู่พอดี รีบๆ ออกมาขายนะ !! 🔥 AMD Ryzen 9000G APUs: สัญญาณการเปิดตัวที่ใกล้เข้ามา Gigabyte ได้อัปเดต หน้าความเข้ากันได้ของหน่วยความจำสำหรับเมนบอร์ด B650 โดยเปลี่ยนจาก Ryzen 9000 series เป็น Ryzen 9000G series ซึ่งเป็นสัญญาณว่า AMD อาจเตรียมเปิดตัว Ryzen 9000G APUs อย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 Ryzen 9000G APUs คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU ซึ่งแตกต่างจาก Ryzen 9000 รุ่นปกติที่มี iGPU เพียงเพื่อการแสดงผลพื้นฐาน นอกจากนี้ มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G อาจมาพร้อมกับ Radeon 890M ซึ่งเป็น iGPU ที่ใช้ใน Windows gaming handhelds หลายรุ่น ทำให้สามารถเล่นเกม e-sports และเกมที่ใช้ทรัพยากรต่ำได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Gigabyte อัปเดตข้อมูลเมนบอร์ด B650 โดยเพิ่ม Ryzen 9000G series - Ryzen 9000G คาดว่าจะใช้ Zen 5 CPU cores และ RDNA 3.5 iGPU - iGPU ใน Ryzen 9000G อาจรองรับการเล่นเกม e-sports และเกมเบา ๆ - AMD อาจเปิดตัว Ryzen 9000G ในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 - Radeon 890M อาจเป็น iGPU ที่ใช้ใน Ryzen 9000G ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีการยืนยันจาก AMD เกี่ยวกับสเปกของ Ryzen 9000G - การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของ Gigabyte อาจเป็นเพียงการเตรียมความพร้อม ไม่ใช่การยืนยันการเปิดตัว - Ryzen 9000G อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับ CPU ที่ใช้ GPU แยก - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและวันวางจำหน่าย 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม หาก AMD เปิดตัว Ryzen 9000G พร้อม iGPU ที่มีประสิทธิภาพสูง อาจช่วยให้ตลาด APUs สำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้ทั่วไป มีตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพของ RDNA 3.5 iGPU จะสามารถแข่งขันกับ GPU แยกได้หรือไม่ AMD กำลังเตรียมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ของตน และ Ryzen 9000G อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ APU ที่สามารถเล่นเกมได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก https://www.techpowerup.com/337466/amd-ryzen-9000g-apus-appear-in-gigabyte-am5-motherboard-leak
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Ryzen 9000G APUs Appear in Gigabyte AM5 Motherboard Leak
    It seems as though an official international launch for the elusive AMD Ryzen 9000G APUs might still be on the cards for later this year, after all. While an announcement was expected at Computex 2025, along with a full-scale retail launch later this year, AMD was suspiciously quiet about its CPUs a...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 GPU รุ่นใหม่ของจีน: ก้าวสำคัญสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
    Lisuan Technology บริษัทสตาร์ทอัพด้านกราฟิกการ์ดของจีน ประกาศว่า G100 GPU ซึ่งเป็น กราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในประเทศ ได้เปิดใช้งานสำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    🔍 เรื่องน่าสนใจที่เสริมเพิ่มเติม
    Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Dongxin Semiconductor ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา G100 ต่อไปได้แม้จะเผชิญกับปัญหาทางการเงิน

    G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาเอง แตกต่างจากบริษัทจีนอื่น ๆ ที่มักใช้ IP จาก Imagination Technologies นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060

    📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - G100 เป็นกราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในจีน
    - Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley
    - G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งพัฒนาเองโดยไม่ใช้ IP จากบริษัทอื่น
    - Dongxin Semiconductor สนับสนุนเงินทุน 27.7 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยให้บริษัทดำเนินการต่อไป
    - G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - จีนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 6nm จาก Samsung หรือ TSMC เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    - G100 อาจผลิตโดย SMIC ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับโรงงานผลิตชิประดับโลก
    - ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ G100
    - การพัฒนาไดรเวอร์และซอฟต์แวร์เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะกำหนดความสามารถของ G100 ในตลาด

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม GPU
    การเปิดตัว G100 แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านการผลิตและซอฟต์แวร์ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไขก่อนที่ G100 จะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกได้

    จีนกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี แต่ต้องจับตาดูว่า G100 จะสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม GPU ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-first-6nm-domestic-gpu-with-purported-rtx-4060-like-performance-has-powered-on
    🎮 GPU รุ่นใหม่ของจีน: ก้าวสำคัญสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี Lisuan Technology บริษัทสตาร์ทอัพด้านกราฟิกการ์ดของจีน ประกาศว่า G100 GPU ซึ่งเป็น กราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในประเทศ ได้เปิดใช้งานสำเร็จ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ 🔍 เรื่องน่าสนใจที่เสริมเพิ่มเติม Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Dongxin Semiconductor ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา G100 ต่อไปได้แม้จะเผชิญกับปัญหาทางการเงิน G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาเอง แตกต่างจากบริษัทจีนอื่น ๆ ที่มักใช้ IP จาก Imagination Technologies นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060 📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - G100 เป็นกราฟิกการ์ด 6nm ตัวแรกที่ผลิตในจีน - Lisuan Technology ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน Silicon Valley - G100 ใช้ TrueGPU architecture ซึ่งพัฒนาเองโดยไม่ใช้ IP จากบริษัทอื่น - Dongxin Semiconductor สนับสนุนเงินทุน 27.7 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยให้บริษัทดำเนินการต่อไป - G100 อาจมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GeForce RTX 4060 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - จีนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 6nm จาก Samsung หรือ TSMC เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ - G100 อาจผลิตโดย SMIC ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับโรงงานผลิตชิประดับโลก - ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ G100 - การพัฒนาไดรเวอร์และซอฟต์แวร์เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะกำหนดความสามารถของ G100 ในตลาด 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม GPU การเปิดตัว G100 แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านการผลิตและซอฟต์แวร์ ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไขก่อนที่ G100 จะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกได้ จีนกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี แต่ต้องจับตาดูว่า G100 จะสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม GPU ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-first-6nm-domestic-gpu-with-purported-rtx-4060-like-performance-has-powered-on
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ☀️ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ: ก้าวใหม่ของเทคโนโลยี
    นักวิจัยจาก Japan Space Systems (JSS) ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังเสาอากาศบนพื้นดิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศมายังโลก

    แนวคิดการส่งพลังงานจากอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่ Caltech เคยทดลองส่งพลังงานจากวงโคจรต่ำมายังพื้นโลกในปี 2023 และบริษัทสตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียเคยเสนอแนวคิดใช้ดาวเทียมติดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงาน

    ข้อดีของแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศคือ สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า เนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศมาขวางกั้น และสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - JSS ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังพื้นดิน
    - พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศสามารถผลิตได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า
    - การส่งพลังงานผ่านไมโครเวฟสูญเสียพลังงานเพียง 5% เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ
    - ระบบสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    - JSS วางแผนส่งพลังงานจากดาวเทียมที่อยู่ห่างจากโลก 36,000 กิโลเมตร

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแปลงพลังงานไปเป็นไมโครเวฟและกลับมาเป็นไฟฟ้าสูญเสียพลังงานจำนวนมาก
    - ดาวเทียมต้องเผชิญกับอันตรายจากอุกกาบาตขนาดเล็กและเศษซากอวกาศ
    - บางคนกังวลว่าเครื่องส่งพลังงานไมโครเวฟอาจถูกใช้เป็นอาวุธ
    - ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง

    🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของพลังงาน
    หากเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง อาจช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาและทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techspot.com/news/108097-beaming-solar-power-space-closer-reality-after-breakthrough.html
    ☀️ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ: ก้าวใหม่ของเทคโนโลยี นักวิจัยจาก Japan Space Systems (JSS) ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังเสาอากาศบนพื้นดิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศมายังโลก แนวคิดการส่งพลังงานจากอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่ Caltech เคยทดลองส่งพลังงานจากวงโคจรต่ำมายังพื้นโลกในปี 2023 และบริษัทสตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียเคยเสนอแนวคิดใช้ดาวเทียมติดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงาน ข้อดีของแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศคือ สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า เนื่องจากไม่มีชั้นบรรยากาศมาขวางกั้น และสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ✅ ข้อมูลจากข่าว - JSS ประสบความสำเร็จในการส่งพลังงานแบบไร้สายจากเครื่องบินไปยังพื้นดิน - พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในอวกาศสามารถผลิตได้มากกว่าบนโลกหลายเท่า - การส่งพลังงานผ่านไมโครเวฟสูญเสียพลังงานเพียง 5% เมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ - ระบบสามารถส่งพลังงานมายังโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง - JSS วางแผนส่งพลังงานจากดาวเทียมที่อยู่ห่างจากโลก 36,000 กิโลเมตร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแปลงพลังงานไปเป็นไมโครเวฟและกลับมาเป็นไฟฟ้าสูญเสียพลังงานจำนวนมาก - ดาวเทียมต้องเผชิญกับอันตรายจากอุกกาบาตขนาดเล็กและเศษซากอวกาศ - บางคนกังวลว่าเครื่องส่งพลังงานไมโครเวฟอาจถูกใช้เป็นอาวุธ - ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้จริง 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของพลังงาน หากเทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้จริง อาจช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการพัฒนาและทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techspot.com/news/108097-beaming-solar-power-space-closer-reality-after-breakthrough.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Beaming solar power from space is closer to reality after breakthrough Japanese test
    Researchers from Japan Space Systems (JSS) recently beamed energy wirelessly from a speeding jet to antennae on the ground. The successful experiment confirms the viability of numerous...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ซึ่งเป็น CPU รุ่นใหม่ ที่ใช้ LGA-1954 socket โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการจัดการพลังงาน

    Nova Lake-S จะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป

    นอกจากนี้ Intel ยังเน้น AI acceleration โดยเพิ่ม Neural Processing Units (NPUs) เพื่อรองรับงานด้าน AI-based photo editing, real-time video effects และ generative AI tools

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nova Lake-S ใช้ LGA-1954 socket ซึ่งมี 1,954 contact pads
    - Core configuration ประกอบด้วย 16 P-cores (Coyote Cove), 32 E-cores (Arctic Wolf) และ 4 low-power E-cores
    - ใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป
    - 900-series chipsets เช่น Z990 และ H970 จะรองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5
    - AI acceleration จะเป็นจุดเด่น โดยมี NPUs ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน AI

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องใช้เมนบอร์ดใหม่ เนื่องจาก LGA-1954 ไม่รองรับ CPU รุ่นเก่า
    - แม้จะใช้ขนาด socket เดิม แต่การออกแบบ heat spreader อาจต้องใช้ mounting kits ใหม่
    - การแข่งขันกับ AMD Zen 6 อาจทำให้ตลาด CPU มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน

    Nova Lake-S และ LGA-1954 เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการพัฒนา CPU ที่รองรับ AI และ multi-threaded workloads อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร

    https://computercity.com/hardware/processors/intels-lga-1954-socket-and-nova-lake-s-cpus
    Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ซึ่งเป็น CPU รุ่นใหม่ ที่ใช้ LGA-1954 socket โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการจัดการพลังงาน Nova Lake-S จะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป นอกจากนี้ Intel ยังเน้น AI acceleration โดยเพิ่ม Neural Processing Units (NPUs) เพื่อรองรับงานด้าน AI-based photo editing, real-time video effects และ generative AI tools ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nova Lake-S ใช้ LGA-1954 socket ซึ่งมี 1,954 contact pads - Core configuration ประกอบด้วย 16 P-cores (Coyote Cove), 32 E-cores (Arctic Wolf) และ 4 low-power E-cores - ใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป - 900-series chipsets เช่น Z990 และ H970 จะรองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 - AI acceleration จะเป็นจุดเด่น โดยมี NPUs ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน AI ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องใช้เมนบอร์ดใหม่ เนื่องจาก LGA-1954 ไม่รองรับ CPU รุ่นเก่า - แม้จะใช้ขนาด socket เดิม แต่การออกแบบ heat spreader อาจต้องใช้ mounting kits ใหม่ - การแข่งขันกับ AMD Zen 6 อาจทำให้ตลาด CPU มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน Nova Lake-S และ LGA-1954 เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการพัฒนา CPU ที่รองรับ AI และ multi-threaded workloads อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร https://computercity.com/hardware/processors/intels-lga-1954-socket-and-nova-lake-s-cpus
    COMPUTERCITY.COM
    Intel’s LGA-1954 Socket and Nova Lake-S CPUs
    Intel is preparing for another leap in desktop computing with the upcoming Nova Lake-S processors and a brand-new socket: LGA-1954. Despite just launching the
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว

  • รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์กรณีศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตัดสินทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฏหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจได้

    เมื่อวาน 28 พฤษภาคม 2568

    ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯมีคำวินิจฉัยว่าทรัมป์ไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกได้

    ศาลรัฐบาลกลางเพิ่งตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ

    เหตุผลของคำวินิจฉัย

    ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (โดยเฉพาะ US Court of International Trade) ตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากประเด็นทางกฎหมายดังนี้:

    1 ขอบเขตของอำนาจฉุกเฉิน: ศาลอาจตีความว่ากฎหมาย IEEPA มีขอบเขตการใช้งานที่จำกัด ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรในลักษณะที่กว้างขวางและมีผลกระทบในระดับโลกได้ คำว่า "ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ" อาจถูกตีความว่ามีข้อจำกัดที่ชัดเจน ไม่ได้หมายถึงสถานการณ์ทางการค้าทั่วไป

    2 การจำแนกระหว่างภาษีศุลกากรและมาตรการฉุกเฉินอื่นๆ: ศาลอาจมองว่าการกำหนดภาษีศุลกากรเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการคลังและนโยบายการค้า ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ภายใต้อำนาจของสภาคองเกรส (ฝ่ายนิติบัญญัติ) มากกว่าอำนาจฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร การใช้กฎหมายฉุกเฉินเพื่อข้ามกระบวนการนิติบัญญัติในการเก็บภาษี อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดการแบ่งแยกอำนาจ

    3 การขาดความชอบธรรมของสถานการณ์ฉุกเฉิน: ศาลอาจเห็นว่าสถานการณ์ทางการค้าที่ทรัมป์อ้างว่าเป็น "ภาวะฉุกเฉิน" นั้นไม่เข้าข่ายตามความหมายของกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นต้องใช้อำนาจพิเศษ

    4 การปกป้องการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers): คำวินิจฉัยนี้เป็นการตอกย้ำหลักการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) และฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ศาลมองว่าการเก็บภาษีเป็นอำนาจของสภาคองเกรส และประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินมาแทนที่อำนาจดังกล่าวได้

    5 รัฐบาลทรัมป์มีทางเลือกในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยนี้ไปยังศาลสูงกว่า เช่น ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลาง หรืออาจถึงศาลฎีกา ซึ่งกระบวนการอุทธรณ์อาจใช้เวลาและผลลัพธ์ก็ไม่แน่นอน

    อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางกฎหมายครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลทรัมป์ และอาจส่งผลให้กลยุทธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศาลสูงยืนยันคำวินิจฉัยดังกล่าว
    รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์กรณีศาลรัฐบาลกลางสหรัฐตัดสินทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฏหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจได้ เมื่อวาน 28 พฤษภาคม 2568 ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯมีคำวินิจฉัยว่าทรัมป์ไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกได้ ศาลรัฐบาลกลางเพิ่งตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ เหตุผลของคำวินิจฉัย ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (โดยเฉพาะ US Court of International Trade) ตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรทั่วโลกภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากประเด็นทางกฎหมายดังนี้: 1 ขอบเขตของอำนาจฉุกเฉิน: ศาลอาจตีความว่ากฎหมาย IEEPA มีขอบเขตการใช้งานที่จำกัด ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีศุลกากรในลักษณะที่กว้างขวางและมีผลกระทบในระดับโลกได้ คำว่า "ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ" อาจถูกตีความว่ามีข้อจำกัดที่ชัดเจน ไม่ได้หมายถึงสถานการณ์ทางการค้าทั่วไป 2 การจำแนกระหว่างภาษีศุลกากรและมาตรการฉุกเฉินอื่นๆ: ศาลอาจมองว่าการกำหนดภาษีศุลกากรเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการคลังและนโยบายการค้า ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ภายใต้อำนาจของสภาคองเกรส (ฝ่ายนิติบัญญัติ) มากกว่าอำนาจฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร การใช้กฎหมายฉุกเฉินเพื่อข้ามกระบวนการนิติบัญญัติในการเก็บภาษี อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดการแบ่งแยกอำนาจ 3 การขาดความชอบธรรมของสถานการณ์ฉุกเฉิน: ศาลอาจเห็นว่าสถานการณ์ทางการค้าที่ทรัมป์อ้างว่าเป็น "ภาวะฉุกเฉิน" นั้นไม่เข้าข่ายตามความหมายของกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นต้องใช้อำนาจพิเศษ 4 การปกป้องการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers): คำวินิจฉัยนี้เป็นการตอกย้ำหลักการแบ่งแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) และฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ศาลมองว่าการเก็บภาษีเป็นอำนาจของสภาคองเกรส และประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินมาแทนที่อำนาจดังกล่าวได้ 5 รัฐบาลทรัมป์มีทางเลือกในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยนี้ไปยังศาลสูงกว่า เช่น ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลาง หรืออาจถึงศาลฎีกา ซึ่งกระบวนการอุทธรณ์อาจใช้เวลาและผลลัพธ์ก็ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางกฎหมายครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลทรัมป์ และอาจส่งผลให้กลยุทธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศาลสูงยืนยันคำวินิจฉัยดังกล่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia กำลังพัฒนา 800V HVDC architecture เพื่อรองรับ AI server racks ที่ต้องการพลังงานระดับ 1 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าระบบปัจจุบันถึง 5 เท่า โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานภายในปี 2027

    การใช้ 800V HVDC จะช่วยลดความต้องการ ทองแดง ในการส่งพลังงานลงถึง 45% และช่วยให้ ศูนย์ข้อมูล AI สามารถขยายขนาดได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดตัวนำไฟฟ้า นอกจากนี้ Nvidia ยังร่วมมือกับ Infineon, Texas Instruments และ Navitas เพื่อพัฒนา wide-bandgap semiconductors เช่น GaN และ SiC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia พัฒนา 800V HVDC เพื่อรองรับ AI server racks ที่ต้องการพลังงานสูง
    - ระบบปัจจุบัน 54V DC กำลังถึงขีดจำกัดเมื่อเซิร์ฟเวอร์ใช้พลังงานเกิน 200 กิโลวัตต์
    - 800V HVDC จะช่วยลดความต้องการทองแดงลง 45%
    - Nvidia ร่วมมือกับ Infineon, Texas Instruments และ Navitas เพื่อพัฒนา wide-bandgap semiconductors
    - คาดว่า 800V HVDC จะเริ่มใช้งานใน 2027

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนไปใช้ 800V HVDC ต้องใช้การปรับโครงสร้างระบบไฟฟ้าในศูนย์ข้อมูล
    - การใช้พลังงานระดับเมกะวัตต์ อาจเพิ่มความท้าทายด้าน ความร้อนและการระบายอากาศ
    - การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ เช่น GaN และ SiC อาจต้องใช้เวลาพัฒนาให้เสถียร
    - ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนระบบ อาจสูง และต้องรอดูว่าศูนย์ข้อมูลจะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน

    การพัฒนา 800V HVDC ของ Nvidia เป็นก้าวสำคัญในการรองรับ AI server racks ที่ต้องการพลังงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าศูนย์ข้อมูลจะสามารถปรับตัวได้เร็วแค่ไหน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-to-boost-ai-server-racks-to-megawatt-scale-increasing-power-delivery-by-five-times-or-more
    Nvidia กำลังพัฒนา 800V HVDC architecture เพื่อรองรับ AI server racks ที่ต้องการพลังงานระดับ 1 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าระบบปัจจุบันถึง 5 เท่า โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานภายในปี 2027 การใช้ 800V HVDC จะช่วยลดความต้องการ ทองแดง ในการส่งพลังงานลงถึง 45% และช่วยให้ ศูนย์ข้อมูล AI สามารถขยายขนาดได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดตัวนำไฟฟ้า นอกจากนี้ Nvidia ยังร่วมมือกับ Infineon, Texas Instruments และ Navitas เพื่อพัฒนา wide-bandgap semiconductors เช่น GaN และ SiC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia พัฒนา 800V HVDC เพื่อรองรับ AI server racks ที่ต้องการพลังงานสูง - ระบบปัจจุบัน 54V DC กำลังถึงขีดจำกัดเมื่อเซิร์ฟเวอร์ใช้พลังงานเกิน 200 กิโลวัตต์ - 800V HVDC จะช่วยลดความต้องการทองแดงลง 45% - Nvidia ร่วมมือกับ Infineon, Texas Instruments และ Navitas เพื่อพัฒนา wide-bandgap semiconductors - คาดว่า 800V HVDC จะเริ่มใช้งานใน 2027 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนไปใช้ 800V HVDC ต้องใช้การปรับโครงสร้างระบบไฟฟ้าในศูนย์ข้อมูล - การใช้พลังงานระดับเมกะวัตต์ อาจเพิ่มความท้าทายด้าน ความร้อนและการระบายอากาศ - การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ เช่น GaN และ SiC อาจต้องใช้เวลาพัฒนาให้เสถียร - ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนระบบ อาจสูง และต้องรอดูว่าศูนย์ข้อมูลจะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน การพัฒนา 800V HVDC ของ Nvidia เป็นก้าวสำคัญในการรองรับ AI server racks ที่ต้องการพลังงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าศูนย์ข้อมูลจะสามารถปรับตัวได้เร็วแค่ไหน https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-to-boost-ai-server-racks-to-megawatt-scale-increasing-power-delivery-by-five-times-or-more
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังพัฒนา Windows Update orchestration platform ซึ่งจะช่วยให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ สามารถจัดการได้ผ่าน Windows Update โดยตรง แทนที่จะต้องใช้ตัวอัปเดตแยกต่างหากจากผู้พัฒนาแต่ละราย

    แนวคิดนี้อาจช่วยลดปัญหาการแจ้งเตือนที่ซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจากตัวอัปเดตของแต่ละแอป นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นการอัปเดตที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi และใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว Windows Update orchestration platform เพื่อรวมการอัปเดตทั้งหมด
    - นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเป็น update provider และใช้ WinRT APIs หรือ PowerShell cmdlets
    - ระบบจะตรวจสอบเวอร์ชันใหม่และติดตั้งเมื่ออุปกรณ์อยู่ในสถานะที่เหมาะสม
    - รองรับ MSIX/APPX packages และบางส่วนของ Win32 apps
    - แอปที่เข้าร่วมจะปรากฏใน Windows Update history และสามารถใช้ toast notifications

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - นักพัฒนาต้องปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา
    - ผู้ใช้บางรายอาจกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมการอัปเดต
    - การรวมทุกอย่างไว้ใน Windows Update อาจทำให้เกิดปัญหาหากระบบมีข้อผิดพลาด
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อ ธุรกิจของผู้พัฒนาแอปที่เคยใช้ตัวอัปเดตของตนเอง

    Microsoft หวังว่าการรวมระบบอัปเดตทั้งหมดไว้ใน Windows Update จะช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถจัดการซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลที่ต้องติดตามต่อไป

    https://www.techspot.com/news/108088-windows-update-could-soon-handle-all-apps-drivers.html
    Microsoft กำลังพัฒนา Windows Update orchestration platform ซึ่งจะช่วยให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ สามารถจัดการได้ผ่าน Windows Update โดยตรง แทนที่จะต้องใช้ตัวอัปเดตแยกต่างหากจากผู้พัฒนาแต่ละราย แนวคิดนี้อาจช่วยลดปัญหาการแจ้งเตือนที่ซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจากตัวอัปเดตของแต่ละแอป นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นการอัปเดตที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi และใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว Windows Update orchestration platform เพื่อรวมการอัปเดตทั้งหมด - นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเป็น update provider และใช้ WinRT APIs หรือ PowerShell cmdlets - ระบบจะตรวจสอบเวอร์ชันใหม่และติดตั้งเมื่ออุปกรณ์อยู่ในสถานะที่เหมาะสม - รองรับ MSIX/APPX packages และบางส่วนของ Win32 apps - แอปที่เข้าร่วมจะปรากฏใน Windows Update history และสามารถใช้ toast notifications ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - นักพัฒนาต้องปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา - ผู้ใช้บางรายอาจกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมการอัปเดต - การรวมทุกอย่างไว้ใน Windows Update อาจทำให้เกิดปัญหาหากระบบมีข้อผิดพลาด - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อ ธุรกิจของผู้พัฒนาแอปที่เคยใช้ตัวอัปเดตของตนเอง Microsoft หวังว่าการรวมระบบอัปเดตทั้งหมดไว้ใน Windows Update จะช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถจัดการซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลที่ต้องติดตามต่อไป https://www.techspot.com/news/108088-windows-update-could-soon-handle-all-apps-drivers.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows Update could soon handle all apps and drivers, not just the OS
    Angie Chen, a product manager at Microsoft, writes that the updates across the Windows ecosystem can feel like a fragmented experience, which has led to Microsoft developing...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • InWin เปิดตัว IW-1650W – พาวเวอร์ซัพพลาย 1650W สำหรับ GPU โดยเฉพาะ

    InWin เปิดตัว IW-1650W ซึ่งเป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการ์ดจอโดยเฉพาะ โดยมี กำลังไฟ 1650W และรองรับการ์ดจอสูงสุด 4 ตัวผ่านขั้วต่อ 16-pin ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับระบบที่ใช้ใน เซิร์ฟเวอร์และเครื่องขุดคริปโต

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ IW-1650W
    ✅ IW-1650W เป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ออกแบบมาเพื่อจ่ายไฟให้กับ GPU เท่านั้น
    - ไม่สามารถ ทำงานได้โดยลำพัง ต้องใช้ร่วมกับพาวเวอร์ซัพพลายหลัก

    ✅ รองรับมาตรฐาน PCIe 5.1 CEM และมีขั้วต่อ 12V-2x6 จำนวน 4 ช่อง
    - สามารถ รองรับการ์ดจอสูงสุด 4 ตัว เช่น RTX 5080

    ✅ มีพัดลมระบายความร้อนขนาด 13.5 ซม. และมี Active PFC ที่ 0.99
    - ช่วยให้ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงถึง 90%

    ✅ ออกแบบให้เป็นระบบโมดูลาร์ สามารถถอดสายไฟที่ไม่จำเป็นออกได้
    - ช่วยให้ การจัดสายภายในเคสเป็นระเบียบมากขึ้น

    ✅ InWin เปิดตัว IW-1650W ที่งาน Computex 2025 แต่ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย
    - คาดว่า จะมีข้อมูลเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/inwin-preps-1650w-gpu-power-supply-with-four-16-pin-power-connectors
    InWin เปิดตัว IW-1650W – พาวเวอร์ซัพพลาย 1650W สำหรับ GPU โดยเฉพาะ InWin เปิดตัว IW-1650W ซึ่งเป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการ์ดจอโดยเฉพาะ โดยมี กำลังไฟ 1650W และรองรับการ์ดจอสูงสุด 4 ตัวผ่านขั้วต่อ 16-pin ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับระบบที่ใช้ใน เซิร์ฟเวอร์และเครื่องขุดคริปโต 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ IW-1650W ✅ IW-1650W เป็นพาวเวอร์ซัพพลายที่ออกแบบมาเพื่อจ่ายไฟให้กับ GPU เท่านั้น - ไม่สามารถ ทำงานได้โดยลำพัง ต้องใช้ร่วมกับพาวเวอร์ซัพพลายหลัก ✅ รองรับมาตรฐาน PCIe 5.1 CEM และมีขั้วต่อ 12V-2x6 จำนวน 4 ช่อง - สามารถ รองรับการ์ดจอสูงสุด 4 ตัว เช่น RTX 5080 ✅ มีพัดลมระบายความร้อนขนาด 13.5 ซม. และมี Active PFC ที่ 0.99 - ช่วยให้ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงถึง 90% ✅ ออกแบบให้เป็นระบบโมดูลาร์ สามารถถอดสายไฟที่ไม่จำเป็นออกได้ - ช่วยให้ การจัดสายภายในเคสเป็นระเบียบมากขึ้น ✅ InWin เปิดตัว IW-1650W ที่งาน Computex 2025 แต่ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย - คาดว่า จะมีข้อมูลเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้ https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/inwin-preps-1650w-gpu-power-supply-with-four-16-pin-power-connectors
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    InWin preps 1650W GPU power supply with four 16-pin power connectors
    A secondary power supply designed for the latest AMD and Nvidia graphics cards
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง

    ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล

    ChatGPT in the ASEAN Market

    Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent.

    In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users.

    Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics.

    To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups.

    Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment.

    Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล ChatGPT in the ASEAN Market Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent. In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users. Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics. To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups. Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment. Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ChatGPT ในตลาดอาเซียน

    เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม ChatGPT ซึ่งเป็นผู้ช่วยโต้ตอบที่สามารถเข้าใจและตอบสนองภาษามนุษย์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในด้านการวางแผน แก้ปัญหา และให้คำแนะนำในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 800 ล้านคน โดยมีผู้ใช้งานประจำวันราว 122 ล้านคน ท่ามกลางการแข่งขันกับแพลตฟอร์มจากค่ายเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Google, Microsoft, Meta ตลอดจนคู่แข่งจากฝั่งเอเชีย เช่น DeepSeek, Baidu, Alibaba และ Tencent

    สำหรับประเทศไทย แม้กลุ่มผู้ใช้งานหลักจะอยู่ในสายโค้ดดิ้ง โปรแกรมมิ่ง หรือการสร้างภาพ AI แต่ ChatGPT ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้านการใช้สร้างสรรค์เนื้อหาและแนวคิดใหม่ๆ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานประมาณ 14% จากประชากร 65.89 ล้านคน

    หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอาเซียน ซึ่งมีประชากรรวมราว 600 ล้านคน พบว่า อินโดนีเซียมีสัดส่วนผู้ใช้งานสูงที่สุด ประมาณ 32% ของประชากร 283.48 ล้านคน รองลงมาคือฟิลิปปินส์ ที่มีผู้ใช้งานประมาณ 28% จากประชากรราว 119 ล้านคน ส่วนสิงคโปร์มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในกลุ่มที่มีรายได้สูงและการศึกษาดี ขณะที่มาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้สนใจเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของภูมิภาคนี้ยังอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ที่รองรับ AI และต้นทุนบริการที่ยังถือว่าสูงสำหรับประชากรบางส่วน

