• ติดตั้ง Smart TV ใหม่ต้องมี! 5 แอปฟรีที่ช่วยปลดล็อกความสามารถของทีวีให้คุ้มค่าสุดๆ

    บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 แอปฟรีที่ควรติดตั้งทันทีเมื่อซื้อ Smart TV ใหม่ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานให้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์ ดูวิดีโอ เล่นอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple — โดยทั้งหมดนี้สามารถติดตั้งได้ผ่าน Google Play Store สำหรับ Android TV หรือ Google TV

    แอปแนะนำสำหรับ Smart TV ใหม่
    LocalSend – แชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้สาย
    ส่งภาพยนตร์, รูปภาพ, หรือไฟล์งานจากมือถือไปยังทีวีผ่าน Wi-Fi
    รองรับหลายแพลตฟอร์ม ใช้งานง่าย และ UI เป็นมิตร
    ไม่รองรับ Tizen OS, Roku OS หรือ WebOS

    NOVA Video Player – เล่นวิดีโอทุกประเภทได้ลื่นไหล
    ทางเลือกที่ดีกว่า VLC สำหรับ Smart TV โดยเฉพาะ
    โหลดไฟล์จาก SSD ได้เร็วกว่า VLC และไม่กระตุก
    มี Night Mode และ Audio Boost เพิ่มความสะดวกในการรับชม

    Browser – ท่องเว็บบนทีวีได้สะดวกขึ้น
    มี ad blocker, cookie blocker และ redirect blocker ในตัว
    รองรับการควบคุมผ่านรีโมท พร้อมโหมดมืดและ incognito
    มีแอปควบคุมเฉพาะที่สแกนผ่าน QR code ได้

    File Manager+ – จัดการไฟล์ในทีวีอย่างมืออาชีพ
    เหมาะสำหรับคนที่ sideload แอปหรือมีไฟล์จำนวนมาก
    รองรับการเปิด, คัดลอก, ลบ, บีบอัด และเชื่อมต่อ cloud storage
    มี video player ในตัว และ UI เรียบง่าย

    AirScreen – แชร์หน้าจอจาก iPhone/Mac ไปยังทีวี
    รองรับ AirPlay, Google Cast, Miracast และ DLNA
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ Apple ที่ทีวีไม่รองรับ AirPlay โดยตรง
    ใช้งานง่าย ภาพลื่น ไม่มีสะดุด

    https://www.slashgear.com/2009507/free-apps-you-should-install-on-new-smart-tv/
    📺 ติดตั้ง Smart TV ใหม่ต้องมี! 5 แอปฟรีที่ช่วยปลดล็อกความสามารถของทีวีให้คุ้มค่าสุดๆ บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 แอปฟรีที่ควรติดตั้งทันทีเมื่อซื้อ Smart TV ใหม่ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานให้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์ ดูวิดีโอ เล่นอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple — โดยทั้งหมดนี้สามารถติดตั้งได้ผ่าน Google Play Store สำหรับ Android TV หรือ Google TV 🍎 แอปแนะนำสำหรับ Smart TV ใหม่ ✅ LocalSend – แชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้สาย ➡️ ส่งภาพยนตร์, รูปภาพ, หรือไฟล์งานจากมือถือไปยังทีวีผ่าน Wi-Fi ➡️ รองรับหลายแพลตฟอร์ม ใช้งานง่าย และ UI เป็นมิตร ➡️ ไม่รองรับ Tizen OS, Roku OS หรือ WebOS ✅ NOVA Video Player – เล่นวิดีโอทุกประเภทได้ลื่นไหล ➡️ ทางเลือกที่ดีกว่า VLC สำหรับ Smart TV โดยเฉพาะ ➡️ โหลดไฟล์จาก SSD ได้เร็วกว่า VLC และไม่กระตุก ➡️ มี Night Mode และ Audio Boost เพิ่มความสะดวกในการรับชม ✅ Browser – ท่องเว็บบนทีวีได้สะดวกขึ้น ➡️ มี ad blocker, cookie blocker และ redirect blocker ในตัว ➡️ รองรับการควบคุมผ่านรีโมท พร้อมโหมดมืดและ incognito ➡️ มีแอปควบคุมเฉพาะที่สแกนผ่าน QR code ได้ ✅ File Manager+ – จัดการไฟล์ในทีวีอย่างมืออาชีพ ➡️ เหมาะสำหรับคนที่ sideload แอปหรือมีไฟล์จำนวนมาก ➡️ รองรับการเปิด, คัดลอก, ลบ, บีบอัด และเชื่อมต่อ cloud storage ➡️ มี video player ในตัว และ UI เรียบง่าย ✅ AirScreen – แชร์หน้าจอจาก iPhone/Mac ไปยังทีวี ➡️ รองรับ AirPlay, Google Cast, Miracast และ DLNA ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ Apple ที่ทีวีไม่รองรับ AirPlay โดยตรง ➡️ ใช้งานง่าย ภาพลื่น ไม่มีสะดุด https://www.slashgear.com/2009507/free-apps-you-should-install-on-new-smart-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install ASAP On A New Smart TV - SlashGear
    Long gone are the days of the UHF antenna and even the cable plug-in. Smart TVs bring the content directly and on demand thanks to a variety of apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google แนะนำแนวทาง “Functional Core, Imperative Shell” เพื่อเขียนโค้ดให้สะอาด ทดสอบง่าย และปรับขยายได้

    บทความจาก Google Testing Blog เสนอแนวคิดการแยกโค้ดออกเป็นสองส่วน: Functional Core ที่เป็นฟังก์ชันบริสุทธิ์ (pure functions) และ Imperative Shell ที่จัดการ side effects เช่น I/O, database, หรือ network — เพื่อให้โค้ดมีความสามารถในการทดสอบและดูแลรักษาได้ดีขึ้น.

    แนวคิดหลักจากบทความ

    Functional Core คือส่วนที่ไม่มี side effects
    ประกอบด้วยฟังก์ชันที่รับข้อมูลเข้าและคืนผลลัพธ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก
    สามารถทดสอบได้ง่ายและนำกลับมาใช้ซ้ำได้

    Imperative Shell คือส่วนที่จัดการกับโลกภายนอก
    เช่น การส่งอีเมล, อ่านข้อมูลจาก database, หรือเขียนไฟล์
    ใช้ผลลัพธ์จาก Functional Core เพื่อดำเนินการจริง

    ตัวอย่างจากบทความ: การส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้หมดอายุ
    โค้ดเดิมผสม logic กับ side effects ทำให้ทดสอบยาก
    โค้ดใหม่แยก logic ออกมาเป็นฟังก์ชัน getExpiredUsers() และ generateExpiryEmails()
    Shell ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อส่งอีเมลจริงผ่าน email.bulkSend(...)

    ข้อดีของแนวทางนี้
    ทดสอบง่าย: ไม่ต้อง mock database หรือ network
    ปรับขยายง่าย: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่โดยเขียนฟังก์ชันใหม่ใน core
    ดูแลรักษาง่าย

    ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ

    ก่อน (ผสม logic กับ side effects):

    function sendUserExpiryEmail() {
    for (const user of db.getUsers()) {
    if (user.subscriptionEndDate > Date.now()) continue;
    if (user.isFreeTrial) continue;
    email.send(user.email, "Your account has expired " + user.name + ".");
    }
    }

    หลัง (แยก core และ shell):

    function getExpiredUsers(users, cutoff) {
    return users.filter(user => user.subscriptionEndDate <= cutoff && !user.isFreeTrial);
    }

    function generateExpiryEmails(users) {
    return users.map(user => [user.email, "Your account has expired " + user.name + "."]);
    }

    email.bulkSend(generateExpiryEmails(getExpiredUsers(db.getUsers(), Date.now())));

    การใช้แนวทาง Functional Core, Imperative Shell ช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและยืดหยุ่น — เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการลดความซับซ้อนและเพิ่มคุณภาพในการทดสอบและดูแลระบบในระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากแนวทาง functional programming
    แนวคิดนี้คล้ายกับ “Hexagonal Architecture” หรือ “Clean Architecture” ที่แยก domain logic ออกจาก infrastructure
    ภาษา functional เช่น Haskell, F#, หรือ Elm ใช้แนวทางนี้เป็นหลัก
    ใน JavaScript/TypeScript ก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยใช้ pure functions ร่วมกับ async shell
    ช่วยลดการใช้ mock ใน unit test เพราะ core ไม่ต้องพึ่ง database หรือ network

    https://testing.googleblog.com/2025/10/simplify-your-code-functional-core.html
    🧼🧠 Google แนะนำแนวทาง “Functional Core, Imperative Shell” เพื่อเขียนโค้ดให้สะอาด ทดสอบง่าย และปรับขยายได้ บทความจาก Google Testing Blog เสนอแนวคิดการแยกโค้ดออกเป็นสองส่วน: Functional Core ที่เป็นฟังก์ชันบริสุทธิ์ (pure functions) และ Imperative Shell ที่จัดการ side effects เช่น I/O, database, หรือ network — เพื่อให้โค้ดมีความสามารถในการทดสอบและดูแลรักษาได้ดีขึ้น. ✅ แนวคิดหลักจากบทความ ✅ Functional Core คือส่วนที่ไม่มี side effects ➡️ ประกอบด้วยฟังก์ชันที่รับข้อมูลเข้าและคืนผลลัพธ์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสถานะภายนอก ➡️ สามารถทดสอบได้ง่ายและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ✅ Imperative Shell คือส่วนที่จัดการกับโลกภายนอก ➡️ เช่น การส่งอีเมล, อ่านข้อมูลจาก database, หรือเขียนไฟล์ ➡️ ใช้ผลลัพธ์จาก Functional Core เพื่อดำเนินการจริง ✅ ตัวอย่างจากบทความ: การส่งอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้หมดอายุ ➡️ โค้ดเดิมผสม logic กับ side effects ทำให้ทดสอบยาก ➡️ โค้ดใหม่แยก logic ออกมาเป็นฟังก์ชัน getExpiredUsers() และ generateExpiryEmails() ➡️ Shell ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพื่อส่งอีเมลจริงผ่าน email.bulkSend(...) ✅ ข้อดีของแนวทางนี้ ➡️ ทดสอบง่าย: ไม่ต้อง mock database หรือ network ➡️ ปรับขยายง่าย: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่โดยเขียนฟังก์ชันใหม่ใน core ➡️ ดูแลรักษาง่าย 🛠️ ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ 🔖 ก่อน (ผสม logic กับ side effects): function sendUserExpiryEmail() { for (const user of db.getUsers()) { if (user.subscriptionEndDate > Date.now()) continue; if (user.isFreeTrial) continue; email.send(user.email, "Your account has expired " + user.name + "."); } } 🔖 หลัง (แยก core และ shell): function getExpiredUsers(users, cutoff) { return users.filter(user => user.subscriptionEndDate <= cutoff && !user.isFreeTrial); } function generateExpiryEmails(users) { return users.map(user => [user.email, "Your account has expired " + user.name + "."]); } email.bulkSend(generateExpiryEmails(getExpiredUsers(db.getUsers(), Date.now()))); การใช้แนวทาง Functional Core, Imperative Shell ช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่ชัดเจนและยืดหยุ่น — เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการลดความซับซ้อนและเพิ่มคุณภาพในการทดสอบและดูแลระบบในระยะยาว ✅ สาระเพิ่มเติมจากแนวทาง functional programming ➡️ แนวคิดนี้คล้ายกับ “Hexagonal Architecture” หรือ “Clean Architecture” ที่แยก domain logic ออกจาก infrastructure ➡️ ภาษา functional เช่น Haskell, F#, หรือ Elm ใช้แนวทางนี้เป็นหลัก ➡️ ใน JavaScript/TypeScript ก็สามารถนำไปใช้ได้ โดยใช้ pure functions ร่วมกับ async shell ➡️ ช่วยลดการใช้ mock ใน unit test เพราะ core ไม่ต้องพึ่ง database หรือ network https://testing.googleblog.com/2025/10/simplify-your-code-functional-core.html
    TESTING.GOOGLEBLOG.COM
    Simplify Your Code: Functional Core, Imperative Shell
    This article was adapted from a Google Tech on the Toilet (TotT) episode. You can download a printer-friendly version of this TotT epis...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVE-2025-61481 ใน MikroTik เปิดทางขโมยรหัสผ่านผู้ดูแลผ่าน WebFig ที่ไม่เข้ารหัส — คะแนนร้ายแรงระดับ 10 เต็ม

    ช่องโหว่ใหม่ใน MikroTik RouterOS และ SwitchOS เปิดเผยว่าหน้า WebFig ซึ่งใช้จัดการอุปกรณ์จะทำงานผ่าน HTTP แบบไม่เข้ารหัสโดยค่าเริ่มต้น ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านผู้ดูแลระบบได้ง่าย ๆ หากอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนก่อน

    ข้อมูลสำคัญจากช่องโหว่ CVE-2025-61481
    กระทบ MikroTik RouterOS v7.14.2 และ SwitchOS v2.18
    WebFig เปิดใช้งานผ่าน HTTP โดยไม่มีการ redirect ไป HTTPS
    หลัง factory reset หน้า login และ JavaScript ทั้งหมดโหลดผ่าน HTTP

    ข้อมูลรับรองถูกส่งแบบ cleartext ผ่าน port 80
    JavaScript ฝั่ง client เก็บรหัสผ่านไว้ใน window.sessionStorage
    Packet capture ยืนยันว่า traffic และ credentials ถูกส่งแบบไม่เข้ารหัส

    ผู้โจมตีสามารถดักจับและแก้ไขข้อมูลได้ทันที
    แค่เชื่อมต่ออยู่ใน LAN หรือ Wi-Fi เดียวกันก็สามารถทำ MitM ได้
    เมื่อได้รหัสผ่านแล้ว สามารถเปลี่ยน routing, firewall หรือฝังสคริปต์ RCE ได้

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบรวมถึงรุ่นยอดนิยม เช่น CRS326-24G-2S+
    มีแนวโน้มว่าอุปกรณ์อื่นที่ใช้ WebFig component เดียวกันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    พบมากใน SMB และ ISP ที่ใช้ WebFig สำหรับตั้งค่าภายใน

    คำแนะนำจากนักวิจัย
    จำกัดการเข้าถึง WebFig เฉพาะ VLAN หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้
    เปิดใช้งาน HTTPS ด้วยตนเองในหน้า config
    ใช้ SSH หรือ VPN แทน WebFig หากเป็นไปได้
    ปิดการเข้าถึง HTTP หากไม่จำเป็น

    https://securityonline.info/critical-mikrotik-flaw-cve-2025-61481-cvss-10-0-exposes-router-admin-credentials-over-unencrypted-http-webfig/
    ⚠️🔓 ช่องโหว่ CVE-2025-61481 ใน MikroTik เปิดทางขโมยรหัสผ่านผู้ดูแลผ่าน WebFig ที่ไม่เข้ารหัส — คะแนนร้ายแรงระดับ 10 เต็ม ช่องโหว่ใหม่ใน MikroTik RouterOS และ SwitchOS เปิดเผยว่าหน้า WebFig ซึ่งใช้จัดการอุปกรณ์จะทำงานผ่าน HTTP แบบไม่เข้ารหัสโดยค่าเริ่มต้น ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับรหัสผ่านผู้ดูแลระบบได้ง่าย ๆ หากอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนก่อน ✅ ข้อมูลสำคัญจากช่องโหว่ CVE-2025-61481 ✅ กระทบ MikroTik RouterOS v7.14.2 และ SwitchOS v2.18 ➡️ WebFig เปิดใช้งานผ่าน HTTP โดยไม่มีการ redirect ไป HTTPS ➡️ หลัง factory reset หน้า login และ JavaScript ทั้งหมดโหลดผ่าน HTTP ✅ ข้อมูลรับรองถูกส่งแบบ cleartext ผ่าน port 80 ➡️ JavaScript ฝั่ง client เก็บรหัสผ่านไว้ใน window.sessionStorage ➡️ Packet capture ยืนยันว่า traffic และ credentials ถูกส่งแบบไม่เข้ารหัส ✅ ผู้โจมตีสามารถดักจับและแก้ไขข้อมูลได้ทันที ➡️ แค่เชื่อมต่ออยู่ใน LAN หรือ Wi-Fi เดียวกันก็สามารถทำ MitM ได้ ➡️ เมื่อได้รหัสผ่านแล้ว สามารถเปลี่ยน routing, firewall หรือฝังสคริปต์ RCE ได้ ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบรวมถึงรุ่นยอดนิยม เช่น CRS326-24G-2S+ ➡️ มีแนวโน้มว่าอุปกรณ์อื่นที่ใช้ WebFig component เดียวกันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ พบมากใน SMB และ ISP ที่ใช้ WebFig สำหรับตั้งค่าภายใน ✅ คำแนะนำจากนักวิจัย ➡️ จำกัดการเข้าถึง WebFig เฉพาะ VLAN หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้ ➡️ เปิดใช้งาน HTTPS ด้วยตนเองในหน้า config ➡️ ใช้ SSH หรือ VPN แทน WebFig หากเป็นไปได้ ➡️ ปิดการเข้าถึง HTTP หากไม่จำเป็น https://securityonline.info/critical-mikrotik-flaw-cve-2025-61481-cvss-10-0-exposes-router-admin-credentials-over-unencrypted-http-webfig/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical MikroTik Flaw (CVE-2025-61481, CVSS 10.0) Exposes Router Admin Credentials Over Unencrypted HTTP WebFig
    A Critical (CVSS 10.0) flaw (CVE-2025-61481) in MikroTik RouterOS/SwOS exposes the WebFig management interface over unencrypted HTTP by default, allowing remote credential theft via MitM.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon เตรียมปลดพนักงาน 30,000 คน — หนึ่งในเก้าของพนักงานสายองค์กร

    Amazon กำลังเตรียมการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนพนักงานสายองค์กรถึง 30,000 คน หรือประมาณ “หนึ่งในเก้า” จากจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ที่ราว 350,000 คน ไม่รวมพนักงานคลังสินค้า

    การปลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์, การชำระเงิน, เกม และ AWS

    จำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ
    ประมาณ 30,000 คนจากสายงานองค์กรทั่วโลก
    คิดเป็น 11.4% ของพนักงานองค์กรทั้งหมด

    สาเหตุหลักของการปลดพนักงาน
    ลดต้นทุนหลังจากการขยายตัวเกินจำเป็นช่วงโควิด
    ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับยุคหลังการระบาด
    เน้นลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะใน AWS

    แผนการแจ้งปลดพนักงาน
    จะเริ่มส่งอีเมลแจ้งพนักงานในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น
    บรรยากาศในสำนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่มีทีมใดที่ปลอดภัยจากการปลด

    แนวโน้มการจ้างงานของ Amazon
    หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2017–2022 ตอนนี้บริษัทกลับมาใช้แนวทางจ้างงานแบบระมัดระวัง
    เคยปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2023 เมื่อมีจำนวนพนักงานองค์กรเท่ากัน

    การลงทุนใน AI ที่สวนทางกับการปลดพนักงาน
    งบลงทุนเพิ่มจาก $83 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $100 พันล้านในปี 2025
    ส่วนใหญ่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใน AWS

    ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและวัฒนธรรมองค์กร
    พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคง แม้จะอยู่ในทีมที่ยังไม่ถูกปลด
    ความไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

    การปลดพนักงานอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท
    แม้จะเป็นการปรับโครงสร้าง แต่จำนวนที่มากอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหา
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้สมัครงานในอนาคต

    https://securityonline.info/one-in-nine-amazon-prepares-for-massive-layoff-of-30000-corporate-staff/
    🏢📉 Amazon เตรียมปลดพนักงาน 30,000 คน — หนึ่งในเก้าของพนักงานสายองค์กร Amazon กำลังเตรียมการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนพนักงานสายองค์กรถึง 30,000 คน หรือประมาณ “หนึ่งในเก้า” จากจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มนี้ ซึ่งอยู่ที่ราว 350,000 คน ไม่รวมพนักงานคลังสินค้า การปลดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์, การชำระเงิน, เกม และ AWS ✅ จำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ประมาณ 30,000 คนจากสายงานองค์กรทั่วโลก ➡️ คิดเป็น 11.4% ของพนักงานองค์กรทั้งหมด ✅ สาเหตุหลักของการปลดพนักงาน ➡️ ลดต้นทุนหลังจากการขยายตัวเกินจำเป็นช่วงโควิด ➡️ ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสมกับยุคหลังการระบาด ➡️ เน้นลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะใน AWS ✅ แผนการแจ้งปลดพนักงาน ➡️ จะเริ่มส่งอีเมลแจ้งพนักงานในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ➡️ บรรยากาศในสำนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่มีทีมใดที่ปลอดภัยจากการปลด ✅ แนวโน้มการจ้างงานของ Amazon ➡️ หลังจากขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2017–2022 ตอนนี้บริษัทกลับมาใช้แนวทางจ้างงานแบบระมัดระวัง ➡️ เคยปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2023 เมื่อมีจำนวนพนักงานองค์กรเท่ากัน ✅ การลงทุนใน AI ที่สวนทางกับการปลดพนักงาน ➡️ งบลงทุนเพิ่มจาก $83 พันล้านในปี 2024 เป็นมากกว่า $100 พันล้านในปี 2025 ➡️ ส่วนใหญ่ใช้พัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใน AWS ‼️ ผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและวัฒนธรรมองค์กร ⛔ พนักงานอาจรู้สึกไม่มั่นคง แม้จะอยู่ในทีมที่ยังไม่ถูกปลด ⛔ ความไม่แน่นอนอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ‼️ การปลดพนักงานอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท ⛔ แม้จะเป็นการปรับโครงสร้าง แต่จำนวนที่มากอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหา ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้สมัครงานในอนาคต https://securityonline.info/one-in-nine-amazon-prepares-for-massive-layoff-of-30000-corporate-staff/
    SECURITYONLINE.INFO
    One in Nine: Amazon Prepares for Massive Layoff of 30,000 Corporate Staff
    Amazon is reportedly planning to cut 30,000 corporate jobs across logistics, payments, and AWS as part of a major post-pandemic cost reduction effort.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • Herodotus: มัลแวร์ Android ยุคใหม่ที่พิมพ์เหมือนมนุษย์ หลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมได้แนบเนียน

    Trojan ตัวใหม่ชื่อว่า Herodotus ถูกค้นพบโดย ThreatFabric ซึ่งเป็นมัลแวร์ Android ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral biometrics) โดยใช้เทคนิค “พิมพ์แบบมนุษย์” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย

    จุดเด่นของ Herodotus ที่ทำให้มันอันตราย

    พฤติกรรมการพิมพ์แบบมนุษย์
    มัลแวร์จะแยกข้อความออกเป็นตัวอักษร แล้วใส่ ดีเลย์แบบสุ่ม ระหว่าง 300–3000 มิลลิวินาที เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใช้จริงกำลังพิมพ์
    เทคนิคนี้ช่วยหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ใช้ความเร็วและจังหวะการพิมพ์เป็นเกณฑ์

    การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล
    ผู้โจมตีสามารถคลิก, ปัดหน้าจอ, พิมพ์ข้อความ และสั่งงานระดับระบบ เช่น “Back” หรือ “Home” ได้
    ใช้ overlay ปลอมที่แสดงข้อความเช่น “กรุณารอสักครู่ ระบบธนาคารกำลังตรวจสอบข้อมูล…” เพื่อหลอกผู้ใช้ขณะโจมตี

    เทคนิคการแพร่กระจายที่แนบเนียน
    ใช้ SMiShing (SMS phishing) และ side-loading เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง dropper
    Dropper จะติดตั้ง payload โดยใช้หน้าจอปลอมที่ดูเหมือนกำลังโหลด เพื่อขอสิทธิ์ Accessibility โดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย

    โครงสร้างมัลแวร์แบบ modular และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มีการใช้โค้ดบางส่วนจาก Brokewell Trojan เช่น string ‘BRKWL_JAVA’
    ผู้พัฒนาใช้ชื่อ “K1R0” และเริ่มเปิดให้เช่าแบบ Malware-as-a-Service แล้ว

    เป้าหมายการโจมตีขยายทั่วโลก
    เริ่มจากอิตาลีและบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมเช่น “Banca Sicura” และ “Modulo Seguranca Stone”
    มี template overlay สำหรับธนาคารในสหรัฐฯ, ตุรกี, อังกฤษ, โปแลนด์ และแพลตฟอร์มคริปโต

    ระบบตรวจจับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
    Herodotus สามารถหลอกระบบที่ใช้ input timing ได้อย่างแนบเนียน
    การพึ่งพา behavioral biometrics เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิด false negative

    การให้สิทธิ์ Accessibility โดยไม่รู้ตัวคือช่องโหว่ใหญ่
    หน้าจอปลอมสามารถหลอกให้ผู้ใช้อนุญาตสิทธิ์ที่อันตราย
    Accessibility Services เปิดทางให้มัลแวร์ควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ

    มัลแวร์แบบเช่า (MaaS) จะทำให้การโจมตีแพร่หลายมากขึ้น
    ผู้โจมตีไม่ต้องมีทักษะสูงก็สามารถใช้ Herodotus ได้
    องค์กรต้องเตรียมระบบตรวจจับที่หลากหลายมากขึ้น เช่น AI-based anomaly detection

    https://securityonline.info/next-gen-android-trojan-herodotus-mimics-human-typing-to-bypass-behavioral-biometrics-anti-fraud-systems/
    📱🧠 Herodotus: มัลแวร์ Android ยุคใหม่ที่พิมพ์เหมือนมนุษย์ หลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมได้แนบเนียน Trojan ตัวใหม่ชื่อว่า Herodotus ถูกค้นพบโดย ThreatFabric ซึ่งเป็นมัลแวร์ Android ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้ (behavioral biometrics) โดยใช้เทคนิค “พิมพ์แบบมนุษย์” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย ✅ จุดเด่นของ Herodotus ที่ทำให้มันอันตราย ✅ พฤติกรรมการพิมพ์แบบมนุษย์ ➡️ มัลแวร์จะแยกข้อความออกเป็นตัวอักษร แล้วใส่ ดีเลย์แบบสุ่ม ระหว่าง 300–3000 มิลลิวินาที เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใช้จริงกำลังพิมพ์ ➡️ เทคนิคนี้ช่วยหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรมที่ใช้ความเร็วและจังหวะการพิมพ์เป็นเกณฑ์ ✅ การควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ➡️ ผู้โจมตีสามารถคลิก, ปัดหน้าจอ, พิมพ์ข้อความ และสั่งงานระดับระบบ เช่น “Back” หรือ “Home” ได้ ➡️ ใช้ overlay ปลอมที่แสดงข้อความเช่น “กรุณารอสักครู่ ระบบธนาคารกำลังตรวจสอบข้อมูล…” เพื่อหลอกผู้ใช้ขณะโจมตี ✅ เทคนิคการแพร่กระจายที่แนบเนียน ➡️ ใช้ SMiShing (SMS phishing) และ side-loading เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง dropper ➡️ Dropper จะติดตั้ง payload โดยใช้หน้าจอปลอมที่ดูเหมือนกำลังโหลด เพื่อขอสิทธิ์ Accessibility โดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย ✅ โครงสร้างมัลแวร์แบบ modular และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มีการใช้โค้ดบางส่วนจาก Brokewell Trojan เช่น string ‘BRKWL_JAVA’ ➡️ ผู้พัฒนาใช้ชื่อ “K1R0” และเริ่มเปิดให้เช่าแบบ Malware-as-a-Service แล้ว ✅ เป้าหมายการโจมตีขยายทั่วโลก ➡️ เริ่มจากอิตาลีและบราซิล โดยใช้ชื่อปลอมเช่น “Banca Sicura” และ “Modulo Seguranca Stone” ➡️ มี template overlay สำหรับธนาคารในสหรัฐฯ, ตุรกี, อังกฤษ, โปแลนด์ และแพลตฟอร์มคริปโต ‼️ ระบบตรวจจับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ⛔ Herodotus สามารถหลอกระบบที่ใช้ input timing ได้อย่างแนบเนียน ⛔ การพึ่งพา behavioral biometrics เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิด false negative ‼️ การให้สิทธิ์ Accessibility โดยไม่รู้ตัวคือช่องโหว่ใหญ่ ⛔ หน้าจอปลอมสามารถหลอกให้ผู้ใช้อนุญาตสิทธิ์ที่อันตราย ⛔ Accessibility Services เปิดทางให้มัลแวร์ควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ ‼️ มัลแวร์แบบเช่า (MaaS) จะทำให้การโจมตีแพร่หลายมากขึ้น ⛔ ผู้โจมตีไม่ต้องมีทักษะสูงก็สามารถใช้ Herodotus ได้ ⛔ องค์กรต้องเตรียมระบบตรวจจับที่หลากหลายมากขึ้น เช่น AI-based anomaly detection https://securityonline.info/next-gen-android-trojan-herodotus-mimics-human-typing-to-bypass-behavioral-biometrics-anti-fraud-systems/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Android Trojan Herodotus Mimics Human Typing to Bypass Behavioral Biometrics Anti-Fraud Systems
    Herodotus is a new Android banking Trojan that evades anti-fraud systems by simulating human input: it inserts randomized typing delays (300-3000ms) during remote-control attacks in Italy and Brazil.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพสหรัฐฯ เผชิญปัญหาใหม่: โดรนมากเกินไปจนเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน

    แม้ว่าโดรนจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามยุคใหม่ ทั้งในอัฟกานิสถาน อิรัก และยูเครน แต่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด — จำนวนโดรนที่มากเกินไป กำลังกลายเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในระดับหมวดและกองร้อย

    ปัญหาหลักที่เกิดจาก “โดรนล้นสนามรบ”
    กองทัพเริ่มแจกจ่ายโดรนให้ใช้ในระดับกองร้อยและหมวด ทำให้ทหารแต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เพิ่มขึ้น
    ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว เช่น ปืน, กระสุน, อาหาร, น้ำ, เสื้อเกราะ — รวมแล้วอาจหนักถึง 75–150+ ปอนด์
    การเพิ่มโดรนเข้าไป เช่น RQ-11 Raven ที่หนักราว 5 ปอนด์ ยังต้องมีอุปกรณ์ควบคุม, หน้าจอรับภาพ, และกระเป๋าใส่อุปกรณ์อีก
    หน่วยทหารบางแห่งไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรน ทำให้การใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    ผู้บังคับหมวดต้องรับภาระเพิ่มในการจัดการโดรน นอกเหนือจากการควบคุมกำลังพลและยุทธวิธี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    โดรนถูกใช้อย่างแพร่หลายในสงครามยุคใหม่ เช่น ISR, สนับสนุนทางอากาศ, ลอบโจมตี
    กองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรนหลายรุ่น เช่น MQ-1 Predator, MQ-9 Reaper, RQ-11 Raven
    การแจกจ่ายโดรนในระดับหมวดและกองร้อยสร้างภาระด้านน้ำหนักและการจัดการ
    ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว การเพิ่มโดรนอาจทำให้เสียสมดุล
    ขาดบุคลากรที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรนในบางหน่วย

    แนวทางแก้ไขที่เสนอ
    ย้ายการใช้งานโดรนจากระดับหมวดไปยังระดับหมู่หรือกองร้อยขึ้นไป
    พัฒนาโดรนขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่เพิ่มภาระมาก
    เพิ่มการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/2005463/us-army-colonel-problem-too-many-drones/
    🛩️⚠️ กองทัพสหรัฐฯ เผชิญปัญหาใหม่: โดรนมากเกินไปจนเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน แม้ว่าโดรนจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามยุคใหม่ ทั้งในอัฟกานิสถาน อิรัก และยูเครน แต่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ที่ไม่คาดคิด — จำนวนโดรนที่มากเกินไป กำลังกลายเป็นภาระต่อทหารภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในระดับหมวดและกองร้อย 📦 ปัญหาหลักที่เกิดจาก “โดรนล้นสนามรบ” 💠 กองทัพเริ่มแจกจ่ายโดรนให้ใช้ในระดับกองร้อยและหมวด ทำให้ทหารแต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 💠 ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว เช่น ปืน, กระสุน, อาหาร, น้ำ, เสื้อเกราะ — รวมแล้วอาจหนักถึง 75–150+ ปอนด์ 💠 การเพิ่มโดรนเข้าไป เช่น RQ-11 Raven ที่หนักราว 5 ปอนด์ ยังต้องมีอุปกรณ์ควบคุม, หน้าจอรับภาพ, และกระเป๋าใส่อุปกรณ์อีก 💠 หน่วยทหารบางแห่งไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรน ทำให้การใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ 💠 ผู้บังคับหมวดต้องรับภาระเพิ่มในการจัดการโดรน นอกเหนือจากการควบคุมกำลังพลและยุทธวิธี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ โดรนถูกใช้อย่างแพร่หลายในสงครามยุคใหม่ เช่น ISR, สนับสนุนทางอากาศ, ลอบโจมตี ➡️ กองทัพสหรัฐฯ ใช้โดรนหลายรุ่น เช่น MQ-1 Predator, MQ-9 Reaper, RQ-11 Raven ➡️ การแจกจ่ายโดรนในระดับหมวดและกองร้อยสร้างภาระด้านน้ำหนักและการจัดการ ➡️ ทหารภาคพื้นดินต้องแบกอุปกรณ์หนักอยู่แล้ว การเพิ่มโดรนอาจทำให้เสียสมดุล ➡️ ขาดบุคลากรที่ผ่านการฝึกใช้งานโดรนในบางหน่วย ✅ แนวทางแก้ไขที่เสนอ ➡️ ย้ายการใช้งานโดรนจากระดับหมวดไปยังระดับหมู่หรือกองร้อยขึ้นไป ➡️ พัฒนาโดรนขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่เพิ่มภาระมาก ➡️ เพิ่มการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/2005463/us-army-colonel-problem-too-many-drones/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The US Army Has A Looming Problem: Too Many Drones - SlashGear
    While drones are undoubtedly helpful, an overabundance of them creates a problem for ground operations., overloading soldiers with extra equipment to carry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม

    Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม

    จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple
    แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2
    นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC
    iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm
    แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค
    C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1
    TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5

    เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่
    โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง
    การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง

    https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    📶🔧 Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม 📱 จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า 💠 โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple 💠 แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2 💠 นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ 💠 C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC ➡️ iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm ➡️ แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค ➡️ C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 ➡️ TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5 ✅ เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ➡️ โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง ➡️ การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Next In-House 5G Modem, The C2, Will Use An Older Manufacturing Process From TSMC Next Year, Unlike The A20 & A20 Pro
    The iPhone 18 series will use A20 and A20 Pro chipsets made on TSMC’s 2nm process, but the C2 5G modem will leverage an older technology
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung Galaxy Tri-Fold โผล่ตัวจริงครั้งแรก! มือถือพับสามทบที่อาจเปลี่ยนอนาคตสมาร์ทโฟน

    Samsung ได้เผยโฉมมือถือพับสามทบรุ่นแรกในงาน K-Tech Showcase ที่เกาหลีใต้ โดยนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในตู้กระจกให้เห็นทั้งตอนพับและกางออก แม้ยังไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริง แต่ภาพที่หลุดออกมาให้เห็นดีไซน์ชัดเจน และอาจเปิดตัวเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนนี้

    รายละเอียดของ Galaxy Tri-Fold
    หน้าจอด้านนอกขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว
    เมื่อกางออกเต็มที่ หน้าจอขยายได้ถึง 10 นิ้ว — ใช้งานได้ทั้งแบบมือถือและแท็บเล็ต
    เป็นการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ของ Samsung หลังจาก Fold และ Flip
    มีภาพเรนเดอร์หลุดจาก @UniverseIce ที่เผยให้เห็นหน้าจอภายในแบบละเอียด
    คาดว่าจะวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียเท่านั้นในช่วงแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung โชว์ Galaxy Tri-Fold ครั้งแรกในงาน K-Tech Showcase
    เครื่องต้นแบบถูกจัดแสดงในตู้กระจก ไม่สามารถสัมผัสได้
    หน้าจอภายนอก 6.5 นิ้ว และขยายได้ถึง 10 นิ้วเมื่อกางออก
    ภาพเรนเดอร์จากแหล่งข่าวหลุดเผยดีไซน์ภายใน
    คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายน
    อาจวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียช่วงแรก

    ความสำคัญของการเปิดตัว
    เป็นมือถือพับสามทบรุ่นแรกของ Samsung
    สะท้อนการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน
    หากได้รับความนิยม อาจมีการอัปเดตรุ่นใหม่ทุกปี

    คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจ
    ยังไม่มีข้อมูลสเปกภายในหรือฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ
    ไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ในงาน
    การวางจำหน่ายอาจจำกัดเฉพาะบางประเทศในช่วงแรก

    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/the-samsung-galaxy-tri-fold-just-got-officially-shown-off
    📱🔺 Samsung Galaxy Tri-Fold โผล่ตัวจริงครั้งแรก! มือถือพับสามทบที่อาจเปลี่ยนอนาคตสมาร์ทโฟน Samsung ได้เผยโฉมมือถือพับสามทบรุ่นแรกในงาน K-Tech Showcase ที่เกาหลีใต้ โดยนำเครื่องต้นแบบมาโชว์ในตู้กระจกให้เห็นทั้งตอนพับและกางออก แม้ยังไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริง แต่ภาพที่หลุดออกมาให้เห็นดีไซน์ชัดเจน และอาจเปิดตัวเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนตุลาคมหรือต้นพฤศจิกายนนี้ 🔍 รายละเอียดของ Galaxy Tri-Fold 💠 หน้าจอด้านนอกขนาดประมาณ 6.5 นิ้ว 💠 เมื่อกางออกเต็มที่ หน้าจอขยายได้ถึง 10 นิ้ว — ใช้งานได้ทั้งแบบมือถือและแท็บเล็ต 💠 เป็นการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ของ Samsung หลังจาก Fold และ Flip 💠 มีภาพเรนเดอร์หลุดจาก @UniverseIce ที่เผยให้เห็นหน้าจอภายในแบบละเอียด 💠 คาดว่าจะวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียเท่านั้นในช่วงแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung โชว์ Galaxy Tri-Fold ครั้งแรกในงาน K-Tech Showcase ➡️ เครื่องต้นแบบถูกจัดแสดงในตู้กระจก ไม่สามารถสัมผัสได้ ➡️ หน้าจอภายนอก 6.5 นิ้ว และขยายได้ถึง 10 นิ้วเมื่อกางออก ➡️ ภาพเรนเดอร์จากแหล่งข่าวหลุดเผยดีไซน์ภายใน ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในวันที่ 31 ตุลาคมหรือ 1 พฤศจิกายน ➡️ อาจวางจำหน่ายเฉพาะบางประเทศในเอเชียช่วงแรก ✅ ความสำคัญของการเปิดตัว ➡️ เป็นมือถือพับสามทบรุ่นแรกของ Samsung ➡️ สะท้อนการทดลองฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน ➡️ หากได้รับความนิยม อาจมีการอัปเดตรุ่นใหม่ทุกปี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปกภายในหรือฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ ⛔ ไม่สามารถทดลองใช้งานจริงได้ในงาน ⛔ การวางจำหน่ายอาจจำกัดเฉพาะบางประเทศในช่วงแรก https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/the-samsung-galaxy-tri-fold-just-got-officially-shown-off
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 10 ใกล้หมดอายุ ส่งผลให้ยอดขาย Mac พุ่งแรงทั่วโลก

    การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Mac แทนการอัปเกรดเป็น Windows 11 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น

    เหตุผลที่ Mac ขายดีขึ้นหลัง Windows 10 หมดอายุ

    จากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า ยอดขาย Mac ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 14.9% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักคือ:
    ความนิยมของ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    การยอมรับในระดับองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบปลอดภัยแต่ไม่ซับซ้อน
    ความไม่แน่นอนของการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์

    Apple ยังเน้นจุดแข็งด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมความเป็นส่วนตัวในระดับระบบ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่มีทีม IT ประจำ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 หมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องหาทางเลือกใหม่
    Mac มียอดขายเพิ่มขึ้น 14.9% ในไตรมาสเดียวกัน
    ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ Mac เพราะระบบปลอดภัยและใช้งานง่าย
    Apple Silicon ช่วยให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    ผู้ใช้ iPhone มีแนวโน้มเลือก Mac เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน

    ปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลอัปเกรด Windows
    Windows 11 ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น TPM 2.0 และ UEFI Secure Boot
    ความไม่แน่นอนด้านความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์เก่า
    ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบ

    https://www.techradar.com/computing/macbooks/never-mind-linux-windows-10s-end-of-life-is-driving-up-apple-mac-sales
    🍏💻 Windows 10 ใกล้หมดอายุ ส่งผลให้ยอดขาย Mac พุ่งแรงทั่วโลก การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Mac แทนการอัปเกรดเป็น Windows 11 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น 📈 เหตุผลที่ Mac ขายดีขึ้นหลัง Windows 10 หมดอายุ จากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า ยอดขาย Mac ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 14.9% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักคือ: 💠 ความนิยมของ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน 💠 การยอมรับในระดับองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบปลอดภัยแต่ไม่ซับซ้อน 💠 ความไม่แน่นอนของการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ Apple ยังเน้นจุดแข็งด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมความเป็นส่วนตัวในระดับระบบ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่มีทีม IT ประจำ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 หมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องหาทางเลือกใหม่ ➡️ Mac มียอดขายเพิ่มขึ้น 14.9% ในไตรมาสเดียวกัน ➡️ ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ Mac เพราะระบบปลอดภัยและใช้งานง่าย ➡️ Apple Silicon ช่วยให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ➡️ ผู้ใช้ iPhone มีแนวโน้มเลือก Mac เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน ✅ ปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลอัปเกรด Windows ➡️ Windows 11 ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น TPM 2.0 และ UEFI Secure Boot ➡️ ความไม่แน่นอนด้านความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์เก่า ➡️ ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบ https://www.techradar.com/computing/macbooks/never-mind-linux-windows-10s-end-of-life-is-driving-up-apple-mac-sales
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา!

    นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป

    จุดเด่นของ BIE-1
    ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง
    ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก
    ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง
    ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป
    มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB
    ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90%
    อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่
    เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่

    เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง
    ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง
    เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล

    ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม
    เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่
    BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU
    ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90%

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ
    ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
    ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    🧠🧊 จีนเปิดตัว BIE-1 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลียนแบบสมอง ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านธรรมดา! นักวิทยาศาสตร์จีนจาก Guangdong Institute of Intelligent Science and Technology ได้เปิดตัว “BI Explorer 1” หรือ BIE-1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยมีขนาดเท่าตู้เย็นเล็ก แต่ประสิทธิภาพระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ พร้อมใช้ไฟบ้านทั่วไป 📦 จุดเด่นของ BIE-1 💠 ขนาดกะทัดรัด: เทียบเท่าตู้เย็นขนาดเล็ก แต่สามารถทำงานได้เทียบเท่าระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง 💠 ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบทั่วไปถึง 90% และยังคงอุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานหนัก 💠 ประสิทธิภาพสูง: มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB DDR5 และพื้นที่จัดเก็บ 204TB 💠 ใช้เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง: ประมวลผลแบบ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 💠 รองรับการใช้งานหลากหลาย: เหมาะสำหรับบ้าน, สำนักงาน, หรือแม้แต่การใช้งานแบบเคลื่อนที่ เช่น รถพยาบาลหรือห้องเรียนเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ BIE-1 เป็นเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ neuromorphic ที่เลียนแบบสมอง ➡️ ขนาดเท่าตู้เย็น ใช้ไฟบ้านทั่วไป ➡️ มี 1,152 CPU cores, RAM 4.8TB และพื้นที่จัดเก็บ 204TB ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไปถึง 90% ➡️ อุณหภูมิ CPU ไม่เกิน 70°C แม้ใช้งานเต็มที่ ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน, สำนักงาน, หรือพื้นที่เคลื่อนที่ ✅ เทคโนโลยีเลียนแบบสมอง ➡️ ใช้ neural network ที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ multimodal เช่น ข้อความ, ภาพ, และเสียง ➡️ เหมาะสำหรับงานด้านสุขภาพ, การศึกษา, และผู้ช่วย AI ส่วนบุคคล ✅ ความเปรียบเทียบกับระบบเดิม ➡️ เทียบกับ Intel Hala Point และ SpiNNaker 2 ที่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ➡️ BIE-1 เป็นระบบแบบ standalone ที่ไม่ต้องใช้ SSD, HDD หรือ GPU ➡️ ใช้พลังงานน้อยกว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดห้อง” ถึง 90% ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ คำว่า “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลุมเครือ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ⛔ ข้อมูลจากแหล่งตะวันตกยังมีจำกัด อาจต้องรอการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-builds-neuromorphic-ai-server-the-size-of-a-mini-fridge-bi-explorer-1-runs-on-a-household-socket-and-contains-1-152-cpu-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก

    นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล

    จุดเด่นของ Intel 4004

    Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว
    เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V
    รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์

    CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์
    มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว
    ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V
    รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB
    สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที
    ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์

    การเปิดเผยโดย CPU Duke
    ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004
    เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน
    ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา

    ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์
    เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้
    เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    🔬💡 เปิดโลกไมโครชิป: นักสะสมเผยภาพภายใน Intel 4004 ชิปโปรแกรมตัวแรกของโลก นักสะสมซีพียูนามว่า “CPU Duke” ได้เปิดเผยภาพภายในของ Intel 4004 ชิปไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ที่เปิดตัวเมื่อปี 1971 โดยใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในระดับนาโน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเทคโนโลยีในยุคเริ่มต้นของการประมวลผล 🧠 จุดเด่นของ Intel 4004 💠 Intel 4004 เป็นชิปขนาด 10,000 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์จำนวน 2,300 ตัว 💠 เป็นโปรเซสเซอร์แบบ 4-bit ที่มีความเร็วเพียง 740kHz และใช้แรงดันไฟฟ้าสูงถึง 15V 💠 รองรับหน่วยความจำสูงสุดเพียง 4KB และสามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที 💠 ถือเป็นชิปแรกที่สามารถ “โปรแกรมได้” ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ CPU Duke ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ Entertechnikwelt ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำการ “เปิดฝา” เพื่อเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน เช่น ลวดเชื่อมภายในและชั้นโพลีซิลิคอนใต้แผ่นโลหะ ซึ่งเขาอ้างว่าสามารถนับทรานซิสเตอร์ได้ทีละตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel 4004 เป็นชิปแรกที่สามารถโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์ ➡️ มีขนาด 10,000nm และทรานซิสเตอร์ 2,300 ตัว ➡️ ความเร็ว 740kHz และแรงดันไฟฟ้า 15V ➡️ รองรับหน่วยความจำเพียง 4KB ➡️ สามารถประมวลผลได้ 92,000 คำสั่งต่อวินาที ➡️ ถูกออกแบบเพื่อใช้ในเครื่องคิดเลขของ Busicom ก่อนจะกลายเป็นชิปอเนกประสงค์ ✅ การเปิดเผยโดย CPU Duke ➡️ ใช้กล้องจุลทรรศน์สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 4004 ➡️ เห็นลวดเชื่อมและโครงสร้างโพลีซิลิคอนอย่างชัดเจน ➡️ ได้รับชิปจากพิพิธภัณฑ์ในสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษา ✅ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจากฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเป็นระบบที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ ➡️ เป็นรากฐานของการพัฒนาชิปในยุคปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/cpu-collector-exposes-microscopic-insides-of-intels-revolutionary-4004-chip-10-000nm-chip-was-the-worlds-first-programmable-microchip-processor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS

    ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ

    พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว:

    AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์

    AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027

    AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน

    นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว

    และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา

    กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI
    เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B
    มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด
    ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์
    ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI

    AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference
    รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search
    ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027
    มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย

    AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash
    พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk
    เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง
    เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator

    ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่
    SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ

    ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา
    PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16
    AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน
    มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    🧠💾 SK hynix เปิดตัวกลยุทธ์ AI NAND ยุคใหม่ พร้อม SSD ความจุระดับเพตะไบต์ และความเร็วทะลุ 100 ล้าน IOPS ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเร็วขึ้นและจัดการข้อมูลได้มหาศาลแบบที่ฮาร์ดดิสก์ธรรมดาเทียบไม่ติด ล่าสุด SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวกลยุทธ์ใหม่ในงาน Global Summit 2025 ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการเก็บข้อมูลสำหรับ AI โดยเฉพาะ พวกเขาแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 สายหลัก ได้แก่ AIN D, AIN P และ AIN B ซึ่งแต่ละตัวมีจุดเด่นเฉพาะตัว: 💠 AIN D (Density): ใช้เทคโนโลยี 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ที่มีความจุระดับ “เพตะไบต์” สำหรับเก็บข้อมูล AI ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายแทนที่ HDD แบบใกล้เคียงเซิร์ฟเวอร์ 💠 AIN P (Performance): SSD ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ เช่นการค้นหาฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ ด้วยความเร็วสูงถึง 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 💠 AIN B (Bandwidth): ใช้เทคโนโลยี High Bandwidth Flash (HBF) ที่ร่วมพัฒนากับ SanDisk เพื่อให้ได้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลางหรือตัวเลขประสิทธิภาพที่ชัดเจน นอกจากนั้น SK hynix ยังร่วมมือกับ SanDisk จัดงาน “HBF Night” เพื่อผลักดันการพัฒนา ecosystem ของ NAND สำหรับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังปรับตัวเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างรวดเร็ว และถ้ามองจากภาพรวมของอุตสาหกรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีเก็บข้อมูลกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ไม่ใช่แค่เรื่องของชิปประมวลผลอีกต่อไป แต่รวมถึงการจัดเก็บและส่งข้อมูลที่เร็วและใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ SK hynix สำหรับตลาด AI ➡️ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NAND 3 สาย: AIN D, AIN P, AIN B ➡️ มุ่งเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การเก็บข้อมูล, การประมวลผล, และการส่งข้อมูลความเร็วสูง ✅ AIN D: ความจุสูงสุดในตลาด ➡️ ใช้ 3D QLC NAND เพื่อสร้าง SSD ความจุระดับเพตะไบต์ ➡️ ตั้งเป้าแทนที่ nearline HDD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ AIN P: SSD ความเร็วสูงสำหรับ AI inference ➡️ รองรับการประมวลผลแบบละเอียด เช่น vector search ➡️ ความเร็วสูงสุด 100 ล้าน IOPS ผ่าน PCIe 6.0 ภายในปี 2027 ➡️ มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิดธ์ของ PCIe 6.0 x4 ที่ต้องใช้ x8 หรือ x16 เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ✅ AIN B: เทคโนโลยีใหม่ High Bandwidth Flash ➡️ พัฒนาโดยร่วมมือกับ SanDisk ➡️ เป้าหมายคือให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM แต่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการ throughput สูงโดยไม่ต้องเพิ่ม accelerator ✅ ความร่วมมือเพื่อผลักดันมาตรฐานใหม่ ➡️ SK hynix และ SanDisk จัดงาน HBF Night เพื่อรวมผู้พัฒนา ecosystem ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาด NAND ที่มุ่งสู่ AI โดยเฉพาะ ‼️ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ต้องจับตา ⛔ PCIe 6.0 x4 ไม่สามารถรองรับ 100 ล้าน IOPS ได้จริง ต้องใช้ x8 หรือ x16 ⛔ AIN B ยังไม่มีตัวเลขประสิทธิภาพหรือกำหนดการวางจำหน่ายที่ชัดเจน ⛔ มาตรฐานของ HBF ยังไม่ถูกกำหนด ทำให้การใช้งานยังไม่แพร่หลาย https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/sk-hynix-unveils-ai-nand-strategy-including-gargantuan-petabyte-class-qlc-ssds-ultra-fast-hbf-and-100m-iops-ssds-also-in-the-pipeline
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุ้มค่าเน็ต! รถหุ้มเกราะเขมรหงายเก๋ง นักรบประเทศ JONE หมดสภาพ (28/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #รถหุ้มเกราะ #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพกัมพูชา #ความมั่นคง #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    คุ้มค่าเน็ต! รถหุ้มเกราะเขมรหงายเก๋ง นักรบประเทศ JONE หมดสภาพ (28/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #รถหุ้มเกราะ #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพกัมพูชา #ความมั่นคง #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Lenovo Legion บน Linux เตรียมได้โหมด Extreme ที่แท้จริง — แก้ปัญหาพลังงานผิดพลาด พร้อมระบบอนุญาตเฉพาะรุ่นที่รองรับ

    บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า Lenovo Legion ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux กำลังจะได้รับการอัปเดตใหม่ที่เพิ่มโหมด “Extreme” สำหรับการใช้งานประสิทธิภาพสูง โดยจะมีการตรวจสอบรุ่นก่อนอนุญาตให้ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด

    ก่อนหน้านี้ Legion บน Linux มีปัญหาเรื่อง power profile ที่ไม่ตรงกับความสามารถของเครื่อง เช่น โหมด Extreme ถูกเปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ทำให้เกิดความไม่เสถียรและอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหาย

    นักพัฒนาอิสระ Derek Clark ได้เสนอ patch ใหม่ให้กับ Lenovo WMI GameZone driver ซึ่งเป็นตัวควบคุมโหมดพลังงานบน Linux โดยเปลี่ยนจากระบบ “deny list” เป็น “allow list” หมายความว่า เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานโหมด Extreme ได้

    โหมดนี้จะตั้งค่า PPT/SPL สูงสุด ทำให้ CPU ใช้พลังงานเต็มที่ เหมาะสำหรับการใช้งานขณะเสียบปลั๊กเท่านั้น เพราะอาจกินพลังงานเกินที่แบตเตอรี่จะรับไหว

    ปัญหาเดิมบน Linux
    โหมด Extreme เปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ
    ทำให้ระบบไม่เสถียรและแบตเตอรี่เสียหาย

    การแก้ไขด้วย patch ใหม่
    เปลี่ยนจาก deny list เป็น allow list
    เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบเท่านั้นที่เปิด Extreme ได้
    ใช้กับ Lenovo WMI GameZone driver บน Linux

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    โหมด Extreme ใช้พลังงานสูงมาก
    เหมาะกับการใช้งานแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น
    ยังไม่มีรุ่นใดที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux บน Legion
    อย่าเปิดโหมด Extreme หากเครื่องยังไม่อยู่ใน allow list
    ตรวจสอบ patch และรุ่นที่รองรับก่อนใช้งาน
    ใช้โหมดนี้เฉพาะเมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและมีระบบระบายความร้อนเพียงพอ

    https://www.tomshardware.com/software/linux/lenovo-legion-devices-running-linux-set-to-get-new-extreme-mode-that-fixes-previously-broken-power-limits-only-approved-devices-will-be-able-to-run-the-maximum-performance-mode
    ⚡ Lenovo Legion บน Linux เตรียมได้โหมด Extreme ที่แท้จริง — แก้ปัญหาพลังงานผิดพลาด พร้อมระบบอนุญาตเฉพาะรุ่นที่รองรับ บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า Lenovo Legion ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux กำลังจะได้รับการอัปเดตใหม่ที่เพิ่มโหมด “Extreme” สำหรับการใช้งานประสิทธิภาพสูง โดยจะมีการตรวจสอบรุ่นก่อนอนุญาตให้ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด ก่อนหน้านี้ Legion บน Linux มีปัญหาเรื่อง power profile ที่ไม่ตรงกับความสามารถของเครื่อง เช่น โหมด Extreme ถูกเปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ทำให้เกิดความไม่เสถียรและอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหาย นักพัฒนาอิสระ Derek Clark ได้เสนอ patch ใหม่ให้กับ Lenovo WMI GameZone driver ซึ่งเป็นตัวควบคุมโหมดพลังงานบน Linux โดยเปลี่ยนจากระบบ “deny list” เป็น “allow list” หมายความว่า เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานโหมด Extreme ได้ โหมดนี้จะตั้งค่า PPT/SPL สูงสุด ทำให้ CPU ใช้พลังงานเต็มที่ เหมาะสำหรับการใช้งานขณะเสียบปลั๊กเท่านั้น เพราะอาจกินพลังงานเกินที่แบตเตอรี่จะรับไหว ✅ ปัญหาเดิมบน Linux ➡️ โหมด Extreme เปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ➡️ ทำให้ระบบไม่เสถียรและแบตเตอรี่เสียหาย ✅ การแก้ไขด้วย patch ใหม่ ➡️ เปลี่ยนจาก deny list เป็น allow list ➡️ เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบเท่านั้นที่เปิด Extreme ได้ ➡️ ใช้กับ Lenovo WMI GameZone driver บน Linux ✅ ข้อควรระวังในการใช้งาน ➡️ โหมด Extreme ใช้พลังงานสูงมาก ➡️ เหมาะกับการใช้งานแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น ➡️ ยังไม่มีรุ่นใดที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux บน Legion ⛔ อย่าเปิดโหมด Extreme หากเครื่องยังไม่อยู่ใน allow list ⛔ ตรวจสอบ patch และรุ่นที่รองรับก่อนใช้งาน ⛔ ใช้โหมดนี้เฉพาะเมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและมีระบบระบายความร้อนเพียงพอ https://www.tomshardware.com/software/linux/lenovo-legion-devices-running-linux-set-to-get-new-extreme-mode-that-fixes-previously-broken-power-limits-only-approved-devices-will-be-able-to-run-the-maximum-performance-mode
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Generative AI สร้างดีไซน์เครื่องพิมพ์ 3D แบบ 5 แกนสุดล้ำ — พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้โครงรองรับ

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่า Generative Machine และ Aibuild สองบริษัทจากลอนดอนร่วมกันพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ชื่อว่า GenerationOne 5-axis โดยใช้ Generative AI ออกแบบโครงสร้างและระบบการพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน ทำให้พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานที่เรียบกว่าเดิม

    เครื่องพิมพ์ GenerationOne มีดีไซน์คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่เพิ่มความ “organic” ด้วยแขนพยุงที่ดูเหมือนเส้นใยชีวภาพ ตัวเครื่องใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำในการเคลื่อนที่ และสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มพิมพ์ได้อัตโนมัติ

    Generative AI ถูกใช้ในการออกแบบทั้งโครงสร้างเครื่องและระบบควบคุมการพิมพ์ โดยเน้นการพิมพ์แบบ non-conformal คือสามารถหมุนหัวฉีดให้พิมพ์ในทิศทางที่เหมาะสมกับรูปทรงของวัตถุ ซึ่งช่วยให้ชิ้นงานแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องใช้โครงรองรับ

    ซอฟต์แวร์ควบคุมที่ใช้เป็นระดับอุตสาหกรรม โดย Aibuild พัฒนาให้รองรับการ slice แบบ parametric, สร้าง toolpath อัตโนมัติ และ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis

    แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา แต่เครื่องจะเปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo ที่แฟรงก์เฟิร์ต วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้

    เครื่องพิมพ์ GenerationOne 5-axis
    ใช้ Generative AI ออกแบบทั้งโครงสร้างและระบบพิมพ์
    เคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน พิมพ์แบบ non-conformal
    ไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานเรียบ

    ดีไซน์และโครงสร้าง
    คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่มีแขนพยุงแบบ organic
    ใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำ
    แพลตฟอร์มพิมพ์เปลี่ยนได้อัตโนมัติ

    ซอฟต์แวร์ควบคุมระดับอุตสาหกรรม
    รองรับ parametric slicing และ toolpath generation
    optimize การพิมพ์แบบ multi-axis
    พัฒนาโดย Aibuild

    การเปิดตัว
    เปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo วันที่ 18 พ.ย.
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ยังไม่รองรับวัสดุขั้นสูง เช่น carbon fiber หรือ engineering-grade filament
    เหมาะกับ PLA และ PETG เท่านั้นในรุ่นแรก
    ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องราคาและการจัดจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/generative-ai-used-to-create-wild-new-3d-printer-design-exotic-collaboration-brings-5-axis-3d-printing-to-the-desktop
    🧠 Generative AI สร้างดีไซน์เครื่องพิมพ์ 3D แบบ 5 แกนสุดล้ำ — พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้โครงรองรับ บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่า Generative Machine และ Aibuild สองบริษัทจากลอนดอนร่วมกันพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ชื่อว่า GenerationOne 5-axis โดยใช้ Generative AI ออกแบบโครงสร้างและระบบการพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน ทำให้พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานที่เรียบกว่าเดิม เครื่องพิมพ์ GenerationOne มีดีไซน์คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่เพิ่มความ “organic” ด้วยแขนพยุงที่ดูเหมือนเส้นใยชีวภาพ ตัวเครื่องใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำในการเคลื่อนที่ และสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มพิมพ์ได้อัตโนมัติ Generative AI ถูกใช้ในการออกแบบทั้งโครงสร้างเครื่องและระบบควบคุมการพิมพ์ โดยเน้นการพิมพ์แบบ non-conformal คือสามารถหมุนหัวฉีดให้พิมพ์ในทิศทางที่เหมาะสมกับรูปทรงของวัตถุ ซึ่งช่วยให้ชิ้นงานแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องใช้โครงรองรับ ซอฟต์แวร์ควบคุมที่ใช้เป็นระดับอุตสาหกรรม โดย Aibuild พัฒนาให้รองรับการ slice แบบ parametric, สร้าง toolpath อัตโนมัติ และ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา แต่เครื่องจะเปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo ที่แฟรงก์เฟิร์ต วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ ✅ เครื่องพิมพ์ GenerationOne 5-axis ➡️ ใช้ Generative AI ออกแบบทั้งโครงสร้างและระบบพิมพ์ ➡️ เคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน พิมพ์แบบ non-conformal ➡️ ไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานเรียบ ✅ ดีไซน์และโครงสร้าง ➡️ คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่มีแขนพยุงแบบ organic ➡️ ใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำ ➡️ แพลตฟอร์มพิมพ์เปลี่ยนได้อัตโนมัติ ✅ ซอฟต์แวร์ควบคุมระดับอุตสาหกรรม ➡️ รองรับ parametric slicing และ toolpath generation ➡️ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis ➡️ พัฒนาโดย Aibuild ✅ การเปิดตัว ➡️ เปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo วันที่ 18 พ.ย. ➡️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ยังไม่รองรับวัสดุขั้นสูง เช่น carbon fiber หรือ engineering-grade filament ⛔ เหมาะกับ PLA และ PETG เท่านั้นในรุ่นแรก ⛔ ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องราคาและการจัดจำหน่าย https://www.tomshardware.com/3d-printing/generative-ai-used-to-create-wild-new-3d-printer-design-exotic-collaboration-brings-5-axis-3d-printing-to-the-desktop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022

    แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ

    หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง

    DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว

    Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน”

    โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek
    พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ
    เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ

    การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน
    พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ
    มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100
    อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม

    ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ
    ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN
    DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง

    มุมมองจาก Nvidia
    การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่
    ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ
    การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง
    การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    🇨🇳 จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022 แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน” ✅ โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek ➡️ พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ ➡️ เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ ✅ การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน ➡️ พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ ➡️ มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100 ➡️ อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม ✅ ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ ➡️ ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ➡️ DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง ✅ มุมมองจาก Nvidia ➡️ การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่ ➡️ ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง ⛔ การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค

    AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000

    AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2

    การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม

    AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต

    AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก
    Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series
    Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ

    ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ
    Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170
    Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130
    Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30
    Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20

    เป้าหมายของการรีแบรนด์
    ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย
    สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000
    อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    🔄 AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000 AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2 การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต ✅ AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก ➡️ Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series ➡️ Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ ✅ ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ ➡️ Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170 ➡️ Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130 ➡️ Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30 ➡️ Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20 ✅ เป้าหมายของการรีแบรนด์ ➡️ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ➡️ สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ➡️ อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Vibecoding” คือแนวทางใหม่ที่ใช้ AI สร้างแอปได้ง่ายขึ้น — แม้ไม่รู้โค้ด ก็สร้างเว็บไซต์หรือโปรเจกต์ได้ด้วยภาษาพูด

    บทความจาก The Star อธิบายปรากฏการณ์ “vibecoding” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาธรรมชาติพูดคุยกับ AI เพื่อให้ช่วยเขียนโค้ดหรือสร้างแอป โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาก่อน แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนา นักเรียน และผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเรียนภาษา Java หรือ C++

    “Vibecoding” เป็นคำที่ใช้เรียกการเขียนโค้ดร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาพูดหรือคำสั่งง่าย ๆ เช่น “ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ฉัน” แล้ว AI จะสร้างโครงสร้าง HTML, CSS หรือแม้แต่ backend ให้ทันที

    แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น vibe marketing, vibe analytics และ vibe designing โดย Microsoft ก็ใช้แนวทางนี้ใน Copilot เพื่อช่วยสร้างสไลด์และสเปรดชีต

    Kyle Jensen จาก Yale School of Management กล่าวว่า “AI-assisted software development” ฟังดูเป็นทางการเกินไป แต่ “vibecoding” ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากกว่า

    แม้จะดูง่าย แต่การใช้ AI สร้างแอปก็ยังมีข้อจำกัด เช่น AI อาจสร้างโค้ดผิดพลาด หรือหลุดจากบริบทที่ผู้ใช้ต้องการได้ ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งจะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีกว่า

    นักพัฒนาอย่าง Simon Last จาก Notion เปรียบเทียบว่า การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือน “ดูแลเด็กฝึกงาน” ที่ต้องคอยตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง

    ความหมายของ “vibecoding”
    ใช้ภาษาธรรมชาติสั่ง AI ให้สร้างโค้ดหรือแอป
    ไม่ต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งก็เริ่มต้นได้

    จุดเด่นของแนวทางนี้
    เข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ใช้ในหลายวงการ เช่น marketing, analytics, design
    Microsoft ใช้ใน Copilot เพื่อสร้างงานนำเสนอและเอกสาร

    ข้อจำกัดของ vibecoding
    AI อาจสร้างโค้ดผิดหรือหลุดบริบท
    ผู้ใช้ที่เข้าใจโค้ดจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า
    ต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขจากมนุษย์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    เปรียบเทียบ AI coding tools กับเด็กฝึกงาน
    เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ยังไม่แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด
    ช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและลดความยากในการเริ่มต้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ AI สร้างโค้ด
    อย่าพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์
    ควรเรียนรู้พื้นฐานโค้ดเพื่อควบคุมและแก้ไขได้
    อย่าใช้ AI สร้างระบบที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/with-vibecoding-ai-can-help-anyone-build-an-app
    🧠 “Vibecoding” คือแนวทางใหม่ที่ใช้ AI สร้างแอปได้ง่ายขึ้น — แม้ไม่รู้โค้ด ก็สร้างเว็บไซต์หรือโปรเจกต์ได้ด้วยภาษาพูด บทความจาก The Star อธิบายปรากฏการณ์ “vibecoding” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาธรรมชาติพูดคุยกับ AI เพื่อให้ช่วยเขียนโค้ดหรือสร้างแอป โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาก่อน แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนา นักเรียน และผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเรียนภาษา Java หรือ C++ “Vibecoding” เป็นคำที่ใช้เรียกการเขียนโค้ดร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาพูดหรือคำสั่งง่าย ๆ เช่น “ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ฉัน” แล้ว AI จะสร้างโครงสร้าง HTML, CSS หรือแม้แต่ backend ให้ทันที แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น vibe marketing, vibe analytics และ vibe designing โดย Microsoft ก็ใช้แนวทางนี้ใน Copilot เพื่อช่วยสร้างสไลด์และสเปรดชีต Kyle Jensen จาก Yale School of Management กล่าวว่า “AI-assisted software development” ฟังดูเป็นทางการเกินไป แต่ “vibecoding” ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากกว่า แม้จะดูง่าย แต่การใช้ AI สร้างแอปก็ยังมีข้อจำกัด เช่น AI อาจสร้างโค้ดผิดพลาด หรือหลุดจากบริบทที่ผู้ใช้ต้องการได้ ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งจะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีกว่า นักพัฒนาอย่าง Simon Last จาก Notion เปรียบเทียบว่า การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือน “ดูแลเด็กฝึกงาน” ที่ต้องคอยตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง ✅ ความหมายของ “vibecoding” ➡️ ใช้ภาษาธรรมชาติสั่ง AI ให้สร้างโค้ดหรือแอป ➡️ ไม่ต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งก็เริ่มต้นได้ ✅ จุดเด่นของแนวทางนี้ ➡️ เข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น ➡️ ใช้ในหลายวงการ เช่น marketing, analytics, design ➡️ Microsoft ใช้ใน Copilot เพื่อสร้างงานนำเสนอและเอกสาร ✅ ข้อจำกัดของ vibecoding ➡️ AI อาจสร้างโค้ดผิดหรือหลุดบริบท ➡️ ผู้ใช้ที่เข้าใจโค้ดจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า ➡️ ต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขจากมนุษย์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ เปรียบเทียบ AI coding tools กับเด็กฝึกงาน ➡️ เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ยังไม่แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด ➡️ ช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและลดความยากในการเริ่มต้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ AI สร้างโค้ด ⛔ อย่าพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ ⛔ ควรเรียนรู้พื้นฐานโค้ดเพื่อควบคุมและแก้ไขได้ ⛔ อย่าใช้ AI สร้างระบบที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/with-vibecoding-ai-can-help-anyone-build-an-app
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With 'vibecoding', AI can help anyone build an app
    Bringing on artificial intelligence as a collaborator can make coding feel more accessible to those with little training in it, but there are trade-offs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้า Pixel Watch 4 แพงเกินไป — นี่คือ 5 สมาร์ตวอทช์ทางเลือกที่คุ้มค่า ฟีเจอร์ครบ ราคาเบากว่า

    บทความจาก SlashGear แนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า Pixel Watch 4 แต่ยังให้ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ $99 ถึง $185

    OnePlus Watch 3
    ดีไซน์พรีเมียม จอ OLED 1.32 นิ้ว พร้อม Always-on
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 60 ชั่วโมง
    รองรับ Wear OS และแอปยอดนิยม เช่น Spotify, WhatsApp
    ไม่มี ECG/BP แต่ฟีเจอร์สุขภาพหลักครบ

    Samsung Galaxy Watch 7
    รองรับ ECG, BP, body composition, และ sleep tracking
    มีรุ่น LTE และขนาด 40/44mm ให้เลือก
    ใช้ Wear OS + One UI Watch ที่ลื่นไหล
    ราคาเพียง $185 ถูกกว่ารุ่นใหม่แต่ฟีเจอร์ใกล้เคียง

    CMF Watch 3 Pro
    ราคาเพียง $99 เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ใช้ RTOS ไม่รองรับแอปภายนอก แต่มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ
    ดีไซน์ดูดี ใช้งานได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    ไม่มี ECG/BP แต่รองรับการแจ้งเตือนและรับสาย

    TicWatch Pro 5
    ใช้จอคู่ OLED + monochrome ประหยัดแบต
    ใช้งานได้ถึง 90 ชั่วโมง และชาร์จเร็ว
    รองรับ NFC, GPS, และแอป Wear OS
    ราคาเหลือประมาณ $150 จากเดิมที่แพงกว่านี้

    Samsung Galaxy Watch FE
    รุ่นอัปเดตจาก Watch 4 ในราคาประมาณ $100
    รองรับ ECG, BP, และฟีเจอร์สุขภาพครบ
    ใช้ Wear OS และมีแอปให้เลือกมากมาย
    แบตเตอรี่ค่อนข้างสั้น ต้องชาร์จทุกวัน

    https://www.slashgear.com/2005004/cheaper-pixel-watch-4-alternatives/
    ⌚ ถ้า Pixel Watch 4 แพงเกินไป — นี่คือ 5 สมาร์ตวอทช์ทางเลือกที่คุ้มค่า ฟีเจอร์ครบ ราคาเบากว่า บทความจาก SlashGear แนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า Pixel Watch 4 แต่ยังให้ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ $99 ถึง $185 ✅ OnePlus Watch 3 ➡️ ดีไซน์พรีเมียม จอ OLED 1.32 นิ้ว พร้อม Always-on ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 60 ชั่วโมง ➡️ รองรับ Wear OS และแอปยอดนิยม เช่น Spotify, WhatsApp ➡️ ไม่มี ECG/BP แต่ฟีเจอร์สุขภาพหลักครบ ✅ Samsung Galaxy Watch 7 ➡️ รองรับ ECG, BP, body composition, และ sleep tracking ➡️ มีรุ่น LTE และขนาด 40/44mm ให้เลือก ➡️ ใช้ Wear OS + One UI Watch ที่ลื่นไหล ➡️ ราคาเพียง $185 ถูกกว่ารุ่นใหม่แต่ฟีเจอร์ใกล้เคียง ✅ CMF Watch 3 Pro ➡️ ราคาเพียง $99 เหมาะกับผู้เริ่มต้น ➡️ ใช้ RTOS ไม่รองรับแอปภายนอก แต่มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ ➡️ ดีไซน์ดูดี ใช้งานได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ➡️ ไม่มี ECG/BP แต่รองรับการแจ้งเตือนและรับสาย ✅ TicWatch Pro 5 ➡️ ใช้จอคู่ OLED + monochrome ประหยัดแบต ➡️ ใช้งานได้ถึง 90 ชั่วโมง และชาร์จเร็ว ➡️ รองรับ NFC, GPS, และแอป Wear OS ➡️ ราคาเหลือประมาณ $150 จากเดิมที่แพงกว่านี้ ✅ Samsung Galaxy Watch FE ➡️ รุ่นอัปเดตจาก Watch 4 ในราคาประมาณ $100 ➡️ รองรับ ECG, BP, และฟีเจอร์สุขภาพครบ ➡️ ใช้ Wear OS และมีแอปให้เลือกมากมาย ➡️ แบตเตอรี่ค่อนข้างสั้น ต้องชาร์จทุกวัน https://www.slashgear.com/2005004/cheaper-pixel-watch-4-alternatives/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Cheaper Alternatives To The Pixel Watch 4 - SlashGear
    Looking for a solid smartwatch without spending $400? These Android-friendly options balance features, battery life, and style for less.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • GPUI Component คือชุด UI สำหรับสร้างแอปเดสก์ท็อปด้วย Rust ที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และดีไซน์ทันสมัย

    GPUI Component เป็นไลบรารี UI แบบ cross-platform ที่พัฒนาโดย Longbridge เพื่อใช้กับเฟรมเวิร์ก GPUI โดยเน้นการสร้างแอปเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย และมีดีไซน์ทันสมัยคล้าย macOS และ Windows

    จุดเด่นของ GPUI Component

    มีมากกว่า 60 UI components เช่น ปุ่ม, ตาราง, กราฟ, Markdown viewer, code editor
    ดีไซน์ทันสมัย ได้แรงบันดาลใจจาก shadcn/ui และ native controls ของ macOS/Windows
    ใช้งานง่าย ด้วยแนวคิด Stateless RenderOnce และ API ที่เป็นธรรมชาติ
    รองรับธีมหลายแบบ และปรับแต่งสีผ่าน ThemeColor ได้
    รองรับ layout ที่ยืดหยุ่น เช่น dock layout และ tiles layout
    ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น virtualized table/list
    รองรับ Markdown และ HTML รวมถึง syntax highlighting ด้วย Tree Sitter
    มี code editor ในตัว รองรับ LSP และไฟล์ขนาดใหญ่ถึง 200K บรรทัด

    ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่น่าสนใจ
    WebView (ทดลองใช้): ใช้ Wry เป็น backend สำหรับแสดงเว็บในแอป
    ระบบ Icon: รองรับ SVG โดยใช้ Lucide หรือไอคอนที่กำหนดเอง
    ระบบ Theme: รองรับ multi-theme และการกำหนดค่าผ่าน JSON schema
    ตัวอย่างการใช้งาน: มีตัวอย่างในโฟลเดอร์ examples และสามารถรันด้วย cargo run --example <name>

    https://github.com/longbridge/gpui-component
    📦 GPUI Component คือชุด UI สำหรับสร้างแอปเดสก์ท็อปด้วย Rust ที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และดีไซน์ทันสมัย GPUI Component เป็นไลบรารี UI แบบ cross-platform ที่พัฒนาโดย Longbridge เพื่อใช้กับเฟรมเวิร์ก GPUI โดยเน้นการสร้างแอปเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย และมีดีไซน์ทันสมัยคล้าย macOS และ Windows 🎯 จุดเด่นของ GPUI Component 🎗️ มีมากกว่า 60 UI components เช่น ปุ่ม, ตาราง, กราฟ, Markdown viewer, code editor 🎗️ ดีไซน์ทันสมัย ได้แรงบันดาลใจจาก shadcn/ui และ native controls ของ macOS/Windows 🎗️ ใช้งานง่าย ด้วยแนวคิด Stateless RenderOnce และ API ที่เป็นธรรมชาติ 🎗️ รองรับธีมหลายแบบ และปรับแต่งสีผ่าน ThemeColor ได้ 🎗️ รองรับ layout ที่ยืดหยุ่น เช่น dock layout และ tiles layout 🎗️ ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น virtualized table/list 🎗️ รองรับ Markdown และ HTML รวมถึง syntax highlighting ด้วย Tree Sitter 🎗️ มี code editor ในตัว รองรับ LSP และไฟล์ขนาดใหญ่ถึง 200K บรรทัด 🧪 ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่น่าสนใจ 🎗️ WebView (ทดลองใช้): ใช้ Wry เป็น backend สำหรับแสดงเว็บในแอป 🎗️ ระบบ Icon: รองรับ SVG โดยใช้ Lucide หรือไอคอนที่กำหนดเอง 🎗️ ระบบ Theme: รองรับ multi-theme และการกำหนดค่าผ่าน JSON schema 🎗️ ตัวอย่างการใช้งาน: มีตัวอย่างในโฟลเดอร์ examples และสามารถรันด้วย cargo run --example <name> https://github.com/longbridge/gpui-component
    GITHUB.COM
    GitHub - longbridge/gpui-component: Rust GUI components for building fantastic cross-platform desktop application by using GPUI.
    Rust GUI components for building fantastic cross-platform desktop application by using GPUI. - longbridge/gpui-component
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027

    Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก

    การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

    หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม

    Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    iPad Pro รุ่นใหม่
    ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง
    มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber
    ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก

    ประโยชน์ของ Vapor Chamber
    ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก
    เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D
    เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี
    หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น
    รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling

    กำหนดการเปิดตัว
    คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027
    อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ
    หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง
    อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    📱 iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027 Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ✅ iPad Pro รุ่นใหม่ ➡️ ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ➡️ ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก ✅ ประโยชน์ของ Vapor Chamber ➡️ ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก ➡️ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D ➡️ เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ✅ แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี ➡️ หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น ➡️ รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling ✅ กำหนดการเปิดตัว ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ➡️ อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ⛔ หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Power: iPad Pro Gets Vapor Chamber Cooling for M6 Chip
    Apple plans to add vapor chamber cooling to the M6-powered iPad Pro (expected 2027) to prevent thermal throttling during intensive professional workloads.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง

    บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง

    Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง

    ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ:

    ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี)
    กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

    แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

    Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง
    กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย
    Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ

    บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง
    วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร
    กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน
    ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ

    โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี
    SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร”
    แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา

    คำเตือนในการเลือก Virtual CISO
    ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์
    ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง
    ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง

    https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    🛡️ บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง 📈 ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ: 🎗️ ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง 🎗️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี) 🎗️ กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต ➡️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง ➡️ กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย ➡️ Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ ✅ บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง ➡️ วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร ➡️ กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน ➡️ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ ✅ โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี ➡️ SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ➡️ ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร” ➡️ แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา ‼️ คำเตือนในการเลือก Virtual CISO ⛔ ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์ ⛔ ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ⛔ โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง ⛔ ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    SECURITYONLINE.INFO
    Why Virtual CISO Services Are Booming—And How to Avoid Hiring the Wrong One
    Sergei Beliachkov, who managed security for 7,000+ users as a virtual CISO and later launched the service for
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่างซ่อมเตือน “อย่าซื้อ RTX 5090 Founders Edition” – พบจุดอ่อนร้ายแรงซ่อมไม่ได้

    Alex จากช่อง YouTube “Northridge Fix” ได้รับการ์ดจอ RTX 5090 Founders Edition ที่หยุดทำงานหลังจากผู้ใช้ติดตั้งชุดน้ำ (water block) เพิ่มเข้าไป เมื่อเขาแกะเครื่องเพื่อตรวจสอบ พบว่าไม่มีปัญหากับแรงดันไฟหรือวงจรหลัก แต่กลับพบว่าปัญหาอยู่ที่ “ขั้วต่อภายใน” (board-to-board connector) ซึ่งเสียหายและไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้

    การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างแบบแยกส่วน (modular) คือแบ่งเป็นสองชิ้น: ตัวการ์ดหลักและชุดเชื่อมต่อ PCIe ซึ่งเชื่อมกันด้วยสาย FPC ที่เปราะบางมาก Alex เปรียบเทียบว่า “เหมือนระบบท่อที่มีข้อต่อเยอะ ยิ่งมีจุดเชื่อมต่อมาก ก็ยิ่งมีโอกาสเสียมาก”

    เขายังเสริมว่าขั้วต่อที่เสียหายนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาดทั่วไป และเตือนผู้ใช้ว่า “ถ้าไม่เสีย อย่าไปยุ่งกับมันเลย” พร้อมสรุปว่า RTX 5090 Founders Edition เป็นหนึ่งในการออกแบบที่แย่ที่สุดที่เขาเคยเจอในวงการ GPU.

    โครงสร้างของ RTX 5090 Founders Edition
    ใช้การออกแบบแบบแยกส่วน (modular)
    เชื่อมต่อด้วยสาย FPC ที่เปราะบาง
    จุดเชื่อมต่อภายในเป็นจุดเสี่ยงต่อความเสียหาย

    ปัญหาที่พบจากการซ่อม
    ขั้วต่อภายในเสียหายหลังติดตั้ง water block
    ไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้
    ไม่มีความเสียหายอื่นในวงจรหลัก

    คำเตือนจากช่างซ่อม
    หลีกเลี่ยงการเปิดหรือดัดแปลงการ์ด
    หากเสียหาย อาจซ่อมไม่ได้เลย
    เรียกการออกแบบนี้ว่า “หนึ่งในดีไซน์ที่แย่ที่สุด”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/northridge-fix-slams-flagship-nvidia-5090
    ⚠️ ช่างซ่อมเตือน “อย่าซื้อ RTX 5090 Founders Edition” – พบจุดอ่อนร้ายแรงซ่อมไม่ได้ Alex จากช่อง YouTube “Northridge Fix” ได้รับการ์ดจอ RTX 5090 Founders Edition ที่หยุดทำงานหลังจากผู้ใช้ติดตั้งชุดน้ำ (water block) เพิ่มเข้าไป เมื่อเขาแกะเครื่องเพื่อตรวจสอบ พบว่าไม่มีปัญหากับแรงดันไฟหรือวงจรหลัก แต่กลับพบว่าปัญหาอยู่ที่ “ขั้วต่อภายใน” (board-to-board connector) ซึ่งเสียหายและไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้ การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างแบบแยกส่วน (modular) คือแบ่งเป็นสองชิ้น: ตัวการ์ดหลักและชุดเชื่อมต่อ PCIe ซึ่งเชื่อมกันด้วยสาย FPC ที่เปราะบางมาก Alex เปรียบเทียบว่า “เหมือนระบบท่อที่มีข้อต่อเยอะ ยิ่งมีจุดเชื่อมต่อมาก ก็ยิ่งมีโอกาสเสียมาก” เขายังเสริมว่าขั้วต่อที่เสียหายนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาดทั่วไป และเตือนผู้ใช้ว่า “ถ้าไม่เสีย อย่าไปยุ่งกับมันเลย” พร้อมสรุปว่า RTX 5090 Founders Edition เป็นหนึ่งในการออกแบบที่แย่ที่สุดที่เขาเคยเจอในวงการ GPU. ✅ โครงสร้างของ RTX 5090 Founders Edition ➡️ ใช้การออกแบบแบบแยกส่วน (modular) ➡️ เชื่อมต่อด้วยสาย FPC ที่เปราะบาง ➡️ จุดเชื่อมต่อภายในเป็นจุดเสี่ยงต่อความเสียหาย ✅ ปัญหาที่พบจากการซ่อม ➡️ ขั้วต่อภายในเสียหายหลังติดตั้ง water block ➡️ ไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้ ➡️ ไม่มีความเสียหายอื่นในวงจรหลัก ✅ คำเตือนจากช่างซ่อม ➡️ หลีกเลี่ยงการเปิดหรือดัดแปลงการ์ด ➡️ หากเสียหาย อาจซ่อมไม่ได้เลย ➡️ เรียกการออกแบบนี้ว่า “หนึ่งในดีไซน์ที่แย่ที่สุด” https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/northridge-fix-slams-flagship-nvidia-5090
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD สร้างปรากฏการณ์ใหม่ – รันอัลกอริธึมควอนตัมบนชิปทั่วไป แซงหน้า NVIDIA ในสนามควอนตัม

    ในโลกของควอนตัมคอมพิวติ้ง “qubit” คือหน่วยข้อมูลที่เปราะบางมาก แค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยก็ทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้ ดังนั้นการมีอัลกอริธึมที่สามารถตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่ทำลายสถานะของ qubit จึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบควอนตัมที่ใช้งานได้จริง

    IBM ได้พัฒนาอัลกอริธึม QEC และทดลองรันบนชิป FPGA ของ AMD ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ทั่วไปที่สามารถปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ (reconfigurable hardware) ผลลัพธ์คือความเร็วในการประมวลผลสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า และไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง

    นี่คือจุดที่ AMD ได้เปรียบ เพราะมี Xilinx อยู่ในเครือ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน FPGA ขณะที่ NVIDIA ใช้แนวทางต่างออกไป โดยพัฒนาแพลตฟอร์ม DGX Quantum ที่รวมซอฟต์แวร์ CUDA-Q เข้ากับฮาร์ดแวร์ระดับสูง แต่ยังไม่สามารถรัน QEC บนชิปทั่วไปได้เหมือน AMD

    แม้ NVIDIA จะมีเทคโนโลยีที่ทรงพลัง แต่ความสำเร็จของ AMD ในการใช้ฮาร์ดแวร์ “off-the-shelf” กับงานควอนตัม ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนแนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคต

    ความสำเร็จของ AMD กับอัลกอริธึม QEC
    รันบนชิป FPGA ที่ปรับแต่งได้
    ประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า
    ไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง

    จุดเด่นของ FPGA ในงานควอนตัม
    ปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ
    รองรับ feedback loop ที่มี latency ต่ำ
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง

    ความแตกต่างจากแนวทางของ NVIDIA
    ใช้แพลตฟอร์ม DGX Quantum + CUDA-Q
    ยังไม่สามารถใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปกับ QEC ได้
    ขาดทรัพยากรด้าน FPGA แบบที่ AMD มีจาก Xilinx

    https://wccftech.com/amd-beats-nvidia-in-quantum-computing-milestone-for-now/
    🧠 AMD สร้างปรากฏการณ์ใหม่ – รันอัลกอริธึมควอนตัมบนชิปทั่วไป แซงหน้า NVIDIA ในสนามควอนตัม ในโลกของควอนตัมคอมพิวติ้ง “qubit” คือหน่วยข้อมูลที่เปราะบางมาก แค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยก็ทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้ ดังนั้นการมีอัลกอริธึมที่สามารถตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่ทำลายสถานะของ qubit จึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบควอนตัมที่ใช้งานได้จริง IBM ได้พัฒนาอัลกอริธึม QEC และทดลองรันบนชิป FPGA ของ AMD ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ทั่วไปที่สามารถปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ (reconfigurable hardware) ผลลัพธ์คือความเร็วในการประมวลผลสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า และไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง นี่คือจุดที่ AMD ได้เปรียบ เพราะมี Xilinx อยู่ในเครือ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน FPGA ขณะที่ NVIDIA ใช้แนวทางต่างออกไป โดยพัฒนาแพลตฟอร์ม DGX Quantum ที่รวมซอฟต์แวร์ CUDA-Q เข้ากับฮาร์ดแวร์ระดับสูง แต่ยังไม่สามารถรัน QEC บนชิปทั่วไปได้เหมือน AMD แม้ NVIDIA จะมีเทคโนโลยีที่ทรงพลัง แต่ความสำเร็จของ AMD ในการใช้ฮาร์ดแวร์ “off-the-shelf” กับงานควอนตัม ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนแนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคต ✅ ความสำเร็จของ AMD กับอัลกอริธึม QEC ➡️ รันบนชิป FPGA ที่ปรับแต่งได้ ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า ➡️ ไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง ✅ จุดเด่นของ FPGA ในงานควอนตัม ➡️ ปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ ➡️ รองรับ feedback loop ที่มี latency ต่ำ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ ความแตกต่างจากแนวทางของ NVIDIA ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม DGX Quantum + CUDA-Q ➡️ ยังไม่สามารถใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปกับ QEC ได้ ➡️ ขาดทรัพยากรด้าน FPGA แบบที่ AMD มีจาก Xilinx https://wccftech.com/amd-beats-nvidia-in-quantum-computing-milestone-for-now/
    WCCFTECH.COM
    AMD Beats NVIDIA in Quantum Computing Milestone For Now, By Running IBM's Error-Correction Algorithm On Standard Chips
    IBM has announced a breakthrough in quantum computing, as AMD's standard chips have successfully run a key error correction algorithm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด

    แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง

    แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง

    หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง

    จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro
    เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025
    ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4
    ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm
    แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง
    หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K
    ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม

    ความแตกต่างจากรุ่นจีน
    รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W)
    รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh
    ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่

    ราคาโดยประมาณ
    รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700
    รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800
    รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000

    https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    📱 RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง ✅ จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro ➡️ เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4 ➡️ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm ➡️ แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง ➡️ หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K ➡️ ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม ✅ ความแตกต่างจากรุ่นจีน ➡️ รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W) ➡️ รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่ ✅ ราคาโดยประมาณ ➡️ รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700 ➡️ รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800 ➡️ รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000 https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The World's First Liquid-Cooled Smartphone Is About To Hit The Market - SlashGear
    RedMagic is coming out with a new smartphone with a liquid-cooled processor, enabling the Snapdragon 8 Gen 5 chip to run even harder for optimal gaming.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts