• แม้ว่า AMD Ryzen ตระกูล X3D จะให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในเกม เพราะมี L3 Cache แบบ 3D stacked ช่วยลด latency ได้มาก แต่ก็มีผู้ใช้บางรายเจอปัญหา “กระตุกยิบ ๆ” หรือ micro-stuttering โดยเฉพาะกับรุ่นที่ใช้ 2 CCD (Core Complex Die)

    ผู้ใช้บางคนใน Reddit และ YouTube ค้นพบว่า การเข้า BIOS แล้วเปลี่ยนค่า “Global C-State Control” จาก Auto → Enabled อาจช่วยลดอาการกระตุกได้ทันที โดยเฉพาะในเกมที่มีการโหลดข้อมูลต่อเนื่อง

    ฟีเจอร์ C-State นี้คือระบบที่จัดการ sleep state ของซีพียู เพื่อประหยัดพลังงาน โดยจะ “พัก” ฟังก์ชันบางอย่างเมื่อไม่ใช้งาน เช่น core, I/O หรือ Infinity Fabric (Data Fabric) — แต่ถ้า BIOS ตั้งค่าแบบ Auto ใน X3D บางรุ่น ฟีเจอร์นี้อาจถูกปิดไปเลย ทำให้ซีพียูทำงานแบบ Full power ตลอดเวลาและเกิดความไม่เสถียรในบางช่วง

    แม้การเบนช์มาร์กด้วยโปรแกรม AIDA64 จะไม่เห็นความต่างชัดเจน แต่ในเกมจริงอาจช่วยได้ โดยเฉพาะถ้า Windows ไม่จัดสรรงานให้ไปยัง CCD ที่มี V-Cache อย่างเหมาะสม

    ✅ AMD Ryzen X3D บางรุ่นพบอาการกระตุกหรือ micro-stutter บน Windows  
    • โดยเฉพาะเมื่อใช้เกมที่โหลดข้อมูลถี่ และในรุ่น 2 CCD (มีแคชแค่ฝั่งเดียว)

    ✅ การเปลี่ยน BIOS Setting “Global C-State Control” → Enabled ช่วยลดการกระตุกในบางกรณี  
    • Auto อาจปิดฟีเจอร์ไปโดยไม่รู้ตัวในบางเมนบอร์ด  
    • Enabled จะเปิดการทำงานของ C-State เต็มรูปแบบ

    ✅ C-State คือฟีเจอร์จัดการพลังงานผ่าน ACPI ให้ OS เลือกพัก core/IO/infinity fabric ได้ตามความเหมาะสม  
    • ทำงานคู่กับ P-State ที่จัดการ clock/voltage scaling

    ✅ การเปิด C-State ช่วยให้ Windows จัดการ “Preferred Core” และ CCD ได้ดีขึ้น  
    • โดยเฉพาะหาก CPPC ไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ

    ✅ Tips เพิ่มเติม: การปิดการแสดงผล Power Percent ใน MSI Afterburner ก็ช่วยลด micro-stutter ได้  
    • เป็นปัญหาที่รู้กันมานาน แม้ใช้ CPU รุ่นไม่ใช่ X3D ก็ตาม

    ‼️ การเปลี่ยน BIOS โดยไม่รู้ค่าเดิม อาจทำให้ระบบไม่เสถียร หรือมีผลกับ power consumption  
    • ควรจดค่าก่อนเปลี่ยน และทดสอบใน workload ที่ใช้จริง

    ‼️ ผลลัพธ์จากการเปลี่ยน Global C-State ยังไม่แน่นอนในทุกเกม/ระบบ  
    • ไม่มีผลกับ AIDA64 แต่ในเกมอาจแตกต่าง ต้องลองเป็นกรณีไป

    ‼️ ถ้าใช้ Mainboard รุ่นเก่าหรือ BIOS ไม่อัปเดต อาจไม่มีตัวเลือกนี้ หรือชื่ออาจไม่ตรงกัน  
    • เช่น อาจใช้ชื่อ CPU Power Saving, C-State Mode, ฯลฯ

    ‼️ การเปิด C-State ทำให้ CPU เข้าสู่ sleep state ได้ — แม้อาจเพิ่ม efficiency แต่ต้องระวังปัญหาความหน่วงในบางงานเฉพาะทาง  
    • โดยเฉพาะในการเรนเดอร์หรือทำงานที่ต้อง full load ต่อเนื่อง

    https://www.neowin.net/news/some-amd-ryzen-users-can-get-free-windows-performance-boost-with-this-simple-system-tweak/
    แม้ว่า AMD Ryzen ตระกูล X3D จะให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในเกม เพราะมี L3 Cache แบบ 3D stacked ช่วยลด latency ได้มาก แต่ก็มีผู้ใช้บางรายเจอปัญหา “กระตุกยิบ ๆ” หรือ micro-stuttering โดยเฉพาะกับรุ่นที่ใช้ 2 CCD (Core Complex Die) ผู้ใช้บางคนใน Reddit และ YouTube ค้นพบว่า การเข้า BIOS แล้วเปลี่ยนค่า “Global C-State Control” จาก Auto → Enabled อาจช่วยลดอาการกระตุกได้ทันที โดยเฉพาะในเกมที่มีการโหลดข้อมูลต่อเนื่อง ฟีเจอร์ C-State นี้คือระบบที่จัดการ sleep state ของซีพียู เพื่อประหยัดพลังงาน โดยจะ “พัก” ฟังก์ชันบางอย่างเมื่อไม่ใช้งาน เช่น core, I/O หรือ Infinity Fabric (Data Fabric) — แต่ถ้า BIOS ตั้งค่าแบบ Auto ใน X3D บางรุ่น ฟีเจอร์นี้อาจถูกปิดไปเลย ทำให้ซีพียูทำงานแบบ Full power ตลอดเวลาและเกิดความไม่เสถียรในบางช่วง แม้การเบนช์มาร์กด้วยโปรแกรม AIDA64 จะไม่เห็นความต่างชัดเจน แต่ในเกมจริงอาจช่วยได้ โดยเฉพาะถ้า Windows ไม่จัดสรรงานให้ไปยัง CCD ที่มี V-Cache อย่างเหมาะสม ✅ AMD Ryzen X3D บางรุ่นพบอาการกระตุกหรือ micro-stutter บน Windows   • โดยเฉพาะเมื่อใช้เกมที่โหลดข้อมูลถี่ และในรุ่น 2 CCD (มีแคชแค่ฝั่งเดียว) ✅ การเปลี่ยน BIOS Setting “Global C-State Control” → Enabled ช่วยลดการกระตุกในบางกรณี   • Auto อาจปิดฟีเจอร์ไปโดยไม่รู้ตัวในบางเมนบอร์ด   • Enabled จะเปิดการทำงานของ C-State เต็มรูปแบบ ✅ C-State คือฟีเจอร์จัดการพลังงานผ่าน ACPI ให้ OS เลือกพัก core/IO/infinity fabric ได้ตามความเหมาะสม   • ทำงานคู่กับ P-State ที่จัดการ clock/voltage scaling ✅ การเปิด C-State ช่วยให้ Windows จัดการ “Preferred Core” และ CCD ได้ดีขึ้น   • โดยเฉพาะหาก CPPC ไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ✅ Tips เพิ่มเติม: การปิดการแสดงผล Power Percent ใน MSI Afterburner ก็ช่วยลด micro-stutter ได้   • เป็นปัญหาที่รู้กันมานาน แม้ใช้ CPU รุ่นไม่ใช่ X3D ก็ตาม ‼️ การเปลี่ยน BIOS โดยไม่รู้ค่าเดิม อาจทำให้ระบบไม่เสถียร หรือมีผลกับ power consumption   • ควรจดค่าก่อนเปลี่ยน และทดสอบใน workload ที่ใช้จริง ‼️ ผลลัพธ์จากการเปลี่ยน Global C-State ยังไม่แน่นอนในทุกเกม/ระบบ   • ไม่มีผลกับ AIDA64 แต่ในเกมอาจแตกต่าง ต้องลองเป็นกรณีไป ‼️ ถ้าใช้ Mainboard รุ่นเก่าหรือ BIOS ไม่อัปเดต อาจไม่มีตัวเลือกนี้ หรือชื่ออาจไม่ตรงกัน   • เช่น อาจใช้ชื่อ CPU Power Saving, C-State Mode, ฯลฯ ‼️ การเปิด C-State ทำให้ CPU เข้าสู่ sleep state ได้ — แม้อาจเพิ่ม efficiency แต่ต้องระวังปัญหาความหน่วงในบางงานเฉพาะทาง   • โดยเฉพาะในการเรนเดอร์หรือทำงานที่ต้อง full load ต่อเนื่อง https://www.neowin.net/news/some-amd-ryzen-users-can-get-free-windows-performance-boost-with-this-simple-system-tweak/
    WWW.NEOWIN.NET
    Some AMD Ryzen users can get free Windows performance boost with this simple system tweak
    AMD Ryzen processor owners, especially X3D ones, may be in for a pleasant surprise as a simple tweak to one of their system settings can help boost performance.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • รมว.ต่างประเทศอิหร่าน อารักชี เตรียมพบกับประธานาธิบดีรัสเซีย ปูติน ในวันจันทร์ ที่จะถึงนี้ เพื่อหารือเรื่องความขัดแย้งกับอิสราเอล
    — Axios รายงาน
    รมว.ต่างประเทศอิหร่าน อารักชี เตรียมพบกับประธานาธิบดีรัสเซีย ปูติน ในวันจันทร์ ที่จะถึงนี้ เพื่อหารือเรื่องความขัดแย้งกับอิสราเอล — Axios รายงาน
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • หลายคนรู้ว่าในระบบ AI ขนาดใหญ่ แค่ GPU แรงอย่างเดียวไม่พอ — การ์ดเครือข่าย (NIC) ก็เป็นหัวใจสำคัญ เพราะมันคือสะพานเชื่อมระหว่างเซิร์ฟเวอร์ GPU นับพันตัว การดีเลย์หรือข้อมูลติดคอแม้เพียง 1% ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพ AI cluster ตกฮวบ

    AMD จึงเปิดตัว Pollara 400 NIC สำหรับ PCIe Gen5 ที่รองรับแบนด์วิดธ์รวม 400Gbps มีฟีเจอร์อย่าง RDMA, RCCL, และที่สำคัญคือรองรับ มาตรฐาน Ultra Ethernet (UEC) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ Ethernet ก้าวทันการเชื่อม GPU ระดับซูเปอร์คลัสเตอร์ — ไม่ต้องผูกขาดกับโซลูชันเฉพาะเจ้าใดเจ้าเดียว

    Pollara 400 ออกแบบให้รองรับการลดเวลา idle ของ GPU โดยเฉพาะในงาน training AI ขนาดใหญ่ โดย AMD เคลมว่าทำ RDMA ได้เร็วกว่า ConnectX-7 ของ NVIDIA 10% และเร็วกว่า Thor2 ของ Broadcom ถึง 20% — ในคลัสเตอร์ใหญ่จะช่วยเพิ่ม throughput โดยรวมได้หลายเท่าตัว

    AMD ยังบอกด้วยว่า Oracle Cloud จะเป็น hyperscaler รายแรกที่นำ Pollara ไปใช้ และวางแผนเปิดตัวรุ่นถัดไปคือ Vulcano 800G NIC (PCIe Gen6) ในปี 2026 — เป็นการ์ดที่ใช้ในสถาปัตยกรรม Helios rack-scale แบบเดียวกับ MI400 Series AI GPU ของ AMD

    ✅ AMD เปิดตัว Pollara 400 AI NIC สำหรับ PCIe Gen5 รองรับ Ultra Ethernet (UEC)  
    • รองรับ RDMA, RCCL, congestion control และ failover routing  
    • ใช้งานได้หลายแบบ: 1x400G, 2x200G, 4x100G

    ✅ Performance สูงกว่า ConnectX-7 และ Broadcom Thor2  
    • RDMA เร็วขึ้น 10–20%  
    • ลด idle time ของ GPU ได้ใน AI workloads ขนาดใหญ่

    ✅ ออกแบบแบบ open-standard, รองรับ multi-vendor ecosystem  
    • ไม่ผูกกับ proprietary protocol แบบ NVLink หรือ Infiniband  
    • ช่วยให้องค์กรใหญ่สามารถเลือก hardware ได้ยืดหยุ่นขึ้น

    ✅ มีแผนเปิดตัว Vulcano 800G ในปี 2026 รองรับ PCIe Gen6 + UALink + UEC  
    • ใช้กับ Helios architecture ของ AMD สำหรับ rack-scale AI cluster  
    • แข่งตรงกับ ConnectX-8 และแพลตฟอร์ม GPU GB200 จาก NVIDIA

    ✅ Oracle Cloud เป็นผู้ใช้งานกลุ่มแรกของเทคโนโลยี UEC + AMD NIC  
    • มุ่งเป้า hyperscaler และ cloud provider เป็นหลัก

    ✅ รองรับการมอนิเตอร์ระดับคลัสเตอร์ เพิ่ม observability และ reliability  
    • ช่วยดูปัญหา network choke point ได้แบบละเอียด

    ‼️ มาตรฐาน Ultra Ethernet (UEC) ยังใหม่มาก — อุตสาหกรรมยังอยู่ช่วง transition  
    • ecosystem อาจยังไม่พร้อมเต็มที่ รองรับ hardware/software บางตัวต้องอัปเดตตาม

    ‼️ เทียบกับโซลูชัน NVIDIA ที่ใช้ NVLink/Infiniband ประสิทธิภาพในบาง use case อาจยังห่างกัน  
    • โดยเฉพาะงานที่ผูกกับ stack ของ NVIDIA เช่น LLM แบบเฉพาะ

    ‼️ PCIe Gen6 และ 800G ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — NIC Vulcano ยังไม่พร้อมใช้จริงจนถึงปี 2026  
    • องค์กรที่วางแผนลงทุนล่วงหน้า ควรประเมิน roadmap ให้รอบคอบ

    ‼️ การใช้ multi-vendor network แม้จะเปิดเสรี แต่การ debug และ tuning ซับซ้อนกว่าระบบปิดแบบ proprietary  
    • ต้องมีทีม engineer ที่เข้าใจ protocol ระดับลึก

    https://www.techradar.com/pro/amd-debuts-a-400gbe-ai-network-card-with-an-800gbe-pcie-gen6-nic-coming-in-2026-but-will-the-industry-be-ready
    หลายคนรู้ว่าในระบบ AI ขนาดใหญ่ แค่ GPU แรงอย่างเดียวไม่พอ — การ์ดเครือข่าย (NIC) ก็เป็นหัวใจสำคัญ เพราะมันคือสะพานเชื่อมระหว่างเซิร์ฟเวอร์ GPU นับพันตัว การดีเลย์หรือข้อมูลติดคอแม้เพียง 1% ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพ AI cluster ตกฮวบ AMD จึงเปิดตัว Pollara 400 NIC สำหรับ PCIe Gen5 ที่รองรับแบนด์วิดธ์รวม 400Gbps มีฟีเจอร์อย่าง RDMA, RCCL, และที่สำคัญคือรองรับ มาตรฐาน Ultra Ethernet (UEC) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ Ethernet ก้าวทันการเชื่อม GPU ระดับซูเปอร์คลัสเตอร์ — ไม่ต้องผูกขาดกับโซลูชันเฉพาะเจ้าใดเจ้าเดียว Pollara 400 ออกแบบให้รองรับการลดเวลา idle ของ GPU โดยเฉพาะในงาน training AI ขนาดใหญ่ โดย AMD เคลมว่าทำ RDMA ได้เร็วกว่า ConnectX-7 ของ NVIDIA 10% และเร็วกว่า Thor2 ของ Broadcom ถึง 20% — ในคลัสเตอร์ใหญ่จะช่วยเพิ่ม throughput โดยรวมได้หลายเท่าตัว AMD ยังบอกด้วยว่า Oracle Cloud จะเป็น hyperscaler รายแรกที่นำ Pollara ไปใช้ และวางแผนเปิดตัวรุ่นถัดไปคือ Vulcano 800G NIC (PCIe Gen6) ในปี 2026 — เป็นการ์ดที่ใช้ในสถาปัตยกรรม Helios rack-scale แบบเดียวกับ MI400 Series AI GPU ของ AMD ✅ AMD เปิดตัว Pollara 400 AI NIC สำหรับ PCIe Gen5 รองรับ Ultra Ethernet (UEC)   • รองรับ RDMA, RCCL, congestion control และ failover routing   • ใช้งานได้หลายแบบ: 1x400G, 2x200G, 4x100G ✅ Performance สูงกว่า ConnectX-7 และ Broadcom Thor2   • RDMA เร็วขึ้น 10–20%   • ลด idle time ของ GPU ได้ใน AI workloads ขนาดใหญ่ ✅ ออกแบบแบบ open-standard, รองรับ multi-vendor ecosystem   • ไม่ผูกกับ proprietary protocol แบบ NVLink หรือ Infiniband   • ช่วยให้องค์กรใหญ่สามารถเลือก hardware ได้ยืดหยุ่นขึ้น ✅ มีแผนเปิดตัว Vulcano 800G ในปี 2026 รองรับ PCIe Gen6 + UALink + UEC   • ใช้กับ Helios architecture ของ AMD สำหรับ rack-scale AI cluster   • แข่งตรงกับ ConnectX-8 และแพลตฟอร์ม GPU GB200 จาก NVIDIA ✅ Oracle Cloud เป็นผู้ใช้งานกลุ่มแรกของเทคโนโลยี UEC + AMD NIC   • มุ่งเป้า hyperscaler และ cloud provider เป็นหลัก ✅ รองรับการมอนิเตอร์ระดับคลัสเตอร์ เพิ่ม observability และ reliability   • ช่วยดูปัญหา network choke point ได้แบบละเอียด ‼️ มาตรฐาน Ultra Ethernet (UEC) ยังใหม่มาก — อุตสาหกรรมยังอยู่ช่วง transition   • ecosystem อาจยังไม่พร้อมเต็มที่ รองรับ hardware/software บางตัวต้องอัปเดตตาม ‼️ เทียบกับโซลูชัน NVIDIA ที่ใช้ NVLink/Infiniband ประสิทธิภาพในบาง use case อาจยังห่างกัน   • โดยเฉพาะงานที่ผูกกับ stack ของ NVIDIA เช่น LLM แบบเฉพาะ ‼️ PCIe Gen6 และ 800G ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — NIC Vulcano ยังไม่พร้อมใช้จริงจนถึงปี 2026   • องค์กรที่วางแผนลงทุนล่วงหน้า ควรประเมิน roadmap ให้รอบคอบ ‼️ การใช้ multi-vendor network แม้จะเปิดเสรี แต่การ debug และ tuning ซับซ้อนกว่าระบบปิดแบบ proprietary   • ต้องมีทีม engineer ที่เข้าใจ protocol ระดับลึก https://www.techradar.com/pro/amd-debuts-a-400gbe-ai-network-card-with-an-800gbe-pcie-gen6-nic-coming-in-2026-but-will-the-industry-be-ready
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • ทุกวันนี้หลายคนยังใช้รหัสผ่านเดิม ๆ กับหลายบริการ—และแฮกเกอร์ก็ชอบแบบนั้นมาก เพราะพอหลุดรหัสหนึ่งที่ก็ใช้เดาเข้าอีกหลายแอปได้เลย

    แต่ Facebook เพิ่งประกาศว่า… “เราจะไม่ต้องจำรหัสอีกต่อไป!” เพราะตอนนี้แอปมือถือของ Facebook ทั้งบน Android และ iOS สามารถใช้ Passkey ได้แล้ว คือการล็อกอินแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านเลย ใช้ใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือ PIN เดียวกับที่คุณใช้ปลดล็อกเครื่อง

    และที่น่าตื่นเต้นคือ Facebook กับ Messenger กำลังจะ แชร์ passkey เดียวกันได้ด้วย หมายความว่า “สร้างรอบเดียว ใช้ได้สองแอป”

    คนที่อยากเปิดใช้เข้าไปที่ Settings > Accounts Center > เลือก Passkey ก็เริ่มได้ทันที หรือถ้ายังไม่เคยใช้ Facebook จะมีให้ตั้ง passkey ตอนล็อกอินครั้งต่อไป

    Meta ยังวางแผนจะเอา passkey ไปช่วยเติมข้อมูลบัตรใน Meta Pay อย่างปลอดภัยแบบอัตโนมัติอีกต่างหาก

    ✅ Facebook บนมือถือรองรับ Passkey แล้วอย่างเป็นทางการ  
    • ใช้ได้ทั้งบน iOS และ Android  
    • ใช้การปลดล็อกเครื่อง เช่น Face ID, Fingerprint หรือ PIN มาแทนรหัสผ่าน

    ✅ พัฒนาโดยความร่วมมือของ FIDO Alliance ซึ่ง Meta เป็นสมาชิก  
    • Passkey ปลอดภัยจาก phishing และไม่ถูกขโมยแบบรหัสผ่านทั่วไป

    ✅ สามารถจัดการ Passkey ได้ผ่าน Accounts Center ในแอป  
    • หรือจะตั้งผ่านหน้าล็อกอินครั้งถัดไปก็ได้

    ✅ Messenger จะรองรับ passkey ร่วมกับ Facebook ในไม่กี่เดือนข้างหน้า  
    • ใช้ passkey เดียวกันได้—ล็อกอินเร็วขึ้น

    ✅ Meta วางแผนใช้ Passkey กับ Meta Pay ในอนาคต  
    • ใช้ autofill ข้อมูลการชำระเงินอย่างปลอดภัย

    ‼️ Passkey ยังใช้ไม่ได้กับอุปกรณ์ทุกรุ่นหรือระบบทุกเวอร์ชัน  
    • ถ้าเครื่องเก่าหรือยังไม่รองรับ biometrics อาจยังต้องใช้รหัสผ่านแบบเดิม

    ‼️ Meta ยังไม่ยกเลิกรหัสผ่านเดิม 100%  
    • บัญชีที่สร้างมานาน หรืออุปกรณ์เก่า อาจยังต้องพึ่งพารหัสแบบดั้งเดิม

    ‼️ ถ้าเปลี่ยนอุปกรณ์โดยไม่ได้ backup หรือ sync บัญชี อาจล็อกอินด้วย passkey ไม่ได้  
    • ต้องแน่ใจว่าเปิดระบบ sync หรือใช้บัญชี Google/Apple ที่เชื่อมกับ passkey

    ‼️ บางคนเข้าใจผิดว่า passkey = รหัสผ่านแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่  
    • Passkey คือการยืนยันตัวตนแบบ “ไม่มีรหัสผ่าน” ใช้ biometrics หรือ PIN ในเครื่องแทน

    https://www.neowin.net/news/facebooks-mobile-app-is-finally-getting-support-for-passkeys/
    ทุกวันนี้หลายคนยังใช้รหัสผ่านเดิม ๆ กับหลายบริการ—และแฮกเกอร์ก็ชอบแบบนั้นมาก เพราะพอหลุดรหัสหนึ่งที่ก็ใช้เดาเข้าอีกหลายแอปได้เลย แต่ Facebook เพิ่งประกาศว่า… “เราจะไม่ต้องจำรหัสอีกต่อไป!” เพราะตอนนี้แอปมือถือของ Facebook ทั้งบน Android และ iOS สามารถใช้ Passkey ได้แล้ว คือการล็อกอินแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านเลย ใช้ใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือ PIN เดียวกับที่คุณใช้ปลดล็อกเครื่อง และที่น่าตื่นเต้นคือ Facebook กับ Messenger กำลังจะ แชร์ passkey เดียวกันได้ด้วย หมายความว่า “สร้างรอบเดียว ใช้ได้สองแอป” คนที่อยากเปิดใช้เข้าไปที่ Settings > Accounts Center > เลือก Passkey ก็เริ่มได้ทันที หรือถ้ายังไม่เคยใช้ Facebook จะมีให้ตั้ง passkey ตอนล็อกอินครั้งต่อไป Meta ยังวางแผนจะเอา passkey ไปช่วยเติมข้อมูลบัตรใน Meta Pay อย่างปลอดภัยแบบอัตโนมัติอีกต่างหาก ✅ Facebook บนมือถือรองรับ Passkey แล้วอย่างเป็นทางการ   • ใช้ได้ทั้งบน iOS และ Android   • ใช้การปลดล็อกเครื่อง เช่น Face ID, Fingerprint หรือ PIN มาแทนรหัสผ่าน ✅ พัฒนาโดยความร่วมมือของ FIDO Alliance ซึ่ง Meta เป็นสมาชิก   • Passkey ปลอดภัยจาก phishing และไม่ถูกขโมยแบบรหัสผ่านทั่วไป ✅ สามารถจัดการ Passkey ได้ผ่าน Accounts Center ในแอป   • หรือจะตั้งผ่านหน้าล็อกอินครั้งถัดไปก็ได้ ✅ Messenger จะรองรับ passkey ร่วมกับ Facebook ในไม่กี่เดือนข้างหน้า   • ใช้ passkey เดียวกันได้—ล็อกอินเร็วขึ้น ✅ Meta วางแผนใช้ Passkey กับ Meta Pay ในอนาคต   • ใช้ autofill ข้อมูลการชำระเงินอย่างปลอดภัย ‼️ Passkey ยังใช้ไม่ได้กับอุปกรณ์ทุกรุ่นหรือระบบทุกเวอร์ชัน   • ถ้าเครื่องเก่าหรือยังไม่รองรับ biometrics อาจยังต้องใช้รหัสผ่านแบบเดิม ‼️ Meta ยังไม่ยกเลิกรหัสผ่านเดิม 100%   • บัญชีที่สร้างมานาน หรืออุปกรณ์เก่า อาจยังต้องพึ่งพารหัสแบบดั้งเดิม ‼️ ถ้าเปลี่ยนอุปกรณ์โดยไม่ได้ backup หรือ sync บัญชี อาจล็อกอินด้วย passkey ไม่ได้   • ต้องแน่ใจว่าเปิดระบบ sync หรือใช้บัญชี Google/Apple ที่เชื่อมกับ passkey ‼️ บางคนเข้าใจผิดว่า passkey = รหัสผ่านแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่   • Passkey คือการยืนยันตัวตนแบบ “ไม่มีรหัสผ่าน” ใช้ biometrics หรือ PIN ในเครื่องแทน https://www.neowin.net/news/facebooks-mobile-app-is-finally-getting-support-for-passkeys/
    WWW.NEOWIN.NET
    Facebook's mobile app is finally getting support for passkeys
    Meta is finally introducing support for passkeys in its Facebook mobile apps on Android and iOS. However, accounts aren't becoming truly passwordless.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • "ทรัมป์ไม่เชื่อว่าระเบิด "Bunker Buster" GBU-57 จะทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านได้"

    รายงานจาก Axios ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ มีข้อสงสัยว่าระเบิด GBU-57A/B MOP (Massive Ordnance Penetrator) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงและทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิง Fordow (FFEP) ซึ่งเป็นโรงงานหลักของอิหร่านสำหรับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมระดับอาวุธ ซึ่งเชื่อว่าอยู่ลึกลงไปถึง 90 เมตรภายในภูเขาใกล้เมืองกอม(Qom) ทางตอนเหนือของอิหร่านได้จริงหรือไม่

    มีรายงานว่าทรัมป์ได้สอบถามที่ปรึกษาทางทหารของเขาโดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า "บังเกอร์บัสเตอร์" ขนาด 30,000 ปอนด์จะมีความสามารถในการทำลายโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์หรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมบอกกับประธานาธิบดีว่าพวกเขาเชื่อว่าจะทำสำเร็จ แม้ว่าจะไม่ทราบว่าประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อหรือไม่

    "บังเกอร์บัสเตอร์จะได้ผล ไม่ใช่เรื่องความสามารถ เรามีศักยภาพ และเราก็มีแผนทั้งหมดต่อจากนั้น (สำหรับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น) ไม่ใช่แค่ทิ้งบังเกอร์บัสเตอร์แล้วประกาศชัยชนะ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว

    ทางด้านเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลเชื่อว่าในที่สุดสหรัฐจะเข้าร่วมสงครามและช่วยทำลายโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ แต่ยืนกรานว่าพวกเขาก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับอาคารใต้ดินแห่งนี้ได้ แม้ว่าจะต้องดำเนินการเพียงลำพังก็ตาม (กรณีที่ทรัมป์ตัดสินใจถอนตัว) ทางเลือกหนึ่งอาจเป็นการบุกโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์โดยกองกำลังพิเศษของอิสราเอล ซึ่งคล้ายกับปฏิบัติการที่เห็นเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งกองกำลังอิสราเอลได้บุกโจมตีและทำลายโรงงานขีปนาวุธใต้ดินทางตอนเหนือของกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งกล่าวว่าอิสราเอลแจ้งต่อรัฐบาลทรัมป์ว่า แม้พวกเขาทำลายไม่ได้ด้วยระเบิด แต่พวกเขาอาจทำโดยใช้บุคคลเข้าไปในนั้น
    "ทรัมป์ไม่เชื่อว่าระเบิด "Bunker Buster" GBU-57 จะทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านได้" รายงานจาก Axios ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ มีข้อสงสัยว่าระเบิด GBU-57A/B MOP (Massive Ordnance Penetrator) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงและทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิง Fordow (FFEP) ซึ่งเป็นโรงงานหลักของอิหร่านสำหรับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมระดับอาวุธ ซึ่งเชื่อว่าอยู่ลึกลงไปถึง 90 เมตรภายในภูเขาใกล้เมืองกอม(Qom) ทางตอนเหนือของอิหร่านได้จริงหรือไม่ มีรายงานว่าทรัมป์ได้สอบถามที่ปรึกษาทางทหารของเขาโดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า "บังเกอร์บัสเตอร์" ขนาด 30,000 ปอนด์จะมีความสามารถในการทำลายโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์หรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมบอกกับประธานาธิบดีว่าพวกเขาเชื่อว่าจะทำสำเร็จ แม้ว่าจะไม่ทราบว่าประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อหรือไม่ "บังเกอร์บัสเตอร์จะได้ผล ไม่ใช่เรื่องความสามารถ เรามีศักยภาพ และเราก็มีแผนทั้งหมดต่อจากนั้น (สำหรับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น) ไม่ใช่แค่ทิ้งบังเกอร์บัสเตอร์แล้วประกาศชัยชนะ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว ทางด้านเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลเชื่อว่าในที่สุดสหรัฐจะเข้าร่วมสงครามและช่วยทำลายโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ แต่ยืนกรานว่าพวกเขาก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับอาคารใต้ดินแห่งนี้ได้ แม้ว่าจะต้องดำเนินการเพียงลำพังก็ตาม (กรณีที่ทรัมป์ตัดสินใจถอนตัว) ทางเลือกหนึ่งอาจเป็นการบุกโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์โดยกองกำลังพิเศษของอิสราเอล ซึ่งคล้ายกับปฏิบัติการที่เห็นเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งกองกำลังอิสราเอลได้บุกโจมตีและทำลายโรงงานขีปนาวุธใต้ดินทางตอนเหนือของกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งกล่าวว่าอิสราเอลแจ้งต่อรัฐบาลทรัมป์ว่า แม้พวกเขาทำลายไม่ได้ด้วยระเบิด แต่พวกเขาอาจทำโดยใช้บุคคลเข้าไปในนั้น
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • โลกกำลังจับตาดูผลลัพธ์!!!

    ขณะนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังอยู่ในห้องสถานการณ์ (Situation Room) ของทำเนียบขาว เพื่อหารือเกี่ยวกับสงครามอิหร่าน-อิสราเอลกับทีมงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของเขา ตามรายงานของ Axios
    โลกกำลังจับตาดูผลลัพธ์!!! ขณะนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังอยู่ในห้องสถานการณ์ (Situation Room) ของทำเนียบขาว เพื่อหารือเกี่ยวกับสงครามอิหร่าน-อิสราเอลกับทีมงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของเขา ตามรายงานของ Axios
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • ทำเนียบขาวกำลังหารือกับอิหร่านถึงความเป็นไปได้ของการพบปะกันในสัปดาห์นี้ระหว่างสตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนสหรัฐฯ และอับบาส อาราฆชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ตามแหล่งข่าวสี่รายที่ได้รับข้อมูลในประเด็นนี้

    -axios


    วัตถุประสงค์คือการหารือเกี่ยวกับการกลับมาเจรจาทางการทูตที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงนิวเคลียร์และการยุติสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านกันอีกครั้ง เนื่องจากการประชุมยังไม่แล้วเสร็จ และนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ที่ต้องการออกจากสงครามและกลับมาสู่การทำข้อตกลง

    คาดว่าทรัมป์จะใช้ระเบิดบังเกอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะฟอร์โดว์ของอิหร่าน (Iran’s Fordow enrichment facility) ซึ่งเป็นโรงงานนิวเคลียร์ที่มีการป้องกันอย่างแข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ลึกลงไปใต้ภูเขา เป็นจุดสำคัญในการโน้มน้าวให้อิหร่านบรรลุข้อตกลง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว

    สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ ทรัมป์ยังคงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโดยตรงกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่าน แต่เขาก็ยังยืนยันชัดเจนว่า อิหร่านจะต้องไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
    ทำเนียบขาวกำลังหารือกับอิหร่านถึงความเป็นไปได้ของการพบปะกันในสัปดาห์นี้ระหว่างสตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนสหรัฐฯ และอับบาส อาราฆชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ตามแหล่งข่าวสี่รายที่ได้รับข้อมูลในประเด็นนี้ -axios วัตถุประสงค์คือการหารือเกี่ยวกับการกลับมาเจรจาทางการทูตที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงนิวเคลียร์และการยุติสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านกันอีกครั้ง เนื่องจากการประชุมยังไม่แล้วเสร็จ และนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ที่ต้องการออกจากสงครามและกลับมาสู่การทำข้อตกลง คาดว่าทรัมป์จะใช้ระเบิดบังเกอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะฟอร์โดว์ของอิหร่าน (Iran’s Fordow enrichment facility) ซึ่งเป็นโรงงานนิวเคลียร์ที่มีการป้องกันอย่างแข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ลึกลงไปใต้ภูเขา เป็นจุดสำคัญในการโน้มน้าวให้อิหร่านบรรลุข้อตกลง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ ทรัมป์ยังคงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโดยตรงกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่าน แต่เขาก็ยังยืนยันชัดเจนว่า อิหร่านจะต้องไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • AMD อัปเดต AGESA 1.2.0.3e: รองรับ Ryzen 9000F และแก้ไขช่องโหว่ TPM
    AMD กำลังเตรียมปล่อย AGESA microcode update 1.2.0.3e ซึ่งมีข่าวลือว่าอาจรองรับ Ryzen 9000F-series โดยเฉพาะ Ryzen 7 9700F ที่ไม่มีกราฟิกในตัว นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ Pluton TPM และ fTPM ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ.

    รายละเอียดการอัปเดต
    ✅ AGESA 1.2.0.3e อาจรองรับ Ryzen 9000F-series ซึ่งเป็นซีพียูที่ไม่มีกราฟิกในตัว.
    ✅ Ryzen 7 9700F อาจเป็นรุ่นที่สูงสุดของ F-series โดยมี 8 คอร์ Zen 5 และ 32MB L3 Cache.
    ✅ AMD ใช้โมเดล F-series เพื่อรีไซเคิลชิปที่มีกราฟิกเสียหาย ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต.
    ✅ การอัปเดตนี้ยังแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ TPM ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ Ryzen 9000F อาจไม่มีประสิทธิภาพด้านกราฟิก ทำให้ต้องใช้ GPU แยกสำหรับการเล่นเกมหรือทำงานด้านกราฟิก.
    ‼️ ช่องโหว่ TPM อาจถูกใช้เพื่อโจมตีระบบ หากไม่ได้รับการอัปเดตอย่างเหมาะสม.
    ‼️ การอัปเดต BIOS อาจมีความเสี่ยง หากไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง อาจทำให้ระบบไม่สามารถบูตได้.

    แนวทางการอัปเดตและการใช้งาน
    ✅ ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดรองรับ AGESA 1.2.0.3e ก่อนทำการอัปเดต.
    ✅ ใช้ GPU แยกหากต้องการประสิทธิภาพด้านกราฟิก เนื่องจาก Ryzen 9000F ไม่มีกราฟิกในตัว.
    ✅ ติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยของ TPM เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ryzen 9000 และ AGESA
    ✅ AMD อาจเปิดตัว Ryzen 9000G-series ในไตรมาส 4 ปี 2025 สำหรับเมนบอร์ด AM5.
    ✅ Zen 6 Ryzen ถูกพบในฐานข้อมูล AIDA64 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการพัฒนา CPU รุ่นใหม่.
    ‼️ การอัปเดต BIOS ควรทำด้วยความระมัดระวัง และสำรองข้อมูลก่อนดำเนินการ.

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gpu-disabled-ryzen-9000f-support-suspected-in-agesa-firmware-update
    AMD อัปเดต AGESA 1.2.0.3e: รองรับ Ryzen 9000F และแก้ไขช่องโหว่ TPM AMD กำลังเตรียมปล่อย AGESA microcode update 1.2.0.3e ซึ่งมีข่าวลือว่าอาจรองรับ Ryzen 9000F-series โดยเฉพาะ Ryzen 7 9700F ที่ไม่มีกราฟิกในตัว นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ Pluton TPM และ fTPM ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ. รายละเอียดการอัปเดต ✅ AGESA 1.2.0.3e อาจรองรับ Ryzen 9000F-series ซึ่งเป็นซีพียูที่ไม่มีกราฟิกในตัว. ✅ Ryzen 7 9700F อาจเป็นรุ่นที่สูงสุดของ F-series โดยมี 8 คอร์ Zen 5 และ 32MB L3 Cache. ✅ AMD ใช้โมเดล F-series เพื่อรีไซเคิลชิปที่มีกราฟิกเสียหาย ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต. ✅ การอัปเดตนี้ยังแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของ TPM ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ Ryzen 9000F อาจไม่มีประสิทธิภาพด้านกราฟิก ทำให้ต้องใช้ GPU แยกสำหรับการเล่นเกมหรือทำงานด้านกราฟิก. ‼️ ช่องโหว่ TPM อาจถูกใช้เพื่อโจมตีระบบ หากไม่ได้รับการอัปเดตอย่างเหมาะสม. ‼️ การอัปเดต BIOS อาจมีความเสี่ยง หากไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง อาจทำให้ระบบไม่สามารถบูตได้. แนวทางการอัปเดตและการใช้งาน ✅ ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดรองรับ AGESA 1.2.0.3e ก่อนทำการอัปเดต. ✅ ใช้ GPU แยกหากต้องการประสิทธิภาพด้านกราฟิก เนื่องจาก Ryzen 9000F ไม่มีกราฟิกในตัว. ✅ ติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยของ TPM เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ryzen 9000 และ AGESA ✅ AMD อาจเปิดตัว Ryzen 9000G-series ในไตรมาส 4 ปี 2025 สำหรับเมนบอร์ด AM5. ✅ Zen 6 Ryzen ถูกพบในฐานข้อมูล AIDA64 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการพัฒนา CPU รุ่นใหม่. ‼️ การอัปเดต BIOS ควรทำด้วยความระมัดระวัง และสำรองข้อมูลก่อนดำเนินการ. https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gpu-disabled-ryzen-9000f-support-suspected-in-agesa-firmware-update
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    GPU-disabled Ryzen 9000F support suspected in AGESA firmware update
    The upcoming 1.2.0.3e AGESA microcode update also rectifies a TPM security vulnerability
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • 🔧 AMD ออก BIOS ใหม่เพื่อแก้ไขช่องโหว่ TPM
    AMD ได้ปล่อย BIOS อัปเดตใหม่ ที่ใช้เฟิร์มแวร์ AGESA 1.2.0.3e เพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ Trusted Platform Module (TPM) ซึ่งอาจถูกแฮกเกอร์ใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ

    ✅ รายละเอียดช่องโหว่ TPM
    - ช่องโหว่ CVE-2025-2884 มีคะแนนความรุนแรง 6.6 (ระดับกลาง)
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ out-of-bounds read เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เก็บอยู่ใน TPM
    - ช่องโหว่นี้สามารถถูกใช้ได้โดย สิทธิ์ระดับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับ kernel
    - ส่งผลกระทบต่อ CPU AMD ตั้งแต่ Zen+ ถึง Zen 5 รวมถึง Ryzen 3000 ถึง Ryzen 9000

    ‼️ ข้อควรระวัง
    - BIOS อัปเดตใหม่ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้เวอร์ชันเก่าได้ หลังจากติดตั้ง
    - ต้องตรวจสอบว่าเมนบอร์ดรองรับ BIOS ใหม่ ก่อนทำการอัปเดต
    - การอัปเดต BIOS อาจมีผลต่อการทำงานของระบบ ควรสำรองข้อมูลก่อนดำเนินการ

    🔍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และแนวทางแก้ไข
    ✅ การอัปเดต BIOS จากผู้ผลิตเมนบอร์ด
    - ผู้ผลิตเมนบอร์ด เช่น Asus และ MSI ได้เริ่มปล่อย BIOS ใหม่ที่ใช้ AGESA 1.2.0.3e
    - BIOS ใหม่ยังเพิ่มการรองรับ Ryzen 9000F series ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบ เว็บไซต์ของผู้ผลิตเมนบอร์ด เพื่อดูว่ามีอัปเดตสำหรับรุ่นของตนหรือไม่

    ‼️ ข้อควรระวังในการอัปเดต BIOS
    - หากอัปเดตผิดพลาด อาจทำให้ระบบไม่สามารถบูตได้ ต้องใช้วิธีรีเซ็ต BIOS
    - ต้องใช้ไฟล์ BIOS ที่ตรงกับรุ่นเมนบอร์ด เพื่อป้องกันปัญหาความเข้ากันได้
    - ควรใช้เครื่องมืออัปเดต BIOS ที่แนะนำโดยผู้ผลิต เพื่อความปลอดภัย

    🌍 แนวโน้มด้านความปลอดภัยของ CPU
    ✅ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AMD
    - AMD Zen 5 ยังได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ microcode ที่อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต
    - Gigabyte ได้ปล่อย BIOS อัปเดตสำหรับ TRX50 เพื่อแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้
    - AMD แนะนำให้ผู้ใช้ Ryzen 9000 อัปเดต BIOS เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบูตเครื่อง

    ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยของ CPU
    - ต้องติดตามการอัปเดต BIOS อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่ใหม่ที่อาจถูกค้นพบ
    - ควรใช้ TPM อย่างระมัดระวัง โดยตั้งค่าความปลอดภัยให้เหมาะสมกับการใช้งาน
    - ต้องมีมาตรการป้องกันเพิ่มเติม เช่น การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยร่วมกับ TPM

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-partners-roll-out-new-bios-updates-to-patch-tpm-vulnerability-error-with-amd-cpus-addressed-with-agesa-1-2-0-3e
    🔧 AMD ออก BIOS ใหม่เพื่อแก้ไขช่องโหว่ TPM AMD ได้ปล่อย BIOS อัปเดตใหม่ ที่ใช้เฟิร์มแวร์ AGESA 1.2.0.3e เพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ Trusted Platform Module (TPM) ซึ่งอาจถูกแฮกเกอร์ใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ TPM - ช่องโหว่ CVE-2025-2884 มีคะแนนความรุนแรง 6.6 (ระดับกลาง) - แฮกเกอร์สามารถใช้ out-of-bounds read เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เก็บอยู่ใน TPM - ช่องโหว่นี้สามารถถูกใช้ได้โดย สิทธิ์ระดับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับ kernel - ส่งผลกระทบต่อ CPU AMD ตั้งแต่ Zen+ ถึง Zen 5 รวมถึง Ryzen 3000 ถึง Ryzen 9000 ‼️ ข้อควรระวัง - BIOS อัปเดตใหม่ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้เวอร์ชันเก่าได้ หลังจากติดตั้ง - ต้องตรวจสอบว่าเมนบอร์ดรองรับ BIOS ใหม่ ก่อนทำการอัปเดต - การอัปเดต BIOS อาจมีผลต่อการทำงานของระบบ ควรสำรองข้อมูลก่อนดำเนินการ 🔍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และแนวทางแก้ไข ✅ การอัปเดต BIOS จากผู้ผลิตเมนบอร์ด - ผู้ผลิตเมนบอร์ด เช่น Asus และ MSI ได้เริ่มปล่อย BIOS ใหม่ที่ใช้ AGESA 1.2.0.3e - BIOS ใหม่ยังเพิ่มการรองรับ Ryzen 9000F series ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว - ผู้ใช้ควรตรวจสอบ เว็บไซต์ของผู้ผลิตเมนบอร์ด เพื่อดูว่ามีอัปเดตสำหรับรุ่นของตนหรือไม่ ‼️ ข้อควรระวังในการอัปเดต BIOS - หากอัปเดตผิดพลาด อาจทำให้ระบบไม่สามารถบูตได้ ต้องใช้วิธีรีเซ็ต BIOS - ต้องใช้ไฟล์ BIOS ที่ตรงกับรุ่นเมนบอร์ด เพื่อป้องกันปัญหาความเข้ากันได้ - ควรใช้เครื่องมืออัปเดต BIOS ที่แนะนำโดยผู้ผลิต เพื่อความปลอดภัย 🌍 แนวโน้มด้านความปลอดภัยของ CPU ✅ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AMD - AMD Zen 5 ยังได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ microcode ที่อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต - Gigabyte ได้ปล่อย BIOS อัปเดตสำหรับ TRX50 เพื่อแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้ - AMD แนะนำให้ผู้ใช้ Ryzen 9000 อัปเดต BIOS เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบูตเครื่อง ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยของ CPU - ต้องติดตามการอัปเดต BIOS อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่ใหม่ที่อาจถูกค้นพบ - ควรใช้ TPM อย่างระมัดระวัง โดยตั้งค่าความปลอดภัยให้เหมาะสมกับการใช้งาน - ต้องมีมาตรการป้องกันเพิ่มเติม เช่น การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยร่วมกับ TPM https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-partners-roll-out-new-bios-updates-to-patch-tpm-vulnerability-error-with-amd-cpus-addressed-with-agesa-1-2-0-3e
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอลกล่าวกับ Axios ว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนริเริ่มทางการทูตที่จริงจังเพื่อยุติสงครามกับอิหร่าน เพราะยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมด โดยเฉพาะในการทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอลกล่าวกับ Axios ว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนริเริ่มทางการทูตที่จริงจังเพื่อยุติสงครามกับอิหร่าน เพราะยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมด โดยเฉพาะในการทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • สหรัฐปฏิเสธคำขอของเนทันยาฮูที่จะเข้าร่วมสงครามโดยตรง

    - Axios รายงาน
    สหรัฐปฏิเสธคำขอของเนทันยาฮูที่จะเข้าร่วมสงครามโดยตรง - Axios รายงาน
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • 📱 การเติบโตของการใช้งานเว็บบนมือถือแตะระดับสูงสุดที่ 64%
    การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด คิดเป็น 64% ของทราฟฟิกเว็บทั้งหมด ซึ่งเป็น การเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่แปด

    🔍 ปัจจัยที่ทำให้การใช้งานเว็บบนมือถือเพิ่มขึ้น
    ✅ การเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชีย
    - ในเอเชีย การใช้งานเว็บผ่านมือถือคิดเป็น 71.3% ของทราฟฟิกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 7%
    - ยุโรปและอเมริกามีสัดส่วนการใช้งานมือถืออยู่ที่ประมาณ 50%

    ✅ Android ครองตลาดการใช้งานเว็บบนมือถือ
    - Android มีส่วนแบ่งตลาด 72.72% ในการเข้าถึงเว็บผ่านมือถือ
    - iOS มีส่วนแบ่ง 26.92% โดยได้รับความนิยมมากกว่าในสหรัฐฯ
    - Android ครองตลาดในประเทศที่มีประชากรสูง เช่น อินเดียและจีน

    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีมือถือช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
    - สมาร์ทโฟนระดับกลางและราคาประหยัดรองรับ 4G/5G และโหมดประหยัดข้อมูล
    - Cloudflare รายงานว่า Android มีส่วนแบ่งมากกว่า 90% ของทราฟฟิกมือถือในกว่า 25 ประเทศ

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต
    ‼️ การพึ่งพาอุปกรณ์มือถืออาจทำให้การพัฒนาเว็บต้องปรับตัว
    - เว็บไซต์ต้องออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากขึ้น

    ‼️ การแข่งขันระหว่าง Android และ iOS ยังคงดำเนินต่อไป
    - Apple อาจต้องพัฒนา iOS ให้สามารถแข่งขันกับ Android ในตลาดโลกได้ดีขึ้น

    ‼️ ต้องติดตามว่าแนวโน้มนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอย่างไร
    - การเพิ่มขึ้นของทราฟฟิกมือถืออาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต

    🚀 อนาคตของการใช้งานเว็บบนมือถือ
    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในประเทศกำลังพัฒนา ✅ แนวโน้มการใช้งานมือถืออาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องปรับกลยุทธ์การตลาดและพัฒนาแอปพลิเคชันให้เหมาะสมกับมือถือมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/108305-global-mobile-web-traffic-hits-record-high-64.html
    📱 การเติบโตของการใช้งานเว็บบนมือถือแตะระดับสูงสุดที่ 64% การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด คิดเป็น 64% ของทราฟฟิกเว็บทั้งหมด ซึ่งเป็น การเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่แปด 🔍 ปัจจัยที่ทำให้การใช้งานเว็บบนมือถือเพิ่มขึ้น ✅ การเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชีย - ในเอเชีย การใช้งานเว็บผ่านมือถือคิดเป็น 71.3% ของทราฟฟิกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 7% - ยุโรปและอเมริกามีสัดส่วนการใช้งานมือถืออยู่ที่ประมาณ 50% ✅ Android ครองตลาดการใช้งานเว็บบนมือถือ - Android มีส่วนแบ่งตลาด 72.72% ในการเข้าถึงเว็บผ่านมือถือ - iOS มีส่วนแบ่ง 26.92% โดยได้รับความนิยมมากกว่าในสหรัฐฯ - Android ครองตลาดในประเทศที่มีประชากรสูง เช่น อินเดียและจีน ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีมือถือช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น - สมาร์ทโฟนระดับกลางและราคาประหยัดรองรับ 4G/5G และโหมดประหยัดข้อมูล - Cloudflare รายงานว่า Android มีส่วนแบ่งมากกว่า 90% ของทราฟฟิกมือถือในกว่า 25 ประเทศ 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต ‼️ การพึ่งพาอุปกรณ์มือถืออาจทำให้การพัฒนาเว็บต้องปรับตัว - เว็บไซต์ต้องออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากขึ้น ‼️ การแข่งขันระหว่าง Android และ iOS ยังคงดำเนินต่อไป - Apple อาจต้องพัฒนา iOS ให้สามารถแข่งขันกับ Android ในตลาดโลกได้ดีขึ้น ‼️ ต้องติดตามว่าแนวโน้มนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอย่างไร - การเพิ่มขึ้นของทราฟฟิกมือถืออาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต 🚀 อนาคตของการใช้งานเว็บบนมือถือ ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในประเทศกำลังพัฒนา ✅ แนวโน้มการใช้งานมือถืออาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องปรับกลยุทธ์การตลาดและพัฒนาแอปพลิเคชันให้เหมาะสมกับมือถือมากขึ้น https://www.techspot.com/news/108305-global-mobile-web-traffic-hits-record-high-64.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Mobile web traffic hits record 64%, with Android leading the way
    Since 2015, the amount of web traffic to come from smartphones has more than doubled from 31.16% to 64%. There have been quarters during the decade when...
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • 🔐 ช่องโหว่ Secure Boot ใน Windows อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์ติดตั้งมัลแวร์
    Microsoft ได้แก้ไข ช่องโหว่ Secure Boot ที่ถูกค้นพบโดย Binarly ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ ปิดระบบรักษาความปลอดภัยและติดตั้ง bootkit malware บนพีซีได้

    ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับ BIOS update utility ที่ลงนามด้วย Microsoft’s UEFI CA 2011 certificate ซึ่ง สามารถอ่านและแก้ไขตัวแปร NVRAM ได้โดยไม่มีการตรวจสอบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ช่องโหว่ Secure Boot ถูกค้นพบโดย Binarly และได้รับการแก้ไขใน Patch Tuesday เดือนมิถุนายน 2025
    - ช่องโหว่เกิดจาก BIOS update utility ที่ลงนามด้วย Microsoft’s UEFI CA 2011 certificate
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อปิด Secure Boot และรันโมดูล UEFI ที่ไม่ได้ลงนาม
    - ช่องโหว่นี้ถูกพบในปี 2022 และถูกอัปโหลดไปยัง VirusTotal ในปี 2024 ก่อนถูกแจ้งให้ Microsoft ทราบในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
    - Microsoft พบว่าช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ 14 โมดูล และได้แก้ไขทั้งหมดในอัปเดตล่าสุด

    ⚠️ ผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้
    ช่องโหว่นี้ อาจทำให้มัลแวร์ฝังตัวอยู่ในระบบได้แม้จะเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์ และ อาจถูกใช้ในการโจมตีระดับสูงที่ต้องการเข้าถึงระบบอย่างลึกซึ้ง

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ควรอัปเดต Windows เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันช่องโหว่นี้
    - แฮกเกอร์ที่มีสิทธิ์ admin สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเขียนข้อมูลลงในหน่วยความจำระหว่างกระบวนการบูต
    - ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ในการโจมตีที่ไม่สามารถลบออกได้ แม้จะติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่
    - ต้องติดตามว่ามีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้หรือไม่

    🚀 อนาคตของ Secure Boot และการรักษาความปลอดภัย
    Microsoft กำลังปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยของ Secure Boot และ อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ UEFI เพื่อป้องกันช่องโหว่ในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/security/a-worrying-windows-secureboot-issue-could-let-hackers-install-malware-heres-what-we-know-and-whether-you-need-to-update
    🔐 ช่องโหว่ Secure Boot ใน Windows อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์ติดตั้งมัลแวร์ Microsoft ได้แก้ไข ช่องโหว่ Secure Boot ที่ถูกค้นพบโดย Binarly ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ ปิดระบบรักษาความปลอดภัยและติดตั้ง bootkit malware บนพีซีได้ ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับ BIOS update utility ที่ลงนามด้วย Microsoft’s UEFI CA 2011 certificate ซึ่ง สามารถอ่านและแก้ไขตัวแปร NVRAM ได้โดยไม่มีการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ช่องโหว่ Secure Boot ถูกค้นพบโดย Binarly และได้รับการแก้ไขใน Patch Tuesday เดือนมิถุนายน 2025 - ช่องโหว่เกิดจาก BIOS update utility ที่ลงนามด้วย Microsoft’s UEFI CA 2011 certificate - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อปิด Secure Boot และรันโมดูล UEFI ที่ไม่ได้ลงนาม - ช่องโหว่นี้ถูกพบในปี 2022 และถูกอัปโหลดไปยัง VirusTotal ในปี 2024 ก่อนถูกแจ้งให้ Microsoft ทราบในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 - Microsoft พบว่าช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ 14 โมดูล และได้แก้ไขทั้งหมดในอัปเดตล่าสุด ⚠️ ผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ช่องโหว่นี้ อาจทำให้มัลแวร์ฝังตัวอยู่ในระบบได้แม้จะเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์ และ อาจถูกใช้ในการโจมตีระดับสูงที่ต้องการเข้าถึงระบบอย่างลึกซึ้ง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ควรอัปเดต Windows เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันช่องโหว่นี้ - แฮกเกอร์ที่มีสิทธิ์ admin สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเขียนข้อมูลลงในหน่วยความจำระหว่างกระบวนการบูต - ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ในการโจมตีที่ไม่สามารถลบออกได้ แม้จะติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ - ต้องติดตามว่ามีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้หรือไม่ 🚀 อนาคตของ Secure Boot และการรักษาความปลอดภัย Microsoft กำลังปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยของ Secure Boot และ อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ UEFI เพื่อป้องกันช่องโหว่ในอนาคต https://www.techradar.com/pro/security/a-worrying-windows-secureboot-issue-could-let-hackers-install-malware-heres-what-we-know-and-whether-you-need-to-update
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • 🔧 ปัญหาความเข้ากันได้ของ RTX 50 Series กับเมนบอร์ด EVGA
    ผู้ใช้เมนบอร์ด EVGA Z690 กำลังเผชิญกับ ปัญหาการบูตเครื่องเมื่อใช้กับการ์ดจอ RTX 50 Series โดยพบว่า SMBUS pins บนเมนบอร์ดทำให้เกิดความขัดแย้งกับ GPU ของ Nvidia

    EVGA ถอนตัวจากตลาด GPU ในปี 2022 และลดขนาดธุรกิจลงอย่างมาก ส่งผลให้ การสนับสนุนซอฟต์แวร์ลดลง และอาจเป็น สาเหตุของปัญหาความเข้ากันได้กับการ์ดจอรุ่นใหม่

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ผู้ใช้เมนบอร์ด EVGA Z690 พบปัญหาบูตเครื่องเมื่อใช้กับ RTX 50 Series
    - SMBUS pins บนเมนบอร์ดทำให้เกิดความขัดแย้งกับ GPU ของ Nvidia
    - EVGA ถอนตัวจากตลาด GPU ในปี 2022 และลดขนาดธุรกิจลง
    - ผู้ใช้บางรายแก้ปัญหาโดยใช้เทป Kapton ปิด SMBUS pins บน PCIe connector ของ GPU
    - เมนบอร์ด EVGA รุ่นอื่น ๆ เช่น Z790 ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้

    🔥 วิธีแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ค้นพบ
    ผู้ใช้บางราย ใช้เทป Kapton กว้าง 2 มม. ปิด SMBUS pins (pins 5 และ 6) บน PCIe connector ของ GPU เพื่อ หยุดสัญญาณ SMBUS ไม่ให้ส่งไปยังการ์ดจอ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้เทป Kapton ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออื่น ๆ
    - EVGA ยังไม่มีการประกาศแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นทางการ
    - การแก้ไขด้วยเทปเป็นเพียงวิธีชั่วคราว และอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในระยะยาว
    - ต้องติดตามว่า Nvidia หรือ EVGA จะออกอัปเดต BIOS เพื่อแก้ไขปัญหานี้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/evga-motherboard-owners-furious-over-modern-gpu-issues-diy-users-resort-to-taping-over-pins-to-fix-rtx-50-series-problem-on-z690-boards
    🔧 ปัญหาความเข้ากันได้ของ RTX 50 Series กับเมนบอร์ด EVGA ผู้ใช้เมนบอร์ด EVGA Z690 กำลังเผชิญกับ ปัญหาการบูตเครื่องเมื่อใช้กับการ์ดจอ RTX 50 Series โดยพบว่า SMBUS pins บนเมนบอร์ดทำให้เกิดความขัดแย้งกับ GPU ของ Nvidia EVGA ถอนตัวจากตลาด GPU ในปี 2022 และลดขนาดธุรกิจลงอย่างมาก ส่งผลให้ การสนับสนุนซอฟต์แวร์ลดลง และอาจเป็น สาเหตุของปัญหาความเข้ากันได้กับการ์ดจอรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ผู้ใช้เมนบอร์ด EVGA Z690 พบปัญหาบูตเครื่องเมื่อใช้กับ RTX 50 Series - SMBUS pins บนเมนบอร์ดทำให้เกิดความขัดแย้งกับ GPU ของ Nvidia - EVGA ถอนตัวจากตลาด GPU ในปี 2022 และลดขนาดธุรกิจลง - ผู้ใช้บางรายแก้ปัญหาโดยใช้เทป Kapton ปิด SMBUS pins บน PCIe connector ของ GPU - เมนบอร์ด EVGA รุ่นอื่น ๆ เช่น Z790 ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ 🔥 วิธีแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ค้นพบ ผู้ใช้บางราย ใช้เทป Kapton กว้าง 2 มม. ปิด SMBUS pins (pins 5 และ 6) บน PCIe connector ของ GPU เพื่อ หยุดสัญญาณ SMBUS ไม่ให้ส่งไปยังการ์ดจอ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้เทป Kapton ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออื่น ๆ - EVGA ยังไม่มีการประกาศแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นทางการ - การแก้ไขด้วยเทปเป็นเพียงวิธีชั่วคราว และอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในระยะยาว - ต้องติดตามว่า Nvidia หรือ EVGA จะออกอัปเดต BIOS เพื่อแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/evga-motherboard-owners-furious-over-modern-gpu-issues-diy-users-resort-to-taping-over-pins-to-fix-rtx-50-series-problem-on-z690-boards
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • 🎨 เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อจัดระเบียบไฟล์ให้เป็นระเบียบมากขึ้น
    Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ จัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเลือก 16 สีที่แตกต่างกัน เพื่อให้โฟลเดอร์มีความโดดเด่นและค้นหาได้ง่ายขึ้น

    ฟีเจอร์นี้ แตกต่างจากการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer เนื่องจาก สีของโฟลเดอร์จะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อช่วยจัดระเบียบไฟล์
    - สามารถเลือกสีได้ 16 สี และสีจะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ
    - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive
    - กำลังจะเปิดตัวบนแอป OneDrive สำหรับ Android และ iOS ในเร็ว ๆ นี้
    - สำหรับบัญชีธุรกิจ สามารถเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ผ่าน OneDrive เวอร์ชันเว็บได้

    🔥 ผลกระทบต่อการจัดการไฟล์
    การเพิ่มสีให้กับโฟลเดอร์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ ผู้ที่มีโฟลเดอร์จำนวนมากและต้องการแยกประเภทไฟล์อย่างรวดเร็ว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวใน OneDrive เวอร์ชันเว็บ
    - ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณรองรับการซิงค์สีโฟลเดอร์หรือไม่
    - การเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ไม่สามารถใช้แทนการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer
    - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์นี้ให้กับบัญชีส่วนตัวในอนาคตหรือไม่

    https://www.neowin.net/guides/how-to-change-folder-colors-in-onedrive/
    🎨 เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อจัดระเบียบไฟล์ให้เป็นระเบียบมากขึ้น Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ จัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเลือก 16 สีที่แตกต่างกัน เพื่อให้โฟลเดอร์มีความโดดเด่นและค้นหาได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ แตกต่างจากการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer เนื่องจาก สีของโฟลเดอร์จะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อช่วยจัดระเบียบไฟล์ - สามารถเลือกสีได้ 16 สี และสีจะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive - กำลังจะเปิดตัวบนแอป OneDrive สำหรับ Android และ iOS ในเร็ว ๆ นี้ - สำหรับบัญชีธุรกิจ สามารถเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ผ่าน OneDrive เวอร์ชันเว็บได้ 🔥 ผลกระทบต่อการจัดการไฟล์ การเพิ่มสีให้กับโฟลเดอร์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ ผู้ที่มีโฟลเดอร์จำนวนมากและต้องการแยกประเภทไฟล์อย่างรวดเร็ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวใน OneDrive เวอร์ชันเว็บ - ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณรองรับการซิงค์สีโฟลเดอร์หรือไม่ - การเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ไม่สามารถใช้แทนการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์นี้ให้กับบัญชีส่วนตัวในอนาคตหรือไม่ https://www.neowin.net/guides/how-to-change-folder-colors-in-onedrive/
    WWW.NEOWIN.NET
    How to change folder colors in OneDrive
    Did you know that OneDrive lets you change folder colors? Here is how to do that so that you have more personalized cloud storage.
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • 🔓 ใช้ AI ปลดล็อก SecureBoot และติดตั้ง OS ใหม่บนอุปกรณ์ที่ล็อกไว้
    นักพัฒนาจาก XDA Forums ได้ใช้ ChatGPT ร่วมกับ CH341A flash programmer เพื่อ ปลดล็อก SecureBoot และ Factory Reset Protection (FRP) บน Panasonic ToughPad FZ-A2 ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่ถูกล็อกไว้ด้วย Android 6.0

    🔍 วิธีการปลดล็อก SecureBoot
    นักพัฒนารายนี้ใช้ CH341A flash programmer เพื่อ ดึงข้อมูล BIOS ของอุปกรณ์ จากนั้น อัปโหลด BIOS ไปยัง ChatGPT พร้อมคำสั่งให้ ปิด SecureBoot และลบคีย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ ก่อนจะ แฟลช BIOS ที่แก้ไขกลับไปยังอุปกรณ์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ใช้ ChatGPT และ CH341A flash programmer เพื่อปลดล็อก SecureBoot
    - อัปโหลด BIOS ไปยัง ChatGPT พร้อมคำสั่งให้ปิด SecureBoot และลบคีย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์
    - แฟลช BIOS ที่แก้ไขกลับไปยังอุปกรณ์ และสามารถติดตั้ง Windows 10 และ Linux Mint ได้
    - Panasonic ToughPad FZ-A2 เดิมถูกล็อกด้วย Factory Reset Protection (FRP)
    - นักพัฒนารายนี้อ้างว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการปลดล็อกนี้บนอินเทอร์เน็ต และอาจเป็นคนแรกที่ทำสำเร็จ

    🔥 ผลกระทบต่อการนำอุปกรณ์เก่ากลับมาใช้ใหม่
    การปลดล็อก SecureBoot และ FRP อาจช่วยให้สามารถนำอุปกรณ์เก่าที่ถูกล็อกกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยเฉพาะ แล็ปท็ปและแท็บเล็ตที่ถูกล็อกด้วยเฟิร์มแวร์ขององค์กร

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแก้ไข BIOS อาจทำให้อุปกรณ์ไม่สามารถบูตได้หากเกิดข้อผิดพลาด
    = SecureBoot ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดตั้ง OS ที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - การปลดล็อกอุปกรณ์ที่ถูกล็อกโดยองค์กรอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
    - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในการแก้ไข BIOS จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรม IT อย่างไร

    การใช้ AI เพื่อช่วยแก้ไข BIOS อาจช่วยให้สามารถนำอุปกรณ์เก่ากลับมาใช้ใหม่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะเพิ่มมาตรการป้องกัน SecureBoot และ FRP ในอนาคตหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-used-to-disable-secureboot-in-locked-down-device-modded-bios-reflash-facilitated-fresh-windows-and-linux-installs
    🔓 ใช้ AI ปลดล็อก SecureBoot และติดตั้ง OS ใหม่บนอุปกรณ์ที่ล็อกไว้ นักพัฒนาจาก XDA Forums ได้ใช้ ChatGPT ร่วมกับ CH341A flash programmer เพื่อ ปลดล็อก SecureBoot และ Factory Reset Protection (FRP) บน Panasonic ToughPad FZ-A2 ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่ถูกล็อกไว้ด้วย Android 6.0 🔍 วิธีการปลดล็อก SecureBoot นักพัฒนารายนี้ใช้ CH341A flash programmer เพื่อ ดึงข้อมูล BIOS ของอุปกรณ์ จากนั้น อัปโหลด BIOS ไปยัง ChatGPT พร้อมคำสั่งให้ ปิด SecureBoot และลบคีย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ ก่อนจะ แฟลช BIOS ที่แก้ไขกลับไปยังอุปกรณ์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ใช้ ChatGPT และ CH341A flash programmer เพื่อปลดล็อก SecureBoot - อัปโหลด BIOS ไปยัง ChatGPT พร้อมคำสั่งให้ปิด SecureBoot และลบคีย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ - แฟลช BIOS ที่แก้ไขกลับไปยังอุปกรณ์ และสามารถติดตั้ง Windows 10 และ Linux Mint ได้ - Panasonic ToughPad FZ-A2 เดิมถูกล็อกด้วย Factory Reset Protection (FRP) - นักพัฒนารายนี้อ้างว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการปลดล็อกนี้บนอินเทอร์เน็ต และอาจเป็นคนแรกที่ทำสำเร็จ 🔥 ผลกระทบต่อการนำอุปกรณ์เก่ากลับมาใช้ใหม่ การปลดล็อก SecureBoot และ FRP อาจช่วยให้สามารถนำอุปกรณ์เก่าที่ถูกล็อกกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยเฉพาะ แล็ปท็ปและแท็บเล็ตที่ถูกล็อกด้วยเฟิร์มแวร์ขององค์กร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแก้ไข BIOS อาจทำให้อุปกรณ์ไม่สามารถบูตได้หากเกิดข้อผิดพลาด = SecureBoot ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดตั้ง OS ที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - การปลดล็อกอุปกรณ์ที่ถูกล็อกโดยองค์กรอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในการแก้ไข BIOS จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรม IT อย่างไร การใช้ AI เพื่อช่วยแก้ไข BIOS อาจช่วยให้สามารถนำอุปกรณ์เก่ากลับมาใช้ใหม่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะเพิ่มมาตรการป้องกัน SecureBoot และ FRP ในอนาคตหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-used-to-disable-secureboot-in-locked-down-device-modded-bios-reflash-facilitated-fresh-windows-and-linux-installs
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • แอปพลิเคชันสำหรับ **การติดต่อสื่อสารโดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต (เน็ต)** ส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี **Bluetooth, ระบบ Mesh Network (เครือข่ายใยแมงมุม) หรือสัญญาณวิทยุ** แทนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตปกติ นี่คือตัวเลือกที่น่าสนใจ:

    ### 1. **Bridgefy (บลูทูธ + Mesh Network)**
    - **วิธีทำงาน**: เชื่อมต่อผ่าน **บลูทูธ** ในระยะใกล้ (~100 เมตร) หรือส่งต่อข้อความแบบ **Mesh Network** ในพื้นที่กว้าง (เช่น ในคอนเสิร์ตหรือชุมชน) โดยไม่ใช้เน็ต
    - **เหมาะกับ**: พื้นที่คนเยอะ, งานกิจกรรมกลางแจ้ง, ภัยพิบัติที่สัญญาณขาด
    - **ระบบ**: iOS/Android
    - **ข้อควรรู้**: ต้องมีคนใช้แอปในบริเวณนั้นเพื่อส่งต่อข้อความ

    ### 2. **FireChat (Mesh Network)**
    - **วิธีทำงาน**: สร้างเครือข่ายเฉพาะกิจผ่าน **บลูทูธ/Wi-Fi Direct** โดยอุปกรณ์รอบตัวช่วยส่งข้อความแบบลูกโซ่
    - **เหมาะกับ**: เหตุการณ์ฉุกเฉิน, พื้นที่ห่างไกล
    - **ระบบ**: iOS/Android

    ### 3. **Briar (บลูทูธ/Wi-Fi Direct + Tor)**
    - **วิธีทำงาน**: เน้น **ความเป็นส่วนตัวสูง** เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ/Wi-Fi Direct หรือใช้ Tor เมื่อมีเน็ต
    - **เหมาะกับ**: ผู้ต้องการความปลอดภัย, นักกิจกรรม
    - **ระบบ**: Android เท่านั้น

    ### 4. **Walkie-Talkie แบบดิจิทัล**
    - **เช่น Zello**: ทำงานผ่าน **สัญญาณมือถือพื้นฐาน (2G/3G/4G)** แบบไม่กินเน็ต (ใช้เครือข่ายเสียงปกติ) แต่ต้องมีสัญญาณโทรศัพท์
    - **เหมาะกับ**: สถานที่สัญญาณอ่อน แต่ยังพอโทรออกได้

    ### 5. **แอป SMS/ข้อความธรรมดา**
    - **เช่น Google Messages, Signal**: ส่ง **SMS แบบไม่ใช้เน็ต** ได้ (เฉพาะข้อความล้วน) แต่ต้องมีสัญญาณเครือข่ายมือถือ

    ---

    ### สถานการณ์ที่แนะนำให้ใช้:
    - **ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่มีคนจำนวนมากในพื้นที่**: Bridgefy, FireChat
    - **เน้นความเป็นส่วนตัว/ความปลอดภัย**: Briar
    - **มีสัญญาณโทรศัพท์พื้นฐาน (แต่ไม่มีเน็ต)**: Zello หรือ SMS
    - **การสื่อสารระยะใกล้สุด**: เชื่อมต่อบลูทูธแบบ **Device to Device** (เช่น แชร์ไฟล์ผ่าน ShareIt โดยไม่ใช้เน็ต)

    > ⚠️ **ข้อจำกัด**: แอปเหล่านี้มักมี **ระยะส่งสัญญาณสั้น** (100 เมตร) และต้องการ **ผู้ใช้จำนวนมากในพื้นที่** เพื่อขยายเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ

    เลือกใช้ตามสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ของคุณนะครับ! 😊
    แอปพลิเคชันสำหรับ **การติดต่อสื่อสารโดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต (เน็ต)** ส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี **Bluetooth, ระบบ Mesh Network (เครือข่ายใยแมงมุม) หรือสัญญาณวิทยุ** แทนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตปกติ นี่คือตัวเลือกที่น่าสนใจ: ### 1. **Bridgefy (บลูทูธ + Mesh Network)** - **วิธีทำงาน**: เชื่อมต่อผ่าน **บลูทูธ** ในระยะใกล้ (~100 เมตร) หรือส่งต่อข้อความแบบ **Mesh Network** ในพื้นที่กว้าง (เช่น ในคอนเสิร์ตหรือชุมชน) โดยไม่ใช้เน็ต - **เหมาะกับ**: พื้นที่คนเยอะ, งานกิจกรรมกลางแจ้ง, ภัยพิบัติที่สัญญาณขาด - **ระบบ**: iOS/Android - **ข้อควรรู้**: ต้องมีคนใช้แอปในบริเวณนั้นเพื่อส่งต่อข้อความ ### 2. **FireChat (Mesh Network)** - **วิธีทำงาน**: สร้างเครือข่ายเฉพาะกิจผ่าน **บลูทูธ/Wi-Fi Direct** โดยอุปกรณ์รอบตัวช่วยส่งข้อความแบบลูกโซ่ - **เหมาะกับ**: เหตุการณ์ฉุกเฉิน, พื้นที่ห่างไกล - **ระบบ**: iOS/Android ### 3. **Briar (บลูทูธ/Wi-Fi Direct + Tor)** - **วิธีทำงาน**: เน้น **ความเป็นส่วนตัวสูง** เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ/Wi-Fi Direct หรือใช้ Tor เมื่อมีเน็ต - **เหมาะกับ**: ผู้ต้องการความปลอดภัย, นักกิจกรรม - **ระบบ**: Android เท่านั้น ### 4. **Walkie-Talkie แบบดิจิทัล** - **เช่น Zello**: ทำงานผ่าน **สัญญาณมือถือพื้นฐาน (2G/3G/4G)** แบบไม่กินเน็ต (ใช้เครือข่ายเสียงปกติ) แต่ต้องมีสัญญาณโทรศัพท์ - **เหมาะกับ**: สถานที่สัญญาณอ่อน แต่ยังพอโทรออกได้ ### 5. **แอป SMS/ข้อความธรรมดา** - **เช่น Google Messages, Signal**: ส่ง **SMS แบบไม่ใช้เน็ต** ได้ (เฉพาะข้อความล้วน) แต่ต้องมีสัญญาณเครือข่ายมือถือ --- ### สถานการณ์ที่แนะนำให้ใช้: - **ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่มีคนจำนวนมากในพื้นที่**: Bridgefy, FireChat - **เน้นความเป็นส่วนตัว/ความปลอดภัย**: Briar - **มีสัญญาณโทรศัพท์พื้นฐาน (แต่ไม่มีเน็ต)**: Zello หรือ SMS - **การสื่อสารระยะใกล้สุด**: เชื่อมต่อบลูทูธแบบ **Device to Device** (เช่น แชร์ไฟล์ผ่าน ShareIt โดยไม่ใช้เน็ต) > ⚠️ **ข้อจำกัด**: แอปเหล่านี้มักมี **ระยะส่งสัญญาณสั้น** (100 เมตร) และต้องการ **ผู้ใช้จำนวนมากในพื้นที่** เพื่อขยายเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ เลือกใช้ตามสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์ของคุณนะครับ! 😊
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • 🛡️ ClickFix Malware: การโจมตีที่พัฒนาไปสู่ macOS, Android และ iOS
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า ClickFix Malware ซึ่งเคยเป็นภัยคุกคามเฉพาะบน Windows ได้พัฒนาไปสู่ macOS, Android และ iOS โดยใช้เทคนิค browser-based redirections เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์

    ClickFix Malware เริ่มต้นจาก เว็บไซต์ที่ถูกแฮก ซึ่งมีการฉีด JavaScript code เพื่อเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยัง หน้าเว็บที่ดูเหมือน URL shortener และหลอกให้คัดลอกลิงก์ไปเปิดในเบราว์เซอร์ ซึ่งจะนำไปสู่ หน้าดาวน์โหลดมัลแวร์

    บน macOS การโจมตีจะนำไปสู่ คำสั่ง Terminal ที่ดาวน์โหลดและรัน shell script อันตราย ซึ่งถูกตรวจพบโดยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสหลายตัว

    บน Android และ iOS การโจมตีรุนแรงขึ้น เนื่องจากกลายเป็น drive-by attack ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกหรือติดตั้งอะไรเลย เพียงแค่เข้าชมเว็บไซต์ที่ถูกแฮก มัลแวร์ก็จะถูกดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ClickFix Malware พัฒนาไปสู่ macOS, Android และ iOS
    - เริ่มต้นจากเว็บไซต์ที่ถูกแฮกและใช้ JavaScript เพื่อเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้
    - บน macOS มัลแวร์ถูกดาวน์โหลดผ่านคำสั่ง Terminal
    - บน Android และ iOS กลายเป็น drive-by attack ที่ไม่ต้องมีการคลิกหรือติดตั้ง
    - มัลแวร์ถูกบรรจุในไฟล์ .TAR archive และถูกตรวจพบโดยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแล้ว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - drive-by attack บนมือถืออาจทำให้ผู้ใช้ติดมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว
    - ต้องระวังเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL ที่ไม่คุ้นเคย
    - มัลแวร์นี้อาจถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีเป้าหมายโจมตีองค์กร
    - ควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและใช้แอนตี้ไวรัสที่สามารถตรวจจับ ClickFix ได้

    ClickFix Malware แสดงให้เห็นถึง วิวัฒนาการของการโจมตีทางไซเบอร์ ที่สามารถขยายเป้าหมายไปยังหลายแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ควร ระมัดระวังเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนเส้นทาง และ ใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับมัลแวร์ประเภทนี้ได้

    https://www.techradar.com/pro/security/devious-new-clickfix-malware-variant-targets-macos-android-and-ios-using-browser-based-redirections
    🛡️ ClickFix Malware: การโจมตีที่พัฒนาไปสู่ macOS, Android และ iOS นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า ClickFix Malware ซึ่งเคยเป็นภัยคุกคามเฉพาะบน Windows ได้พัฒนาไปสู่ macOS, Android และ iOS โดยใช้เทคนิค browser-based redirections เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ ClickFix Malware เริ่มต้นจาก เว็บไซต์ที่ถูกแฮก ซึ่งมีการฉีด JavaScript code เพื่อเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยัง หน้าเว็บที่ดูเหมือน URL shortener และหลอกให้คัดลอกลิงก์ไปเปิดในเบราว์เซอร์ ซึ่งจะนำไปสู่ หน้าดาวน์โหลดมัลแวร์ บน macOS การโจมตีจะนำไปสู่ คำสั่ง Terminal ที่ดาวน์โหลดและรัน shell script อันตราย ซึ่งถูกตรวจพบโดยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสหลายตัว บน Android และ iOS การโจมตีรุนแรงขึ้น เนื่องจากกลายเป็น drive-by attack ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกหรือติดตั้งอะไรเลย เพียงแค่เข้าชมเว็บไซต์ที่ถูกแฮก มัลแวร์ก็จะถูกดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ClickFix Malware พัฒนาไปสู่ macOS, Android และ iOS - เริ่มต้นจากเว็บไซต์ที่ถูกแฮกและใช้ JavaScript เพื่อเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ - บน macOS มัลแวร์ถูกดาวน์โหลดผ่านคำสั่ง Terminal - บน Android และ iOS กลายเป็น drive-by attack ที่ไม่ต้องมีการคลิกหรือติดตั้ง - มัลแวร์ถูกบรรจุในไฟล์ .TAR archive และถูกตรวจพบโดยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแล้ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - drive-by attack บนมือถืออาจทำให้ผู้ใช้ติดมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว - ต้องระวังเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL ที่ไม่คุ้นเคย - มัลแวร์นี้อาจถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีเป้าหมายโจมตีองค์กร - ควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและใช้แอนตี้ไวรัสที่สามารถตรวจจับ ClickFix ได้ ClickFix Malware แสดงให้เห็นถึง วิวัฒนาการของการโจมตีทางไซเบอร์ ที่สามารถขยายเป้าหมายไปยังหลายแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ควร ระมัดระวังเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนเส้นทาง และ ใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับมัลแวร์ประเภทนี้ได้ https://www.techradar.com/pro/security/devious-new-clickfix-malware-variant-targets-macos-android-and-ios-using-browser-based-redirections
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • 🔧 ASRock ยืนยันปัญหา BIOS ทำให้ Ryzen 9000 เสียหาย
    ASRock ได้ออกมายอมรับว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย โดยบริษัทได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 เพื่อแก้ไขปัญหานี้

    ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ Precision Boost Overdrive (PBO) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU โดย ASRock ตั้งค่า Electric Design Current (EDC), Thermal Design Current (TDC) และ shadow voltages สูงเกินไปใน BIOS เวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ CPU บางตัวเสียหาย

    ASRock ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA (Return Merchandise Authorization) ของเมนบอร์ดที่ได้รับผลกระทบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ASRock ยืนยันว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย
    - BIOS เวอร์ชัน 3.25 ได้รับการปรับปรุง เพื่อลดค่าของ EDC, TDC และ shadow voltages
    - AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ ASRock รับผิดชอบทั้งหมด
    - ASRock จะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA ของเมนบอร์ด
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดใหม่

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมี BIOS เวอร์ชันใหม่ แต่ยังมีรายงานว่า Ryzen 7 9800X3D บางตัวเสียหาย
    - ASRock เคยแก้ไขปัญหานี้มาก่อน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่า PBO ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
    - ต้องจับตาดูว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 จะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่

    🔎 ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม
    การตั้งค่า BIOS ที่ผิดพลาดของ ASRock ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ryzen 9000 และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือของเมนบอร์ด ASRock ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทออกมายอมรับและเสนอการแก้ไขปัญหาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค

    หากคุณใช้ AM5 ASRock motherboard ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชันล่าสุดถูกติดตั้งแล้ว และหากพบปัญหา ควรติดต่อ ASRock เพื่อดำเนินการ RMA

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/asrock-confirms-its-bios-settings-are-killing-ryzen-cpus-is-fully-committed-to-fixing-any-damaged-motherboards
    🔧 ASRock ยืนยันปัญหา BIOS ทำให้ Ryzen 9000 เสียหาย ASRock ได้ออกมายอมรับว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย โดยบริษัทได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ Precision Boost Overdrive (PBO) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU โดย ASRock ตั้งค่า Electric Design Current (EDC), Thermal Design Current (TDC) และ shadow voltages สูงเกินไปใน BIOS เวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ CPU บางตัวเสียหาย ASRock ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA (Return Merchandise Authorization) ของเมนบอร์ดที่ได้รับผลกระทบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ASRock ยืนยันว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย - BIOS เวอร์ชัน 3.25 ได้รับการปรับปรุง เพื่อลดค่าของ EDC, TDC และ shadow voltages - AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ ASRock รับผิดชอบทั้งหมด - ASRock จะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA ของเมนบอร์ด - ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดใหม่ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมี BIOS เวอร์ชันใหม่ แต่ยังมีรายงานว่า Ryzen 7 9800X3D บางตัวเสียหาย - ASRock เคยแก้ไขปัญหานี้มาก่อน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่า PBO ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม - ต้องจับตาดูว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 จะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ 🔎 ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม การตั้งค่า BIOS ที่ผิดพลาดของ ASRock ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ryzen 9000 และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือของเมนบอร์ด ASRock ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทออกมายอมรับและเสนอการแก้ไขปัญหาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค หากคุณใช้ AM5 ASRock motherboard ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชันล่าสุดถูกติดตั้งแล้ว และหากพบปัญหา ควรติดต่อ ASRock เพื่อดำเนินการ RMA https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/asrock-confirms-its-bios-settings-are-killing-ryzen-cpus-is-fully-committed-to-fixing-any-damaged-motherboards
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังวางแผน เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการ โดยแทนที่จะใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม เช่น iOS 19 บริษัทอาจเปลี่ยนไปใช้ iOS 26 เพื่อให้สอดคล้องกับปีที่เปิดตัว ซึ่งจะมีผลกับ iPadOS, macOS, watchOS, tvOS และ visionOS

    Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อซอฟต์แวร์ Samsung เคยเปลี่ยนจาก Galaxy S10 เป็น Galaxy S20 และ Microsoft ก็เคยทดลองใช้แนวทางนี้ก่อนจะกลับไปใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม

    นอกจากนี้ Apple ยังเตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า "Solarium" ซึ่งจะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงการปรับปรุง Apple Intelligence และอาจมีแอปเกมใหม่สำหรับ iPhone, iPad และ Mac

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Apple อาจเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการเป็น iOS 26, macOS 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดความสับสนและสร้างความเป็นเอกภาพในแบรนด์
    - Apple เตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ "Solarium" ที่จะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์ม
    - อาจมีการเปิดตัว แอปเกมใหม่ สำหรับ iPhone, iPad และ Mac
    - Apple Intelligence อาจถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อ อาจทำให้ผู้ใช้สับสนในช่วงแรก
    - Apple Intelligence อาจเปิดตัวล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ของบริษัท
    - การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ อาจทำให้บางฟีเจอร์ถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออก
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน WWDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2025

    Apple กำลังเตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานและการรับรู้แบรนด์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องรอดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร

    https://www.techradar.com/computing/software/apple-might-be-about-to-make-a-major-change-to-how-it-names-its-operating-systems
    Apple กำลังวางแผน เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการ โดยแทนที่จะใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม เช่น iOS 19 บริษัทอาจเปลี่ยนไปใช้ iOS 26 เพื่อให้สอดคล้องกับปีที่เปิดตัว ซึ่งจะมีผลกับ iPadOS, macOS, watchOS, tvOS และ visionOS Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อซอฟต์แวร์ Samsung เคยเปลี่ยนจาก Galaxy S10 เป็น Galaxy S20 และ Microsoft ก็เคยทดลองใช้แนวทางนี้ก่อนจะกลับไปใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม นอกจากนี้ Apple ยังเตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า "Solarium" ซึ่งจะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงการปรับปรุง Apple Intelligence และอาจมีแอปเกมใหม่สำหรับ iPhone, iPad และ Mac ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple อาจเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการเป็น iOS 26, macOS 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26 - การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดความสับสนและสร้างความเป็นเอกภาพในแบรนด์ - Apple เตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ "Solarium" ที่จะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์ม - อาจมีการเปิดตัว แอปเกมใหม่ สำหรับ iPhone, iPad และ Mac - Apple Intelligence อาจถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อ อาจทำให้ผู้ใช้สับสนในช่วงแรก - Apple Intelligence อาจเปิดตัวล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ของบริษัท - การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ อาจทำให้บางฟีเจอร์ถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออก - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน WWDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2025 Apple กำลังเตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานและการรับรู้แบรนด์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องรอดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร https://www.techradar.com/computing/software/apple-might-be-about-to-make-a-major-change-to-how-it-names-its-operating-systems
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/ISJjK42I1nU?si=1VkhMJsaKD_OIOS-
    https://youtu.be/ISJjK42I1nU?si=1VkhMJsaKD_OIOS-
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/utc9lxHFsLU?si=uthAqyyMLIosBQ7N
    https://youtu.be/utc9lxHFsLU?si=uthAqyyMLIosBQ7N
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • NVIDIA ออกอัปเดต vBIOS เพื่อแก้ปัญหาหน้าจอดำหลังรีบูตใน RTX 5060 และ 5060 Ti

    NVIDIA ได้ปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์สำหรับการ์ดจอ RTX 5060 และ RTX 5060 Ti เพื่อแก้ไขปัญหาหน้าจอดำที่เกิดขึ้นหลังจากรีบูตเครื่อง โดยปัญหานี้ พบเฉพาะในรุ่นที่ใช้ชิป GB206 และไม่ส่งผลกระทบต่อการ์ดจอ RTX 50 รุ่นอื่น ๆ หรือรุ่นเก่ากว่า

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับอัปเดต vBIOS ของ NVIDIA
    ✅ ปัญหาหน้าจอดำเกิดขึ้นเฉพาะใน RTX 5060 และ 5060 Ti ที่ใช้ชิป GB206
    - การ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้

    ✅ NVIDIA ปล่อยอัปเดตเป็น vBIOS แทนไดรเวอร์ทั่วไป
    - ผู้ใช้ต้อง อัปเดตด้วย GPU UEFI Firmware Update Tool v2.0

    ✅ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่าง vBIOS ของ RTX 5060 กับ BIOS หรือ UEFI ของเมนบอร์ด
    - พบว่า ระบบที่ใช้ Legacy (CSM) mode หรือไม่มี UEFI อาจเจอปัญหานี้

    ✅ NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดมี BIOS ล่าสุดและเปิดใช้งาน UEFI boot mode
    - หากยังพบปัญหา ให้ลองใช้กราฟิกออนบอร์ดหรือ GPU ตัวที่สองเพื่อรันเครื่องมืออัปเดต

    ✅ กระบวนการอัปเดตต้องปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดและหยุดการอัปเดตระบบปฏิบัติการก่อนเริ่ม
    - หากเมนบอร์ดไม่รองรับ UEFI ให้ติดต่อผู้ผลิตการ์ดจอเพื่อขอเฟิร์มแวร์รุ่น Legacy

    https://www.techpowerup.com/337331/nvidia-issues-vbios-update-to-fix-rtx-5060-ti-reboot-black-screens
    NVIDIA ออกอัปเดต vBIOS เพื่อแก้ปัญหาหน้าจอดำหลังรีบูตใน RTX 5060 และ 5060 Ti NVIDIA ได้ปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์สำหรับการ์ดจอ RTX 5060 และ RTX 5060 Ti เพื่อแก้ไขปัญหาหน้าจอดำที่เกิดขึ้นหลังจากรีบูตเครื่อง โดยปัญหานี้ พบเฉพาะในรุ่นที่ใช้ชิป GB206 และไม่ส่งผลกระทบต่อการ์ดจอ RTX 50 รุ่นอื่น ๆ หรือรุ่นเก่ากว่า 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับอัปเดต vBIOS ของ NVIDIA ✅ ปัญหาหน้าจอดำเกิดขึ้นเฉพาะใน RTX 5060 และ 5060 Ti ที่ใช้ชิป GB206 - การ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ✅ NVIDIA ปล่อยอัปเดตเป็น vBIOS แทนไดรเวอร์ทั่วไป - ผู้ใช้ต้อง อัปเดตด้วย GPU UEFI Firmware Update Tool v2.0 ✅ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่าง vBIOS ของ RTX 5060 กับ BIOS หรือ UEFI ของเมนบอร์ด - พบว่า ระบบที่ใช้ Legacy (CSM) mode หรือไม่มี UEFI อาจเจอปัญหานี้ ✅ NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่าเมนบอร์ดมี BIOS ล่าสุดและเปิดใช้งาน UEFI boot mode - หากยังพบปัญหา ให้ลองใช้กราฟิกออนบอร์ดหรือ GPU ตัวที่สองเพื่อรันเครื่องมืออัปเดต ✅ กระบวนการอัปเดตต้องปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดและหยุดการอัปเดตระบบปฏิบัติการก่อนเริ่ม - หากเมนบอร์ดไม่รองรับ UEFI ให้ติดต่อผู้ผลิตการ์ดจอเพื่อขอเฟิร์มแวร์รุ่น Legacy https://www.techpowerup.com/337331/nvidia-issues-vbios-update-to-fix-rtx-5060-ti-reboot-black-screens
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NVIDIA Issues vBIOS Update to Fix RTX 5060 (Ti) Reboot Black Screens
    NVIDIA has quietly released a firmware patch for its GeForce RTX 5060 and RTX 5060 Ti graphics cards to fix a frustrating blank-screen issue that appears when users restart their systems. Interestingly, this reboot glitch affects only the RTX 5060 and RTX 5060 Ti models built on NVIDIA's GB206 silic...
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • สรุปงาน Microsoft Build 2025 (จัดขึ้นวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองซีแอตเทิล) นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่เน้น AI และระบบ Agentic โดยมีไฮไลต์ดังนี้:
    1️⃣ Microsoft 365 Copilot และ Copilot Studio:
    - Copilot Tuning: ปรับแต่ง AI ให้ทำงานตามสไตล์และรูปแบบขององค์กร เช่น สร้างเอกสาร สรุปเนื้อหา หรือตอบคำถามเฉพาะด้าน
    - Multi-Agent Orchestration: รองรับการทำงานร่วมกันของ AI Agent หลายตัว ผสานทักษะเฉพาะเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น (อยู่ในช่วง Preview)
    - Agent Store: แพลตฟอร์มสำหรับสร้างและเผยแพร่ AI Agent สำหรับ Microsoft 365 Copilot
    - ฟีเจอร์ใหม่ใน Outlook: สรุปอีเมลอัตโนมัติ, แปลงข้อความเป็นงาน, เสนอการตอบกลับตามบริบท, และแนะนำเวลานัดประชุม
    - Copilot Notebooks: เปลี่ยนข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการทันที (ใช้งานทั่วไปแล้ว)
    - Copilot Search และ Memory: เริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน 2568
    - ฟีเจอร์ใน Loop และ OneNote: สรุป AI, Checklist แบบไดนามิก, และการติดแท็กตามบริบท
    2️⃣ Microsoft Edge:
    - AI APIs และ Copilot Chat: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและการแปลเอกสาร PDF
    - Web Filtering: ฟรีสำหรับองค์กร ช่วยบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม เหมาะสำหรับการศึกษาและหน่วยงาน
    - กลายเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ผสาน AI และความปลอดภัย
    3️⃣ Azure AI และโครงสร้างพื้นฐาน:
    - Azure AI Foundry: แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา AI Agent และแอปพลิเคชันแบบ end-to-end
    - Agentic DevOps: ช่วยนักพัฒนาสร้างระบบอัตโนมัติด้วย AI-native workflows
    - Microsoft Discovery: แพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ Agent AI เพื่อยกระดับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
    4️⃣ Power Platform:
    - Power Apps และ Power Pages: รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent อย่างชาญฉลาด
    - Dynamics 365: ปรับปรุงด้วย AI เพื่อยกระดับแอปพลิเคชันธุรกิจ
    - SDK ตัวเชื่อมต่อ: ช่วยพัฒนาตัวเชื่อมต่อ Power Platform ที่เร็วขึ้นและรองรับข้อมูลที่มีโครงสร้าง
    5️⃣ GitHub และ Coding Agent:
    - Coding Agent: ตัวช่วยเขียนโค้ดสำหรับนักพัฒนา ใช้ AI ในการเขียน, แก้ไข, และบำรุงรักษาโค้ด
    - GitHub Copilot: ใช้งานโดยนักพัฒนากว่า 15 ล้านคน ช่วยเขียนโค้ดและเพิ่มประสิทธิภาพ
    6️⃣ Microsoft Defender:
    - อัปเดตฟีเจอร์ป้องกันมัลแวร์, การป้องกันเว็บ, และแจ้งเตือนความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ รองรับ iOS, Android, Windows, และ Mac (ต้องสมัครสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family)
    7️⃣ Windows และ Notepad:
    - AI Write ใน Notepad: ฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Windows Insiders ช่วยเขียนและปรับปรุงข้อความด้วย AI
    - Windows ถูกพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับนักพัฒนาในยุค AI
    8️⃣ Office 2024:
    - เวอร์ชันซื้อขาด (LTSC) เน้นการใช้งานแบบออฟไลน์ ไม่มีฟีเจอร์ AI เช่น Copilot มีการอัปเดตความปลอดภัย 5 ปี
    - ฟีเจอร์ใหม่: รองรับ OpenDocument Format 1.4, ฟังก์ชันข้อความและอาร์เรย์ใหม่ใน Excel, การกู้คืนเซสชันใน Word, และการออกแบบ Fluent Design

    ℹ️ℹ️ สรุป: Microsoft Build 2025 เน้นการพัฒนา AI Agent, การผสาน AI เข้ากับทุกแพลตฟอร์ม (Microsoft 365, Azure, Edge, Power Platform, GitHub) และการสร้างระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดเพื่อยกระดับทั้งนักพัฒนาและองค์กร
    สรุปงาน Microsoft Build 2025 (จัดขึ้นวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ที่เมืองซีแอตเทิล) นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่เน้น AI และระบบ Agentic โดยมีไฮไลต์ดังนี้: 1️⃣ Microsoft 365 Copilot และ Copilot Studio: - Copilot Tuning: ปรับแต่ง AI ให้ทำงานตามสไตล์และรูปแบบขององค์กร เช่น สร้างเอกสาร สรุปเนื้อหา หรือตอบคำถามเฉพาะด้าน - Multi-Agent Orchestration: รองรับการทำงานร่วมกันของ AI Agent หลายตัว ผสานทักษะเฉพาะเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น (อยู่ในช่วง Preview) - Agent Store: แพลตฟอร์มสำหรับสร้างและเผยแพร่ AI Agent สำหรับ Microsoft 365 Copilot - ฟีเจอร์ใหม่ใน Outlook: สรุปอีเมลอัตโนมัติ, แปลงข้อความเป็นงาน, เสนอการตอบกลับตามบริบท, และแนะนำเวลานัดประชุม - Copilot Notebooks: เปลี่ยนข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการทันที (ใช้งานทั่วไปแล้ว) - Copilot Search และ Memory: เริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน 2568 - ฟีเจอร์ใน Loop และ OneNote: สรุป AI, Checklist แบบไดนามิก, และการติดแท็กตามบริบท 2️⃣ Microsoft Edge: - AI APIs และ Copilot Chat: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและการแปลเอกสาร PDF - Web Filtering: ฟรีสำหรับองค์กร ช่วยบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม เหมาะสำหรับการศึกษาและหน่วยงาน - กลายเป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ผสาน AI และความปลอดภัย 3️⃣ Azure AI และโครงสร้างพื้นฐาน: - Azure AI Foundry: แพลตฟอร์มสำหรับพัฒนา AI Agent และแอปพลิเคชันแบบ end-to-end - Agentic DevOps: ช่วยนักพัฒนาสร้างระบบอัตโนมัติด้วย AI-native workflows - Microsoft Discovery: แพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ Agent AI เพื่อยกระดับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 4️⃣ Power Platform: - Power Apps และ Power Pages: รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent อย่างชาญฉลาด - Dynamics 365: ปรับปรุงด้วย AI เพื่อยกระดับแอปพลิเคชันธุรกิจ - SDK ตัวเชื่อมต่อ: ช่วยพัฒนาตัวเชื่อมต่อ Power Platform ที่เร็วขึ้นและรองรับข้อมูลที่มีโครงสร้าง 5️⃣ GitHub และ Coding Agent: - Coding Agent: ตัวช่วยเขียนโค้ดสำหรับนักพัฒนา ใช้ AI ในการเขียน, แก้ไข, และบำรุงรักษาโค้ด - GitHub Copilot: ใช้งานโดยนักพัฒนากว่า 15 ล้านคน ช่วยเขียนโค้ดและเพิ่มประสิทธิภาพ 6️⃣ Microsoft Defender: - อัปเดตฟีเจอร์ป้องกันมัลแวร์, การป้องกันเว็บ, และแจ้งเตือนความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ รองรับ iOS, Android, Windows, และ Mac (ต้องสมัครสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family) 7️⃣ Windows และ Notepad: - AI Write ใน Notepad: ฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Windows Insiders ช่วยเขียนและปรับปรุงข้อความด้วย AI - Windows ถูกพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับนักพัฒนาในยุค AI 8️⃣ Office 2024: - เวอร์ชันซื้อขาด (LTSC) เน้นการใช้งานแบบออฟไลน์ ไม่มีฟีเจอร์ AI เช่น Copilot มีการอัปเดตความปลอดภัย 5 ปี - ฟีเจอร์ใหม่: รองรับ OpenDocument Format 1.4, ฟังก์ชันข้อความและอาร์เรย์ใหม่ใน Excel, การกู้คืนเซสชันใน Word, และการออกแบบ Fluent Design ℹ️ℹ️ สรุป: Microsoft Build 2025 เน้นการพัฒนา AI Agent, การผสาน AI เข้ากับทุกแพลตฟอร์ม (Microsoft 365, Azure, Edge, Power Platform, GitHub) และการสร้างระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดเพื่อยกระดับทั้งนักพัฒนาและองค์กร
    0 Comments 0 Shares 451 Views 0 Reviews
  • Acer เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่ง Predator และ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025

    Acer เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มแล็ปท็อปเกมมิ่งและ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025 โดยมี Predator Triton 14 AI และ Helios 18 AI เป็นไฮไลท์สำคัญ พร้อมด้วย Swift Edge, Swift Go, Swift X และ Aspire AI ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานและความคิดสร้างสรรค์

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Acer
    ✅ Predator Triton 14 AI เป็นแล็ปท็อปเกมมิ่งน้ำหนักเบาเพียง 1.6 กก.
    - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V และ GeForce RTX 5070 Laptop GPU
    - มีระบบระบายความร้อน Dual AeroBlade 3D รุ่นที่ 6 และวัสดุกราฟีน
    - หน้าจอ OLED WQXGA+ 120Hz รองรับ 100% DCI-P3

    ✅ Predator Helios 18 AI มาพร้อมจอ Mini LED 4K ขนาด 18 นิ้ว
    - ใช้ Intel Core Ultra 9 275HX และ GeForce RTX 5090 Laptop GPU
    - มี MagKey 4.0 สวิตช์กลไกแบบถอดเปลี่ยนได้

    ✅ Swift Edge 14 AI เป็นแล็ปท็อปน้ำหนักเบาเพียง 0.99 กก.
    - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V พร้อม Intel Arc GPU
    - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 21 ชั่วโมง

    ✅ Swift X 14 AI มีสองรุ่น: AMD Ryzen AI 9 365 และ Intel Core Ultra 9 285H
    - ใช้ GeForce RTX 5070 Laptop GPU สถาปัตยกรรม Blackwell

    ✅ Swift Go 16 AI และ Swift Go 14 AI เป็น Copilot+ PC สำหรับงาน Productivity
    - ใช้ Intel Core Ultra 7 258V พร้อม Intel Arc GPU และ NPU
    - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 16 ชั่วโมง

    ✅ Aspire 14 AI และ Aspire 16 AI เป็นรุ่นราคาประหยัดในกลุ่ม Copilot+ PC
    - Aspire 14 AI ใช้ AMD Ryzen AI 7 350
    - Aspire 16 AI ใช้ Snapdragon X พร้อม Qualcomm Oryon CPU และ Adreno GPU

    https://www.techpowerup.com/337283/acer-showcases-predator-gaming-laptops-swift-and-aspire-copilot-pcs-at-computex-2025
    Acer เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่ง Predator และ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025 Acer เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มแล็ปท็อปเกมมิ่งและ Copilot+ PC ที่งาน Computex 2025 โดยมี Predator Triton 14 AI และ Helios 18 AI เป็นไฮไลท์สำคัญ พร้อมด้วย Swift Edge, Swift Go, Swift X และ Aspire AI ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Acer ✅ Predator Triton 14 AI เป็นแล็ปท็อปเกมมิ่งน้ำหนักเบาเพียง 1.6 กก. - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V และ GeForce RTX 5070 Laptop GPU - มีระบบระบายความร้อน Dual AeroBlade 3D รุ่นที่ 6 และวัสดุกราฟีน - หน้าจอ OLED WQXGA+ 120Hz รองรับ 100% DCI-P3 ✅ Predator Helios 18 AI มาพร้อมจอ Mini LED 4K ขนาด 18 นิ้ว - ใช้ Intel Core Ultra 9 275HX และ GeForce RTX 5090 Laptop GPU - มี MagKey 4.0 สวิตช์กลไกแบบถอดเปลี่ยนได้ ✅ Swift Edge 14 AI เป็นแล็ปท็อปน้ำหนักเบาเพียง 0.99 กก. - ใช้ Intel Core Ultra 9 288V พร้อม Intel Arc GPU - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 21 ชั่วโมง ✅ Swift X 14 AI มีสองรุ่น: AMD Ryzen AI 9 365 และ Intel Core Ultra 9 285H - ใช้ GeForce RTX 5070 Laptop GPU สถาปัตยกรรม Blackwell ✅ Swift Go 16 AI และ Swift Go 14 AI เป็น Copilot+ PC สำหรับงาน Productivity - ใช้ Intel Core Ultra 7 258V พร้อม Intel Arc GPU และ NPU - แบตเตอรี่ใช้งานได้ สูงสุด 16 ชั่วโมง ✅ Aspire 14 AI และ Aspire 16 AI เป็นรุ่นราคาประหยัดในกลุ่ม Copilot+ PC - Aspire 14 AI ใช้ AMD Ryzen AI 7 350 - Aspire 16 AI ใช้ Snapdragon X พร้อม Qualcomm Oryon CPU และ Adreno GPU https://www.techpowerup.com/337283/acer-showcases-predator-gaming-laptops-swift-and-aspire-copilot-pcs-at-computex-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Acer Showcases Predator Gaming Laptops, Swift and Aspire Copilot+ PCs at Computex 2025
    In Acer's booth at Computex 2025 we've encountered their updated lineup of gaming laptops from the Predator series as well as an extensive range from the newly announced Swift Edge, Swift Go, Swift X and Aspire Copilot+ PCs. The new Predator Triton 14 AI is a lightweight 14.5-inch gaming laptop weig...
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
More Results