    ที่ผ่านมา OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทด้าน AI จากสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัวโครงการ “OpenAI for Countries” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการเข้าถึง ChatGPT ในระดับประเทศ ขณะที่สิงคโปร์ OpenAI ได้ประกาศความร่วมมือกับโครงการ AI Singapore ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างรัฐบาลและสถาบันการศึกษา เพื่อส่งเสริมการนำ AI มาใช้ในประเทศ ส่วนประเทศอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และผ่านเว็บไซต์

    โดยรวมแล้ว ตลาดอาเซียนกำลังตื่นตัวต่อบริการ AI มากขึ้น แม้ยังไม่เทียบเท่าตลาดยุโรปหรือสหรัฐฯ ความร่วมมือระหว่าง OpenAI กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในภูมิภาค จึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายการเข้าถึง ChatGPT ให้ครอบคลุมประชากรในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

    #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux 6.15 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ

    Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux 6.15 อย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การพัฒนาไดรเวอร์กราฟิก, ระบบไฟล์, เครือข่าย และความปลอดภัย รวมถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีข้อถกเถียงในชุมชนผู้พัฒนา

    🔍 ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญใน Linux 6.15
    ✅ Nova: ไดรเวอร์กราฟิกใหม่ที่ใช้ Rust สำหรับ NVIDIA GPUs รุ่นใหม่
    - เป็น ตัวแทนของ Nouveau ที่รองรับ GSP-based GPUs

    ✅ Intel Xe driver รองรับ Shared Virtual Memory (SVM) และสามารถรายงานอุณหภูมิ GPU และ VRAM
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอได้ดีขึ้น

    ✅ เพิ่ม fwctl subsystem เพื่อจัดการเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ใน user-space
    - แม้ว่าจะช่วยให้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา

    ✅ รองรับ Zero-copy receive (zcrx) ผ่าน io_uring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย
    - ลด การใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล

    ✅ เพิ่ม TCP_RTO_MAX_MS เพื่อควบคุมระยะเวลาการเชื่อมต่อใหม่ของ TCP
    - ช่วยให้ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสถียรมากขึ้น

    ✅ ระบบไฟล์ exFAT ลบไฟล์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
    - จาก 4 นาทีเหลือเพียง 1.6 วินาทีสำหรับไฟล์ขนาด 80GB

    ✅ Btrfs รองรับการบีบอัดแบบ zstd ระดับ -15 ถึง -1 เพื่อเพิ่มความเร็ว
    - แม้ว่าจะลดอัตราการบีบอัด แต่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น

    ✅ ARM และ RISC-V ได้รับการปรับปรุงให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Google Pixel Pro 6 และ Milk-V Jupiter ITX
    - เพิ่ม ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ

    ✅ รองรับ Apple Touch Bar บน MacBook Pro รุ่น Intel และ M1/M2
    - สามารถ ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ปุ่มฟังก์ชันและการควบคุมแสง

    ✅ ไดรเวอร์ใหม่สำหรับคอนโทรลเลอร์ Xbox และ PlayStation 5
    - รองรับ Turtle Beach Recon, Stealth Ultra และ PowerA Wired Controller

    ‼️ fwctl subsystem อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและแนวทางการพัฒนา
    - มีข้อถกเถียงว่า ควรใช้ API ที่มีอยู่แทนการสร้างระบบใหม่

    ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน io_uring อาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาความปลอดภัย
    - Linus Torvalds ตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของฟีเจอร์นี้

    https://www.omgubuntu.co.uk/2025/05/linux-6-15-kernel-released
    Linux 6.15 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux 6.15 อย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การพัฒนาไดรเวอร์กราฟิก, ระบบไฟล์, เครือข่าย และความปลอดภัย รวมถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีข้อถกเถียงในชุมชนผู้พัฒนา 🔍 ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญใน Linux 6.15 ✅ Nova: ไดรเวอร์กราฟิกใหม่ที่ใช้ Rust สำหรับ NVIDIA GPUs รุ่นใหม่ - เป็น ตัวแทนของ Nouveau ที่รองรับ GSP-based GPUs ✅ Intel Xe driver รองรับ Shared Virtual Memory (SVM) และสามารถรายงานอุณหภูมิ GPU และ VRAM - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอได้ดีขึ้น ✅ เพิ่ม fwctl subsystem เพื่อจัดการเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ใน user-space - แม้ว่าจะช่วยให้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา ✅ รองรับ Zero-copy receive (zcrx) ผ่าน io_uring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย - ลด การใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล ✅ เพิ่ม TCP_RTO_MAX_MS เพื่อควบคุมระยะเวลาการเชื่อมต่อใหม่ของ TCP - ช่วยให้ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสถียรมากขึ้น ✅ ระบบไฟล์ exFAT ลบไฟล์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก - จาก 4 นาทีเหลือเพียง 1.6 วินาทีสำหรับไฟล์ขนาด 80GB ✅ Btrfs รองรับการบีบอัดแบบ zstd ระดับ -15 ถึง -1 เพื่อเพิ่มความเร็ว - แม้ว่าจะลดอัตราการบีบอัด แต่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ✅ ARM และ RISC-V ได้รับการปรับปรุงให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Google Pixel Pro 6 และ Milk-V Jupiter ITX - เพิ่ม ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ ✅ รองรับ Apple Touch Bar บน MacBook Pro รุ่น Intel และ M1/M2 - สามารถ ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ปุ่มฟังก์ชันและการควบคุมแสง ✅ ไดรเวอร์ใหม่สำหรับคอนโทรลเลอร์ Xbox และ PlayStation 5 - รองรับ Turtle Beach Recon, Stealth Ultra และ PowerA Wired Controller ‼️ fwctl subsystem อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและแนวทางการพัฒนา - มีข้อถกเถียงว่า ควรใช้ API ที่มีอยู่แทนการสร้างระบบใหม่ ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน io_uring อาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาความปลอดภัย - Linus Torvalds ตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของฟีเจอร์นี้ https://www.omgubuntu.co.uk/2025/05/linux-6-15-kernel-released
    WWW.OMGUBUNTU.CO.UK
    Linux 6.15 Kernel Released, This is What's New
    Linux 6.15 kernel released with new NVIDIA Rust driver, major exFAT performance gains, controversial fwctl subsystem, and more hardware support.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนภัย! มิจฉาชีพใช้วิดีโอ AI บน TikTok หลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ขโมยข้อมูล

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Trend Micro พบว่ามิจฉาชีพ ใช้วิดีโอที่สร้างโดย AI บน TikTok เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ขโมยข้อมูล โดยวิดีโอเหล่านี้ แสดงวิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์พรีเมียมในแอปต่าง ๆ เช่น Windows, Microsoft Office, Spotify และ CapCut แต่แท้จริงแล้ว เป็นคำสั่ง PowerShell ที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ Vidar และ StealC

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการโจมตีผ่านวิดีโอ AI บน TikTok
    ✅ วิดีโอถูกสร้างโดย AI และมีเสียงบรรยายที่ดูเหมือนจริง
    - ทำให้ ผู้ใช้หลงเชื่อและทำตามคำแนะนำในวิดีโอ

    ✅ วิดีโอแสดงให้เห็นการใช้คำสั่ง PowerShell เพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์พรีเมียม
    - แต่แท้จริงแล้ว เป็นคำสั่งที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ขโมยข้อมูล

    ✅ มัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดสามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต และกระเป๋าเงินคริปโต
    - รวมถึง คุกกี้, โค้ด 2FA และข้อมูลการเข้าสู่ระบบ

    ✅ TikTok ช่วยให้วิดีโอเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายผ่านอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม
    - วิดีโอหนึ่ง มีผู้ชมมากกว่า 500,000 ครั้งและมีมากกว่า 20,000 ไลก์

    ✅ วิดีโอเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกันมาก โดยเปลี่ยนเพียงมุมกล้องและ URL ที่ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์
    - แสดงให้เห็นว่า วิดีโอถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ

    ‼️ อย่ารันคำสั่ง PowerShell ที่มาจากวิดีโอหรือแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
    - ควร ตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนดำเนินการใด ๆ

    ‼️ หากพบวิดีโอที่น่าสงสัยบน TikTok ควรแจ้งรายงานเพื่อให้แพลตฟอร์มตรวจสอบ
    - TikTok อาจต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์

    https://www.techradar.com/pro/security/tiktok-fans-beware-experts-warn-dangerous-malware-spread-by-ai-fake-videos
    เตือนภัย! มิจฉาชีพใช้วิดีโอ AI บน TikTok หลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ขโมยข้อมูล นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Trend Micro พบว่ามิจฉาชีพ ใช้วิดีโอที่สร้างโดย AI บน TikTok เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ขโมยข้อมูล โดยวิดีโอเหล่านี้ แสดงวิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์พรีเมียมในแอปต่าง ๆ เช่น Windows, Microsoft Office, Spotify และ CapCut แต่แท้จริงแล้ว เป็นคำสั่ง PowerShell ที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ Vidar และ StealC 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการโจมตีผ่านวิดีโอ AI บน TikTok ✅ วิดีโอถูกสร้างโดย AI และมีเสียงบรรยายที่ดูเหมือนจริง - ทำให้ ผู้ใช้หลงเชื่อและทำตามคำแนะนำในวิดีโอ ✅ วิดีโอแสดงให้เห็นการใช้คำสั่ง PowerShell เพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์พรีเมียม - แต่แท้จริงแล้ว เป็นคำสั่งที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ขโมยข้อมูล ✅ มัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดสามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต และกระเป๋าเงินคริปโต - รวมถึง คุกกี้, โค้ด 2FA และข้อมูลการเข้าสู่ระบบ ✅ TikTok ช่วยให้วิดีโอเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายผ่านอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม - วิดีโอหนึ่ง มีผู้ชมมากกว่า 500,000 ครั้งและมีมากกว่า 20,000 ไลก์ ✅ วิดีโอเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกันมาก โดยเปลี่ยนเพียงมุมกล้องและ URL ที่ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ - แสดงให้เห็นว่า วิดีโอถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ ‼️ อย่ารันคำสั่ง PowerShell ที่มาจากวิดีโอหรือแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ - ควร ตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนดำเนินการใด ๆ ‼️ หากพบวิดีโอที่น่าสงสัยบน TikTok ควรแจ้งรายงานเพื่อให้แพลตฟอร์มตรวจสอบ - TikTok อาจต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์ https://www.techradar.com/pro/security/tiktok-fans-beware-experts-warn-dangerous-malware-spread-by-ai-fake-videos
    WWW.TECHRADAR.COM
    TikTok fans beware - experts warn dangerous malware spread by AI fake videos
    Campaign is a "significant departure" from earlier video-borne malware attacks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dell เปิดตัวระบบระบายความร้อนใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูล AI

    Dell เปิดตัวเทคโนโลยี PowerCool Enclosed Rear Door Heat Exchanger (eRDHx) ซึ่งเป็นระบบระบายความร้อนที่สามารถ ลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 60% และช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถ เพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องเพิ่มการใช้พลังงาน

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับระบบ eRDHx ของ Dell
    ✅ eRDHx เป็นระบบระบายความร้อนแบบปิดที่สามารถจับความร้อนจากอุปกรณ์ IT ได้ 100%
    - ลดการพึ่งพา เครื่องทำความเย็นราคาแพง

    ✅ สามารถทำงานที่อุณหภูมิน้ำสูงกว่าระบบทั่วไป (32-36°C)
    - ช่วยให้ ประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน

    ✅ รองรับการตรวจจับการรั่วไหลและการตรวจสอบอุณหภูมิแบบเรียลไทม์
    - ทำให้ สามารถป้องกันปัญหาด้านความร้อนก่อนที่จะเกิดขึ้น

    ✅ สามารถทำงานร่วมกับ Dell Integrated Rack Controller เพื่อการจัดการที่เป็นระบบ
    - ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมอุณหภูมิของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ Dell ระบุว่าระบบนี้ช่วยให้สามารถเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องเพิ่มการใช้พลังงาน
    - เหมาะสำหรับ ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการขยายขีดความสามารถโดยไม่เพิ่มต้นทุนพลังงาน

    ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ระบบ eRDHx อาจต้องมีการปรับโครงสร้างศูนย์ข้อมูล
    - ควร ตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ที่มีอยู่ก่อนติดตั้ง

    https://www.techradar.com/pro/overheating-is-a-big-problem-for-ai-hardware-as-demand-rises-and-dell-thinks-it-might-have-the-answer
    Dell เปิดตัวระบบระบายความร้อนใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูล AI Dell เปิดตัวเทคโนโลยี PowerCool Enclosed Rear Door Heat Exchanger (eRDHx) ซึ่งเป็นระบบระบายความร้อนที่สามารถ ลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 60% และช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถ เพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องเพิ่มการใช้พลังงาน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับระบบ eRDHx ของ Dell ✅ eRDHx เป็นระบบระบายความร้อนแบบปิดที่สามารถจับความร้อนจากอุปกรณ์ IT ได้ 100% - ลดการพึ่งพา เครื่องทำความเย็นราคาแพง ✅ สามารถทำงานที่อุณหภูมิน้ำสูงกว่าระบบทั่วไป (32-36°C) - ช่วยให้ ประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน ✅ รองรับการตรวจจับการรั่วไหลและการตรวจสอบอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ - ทำให้ สามารถป้องกันปัญหาด้านความร้อนก่อนที่จะเกิดขึ้น ✅ สามารถทำงานร่วมกับ Dell Integrated Rack Controller เพื่อการจัดการที่เป็นระบบ - ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมอุณหภูมิของศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Dell ระบุว่าระบบนี้ช่วยให้สามารถเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องเพิ่มการใช้พลังงาน - เหมาะสำหรับ ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการขยายขีดความสามารถโดยไม่เพิ่มต้นทุนพลังงาน ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ระบบ eRDHx อาจต้องมีการปรับโครงสร้างศูนย์ข้อมูล - ควร ตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ที่มีอยู่ก่อนติดตั้ง https://www.techradar.com/pro/overheating-is-a-big-problem-for-ai-hardware-as-demand-rises-and-dell-thinks-it-might-have-the-answer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVIDIA ออกอัปเดต vBIOS เพื่อแก้ปัญหาหน้าจอดำหลังรีบูตใน RTX 5060 และ 5060 Ti

    NVIDIA ได้ปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์สำหรับการ์ดจอ RTX 5060 และ RTX 5060 Ti เพื่อแก้ไขปัญหาหน้าจอดำที่เกิดขึ้นหลังจากรีบูตเครื่อง โดยปัญหานี้ พบเฉพาะในรุ่นที่ใช้ชิป GB206 และไม่ส่งผลกระทบต่อการ์ดจอ RTX 50 รุ่นอื่น ๆ หรือรุ่นเก่ากว่า

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับอัปเดต vBIOS ของ NVIDIA
    ✅ ปัญหาหน้าจอดำเกิดขึ้นเฉพาะใน RTX 5060 และ 5060 Ti ที่ใช้ชิป GB206
    - การ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้

    ✅ NVIDIA ปล่อยอัปเดตเป็น vBIOS แทนไดรเวอร์ทั่วไป
    - ผู้ใช้ต้อง อัปเดตด้วย GPU UEFI Firmware Update Tool v2.0

    ✅ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่าง vBIOS ของ RTX 5060 กับ BIOS หรือ UEFI ของเมนบอร์ด
    - พบว่า ระบบที่ใช้ Legacy (CSM) mode หรือไม่มี UEFI อาจเจอปัญหานี้

    ✅ NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดมี BIOS ล่าสุดและเปิดใช้งาน UEFI boot mode
    - หากยังพบปัญหา ให้ลองใช้กราฟิกออนบอร์ดหรือ GPU ตัวที่สองเพื่อรันเครื่องมืออัปเดต

    ✅ กระบวนการอัปเดตต้องปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดและหยุดการอัปเดตระบบปฏิบัติการก่อนเริ่ม
    - หากเมนบอร์ดไม่รองรับ UEFI ให้ติดต่อผู้ผลิตการ์ดจอเพื่อขอเฟิร์มแวร์รุ่น Legacy

    https://www.techpowerup.com/337331/nvidia-issues-vbios-update-to-fix-rtx-5060-ti-reboot-black-screens
    NVIDIA ออกอัปเดต vBIOS เพื่อแก้ปัญหาหน้าจอดำหลังรีบูตใน RTX 5060 และ 5060 Ti NVIDIA ได้ปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์สำหรับการ์ดจอ RTX 5060 และ RTX 5060 Ti เพื่อแก้ไขปัญหาหน้าจอดำที่เกิดขึ้นหลังจากรีบูตเครื่อง โดยปัญหานี้ พบเฉพาะในรุ่นที่ใช้ชิป GB206 และไม่ส่งผลกระทบต่อการ์ดจอ RTX 50 รุ่นอื่น ๆ หรือรุ่นเก่ากว่า 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับอัปเดต vBIOS ของ NVIDIA ✅ ปัญหาหน้าจอดำเกิดขึ้นเฉพาะใน RTX 5060 และ 5060 Ti ที่ใช้ชิป GB206 - การ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ✅ NVIDIA ปล่อยอัปเดตเป็น vBIOS แทนไดรเวอร์ทั่วไป - ผู้ใช้ต้อง อัปเดตด้วย GPU UEFI Firmware Update Tool v2.0 ✅ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่าง vBIOS ของ RTX 5060 กับ BIOS หรือ UEFI ของเมนบอร์ด - พบว่า ระบบที่ใช้ Legacy (CSM) mode หรือไม่มี UEFI อาจเจอปัญหานี้ ✅ NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดมี BIOS ล่าสุดและเปิดใช้งาน UEFI boot mode - หากยังพบปัญหา ให้ลองใช้กราฟิกออนบอร์ดหรือ GPU ตัวที่สองเพื่อรันเครื่องมืออัปเดต ✅ กระบวนการอัปเดตต้องปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดและหยุดการอัปเดตระบบปฏิบัติการก่อนเริ่ม - หากเมนบอร์ดไม่รองรับ UEFI ให้ติดต่อผู้ผลิตการ์ดจอเพื่อขอเฟิร์มแวร์รุ่น Legacy https://www.techpowerup.com/337331/nvidia-issues-vbios-update-to-fix-rtx-5060-ti-reboot-black-screens
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NVIDIA Issues vBIOS Update to Fix RTX 5060 (Ti) Reboot Black Screens
    NVIDIA has quietly released a firmware patch for its GeForce RTX 5060 and RTX 5060 Ti graphics cards to fix a frustrating blank-screen issue that appears when users restart their systems. Interestingly, this reboot glitch affects only the RTX 5060 and RTX 5060 Ti models built on NVIDIA's GB206 silic...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI กำลังช่วยให้ต้นไม้ "พูด" ได้ผ่านแอปพลิเคชันอัจฉริยะ

    เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์โต้ตอบกับพืช โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถ ระบุสายพันธุ์พืชจากภาพถ่ายและให้คำแนะนำในการดูแล อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำของ AI ในการจำแนกพืชยังมีข้อจำกัด และ ไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์จริงของนักปลูกต้นไม้ได้

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแอป AI สำหรับพืช
    ✅ แอป AI ใช้ Computer Vision และ Image Processing เพื่อระบุสายพันธุ์พืช
    - ใช้ Convolutional Neural Network (CNN) เพื่อวิเคราะห์รูปภาพและตรวจจับลักษณะเฉพาะของพืช

    ✅ ช่วยให้ผู้เริ่มต้นสามารถดูแลต้นไม้ได้ง่ายขึ้น
    - แอปสามารถ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน, การรดน้ำ และการดูแลพืชเบื้องต้น

    ✅ แอปยอดนิยม เช่น PictureThis, PlantNet และ Seek By iNaturalist มีฐานข้อมูลพืชขนาดใหญ่
    - สามารถ ช่วยระบุพืชและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแล

    ✅ บางแอปสามารถตรวจจับปัญหาสุขภาพของพืช เช่น ขาดสารอาหารหรือโรคพืช
    - เช่น Plantora ที่สามารถวิเคราะห์อาการของพืชและแนะนำวิธีแก้ไข

    ✅ AI สามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจพฤติกรรมของพืชได้ดีขึ้น
    - เช่น การเปลี่ยนสีใบไม้สามารถบ่งบอกถึงความต้องการแสงแดดหรือปริมาณน้ำที่เหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/26/leaf-it-to-tech-are-ai-powered-apps-giving-plants-a-voice
    AI กำลังช่วยให้ต้นไม้ "พูด" ได้ผ่านแอปพลิเคชันอัจฉริยะ เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์โต้ตอบกับพืช โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถ ระบุสายพันธุ์พืชจากภาพถ่ายและให้คำแนะนำในการดูแล อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำของ AI ในการจำแนกพืชยังมีข้อจำกัด และ ไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์จริงของนักปลูกต้นไม้ได้ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแอป AI สำหรับพืช ✅ แอป AI ใช้ Computer Vision และ Image Processing เพื่อระบุสายพันธุ์พืช - ใช้ Convolutional Neural Network (CNN) เพื่อวิเคราะห์รูปภาพและตรวจจับลักษณะเฉพาะของพืช ✅ ช่วยให้ผู้เริ่มต้นสามารถดูแลต้นไม้ได้ง่ายขึ้น - แอปสามารถ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน, การรดน้ำ และการดูแลพืชเบื้องต้น ✅ แอปยอดนิยม เช่น PictureThis, PlantNet และ Seek By iNaturalist มีฐานข้อมูลพืชขนาดใหญ่ - สามารถ ช่วยระบุพืชและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแล ✅ บางแอปสามารถตรวจจับปัญหาสุขภาพของพืช เช่น ขาดสารอาหารหรือโรคพืช - เช่น Plantora ที่สามารถวิเคราะห์อาการของพืชและแนะนำวิธีแก้ไข ✅ AI สามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจพฤติกรรมของพืชได้ดีขึ้น - เช่น การเปลี่ยนสีใบไม้สามารถบ่งบอกถึงความต้องการแสงแดดหรือปริมาณน้ำที่เหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/26/leaf-it-to-tech-are-ai-powered-apps-giving-plants-a-voice
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Leaf it to tech: Are AI-powered apps giving plants a voice?
    From smart sensors to AI apps, technology is giving green thumbs deeper insight into what their plants need to thrive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD กำลังเตรียมเปิดตัว RX 10000 Series พร้อมสถาปัตยกรรม RDNA 5

    AMD กำลังเดินหน้าพัฒนา GPU รุ่นใหม่ภายใต้สถาปัตยกรรม RDNA 5 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยมีการปรับปรุงด้าน Ray Tracing, AI Acceleration และการออกแบบ Compute Unit ใหม่ทั้งหมด

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ RX 10000 Series และ RDNA 5
    ✅ RX 10000 Series อาจใช้กระบวนการผลิต 3nm แทน 5nm ของ RDNA 4
    - ช่วยให้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและลดการใช้พลังงาน

    ✅ AMD อาจนำการออกแบบแบบ Chiplet มาใช้กับทุกโมเดล ไม่ใช่แค่รุ่น Workstation
    - ทำให้ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิป

    ✅ Ray Tracing จะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่
    - คาดว่า จะสามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ดีขึ้นในด้านการเรนเดอร์แสงและเงา

    ✅ รองรับ DisplayPort 2.2 และ AI-powered Frame Generation
    - ช่วยให้ การเล่นเกมมีความลื่นไหลมากขึ้น

    ✅ AMD กำลังขยายตลาดไปยัง AI และ Workstation GPU ด้วย Radeon AI Pro R9700
    - มี 32GB GDDR6 และฮาร์ดแวร์เร่งความเร็วสำหรับ AI Inference

    ‼️ RX 10000 Series อาจเปิดตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
    - คาดว่า จะเปิดตัวกลางถึงปลายปี 2026

    https://computercity.com/hardware/video-cards/the-current-state-of-amd-gpus-and-what-comes-after-rdna-4
    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว RX 10000 Series พร้อมสถาปัตยกรรม RDNA 5 AMD กำลังเดินหน้าพัฒนา GPU รุ่นใหม่ภายใต้สถาปัตยกรรม RDNA 5 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยมีการปรับปรุงด้าน Ray Tracing, AI Acceleration และการออกแบบ Compute Unit ใหม่ทั้งหมด 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ RX 10000 Series และ RDNA 5 ✅ RX 10000 Series อาจใช้กระบวนการผลิต 3nm แทน 5nm ของ RDNA 4 - ช่วยให้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและลดการใช้พลังงาน ✅ AMD อาจนำการออกแบบแบบ Chiplet มาใช้กับทุกโมเดล ไม่ใช่แค่รุ่น Workstation - ทำให้ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิป ✅ Ray Tracing จะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ - คาดว่า จะสามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ดีขึ้นในด้านการเรนเดอร์แสงและเงา ✅ รองรับ DisplayPort 2.2 และ AI-powered Frame Generation - ช่วยให้ การเล่นเกมมีความลื่นไหลมากขึ้น ✅ AMD กำลังขยายตลาดไปยัง AI และ Workstation GPU ด้วย Radeon AI Pro R9700 - มี 32GB GDDR6 และฮาร์ดแวร์เร่งความเร็วสำหรับ AI Inference ‼️ RX 10000 Series อาจเปิดตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ - คาดว่า จะเปิดตัวกลางถึงปลายปี 2026 https://computercity.com/hardware/video-cards/the-current-state-of-amd-gpus-and-what-comes-after-rdna-4
    COMPUTERCITY.COM
    The Current State of AMD GPUs and What Comes After RDNA 4
    AMD’s Radeon RX 9000 series, unveiled in 2025, marks the company’s most aggressive push yet into the mid-range and professional GPU markets—leveraging RDNA 4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dell เปิดตัวแล็ปท็อป AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อม NPU ระดับองค์กร

    Dell เปิดตัว Dell Pro Max Plus ซึ่งเป็นแล็ปท็อป AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ NPU ระดับองค์กร โดยใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ที่มี 32 AI-cores และหน่วยความจำ 64GB ซึ่งช่วยให้สามารถ ประมวลผลงาน AI ที่มีความเข้มข้นสูงได้แม้ในขณะเดินทาง

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Dell Pro Max Plus
    ✅ Dell Pro Max Plus เป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มี NPU ระดับองค์กร
    - ใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ที่มี 32 AI-cores และ 64GB RAM

    ✅ สามารถรองรับงาน AI ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่
    - เหมาะสำหรับ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและวิศวกร AI

    ✅ มาพร้อมกับ Nvidia GB300 ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 20 petaflops
    - สามารถ รันและฝึกโมเดลที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้านได้

    ✅ Dell เน้นว่าแล็ปท็อป AI กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    - CEO Michael Dell ระบุว่า Windows 10 กำลังจะหมดอายุ และ AI PC จะเป็นอนาคตของการทำงาน

    ✅ มีหน่วยความจำสูงสุดถึง 800GB เพื่อรองรับงาน AI ที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก
    - ทำให้ สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techradar.com/pro/dells-super-powered-new-mobile-workstation-has-one-crucial-feature-which-sets-it-apart-from-all-the-competition
    Dell เปิดตัวแล็ปท็อป AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อม NPU ระดับองค์กร Dell เปิดตัว Dell Pro Max Plus ซึ่งเป็นแล็ปท็อป AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ NPU ระดับองค์กร โดยใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ที่มี 32 AI-cores และหน่วยความจำ 64GB ซึ่งช่วยให้สามารถ ประมวลผลงาน AI ที่มีความเข้มข้นสูงได้แม้ในขณะเดินทาง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Dell Pro Max Plus ✅ Dell Pro Max Plus เป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มี NPU ระดับองค์กร - ใช้ Qualcomm AI 100 PC Inference Card ที่มี 32 AI-cores และ 64GB RAM ✅ สามารถรองรับงาน AI ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ - เหมาะสำหรับ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและวิศวกร AI ✅ มาพร้อมกับ Nvidia GB300 ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 20 petaflops - สามารถ รันและฝึกโมเดลที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้านได้ ✅ Dell เน้นว่าแล็ปท็อป AI กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม - CEO Michael Dell ระบุว่า Windows 10 กำลังจะหมดอายุ และ AI PC จะเป็นอนาคตของการทำงาน ✅ มีหน่วยความจำสูงสุดถึง 800GB เพื่อรองรับงาน AI ที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก - ทำให้ สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techradar.com/pro/dells-super-powered-new-mobile-workstation-has-one-crucial-feature-which-sets-it-apart-from-all-the-competition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • งาน Dell Technologies World 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ณ ลาสเวกัส มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กร ดังนี้:
    1️⃣ Dell AI Factory with NVIDIA 2.0
    - อัปเกรดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวในปี 2024 เป็นโซลูชันที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน AI อันทรงพลังและประหยัดพลังงาน รองรับการประมวลผล AI ในระดับองค์กร
    - รองรับการใช้งาน Large Language Models (LLMs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบน On-Premises ถูกกว่าการใช้ Public Cloud สูงสุดถึง 62%
    - รองรับ GPU สูงสุด 256 ตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge เพื่อประมวลผล AI ขนาดใหญ่
    2️⃣ เซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นใหม่
    - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ รองรับ NVIDIA GPUs เช่น GB10 และ GB300 รวมถึง RTX Pro Enterprise Server Edition สำหรับงาน AI ในระดับองค์กร
    - มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับ AI Factories
    3️⃣ Dell Project Lightning
    - ระบบไฟล์แบบ Parallel ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วย Throughput สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ช่วยเร่งการฝึกอบรม AI และจัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน
    - เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น Recommendation Engines และ Semantic Search
    4️⃣ Dell Data Lakehouse Enhancements
    - ปรับปรุงเพื่อลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์ AI ช่วยให้สร้างและจัดการชุดข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI ได้ง่ายขึ้น รองรับ use cases เช่น การตรวจจับเจตนาของลูกค้า
    5️⃣ พีซี AI รุ่นใหม่
    - เปิดตัวพีซีเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อม Qualcomm AI Accelerator แบบ Discrete เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ Edge
    - Dell Pro Max และ Pro Max Plus รุ่นใหม่ ใช้ชิป Qualcomm แทน NVIDIA เพื่อการประมวลผล AI ที่ Edge อย่างมีประสิทธิภาพ
    6️⃣ Dell Linear Pluggable Optics
    - เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลด Latency และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับ High Performance Computing (HPC) และ AI Fabrics
    7️⃣ Dell AI Security and Resiliency Services
    - บริการด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับ AI คาดว่าจะวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่มิถุนายน 2568
    8️⃣ จอภาพและอุปกรณ์ใหม่
    - จอ Dell UltraSharp 32 4K Thunderbolt Hub Monitor: จอแรกของโลกที่มี IPS Black Contrast Ratio 3000:1 ได้รับคะแนน 5 ดาวด้าน Eye Comfort
    - จอ Dell 32 Plus 4K QD-OLED Monitor: มาพร้อม 3D Spatial Audio และ Dolby Vision
    - Area-51 Desktop และ Laptop (16 และ 18 นิ้ว): ออกแบบใหม่สำหรับเกมเมอร์ ด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงและดีไซน์ Sci-Fi
    9️⃣ Dell NativeEdge AI Updates
    - อัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการ AI ที่ Edge วางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ
    ℹ️ℹ️ หมายเหตุ ℹ️ℹ️
    - งานนี้เน้นหนักไปที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA, AMD, Intel, และ Qualcomm เพื่อเสริมแกร่งโซลูชัน
    - ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในระดับองค์กร แต่ก็มีบางส่วน เช่น จอภาพและพีซี Area-51 ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคและเกมเมอร์
    - ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม สามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ Dell หรือ session recaps จากงาน

    งาน Dell Technologies World 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ณ ลาสเวกัส มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กร ดังนี้: 1️⃣ Dell AI Factory with NVIDIA 2.0 - อัปเกรดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวในปี 2024 เป็นโซลูชันที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน AI อันทรงพลังและประหยัดพลังงาน รองรับการประมวลผล AI ในระดับองค์กร - รองรับการใช้งาน Large Language Models (LLMs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบน On-Premises ถูกกว่าการใช้ Public Cloud สูงสุดถึง 62% - รองรับ GPU สูงสุด 256 ตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge เพื่อประมวลผล AI ขนาดใหญ่ 2️⃣ เซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นใหม่ - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ รองรับ NVIDIA GPUs เช่น GB10 และ GB300 รวมถึง RTX Pro Enterprise Server Edition สำหรับงาน AI ในระดับองค์กร - มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับ AI Factories 3️⃣ Dell Project Lightning - ระบบไฟล์แบบ Parallel ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วย Throughput สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ช่วยเร่งการฝึกอบรม AI และจัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน - เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น Recommendation Engines และ Semantic Search 4️⃣ Dell Data Lakehouse Enhancements - ปรับปรุงเพื่อลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์ AI ช่วยให้สร้างและจัดการชุดข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI ได้ง่ายขึ้น รองรับ use cases เช่น การตรวจจับเจตนาของลูกค้า 5️⃣ พีซี AI รุ่นใหม่ - เปิดตัวพีซีเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อม Qualcomm AI Accelerator แบบ Discrete เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ Edge - Dell Pro Max และ Pro Max Plus รุ่นใหม่ ใช้ชิป Qualcomm แทน NVIDIA เพื่อการประมวลผล AI ที่ Edge อย่างมีประสิทธิภาพ 6️⃣ Dell Linear Pluggable Optics - เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลด Latency และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับ High Performance Computing (HPC) และ AI Fabrics 7️⃣ Dell AI Security and Resiliency Services - บริการด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับ AI คาดว่าจะวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่มิถุนายน 2568 8️⃣ จอภาพและอุปกรณ์ใหม่ - จอ Dell UltraSharp 32 4K Thunderbolt Hub Monitor: จอแรกของโลกที่มี IPS Black Contrast Ratio 3000:1 ได้รับคะแนน 5 ดาวด้าน Eye Comfort - จอ Dell 32 Plus 4K QD-OLED Monitor: มาพร้อม 3D Spatial Audio และ Dolby Vision - Area-51 Desktop และ Laptop (16 และ 18 นิ้ว): ออกแบบใหม่สำหรับเกมเมอร์ ด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงและดีไซน์ Sci-Fi 9️⃣ Dell NativeEdge AI Updates - อัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการ AI ที่ Edge วางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ ℹ️ℹ️ หมายเหตุ ℹ️ℹ️ - งานนี้เน้นหนักไปที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA, AMD, Intel, และ Qualcomm เพื่อเสริมแกร่งโซลูชัน - ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในระดับองค์กร แต่ก็มีบางส่วน เช่น จอภาพและพีซี Area-51 ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคและเกมเมอร์ - ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม สามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ Dell หรือ session recaps จากงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปงาน Microsoft Build 2025 (จัดขึ้นวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองซีแอตเทิล) นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่เน้น AI และระบบ Agentic โดยมีไฮไลต์ดังนี้:
    1️⃣ Microsoft 365 Copilot และ Copilot Studio:
    - Copilot Tuning: ปรับแต่ง AI ให้ทำงานตามสไตล์และรูปแบบขององค์กร เช่น สร้างเอกสาร สรุปเนื้อหา หรือตอบคำถามเฉพาะด้าน
    - Multi-Agent Orchestration: รองรับการทำงานร่วมกันของ AI Agent หลายตัว ผสานทักษะเฉพาะเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น (อยู่ในช่วง Preview)
    - Agent Store: แพลตฟอร์มสำหรับสร้างและเผยแพร่ AI Agent สำหรับ Microsoft 365 Copilot
    - ฟีเจอร์ใหม่ใน Outlook: สรุปอีเมลอัตโนมัติ, แปลงข้อความเป็นงาน, เสนอการตอบกลับตามบริบท, และแนะนำเวลานัดประชุม
    - Copilot Notebooks: เปลี่ยนข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการทันที (ใช้งานทั่วไปแล้ว)
    - Copilot Search และ Memory: เริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน 2568
    - ฟีเจอร์ใน Loop และ OneNote: สรุป AI, Checklist แบบไดนามิก, และการติดแท็กตามบริบท
    2️⃣ Microsoft Edge:
    - AI APIs และ Copilot Chat: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและการแปลเอกสาร PDF
    - Web Filtering: ฟรีสำหรับองค์กร ช่วยบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม เหมาะสำหรับการศึกษาและหน่วยงาน
    - กลายเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ผสาน AI และความปลอดภัย
    3️⃣ Azure AI และโครงสร้างพื้นฐาน:
    - Azure AI Foundry: แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา AI Agent และแอปพลิเคชันแบบ end-to-end
    - Agentic DevOps: ช่วยนักพัฒนาสร้างระบบอัตโนมัติด้วย AI-native workflows
    - Microsoft Discovery: แพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ Agent AI เพื่อยกระดับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
    4️⃣ Power Platform:
    - Power Apps และ Power Pages: รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent อย่างชาญฉลาด
    - Dynamics 365: ปรับปรุงด้วย AI เพื่อยกระดับแอปพลิเคชันธุรกิจ
    - SDK ตัวเชื่อมต่อ: ช่วยพัฒนาตัวเชื่อมต่อ Power Platform ที่เร็วขึ้นและรองรับข้อมูลที่มีโครงสร้าง
    5️⃣ GitHub และ Coding Agent:
    - Coding Agent: ตัวช่วยเขียนโค้ดสำหรับนักพัฒนา ใช้ AI ในการเขียน, แก้ไข, และบำรุงรักษาโค้ด
    - GitHub Copilot: ใช้งานโดยนักพัฒนากว่า 15 ล้านคน ช่วยเขียนโค้ดและเพิ่มประสิทธิภาพ
    6️⃣ Microsoft Defender:
    - อัปเดตฟีเจอร์ป้องกันมัลแวร์, การป้องกันเว็บ, และแจ้งเตือนความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ รองรับ iOS, Android, Windows, และ Mac (ต้องสมัครสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family)
    7️⃣ Windows และ Notepad:
    - AI Write ใน Notepad: ฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Windows Insiders ช่วยเขียนและปรับปรุงข้อความด้วย AI
    - Windows ถูกพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับนักพัฒนาในยุค AI
    8️⃣ Office 2024:
    - เวอร์ชันซื้อขาด (LTSC) เน้นการใช้งานแบบออฟไลน์ ไม่มีฟีเจอร์ AI เช่น Copilot มีการอัปเดตความปลอดภัย 5 ปี
    - ฟีเจอร์ใหม่: รองรับ OpenDocument Format 1.4, ฟังก์ชันข้อความและอาร์เรย์ใหม่ใน Excel, การกู้คืนเซสชันใน Word, และการออกแบบ Fluent Design

    ℹ️ℹ️ สรุป: Microsoft Build 2025 เน้นการพัฒนา AI Agent, การผสาน AI เข้ากับทุกแพลตฟอร์ม (Microsoft 365, Azure, Edge, Power Platform, GitHub) และการสร้างระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดเพื่อยกระดับทั้งนักพัฒนาและองค์กร
    สรุปงาน Microsoft Build 2025 (จัดขึ้นวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองซีแอตเทิล) นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่เน้น AI และระบบ Agentic โดยมีไฮไลต์ดังนี้: 1️⃣ Microsoft 365 Copilot และ Copilot Studio: - Copilot Tuning: ปรับแต่ง AI ให้ทำงานตามสไตล์และรูปแบบขององค์กร เช่น สร้างเอกสาร สรุปเนื้อหา หรือตอบคำถามเฉพาะด้าน - Multi-Agent Orchestration: รองรับการทำงานร่วมกันของ AI Agent หลายตัว ผสานทักษะเฉพาะเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น (อยู่ในช่วง Preview) - Agent Store: แพลตฟอร์มสำหรับสร้างและเผยแพร่ AI Agent สำหรับ Microsoft 365 Copilot - ฟีเจอร์ใหม่ใน Outlook: สรุปอีเมลอัตโนมัติ, แปลงข้อความเป็นงาน, เสนอการตอบกลับตามบริบท, และแนะนำเวลานัดประชุม - Copilot Notebooks: เปลี่ยนข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการทันที (ใช้งานทั่วไปแล้ว) - Copilot Search และ Memory: เริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน 2568 - ฟีเจอร์ใน Loop และ OneNote: สรุป AI, Checklist แบบไดนามิก, และการติดแท็กตามบริบท 2️⃣ Microsoft Edge: - AI APIs และ Copilot Chat: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและการแปลเอกสาร PDF - Web Filtering: ฟรีสำหรับองค์กร ช่วยบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม เหมาะสำหรับการศึกษาและหน่วยงาน - กลายเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ผสาน AI และความปลอดภัย 3️⃣ Azure AI และโครงสร้างพื้นฐาน: - Azure AI Foundry: แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา AI Agent และแอปพลิเคชันแบบ end-to-end - Agentic DevOps: ช่วยนักพัฒนาสร้างระบบอัตโนมัติด้วย AI-native workflows - Microsoft Discovery: แพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ Agent AI เพื่อยกระดับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 4️⃣ Power Platform: - Power Apps และ Power Pages: รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent อย่างชาญฉลาด - Dynamics 365: ปรับปรุงด้วย AI เพื่อยกระดับแอปพลิเคชันธุรกิจ - SDK ตัวเชื่อมต่อ: ช่วยพัฒนาตัวเชื่อมต่อ Power Platform ที่เร็วขึ้นและรองรับข้อมูลที่มีโครงสร้าง 5️⃣ GitHub และ Coding Agent: - Coding Agent: ตัวช่วยเขียนโค้ดสำหรับนักพัฒนา ใช้ AI ในการเขียน, แก้ไข, และบำรุงรักษาโค้ด - GitHub Copilot: ใช้งานโดยนักพัฒนากว่า 15 ล้านคน ช่วยเขียนโค้ดและเพิ่มประสิทธิภาพ 6️⃣ Microsoft Defender: - อัปเดตฟีเจอร์ป้องกันมัลแวร์, การป้องกันเว็บ, และแจ้งเตือนความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ รองรับ iOS, Android, Windows, และ Mac (ต้องสมัครสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family) 7️⃣ Windows และ Notepad: - AI Write ใน Notepad: ฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Windows Insiders ช่วยเขียนและปรับปรุงข้อความด้วย AI - Windows ถูกพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับนักพัฒนาในยุค AI 8️⃣ Office 2024: - เวอร์ชันซื้อขาด (LTSC) เน้นการใช้งานแบบออฟไลน์ ไม่มีฟีเจอร์ AI เช่น Copilot มีการอัปเดตความปลอดภัย 5 ปี - ฟีเจอร์ใหม่: รองรับ OpenDocument Format 1.4, ฟังก์ชันข้อความและอาร์เรย์ใหม่ใน Excel, การกู้คืนเซสชันใน Word, และการออกแบบ Fluent Design ℹ️ℹ️ สรุป: Microsoft Build 2025 เน้นการพัฒนา AI Agent, การผสาน AI เข้ากับทุกแพลตฟอร์ม (Microsoft 365, Azure, Edge, Power Platform, GitHub) และการสร้างระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดเพื่อยกระดับทั้งนักพัฒนาและองค์กร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะสหรัฐกดดันอิหร่านและทั่วโลกไม่ให้มีนิวเคลียร์ แต่กระทรวงพลังงานสหรัฐเพิ่งประกาศข่าวดี สามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 รุ่นใหม่สำเร็จแล้ว

    กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า Pantex ซึ่งเป็นโรงงานถอดประกอบอาวุธนิวเคลียร์แห่งแรกของสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 รุ่นใหม่ครั้งแรกเสร็จสิ้นเร็วกว่ากำหนดประมาณ 1 ปี

    ระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 ได้รับการพัฒนาจากระเบิดนิวเคลียร์ B61-12 รุ่นก่อนหน้า แต่ให้ผลการทำลายที่สูงกว่า จากแหล่งข่าวระบุว่า พลังระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ B61-13 มากกว่าระเบิดที่ฮิโรชิม่าถึง 24 เท่า และยังมีศักยภาพเพิ่มเติมที่สำคัญในการทำลายเป้าหมายที่แข็งแกร่ง เช่น ศูนย์บัญชาการและควบคุมที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน รวมทั้งเป้าหมายที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่

    ระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 ออกแบบมาสำหรับเครื่องบินเจ็ทขั้นสูงและเครื่องบินทิ้งระเบิด B-21 นับเป็นการอัปเกรดครั้งที่หกของซีรีส์ B61 ตั้งแต่ปี 1968

    .

    รายละเอียดข่าว
    https://www.twz.com/air/far-more-powerful-b61-13-guided-nuclear-bomb-variant-joins-u-s-stockpile

    วิดีโอ1
    https://www.youtube.com/watch?v=tpN73mm6_RY
    ในขณะสหรัฐกดดันอิหร่านและทั่วโลกไม่ให้มีนิวเคลียร์ แต่กระทรวงพลังงานสหรัฐเพิ่งประกาศข่าวดี สามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 รุ่นใหม่สำเร็จแล้ว กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า Pantex ซึ่งเป็นโรงงานถอดประกอบอาวุธนิวเคลียร์แห่งแรกของสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 รุ่นใหม่ครั้งแรกเสร็จสิ้นเร็วกว่ากำหนดประมาณ 1 ปี ระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 ได้รับการพัฒนาจากระเบิดนิวเคลียร์ B61-12 รุ่นก่อนหน้า แต่ให้ผลการทำลายที่สูงกว่า จากแหล่งข่าวระบุว่า พลังระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ B61-13 มากกว่าระเบิดที่ฮิโรชิม่าถึง 24 เท่า และยังมีศักยภาพเพิ่มเติมที่สำคัญในการทำลายเป้าหมายที่แข็งแกร่ง เช่น ศูนย์บัญชาการและควบคุมที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน รวมทั้งเป้าหมายที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่ ระเบิดนิวเคลียร์ B61-13 ออกแบบมาสำหรับเครื่องบินเจ็ทขั้นสูงและเครื่องบินทิ้งระเบิด B-21 นับเป็นการอัปเกรดครั้งที่หกของซีรีส์ B61 ตั้งแต่ปี 1968 . รายละเอียดข่าว https://www.twz.com/air/far-more-powerful-b61-13-guided-nuclear-bomb-variant-joins-u-s-stockpile วิดีโอ1 https://www.youtube.com/watch?v=tpN73mm6_RY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • Acer เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่ง Predator และ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025

    Acer เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มแล็ปท็อปเกมมิ่งและ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025 โดยมี Predator Triton 14 AI และ Helios 18 AI เป็นไฮไลท์สำคัญ พร้อมด้วย Swift Edge, Swift Go, Swift X และ Aspire AI ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานและความคิดสร้างสรรค์

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Acer
    ✅ Predator Triton 14 AI เป็นแล็ปท็อปเกมมิ่งน้ำหนักเบาเพียง 1.6 กก.
    - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V และ GeForce RTX 5070 Laptop GPU
    - มีระบบระบายความร้อน Dual AeroBlade 3D รุ่นที่ 6 และวัสดุกราฟีน
    - หน้าจอ OLED WQXGA+ 120Hz รองรับ 100% DCI-P3

    ✅ Predator Helios 18 AI มาพร้อมจอ Mini LED 4K ขนาด 18 นิ้ว
    - ใช้ Intel Core Ultra 9 275HX และ GeForce RTX 5090 Laptop GPU
    - มี MagKey 4.0 สวิตช์กลไกแบบถอดเปลี่ยนได้

    ✅ Swift Edge 14 AI เป็นแล็ปท็อปน้ำหนักเบาเพียง 0.99 กก.
    - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V พร้อม Intel Arc GPU
    - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 21 ชั่วโมง

    ✅ Swift X 14 AI มีสองรุ่น: AMD Ryzen AI 9 365 และ Intel Core Ultra 9 285H
    - ใช้ GeForce RTX 5070 Laptop GPU สถาปัตยกรรม Blackwell

    ✅ Swift Go 16 AI และ Swift Go 14 AI เป็น Copilot+ PC สำหรับงาน Productivity
    - ใช้ Intel Core Ultra 7 258V พร้อม Intel Arc GPU และ NPU
    - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 16 ชั่วโมง

    ✅ Aspire 14 AI และ Aspire 16 AI เป็นรุ่นราคาประหยัดในกลุ่ม Copilot+ PC
    - Aspire 14 AI ใช้ AMD Ryzen AI 7 350
    - Aspire 16 AI ใช้ Snapdragon X พร้อม Qualcomm Oryon CPU และ Adreno GPU

    https://www.techpowerup.com/337283/acer-showcases-predator-gaming-laptops-swift-and-aspire-copilot-pcs-at-computex-2025
    Acer เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่ง Predator และ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025 Acer เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มแล็ปท็อปเกมมิ่งและ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025 โดยมี Predator Triton 14 AI และ Helios 18 AI เป็นไฮไลท์สำคัญ พร้อมด้วย Swift Edge, Swift Go, Swift X และ Aspire AI ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Acer ✅ Predator Triton 14 AI เป็นแล็ปท็อปเกมมิ่งน้ำหนักเบาเพียง 1.6 กก. - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V และ GeForce RTX 5070 Laptop GPU - มีระบบระบายความร้อน Dual AeroBlade 3D รุ่นที่ 6 และวัสดุกราฟีน - หน้าจอ OLED WQXGA+ 120Hz รองรับ 100% DCI-P3 ✅ Predator Helios 18 AI มาพร้อมจอ Mini LED 4K ขนาด 18 นิ้ว - ใช้ Intel Core Ultra 9 275HX และ GeForce RTX 5090 Laptop GPU - มี MagKey 4.0 สวิตช์กลไกแบบถอดเปลี่ยนได้ ✅ Swift Edge 14 AI เป็นแล็ปท็อปน้ำหนักเบาเพียง 0.99 กก. - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V พร้อม Intel Arc GPU - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 21 ชั่วโมง ✅ Swift X 14 AI มีสองรุ่น: AMD Ryzen AI 9 365 และ Intel Core Ultra 9 285H - ใช้ GeForce RTX 5070 Laptop GPU สถาปัตยกรรม Blackwell ✅ Swift Go 16 AI และ Swift Go 14 AI เป็น Copilot+ PC สำหรับงาน Productivity - ใช้ Intel Core Ultra 7 258V พร้อม Intel Arc GPU และ NPU - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 16 ชั่วโมง ✅ Aspire 14 AI และ Aspire 16 AI เป็นรุ่นราคาประหยัดในกลุ่ม Copilot+ PC - Aspire 14 AI ใช้ AMD Ryzen AI 7 350 - Aspire 16 AI ใช้ Snapdragon X พร้อม Qualcomm Oryon CPU และ Adreno GPU https://www.techpowerup.com/337283/acer-showcases-predator-gaming-laptops-swift-and-aspire-copilot-pcs-at-computex-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Acer Showcases Predator Gaming Laptops, Swift and Aspire Copilot+ PCs at Computex 2025
    In Acer's booth at Computex 2025 we've encountered their updated lineup of gaming laptops from the Predator series as well as an extensive range from the newly announced Swift Edge, Swift Go, Swift X and Aspire Copilot+ PCs. The new Predator Triton 14 AI is a lightweight 14.5-inch gaming laptop weig...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts