• วิตามินซีที่ดีคืออะไร
    https://youtu.be/pY0NqyBd8Pc?si=m4g71W3ftj_KigkJ
    #แคลเซียม #วิตามินซี
    วิตามินซีที่ดีคืออะไร https://youtu.be/pY0NqyBd8Pc?si=m4g71W3ftj_KigkJ #แคลเซียม #วิตามินซี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้ปั๊มของในเกมส์รัวๆไปด้วยศึกษาข้อมูลอาหารแปลกใหม่ไปด้วย เลยเตรียมใจว่าวันอังคารไปอัพเดทอาการ แต่ขอปรับพฤติกรรมการกินและการนอน คือ หยุดกินชา หยุดกินกาแฟ หยุดกินเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Booster) หันมาทานนมมากขึ้น โดยจะทานนมกล่องที่มีส่วนผสมของสฟิงโกไมอิลินและนมกล่องที่ให้แคลเซียมสูงด้วย เลยรู้สึกมีความสุขกว่าที่ๆผ่านมา แต่ผมใส่เสื้อปั่นเพื่อพ่อนึกถึงเสื้อที่พิธีกรสุขชาวบ้านใส่ประจำนั่นแหละ แต่เพื่อรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพกว่านี้เลยงดเครื่องดื่มกระตุ้นต่างๆไปก่อน ทานอาหารจานหลัก + ทานนม + ทานน้ำมะเขือเทศ ทำให้ผมรู้สึกฮีลใจขึ้นมาเลยครับ ส่วนตัวผมเริ่มจัดเรียงลำดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำวันนี้และวันต่อๆไป และยังไม่ได้ถ่ายโรดแมปที่ผมเขียน เขียนโรดแมปฉบับสมบูรณ์เมื่อไหร่ เขียนเสร็จว่าจะถ่ายมาให้ดูนะครับ และต้องจดสิ่งที่ต้องทำในวันนี้หรือวันต่อๆไปเพื่อไม่ให้แผนที่วางไว้ต้องมาพังดื้อๆ และหลงทิศหลงทางไปหมด เลยต้องจัดระเบียบชีวิตตัวเองและใส่ใจกับการค้นพบค้นหาตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้ก่อนถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับครอบครัวที่คิดไม่ตรงกัน ส่วนตัวผมเอาตัวเองให้รอดก่อน ก่อนที่จะไปช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวครับ
    ช่วงนี้ปั๊มของในเกมส์รัวๆไปด้วยศึกษาข้อมูลอาหารแปลกใหม่ไปด้วย เลยเตรียมใจว่าวันอังคารไปอัพเดทอาการ แต่ขอปรับพฤติกรรมการกินและการนอน คือ หยุดกินชา หยุดกินกาแฟ หยุดกินเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Booster) หันมาทานนมมากขึ้น โดยจะทานนมกล่องที่มีส่วนผสมของสฟิงโกไมอิลินและนมกล่องที่ให้แคลเซียมสูงด้วย เลยรู้สึกมีความสุขกว่าที่ๆผ่านมา แต่ผมใส่เสื้อปั่นเพื่อพ่อนึกถึงเสื้อที่พิธีกรสุขชาวบ้านใส่ประจำนั่นแหละ แต่เพื่อรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพกว่านี้เลยงดเครื่องดื่มกระตุ้นต่างๆไปก่อน ทานอาหารจานหลัก + ทานนม + ทานน้ำมะเขือเทศ ทำให้ผมรู้สึกฮีลใจขึ้นมาเลยครับ ส่วนตัวผมเริ่มจัดเรียงลำดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำวันนี้และวันต่อๆไป และยังไม่ได้ถ่ายโรดแมปที่ผมเขียน เขียนโรดแมปฉบับสมบูรณ์เมื่อไหร่ เขียนเสร็จว่าจะถ่ายมาให้ดูนะครับ และต้องจดสิ่งที่ต้องทำในวันนี้หรือวันต่อๆไปเพื่อไม่ให้แผนที่วางไว้ต้องมาพังดื้อๆ และหลงทิศหลงทางไปหมด เลยต้องจัดระเบียบชีวิตตัวเองและใส่ใจกับการค้นพบค้นหาตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้ก่อนถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับครอบครัวที่คิดไม่ตรงกัน ส่วนตัวผมเอาตัวเองให้รอดก่อน ก่อนที่จะไปช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 ผัก ต้องปรุงสุกก่อนกิน

    เมื่อนำผักมาปรุงอาหารด้วยความร้อน ทำให้ผนังเซลล์ของผักถูกทำลาย
    ร่างกายมนุษย์จึงดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น

    1. แครอท(สุก) ร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้ดีขึ้น
    และจะถูกเปลี่ยนเป็นไวตามิน Aมากขึ้น.

    2. ผักโขม (สุก) ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม
    รวมทั้งช่วยปลดปล่อยสารอาหารอื่นๆ ที่ถูกกักไว้ในผนังเซลล์.

    3. มะเขือเทศ ปรุง(สุก)ผ่านความร้อน กับ น้ำมัน
    ทำให้ สาร ไลโคปีน (Lycopene) ละลายออกมาได้ดีในน้ำมัน
    ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง.

    4. ฟักทอง (สุก) เพิ่มการดูดซึมเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆได้ดีขึ้น.

    5. บรอกโคลี (สุก) เพิ่มการดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพดวงตา.

    6. พริกหวาน พริกหยวก (สุก) ช่วยเพิ่มการดูดซึมไวตามิน Aและสารต้านอนุมูลอิสระ.

    7. กระหล่ำปลี (สุก)ช่วยลดสาร กอยโตรเจน (Goitrogens) อันตราย กับ ต่อมไทรอยด์
    7 ผัก ต้องปรุงสุกก่อนกิน เมื่อนำผักมาปรุงอาหารด้วยความร้อน ทำให้ผนังเซลล์ของผักถูกทำลาย ร่างกายมนุษย์จึงดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น 1. แครอท(สุก) ร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้ดีขึ้น และจะถูกเปลี่ยนเป็นไวตามิน Aมากขึ้น. 2. ผักโขม (สุก) ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม รวมทั้งช่วยปลดปล่อยสารอาหารอื่นๆ ที่ถูกกักไว้ในผนังเซลล์. 3. มะเขือเทศ ปรุง(สุก)ผ่านความร้อน กับ น้ำมัน ทำให้ สาร ไลโคปีน (Lycopene) ละลายออกมาได้ดีในน้ำมัน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง. 4. ฟักทอง (สุก) เพิ่มการดูดซึมเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆได้ดีขึ้น. 5. บรอกโคลี (สุก) เพิ่มการดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพดวงตา. 6. พริกหวาน พริกหยวก (สุก) ช่วยเพิ่มการดูดซึมไวตามิน Aและสารต้านอนุมูลอิสระ. 7. กระหล่ำปลี (สุก)ช่วยลดสาร กอยโตรเจน (Goitrogens) อันตราย กับ ต่อมไทรอยด์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรตีนจากนมพืชดีอย่างไร ?

    โปรตีนจากนมพืช (Plant-based milk protein) เป็นโปรตีนที่ได้จากพืช เช่น ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต และเมล็ดเจีย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคนมสัตว์หรือแพ้นมวัว นี่คือประโยชน์หลักๆ ของโปรตีนจากนมพืช:

    ### 1. **เหมาะสำหรับผู้แพ้นมวัว**
    - ผู้ที่แพ้แลคโตสหรือโปรตีนจากนมวัวสามารถบริโภคโปรตีนจากนมพืชได้โดยไม่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของนมสัตว์

    ### 2. **ดีต่อสุขภาพหัวใจ**
    - นมพืชส่วนใหญ่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
    - นมถั่วเหลืองมีไขมันดี (HDL) และกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงหัวใจ

    ### 3. **อุดมด้วยสารอาหาร**
    - นมถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับนมวัว และมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน
    - นมพืชบางชนิดเสริมแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี 12 เพื่อให้ได้สารอาหารใกล้เคียงนมวัว

    ### 4. **ช่วยควบคุมน้ำหนัก**
    - นมพืชมักมีแคลอรีต่ำกว่านมวัว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    - มีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะนมข้าวโอ๊ตและนมอัลมอนด์ ช่วยให้อิ่มนานขึ้น

    ### 5. **ดีต่อระบบย่อยอาหาร**
    - นมพืชย่อยง่ายกว่านมวัว และไม่มีแลคโตสที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสียในบางคน

    ### 6. **เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม**
    - การผลิตนมพืชใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตนมวัว

    ### 7. **เหมาะกับผู้ทานมังสวิรัติ**
    - โปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกน

    ### ข้อควรระวัง
    - ควรเลือกนมพืชที่ไม่เติมน้ำตาลหรือสารปรุงแต่งมากเกินไป
    - ตรวจสอบให้แน่ใจว่านมพืชที่เลือกมีโปรตีนเพียงพอ โดยเฉพาะนมถั่วเหลืองที่มีโปรตีนสูงสุด

    สรุปว่าโปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงนมสัตว์หรือมีข้อจำกัดด้านอาหาร
    โปรตีนจากนมพืชดีอย่างไร ? โปรตีนจากนมพืช (Plant-based milk protein) เป็นโปรตีนที่ได้จากพืช เช่น ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต และเมล็ดเจีย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคนมสัตว์หรือแพ้นมวัว นี่คือประโยชน์หลักๆ ของโปรตีนจากนมพืช: ### 1. **เหมาะสำหรับผู้แพ้นมวัว** - ผู้ที่แพ้แลคโตสหรือโปรตีนจากนมวัวสามารถบริโภคโปรตีนจากนมพืชได้โดยไม่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของนมสัตว์ ### 2. **ดีต่อสุขภาพหัวใจ** - นมพืชส่วนใหญ่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด - นมถั่วเหลืองมีไขมันดี (HDL) และกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงหัวใจ ### 3. **อุดมด้วยสารอาหาร** - นมถั่วเหลืองมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับนมวัว และมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน - นมพืชบางชนิดเสริมแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี 12 เพื่อให้ได้สารอาหารใกล้เคียงนมวัว ### 4. **ช่วยควบคุมน้ำหนัก** - นมพืชมักมีแคลอรีต่ำกว่านมวัว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก - มีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะนมข้าวโอ๊ตและนมอัลมอนด์ ช่วยให้อิ่มนานขึ้น ### 5. **ดีต่อระบบย่อยอาหาร** - นมพืชย่อยง่ายกว่านมวัว และไม่มีแลคโตสที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสียในบางคน ### 6. **เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม** - การผลิตนมพืชใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตนมวัว ### 7. **เหมาะกับผู้ทานมังสวิรัติ** - โปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกน ### ข้อควรระวัง - ควรเลือกนมพืชที่ไม่เติมน้ำตาลหรือสารปรุงแต่งมากเกินไป - ตรวจสอบให้แน่ใจว่านมพืชที่เลือกมีโปรตีนเพียงพอ โดยเฉพาะนมถั่วเหลืองที่มีโปรตีนสูงสุด สรุปว่าโปรตีนจากนมพืชเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงนมสัตว์หรือมีข้อจำกัดด้านอาหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✅️10 อาการบ่งบอกการเข้าสู่ผู้สูงวัย✅️ และวิธีป้องกัน
    📌ป้ายยา👉มี ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร อยู่ในเพจเลือกช็อป กดลิงค์สั่งซื้อได้เลยค่ะ

    1. อ่อนแรงง่าย – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
    2. ปวดข้อและกระดูก – รับแคลเซียม วิตามินดี และควบคุมน้ำหนัก
    3. สายตาพร่ามัว – ตรวจสายตาประจำปี ป้องกันต้อกระจก
    4. ความจำเริ่มถดถอย – ฝึกสมอง อ่านหนังสือ เล่นเกมปริศนา
    5. นอนไม่หลับ – จัดเวลานอน งดคาเฟอีนก่อนนอน
    6. อารมณ์แปรปรวน – ฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย ลดความเครียด
    7. ระบบเผาผลาญช้าลง – ควบคุมอาหาร ลดน้ำตาล ไขมัน
    8. ผิวแห้งและเหี่ยวย่น – ใช้ครีมบำรุง ดื่มน้ำเพียงพอ
    9. ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง – กินไฟเบอร์สูง ดื่มน้ำมากขึ้น
    10. เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม – ตรวจสุขภาพหัวใจและปอดประจำปี
    ✅️ป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อสุขภาพแข็งแรงยาวนาน!

    ✅️10 อาการบ่งบอกการเข้าสู่ผู้สูงวัย✅️ และวิธีป้องกัน 📌ป้ายยา👉มี ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร อยู่ในเพจเลือกช็อป กดลิงค์สั่งซื้อได้เลยค่ะ 1. อ่อนแรงง่าย – ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ 2. ปวดข้อและกระดูก – รับแคลเซียม วิตามินดี และควบคุมน้ำหนัก 3. สายตาพร่ามัว – ตรวจสายตาประจำปี ป้องกันต้อกระจก 4. ความจำเริ่มถดถอย – ฝึกสมอง อ่านหนังสือ เล่นเกมปริศนา 5. นอนไม่หลับ – จัดเวลานอน งดคาเฟอีนก่อนนอน 6. อารมณ์แปรปรวน – ฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย ลดความเครียด 7. ระบบเผาผลาญช้าลง – ควบคุมอาหาร ลดน้ำตาล ไขมัน 8. ผิวแห้งและเหี่ยวย่น – ใช้ครีมบำรุง ดื่มน้ำเพียงพอ 9. ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง – กินไฟเบอร์สูง ดื่มน้ำมากขึ้น 10. เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม – ตรวจสุขภาพหัวใจและปอดประจำปี ✅️ป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อสุขภาพแข็งแรงยาวนาน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌20 วิธีดูแลสุขภาพกาย❤️และใจของ Gen X เพื่อเตรียมเข้าสู่ผู้สูงวัย

    1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – เดิน วิ่ง โยคะ หรือเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มความแข็งแรง


    2. รับประทานอาหารสมดุล – เน้นผัก ผลไม้ โปรตีนดี และลดน้ำตาล ไขมันทรานส์


    3. นอนหลับให้เพียงพอ – 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง


    4. บริหารสมอง – อ่านหนังสือ เล่นหมากรุก ฝึกทักษะใหม่ป้องกันสมองเสื่อม


    5. จัดการความเครียด – ฝึกสมาธิ หายใจลึก ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ


    6. ตรวจสุขภาพประจำปี – คัดกรองโรคเบาหวาน ความดัน มะเร็ง และกระดูกพรุน


    7. เลิกบุหรี่และแอลกอฮอล์ – ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ มะเร็ง และสมองเสื่อม


    8. ดูแลสุขภาพกระดูก – รับแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอ ป้องกันกระดูกพรุน


    9. เสริมภูมิคุ้มกัน – ฉีดวัคซีน เช่น ไข้หวัดใหญ่ งูสวัด และป้องกันปอดบวม


    10. ควบคุมน้ำหนัก – ป้องกันโรคเบาหวาน ความดัน และข้อเสื่อม


    11. ตรวจสายตาและการได้ยิน – ป้องกันอุบัติเหตุและการสูญเสียการสื่อสาร


    12. ดูแลสุขภาพช่องปาก – ลดฟันผุ เหงือกอักเสบ และโรคหัวใจ


    13. สร้างเครือข่ายสังคม – มีเพื่อน มีครอบครัว ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า


    14. ตั้งเป้าหมายชีวิต – มีแรงจูงใจ ฝึกพัฒนาตัวเองและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย


    15. ใช้เทคโนโลยีให้เป็น – อัปเดตความรู้ สื่อสาร และทำธุรกรรมออนไลน์ได้


    16. ทำงานอดิเรก – เช่น ปลูกต้นไม้ วาดรูป เล่นดนตรี คลายเครียดและเพิ่มพลังใจ


    17. ฝึกฝนความยืดหยุ่นทางจิตใจ – ปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต


    18. บริหารการเงิน – วางแผนเกษียณ ประหยัด และลงทุนอย่างชาญฉลาด


    19. ลดการบริโภคโซเชียลมีเดียเกินจำเป็น – ลดภาวะวิตกกังวลและเสพข่าวลบ


    20. ทำบุญและจิตอาสา – สร้างความสุขภายในและเพิ่มคุณค่าให้สังคม



    ครบทั้งสุขภาพกายและใจ อ่านแล้วนำไปปรับใช้ได้ทันที!

    📌20 วิธีดูแลสุขภาพกาย❤️และใจของ Gen X เพื่อเตรียมเข้าสู่ผู้สูงวัย 1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – เดิน วิ่ง โยคะ หรือเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มความแข็งแรง 2. รับประทานอาหารสมดุล – เน้นผัก ผลไม้ โปรตีนดี และลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ 3. นอนหลับให้เพียงพอ – 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง 4. บริหารสมอง – อ่านหนังสือ เล่นหมากรุก ฝึกทักษะใหม่ป้องกันสมองเสื่อม 5. จัดการความเครียด – ฝึกสมาธิ หายใจลึก ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ 6. ตรวจสุขภาพประจำปี – คัดกรองโรคเบาหวาน ความดัน มะเร็ง และกระดูกพรุน 7. เลิกบุหรี่และแอลกอฮอล์ – ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ มะเร็ง และสมองเสื่อม 8. ดูแลสุขภาพกระดูก – รับแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอ ป้องกันกระดูกพรุน 9. เสริมภูมิคุ้มกัน – ฉีดวัคซีน เช่น ไข้หวัดใหญ่ งูสวัด และป้องกันปอดบวม 10. ควบคุมน้ำหนัก – ป้องกันโรคเบาหวาน ความดัน และข้อเสื่อม 11. ตรวจสายตาและการได้ยิน – ป้องกันอุบัติเหตุและการสูญเสียการสื่อสาร 12. ดูแลสุขภาพช่องปาก – ลดฟันผุ เหงือกอักเสบ และโรคหัวใจ 13. สร้างเครือข่ายสังคม – มีเพื่อน มีครอบครัว ลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า 14. ตั้งเป้าหมายชีวิต – มีแรงจูงใจ ฝึกพัฒนาตัวเองและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย 15. ใช้เทคโนโลยีให้เป็น – อัปเดตความรู้ สื่อสาร และทำธุรกรรมออนไลน์ได้ 16. ทำงานอดิเรก – เช่น ปลูกต้นไม้ วาดรูป เล่นดนตรี คลายเครียดและเพิ่มพลังใจ 17. ฝึกฝนความยืดหยุ่นทางจิตใจ – ปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต 18. บริหารการเงิน – วางแผนเกษียณ ประหยัด และลงทุนอย่างชาญฉลาด 19. ลดการบริโภคโซเชียลมีเดียเกินจำเป็น – ลดภาวะวิตกกังวลและเสพข่าวลบ 20. ทำบุญและจิตอาสา – สร้างความสุขภายในและเพิ่มคุณค่าให้สังคม ครบทั้งสุขภาพกายและใจ อ่านแล้วนำไปปรับใช้ได้ทันที!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌คู่หูเร่งโต 2 ขวด คุ้มทั้งสวน
    แคลเซียมโบรอน + เวก้า อะมิโนทางด่วน 28 ชนิด‼️

    1 ชุด แก้จบทุกปัญหา‼️
    📌พืชโตช้า 📌แคระแกรน 📌พืชใบเหลือง
    📌ดอกร่วง 📌ผลแตก ผลช้ำ
    📌แค่ 2 ขวดนี้ก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว ใบเขียว เร่งโต ผลดก เม็ดเต็ม เพราะระยะของพืชใช้ธาตุอาหารต่างกัน ในแต่ละช่วง

    ✨เวก้าอะมิโนทางด่วน ประกอบด้วยธาตุอาหารมากกว่า 28 ชนิด ที่พืชต้องการ
    •ป้องกันการขาดธาตุอาหาร
    •ช่วยเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้พืชแข็งแรง
    •ใบเขียว ใหญ่ ตั้ง แตกกอดี
    •ลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่า60%
    •เพิ่มผลผลิตได้ถึง 3 เท่า

    ใช้ได้กับทุกชนิด เช่น ไม้กระถาง ไม้ดอกไม้ประดับ ทุเรียน ข้าว พืชไร่ พืชสวน และผักสวนครัวทุกชนิด
    ใช้ง่ายๆ ได้ทั้งทางดินและทางใบ

    อัตราการใช้ 20ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
    ใช้ทุกๆ 7-10 วันได้เลย
    1 ลิตร ผสมน้ำได้ 1,000 ใช้ได้ถึง 18-20ไร่

    ขออนุญาติ ฝากร้านนะคะ
    ไลน์ https://shop.line.me/@478savyo?utm_source=Seller
    ช้อปปี้ https://s.shopee.co.th/2qFQQ9s4UG
    ลาซาด้า https://s.lazada.co.th/s.GxTJg


    📌คู่หูเร่งโต 2 ขวด คุ้มทั้งสวน แคลเซียมโบรอน + เวก้า อะมิโนทางด่วน 28 ชนิด‼️ 1 ชุด แก้จบทุกปัญหา‼️ 📌พืชโตช้า 📌แคระแกรน 📌พืชใบเหลือง 📌ดอกร่วง 📌ผลแตก ผลช้ำ 📌แค่ 2 ขวดนี้ก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว ใบเขียว เร่งโต ผลดก เม็ดเต็ม เพราะระยะของพืชใช้ธาตุอาหารต่างกัน ในแต่ละช่วง ✨เวก้าอะมิโนทางด่วน ประกอบด้วยธาตุอาหารมากกว่า 28 ชนิด ที่พืชต้องการ •ป้องกันการขาดธาตุอาหาร •ช่วยเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้พืชแข็งแรง •ใบเขียว ใหญ่ ตั้ง แตกกอดี •ลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่า60% •เพิ่มผลผลิตได้ถึง 3 เท่า ใช้ได้กับทุกชนิด เช่น ไม้กระถาง ไม้ดอกไม้ประดับ ทุเรียน ข้าว พืชไร่ พืชสวน และผักสวนครัวทุกชนิด ใช้ง่ายๆ ได้ทั้งทางดินและทางใบ อัตราการใช้ 20ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้ทุกๆ 7-10 วันได้เลย 1 ลิตร ผสมน้ำได้ 1,000 ใช้ได้ถึง 18-20ไร่ ขออนุญาติ ฝากร้านนะคะ ไลน์ https://shop.line.me/@478savyo?utm_source=Seller ช้อปปี้ https://s.shopee.co.th/2qFQQ9s4UG ลาซาด้า https://s.lazada.co.th/s.GxTJg
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จากนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่ได้ใช้การเทเลพอร์ตควอนตัม (Quantum Teleportation) เพื่อถ่ายโอนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ควอนตัมสองเครื่องที่ตั้งอยู่ห่างกันประมาณสองเมตร แม้ว่าระยะห่างจะไม่สำคัญต่อการทดลองนี้ แต่การเทเลพอร์ตควอนตัมสามารถทำงานได้ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ทั้งสองจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

    นี่คือก้าวสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาที่ยากเย็นในวงการคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งคอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้ "ควอนตัมบิต" หรือ "คิวบิต" (qubits) แทนการใช้ทรานซิสเตอร์เหมือนกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป คิวบิตสามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน ทำให้สามารถคำนวณที่ซับซ้อนมากขึ้นได้

    คิวบิตสามารถเชื่อมโยงกันโดยกระบวนการที่เรียกว่า "การพันกันควอนตัม" (entanglement) ซึ่งเมื่อเราวัดสถานะของคิวบิตที่ส่งออกมา สถานะของคิวบิตที่รับก็จะเปลี่ยนไปตามสถานะของคิวบิตที่ส่งออกทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาถ่ายโอนข้อมูล

    ในการทดลองนี้ นักวิจัยใช้กับดักอิออนที่เชื่อมต่อกันด้วยสายใยแก้วนำแสงยาวสองเมตร โดยแต่ละกับดักมีไอออนของสตรอนเทียมและแคลเซียม ไอออนแคลเซียมทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำในท้องถิ่น ส่วนไอออนสตรอนเทียมทำหน้าที่เป็นอินเตอร์เฟสของเครือข่ายควอนตัม

    ถึงแม้ว่าการพันกันควอนตัมจะไม่สำเร็จทุกครั้งที่ยิงโฟตอน แต่การไม่ประสบความสำเร็จนั้นก็ไม่รบกวนสถานะของไอออน ทำให้สามารถลองใหม่ได้โดยไม่ต้องเริ่มการทดลองใหม่

    ความสำเร็จนี้เป็นก้าวสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์ควอนตัม แม้ว่าจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น การพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะทำให้สามารถสร้างเครือข่ายควอนตัมที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/106715-scientist-worked-out-how-transfer-data-between-two.html
    มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จากนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่ได้ใช้การเทเลพอร์ตควอนตัม (Quantum Teleportation) เพื่อถ่ายโอนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ควอนตัมสองเครื่องที่ตั้งอยู่ห่างกันประมาณสองเมตร แม้ว่าระยะห่างจะไม่สำคัญต่อการทดลองนี้ แต่การเทเลพอร์ตควอนตัมสามารถทำงานได้ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ทั้งสองจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นี่คือก้าวสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาที่ยากเย็นในวงการคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งคอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้ "ควอนตัมบิต" หรือ "คิวบิต" (qubits) แทนการใช้ทรานซิสเตอร์เหมือนกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป คิวบิตสามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน ทำให้สามารถคำนวณที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ คิวบิตสามารถเชื่อมโยงกันโดยกระบวนการที่เรียกว่า "การพันกันควอนตัม" (entanglement) ซึ่งเมื่อเราวัดสถานะของคิวบิตที่ส่งออกมา สถานะของคิวบิตที่รับก็จะเปลี่ยนไปตามสถานะของคิวบิตที่ส่งออกทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาถ่ายโอนข้อมูล ในการทดลองนี้ นักวิจัยใช้กับดักอิออนที่เชื่อมต่อกันด้วยสายใยแก้วนำแสงยาวสองเมตร โดยแต่ละกับดักมีไอออนของสตรอนเทียมและแคลเซียม ไอออนแคลเซียมทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำในท้องถิ่น ส่วนไอออนสตรอนเทียมทำหน้าที่เป็นอินเตอร์เฟสของเครือข่ายควอนตัม ถึงแม้ว่าการพันกันควอนตัมจะไม่สำเร็จทุกครั้งที่ยิงโฟตอน แต่การไม่ประสบความสำเร็จนั้นก็ไม่รบกวนสถานะของไอออน ทำให้สามารถลองใหม่ได้โดยไม่ต้องเริ่มการทดลองใหม่ ความสำเร็จนี้เป็นก้าวสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์ควอนตัม แม้ว่าจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น การพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะทำให้สามารถสร้างเครือข่ายควอนตัมที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต https://www.techspot.com/news/106715-scientist-worked-out-how-transfer-data-between-two.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientist worked out how to transfer data between two machines using quantum teleportation
    Last week, researchers at Oxford University published a paper in Nature describing how they used quantum teleportation to transfer data between two quantum computers placed about two...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌แคลเซียมดีต่อกระดูก ข้อต่อ ข้อเข่าอย่างไร?
    ✅️"ร่างกายต้องการแคลเซียมทุกวัน! เพราะแคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูก ให้แข็งแรง
    ✅️ ลดความเสี่ยงกระดูกหักในวัยสูงอายุ
    ✅️ และยังช่วยให้การทำงานของระบบกล้ามเนื้อและประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น
    ✅️ เริ่มเติมแคลเซียมตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาว!"
    📣มีรายละเอียดใต้รูป
    📣 สั่งซื้อกดลิ้งค์เลยค่ะ
    📌https://www.facebook.com/61563551567782/posts/pfbid0PoPUEfbniz1DsaAVRDcez5yhGLC33VTdVz76dXjM5XUt64ZbSRYW9VgZUUo9N7Q6l/
    📌แคลเซียมดีต่อกระดูก ข้อต่อ ข้อเข่าอย่างไร? ✅️"ร่างกายต้องการแคลเซียมทุกวัน! เพราะแคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูก ให้แข็งแรง ✅️ ลดความเสี่ยงกระดูกหักในวัยสูงอายุ ✅️ และยังช่วยให้การทำงานของระบบกล้ามเนื้อและประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น ✅️ เริ่มเติมแคลเซียมตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาว!" 📣มีรายละเอียดใต้รูป 📣 สั่งซื้อกดลิ้งค์เลยค่ะ 📌https://www.facebook.com/61563551567782/posts/pfbid0PoPUEfbniz1DsaAVRDcez5yhGLC33VTdVz76dXjM5XUt64ZbSRYW9VgZUUo9N7Q6l/
    8 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุขภาพดี ด้วย นัตโตะ วัน-เว้น-วัน

    1. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ (Gut Health) เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ไฟเบอร์ อีกทั้งวิตามิน K2 ในนัตโตะช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและลดการอักเสบ

    2. บำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต (Bone & Cardiovascular Health) มี วิตามิน K2 สูง ซึ่งช่วยในการนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เอนไซม์นัตโตะคิเนส (Nattokinase) ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

    3. ลดการอักเสบ + ชะลอวัย (Anti-Inflammatory & Longevity) สารอาหาร โพลีแซ็กคาไรด์ และโปรตีน ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การบริโภคนัตโตะเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ยืนยาว โดยสนับสนุนระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ (เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง)
    สุขภาพดี ด้วย นัตโตะ วัน-เว้น-วัน 1. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ (Gut Health) เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ไฟเบอร์ อีกทั้งวิตามิน K2 ในนัตโตะช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและลดการอักเสบ 2. บำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต (Bone & Cardiovascular Health) มี วิตามิน K2 สูง ซึ่งช่วยในการนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เอนไซม์นัตโตะคิเนส (Nattokinase) ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 3. ลดการอักเสบ + ชะลอวัย (Anti-Inflammatory & Longevity) สารอาหาร โพลีแซ็กคาไรด์ และโปรตีน ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การบริโภคนัตโตะเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ยืนยาว โดยสนับสนุนระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ (เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณประโยชน์ จาก ผักกวางตุ้ง (ผักกาดจอ)
    1.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
    2.ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
    3.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
    4.ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
    5.ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกล้ามเนื้อเสื่อม
    6.ช่วยแก้อาการเป็นตะคริว เพราะเป็นผักที่มีแคลเซียมสูง
    7.การทานกวางตุ้งเป็นประจำทำให้ฟีโรโมนหลั่งออกมา จะทำให้กลิ่นตัวหอม
    8.เป็นผักที่มีเส้นใยมากและมีไขมันน้อย ทำให้อิ่มท้อง
    9.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
    10.ช่วยป้องกันกล้ามเนื้อเสื่อม ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉง
    11.ช่วยในการขับถ่าย ถ่ายสะดวก ป้องกันโรคท้องผูก
    12.มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดตามข้อ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกล้ามเนื้อเสื่อม
    13.อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินเอ และวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก
    14.ผักกวางตุ้งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
    15.มีสรรพคุณช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย ระบายความร้อนได้ดี
    คุณประโยชน์ จาก ผักกวางตุ้ง (ผักกาดจอ) 1.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย 2.ช่วยบำรุงและรักษาสายตา 3.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง 4.ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน 5.ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกล้ามเนื้อเสื่อม 6.ช่วยแก้อาการเป็นตะคริว เพราะเป็นผักที่มีแคลเซียมสูง 7.การทานกวางตุ้งเป็นประจำทำให้ฟีโรโมนหลั่งออกมา จะทำให้กลิ่นตัวหอม 8.เป็นผักที่มีเส้นใยมากและมีไขมันน้อย ทำให้อิ่มท้อง 9.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 10.ช่วยป้องกันกล้ามเนื้อเสื่อม ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉง 11.ช่วยในการขับถ่าย ถ่ายสะดวก ป้องกันโรคท้องผูก 12.มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดตามข้อ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกล้ามเนื้อเสื่อม 13.อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินเอ และวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก 14.ผักกวางตุ้งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง 15.มีสรรพคุณช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย ระบายความร้อนได้ดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • #รองช้ำ หรือลงส้นเท้าไม่ได้

    ไม่ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งเทศและไทยจะวิเคราะห์กันอย่างไร ผมไม่สนนะ พวกคนที่เป็นรองช้ำก็แค่ กินน้ำไม่เป็นเลยทำให้เส้นม้ามกับเส้นไตมันทับกันและในบางรายอาจมีปัญหาสมดุลของแคลเซียมกับแม็กนีเซียม

    ควรกินน้ำอย่างไร

    เอาตามนี้เลยนะ ไม่อธิบายเพราะยังไงคุณก็ลืมรายละเอียด

    ตื่นนอน แก้วถึงสองแก้ว ..ไม่ต้องแปรงฟัน
    ก่อนอาหาร จิบ ๆ ห้ามดื่มอึก ๆ หรือครั้งละเยอะๆ
    หลังอาหารให้รีบไปบ้วนปาก แล้ว จิบ ๆ

    ราว 30-40 นาที ร่างกายจะบอกเองว่ากระหายน้ำจึงค่อยดื่ม ทำอย่างนี้ทุกมื้อ และระหว่างมื้ออาหาร ร่างกายก็จะบอกเองว่าขาดน้ำเมื่อไหร่ ก็อย่าดื่มคราวละเยอะ ๆ แต่ดื่มบ่อย ๆ ให้ได้สองลิตรครึ่งต่อวัน
    ลองทำสักสัปดาห์ ก็จะเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

    แต่ถ้าไม่ดีขึ้น แสดงว่าคุณมีปัญหาสมดุลของแคลเซียมและแมกนีเซียม

    K cal 2 แคปซูลหลังอาหาร 3 มื้อ แบบที่ผมกินเพราะมันคือส่วนประกอบของเอ็นใต้ฝ่าเท้าขาดหายไป เมื่อใส่จนสมดุลก็หาย

    แค่นี้เองครับ หายทุกราย และไม่มียาให้ไปทำลายตับ ไต

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #รองช้ำ หรือลงส้นเท้าไม่ได้ ไม่ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งเทศและไทยจะวิเคราะห์กันอย่างไร ผมไม่สนนะ พวกคนที่เป็นรองช้ำก็แค่ กินน้ำไม่เป็นเลยทำให้เส้นม้ามกับเส้นไตมันทับกันและในบางรายอาจมีปัญหาสมดุลของแคลเซียมกับแม็กนีเซียม ควรกินน้ำอย่างไร เอาตามนี้เลยนะ ไม่อธิบายเพราะยังไงคุณก็ลืมรายละเอียด ตื่นนอน แก้วถึงสองแก้ว ..ไม่ต้องแปรงฟัน ก่อนอาหาร จิบ ๆ ห้ามดื่มอึก ๆ หรือครั้งละเยอะๆ หลังอาหารให้รีบไปบ้วนปาก แล้ว จิบ ๆ ราว 30-40 นาที ร่างกายจะบอกเองว่ากระหายน้ำจึงค่อยดื่ม ทำอย่างนี้ทุกมื้อ และระหว่างมื้ออาหาร ร่างกายก็จะบอกเองว่าขาดน้ำเมื่อไหร่ ก็อย่าดื่มคราวละเยอะ ๆ แต่ดื่มบ่อย ๆ ให้ได้สองลิตรครึ่งต่อวัน ลองทำสักสัปดาห์ ก็จะเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ถ้าไม่ดีขึ้น แสดงว่าคุณมีปัญหาสมดุลของแคลเซียมและแมกนีเซียม K cal 2 แคปซูลหลังอาหาร 3 มื้อ แบบที่ผมกินเพราะมันคือส่วนประกอบของเอ็นใต้ฝ่าเท้าขาดหายไป เมื่อใส่จนสมดุลก็หาย แค่นี้เองครับ หายทุกราย และไม่มียาให้ไปทำลายตับ ไต ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เคล็ดลับการดูแลผลองุ่นให้โตคุณภาพดี 🍇✨
    เมื่อผลองุ่นเริ่มโตเท่าหัวเข็มหมุด เราสามารถปรับปรุงคุณภาพของผลและช่อองุ่นได้ด้วยเทคนิคดังนี้:

    🌟 #วิธีการดูแลองุ่นให้ผลสวยและคุณภาพดี
    1. #ซอยช่อองุ่น
    ตัดผลองุ่นออกประมาณ 20-30% เพื่อให้ช่อองุ่นโปร่ง 🍇
    ลดความหนาแน่นของผลเพื่อให้ผลที่เหลือเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

    2. #พ่นจิ๊บเบอเรลลิค แอซิด (GA3) 🧪
    ใช้ในอัตราส่วน 0.5-1 ซีซีต่อน้ำ 10 ลิตรพ่นทุก 7 วัน จำนวน 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของผล

    3. #ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) 🌱
    ให้ทุก 7-10 วัน เพื่อเสริมการเจริญเติบโตของผลและต้น

    4. #พ่นธาตุอาหารรองและเสริมทุก 7 วัน 🧪เน้น แคลเซียมและโบรอน เพื่อป้องกันผลหลุดร่วงและแตก

    5. #การให้น้ำ 💧
    ให้ปริมาณน้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ อย่าให้ขาดน้ำในช่วงขยายผล

    6. #การตัดยอด 🌿
    ตัดยอดองุ่นออก 50-80 เซนติเมตร เพื่อควบคุมทรงพุ่มและกระตุ้นการพัฒนาของผล

    7. #สังเกตและป้องกันศัตรูพืช 🐛
    ตรวจสอบโรคเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้างหรือราดำ และแมลงศัตรูพืช
    ใช้ชีวภัณฑ์หรือสารป้องกันที่เหมาะสมพ่น #ไตรโคบิวพลัส ป้องกันโรคเชื้อราและแมลงศัตรูพืชสม่ำเสมอ

    ✨ข้อดีของการจัดการช่อองุ่นที่ดี
    ผลองุ่นเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ 🍇
    ลดการหลุดร่วงและแตกของผล
    เพิ่มคุณภาพและขนาดของผล

    #ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมดูแลเพื่อนเกษตรกรทุกขั้นตอนการปลูกองุ่น 🍇
    📩 สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Inbox หรือโทร 093-6962691
    ศักรพี 😊✌️
    #เคล็ดลับการดูแลผลองุ่นให้โตคุณภาพดี 🍇✨ เมื่อผลองุ่นเริ่มโตเท่าหัวเข็มหมุด เราสามารถปรับปรุงคุณภาพของผลและช่อองุ่นได้ด้วยเทคนิคดังนี้: 🌟 #วิธีการดูแลองุ่นให้ผลสวยและคุณภาพดี 1. #ซอยช่อองุ่น ตัดผลองุ่นออกประมาณ 20-30% เพื่อให้ช่อองุ่นโปร่ง 🍇 ลดความหนาแน่นของผลเพื่อให้ผลที่เหลือเจริญเติบโตได้ดีขึ้น 2. #พ่นจิ๊บเบอเรลลิค แอซิด (GA3) 🧪 ใช้ในอัตราส่วน 0.5-1 ซีซีต่อน้ำ 10 ลิตรพ่นทุก 7 วัน จำนวน 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของผล 3. #ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) 🌱 ให้ทุก 7-10 วัน เพื่อเสริมการเจริญเติบโตของผลและต้น 4. #พ่นธาตุอาหารรองและเสริมทุก 7 วัน 🧪เน้น แคลเซียมและโบรอน เพื่อป้องกันผลหลุดร่วงและแตก 5. #การให้น้ำ 💧 ให้ปริมาณน้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ อย่าให้ขาดน้ำในช่วงขยายผล 6. #การตัดยอด 🌿 ตัดยอดองุ่นออก 50-80 เซนติเมตร เพื่อควบคุมทรงพุ่มและกระตุ้นการพัฒนาของผล 7. #สังเกตและป้องกันศัตรูพืช 🐛 ตรวจสอบโรคเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้างหรือราดำ และแมลงศัตรูพืช ใช้ชีวภัณฑ์หรือสารป้องกันที่เหมาะสมพ่น #ไตรโคบิวพลัส ป้องกันโรคเชื้อราและแมลงศัตรูพืชสม่ำเสมอ ✨ข้อดีของการจัดการช่อองุ่นที่ดี ผลองุ่นเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ 🍇 ลดการหลุดร่วงและแตกของผล เพิ่มคุณภาพและขนาดของผล #ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมดูแลเพื่อนเกษตรกรทุกขั้นตอนการปลูกองุ่น 🍇 📩 สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Inbox หรือโทร 093-6962691 ศักรพี 😊✌️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 563 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ

    ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้

    อาการ

    ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่

    • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า

    • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม

    • ปวดศีรษะมาก

    • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า

    • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

    • ตาพร่ามัว

    • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา

    ระดับความรุนแรงของโรค

    ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่

    • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ

    • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)

    pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม)

    อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน

    นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้

    ...สิ่งที่น่ากังวล...

    นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia

    แคลเซียม:

    การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้

    ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง

    องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว

    วิตามินดี:

    วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91)

    ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม

    ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง)

    แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน

    ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง

    สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ
    Paa super h
    K cal
    น้ำปั่นป๋า
    โกโก้ป๋า

    Cr. Santi Manadee
    #ครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) โรคของการทางานที่ผิดปกติของเยื่อบุหลอดเลือด (endothelial malfunction) และการหดตัวของหลอดเลือด (vasospasm) ที่เกิดขึ้นภายหลังอายุครรภ์20 สัปดาห์และอาจแสดงอาการยาวไปจนถึง 4-6 สัปดาห์หลังคลอดได้ ในทางคลินิกภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) หมายถึงการที่มีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนรั่วในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีความดันโลหิตสูงมาก่อน แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากการมีสารที่สร้างจากรกที่พัฒนาผิดปกติไปทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดของมารดา อาการที่รุนแรงหลายอย่างเกิดจากการมีความเสียหายต่อเซลล์เยื่อบุของอวัยวะต่างๆ ของมารดา รวมถึงไตและตับ ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลงจะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะนี้ อาการ ความผิดปกติของร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าครรภ์เป็นพิษได้แก่ • บวม โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า หน้า • น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ โดยปกติน้ำหนักแม่จะเพิ่มที่เดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม • ปวดศีรษะมาก • ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า • ความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอท • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ • ตาพร่ามัว • ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ระดับความรุนแรงของโรค ครรภ์เป็นพิษมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่ • ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ • ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ งานวิจัยใหม่ ๆ ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันโอเมก้า 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าแอสไพรินในภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia) pre-eclampsia มีผลประมาณ 3% ของหญิงตั้งครรภ์และคิดเป็น 25% ของทารกทั้งหมดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยมาก (<1500 กรัม) อย่างไรก็ตามพวกเขามักถูกนำเสนอยา (แอสไพรินขนาดต่ำ) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยชี้ให้เห็นว่าแอสไพรินลด pre-eclampsia ลง 15% แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นเพียง 15% ในอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด pre-eclampsia 46% นี่คือการปรับปรุงมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับแอสไพริน นอกจากนี้งานวิจัยของ Olsen SF, Secher, NJ (2) ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มยืนยันว่าการบริโภคไขมันโอเมก้า 3 ในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถเพิ่มน้ำหนักแรกเกิดและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ ...สิ่งที่น่ากังวล... นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ 1ใน 12 คนในสหรัฐอเมริกามีระดับปรอทที่เป็นอันตรายในเลือดของพวกเขาเนื่องจากการบริโภคปลาซึ่งมีปรอทและสารปนเปื้อน PCB ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงต่อการคลอดก่อนกำหนดและ pre-eclampsia แคลเซียม: การวิจัยสี่ทศวรรษแสดงให้เห็นว่าในผู้หญิงที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารต่ำ การเสริมแคลเซียมสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ครึ่งหนึ่ง แคลเซียมจากอาหารของแม่ช่วยให้กระดูกของทารกที่กำลังพัฒนาก่อตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ มีการดึงแคลเซียมจากแม่มาใช้อย่างมากเพื่อช่วยให้ลูกเติบโต ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับแคลเซียมได้ ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ที่มากขึ้นทำให้กระดูกปล่อยแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของผนังหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและความดันโลหิตสูง องค์การอนามัยโลกแนะนำอาหารเสริมแคลเซียมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีปริมาณแคลเซียมต่ำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การเสริมแคลเซียมไม่ได้รับการพิสูจน์สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหารแล้ว วิตามินดี: วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดสามารถช่วยให้ผู้คนได้รับแคลเซียมเพียงพอ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ นอกจากนี้ วิตามินดียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนารกและควบคุมการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษการขาดวิตามินดีของมารดาสัมพันธ์กับโอกาสที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นสองเท่า (OR 2.11, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 1.52-2.94) ในขณะที่การเสริมวิตามินดีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง 38% ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (RR 0.62, 95% ช่วงความเชื่อมั่น 0.43- 0.91) ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณอาจดูระดับวิตามินดีของคุณในระหว่างการเจาะเลือดก่อนคลอด ไม่ว่าคุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจแนะนำอาหารเสริมหากระดับต่ำเพื่อปรับปรุงสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวม ธาต์เหล็ก (และบทบาทของโรคโลหิตจาง) แม้ว่าดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างระดับธาตุเหล็กและภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่หลักฐานไม่ได้ตรงไปตรงมา นักวิจัยยังคงพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ ธาตุเหล็กที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการตั้งครรภ์ แต่ธาตุเหล็กบางรูปแบบสามารถเป็นอันตรายต่อเซลล์ของร่างกายและเยื่อบุของหลอดเลือดได้ เหล็กเป็นส่วนหนึ่งของฮีโมโกลบินซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์เม็ดเลือดแดงในการนำออกซิเจน ระดับฮีโมโกลบินทั้งในระดับต่ำและระดับสูงสัมพันธ์กับอัตราภาวะครรภ์เป็นพิษที่สูงขึ้น ธาตุเหล็กอิสระในเลือดทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่ไม่เสถียรอื่นๆ ซึ่งมีออกซิเจนเพื่อเริ่มต้นความเสียหายของเซลล์ในเยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่าความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือด ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมีแนวโน้มที่จะแสดงความเสียหายของเยื่อบุผนังหลอดเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษมักมีระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ไม่ชัดเจนว่าระดับสูงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาวะครรภ์เป็นพิษ อันเป็นผลมาจากโรคหรือทั้งสองอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการได้รับธาตุเหล็กเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคโลหิตจางเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าภาวะโลหิตจางเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Paa super h K cal น้ำปั่นป๋า โกโก้ป๋า Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1071 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1)

    ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่....

    โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย
    ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด”
    ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย”
    ..ชีวเคมี (Biochemistry)…
    อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!!
    Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน
    ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you
    (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด
    การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ
    การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell
    ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ”
    -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
    ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา
    ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน..
    Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่..
    ...จำไว้นะ..
    การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง
    เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม
    เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์
    เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร
    ...อีกครั้ง..
    มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา
    แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
    ..ข้อสังเกตุ..
    ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน...
    ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร
    เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1) ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่.... โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด” ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย” ..ชีวเคมี (Biochemistry)… อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!! Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ” -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน.. Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่.. ...จำไว้นะ.. การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์ เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร ...อีกครั้ง.. มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ..ข้อสังเกตุ.. ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน... ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 708 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14/1/68

    ซุปเปอร์ฟู้ด! 5 ธัญพืชคุณค่าโภชนาการใยอาหารสูง มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก

    ซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood) อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่บริโภค โดยซุปเปอร์ฟู้ดมักจะช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้อยากให้ทุกคนรู้จักธัญพืชที่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด หาซื้อง่าย ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รักษาสมดุลสุขภาพ
    5 ธัญพืชซุปเปอร์ฟู้ด

    1.เมล็ดเจีย (Chia Seeds)
    ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่าในเมล็ดเจียมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 อยู่ร้อยละ 62.48

    และมีกรดไลโนเลอิก (linoleic acid : LA) หรือโอเมก้า-6 อยู่ร้อยละ 22.43 ของกรดไขมันทั้งหมดในเมล็ดเจีย นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกเนเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วย ในกระแสช่วงนี้มีผู้นิยมบริโภคเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนักซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่าการรับประทานเมล็ดเจียขนาด 35 - 40 ก./วัน สามารถลดความระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด และลดน้ำหนักได้ แต่การศึกษายังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน

    2.ควินัว (Quinoa)
    มีโปรตีนสูง ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด มีแร่ธาตุสำคัญและอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีใยอาหารสูง
    นอกจากนี้ ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน มีไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย

    3.เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseeds)
    แหล่งของลิกแนน (สารต้านอนุมูลอิสระ)กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก

    4.ลูกเดือย (Job’s Tears)
    จัดเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยบำรุงสายตา
    แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง

    5.ข้าวกล้อง (Brown Rice)

    ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2บรรเทาอาการอ่อนเพลีย มีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)มีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ แป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น
    อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ แพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
    ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพบาบาลพญาไท พหลโยธิน,medthai และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง
    14/1/68 ซุปเปอร์ฟู้ด! 5 ธัญพืชคุณค่าโภชนาการใยอาหารสูง มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก ซุปเปอร์ฟู้ด (Superfood) อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่บริโภค โดยซุปเปอร์ฟู้ดมักจะช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ วันนี้อยากให้ทุกคนรู้จักธัญพืชที่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด หาซื้อง่าย ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ไฟเบอร์ช่วยเรื่องการขับถ่าย รักษาสมดุลสุขภาพ 5 ธัญพืชซุปเปอร์ฟู้ด 1.เมล็ดเจีย (Chia Seeds) ข้อมูลการศึกษาวิจัยพบว่าในเมล็ดเจียมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 อยู่ร้อยละ 62.48 และมีกรดไลโนเลอิก (linoleic acid : LA) หรือโอเมก้า-6 อยู่ร้อยละ 22.43 ของกรดไขมันทั้งหมดในเมล็ดเจีย นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกเนเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกด้วย ในกระแสช่วงนี้มีผู้นิยมบริโภคเมล็ดเจียเพื่อลดน้ำหนักซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่าการรับประทานเมล็ดเจียขนาด 35 - 40 ก./วัน สามารถลดความระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด และลดน้ำหนักได้ แต่การศึกษายังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน 2.ควินัว (Quinoa) มีโปรตีนสูง ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด มีแร่ธาตุสำคัญและอุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มีใยอาหารสูง นอกจากนี้ ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน มีไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย 3.เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseeds) แหล่งของลิกแนน (สารต้านอนุมูลอิสระ)กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก 4.ลูกเดือย (Job’s Tears) จัดเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยบำรุงสายตา แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง 5.ข้าวกล้อง (Brown Rice) ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2บรรเทาอาการอ่อนเพลีย มีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในข้าวกล้องเป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol)มีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้ มีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ แป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมก็แข็งแรงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป ในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือ แพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพบาบาลพญาไท พหลโยธิน,medthai และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แหล่งอาหารที่ควรกินหลังออกกำลังกาย พลังงาน-คาร์บ-โปรตีน เสริมครบสุขภาพแข็งแรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 628 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ลายบนผลเมล่อน​ บอกอะไรเราได้บ้าง?

    การปลูกเมล่อนสายพันธุ์ผิวตาข่าย ไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตที่สวยงามและเพิ่มมูลค่า แต่ยังสะท้อนถึงการดูแลเอาใจใส่ของฟาร์มได้อีกด้วย! ลายบนผลเมล่อนเป็นเหมือน "กระจก" ที่สะท้อนคุณภาพการปลูก ดังนั้นเรามาสำรวจความหมายของลวดลายเหล่านี้กันครับ


    ---

    1️⃣ ลายสมบูรณ์

    ลักษณะ: ลายตาข่ายนูนหนา สม่ำเสมอ เส้นลายเท่ากัน และแตกลายอย่างสวยงาม

    บ่งบอกว่า:
    ✅ น้ำที่ให้มีความเหมาะสม
    ✅ ปุ๋ยและธาตุอาหารมีคุณภาพดีและเพียงพอ
    ✅ ได้รับแสงแดดเพียงพอ



    ---

    2️⃣ ผลปริแตก ยางไหล

    ลักษณะ: ผลแตกลายเป็นแผลใหญ่ มีน้ำยางไหลออกมาในช่วงเริ่มต้นของการแตกลาย

    สาเหตุ:
    ❌ ขาดธาตุอาหารรองหรืออาหารเสริม เช่น แคลเซียม โบรอน
    ❌ ให้ปุ๋ยหรือพ่นธาตุอาหารในปริมาณที่ไม่เพียงพอ



    ---

    3️⃣ ผลเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์

    ลักษณะ: ลวดลายไม่นูน แตกลายน้อย สีผลไม่สม่ำเสมอ

    สาเหตุ:
    ❌ ขาดแสงแดดที่เพียงพอ
    ❌ การสังเคราะห์แสงไม่สมบูรณ์ ทำให้ต้นสร้างอาหารได้ไม่เต็มที่



    ---

    4️⃣ ลายไม่สม่ำเสมอ

    ลักษณะ: เส้นลายเล็กบ้างใหญ่บ้าง แตกลายไม่สมดุล

    สาเหตุ:
    ❌ การให้น้ำมากเกินไปในช่วงติดผล
    ❌ ความชื้นสูงเกิน ส่งผลให้เกิดแผลที่กว้างและไม่สวยงาม



    ---

    การแก้ไขและป้องกัน

    ควบคุมการให้น้ำ: ให้ในปริมาณเหมาะสมและสม่ำเสมอ

    เสริมธาตุอาหารรอง: ใช้ชีวภัณฑ์หรือธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม-โบรอน

    จัดการแสงแดด: จัดระยะปลูกให้เหมาะสม เพื่อให้พืชได้รับแสงแดดเพียงพอ

    เลือกใช้ปุ๋ยคุณภาพ: ปุ๋ย AB และชีวภัณฑ์ที่เหมาะกับเมล่อน



    ---

    🌟 ลิตเติ้ลฟาร์ม – ฟาร์มอารมณ์ดี 🌟
    📌 จำหน่าย:

    เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ

    ชีวภัณฑ์ดูแลเมล่อน

    ปุ๋ยและธาตุอาหารต่างๆ


    📩 สอบถามเพิ่มเติม:
    📞 โทร: 093-696-2691
    ทัก inbox ได้เลยครับ!

    "เพราะลายบนผลเมล่อน ไม่ได้บอกแค่ความสวยงาม แต่มันคือเรื่องราวของการดูแลที่เราใส่ใจ" 🌱
    @ผู้ติดตาม @ผู้แสดงความคิดเห็น @แฟนตัวยง #ไตรโคบิวพลัส ขนาด500กรัม ราคา430บาท ขนาด50กรัม3ซอง ราคา280บาท Shopee: https://s.shopee.co.th/3fmMLR6sWD TikTok Shop: https://vt.tiktok.com/ZSjAQxMd9/
    #ลายบนผลเมล่อน​ บอกอะไรเราได้บ้าง? การปลูกเมล่อนสายพันธุ์ผิวตาข่าย ไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตที่สวยงามและเพิ่มมูลค่า แต่ยังสะท้อนถึงการดูแลเอาใจใส่ของฟาร์มได้อีกด้วย! ลายบนผลเมล่อนเป็นเหมือน "กระจก" ที่สะท้อนคุณภาพการปลูก ดังนั้นเรามาสำรวจความหมายของลวดลายเหล่านี้กันครับ --- 1️⃣ ลายสมบูรณ์ ลักษณะ: ลายตาข่ายนูนหนา สม่ำเสมอ เส้นลายเท่ากัน และแตกลายอย่างสวยงาม บ่งบอกว่า: ✅ น้ำที่ให้มีความเหมาะสม ✅ ปุ๋ยและธาตุอาหารมีคุณภาพดีและเพียงพอ ✅ ได้รับแสงแดดเพียงพอ --- 2️⃣ ผลปริแตก ยางไหล ลักษณะ: ผลแตกลายเป็นแผลใหญ่ มีน้ำยางไหลออกมาในช่วงเริ่มต้นของการแตกลาย สาเหตุ: ❌ ขาดธาตุอาหารรองหรืออาหารเสริม เช่น แคลเซียม โบรอน ❌ ให้ปุ๋ยหรือพ่นธาตุอาหารในปริมาณที่ไม่เพียงพอ --- 3️⃣ ผลเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ ลักษณะ: ลวดลายไม่นูน แตกลายน้อย สีผลไม่สม่ำเสมอ สาเหตุ: ❌ ขาดแสงแดดที่เพียงพอ ❌ การสังเคราะห์แสงไม่สมบูรณ์ ทำให้ต้นสร้างอาหารได้ไม่เต็มที่ --- 4️⃣ ลายไม่สม่ำเสมอ ลักษณะ: เส้นลายเล็กบ้างใหญ่บ้าง แตกลายไม่สมดุล สาเหตุ: ❌ การให้น้ำมากเกินไปในช่วงติดผล ❌ ความชื้นสูงเกิน ส่งผลให้เกิดแผลที่กว้างและไม่สวยงาม --- การแก้ไขและป้องกัน ควบคุมการให้น้ำ: ให้ในปริมาณเหมาะสมและสม่ำเสมอ เสริมธาตุอาหารรอง: ใช้ชีวภัณฑ์หรือธาตุอาหารรอง เช่น แคลเซียม-โบรอน จัดการแสงแดด: จัดระยะปลูกให้เหมาะสม เพื่อให้พืชได้รับแสงแดดเพียงพอ เลือกใช้ปุ๋ยคุณภาพ: ปุ๋ย AB และชีวภัณฑ์ที่เหมาะกับเมล่อน --- 🌟 ลิตเติ้ลฟาร์ม – ฟาร์มอารมณ์ดี 🌟 📌 จำหน่าย: เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ ชีวภัณฑ์ดูแลเมล่อน ปุ๋ยและธาตุอาหารต่างๆ 📩 สอบถามเพิ่มเติม: 📞 โทร: 093-696-2691 ทัก inbox ได้เลยครับ! "เพราะลายบนผลเมล่อน ไม่ได้บอกแค่ความสวยงาม แต่มันคือเรื่องราวของการดูแลที่เราใส่ใจ" 🌱 @ผู้ติดตาม @ผู้แสดงความคิดเห็น @แฟนตัวยง #ไตรโคบิวพลัส ขนาด500กรัม ราคา430บาท ขนาด50กรัม3ซอง ราคา280บาท Shopee: https://s.shopee.co.th/3fmMLR6sWD TikTok Shop: https://vt.tiktok.com/ZSjAQxMd9/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ้วน เบาหวาน ความดันสูงบ้างต่ำบ้าง-ผันผวน (BP variability) แถมทอดหุ่ยขี้เกียจเนือยนิ่ง โปะยาสารพัด แล้วสมองเสื่อมถามหาอย่างแน่ความผันผวน ของความดันโลหิต -ภาวะสมองเสื่อม และบทบาทของยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุวารสาร โรค อัลไซเมอร์ 19 ม.ค. 2023 ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างความแปรปรวนของความดันโลหิต (BPV) นานถึง 12 ปีกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมตามมา และทดสอบการเปลี่ยนแปลงผลของยาลดความดันโลหิตศึกษาผู้เข้าร่วม 2,234 คนจากกลุ่มผู้สูงอายุสองกลุ่ม ที่มีการรับรู้ปกติหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามผ่านการประเมินประจำปีเป็นเวลานานถึง 27 ปี BPV ถูก ประเมิน ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปี ตามลำดับความดันโลหิตซิสโตลิก ตัวบน ที่ผันผวน (SBPV) มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปีมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมตามมา และ SBPV และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมยังพบมากขึ้นในกลุ่มผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับความดัน ชนิด แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (p-for ปฏิสัมพันธ์ < 0.05)สรุป ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปี ความดันโลหิตตัวบนยิ่งสูงบ้าง ต่ำบ้างในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมในภายหลังและ ยา calcium chain blocker อาจลดความเสี่ยงที่มา: Alzheimer's & Dementia : The Journal Of The Alzheimer's Association Blood pressure variability, dementia, and role of antihypertensive medications in older adults.ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    อ้วน เบาหวาน ความดันสูงบ้างต่ำบ้าง-ผันผวน (BP variability) แถมทอดหุ่ยขี้เกียจเนือยนิ่ง โปะยาสารพัด แล้วสมองเสื่อมถามหาอย่างแน่ความผันผวน ของความดันโลหิต -ภาวะสมองเสื่อม และบทบาทของยาลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุวารสาร โรค อัลไซเมอร์ 19 ม.ค. 2023 ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างความแปรปรวนของความดันโลหิต (BPV) นานถึง 12 ปีกับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมตามมา และทดสอบการเปลี่ยนแปลงผลของยาลดความดันโลหิตศึกษาผู้เข้าร่วม 2,234 คนจากกลุ่มผู้สูงอายุสองกลุ่ม ที่มีการรับรู้ปกติหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามผ่านการประเมินประจำปีเป็นเวลานานถึง 27 ปี BPV ถูก ประเมิน ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปี ตามลำดับความดันโลหิตซิสโตลิก ตัวบน ที่ผันผวน (SBPV) มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3, 6, 9 และ 12 ปีมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมตามมา และ SBPV และความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมยังพบมากขึ้นในกลุ่มผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับความดัน ชนิด แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (p-for ปฏิสัมพันธ์ < 0.05)สรุป ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปี ความดันโลหิตตัวบนยิ่งสูงบ้าง ต่ำบ้างในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อมในภายหลังและ ยา calcium chain blocker อาจลดความเสี่ยงที่มา: Alzheimer's & Dementia : The Journal Of The Alzheimer's Association Blood pressure variability, dementia, and role of antihypertensive medications in older adults.ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 573 มุมมอง 0 รีวิว
  • เข้าใจกลไกการออกดอก+ป้องกันดอกร่วง(มะนาว)

    กลไก..การออกดอกของไม้ผล คือ C/N RATIO

    หลักการ C:N Ratio พิจารณาได้ 3 กรณี
    1.1) N สูงกว่า C
    ฤดูฝน..ฝนตก หรือการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน(สูงๆ) ต้นไม้จะเร่งการเติบโต แตกยอด ออกใบใหม่
    1.2) C สูงกว่า N *******
    จะเกิดในปีที่ฝนแล้ง หรือ #ใส่ปุ๋ยโยกหลัง #ธาตุอาหารโพแทสเซียมจะมีฤทธิ์ไปตัดกับฤทธิ์ของไนโตรเจนทำให้ไนโตรเจนตกลง --->ส่งผลให้ฟอสฟอรัสมีค่าสูงขึ้น ซึ่งฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่จะช่วยกระตุ้นให้ออกดอกผล แต่อย่างไรก็ตามการจะทำให้โพแทสเซียมทำงานได้ดี เราจะต้องใส่แคลเซียม โบรอนเข้าไปด้วย
    1.3) C เท่ากับ N จะเกิดลูกแซมดอก (มักจะเกิดช่วงทำดอกแล้วฝนตกใส่)
    ดังนั้นการเพิ่มปริมาณ C และ การลดปริมาณ N จึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการออกดอกผลของต้นไม้อย่างยิ่ง.

    ----------------------------------
    มะนาวออกดอก ขาวโพลนเต็มต้นได้ในช่วงนี้
    ปกป้อง กันการร่วงของดอก..ด้วย

    #น้ำตาลกลูโคส 2 ช้อนโต๊ะ #M150 2ฝา #เหล้าขาว ๕๐CC. #น้ำเปล่า ๒๐ลิตร ฉีดในช่วงเช้า(แดดอ่อน)หรือในตอนเย็นก็ได้ ทุก 7วัน
    (ยกเว้น..ในช่วงดอกบาน...ห้ามฉีด) อย่างเช่น ในวันนี้(ตามภาพ)
    จะช่วยให้ขั้วเหนียว ดอกไม่ร่วง...ได้ผลดี
    เข้าใจกลไกการออกดอก+ป้องกันดอกร่วง(มะนาว) กลไก..การออกดอกของไม้ผล คือ C/N RATIO หลักการ C:N Ratio พิจารณาได้ 3 กรณี 1.1) N สูงกว่า C ฤดูฝน..ฝนตก หรือการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน(สูงๆ) ต้นไม้จะเร่งการเติบโต แตกยอด ออกใบใหม่ 1.2) C สูงกว่า N ******* จะเกิดในปีที่ฝนแล้ง หรือ #ใส่ปุ๋ยโยกหลัง #ธาตุอาหารโพแทสเซียมจะมีฤทธิ์ไปตัดกับฤทธิ์ของไนโตรเจนทำให้ไนโตรเจนตกลง --->ส่งผลให้ฟอสฟอรัสมีค่าสูงขึ้น ซึ่งฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่จะช่วยกระตุ้นให้ออกดอกผล แต่อย่างไรก็ตามการจะทำให้โพแทสเซียมทำงานได้ดี เราจะต้องใส่แคลเซียม โบรอนเข้าไปด้วย 1.3) C เท่ากับ N จะเกิดลูกแซมดอก (มักจะเกิดช่วงทำดอกแล้วฝนตกใส่) ดังนั้นการเพิ่มปริมาณ C และ การลดปริมาณ N จึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการออกดอกผลของต้นไม้อย่างยิ่ง. ---------------------------------- มะนาวออกดอก ขาวโพลนเต็มต้นได้ในช่วงนี้ ปกป้อง กันการร่วงของดอก..ด้วย #น้ำตาลกลูโคส 2 ช้อนโต๊ะ #M150 2ฝา #เหล้าขาว ๕๐CC. #น้ำเปล่า ๒๐ลิตร ฉีดในช่วงเช้า(แดดอ่อน)หรือในตอนเย็นก็ได้ ทุก 7วัน (ยกเว้น..ในช่วงดอกบาน...ห้ามฉีด) อย่างเช่น ในวันนี้(ตามภาพ) จะช่วยให้ขั้วเหนียว ดอกไม่ร่วง...ได้ผลดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลเซียม จากสาหร่ายสีแดง + อันดีเนเจอร์คอลลาเจน ไทพ์ ทู Undenatured Collagen Type ll (30แคป) ดูดซึมเร็วไม่ตกค้าง แคลเซี่ยมกระดูก คอลลาเจนกระดูก calark calcium แคลอาร์ค แคลเซียม บำรุงกระดูก

    คลิกดูรายละเอียดสินค้า ที่นี่ : https://healthplusyotcha.blogspot.com/2024/12/undenatured-collagen-type-ll-30-calark.html
    แคลเซียม จากสาหร่ายสีแดง + อันดีเนเจอร์คอลลาเจน ไทพ์ ทู Undenatured Collagen Type ll (30แคป) ดูดซึมเร็วไม่ตกค้าง แคลเซี่ยมกระดูก คอลลาเจนกระดูก calark calcium แคลอาร์ค แคลเซียม บำรุงกระดูก คลิกดูรายละเอียดสินค้า ที่นี่ : https://healthplusyotcha.blogspot.com/2024/12/undenatured-collagen-type-ll-30-calark.html
    HEALTHPLUSYOTCHA.BLOGSPOT.COM
    แคลเซียม จากสาหร่ายสีแดง + อันดีเนเจอร์คอลลาเจน ไทพ์ ทู Undenatured Collagen Type ll (30แคป) ดูดซึมเร็วไม่ตกค้าง แคลเซี่ยมกระดูก คอลลาเจนกระดูก calark calcium แคลอาร์ค แคลเซียม บำรุงกระดูก
    ฿399.00 ✨ แคลเซียมจากสาหร่ายสีแดง ✔️ ดูดซึมไว ไม่ตกค้างในร่างกาย ✔️ เติมแคลเซียมให้กระดูกแข็งแรง ✨ Undenatured Collagen Type II ✔️ ช่วยบำร...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลเซียม จากสาหร่ายสีแดง + อันดีเนเจอร์คอลลาเจน ไทพ์ ทู Undenatured Collagen Type ll (30แคป) ดูดซึมเร็วไม่ตกค้าง แคลเซี่ยมกระดูก คอลลาเจนกระดูก calark calcium แคลอาร์ค แคลเซียม บำรุงกระดูก

    คลิกดูรายละเอียดสินค้า ที่นี่ : https://healthplusyotcha.blogspot.com/2024/12/undenatured-collagen-type-ll-30-calark.html
    แคลเซียม จากสาหร่ายสีแดง + อันดีเนเจอร์คอลลาเจน ไทพ์ ทู Undenatured Collagen Type ll (30แคป) ดูดซึมเร็วไม่ตกค้าง แคลเซี่ยมกระดูก คอลลาเจนกระดูก calark calcium แคลอาร์ค แคลเซียม บำรุงกระดูก คลิกดูรายละเอียดสินค้า ที่นี่ : https://healthplusyotcha.blogspot.com/2024/12/undenatured-collagen-type-ll-30-calark.html
    HEALTHPLUSYOTCHA.BLOGSPOT.COM
    แคลเซียม จากสาหร่ายสีแดง + อันดีเนเจอร์คอลลาเจน ไทพ์ ทู Undenatured Collagen Type ll (30แคป) ดูดซึมเร็วไม่ตกค้าง แคลเซี่ยมกระดูก คอลลาเจนกระดูก calark calcium แคลอาร์ค แคลเซียม บำรุงกระดูก
    ฿399.00 ✨ แคลเซียมจากสาหร่ายสีแดง ✔️ ดูดซึมไว ไม่ตกค้างในร่างกาย ✔️ เติมแคลเซียมให้กระดูกแข็งแรง ✨ Undenatured Collagen Type II ✔️ ช่วยบำร...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • 13/11/67

    เช้านี้เต้นรำ รำมวย พร้อมระบบออนไลน์ซูม ที่ระเบียงบ้าน ก็หันหลังรับแดดยามเช้าซึ่งรู้ว่ามีประโยชน์ เลยถามChatGPT ได้รับคำตอบตามนี้ “การรับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าด้วยการหันหลังรับแดดประมาณ 15 นาที มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่

    1. ช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดี
    แสงแดดช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ต้องการวิตามินดีมากขึ้น

    2. ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
    วิตามินดีจากแสงแดดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ

    3. ช่วยปรับสมดุลอารมณ์
    การรับแสงแดดยามเช้าช่วยกระตุ้นการผลิตสารเซโรโทนินในสมอง ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก มีส่วนช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้

    4. ช่วยในการนอนหลับที่ดีขึ้น
    การได้รับแสงแดดในช่วงเช้าช่วยปรับระบบนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ของร่างกาย ทำให้รู้สึกตื่นตัวในตอนกลางวันและง่วงในตอนกลางคืน ซึ่งช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

    5. ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
    วิตามินดีมีส่วนช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

    แสงแดดในช่วงเช้า (ก่อน 10 โมง) มีความเข้มของรังสี UV ต่ำกว่าช่วงสายและบ่าย ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับแดดโดยที่ไม่เสี่ยงต่อการทำลายผิว”
    13/11/67 เช้านี้เต้นรำ รำมวย พร้อมระบบออนไลน์ซูม ที่ระเบียงบ้าน ก็หันหลังรับแดดยามเช้าซึ่งรู้ว่ามีประโยชน์ เลยถามChatGPT ได้รับคำตอบตามนี้ “การรับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าด้วยการหันหลังรับแดดประมาณ 15 นาที มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่ 1. ช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดี แสงแดดช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ต้องการวิตามินดีมากขึ้น 2. ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินดีจากแสงแดดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ 3. ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ การรับแสงแดดยามเช้าช่วยกระตุ้นการผลิตสารเซโรโทนินในสมอง ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก มีส่วนช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ 4. ช่วยในการนอนหลับที่ดีขึ้น การได้รับแสงแดดในช่วงเช้าช่วยปรับระบบนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ของร่างกาย ทำให้รู้สึกตื่นตัวในตอนกลางวันและง่วงในตอนกลางคืน ซึ่งช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น 5. ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย วิตามินดีมีส่วนช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แสงแดดในช่วงเช้า (ก่อน 10 โมง) มีความเข้มของรังสี UV ต่ำกว่าช่วงสายและบ่าย ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับแดดโดยที่ไม่เสี่ยงต่อการทำลายผิว”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 755 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณถูกหลอกมาตลอดเกี่ยวกับฟลูออไรด์หรือเปล่า?
    ไม่มีอะไรเทียบได้กับน้ำใสๆ เย็นๆ สักแก้วดับกระหายของคุณ แต่คราวหน้าที่คุณเปิดก๊อกน้ำ คุณอาจต้องการตั้งคำถามว่าจริงหรือไม่ น้ำนั้นเป็นพิษเกินกว่าจะดื่มได้ ถ้าน้ำของคุณมีฟลูออไรด์ผสมอยู่ คำตอบน่าจะเป็น "จริง" แม้ว่า "เจ้าหน้าที่" ด้านสุขภาพออกมาประกาศว่า "ปลอดภัย" และ "เป็นธรรมชาติ" ก็ไม่มีอะไรจะมากไปกว่าความจริงได้
    เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่เราได้รับคำโกหก คำโกหกที่นำไปสู่การเสียชีวิตของชาวอเมริกันหลายแสนคน และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอีกหลายสิบล้านคน การโกหกนี้เรียกว่า "การผสมฟลูออไรด์" กระบวนการที่เราเชื่อว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการปกป้องฟันจากฟันผุ อันที่จริงแล้วเป็นการฉ้อโกง ในคำพูดของ Dr. Robert Carton อดีตนักวิทยาศาสตร์ของ EPA “ฟลูออไรด์เป็นกรณีที่ใหญ่ที่สุดของการฉ้อโกงทางวิทยาศาสตร์ของศตวรรษนี้ หรือไม่ก็ตลอดกาล”
    “กระบวนการปั่น” เริ่มต้นขึ้น
    ในปี ค.ศ. 1920 การผลิตอะลูมิเนียมซึ่งส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมกระป๋องที่กำลังเฟื่องฟู แต่ก็ยังเป็นผู้ผลิตขยะฟลูออไรด์ที่เป็นพิษรายใหญ่ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ใหญ่ที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสียอันตรายอย่างปลอดภัยซึ่งแพงมาก อุตสาหกรรมนี้จึงได้ทำการตลาดและขายของเสียที่เป็นพิษ (โซเดียมฟลูออไรด์) เพื่อใช้ผลิตเป็นยาฆ่าแมลงและยาฆ่าหนู แต่ทว่าพวกเขาต้องการตลาดที่ใหญ่กว่านั้น... มนุษย์ไง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มีอุปสรรคอยู่เล็กน้อย
    ในวารสารสมาคมทันตกรรมอเมริกันวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1944 ADA เตือนว่า “โอกาสที่จะเกิดอันตราย (จากฟลูออไรด์) มีมากกว่าประโยชน์ในทางที่ดี” แต่ในปี 1947 Oscar R. Ewing (ซึ่งเป็นทนายความของ ALCOA มาเป็นเวลานาน) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เขารับผิดชอบด้านบริการสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา และแล้วภายใต้การนำของเขา แคมเปญ "น้ำผสมฟลูออไรด์" ระดับชาติจึงเริ่มต้นขึ้น
    นักยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์สำหรับแคมเปญ "น้ำผสมฟลูออไรด์" ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Edwin L. Bernays หลานชายของ Sigmund Freud หรือที่รู้จักในชื่อ "เจ้าพ่อแห่งการปั่น" Bernays เป็นผู้บุกเบิกการประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ Freud มาใช้กับการโฆษณาและ "ความจริงครึ่งเดียวของรัฐบาล"
    ในหนังสือ "โฆษณาชวนเชื่อ" ของเขา Bernays ได้อ้างว่าความคิดเห็นสาธารณะซึ่งใช้วิทยาศาสตร์บงการเป็นกุญแจสำคัญ เขากล่าวว่า "คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งมีอิทธิพลควบคุมจิตใจของสาธารณชน" แคมเปญฟลูออไรด์ของรัฐบาลเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยั่งยืนที่สุดของเขา
    เทคนิคของเบอร์เนย์นั้นเรียบง่าย แสร้งทำเป็นว่ามีงานวิจัยที่น่าพอใจโดยใช้วลีเช่น "การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็น ... " หรือ "การวิจัยพิสูจน์แล้ว ... " หรือ "ผู้วิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้พบ ... " (แต่ไม่เคยพูดอ้างอิงถึงสิ่งใดเลย) พูดให้นานพอและดังพอ แล้วในที่สุดผู้คนจะเชื่อมัน หากใครสงสัยหรือซักไซ้เรื่องโกหกนี้ ก็โจมตีหน้าที่การงานและ/หรือสติปัญญาของพวกเขา
    แล้ว "งานศึกษา" ล่ะ?
    ไม่มี "งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์" ที่พิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์ปลอดภัยเลยหรือ? ในช่วงทศวรรษที่ 1940 นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ผู้คนจะมีสุขภาพฟันโดยรวมที่ดีขึ้น (โดยส่วนใหญ่เป็นฟันผุน้อยกว่า) หากพวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีฟลูออรีนในระดับที่สูงขึ้นตามธรรมชาติ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้เกิดคำถามเรื่อง “การศึกษาวิจัย” และมีความกังวลอย่างมากว่าข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเพียงการประดิษฐ์ขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีความผูกพันกับบริษัทที่มีส่วนได้เสียในการขายฟลูออไรด์ การปั้นแต่งข้อมูลในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับสุขภาพ มีบริษัทจำนวนหนึ่งที่จะได้รับผลประโยชน์จากสุขภาพที่ย่ำแย่ของสาธารณชน
    ตรงกันข้ามกับความเห็นส่วนใหญ่ ฟลูออไรด์กลับไม่ได้หยุดฟันผุเลย จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์เป็นพิษต่อระบบประสาทและทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด และโรคกระดูกพรุน ฟลูออไรด์ยังทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินหายใจ รวมถึงตับไตและสมอง และอาจนำไปสู่ความบกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีความบกพร่องในการอ่าน สมาธิสั้น และออทิสติก
    ในปี 2012 นักวิจัยของฮาร์วาร์ดรายงานว่าการศึกษา 26 จาก 27 ชิ้นที่พวกเขาทบทวนพบว่าไอคิวในวัยเด็กลดลงเมื่อความเข้มข้นของฟลูออไรด์เพิ่มขึ้น รายงานปี 2006 จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ทบทวนการศึกษาหลายร้อยชิ้นที่เชื่อมโยงน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์กับความเสียหายทางระบบประสาท ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ และ … ใช่แล้ว …. โรคมะเร็ง
    ในปี 1955 วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์เพิ่มขึ้น 400% ในช่วงหลายปีหลังจากที่น้ำในซานฟรานซิสโกเริ่มได้รับการผสมฟลูออไรด์ ต่อมาในปี 1977 สภาคองเกรสได้สั่งให้หน่วยงานบริการสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาดำเนินการศึกษาในสัตว์เพื่อพิจารณาว่าฟลูออไรด์ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ หลังจากวิเคราะห์ผลการศึกษาในหนูแล้ว พบว่าหนูที่ดื่มน้ำฟลูออไรด์มีเนื้องอกและมะเร็งเพิ่มขึ้นในเซลล์สความัสในช่องปาก ก่อตัวเป็นรูปแบบที่พบได้ยากของมะเร็งกระดูกที่เรียกว่า osteosarcoma และพบว่ามีเนื้องอกในเซลล์ต่อมไทรอยด์ฟอลลิคูลาร์เพิ่มขึ้น
    การค้นพบที่สำคัญที่สุดคือการเกิดขึ้นของมะเร็งตับรูปแบบที่หายากมาก มะเร็งตับในหนูเพศผู้และเพศเมียที่ได้รับฟลูออไรด์ นอกจากนี้ในปี 1977 ยังแสดงให้เห็นว่าฟลูออไรด์ทำให้เกิดการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งประมาณ 10,000 รายในการศึกษาทางระบาดวิทยาโดย Dr. Dean Burk อดีตหัวหน้าแผนกไซโตเคมี ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และ Dr. John Yiamouyiannis แม้จะมีการค้นพบในปี 1977 แต่ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเปิดเผยจนกระทั่งปี 1989
    ในปี 2006 ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นักวิจัยระบุถึงความเชื่อมโยงระหว่างฟลูออไรด์กับ osteosarcoma การศึกษานี้นำโดย Dr. Elise Bassin และตีพิมพ์ออนไลน์ใน Cancer Causes and Control (วารสารทางการของศูนย์ป้องกันมะเร็งฮาร์วาร์ด) พบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์กับ osteocarcoma ซึ่งเป็นมะเร็งกระดูกที่หายากและมักเสียชีวิตในเด็กชาย การศึกษายืนยันโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และแผนกสุขภาพของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งพบอัตราการเกิดมะเร็งกระดูกที่เพิ่มขึ้นในเด็กผู้ชายที่ดื่มน้ำประปาที่มีฟลูออไรด์ ผลการวิจัยยืนยันผลการศึกษาของรัฐบาลก่อนหน้าในปี 1990 ที่เกี่ยวข้องกับหนูที่ได้รับฟลูออไรด์
    แต่ยังมีอีก...
    เมื่อเข้าไปในร่างกายของคุณ ฟลูออไรด์จะทำลายเอนไซม์ของคุณด้วยการเปลี่ยนรูปร่าง ร่างกายของคุณต้องอาศัยเอ็นไซม์หลายพันชนิดเพื่อทำปฏิกิริยาของเซลล์จำนวนมาก ถ้าไม่มีเอ็นไซม์ เราทุกคนคงตายกันหมด เอ็นไซม์เป็นเหมือนกุญแจที่เข้ากับระบบล็อคภายในเซลล์ของคุณ อย่างไรก็ตาม เมื่อฟลูออไรด์ทำลายรูปร่างของ "กุญแจ" มันจะไม่เข้ากับตัวล็อคอีกต่อไป และร่างกายของคุณไม่รู้จักเอ็นไซม์อีกต่อไป เอนไซม์ที่เสียหายเหล่านี้สามารถนำไปสู่การสลายคอลลาเจน ความเสียหายของดีเอ็นเอ ความเสียหายของเนื้อเยื่อ และการกดภูมิคุ้มกัน
    ในช่วงต้นปี 2010 มีเรื่องราวสองเรื่องในอินเดียเปิดเผยว่าเด็ก ๆ ตาบอดและพิการบางส่วน อันเป็นผลมาจากการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำดื่มของพวกเขา และในหมู่บ้าน Gaudiyan ของอินเดีย ประชากรมากกว่าครึ่งมีความผิดปกติของกระดูก ทำให้มีความพิการทางร่างกาย เด็กเกิดมาปกติดี แต่หลังจากที่พวกเขาเริ่มดื่มน้ำที่มีฟลูออไรด์ พวกเขาก็เริ่มมีความพิการที่มือและเท้า
    เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2010 นิตยสาร Time ระบุว่าฟลูออไรด์เป็นหนึ่งใน "สารพิษในครัวเรือน 10 อันดับแรก" และอธิบายว่าฟลูออไรด์ "เป็นพิษต่อระบบประสาทและอาจเกิดเนื้องอกได้หากกลืนเข้าไป" มีการบอกความจริงนี้ในเกือบทุกประเทศในโลก (รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย) มันผิดกฎหมายที่จะ "ให้ยาขนานใหญ่" กับประชากรทั้งหมดด้วยสารที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นพิษ
    ด้วยความจริงที่ว่าฟลูออไรด์สามารถสะสมในร่างกายได้ จึงเป็นเหตุให้กฎหมายแห่งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้กรมการแพทย์ทหารตั้งค่า "ระดับสารปนเปื้อนสูงสุด" (MCL) สำหรับปริมาณฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำสาธารณะตามที่ EPA กำหนด มันทำให้ผมสับสนจากการที่ทันตแพทย์ที่ถูกล้างสมองหลายพันคนประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าฟลูออไรด์เป็น "สารอาหารมหัศจรรย์" ที่ป้องกันฟันผุและส่งเสริมสุขภาพฟันและเหงือก ผมขอตั้งคำถามหน่อยนะ สารพิษสะสมและผลิตภัณฑ์จากขยะพิษจะเรียกว่า “สารอาหาร” ได้อย่างไร
    เป็นความโชคร้าย หากคุณต้องใช้ชีวิตในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หรือแคนาดา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจในระดับสูง (มีความเป็นไปได้มากที่การผสมฟลูออไรด์ในน้ำจะเป็นเรื่องปกติ) หมายความว่ามีการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของคุณโดยที่คุณไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้เลย
    จากเกือบ 320 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 72% บริโภคน้ำที่มีฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอ และจากข้อมูลของ CDC รัฐทั้งหมด 50 รัฐ ได้ผสมฟลูออไรด์ลงในแหล่งน้ำ
    แล้วคุณจะทำอะไรได้บ้าง?
    การกรองแบบ Reverse Osmosis ถือว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดฟลูออไรด์ออกจากน้ำ เกลือฟลูออไรด์จะเข้าไปแทนที่ไอโอดีนซึ่งต่อมไทรอยด์จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน การเสริมไอโอดีนในอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเสริมด้วยอัตราส่วนแมกนีเซียมต่อแคลเซียมสูงจะให้แร่ธาตุที่ช่วยขจัดฟลูออไรด์ นอกจากนี้ วิตามิน K2 ที่สกัดจากเอนไซม์ในถั่วเน่าญี่ปุ่น ยังช่วยป้องกันการกลายเป็นหินปูนฟลูออไรด์ในอวัยวะที่มีเนื้อเยื่ออ่อน เช่น หลอดเลือดแดงและสมอง
    ใช่แล้ว... อีกอย่างที่คุณทำได้คือหยุดใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ คุณเคยอ่านฉลากหรือไม่? ผมแนะนำให้คุณอ่านซะ ในปี 1997 องค์การอาหารและยาได้สั่งให้ผู้ผลิตยาสีฟันเพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับพิษจากยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ทั้งหมดที่จำหน่ายในสหรัฐฯ คำเตือนดังกล่าวระบุว่าควรเก็บให้ห่างจากเด็ก ผมสงสัยว่าเพราะเหตุใดกัน อาจเป็นเพราะถ้าเด็กเล็กกินยาสีฟันทั้งหลอด ปริมาณเท่านี้อาจทำให้ถึงตายได้!
    บทสรุป
    ในช่วงต้นปี 2010 มีภูเขาไฟระเบิดขนาดใหญ่ในประเทศไอซ์แลนด์ สัตว์ในไอซ์แลนด์ตอนใต้มีความเสี่ยงที่จะเป็นพิษจากฟลูออไรด์ หากพวกมันสูดดมหรือกลืนกินเถ้าจากการปะทุ พิษจากฟลูออไรด์สามารถนำไปสู่การมีเลือดออกภายใน ความเสียหายของกระดูกในระยะยาว และการสูญเสียฟัน ตามข่าวบีบีซี (19 เมษายน 2010): "ฟลูออไรด์ในเถ้าสร้างกรดในกระเพาะของสัตว์ กัดกร่อนลำไส้และทำให้เลือดออก นอกจากนี้ยังจับกับแคลเซียมในกระแสเลือดและหลังจากได้รับสารหนักในช่วงเวลาหลายวันทำให้กระดูกเปราะบางแม้กระทั่งทำให้ฟันผุ" คนส่วนใหญ่ไม่เคย "เชื่อมโยงจุดต่างๆ" ระหว่างพิษอันน่าสลดใจของสัตว์เหล่านี้อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ กับพิษของมนุษย์จากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปในแต่ละวัน
    มีงานศึกษาซึ่งทบทวนโดยคณะผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 500 ชิ้นที่บันทึกถึงผลข้างเคียงของฟลูออไรด์ตั้งแต่มะเร็งไปจนถึงความเสียหายต่อสมอง แต่ถึงกระนั้น เขตเทศบาลต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาก็ซื้อผลิตภัณฑ์นี้จริงๆ แล้วหยดลงในแหล่งน้ำสาธารณะ Dr. Charles G. Heyd อดีตประธานของ AMA กล่าวว่า "ผมรู้สึกตกใจที่ได้เห็นการใช้น้ำเป็นพาหนะส่งยา ฟลูออไรด์เป็นสารพิษกัดกร่อนซึ่งจะส่งผลร้ายแรงในระยะยาว ความพยายามใดๆ ที่จะใช้น้ำในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่น่าประณาม"
    ระบบมันเสียหายไปแล้ว ระบบการดูแลสุขภาพของเรา อุตสาหกรรมยา รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล สื่อของเรา และแม้แต่ภาคเทคโนโลยีล้วนได้รับความเสียหาย เรากำลังอยู่ในระหว่างสงครามข้อมูล โดยมีการปกปิดและการเซ็นเซอร์ในระดับสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชมตัวอย่างสารคดีชุดใหม่ของเรา: PROPAGANDA EXPOSED! ค้นพบความจริงที่ Big Pharma และ Mainstream Media ไม่ต้องการให้คุณเห็น ดูฟรี 100%… และอาจช่วยชีวิตคุณได้
    https://go.propaganda-exposed.com/?a_bid=f9f117e3...
    ผู้เขียน : Ty Bollinger
    ‼ รวมลิสต์รายชื่อยี่ห้อยาสีฟันที่ไม่มี ❌สารฟลูaaไรด์❌ โดยโค๊ชนาตาลี
    🦷 1. ยาสีฟัน Doctor V (แก้ไข ยี่ห้อนี้มี)
    🦷 2. ยาสีฟัน Grants Of Australia
    🦷 3. ยาสีฟัน Sparkle White (ทุกรุ่น)
    🦷 4. ยาสีฟันเอมไทย (AimThai)
    🦷 5. ยาสีฟันน้ำมันมะพร้าว (Tropicana)
    🦷 6. ยาสีฟันสมุนไพรโครงการหลวง เฮอร์เบิลทูธเพสท์
    🦷 7. ยาสีฟัน Curaprox (Enzycal Zero)
    🦷 8. ยาสีฟัน ยาสีฟันโคโค่เมท (Cocomate toothpaste)
    🦷 9. ยาสีฟันก๊กเลี้ยง (แก้ไข ยี่ห้อนี้มี สังเกตฝากล่องด้านใน)
    🦷 10. ยาสีเด็กฟันคินดี้ ออรัล เจล ออร์แกนิค (Kindee Oral Gel Organic ของเด็ก) 👧🧒
    🦷 11. ยาสีฟันดอกบัวคู่ (แก้ไข สูตรดั้งเดิม,สูตรเซนซิที,สูตรเกลือสมุนไพร,สูตรเฟรชแอนด์คูล = ไม่มี สูตรเอเวอร์เฟรชและสูตรฟ้าทลายโจร = มี)
    🦷 12. ยาสีฟันสมุนไพรวาซ Wazz
    🦷 13. ยาสีฟันใจฟ้า
    🦷 14. ยาสีฟัน Dentiste (แค่บางรุ่น ควรอ่านฉลากก่อนซื้อ)
    🦷 15. ยาสีฟัน Thieves Young Living
    🦷 16. ยาสีฟัน Mama's Choice สูตรธรรมชาติ
    🦷 17. ยาสีฟันเพียวรีน (Pureen Maternity Toothpaste)
    🦷 18. ยาสีฟันเด็กเพียวรีน Pureen kids (ของเด็ก) 👧🧒
    🦷 19. ยาสีฟันเด็กเอมไทย กรีน คิดส์ ออร์แกนิค (ของเด็ก) 👧🧒
    🦷 20. ยาสีฟันเด็ก Mama's Choice (ของเด็ก) 👧🧒
    🦷 21. ยาสีฟันเด็ก ดอกบัวคู่คิด (ของเด็ก) 👧🧒
    🦷 22. ยาสีฟันเจสัน Jason Since 1956
    🦷 23. ยาสีฟันซองวิเศษนิยม (มีในร้านสะดวกซื้อ)
    🦷 24. ยาสีฟันสมุนไพรทิพย์นิยม
    🦷 25. ยาสีฟันวันเดอร์สไมล์ (Wonder Smile)
    🦷 26. ยาสีฟันเด็กฟันคินดี้ ออรัล เจล ออร์แกนิค (Kindee Oral Gel Organic ของเด็ก) 👧🧒
    🦷 27. ยาสีฟันเทโซโร่ เฟรช
    🦷 28. ยาสีฟันไอวิศน์ (IVISN)
    🦷 29. ยาสีฟันนกไทย 5 ดาว 4A สูตรดั้งเดิม
    ขอเพิ่มเติม
    🦷 30.ยาสีฟันคอลบาเด้นท์ (Kolbadent)
    🦷 31. ยาสีฟันพาโรดอนแทกซ์ (Parodontax)
    🦷 32. ยาสีฟันเดนตาเมท (Denta mate)
    🦷 33. เกลือสีฟันทรีออร์คิดส์
    🦷 34. ยาสีฟัน Sante ของอ.สันติ มาะดี(หมอนอกกะลา)
    🦷 35. ยาสีฟันรุ่งอรุณ
    🦷 36. ยาสีฟันไบโอมิเนอรัลส์
    (ยี่ห้อนี้ต้องขอขอบคุณครับดร.(ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง) ที่มาช่วยกิจกรรมกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ได้เคลื่อนไหวช่วยคนไทยในการจัดกิจกรรม แอดไลน์ด้วย QR Code ในภาพเมื่อท่านแจ้งแอดมินตอนสั่งซื้อว่ามาจากกลุ่ม คนไทยพิทักษ์สิทธิ์ กำไรจะถูกหักเข้ากองทุนสำหรับกิจกรรมกลุ่ม)
    เป็นต้น
    https://youtube.com/shorts/cj_brYDAlBM?si=waEMU4F2I0-CWcny
    ขอบคุณเจ้าของบทความต่างๆ
    คุณถูกหลอกมาตลอดเกี่ยวกับฟลูออไรด์หรือเปล่า? ไม่มีอะไรเทียบได้กับน้ำใสๆ เย็นๆ สักแก้วดับกระหายของคุณ แต่คราวหน้าที่คุณเปิดก๊อกน้ำ คุณอาจต้องการตั้งคำถามว่าจริงหรือไม่ น้ำนั้นเป็นพิษเกินกว่าจะดื่มได้ ถ้าน้ำของคุณมีฟลูออไรด์ผสมอยู่ คำตอบน่าจะเป็น "จริง" แม้ว่า "เจ้าหน้าที่" ด้านสุขภาพออกมาประกาศว่า "ปลอดภัย" และ "เป็นธรรมชาติ" ก็ไม่มีอะไรจะมากไปกว่าความจริงได้ เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่เราได้รับคำโกหก คำโกหกที่นำไปสู่การเสียชีวิตของชาวอเมริกันหลายแสนคน และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอีกหลายสิบล้านคน การโกหกนี้เรียกว่า "การผสมฟลูออไรด์" กระบวนการที่เราเชื่อว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการปกป้องฟันจากฟันผุ อันที่จริงแล้วเป็นการฉ้อโกง ในคำพูดของ Dr. Robert Carton อดีตนักวิทยาศาสตร์ของ EPA “ฟลูออไรด์เป็นกรณีที่ใหญ่ที่สุดของการฉ้อโกงทางวิทยาศาสตร์ของศตวรรษนี้ หรือไม่ก็ตลอดกาล” “กระบวนการปั่น” เริ่มต้นขึ้น ในปี ค.ศ. 1920 การผลิตอะลูมิเนียมซึ่งส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมกระป๋องที่กำลังเฟื่องฟู แต่ก็ยังเป็นผู้ผลิตขยะฟลูออไรด์ที่เป็นพิษรายใหญ่ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ใหญ่ที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสียอันตรายอย่างปลอดภัยซึ่งแพงมาก อุตสาหกรรมนี้จึงได้ทำการตลาดและขายของเสียที่เป็นพิษ (โซเดียมฟลูออไรด์) เพื่อใช้ผลิตเป็นยาฆ่าแมลงและยาฆ่าหนู แต่ทว่าพวกเขาต้องการตลาดที่ใหญ่กว่านั้น... มนุษย์ไง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มีอุปสรรคอยู่เล็กน้อย ในวารสารสมาคมทันตกรรมอเมริกันวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1944 ADA เตือนว่า “โอกาสที่จะเกิดอันตราย (จากฟลูออไรด์) มีมากกว่าประโยชน์ในทางที่ดี” แต่ในปี 1947 Oscar R. Ewing (ซึ่งเป็นทนายความของ ALCOA มาเป็นเวลานาน) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เขารับผิดชอบด้านบริการสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา และแล้วภายใต้การนำของเขา แคมเปญ "น้ำผสมฟลูออไรด์" ระดับชาติจึงเริ่มต้นขึ้น นักยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์สำหรับแคมเปญ "น้ำผสมฟลูออไรด์" ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Edwin L. Bernays หลานชายของ Sigmund Freud หรือที่รู้จักในชื่อ "เจ้าพ่อแห่งการปั่น" Bernays เป็นผู้บุกเบิกการประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ Freud มาใช้กับการโฆษณาและ "ความจริงครึ่งเดียวของรัฐบาล" ในหนังสือ "โฆษณาชวนเชื่อ" ของเขา Bernays ได้อ้างว่าความคิดเห็นสาธารณะซึ่งใช้วิทยาศาสตร์บงการเป็นกุญแจสำคัญ เขากล่าวว่า "คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งมีอิทธิพลควบคุมจิตใจของสาธารณชน" แคมเปญฟลูออไรด์ของรัฐบาลเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยั่งยืนที่สุดของเขา เทคนิคของเบอร์เนย์นั้นเรียบง่าย แสร้งทำเป็นว่ามีงานวิจัยที่น่าพอใจโดยใช้วลีเช่น "การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็น ... " หรือ "การวิจัยพิสูจน์แล้ว ... " หรือ "ผู้วิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้พบ ... " (แต่ไม่เคยพูดอ้างอิงถึงสิ่งใดเลย) พูดให้นานพอและดังพอ แล้วในที่สุดผู้คนจะเชื่อมัน หากใครสงสัยหรือซักไซ้เรื่องโกหกนี้ ก็โจมตีหน้าที่การงานและ/หรือสติปัญญาของพวกเขา แล้ว "งานศึกษา" ล่ะ? ไม่มี "งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์" ที่พิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์ปลอดภัยเลยหรือ? ในช่วงทศวรรษที่ 1940 นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ผู้คนจะมีสุขภาพฟันโดยรวมที่ดีขึ้น (โดยส่วนใหญ่เป็นฟันผุน้อยกว่า) หากพวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีฟลูออรีนในระดับที่สูงขึ้นตามธรรมชาติ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้เกิดคำถามเรื่อง “การศึกษาวิจัย” และมีความกังวลอย่างมากว่าข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเพียงการประดิษฐ์ขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ที่มีความผูกพันกับบริษัทที่มีส่วนได้เสียในการขายฟลูออไรด์ การปั้นแต่งข้อมูลในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับสุขภาพ มีบริษัทจำนวนหนึ่งที่จะได้รับผลประโยชน์จากสุขภาพที่ย่ำแย่ของสาธารณชน ตรงกันข้ามกับความเห็นส่วนใหญ่ ฟลูออไรด์กลับไม่ได้หยุดฟันผุเลย จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์เป็นพิษต่อระบบประสาทและทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด และโรคกระดูกพรุน ฟลูออไรด์ยังทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินหายใจ รวมถึงตับไตและสมอง และอาจนำไปสู่ความบกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีความบกพร่องในการอ่าน สมาธิสั้น และออทิสติก ในปี 2012 นักวิจัยของฮาร์วาร์ดรายงานว่าการศึกษา 26 จาก 27 ชิ้นที่พวกเขาทบทวนพบว่าไอคิวในวัยเด็กลดลงเมื่อความเข้มข้นของฟลูออไรด์เพิ่มขึ้น รายงานปี 2006 จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ทบทวนการศึกษาหลายร้อยชิ้นที่เชื่อมโยงน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์กับความเสียหายทางระบบประสาท ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ และ … ใช่แล้ว …. โรคมะเร็ง ในปี 1955 วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์เพิ่มขึ้น 400% ในช่วงหลายปีหลังจากที่น้ำในซานฟรานซิสโกเริ่มได้รับการผสมฟลูออไรด์ ต่อมาในปี 1977 สภาคองเกรสได้สั่งให้หน่วยงานบริการสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาดำเนินการศึกษาในสัตว์เพื่อพิจารณาว่าฟลูออไรด์ทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ หลังจากวิเคราะห์ผลการศึกษาในหนูแล้ว พบว่าหนูที่ดื่มน้ำฟลูออไรด์มีเนื้องอกและมะเร็งเพิ่มขึ้นในเซลล์สความัสในช่องปาก ก่อตัวเป็นรูปแบบที่พบได้ยากของมะเร็งกระดูกที่เรียกว่า osteosarcoma และพบว่ามีเนื้องอกในเซลล์ต่อมไทรอยด์ฟอลลิคูลาร์เพิ่มขึ้น การค้นพบที่สำคัญที่สุดคือการเกิดขึ้นของมะเร็งตับรูปแบบที่หายากมาก มะเร็งตับในหนูเพศผู้และเพศเมียที่ได้รับฟลูออไรด์ นอกจากนี้ในปี 1977 ยังแสดงให้เห็นว่าฟลูออไรด์ทำให้เกิดการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งประมาณ 10,000 รายในการศึกษาทางระบาดวิทยาโดย Dr. Dean Burk อดีตหัวหน้าแผนกไซโตเคมี ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และ Dr. John Yiamouyiannis แม้จะมีการค้นพบในปี 1977 แต่ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเปิดเผยจนกระทั่งปี 1989 ในปี 2006 ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นักวิจัยระบุถึงความเชื่อมโยงระหว่างฟลูออไรด์กับ osteosarcoma การศึกษานี้นำโดย Dr. Elise Bassin และตีพิมพ์ออนไลน์ใน Cancer Causes and Control (วารสารทางการของศูนย์ป้องกันมะเร็งฮาร์วาร์ด) พบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์กับ osteocarcoma ซึ่งเป็นมะเร็งกระดูกที่หายากและมักเสียชีวิตในเด็กชาย การศึกษายืนยันโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และแผนกสุขภาพของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งพบอัตราการเกิดมะเร็งกระดูกที่เพิ่มขึ้นในเด็กผู้ชายที่ดื่มน้ำประปาที่มีฟลูออไรด์ ผลการวิจัยยืนยันผลการศึกษาของรัฐบาลก่อนหน้าในปี 1990 ที่เกี่ยวข้องกับหนูที่ได้รับฟลูออไรด์ แต่ยังมีอีก... เมื่อเข้าไปในร่างกายของคุณ ฟลูออไรด์จะทำลายเอนไซม์ของคุณด้วยการเปลี่ยนรูปร่าง ร่างกายของคุณต้องอาศัยเอ็นไซม์หลายพันชนิดเพื่อทำปฏิกิริยาของเซลล์จำนวนมาก ถ้าไม่มีเอ็นไซม์ เราทุกคนคงตายกันหมด เอ็นไซม์เป็นเหมือนกุญแจที่เข้ากับระบบล็อคภายในเซลล์ของคุณ อย่างไรก็ตาม เมื่อฟลูออไรด์ทำลายรูปร่างของ "กุญแจ" มันจะไม่เข้ากับตัวล็อคอีกต่อไป และร่างกายของคุณไม่รู้จักเอ็นไซม์อีกต่อไป เอนไซม์ที่เสียหายเหล่านี้สามารถนำไปสู่การสลายคอลลาเจน ความเสียหายของดีเอ็นเอ ความเสียหายของเนื้อเยื่อ และการกดภูมิคุ้มกัน ในช่วงต้นปี 2010 มีเรื่องราวสองเรื่องในอินเดียเปิดเผยว่าเด็ก ๆ ตาบอดและพิการบางส่วน อันเป็นผลมาจากการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำดื่มของพวกเขา และในหมู่บ้าน Gaudiyan ของอินเดีย ประชากรมากกว่าครึ่งมีความผิดปกติของกระดูก ทำให้มีความพิการทางร่างกาย เด็กเกิดมาปกติดี แต่หลังจากที่พวกเขาเริ่มดื่มน้ำที่มีฟลูออไรด์ พวกเขาก็เริ่มมีความพิการที่มือและเท้า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2010 นิตยสาร Time ระบุว่าฟลูออไรด์เป็นหนึ่งใน "สารพิษในครัวเรือน 10 อันดับแรก" และอธิบายว่าฟลูออไรด์ "เป็นพิษต่อระบบประสาทและอาจเกิดเนื้องอกได้หากกลืนเข้าไป" มีการบอกความจริงนี้ในเกือบทุกประเทศในโลก (รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย) มันผิดกฎหมายที่จะ "ให้ยาขนานใหญ่" กับประชากรทั้งหมดด้วยสารที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นพิษ ด้วยความจริงที่ว่าฟลูออไรด์สามารถสะสมในร่างกายได้ จึงเป็นเหตุให้กฎหมายแห่งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้กรมการแพทย์ทหารตั้งค่า "ระดับสารปนเปื้อนสูงสุด" (MCL) สำหรับปริมาณฟลูออไรด์ในแหล่งน้ำสาธารณะตามที่ EPA กำหนด มันทำให้ผมสับสนจากการที่ทันตแพทย์ที่ถูกล้างสมองหลายพันคนประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าฟลูออไรด์เป็น "สารอาหารมหัศจรรย์" ที่ป้องกันฟันผุและส่งเสริมสุขภาพฟันและเหงือก ผมขอตั้งคำถามหน่อยนะ สารพิษสะสมและผลิตภัณฑ์จากขยะพิษจะเรียกว่า “สารอาหาร” ได้อย่างไร เป็นความโชคร้าย หากคุณต้องใช้ชีวิตในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หรือแคนาดา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจในระดับสูง (มีความเป็นไปได้มากที่การผสมฟลูออไรด์ในน้ำจะเป็นเรื่องปกติ) หมายความว่ามีการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของคุณโดยที่คุณไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้เลย จากเกือบ 320 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 72% บริโภคน้ำที่มีฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอ และจากข้อมูลของ CDC รัฐทั้งหมด 50 รัฐ ได้ผสมฟลูออไรด์ลงในแหล่งน้ำ แล้วคุณจะทำอะไรได้บ้าง? การกรองแบบ Reverse Osmosis ถือว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดฟลูออไรด์ออกจากน้ำ เกลือฟลูออไรด์จะเข้าไปแทนที่ไอโอดีนซึ่งต่อมไทรอยด์จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน การเสริมไอโอดีนในอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเสริมด้วยอัตราส่วนแมกนีเซียมต่อแคลเซียมสูงจะให้แร่ธาตุที่ช่วยขจัดฟลูออไรด์ นอกจากนี้ วิตามิน K2 ที่สกัดจากเอนไซม์ในถั่วเน่าญี่ปุ่น ยังช่วยป้องกันการกลายเป็นหินปูนฟลูออไรด์ในอวัยวะที่มีเนื้อเยื่ออ่อน เช่น หลอดเลือดแดงและสมอง ใช่แล้ว... อีกอย่างที่คุณทำได้คือหยุดใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ คุณเคยอ่านฉลากหรือไม่? ผมแนะนำให้คุณอ่านซะ ในปี 1997 องค์การอาหารและยาได้สั่งให้ผู้ผลิตยาสีฟันเพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับพิษจากยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ทั้งหมดที่จำหน่ายในสหรัฐฯ คำเตือนดังกล่าวระบุว่าควรเก็บให้ห่างจากเด็ก ผมสงสัยว่าเพราะเหตุใดกัน อาจเป็นเพราะถ้าเด็กเล็กกินยาสีฟันทั้งหลอด ปริมาณเท่านี้อาจทำให้ถึงตายได้! บทสรุป ในช่วงต้นปี 2010 มีภูเขาไฟระเบิดขนาดใหญ่ในประเทศไอซ์แลนด์ สัตว์ในไอซ์แลนด์ตอนใต้มีความเสี่ยงที่จะเป็นพิษจากฟลูออไรด์ หากพวกมันสูดดมหรือกลืนกินเถ้าจากการปะทุ พิษจากฟลูออไรด์สามารถนำไปสู่การมีเลือดออกภายใน ความเสียหายของกระดูกในระยะยาว และการสูญเสียฟัน ตามข่าวบีบีซี (19 เมษายน 2010): "ฟลูออไรด์ในเถ้าสร้างกรดในกระเพาะของสัตว์ กัดกร่อนลำไส้และทำให้เลือดออก นอกจากนี้ยังจับกับแคลเซียมในกระแสเลือดและหลังจากได้รับสารหนักในช่วงเวลาหลายวันทำให้กระดูกเปราะบางแม้กระทั่งทำให้ฟันผุ" คนส่วนใหญ่ไม่เคย "เชื่อมโยงจุดต่างๆ" ระหว่างพิษอันน่าสลดใจของสัตว์เหล่านี้อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ กับพิษของมนุษย์จากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปในแต่ละวัน มีงานศึกษาซึ่งทบทวนโดยคณะผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 500 ชิ้นที่บันทึกถึงผลข้างเคียงของฟลูออไรด์ตั้งแต่มะเร็งไปจนถึงความเสียหายต่อสมอง แต่ถึงกระนั้น เขตเทศบาลต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาก็ซื้อผลิตภัณฑ์นี้จริงๆ แล้วหยดลงในแหล่งน้ำสาธารณะ Dr. Charles G. Heyd อดีตประธานของ AMA กล่าวว่า "ผมรู้สึกตกใจที่ได้เห็นการใช้น้ำเป็นพาหนะส่งยา ฟลูออไรด์เป็นสารพิษกัดกร่อนซึ่งจะส่งผลร้ายแรงในระยะยาว ความพยายามใดๆ ที่จะใช้น้ำในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่น่าประณาม" ระบบมันเสียหายไปแล้ว ระบบการดูแลสุขภาพของเรา อุตสาหกรรมยา รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล สื่อของเรา และแม้แต่ภาคเทคโนโลยีล้วนได้รับความเสียหาย เรากำลังอยู่ในระหว่างสงครามข้อมูล โดยมีการปกปิดและการเซ็นเซอร์ในระดับสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชมตัวอย่างสารคดีชุดใหม่ของเรา: PROPAGANDA EXPOSED! ค้นพบความจริงที่ Big Pharma และ Mainstream Media ไม่ต้องการให้คุณเห็น ดูฟรี 100%… และอาจช่วยชีวิตคุณได้ https://go.propaganda-exposed.com/?a_bid=f9f117e3... ผู้เขียน : Ty Bollinger ‼ รวมลิสต์รายชื่อยี่ห้อยาสีฟันที่ไม่มี ❌สารฟลูaaไรด์❌ โดยโค๊ชนาตาลี 🦷 1. ยาสีฟัน Doctor V (แก้ไข ยี่ห้อนี้มี) 🦷 2. ยาสีฟัน Grants Of Australia 🦷 3. ยาสีฟัน Sparkle White (ทุกรุ่น) 🦷 4. ยาสีฟันเอมไทย (AimThai) 🦷 5. ยาสีฟันน้ำมันมะพร้าว (Tropicana) 🦷 6. ยาสีฟันสมุนไพรโครงการหลวง เฮอร์เบิลทูธเพสท์ 🦷 7. ยาสีฟัน Curaprox (Enzycal Zero) 🦷 8. ยาสีฟัน ยาสีฟันโคโค่เมท (Cocomate toothpaste) 🦷 9. ยาสีฟันก๊กเลี้ยง (แก้ไข ยี่ห้อนี้มี สังเกตฝากล่องด้านใน) 🦷 10. ยาสีเด็กฟันคินดี้ ออรัล เจล ออร์แกนิค (Kindee Oral Gel Organic ของเด็ก) 👧🧒 🦷 11. ยาสีฟันดอกบัวคู่ (แก้ไข สูตรดั้งเดิม,สูตรเซนซิที,สูตรเกลือสมุนไพร,สูตรเฟรชแอนด์คูล = ไม่มี สูตรเอเวอร์เฟรชและสูตรฟ้าทลายโจร = มี) 🦷 12. ยาสีฟันสมุนไพรวาซ Wazz 🦷 13. ยาสีฟันใจฟ้า 🦷 14. ยาสีฟัน Dentiste (แค่บางรุ่น ควรอ่านฉลากก่อนซื้อ) 🦷 15. ยาสีฟัน Thieves Young Living 🦷 16. ยาสีฟัน Mama's Choice สูตรธรรมชาติ 🦷 17. ยาสีฟันเพียวรีน (Pureen Maternity Toothpaste) 🦷 18. ยาสีฟันเด็กเพียวรีน Pureen kids (ของเด็ก) 👧🧒 🦷 19. ยาสีฟันเด็กเอมไทย กรีน คิดส์ ออร์แกนิค (ของเด็ก) 👧🧒 🦷 20. ยาสีฟันเด็ก Mama's Choice (ของเด็ก) 👧🧒 🦷 21. ยาสีฟันเด็ก ดอกบัวคู่คิด (ของเด็ก) 👧🧒 🦷 22. ยาสีฟันเจสัน Jason Since 1956 🦷 23. ยาสีฟันซองวิเศษนิยม (มีในร้านสะดวกซื้อ) 🦷 24. ยาสีฟันสมุนไพรทิพย์นิยม 🦷 25. ยาสีฟันวันเดอร์สไมล์ (Wonder Smile) 🦷 26. ยาสีฟันเด็กฟันคินดี้ ออรัล เจล ออร์แกนิค (Kindee Oral Gel Organic ของเด็ก) 👧🧒 🦷 27. ยาสีฟันเทโซโร่ เฟรช 🦷 28. ยาสีฟันไอวิศน์ (IVISN) 🦷 29. ยาสีฟันนกไทย 5 ดาว 4A สูตรดั้งเดิม ขอเพิ่มเติม 🦷 30.ยาสีฟันคอลบาเด้นท์ (Kolbadent) 🦷 31. ยาสีฟันพาโรดอนแทกซ์ (Parodontax) 🦷 32. ยาสีฟันเดนตาเมท (Denta mate) 🦷 33. เกลือสีฟันทรีออร์คิดส์ 🦷 34. ยาสีฟัน Sante ของอ.สันติ มาะดี(หมอนอกกะลา) 🦷 35. ยาสีฟันรุ่งอรุณ 🦷 36. ยาสีฟันไบโอมิเนอรัลส์ (ยี่ห้อนี้ต้องขอขอบคุณครับดร.(ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง) ที่มาช่วยกิจกรรมกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ได้เคลื่อนไหวช่วยคนไทยในการจัดกิจกรรม แอดไลน์ด้วย QR Code ในภาพเมื่อท่านแจ้งแอดมินตอนสั่งซื้อว่ามาจากกลุ่ม คนไทยพิทักษ์สิทธิ์ กำไรจะถูกหักเข้ากองทุนสำหรับกิจกรรมกลุ่ม) เป็นต้น https://youtube.com/shorts/cj_brYDAlBM?si=waEMU4F2I0-CWcny ขอบคุณเจ้าของบทความต่างๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1486 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพแรก
    ซ้าย ไม่มี ฟลูออไรด์
    ขวา มี ฟลูออไรด์
    โลกคือมายา #ลวงทั้งโลก
    ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ⁉️
    ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานการวิจัยที่ว่าด้วยฟลูออไรด์ต่อการลดความสามารถทางปัญญาในเด็กได้ถึง 32 หน้าฟรี ๆ ที่นี่
    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3491930/
    Source :
    https://youtu.be/KLsjwWo1F2I
    --------------------------------------------------
    โดยทั่วไป #ฟลูออไรด์ เป็นสารทำลายต่อมไร้ท่อเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นฮาไลด์ (halide)เช่นกัน มันจึงแข่งขันกับฮาไลด์ตัวอื่นที่ตัวรับเดียวกันในต่อมไทรอยด์ และที่อื่นๆ เพื่อจับกับไอโอดีน สิ่งนี้จะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งส่งผลให้มีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ
    มีการพิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อ
    แต่ความจริงข้อนี้ถูกละเลยโดยหน่วยงาน และสมาคมที่ยังคงส่งเสริมการใช้ฟลูออไรด์ต่อไป
    จากรายงานของ National Research Council of the National Academies ในปี 2549
    ฟลูออไรด์ "เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อในแง่กว้างโดยปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เป็นปกติ"
    ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และต่อมไพเนียลรวมถึงต่อมหมวกไต ตับอ่อน และต่อมใต้สมอง
    ต่อมไทรอยด์ของคุณ และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการรักษาอัตราการเผาผลาญโดยรวมของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาตามปกติ เนื่องจากเซลล์ที่มีการเผาผลาญทั้งหมดต้องการฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อการทำงานที่เหมาะสม
    การหยุดชะงักของระบบนี้ อาจมีผลกระทบที่หลากหลายต่อแทบทุกระบบในร่างกายของคุณ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากที่สุดของโรคต่อมไร้ท่อ
    การใช้ฟลูออไรด์ในอดีต เป็นการแทรกแซงทางการแพทย์สำหรับ Hyperthyroid
    จนถึงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้กำหนดให้ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพื้นฐานในผู้ป่วยที่มีต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผลการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์งานหนึ่งรายงานว่า
    ปริมาณฟลูออไรด์เพียง 2 - 3 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะลดกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยได้
    การใช้ฟลูออไรด์เพื่อการรักษาต่อมไทรอยด์ได้รับการกระตุ้นโดยการวิจัยที่เริ่มต้นในปี 1800 ซึ่งเชื่อมโยงการบริโภคฟลูออไรด์กับคอพอก การบวมของต่อมไทรอยด์ที่เกิดจากภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
    ในรายงานเมื่อปี 2549 Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards, the National Research Council (NRC) รายงานว่า
    "ข้อมูลหลายบรรทัด แสดงถึงผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์" โดยเฉพาะรายงานที่กล่าวถึงการวิจัยแสดงให้เห็นว่า
    "การได้รับฟลูออไรด์ในมนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ TSH ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความแพร่หลายของคอพอก และเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ T4 และ T3" นอกจากนั้นยังมีผลที่คล้ายกันใน T4 และ T3 รายงานในสัตว์ทดลอง
    นอกจากนี้ NRC ยังกล่าวถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงฟลูออไรด์ กับผลกระทบต่อกิจกรรมของพาราไธรอยด์ การด้อยค่าของการทนต่อกลูโคส และระยะเวลาของการคงไว้ซึ่งสภาวะทางเพศ
    จากการค้นพบเหล่านี้ คณะกรรมการ NRC แนะนำว่า "ผลกระทบของฟลูออไรด์ในแง่มุมต่างๆ ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ในการพัฒนาโรคต่างๆ
    อย่างไรก็ตามผู้เสนอให้ใช้ฟลูออไรด์ยังคงเพิกเฉยต่อวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เป็นอันตราย
    ฟลูออไรด์จำนวนเล็กน้อย เปลี่ยนการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ
    การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับฟลูออไรด์ในระดับต่ำถึง 0.05 - 0.1 มก. ฟลูออไรด์ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน (มก. / กก. / วัน) หรือ 0.03 มก. / กก. / วัน
    สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม (154 ปอนด์) หมายความว่าฟลูออไรด์ 3.5 มก. ต่อวัน (หรือฟลูออไรด์ 0.7 มก. ต่อวันที่มีการขาดไอโอดีน) อาจทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
    การวิเคราะห์โดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปบริโภคฟลูออไรด์เกือบ 3 มิลลิกรัมทุกวัน และบางคนบริโภคเป็นประจำวันละ 6 มก. ขึ้นไป
    สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม (30 ปอนด์) ฟลูออไรด์ที่ได้รับมากกว่า 0.7 มก. ต่อวัน (หรือ 0.14 มก. ต่อวันหากขาดไอโอดีน) ทำให้เด็กเสี่ยงต่อความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
    และ EPA (2010) ได้ทำการประเมินว่าเด็กที่อยู่ในช่วงน้ำหนักนี้ (อายุ 1- 3 ปี) ได้บริโภคฟลูออไรด์มากกว่า 1.5 มก. ในแต่ละวัน หรือมากกว่า 2 เท่า ของจำนวนที่จำเป็นในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลง การได้รับอย่างต่อเนื่องเหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและตลอดชีวิตต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทางสังคม ทางเพศ และทางกายภาพโดยรวมของเด็ก
    การศึกษาจำนวนมากพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฟลูออไรด์ในระดับค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง และการลด IQ ในเด็ก แม้แต่ระดับฟลูออไรด์ที่น้อยกว่า 1.0 มก. / ล. ก็มีความสัมพันธ์กับ IQ ที่ลดลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของภาวะไทรอยด์ทำงานในเด็กที่มีอาการขาดสารไอโอดีน
    การพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณอาจเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางที่สุดในร่างกายของคุณต่อฟลูออไรด์ ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ
    ฟลูออไรด์สะสมในต่อมไทรอยด์ของคุณมากกว่าเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ
    ฟลูออไรด์อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณโดยตรง หรือโดยอ้อมด้วยการกระทำที่เป็นไปได้ รวมถึงความสามารถของฟลูออไรด์ในการเลียนแบบฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH)
    - ทำลาย G-proteins ที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการสร้างของตัวรับฮอร์โมนในร่างกายของคุณ
    -ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ของคุณ
    -ทำลาย DNA ของคุณ
    -รบกวนการแปลงจากไทรอยด์ฮอร์โมน (T4) ที่ไม่ได้ใช้งานไปเป็นแบบฟอร์มที่ต้องใช้งาน (T3)
    จากข้อมูลของ PubMed Health พบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะพร่อง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ เกือบ 4% ของประชากรสหรัฐอเมริกา
    มากกว่า 11 ล้านคน มีภาวะไทรอยด์ทำงานหนักเกินจริง นอกจากนี้ 10% ของประชากรทั่วไป 21 ล้านคน มีภาวะพร่องที่ไม่แสดงอาการซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาต่อมาของภาวะพร่องไทรอยด์
    แม้จะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า แต่อัตราการเกิดภาวะพร่องของ hypothyroidism ทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นเกือบ 75% ในช่วง 2ทศวรรษที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ส่งผลกระทบต่อ 1 ในทุกๆ 2,370 ของการเกิดภาวะพร่องในทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะปัญญาอ่อน การชะลอการเจริญเติบโต และปัญหาหัวใจ
    เด็กที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติมาแต่กำเนิด หรือเยาวชน ได้รับรายงานว่ามีการล่าช้าของการงอกของฟัน หรือข้อบกพร่องในการเคลือบฟัน แม้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อไทรอยด์ยังไม่ได้ทำการศึกษา
    สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างความรุนแรงของอาการที่ไม่แสดงอาการในหญิงตั้งครรภ์และ IQ ที่ลดลงของบุตรหลาน
    การพร่องของมารดายังได้รับการเสนอให้เป็นสาเหตุ หรือผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาออทิสติก
    ศักยภาพของฟลูออไรด์ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ
    ดังนั้นวิธีการใช้ฟลูออไรด์วิธีการแบบไม่เจาะจง / การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสาธารณะโดยเจตนา / การผสมเข้าไปในยาสีฟัน / การเคลือบฟันด้วยฟลูออไรด์ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง
    เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือความอ่อนไหวส่วนตัว และเป็นการละเมิดหลักการสำคัญของเภสัชวิทยาสมัยใหม่
    -----------------------------------
    Andersson M, de Benoist B,Delange F, Zupan J. 2007.Prevention and control of iodine deficiency in pregnant and lactating women and in children less
    Bharaktiya S, et al., 2010.Hypothyroidism. Medscape Reference.
    Delange F. 2004. Optimal iodine nutrition during pregnancy, lactation and neonatal period. Int J Endocrinol Metab 89:3851.
    Drugs.com. Undated. Top-selling drugs of 2009.
    IOM (Institute of Medicine). 2001. Dietary Reference Intakes for Vitamin A, Vitamin K, Arsenic, Boron, Chromium, Copper, Iodine, Iron, Manganese
    Larsen PR, Davies TF, Schlumberger MJ, Hay ID. 2002. Thyroid physiology and diagnostic evaluation of patients with thyroid disorders. Pp. 331-373
    PubMed Health. 2009. Neonatal hypothyroidism.
    PubMed Health. 2010. Hypothyroidism.
    Wang H, Yang Z, Zhou B, et al. 2009. Fluoride-induced thyroid dysfunction in rats: roles of dietary protein and calcium level. Toxicol Ind Health
    Zimmermann MB. 2009. Iodine deficiency in pregnancy and the effects of maternal iodine supplementation on the offspring: a review. Am J Clin Nutr
    1 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 507 pp.
    2 Maumené E. 1854. Compt Rend Acad Sci 39:538. May W. 1935. Antagonismus Zwischen Jod und Fluor im Organismus. Klinische Wochenschrift 14:790-92.
    3 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    4 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    5 EPA (U.S. Environmental Protection Agency). 2010. Fluoride: Exposure and Relative Source Contribution Analysis.
    6 Connett P, Beck J, Micklem HS. 2010. The Case Against Fluoride. How Hazardous Waste Ended Up in Our Drinking Water and the Bad Science
    7 Lin FF, Aihaiti HX, Zhao J, et al. 1991. The relationship of a low-iodine and high-fluoride environment to subclinical cretinism in Xinjiang.
    8 ICCIDD (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders). 2011. Iodine Deficiency.
    9 Hollowell JG, Staehling NW, Hannon WH, et al. 1998. Iodine nutrition in the United States. Trends and public health implications: iodine excretion
    10 Lee SL, et al. 2009. Iodine Deficiency. Medscape Reference.
    11 Caldwell KL, Miller GA, Wang RY, et al. 2008. Iodine status of the U.S. population, National Health and Nutrition Examination Survey 2003-2004.
    12 Shashi A. 1988. Biochemical effects of Fluoride on thyroid gland duringexperimental fluorosis. Fluoride 21:127–130.
    13 Monsour PA, Kruger BJ. 1985. Effect of fluoride on soft tissue in vertebrates. Fluoride 18:53-61. / Call RA, Greenwood DA, LeCheminant H, et al. 1965.
    14 Ge Y, Ning H, Wang S, Wang J. 2005. DNA damage in thyroid gland cells of rats exposed to long-term intake of high fluoride and low iodine. Fluoride
    15 Gas'kov A, Savchenkov MF, Lushkov NN. 2005. [The specific features of the development of iodine deficiencies in children living under pollution]
    16 Aoki Y, Belin RM, Clickner R, et al. 2007. Serum TSH and total T4 in the United States population
    17 Olney RS, Grosse SD, Vogt RF. 2010. Prevalence of Congenital Hypothyroidism—Current Trends and Future Directions: Workshop Summary. Pediatrics 125
    18 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC.
    19 Klein RZ, Sargent JD, Larsen PR, et al. 2001. Relation of severity of maternal hypothyroidism to cognitive development in offspring. J Med Screen
    20 Román GC. 2007. Autism: Transient in utero hypothyroxinemia related to maternal flavonoid ingestion during pregnancy.
    Biological Trace Element Research :
    https://www.researchgate.net/.../345973053_In_Vitro...
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58
    https://youtu.be/AYAJJSOmdJo
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ปฏิวัติสุขภาพกับอ.ปานเทพ เรื่อง ฟลูออไรด์ ภัยเงียบในน้ำดื่มน้ำใช้ยาสีฟัน
    https://youtu.be/741TFbVWJwQ
    https://youtu.be/s-ElDeuDl1I
    https://youtu.be/Y5Ad9L-B21c
    https://youtu.be/1KgS-_E05YE
    https://youtu.be/KLsjwWo1F2I
    ✨✨✨✨✨✨✨
    ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน โดย อ.สันติ มานะดี
    https://www.facebook.com/10000435.../posts/1352913331530352/
    ✨✨✨✨✨✨✨
    สารฟลูโอไรด์ ( Fluoride )
    Little Girl Healthy SHOP - สินค้าส่งตรงจากอเมริกา
    กราฟแสดงระดับความรุนแรงของสารตะกั่ว สารหนูและฟลูโอไรด์
    ค่าระดับความเป็นพิษของฟลูโอไรด์ที่พุ่งแรงแซงสารตะกั่วไปอยู่ที่ระดับ 4 เกือบๆ 5 นั่นแปลว่า มันเป็นพิษมากจนถึงขั้นรุนแรง! ยิ่งถ้าบ้านใครมียาฆ่าหนูและแมลงสาบลองพลิกดูที่ส่วนผสมข้างกล่อง คุณอาจจะช็อกตาค้างมากกว่านี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นส่วนผสมในยาเบื่อหนูคือฟลูโอไรด์
    ซึ่งความจริงแล้ว ฟลูออไรด์ได้นำมาใช้ครั้งแรกในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนู ถามว่า.. แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในยาสีฟันล่ะ?
    จริงๆแล้วฟลูออไรด์ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันอย่างแท้จริงมันคือ “แคลเซียมฟลูออไรด์ “ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันมันคือ "โซเดียมฟลูออไรด์"
    เป็นสารพิษที่ผลิตขึ้นในโรงงานซึ่งมีราคาถูกกว่า
    และถ้าใครที่คิดว่าฟลููโอไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงป้องกันฟันผุ แบบที่เคยได้ยินกันจนคุ้นหูคุ้นตาในโฆษณาทีวีตั้งแต่เด็กๆคงต้องคิดใหม่ เพราะมันกลับเป็นตัวการทำให้เกิดฟันตกกระที่เรียกว่า Dental Fluorosis เกิดเป็นรอยกระดำกระด่างที่ผิวฟันจากการสะสมของสารพิษฟลูโอไรด์ในระยะยาว แถมยังมีผลต่อกระดูกทำให้กระดูกพรุนด้วย ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ของรัฐนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า มีการใช้สารฟลูออไรด์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) แต่ผลกลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดกระดูกตะโพกร้าวสูงขึ้นกว่าปกติ
    และในปี 1993 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอาหาร นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้ยืนยันว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้ป้องกันฟันผุ ผลตรงกันข้าม กลับมีเหตุการณ์แน่ชัดว่า มันเป็นตัวก่อมะเร็งได้ http://www.biowish.net/pages/med.htm
    เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองผสมฟลูโอไรด์ในน้ำของค่ายกักกันที่รัซเซียในยุคคอมมิวนิสต์และอีกที่ในช่วงยุคนาซีที่เยอร์มัน มีจุดประสงค์ในการทดลองเพื่อจะดูว่าถ้านักโทษผู้โชคร้ายทั้งหลายกินน้ำผสมฟลูโอไรด์เข้าไปแล้วนักโทษจะเป็นยังไง
    ผลปรากฎว่า อารมณ์รุนแรงของนักโทษลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนจากนักโทษโหดๆเป็นแมวหง่าวนั่งหงอย ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้างใดๆ ไม่ยกพวกตีกันเหมือนก่อน
    ฟังแล้วดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ.. แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวซะมากกว่า เพราะว่าฟลูโอไรด์มันมีผลโดยตรงต่อสมองน่ะสิ โดยมันเข้าไปทำลายต่อมไพนีล (Pineal gland) หรือเรียกว่าดวงตาที่ 3 ที่ทำหน้าที่ควบคุมร่างกาย โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารณ์ต่างๆ เช่นความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์
    ดังนั้นเมื่อต่อมนี้โดนทำลาย จึงทำให้เกิดความท้อแท้ หมดแรงจูงใจ ขาดความคิดริเริ่ม เป็นตัวลดไอคิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลครั้งนั้น ปัจจุบันนี้ฟลูโอไรด์เลยมาอยู่ในยาสีฟันให้เราใช้กันทุกวัน เปรียบได้กับอาวุธของรัฐบาลในการทำให้ประชาชนโง่และเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว ในบางประเทศอย่างไอร์แลนด์ อเมริกา ถึงกับโดนมัดมือชกให้กินน้ำผสมยาพิษฟลูโอไรด์กันเลยทีเดียว
    โดยผสมมันลงในน้ำประปาสาธารณะ โดยอ้างว่าหวังดีอยากป้องกันโรคฟันผุให้ประชาชน แต่มีการพิสูจน์แล้วโดยเปรียบเทียบสุขภาพฟันของคนอังกฤษและอเมริกัน ปรากฎว่าสุขภาพฟันไม่ต่างกันเลยทั้งๆที่น้ำในประเทศอังกฤษไม่มีการฟลูโอไรด์ลงในน้ำ การกระทำที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้เลยสร้างความไม่พอใจให้หลายๆคนในหลายประเทศที่ไม่เต็มใจจะโดนวางยาพิษในน้ำก๊อกที่ทำให้โง่และเป็นโรค แถมการเอาน้ำไปต้มให้เดือดก็ไม่ได้ช่วยอะไรยกเว้นเพิ่มความแรงของสารพิษให้สูงขึ้นอึก 7 เท่าตัว
    เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมยาสีฟันที่มีผสมฟลูโอไรด์ต้องมีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลอดว่าห้ามกลืน ถ้าใครเผลอกลืนต้องรีบพบแพทย์!! อะไรก็ตามที่ทำมาให้ใช้ได้ในปาก มันควรที่จะปลอดภัยมากกว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะยาสีฟันที่เราเอาใส่ปากเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายทุกๆวัน บางคนอาจคิดว่าอีคนเขียนนี่วิตกจริตฟุ้งซ่านมากไปป่ะ? ไม่มีใครเค้าโง่กลืนยาสีฟันหรอก แค่ใส่ปากแปรงๆแล้วก็บ้วนทิ้่ง โอเค ก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครกลืนมันแบบตั้งใจ แต่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ ว่ามันไม่ได้แอบตกค้างอยู่ตามซอกฟันซอกเหงือกให้คุณกลืนลงท้องทั้งคืน บวกกับอีกรอบตอนเช้า โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะกลืนมันลงไปโดยไม่ตั้งใจถ้าไม่มีผู้ปกครองดูแล เชื่อหรือไม่ว่าฟลูโอไรด์เพียง 200 มิลลิกรัม หรือปริมาณยาสีฟันบีบออกมาเท่ากับความยาวของแปรงสีฟันนั้นสามารถฆ่าเด็กเล็กได้เลย และฆาตกรตัวจริงไม่ใช่ยาสีฟันแต่คือฟลูโอไรด์เพียวๆเลยหล่ะ จากรายงานของสมาคมศูนย์ควบคุมพิษอเมริกาบอกว่า ในปี 1994 มีคนตายจากฟลูออไรด์ที่ผสมในอาหารเสริมแล้วด้วย! Fluoride Alert .Org
    แคลเซียมฟลูออไรด์เป็นธาตุที่จำเป็น พบเป็นส่วนใหญ่ในกระดูก และเคลือบฟัน ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และทำให้ฟันทนต่อการผุมากขึ้น แคลเซียมฟลูออไรด์อาจช่วยป้องกันโรคปริทันต์ด้วย และป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียมฟลูออไรด์พบในธรรมชาติ ในรูปของแคลเซียมคลอไรด์ มีอยู่ในพืชทุกชนิด สัตว์ น้ำ และ ดิน
    โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride) เป็นสารอนินทรีย์ที่เกิดจากธาตุฟลูออรีน (Fluorine) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้นำเอาโซเดียมฟลูออไรด์ไปผสมกับผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากด้วยโซเดียมฟลูออไรด์
    การได้รับฟลูออรีน จะเกิดการสะสมของฟลูออรีนไว้ในร่างกายทีละน้อย จะทำให้เกิดความเสียหายและข้อบกพร่องขึ้นกับระบบโครงกระดูกและฟันสำหรับความผิดปกติของฟัน
    เกิดขึ้นโดยฟันจะมีลักษณะเป็นจุดสีขาวขุ่นๆ ซึ่งเดิมมีลักษณะใส นอกจากนี้ยังทำให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฟันจึงมักชำรุดแตกบิ่นง่าย ส่วนในระบบโครงกระดูกอาการที่พบคือ กระดูกจะเจริญเร็วมาก ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากกระดูกขา กราม กระดูกซี่โครง ขากระเผลก เดินลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมากเกินไปของกระดูกหรือเกิดจากที่หินปูนไปจับกับเอ็นและข้อต่อของขา จึงทำให้ขาแข็ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการแบบถาวร
    แหล่งอาหาร แคลเซียมฟลูออไรด์ ตามธรรมชาติ
    1. ข้าวต่างๆ
    2. ผลไม้ เช่น แอปเปิล องุ่น ลูกแพร์ กล้วย และเชอร์รี่
    3. ผักต่างๆ เช่น หัวแครอท กระเทียม หัวบีท ผักใบเขียว กระจับ ถั่ว ข้าวโพด หัวไชเท้า มะเขือ หัวหอม มันฝรั่ง
    4. เนย เนยแข็ง เนยเหลว ไข่
    5. เมล็ดทานตะวัน
    6. อื่นๆ เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง ปลา น้ำทะเล น้ำกระด้าง น้ำผึ้ง ชาดำ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของฟลูออไรด์คือ อาหารทะเล
    #สารฟลูออไรด์ในยาสีฟันก่อให้เกิดมะเร็ง จริงหรือไม่?
    ☠️☠️
    ทำไมเด็กในอเมริกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 นักวิจัยหลายๆท่านที่อเมริกา รวมทั้ง Charlotte Gerson ได้ไปทดสอบและพิสูจน์แล้วว่า ยาสีฟันที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปรวมทั้งยี่ห้อที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
    Charlotte ให้ผู้ป่วยที่มารับการรักษามะเร็งที่คลีนิคของเธอทุกคนเลิกใช้ยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ เธอยังบอกอีกว่าไม่แปลกใจเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมเด็กในอเมริกาเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ ผสม สารฟลูออไรด์ แล้วยังใส่รสชาติเหมือนขนมหวานให้เด็กๆติดใจและอยากจะใช้ยาสีฟันแบบนี้
    🚑🚑
    เธอบอกความจริงว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีใครป่วยเป็นโรคอะไรเลยแล้วผู้ผลิตยาจะทำธุรกิจได้กำไรจากที่ไหน ลองไปดูสิคะผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นบริษัทเดียวกันกับผู้ผลิตยานั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่หมอฟันใช้กับคนไข้ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาบ้วนปาก หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้อุดฟันล้วนแล้วเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น
    🎗🎗
    ใครที่เป็นมะเร็งอยู่ก็ดูยาสีฟันกันหน่อยนะคะ
    ⛑⛑
    (ปีนี้ 2018 Charlotte Gerson เธออายุ 96 ปียังแข็งแรงและเดินสายสัมมนาเรื่องมะเร็ง นับถือจริงๆ)
    ด้วยความปรารถนาดี
    ...โค้ชนาตาลี
    ❤️❤️
    อ่านต่อ...
    From the book: Never Fear Cancer again by Raymond Francis
    ..........
    Fluoride Fluoride both switches on and drives cancer. Federal health officials continue to call fluoridation one of the ten great public-health achievements of the twentieth century, while it has long been known as one of our greatest public-health blunders. The scientific evidence that fluoride causes cancer is overwhelming, and this has been known for decades, despite attempts to obscure it.
    💉💉
    For example, recorded in the Congressional Record of 21 July 1976, the chief chemist of the National Cancer Institute, Dr. Dean Burke, stated before Congress, “In point of fact, fluoride causes more cancer death, and causes it faster than any other chemical.”
    ☠️☠️
    Fluoride is a general cellular poison, doing catastrophic biological damage that is beyond the scope of this chapter to describe, yet many of us are now ingesting daily amounts that far exceed even the government’s inadequate safety standards. Hundreds of studies have found a connection between fluoride and cancer; cities that fluoridate their water have significantly more cancer deaths than cities that do not fluoridate.
    ☠️☠️
    ***Fluoride causes cancer by reacting with enzymes, changing their shape and disabling them.***
    ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️

    ด้วยรักและยาสีฟัน
    เวชหนุ่ม
    ภาพแรก ซ้าย ไม่มี ฟลูออไรด์ ขวา มี ฟลูออไรด์ โลกคือมายา #ลวงทั้งโลก ฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ ⁉️ ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานการวิจัยที่ว่าด้วยฟลูออไรด์ต่อการลดความสามารถทางปัญญาในเด็กได้ถึง 32 หน้าฟรี ๆ ที่นี่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3491930/ Source : https://youtu.be/KLsjwWo1F2I -------------------------------------------------- โดยทั่วไป #ฟลูออไรด์ เป็นสารทำลายต่อมไร้ท่อเนื่องจากฟลูออไรด์เป็นฮาไลด์ (halide)เช่นกัน มันจึงแข่งขันกับฮาไลด์ตัวอื่นที่ตัวรับเดียวกันในต่อมไทรอยด์ และที่อื่นๆ เพื่อจับกับไอโอดีน สิ่งนี้จะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งส่งผลให้มีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับต่ำ มีการพิสูจน์แล้วว่าฟลูออไรด์มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่ความจริงข้อนี้ถูกละเลยโดยหน่วยงาน และสมาคมที่ยังคงส่งเสริมการใช้ฟลูออไรด์ต่อไป จากรายงานของ National Research Council of the National Academies ในปี 2549 ฟลูออไรด์ "เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อในแง่กว้างโดยปรับเปลี่ยนการทำงานของต่อมไร้ท่อที่เป็นปกติ" ฟังก์ชั่นที่เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และต่อมไพเนียลรวมถึงต่อมหมวกไต ตับอ่อน และต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ของคุณ และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการรักษาอัตราการเผาผลาญโดยรวมของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาตามปกติ เนื่องจากเซลล์ที่มีการเผาผลาญทั้งหมดต้องการฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อการทำงานที่เหมาะสม การหยุดชะงักของระบบนี้ อาจมีผลกระทบที่หลากหลายต่อแทบทุกระบบในร่างกายของคุณ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบมากที่สุดของโรคต่อมไร้ท่อ การใช้ฟลูออไรด์ในอดีต เป็นการแทรกแซงทางการแพทย์สำหรับ Hyperthyroid จนถึงปี 1970 นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้กำหนดให้ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพื้นฐานในผู้ป่วยที่มีต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ผลการศึกษาทางคลินิกที่ตีพิมพ์งานหนึ่งรายงานว่า ปริมาณฟลูออไรด์เพียง 2 - 3 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก ถ้าได้รับอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอที่จะลดกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยได้ การใช้ฟลูออไรด์เพื่อการรักษาต่อมไทรอยด์ได้รับการกระตุ้นโดยการวิจัยที่เริ่มต้นในปี 1800 ซึ่งเชื่อมโยงการบริโภคฟลูออไรด์กับคอพอก การบวมของต่อมไทรอยด์ที่เกิดจากภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ในรายงานเมื่อปี 2549 Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards, the National Research Council (NRC) รายงานว่า "ข้อมูลหลายบรรทัด แสดงถึงผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์" โดยเฉพาะรายงานที่กล่าวถึงการวิจัยแสดงให้เห็นว่า "การได้รับฟลูออไรด์ในมนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ TSH ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความแพร่หลายของคอพอก และเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ T4 และ T3" นอกจากนั้นยังมีผลที่คล้ายกันใน T4 และ T3 รายงานในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ NRC ยังกล่าวถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงฟลูออไรด์ กับผลกระทบต่อกิจกรรมของพาราไธรอยด์ การด้อยค่าของการทนต่อกลูโคส และระยะเวลาของการคงไว้ซึ่งสภาวะทางเพศ จากการค้นพบเหล่านี้ คณะกรรมการ NRC แนะนำว่า "ผลกระทบของฟลูออไรด์ในแง่มุมต่างๆ ต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ ควรได้รับการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ในการพัฒนาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามผู้เสนอให้ใช้ฟลูออไรด์ยังคงเพิกเฉยต่อวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เป็นอันตราย ฟลูออไรด์จำนวนเล็กน้อย เปลี่ยนการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับการได้รับฟลูออไรด์ในระดับต่ำถึง 0.05 - 0.1 มก. ฟลูออไรด์ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน (มก. / กก. / วัน) หรือ 0.03 มก. / กก. / วัน สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม (154 ปอนด์) หมายความว่าฟลูออไรด์ 3.5 มก. ต่อวัน (หรือฟลูออไรด์ 0.7 มก. ต่อวันที่มีการขาดไอโอดีน) อาจทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การวิเคราะห์โดยหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปบริโภคฟลูออไรด์เกือบ 3 มิลลิกรัมทุกวัน และบางคนบริโภคเป็นประจำวันละ 6 มก. ขึ้นไป สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม (30 ปอนด์) ฟลูออไรด์ที่ได้รับมากกว่า 0.7 มก. ต่อวัน (หรือ 0.14 มก. ต่อวันหากขาดไอโอดีน) ทำให้เด็กเสี่ยงต่อความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ และ EPA (2010) ได้ทำการประเมินว่าเด็กที่อยู่ในช่วงน้ำหนักนี้ (อายุ 1- 3 ปี) ได้บริโภคฟลูออไรด์มากกว่า 1.5 มก. ในแต่ละวัน หรือมากกว่า 2 เท่า ของจำนวนที่จำเป็นในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เปลี่ยนแปลง การได้รับอย่างต่อเนื่องเหล่านี้อาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและตลอดชีวิตต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทางสังคม ทางเพศ และทางกายภาพโดยรวมของเด็ก การศึกษาจำนวนมากพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฟลูออไรด์ในระดับค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง และการลด IQ ในเด็ก แม้แต่ระดับฟลูออไรด์ที่น้อยกว่า 1.0 มก. / ล. ก็มีความสัมพันธ์กับ IQ ที่ลดลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของภาวะไทรอยด์ทำงานในเด็กที่มีอาการขาดสารไอโอดีน การพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณอาจเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางที่สุดในร่างกายของคุณต่อฟลูออไรด์ ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ ฟลูออไรด์สะสมในต่อมไทรอยด์ของคุณมากกว่าเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ ฟลูออไรด์อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ของคุณโดยตรง หรือโดยอ้อมด้วยการกระทำที่เป็นไปได้ รวมถึงความสามารถของฟลูออไรด์ในการเลียนแบบฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) - ทำลาย G-proteins ที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยการสร้างของตัวรับฮอร์โมนในร่างกายของคุณ -ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ของคุณ -ทำลาย DNA ของคุณ -รบกวนการแปลงจากไทรอยด์ฮอร์โมน (T4) ที่ไม่ได้ใช้งานไปเป็นแบบฟอร์มที่ต้องใช้งาน (T3) จากข้อมูลของ PubMed Health พบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะพร่อง หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ เกือบ 4% ของประชากรสหรัฐอเมริกา มากกว่า 11 ล้านคน มีภาวะไทรอยด์ทำงานหนักเกินจริง นอกจากนี้ 10% ของประชากรทั่วไป 21 ล้านคน มีภาวะพร่องที่ไม่แสดงอาการซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาต่อมาของภาวะพร่องไทรอยด์ แม้จะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า แต่อัตราการเกิดภาวะพร่องของ hypothyroidism ทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นเกือบ 75% ในช่วง 2ทศวรรษที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ส่งผลกระทบต่อ 1 ในทุกๆ 2,370 ของการเกิดภาวะพร่องในทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะปัญญาอ่อน การชะลอการเจริญเติบโต และปัญหาหัวใจ เด็กที่เป็นโรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติมาแต่กำเนิด หรือเยาวชน ได้รับรายงานว่ามีการล่าช้าของการงอกของฟัน หรือข้อบกพร่องในการเคลือบฟัน แม้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างการค้นพบเหล่านี้กับผลกระทบของฟลูออไรด์ต่อไทรอยด์ยังไม่ได้ทำการศึกษา สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างความรุนแรงของอาการที่ไม่แสดงอาการในหญิงตั้งครรภ์และ IQ ที่ลดลงของบุตรหลาน การพร่องของมารดายังได้รับการเสนอให้เป็นสาเหตุ หรือผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาออทิสติก ศักยภาพของฟลูออไรด์ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ ดังนั้นวิธีการใช้ฟลูออไรด์วิธีการแบบไม่เจาะจง / การเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสาธารณะโดยเจตนา / การผสมเข้าไปในยาสีฟัน / การเคลือบฟันด้วยฟลูออไรด์ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือความอ่อนไหวส่วนตัว และเป็นการละเมิดหลักการสำคัญของเภสัชวิทยาสมัยใหม่ ----------------------------------- Andersson M, de Benoist B,Delange F, Zupan J. 2007.Prevention and control of iodine deficiency in pregnant and lactating women and in children less Bharaktiya S, et al., 2010.Hypothyroidism. Medscape Reference. Delange F. 2004. Optimal iodine nutrition during pregnancy, lactation and neonatal period. Int J Endocrinol Metab 89:3851. Drugs.com. Undated. Top-selling drugs of 2009. IOM (Institute of Medicine). 2001. Dietary Reference Intakes for Vitamin A, Vitamin K, Arsenic, Boron, Chromium, Copper, Iodine, Iron, Manganese Larsen PR, Davies TF, Schlumberger MJ, Hay ID. 2002. Thyroid physiology and diagnostic evaluation of patients with thyroid disorders. Pp. 331-373 PubMed Health. 2009. Neonatal hypothyroidism. PubMed Health. 2010. Hypothyroidism. Wang H, Yang Z, Zhou B, et al. 2009. Fluoride-induced thyroid dysfunction in rats: roles of dietary protein and calcium level. Toxicol Ind Health Zimmermann MB. 2009. Iodine deficiency in pregnancy and the effects of maternal iodine supplementation on the offspring: a review. Am J Clin Nutr 1 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 507 pp. 2 Maumené E. 1854. Compt Rend Acad Sci 39:538. May W. 1935. Antagonismus Zwischen Jod und Fluor im Organismus. Klinische Wochenschrift 14:790-92. 3 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 4 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 5 EPA (U.S. Environmental Protection Agency). 2010. Fluoride: Exposure and Relative Source Contribution Analysis. 6 Connett P, Beck J, Micklem HS. 2010. The Case Against Fluoride. How Hazardous Waste Ended Up in Our Drinking Water and the Bad Science 7 Lin FF, Aihaiti HX, Zhao J, et al. 1991. The relationship of a low-iodine and high-fluoride environment to subclinical cretinism in Xinjiang. 8 ICCIDD (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders). 2011. Iodine Deficiency. 9 Hollowell JG, Staehling NW, Hannon WH, et al. 1998. Iodine nutrition in the United States. Trends and public health implications: iodine excretion 10 Lee SL, et al. 2009. Iodine Deficiency. Medscape Reference. 11 Caldwell KL, Miller GA, Wang RY, et al. 2008. Iodine status of the U.S. population, National Health and Nutrition Examination Survey 2003-2004. 12 Shashi A. 1988. Biochemical effects of Fluoride on thyroid gland duringexperimental fluorosis. Fluoride 21:127–130. 13 Monsour PA, Kruger BJ. 1985. Effect of fluoride on soft tissue in vertebrates. Fluoride 18:53-61. / Call RA, Greenwood DA, LeCheminant H, et al. 1965. 14 Ge Y, Ning H, Wang S, Wang J. 2005. DNA damage in thyroid gland cells of rats exposed to long-term intake of high fluoride and low iodine. Fluoride 15 Gas'kov A, Savchenkov MF, Lushkov NN. 2005. [The specific features of the development of iodine deficiencies in children living under pollution] 16 Aoki Y, Belin RM, Clickner R, et al. 2007. Serum TSH and total T4 in the United States population 17 Olney RS, Grosse SD, Vogt RF. 2010. Prevalence of Congenital Hypothyroidism—Current Trends and Future Directions: Workshop Summary. Pediatrics 125 18 National Research Council. 2006. Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. National Academies Press: Washington, DC. 19 Klein RZ, Sargent JD, Larsen PR, et al. 2001. Relation of severity of maternal hypothyroidism to cognitive development in offspring. J Med Screen 20 Román GC. 2007. Autism: Transient in utero hypothyroxinemia related to maternal flavonoid ingestion during pregnancy. Biological Trace Element Research : https://www.researchgate.net/.../345973053_In_Vitro... ✨✨✨✨✨✨✨ ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58 https://youtu.be/AYAJJSOmdJo ✨✨✨✨✨✨✨ ปฏิวัติสุขภาพกับอ.ปานเทพ เรื่อง ฟลูออไรด์ ภัยเงียบในน้ำดื่มน้ำใช้ยาสีฟัน https://youtu.be/741TFbVWJwQ https://youtu.be/s-ElDeuDl1I https://youtu.be/Y5Ad9L-B21c https://youtu.be/1KgS-_E05YE https://youtu.be/KLsjwWo1F2I ✨✨✨✨✨✨✨ ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน โดย อ.สันติ มานะดี https://www.facebook.com/10000435.../posts/1352913331530352/ ✨✨✨✨✨✨✨ สารฟลูโอไรด์ ( Fluoride ) Little Girl Healthy SHOP - สินค้าส่งตรงจากอเมริกา กราฟแสดงระดับความรุนแรงของสารตะกั่ว สารหนูและฟลูโอไรด์ ค่าระดับความเป็นพิษของฟลูโอไรด์ที่พุ่งแรงแซงสารตะกั่วไปอยู่ที่ระดับ 4 เกือบๆ 5 นั่นแปลว่า มันเป็นพิษมากจนถึงขั้นรุนแรง! ยิ่งถ้าบ้านใครมียาฆ่าหนูและแมลงสาบลองพลิกดูที่ส่วนผสมข้างกล่อง คุณอาจจะช็อกตาค้างมากกว่านี้ เพราะสิ่งเดียวที่เป็นส่วนผสมในยาเบื่อหนูคือฟลูโอไรด์ ซึ่งความจริงแล้ว ฟลูออไรด์ได้นำมาใช้ครั้งแรกในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นยาเบื่อหนู ถามว่า.. แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ในยาสีฟันล่ะ? จริงๆแล้วฟลูออไรด์ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันอย่างแท้จริงมันคือ “แคลเซียมฟลูออไรด์ “ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ที่ผสมอยู่ในยาสีฟันมันคือ "โซเดียมฟลูออไรด์" เป็นสารพิษที่ผลิตขึ้นในโรงงานซึ่งมีราคาถูกกว่า และถ้าใครที่คิดว่าฟลููโอไรด์ช่วยให้ฟันแข็งแรงป้องกันฟันผุ แบบที่เคยได้ยินกันจนคุ้นหูคุ้นตาในโฆษณาทีวีตั้งแต่เด็กๆคงต้องคิดใหม่ เพราะมันกลับเป็นตัวการทำให้เกิดฟันตกกระที่เรียกว่า Dental Fluorosis เกิดเป็นรอยกระดำกระด่างที่ผิวฟันจากการสะสมของสารพิษฟลูโอไรด์ในระยะยาว แถมยังมีผลต่อกระดูกทำให้กระดูกพรุนด้วย ข้อมูลจากวารสารการแพทย์ของรัฐนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า มีการใช้สารฟลูออไรด์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) แต่ผลกลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดกระดูกตะโพกร้าวสูงขึ้นกว่าปกติ และในปี 1993 นักวิทยาศาสตร์จากองค์การป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอาหาร นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นได้ยืนยันว่า ฟลูออไรด์ไม่ได้ป้องกันฟันผุ ผลตรงกันข้าม กลับมีเหตุการณ์แน่ชัดว่า มันเป็นตัวก่อมะเร็งได้ http://www.biowish.net/pages/med.htm เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองผสมฟลูโอไรด์ในน้ำของค่ายกักกันที่รัซเซียในยุคคอมมิวนิสต์และอีกที่ในช่วงยุคนาซีที่เยอร์มัน มีจุดประสงค์ในการทดลองเพื่อจะดูว่าถ้านักโทษผู้โชคร้ายทั้งหลายกินน้ำผสมฟลูโอไรด์เข้าไปแล้วนักโทษจะเป็นยังไง ผลปรากฎว่า อารมณ์รุนแรงของนักโทษลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนจากนักโทษโหดๆเป็นแมวหง่าวนั่งหงอย ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้างใดๆ ไม่ยกพวกตีกันเหมือนก่อน ฟังแล้วดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ.. แต่ความจริงแล้วมันน่ากลัวซะมากกว่า เพราะว่าฟลูโอไรด์มันมีผลโดยตรงต่อสมองน่ะสิ โดยมันเข้าไปทำลายต่อมไพนีล (Pineal gland) หรือเรียกว่าดวงตาที่ 3 ที่ทำหน้าที่ควบคุมร่างกาย โดยทำงานร่วมกับต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารณ์ต่างๆ เช่นความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเหมือนนาฬิกาชีวิตซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์ ดังนั้นเมื่อต่อมนี้โดนทำลาย จึงทำให้เกิดความท้อแท้ หมดแรงจูงใจ ขาดความคิดริเริ่ม เป็นตัวลดไอคิว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องจากการทดลองที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลครั้งนั้น ปัจจุบันนี้ฟลูโอไรด์เลยมาอยู่ในยาสีฟันให้เราใช้กันทุกวัน เปรียบได้กับอาวุธของรัฐบาลในการทำให้ประชาชนโง่และเป็นการควบคุมประชากรไปในตัว ในบางประเทศอย่างไอร์แลนด์ อเมริกา ถึงกับโดนมัดมือชกให้กินน้ำผสมยาพิษฟลูโอไรด์กันเลยทีเดียว โดยผสมมันลงในน้ำประปาสาธารณะ โดยอ้างว่าหวังดีอยากป้องกันโรคฟันผุให้ประชาชน แต่มีการพิสูจน์แล้วโดยเปรียบเทียบสุขภาพฟันของคนอังกฤษและอเมริกัน ปรากฎว่าสุขภาพฟันไม่ต่างกันเลยทั้งๆที่น้ำในประเทศอังกฤษไม่มีการฟลูโอไรด์ลงในน้ำ การกระทำที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้เลยสร้างความไม่พอใจให้หลายๆคนในหลายประเทศที่ไม่เต็มใจจะโดนวางยาพิษในน้ำก๊อกที่ทำให้โง่และเป็นโรค แถมการเอาน้ำไปต้มให้เดือดก็ไม่ได้ช่วยอะไรยกเว้นเพิ่มความแรงของสารพิษให้สูงขึ้นอึก 7 เท่าตัว เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมยาสีฟันที่มีผสมฟลูโอไรด์ต้องมีคำเตือนแปะอยู่ข้างหลอดว่าห้ามกลืน ถ้าใครเผลอกลืนต้องรีบพบแพทย์!! อะไรก็ตามที่ทำมาให้ใช้ได้ในปาก มันควรที่จะปลอดภัยมากกว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคไม่ใช่หรือ? โดยเฉพาะยาสีฟันที่เราเอาใส่ปากเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายทุกๆวัน บางคนอาจคิดว่าอีคนเขียนนี่วิตกจริตฟุ้งซ่านมากไปป่ะ? ไม่มีใครเค้าโง่กลืนยาสีฟันหรอก แค่ใส่ปากแปรงๆแล้วก็บ้วนทิ้่ง โอเค ก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครกลืนมันแบบตั้งใจ แต่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์บ้างล่ะ ว่ามันไม่ได้แอบตกค้างอยู่ตามซอกฟันซอกเหงือกให้คุณกลืนลงท้องทั้งคืน บวกกับอีกรอบตอนเช้า โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะกลืนมันลงไปโดยไม่ตั้งใจถ้าไม่มีผู้ปกครองดูแล เชื่อหรือไม่ว่าฟลูโอไรด์เพียง 200 มิลลิกรัม หรือปริมาณยาสีฟันบีบออกมาเท่ากับความยาวของแปรงสีฟันนั้นสามารถฆ่าเด็กเล็กได้เลย และฆาตกรตัวจริงไม่ใช่ยาสีฟันแต่คือฟลูโอไรด์เพียวๆเลยหล่ะ จากรายงานของสมาคมศูนย์ควบคุมพิษอเมริกาบอกว่า ในปี 1994 มีคนตายจากฟลูออไรด์ที่ผสมในอาหารเสริมแล้วด้วย! Fluoride Alert .Org แคลเซียมฟลูออไรด์เป็นธาตุที่จำเป็น พบเป็นส่วนใหญ่ในกระดูก และเคลือบฟัน ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และทำให้ฟันทนต่อการผุมากขึ้น แคลเซียมฟลูออไรด์อาจช่วยป้องกันโรคปริทันต์ด้วย และป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียมฟลูออไรด์พบในธรรมชาติ ในรูปของแคลเซียมคลอไรด์ มีอยู่ในพืชทุกชนิด สัตว์ น้ำ และ ดิน โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride) เป็นสารอนินทรีย์ที่เกิดจากธาตุฟลูออรีน (Fluorine) ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้นำเอาโซเดียมฟลูออไรด์ไปผสมกับผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปากด้วยโซเดียมฟลูออไรด์ การได้รับฟลูออรีน จะเกิดการสะสมของฟลูออรีนไว้ในร่างกายทีละน้อย จะทำให้เกิดความเสียหายและข้อบกพร่องขึ้นกับระบบโครงกระดูกและฟันสำหรับความผิดปกติของฟัน เกิดขึ้นโดยฟันจะมีลักษณะเป็นจุดสีขาวขุ่นๆ ซึ่งเดิมมีลักษณะใส นอกจากนี้ยังทำให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ฟันจึงมักชำรุดแตกบิ่นง่าย ส่วนในระบบโครงกระดูกอาการที่พบคือ กระดูกจะเจริญเร็วมาก ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากกระดูกขา กราม กระดูกซี่โครง ขากระเผลก เดินลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมากเกินไปของกระดูกหรือเกิดจากที่หินปูนไปจับกับเอ็นและข้อต่อของขา จึงทำให้ขาแข็ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นอาการแบบถาวร แหล่งอาหาร แคลเซียมฟลูออไรด์ ตามธรรมชาติ 1. ข้าวต่างๆ 2. ผลไม้ เช่น แอปเปิล องุ่น ลูกแพร์ กล้วย และเชอร์รี่ 3. ผักต่างๆ เช่น หัวแครอท กระเทียม หัวบีท ผักใบเขียว กระจับ ถั่ว ข้าวโพด หัวไชเท้า มะเขือ หัวหอม มันฝรั่ง 4. เนย เนยแข็ง เนยเหลว ไข่ 5. เมล็ดทานตะวัน 6. อื่นๆ เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง ปลา น้ำทะเล น้ำกระด้าง น้ำผึ้ง ชาดำ แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของฟลูออไรด์คือ อาหารทะเล #สารฟลูออไรด์ในยาสีฟันก่อให้เกิดมะเร็ง จริงหรือไม่? ☠️☠️ ทำไมเด็กในอเมริกาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 นักวิจัยหลายๆท่านที่อเมริกา รวมทั้ง Charlotte Gerson ได้ไปทดสอบและพิสูจน์แล้วว่า ยาสีฟันที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปรวมทั้งยี่ห้อที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง Charlotte ให้ผู้ป่วยที่มารับการรักษามะเร็งที่คลีนิคของเธอทุกคนเลิกใช้ยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ เธอยังบอกอีกว่าไม่แปลกใจเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมเด็กในอเมริกาเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ ผสม สารฟลูออไรด์ แล้วยังใส่รสชาติเหมือนขนมหวานให้เด็กๆติดใจและอยากจะใช้ยาสีฟันแบบนี้ 🚑🚑 เธอบอกความจริงว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีใครป่วยเป็นโรคอะไรเลยแล้วผู้ผลิตยาจะทำธุรกิจได้กำไรจากที่ไหน ลองไปดูสิคะผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้บางทีก็เป็นบริษัทเดียวกันกับผู้ผลิตยานั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่หมอฟันใช้กับคนไข้ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาบ้วนปาก หรือแม้แต่สิ่งที่ใช้อุดฟันล้วนแล้วเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น 🎗🎗 ใครที่เป็นมะเร็งอยู่ก็ดูยาสีฟันกันหน่อยนะคะ ⛑⛑ (ปีนี้ 2018 Charlotte Gerson เธออายุ 96 ปียังแข็งแรงและเดินสายสัมมนาเรื่องมะเร็ง นับถือจริงๆ) ด้วยความปรารถนาดี ...โค้ชนาตาลี ❤️❤️ อ่านต่อ... From the book: Never Fear Cancer again by Raymond Francis .......... Fluoride Fluoride both switches on and drives cancer. Federal health officials continue to call fluoridation one of the ten great public-health achievements of the twentieth century, while it has long been known as one of our greatest public-health blunders. The scientific evidence that fluoride causes cancer is overwhelming, and this has been known for decades, despite attempts to obscure it. 💉💉 For example, recorded in the Congressional Record of 21 July 1976, the chief chemist of the National Cancer Institute, Dr. Dean Burke, stated before Congress, “In point of fact, fluoride causes more cancer death, and causes it faster than any other chemical.” ☠️☠️ Fluoride is a general cellular poison, doing catastrophic biological damage that is beyond the scope of this chapter to describe, yet many of us are now ingesting daily amounts that far exceed even the government’s inadequate safety standards. Hundreds of studies have found a connection between fluoride and cancer; cities that fluoridate their water have significantly more cancer deaths than cities that do not fluoridate. ☠️☠️ ***Fluoride causes cancer by reacting with enzymes, changing their shape and disabling them.*** ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ด้วยรักและยาสีฟัน เวชหนุ่ม
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1715 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts