• Omdia เป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาระดับโลกที่เชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์เกี่ยวกับตลาดเทคโนโลยีต่างๆ เผยผลวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าความต้องการชิป Tensor Processing Units (TPUs) ของ Google กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้รายได้จากเซมิคอนดักเตอร์ AI ของ Broadcom อยู่ระหว่าง 6 พันล้านถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ การเติบโตนี้เป็นผลมาจากผู้ให้บริการคลาวด์หลายรายที่เริ่มหันมาใช้ชิปแบบกำหนดเองหรือ ASICs แทน GPU ของ NVIDIA เนื่องจากมีความคุ้มค่ามากกว่า

    แม้ว่า NVIDIA จะยังคงครองตลาดชิป AI อยู่ แต่การเติบโตของ TPU ของ Google อาจทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA ลดลงในอนาคต อย่างไรก็ตาม NVIDIA ยังคงเตรียมการสำหรับการเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Blackwell เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด

    https://wccftech.com/omdia-research-google-tensor-processing-units-tpus-are-eating-nvidia-lunch/
    Omdia เป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาระดับโลกที่เชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์เกี่ยวกับตลาดเทคโนโลยีต่างๆ เผยผลวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าความต้องการชิป Tensor Processing Units (TPUs) ของ Google กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้รายได้จากเซมิคอนดักเตอร์ AI ของ Broadcom อยู่ระหว่าง 6 พันล้านถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ การเติบโตนี้เป็นผลมาจากผู้ให้บริการคลาวด์หลายรายที่เริ่มหันมาใช้ชิปแบบกำหนดเองหรือ ASICs แทน GPU ของ NVIDIA เนื่องจากมีความคุ้มค่ามากกว่า แม้ว่า NVIDIA จะยังคงครองตลาดชิป AI อยู่ แต่การเติบโตของ TPU ของ Google อาจทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA ลดลงในอนาคต อย่างไรก็ตาม NVIDIA ยังคงเตรียมการสำหรับการเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Blackwell เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด https://wccftech.com/omdia-research-google-tensor-processing-units-tpus-are-eating-nvidia-lunch/
    WCCFTECH.COM
    Omdia Research: Google's Tensor Processing Units (TPUs) Are Eating NVIDIA's Lunch
    Citi expects the AI chip sphere to grow to a TAM of $380 billion by 2028, where AI GPUs (read NVIDIA) control 75 percent of the market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของการผลิตชิปที่สำคัญของจีน โดยเฉพาะการพัฒนาโฟโตเรซิสต์ที่มีความบริสุทธิ์สูงสำหรับการผลิตชิปในระดับการผลิตขั้นสูง

    ในปี 2024 จีนได้ก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาโฟโตเรซิสต์ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตชิปในประเทศ

    โฟโตเรซิสต์สำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ถูกจัดประเภทตามความยาวคลื่นของการเปิดรับแสง เช่น KrF (248nm), ArF (193nm), และ EUV (13.5nm) ซึ่งเป็นโฟโตเรซิสต์ที่บริสุทธิ์และทันสมัยที่สุด ตลาดโลกถูกครอบครองโดยผู้เล่นหลักจากญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เช่น JSR, Tokyo Ohka Kogyo, Shin-Etsu Chemical, Sumitomo Chemical, Fujifilm, และ DuPont

    บริษัทจีน เช่น Shanghai Sinyang, Rachem, และ Bcpharma ได้ทำความก้าวหน้าในโฟโตเรซิสต์ระดับเริ่มต้น แต่ยังคงประสบปัญหาในการแข่งขันในตลาดระดับสูงเนื่องจากความท้าทายทางเทคนิคและการเริ่มต้นที่ล่าช้า

    อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนบางแห่งกำลังทำความก้าวหน้าในโฟโตเรซิสต์ขั้นสูง เช่น Hubei Dinglong ที่เพิ่งประกาศว่าโฟโตเรซิสต์ ArF และ KrF ของพวกเขาผ่านการประเมินจากลูกค้าและได้รับคำสั่งซื้อจากผู้ผลิตเวเฟอร์ในประเทศสองราย รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านหยวน หรือ 137,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-developing-critical-chipmaking-supply-chains-photoresist-ecosystem-emerges-for-arf-and-krf-lasers
    จีนกำลังพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของการผลิตชิปที่สำคัญของจีน โดยเฉพาะการพัฒนาโฟโตเรซิสต์ที่มีความบริสุทธิ์สูงสำหรับการผลิตชิปในระดับการผลิตขั้นสูง ในปี 2024 จีนได้ก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาโฟโตเรซิสต์ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตชิปในประเทศ โฟโตเรซิสต์สำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ถูกจัดประเภทตามความยาวคลื่นของการเปิดรับแสง เช่น KrF (248nm), ArF (193nm), และ EUV (13.5nm) ซึ่งเป็นโฟโตเรซิสต์ที่บริสุทธิ์และทันสมัยที่สุด ตลาดโลกถูกครอบครองโดยผู้เล่นหลักจากญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เช่น JSR, Tokyo Ohka Kogyo, Shin-Etsu Chemical, Sumitomo Chemical, Fujifilm, และ DuPont บริษัทจีน เช่น Shanghai Sinyang, Rachem, และ Bcpharma ได้ทำความก้าวหน้าในโฟโตเรซิสต์ระดับเริ่มต้น แต่ยังคงประสบปัญหาในการแข่งขันในตลาดระดับสูงเนื่องจากความท้าทายทางเทคนิคและการเริ่มต้นที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนบางแห่งกำลังทำความก้าวหน้าในโฟโตเรซิสต์ขั้นสูง เช่น Hubei Dinglong ที่เพิ่งประกาศว่าโฟโตเรซิสต์ ArF และ KrF ของพวกเขาผ่านการประเมินจากลูกค้าและได้รับคำสั่งซื้อจากผู้ผลิตเวเฟอร์ในประเทศสองราย รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านหยวน หรือ 137,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-developing-critical-chipmaking-supply-chains-photoresist-ecosystem-emerges-for-arf-and-krf-lasers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาของแร่ Gallium ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิตชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นถึง $595 ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่ปี 2011

    การเพิ่มขึ้นของราคานี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนได้ประกาศห้ามส่งออกแร่สำคัญไปยังสหรัฐฯ รวมถึง Gallium, Germanium, และ Antimony ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิต Gallium หลักของโลก โดยมีส่วนแบ่งการผลิตถึง 94% การเพิ่มขึ้นของราคานี้สะท้อนถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของ Gallium ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูง

    มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของจีนในการรักษาความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ ท่ามกลางการแข่งขันและข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ

    คนธรรมดาอย่างเราๆ ก็ต้องรับกรรมกับของใช้ที่ราคาจะสูงขึ้นครับ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pricing-for-key-chipmaking-material-hits-13-year-high-following-chinese-export-restrictions-chinas-restrictions-on-gallium-exports-hit-hard
    ราคาของแร่ Gallium ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิตชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นถึง $595 ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่ปี 2011 การเพิ่มขึ้นของราคานี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนได้ประกาศห้ามส่งออกแร่สำคัญไปยังสหรัฐฯ รวมถึง Gallium, Germanium, และ Antimony ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิต Gallium หลักของโลก โดยมีส่วนแบ่งการผลิตถึง 94% การเพิ่มขึ้นของราคานี้สะท้อนถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของ Gallium ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูง มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของจีนในการรักษาความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ ท่ามกลางการแข่งขันและข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ คนธรรมดาอย่างเราๆ ก็ต้องรับกรรมกับของใช้ที่ราคาจะสูงขึ้นครับ https://www.tomshardware.com/tech-industry/pricing-for-key-chipmaking-material-hits-13-year-high-following-chinese-export-restrictions-chinas-restrictions-on-gallium-exports-hit-hard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lisa Su แห่ง AMD "ซีอีโอแห่งปี "หญิงแกร่งที่มีมีความเก่ง!12 ธันวาคม 2567 นิตยสาร Time ยกย่อง Dr. Lisa Su #CEO ของ #AMD ให้เป็น "CEO แห่งปี 2024" ว่าเธอเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดใน #อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยุคปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการพลิกฟื้นบริษัท AMD ให้กลับมาเป็นผู้นำ #ตลาดชิปประมวลผล และ #เซมิคอนดักเตอร์ ระดับโลก. การเปลี่ยนแปลง AMD ภายใต้การนำของ Dr. Su ตั้งแต่ปี 2014 AMD ได้เปลี่ยนจาก #บริษัทที่ประสบปัญหา ในการทำกำไรมาเป็นผู้นำตลาดที่ท้าทายคู่แข่งอย่าง #Intel และ #NVIDIA โดยมูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 3700% และ AMD มีมูลค่าตลาดแซง Intel ได้สำเร็จ.เธอเป็นผู้ผลักดันเทคโนโลยีตระกูล Zen processors และขยายตลาดไปสู่ธุรกิจศูนย์ข้อมูลและคลาวด์คอมพิวติ้ง รวมถึงการซื้อกิจการ Xilinx ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพของ AMD ในตลาดชิป FPGA และ #AI.เธอถูกยกย่องในด้านการบริหารที่ครอบคลุมทั้งเชิงกลยุทธ์และเทคนิค โดยเธอลงมือทำงานในทุกระดับ ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการพัฒนาชิปในห้องแล็บ.รางวัลนี้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของ Lisa Su ในการพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้นำในวงการทั่วโลกในอนาคต.ลิซ่า ซู ซีอีโอ AMD ได้รับเลือกให้เป็นซีอีโอแห่งปี 2024 จากนิตยสาร TIME โดยได้รับการยกย่องในวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำที่สามารถพลิกฟื้น AMD จากการเกือบล้มละลายเมื่อ 10 ปีก่อน กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในวงการเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก
    Lisa Su แห่ง AMD "ซีอีโอแห่งปี "หญิงแกร่งที่มีมีความเก่ง!12 ธันวาคม 2567 นิตยสาร Time ยกย่อง Dr. Lisa Su #CEO ของ #AMD ให้เป็น "CEO แห่งปี 2024" ว่าเธอเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดใน #อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยุคปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการพลิกฟื้นบริษัท AMD ให้กลับมาเป็นผู้นำ #ตลาดชิปประมวลผล และ #เซมิคอนดักเตอร์ ระดับโลก. การเปลี่ยนแปลง AMD ภายใต้การนำของ Dr. Su ตั้งแต่ปี 2014 AMD ได้เปลี่ยนจาก #บริษัทที่ประสบปัญหา ในการทำกำไรมาเป็นผู้นำตลาดที่ท้าทายคู่แข่งอย่าง #Intel และ #NVIDIA โดยมูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 3700% และ AMD มีมูลค่าตลาดแซง Intel ได้สำเร็จ.เธอเป็นผู้ผลักดันเทคโนโลยีตระกูล Zen processors และขยายตลาดไปสู่ธุรกิจศูนย์ข้อมูลและคลาวด์คอมพิวติ้ง รวมถึงการซื้อกิจการ Xilinx ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพของ AMD ในตลาดชิป FPGA และ #AI.เธอถูกยกย่องในด้านการบริหารที่ครอบคลุมทั้งเชิงกลยุทธ์และเทคนิค โดยเธอลงมือทำงานในทุกระดับ ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการพัฒนาชิปในห้องแล็บ.รางวัลนี้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของ Lisa Su ในการพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้นำในวงการทั่วโลกในอนาคต.ลิซ่า ซู ซีอีโอ AMD ได้รับเลือกให้เป็นซีอีโอแห่งปี 2024 จากนิตยสาร TIME โดยได้รับการยกย่องในวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำที่สามารถพลิกฟื้น AMD จากการเกือบล้มละลายเมื่อ 10 ปีก่อน กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในวงการเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกระพือสงครามการค้ารอบใหม่ ระบุจะ "ไม่มีผู้ชนะ" แม้ในขณะเดียวกันผู้นำรายนี้ประกาศกร้าวจะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
    .
    ประธานธิบดีสี แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ระหว่างพบปะกับเหล่าผู้นำสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หนึ่งวันหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีน แถลงสืบสวนบริษัทเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    .
    การตรวจสอบดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครองความเป็นเจ้าปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับปกป้องความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็ตาม
    .
    "สงครามรีดภาษี สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีล้วนแต่สวนทางกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์และกฎหมายทางเศรษฐกิจ และจะไม่มีผู้ชนะ" สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อมวลชนหแงรัฐของจีน รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสี
    .
    สี บอกต่อว่า "การปิดกั้นลานบ้านเล็กๆ ด้วยกำแพงสูงลิ่ว การแยกและทำลายห่วงโซ่อุปทาน จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่นๆ และไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง จีนเชื่อเสมอว่าถ้าจีนดีโลกก็ดีด้วย และเมื่อโลกดี จีนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก" เขากล่าว
    .
    เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เคยใช้คำพูดเกี่ยวกับ "ลานบ้านเล็กๆ และกำแพงสูง" จำกัดความยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะเปิดทางให้การค้าส่วนใหญ่กับจีนดำเนินไปตามปกติ แต่จะกำหนดข้อจำกัดกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ อย่างเช่นเซมิคอนดัคเตอร์ ที่เชื่อว่าอาจถูกนำไปใช้งานด้านการทหาร
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดน แถลงมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่ 3 ในรอบหลายปี จำกัดปักกิ่งจากการเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายสิบรุ่นและชิปความจำล้ำสมัย เช่นเดียวกับกำหนดมาตรการควบคุมบริษัทจีนมากกว่า 100 แห่ง
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จีนจะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีก 10% เพิ่มเติมจากระดับภาษีใดๆ ในปัจจุบัน จนกว่าปักกิ่งจะสกัดไม่ให้กระแสยาผิดกฎหมายไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ทรัมป์ บอกว่าเขาและสี "ได้พูดคุยสื่อสารกัน" ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีน ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสนทนาระหว่าง 2 ฝ่าย
    .
    จึง พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่อุปสงค์ภายในประเทศดำดิ่ง สืบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยข้อมูลของทางการที่เผยแพร่ออกมาในวันอังคาร (10 ธ.ค.) พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก ส่วนการนำเข้าก็หดตัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118740
    ..............
    Sondhi X
    สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกระพือสงครามการค้ารอบใหม่ ระบุจะ "ไม่มีผู้ชนะ" แม้ในขณะเดียวกันผู้นำรายนี้ประกาศกร้าวจะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ . ประธานธิบดีสี แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ระหว่างพบปะกับเหล่าผู้นำสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หนึ่งวันหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีน แถลงสืบสวนบริษัทเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด . การตรวจสอบดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครองความเป็นเจ้าปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับปกป้องความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็ตาม . "สงครามรีดภาษี สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีล้วนแต่สวนทางกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์และกฎหมายทางเศรษฐกิจ และจะไม่มีผู้ชนะ" สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อมวลชนหแงรัฐของจีน รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสี . สี บอกต่อว่า "การปิดกั้นลานบ้านเล็กๆ ด้วยกำแพงสูงลิ่ว การแยกและทำลายห่วงโซ่อุปทาน จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่นๆ และไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง จีนเชื่อเสมอว่าถ้าจีนดีโลกก็ดีด้วย และเมื่อโลกดี จีนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก" เขากล่าว . เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เคยใช้คำพูดเกี่ยวกับ "ลานบ้านเล็กๆ และกำแพงสูง" จำกัดความยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะเปิดทางให้การค้าส่วนใหญ่กับจีนดำเนินไปตามปกติ แต่จะกำหนดข้อจำกัดกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ อย่างเช่นเซมิคอนดัคเตอร์ ที่เชื่อว่าอาจถูกนำไปใช้งานด้านการทหาร . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดน แถลงมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่ 3 ในรอบหลายปี จำกัดปักกิ่งจากการเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายสิบรุ่นและชิปความจำล้ำสมัย เช่นเดียวกับกำหนดมาตรการควบคุมบริษัทจีนมากกว่า 100 แห่ง . ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จีนจะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีก 10% เพิ่มเติมจากระดับภาษีใดๆ ในปัจจุบัน จนกว่าปักกิ่งจะสกัดไม่ให้กระแสยาผิดกฎหมายไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ . ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ทรัมป์ บอกว่าเขาและสี "ได้พูดคุยสื่อสารกัน" ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีน ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสนทนาระหว่าง 2 ฝ่าย . จึง พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่อุปสงค์ภายในประเทศดำดิ่ง สืบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยข้อมูลของทางการที่เผยแพร่ออกมาในวันอังคาร (10 ธ.ค.) พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก ส่วนการนำเข้าก็หดตัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118740 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 653 มุมมอง 0 รีวิว
  • แวะมาเรื่องสงครามหน่อยครับ
    พบชิปของ Texas Instruments จำนวนมากในอาวุธของรัสเซียที่ใช้ในสงครามยูเครน

    แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดจากสหรัฐฯ ที่ห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังรัสเซีย แต่รัสเซียยังคงสามารถซื้อชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ผ่านบุคคลที่สามได้ ชิปเหล่านี้ถูกใช้ในโดรน, ระเบิดนำวิถี, ระบบสื่อสารที่มีความแม่นยำ และขีปนาวุธ Iskander ที่มอสโกใช้โจมตีเมืองในยูเครน

    ลุงว่าชิปของ TI มันเป็นเหมือนยาสามัญประจำบ้านของนักพัฒนาทั่วโลกอยู่แล้ว ไม่แปลกที่จะหาซื้อได้ง่ายทั่วทุกมุมของโลก สหรัฐจะใช้วิธีการอะไรไปขวางกัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/alarming-amount-of-texas-instrument-chips-found-in-russian-based-weapons-in-ukraine-russian-military-using-third-parties-to-purchase-u-s-made-chips
    แวะมาเรื่องสงครามหน่อยครับ พบชิปของ Texas Instruments จำนวนมากในอาวุธของรัสเซียที่ใช้ในสงครามยูเครน แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดจากสหรัฐฯ ที่ห้ามการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังรัสเซีย แต่รัสเซียยังคงสามารถซื้อชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ผ่านบุคคลที่สามได้ ชิปเหล่านี้ถูกใช้ในโดรน, ระเบิดนำวิถี, ระบบสื่อสารที่มีความแม่นยำ และขีปนาวุธ Iskander ที่มอสโกใช้โจมตีเมืองในยูเครน ลุงว่าชิปของ TI มันเป็นเหมือนยาสามัญประจำบ้านของนักพัฒนาทั่วโลกอยู่แล้ว ไม่แปลกที่จะหาซื้อได้ง่ายทั่วทุกมุมของโลก สหรัฐจะใช้วิธีการอะไรไปขวางกัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/alarming-amount-of-texas-instrument-chips-found-in-russian-based-weapons-in-ukraine-russian-military-using-third-parties-to-purchase-u-s-made-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนได้เปิดการสอบสวนการผูกขาดของ Nvidia ผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการตอบโต้ล่าสุดของปักกิ่ง หลังจากที่สหรัฐฯ เปิดเผยมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่เข้มงวดที่สุดต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนเมื่อวันจันทร์ที่9 ธันวาคม 2567 สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีนกล่าวว่า Nvidia ซึ่งเป็นผู้พัฒนาชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน รวมถึงละเมิดข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการที่บรรลุข้อตกลงในปี 2020 เมื่อปักกิ่งให้การอนุมัติแบบมีเงื่อนไขแก่ Nvidia สำหรับการเข้าซื้อ Mellanox Technologies มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในอิสราเอล การสอบสวนดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ปักกิ่งเปิดเผยมาตรการควบคุมที่เข้มงวดต่อการส่งออกวัตถุดิบที่สำคัญไปยังสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่อข้อจำกัดล่าสุดของวอชิงตันเกี่ยวกับอุปกรณ์การผลิตชิปและซอฟต์แวร์ และการเพิ่มรายชื่อบริษัทนิติบุคคลของจีนมากกว่า 140 รายเข้าไปในรายชื่อบัญชีดำทางการค้าในวันเดียวกับที่ปักกิ่งประกาศข้อจำกัดในการส่งออก ทางสมาคมอุตสาหกรรมชั้นนำสี่แห่งของจีนได้ออกคำเตือนที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักว่า สมาชิกบริษัทจีนควรระมัดระวังในการซื้อชิปจากสหรัฐฯ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป"จีนยังคงพึ่งพาชิปของ Nvidia อย่างมากในการฝึกอบรม AI แต่บริษัทสามารถขายชิป AI เวอร์ชันที่ลดระดับลงได้เท่านั้นในประเทศเนื่องจากมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดความก้าวหน้าด้าน AI ของจีนรายได้จากจีนคิดเป็นประมาณ 15.4% ของรายได้ทั้งหมดของ Nvidia ในไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 27 ตุลาคม2567และข่าวนี้ทำให้Nvidiaหุ้นของบริษัทร่วงลง 3% ในการซื้อขายช่วงเช้า
    จีนได้เปิดการสอบสวนการผูกขาดของ Nvidia ผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการตอบโต้ล่าสุดของปักกิ่ง หลังจากที่สหรัฐฯ เปิดเผยมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่เข้มงวดที่สุดต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนเมื่อวันจันทร์ที่9 ธันวาคม 2567 สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีนกล่าวว่า Nvidia ซึ่งเป็นผู้พัฒนาชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน รวมถึงละเมิดข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการที่บรรลุข้อตกลงในปี 2020 เมื่อปักกิ่งให้การอนุมัติแบบมีเงื่อนไขแก่ Nvidia สำหรับการเข้าซื้อ Mellanox Technologies มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในอิสราเอล การสอบสวนดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ปักกิ่งเปิดเผยมาตรการควบคุมที่เข้มงวดต่อการส่งออกวัตถุดิบที่สำคัญไปยังสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่อข้อจำกัดล่าสุดของวอชิงตันเกี่ยวกับอุปกรณ์การผลิตชิปและซอฟต์แวร์ และการเพิ่มรายชื่อบริษัทนิติบุคคลของจีนมากกว่า 140 รายเข้าไปในรายชื่อบัญชีดำทางการค้าในวันเดียวกับที่ปักกิ่งประกาศข้อจำกัดในการส่งออก ทางสมาคมอุตสาหกรรมชั้นนำสี่แห่งของจีนได้ออกคำเตือนที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักว่า สมาชิกบริษัทจีนควรระมัดระวังในการซื้อชิปจากสหรัฐฯ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป"จีนยังคงพึ่งพาชิปของ Nvidia อย่างมากในการฝึกอบรม AI แต่บริษัทสามารถขายชิป AI เวอร์ชันที่ลดระดับลงได้เท่านั้นในประเทศเนื่องจากมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดความก้าวหน้าด้าน AI ของจีนรายได้จากจีนคิดเป็นประมาณ 15.4% ของรายได้ทั้งหมดของ Nvidia ในไตรมาสที่สิ้นสุดวันที่ 27 ตุลาคม2567และข่าวนี้ทำให้Nvidiaหุ้นของบริษัทร่วงลง 3% ในการซื้อขายช่วงเช้า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปักกิ่งสวนกลับทันควัน ประกาศจำกัดการส่งออกแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางรายการให้อเมริกา หลังจากเมื่อวันจันทร์ (2) วอชิงตันออกมาตรการสกัดอุตสาหกรรมชิปจีนรอบ 3 ซึ่งจะมีการควบคุมการส่งออกไปยังบริษัทแดนมังกร 140 แห่ง
    .
    คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินหมากใหญ่กระดานสุดท้ายในวันจันทร์ เพื่อปิดกั้นจีนไม่ให้เข้าถึงและผลิตชิปที่จะช่วยส่งเสริมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดยอ้างว่าอาจถูกนำไปใช้งานทางทหารหรือคุกคามความมั่นคงของอเมริกา
    .
    คำสั่งใหม่คราวนี้ยังเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็เป็นที่คาดหมายกันว่า เขาจะยังคงสานต่อมาตรการแข็งกร้าวกับปักกิ่ง
    .
    สำหรับมาตรการรอบล่าสุดของสหรัฐฯ มุ่งครอบคลุมทั้งการจำกัดการจัดส่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปยังจีน ได้แก่ ชิปหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูงที่จำเป็นสำหรับการใช้งานระดับไฮเอนด์อย่างเช่นการฝึกเครื่องจักรเอไอ เครื่องจักรเครื่องมือผลิตชิปอีก 24 รายการ และเครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ 3 รายการ และการจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปที่ผลิตในประเทศ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย
    .
    จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์จีน แถลงว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายในการป้องกันไม่ให้จีนสามารถส่งเสริมระบบการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในแดนมังกร ซึ่งจะนำไปใช้สนับสนุนการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย
    .
    สำหรับบริษัทจีนที่จะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดรอบใหม่คราวนี้ ประกอบด้วยบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์เกือบ 24 แห่ง บริษัทด้านการลงทุน 2 แห่ง และพวกผู้ผลิตเครื่องจักรเครื่องมือผลิตชิปกว่า 100 แห่ง เช่น สเวย์ชัวร์ เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำงานร่วมกับหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ที่ถูกอเมริกาแซงก์ชันและขณะนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตและพัฒนาชิปขั้นสูงของจีน
    .
    บริษัทเหล่านี้จะถูกขึ้นบัญชีดำใน entity list หรือรายชื่อบริษัทที่รัฐบาลอเมริกามองว่า มีอันตรายต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งซัปพลายเออร์อเมริกันจะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งผลิตภัณฑ์ให้โดยไม่ได้รับใบอนุญาตพิเศษ
    .
    ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการล่าสุดคราวนี้ยังมีการขยายอำนาจของอเมริกาในการควบคุมการส่งออกเครื่องจักรอุปกรณ์ผลิตชิปของพวกผู้ผลิตอเมริกัน ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ ที่ทำการผลิตในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกและจัดส่งไปห้โรงงานชิปบางแห่งในจีน โดยการควบคุมเช่นนี้จะส่งผลต่อเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ผลิตในอิสราเอล มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ขณะที่อุปกรณ์ที่ผลิตในญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้รับการยกเว้น
    .
    มาตรการชุดใหม่นี้มีระเบียบจำกัดชิปความจำที่ใช้ในชิปเอไอซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี HBM 2 หรือสูงกว่า อันเป็นเทคโนโลยีที่ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และเอสเค ไฮนิกซ์ของเกาหลีใต้ และไมครอนของอเมริกาใช้อยู่
    .
    สำหรับปฏิกิริยาตอบโต้จากฝ่ายจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า พฤติกรรมของอเมริกาบ่อนทำลายระเบียบการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และขัดขวางห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ก่อนสำทับว่า จีนจะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทท้องถิ่น
    .
    ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนโจมตีว่า มาตรการจำกัดของอเมริกาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “การข่มขู่ทางเศรษฐกิจ” และ “แนวทางปฏิบัติที่ไม่อิงกับตลาด”
    .
    จีนประกาศห้ามส่งออกแร่ใช้ทำเซมิคอนดักเตอร์ไปยังสหรัฐฯ
    .
    ต่อมาในวันอังคาร (3) กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศใช้มาตรการห้ามการส่งออกพวกสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับแร่ แกลเลียม เจอร์มาเนียม และพลวง (แอนติโมนี) ซึ่งมีศักยภาพที่อาจนำไปใช้ทางทหารได้ ไปยังสหรัฐฯ นอกจากนั้น ยังให้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดในเรื่องการส่งออกกราไฟต์ไปยังสหรัฐฯ อีกด้วย โดยต้องตรวจสอบผู้ใช้และการนำไปใช้อย่างถี่ถ้วน
    .
    คำชี้แนะว่าด้วยสิ่งของที่อาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งทหารและพลเรือนของกระทรวงพาณิชย์จีนฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในทันที ได้ให้เหตุผลของการออกระเบียบเช่นนี้ว่า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ
    .
    “โดยหลักการแล้ว การส่งออกแกลเลียม เจอร์มาเนียม พลวง และพวกวัสดุที่มีความแข็งเป็นพิเศษ (superhard materials) ไปยังสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ไม่ควรได้รับอนุมัติ” กระทรวงพาณิชย์จีนบอก
    .
    มาตรการใหม่เช่นนี้ เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่การบังคับใช้ระเบียบจำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญยิ่งยวดเหล่านี้ซึ่งปักกิ่งทยอยประกาศออกมาในปีที่แล้ว เพียงแต่มาตรการใหม่นี้ยังมีการระบุเจาะจงว่าใช้กับการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เท่านั้นอีกด้วย
    .
    ข้อมูลของศุลกากรจีนแสดงให้เห็นว่า ไม่มีการขนส่งเจอร์มาเนียม หรือแกลเลียม ทั้งแบบที่ขึ้นรูปแล้ว (wrought) และแบบที่ไม่ได้ขึ้นรูป (unwrought) ไปยังสหรัฐฯ เลยในปีนี้นับจนถึงเดือนตุลาคม ถึงแม้ในปีก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ คือตลาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 และอันดับ 5 ตามลำดับของแร่เหล่านี้ของจีน
    .
    แกลเลียม และเจอร์มาเนียม ใช้อยู่ในเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนั้นแล้ว เจอร์มาเนียม ยังใช้ในพวกเทคโนโลยีอินฟราเรด สายเคเบิลใยแก้วนำแสง และแผงโซลาร์เซลล์
    .
    ทำนองเดียวกัน การส่งออกพวกผลิตภัณฑ์พลวงของจีนโดยรวมในเดือนตุลาคม ได้หล่นฮวบลงมาถึง 97% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน หลังจากมาตรการจำกัดการส่งออกของปักกิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้
    .
    ในปีที่แล้ว จีนเป็นผู้ผลิตพลวงที่ได้มาจากการทำเหมืองถึงประมาณ 48% ของที่ผลิตได้ทั่วโลก โดยที่พลวงถูกนำไปใช้ทั้งในพวกเครื่องกระสุน ขีปนาวุธอินฟราเรด อาวุธนิวเคลียร์ และกล้องสองตาให้มองกลางคืน ตลอดจนในแบตเตอรี่ และอุปกรณ์โฟโตโวลตาอิก
    .
    “ความเคลื่อนไหวคราวนี้ถือว่าเป็นการทำให้ความตึงเครียดในห่วงโซ่อุปทานยิ่งยกระดับบานปลายออกไปอย่างมากมาย ขณะที่การเข้าถึงพวกวัตถุนี้ก็อยู่ในสภาพตึงตัวอยู่แล้วในโลกตะวันตก” เป็นคำกล่าวของ แจ๊ก เบดเดอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โปรเจ็คต์ บลู
    .
    ราคาของพลวงไตรออกไซด์ (antimony trioxide) ที่ตลาดรอตเตอร์ดัม อยู่ที่ 39,000 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน ณ วันที่ 28 พ.ย. เมื่อเปรียบเทียบกับตอนเริ่มต้นปีนี้ หมายความว่าราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 228% ทั้งนี้ตามตัวเลขของ อาร์กุส กิจการด้านข้อมูลข่าวสาร
    .
    “ทุกๆ คนจะต้องพยายามลองขุดหาแถวๆ สนามหญ้าหลังบ้านของตัวเอง เพื่อค้นดูว่ามีพลวงหรือไม่ ประเทศจำนวนมากจะต้องพยายามค้นหาสินแร่พลวงให้เจอ” เป็นคำพูดของเทรดเดอร์ด้านโลหะรายหนึ่ง ซึ่งขอให้สงวนนาม
    ..............
    Sondhi X
    ปักกิ่งสวนกลับทันควัน ประกาศจำกัดการส่งออกแร่ธาตุที่มีความสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์บางรายการให้อเมริกา หลังจากเมื่อวันจันทร์ (2) วอชิงตันออกมาตรการสกัดอุตสาหกรรมชิปจีนรอบ 3 ซึ่งจะมีการควบคุมการส่งออกไปยังบริษัทแดนมังกร 140 แห่ง . คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินหมากใหญ่กระดานสุดท้ายในวันจันทร์ เพื่อปิดกั้นจีนไม่ให้เข้าถึงและผลิตชิปที่จะช่วยส่งเสริมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดยอ้างว่าอาจถูกนำไปใช้งานทางทหารหรือคุกคามความมั่นคงของอเมริกา . คำสั่งใหม่คราวนี้ยังเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็เป็นที่คาดหมายกันว่า เขาจะยังคงสานต่อมาตรการแข็งกร้าวกับปักกิ่ง . สำหรับมาตรการรอบล่าสุดของสหรัฐฯ มุ่งครอบคลุมทั้งการจำกัดการจัดส่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปยังจีน ได้แก่ ชิปหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูงที่จำเป็นสำหรับการใช้งานระดับไฮเอนด์อย่างเช่นการฝึกเครื่องจักรเอไอ เครื่องจักรเครื่องมือผลิตชิปอีก 24 รายการ และเครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ 3 รายการ และการจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปที่ผลิตในประเทศ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย . จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์จีน แถลงว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายในการป้องกันไม่ให้จีนสามารถส่งเสริมระบบการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในแดนมังกร ซึ่งจะนำไปใช้สนับสนุนการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย . สำหรับบริษัทจีนที่จะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดรอบใหม่คราวนี้ ประกอบด้วยบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์เกือบ 24 แห่ง บริษัทด้านการลงทุน 2 แห่ง และพวกผู้ผลิตเครื่องจักรเครื่องมือผลิตชิปกว่า 100 แห่ง เช่น สเวย์ชัวร์ เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำงานร่วมกับหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ที่ถูกอเมริกาแซงก์ชันและขณะนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตและพัฒนาชิปขั้นสูงของจีน . บริษัทเหล่านี้จะถูกขึ้นบัญชีดำใน entity list หรือรายชื่อบริษัทที่รัฐบาลอเมริกามองว่า มีอันตรายต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งซัปพลายเออร์อเมริกันจะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งผลิตภัณฑ์ให้โดยไม่ได้รับใบอนุญาตพิเศษ . ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการล่าสุดคราวนี้ยังมีการขยายอำนาจของอเมริกาในการควบคุมการส่งออกเครื่องจักรอุปกรณ์ผลิตชิปของพวกผู้ผลิตอเมริกัน ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ ที่ทำการผลิตในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกและจัดส่งไปห้โรงงานชิปบางแห่งในจีน โดยการควบคุมเช่นนี้จะส่งผลต่อเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ผลิตในอิสราเอล มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ขณะที่อุปกรณ์ที่ผลิตในญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้รับการยกเว้น . มาตรการชุดใหม่นี้มีระเบียบจำกัดชิปความจำที่ใช้ในชิปเอไอซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี HBM 2 หรือสูงกว่า อันเป็นเทคโนโลยีที่ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และเอสเค ไฮนิกซ์ของเกาหลีใต้ และไมครอนของอเมริกาใช้อยู่ . สำหรับปฏิกิริยาตอบโต้จากฝ่ายจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า พฤติกรรมของอเมริกาบ่อนทำลายระเบียบการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และขัดขวางห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ก่อนสำทับว่า จีนจะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทท้องถิ่น . ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนโจมตีว่า มาตรการจำกัดของอเมริกาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “การข่มขู่ทางเศรษฐกิจ” และ “แนวทางปฏิบัติที่ไม่อิงกับตลาด” . จีนประกาศห้ามส่งออกแร่ใช้ทำเซมิคอนดักเตอร์ไปยังสหรัฐฯ . ต่อมาในวันอังคาร (3) กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศใช้มาตรการห้ามการส่งออกพวกสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับแร่ แกลเลียม เจอร์มาเนียม และพลวง (แอนติโมนี) ซึ่งมีศักยภาพที่อาจนำไปใช้ทางทหารได้ ไปยังสหรัฐฯ นอกจากนั้น ยังให้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดในเรื่องการส่งออกกราไฟต์ไปยังสหรัฐฯ อีกด้วย โดยต้องตรวจสอบผู้ใช้และการนำไปใช้อย่างถี่ถ้วน . คำชี้แนะว่าด้วยสิ่งของที่อาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งทหารและพลเรือนของกระทรวงพาณิชย์จีนฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในทันที ได้ให้เหตุผลของการออกระเบียบเช่นนี้ว่า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ . “โดยหลักการแล้ว การส่งออกแกลเลียม เจอร์มาเนียม พลวง และพวกวัสดุที่มีความแข็งเป็นพิเศษ (superhard materials) ไปยังสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ไม่ควรได้รับอนุมัติ” กระทรวงพาณิชย์จีนบอก . มาตรการใหม่เช่นนี้ เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่การบังคับใช้ระเบียบจำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญยิ่งยวดเหล่านี้ซึ่งปักกิ่งทยอยประกาศออกมาในปีที่แล้ว เพียงแต่มาตรการใหม่นี้ยังมีการระบุเจาะจงว่าใช้กับการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เท่านั้นอีกด้วย . ข้อมูลของศุลกากรจีนแสดงให้เห็นว่า ไม่มีการขนส่งเจอร์มาเนียม หรือแกลเลียม ทั้งแบบที่ขึ้นรูปแล้ว (wrought) และแบบที่ไม่ได้ขึ้นรูป (unwrought) ไปยังสหรัฐฯ เลยในปีนี้นับจนถึงเดือนตุลาคม ถึงแม้ในปีก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ คือตลาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 และอันดับ 5 ตามลำดับของแร่เหล่านี้ของจีน . แกลเลียม และเจอร์มาเนียม ใช้อยู่ในเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนั้นแล้ว เจอร์มาเนียม ยังใช้ในพวกเทคโนโลยีอินฟราเรด สายเคเบิลใยแก้วนำแสง และแผงโซลาร์เซลล์ . ทำนองเดียวกัน การส่งออกพวกผลิตภัณฑ์พลวงของจีนโดยรวมในเดือนตุลาคม ได้หล่นฮวบลงมาถึง 97% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน หลังจากมาตรการจำกัดการส่งออกของปักกิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ . ในปีที่แล้ว จีนเป็นผู้ผลิตพลวงที่ได้มาจากการทำเหมืองถึงประมาณ 48% ของที่ผลิตได้ทั่วโลก โดยที่พลวงถูกนำไปใช้ทั้งในพวกเครื่องกระสุน ขีปนาวุธอินฟราเรด อาวุธนิวเคลียร์ และกล้องสองตาให้มองกลางคืน ตลอดจนในแบตเตอรี่ และอุปกรณ์โฟโตโวลตาอิก . “ความเคลื่อนไหวคราวนี้ถือว่าเป็นการทำให้ความตึงเครียดในห่วงโซ่อุปทานยิ่งยกระดับบานปลายออกไปอย่างมากมาย ขณะที่การเข้าถึงพวกวัตถุนี้ก็อยู่ในสภาพตึงตัวอยู่แล้วในโลกตะวันตก” เป็นคำกล่าวของ แจ๊ก เบดเดอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โปรเจ็คต์ บลู . ราคาของพลวงไตรออกไซด์ (antimony trioxide) ที่ตลาดรอตเตอร์ดัม อยู่ที่ 39,000 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน ณ วันที่ 28 พ.ย. เมื่อเปรียบเทียบกับตอนเริ่มต้นปีนี้ หมายความว่าราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 228% ทั้งนี้ตามตัวเลขของ อาร์กุส กิจการด้านข้อมูลข่าวสาร . “ทุกๆ คนจะต้องพยายามลองขุดหาแถวๆ สนามหญ้าหลังบ้านของตัวเอง เพื่อค้นดูว่ามีพลวงหรือไม่ ประเทศจำนวนมากจะต้องพยายามค้นหาสินแร่พลวงให้เจอ” เป็นคำพูดของเทรดเดอร์ด้านโลหะรายหนึ่ง ซึ่งขอให้สงวนนาม .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 745 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.97 : “ไต้หวัน” ทำยังไง? เปลี่ยน “เกษตรกรรม” สู่ “อุตสาหกรรมไฮเทค”
    .
    ทุกวันนี้ ไต้หวันได้เปลี่ยนเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทค โดยเฉพาะการผลิตไมโครชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงเครื่องบิน
    .
    ปัจจุบัน ไต้หวันผลิตชิปมากกว่าครึ่งนึงของทั้งหมดในโลกที่เราใช้กัน บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุด คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงที่สุดอันดับ 9 ของโลก จนถูกขนานนามว่าเป็น “ผู้คุ้มครองเกาะไต้หวัน” เพราะว่าถ้าหากไต้หวันเผชิญกับสงคราม จนส่งผลกระทบกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมทั่วทั้งโลกก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะพาไปชมตัวอย่างจากไต้หวัน ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างอุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อมองว่าประเทศไทยจะต้องทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน ?
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=329LVL2D6T4
    บูรพาไม่แพ้ Ep.97 : “ไต้หวัน” ทำยังไง? เปลี่ยน “เกษตรกรรม” สู่ “อุตสาหกรรมไฮเทค” . ทุกวันนี้ ไต้หวันได้เปลี่ยนเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทค โดยเฉพาะการผลิตไมโครชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงเครื่องบิน . ปัจจุบัน ไต้หวันผลิตชิปมากกว่าครึ่งนึงของทั้งหมดในโลกที่เราใช้กัน บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุด คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงที่สุดอันดับ 9 ของโลก จนถูกขนานนามว่าเป็น “ผู้คุ้มครองเกาะไต้หวัน” เพราะว่าถ้าหากไต้หวันเผชิญกับสงคราม จนส่งผลกระทบกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมทั่วทั้งโลกก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะพาไปชมตัวอย่างจากไต้หวัน ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างอุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อมองว่าประเทศไทยจะต้องทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน ? . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=329LVL2D6T4
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ คุมเข้มการลงทุนในจีน ห้ามลงทุน AI-เซมิคอนดักเตอร์-คอมพิวเตอร์ควอนตัม หวั่นถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหารและไซเบอร์ ครอบคลุมถึงการช่วยเหลือด้านการจัดการและบุคลากร ด้านจีนโต้กลับทันที ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว

    31 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวIMCT News Thai Perspective ระบุว่า สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีนทวีความเข้มข้น เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการขั้นสุดท้ายจำกัดการลงทุนในภาคเทคโนโลยีสำคัญของจีน ซึ่งอาจมีการใช้เร็วๆ นี้

    โดยห้ามพลเมืองสหรัฐฯ ผู้พำนักถาวร และบริษัทสัญชาติอเมริกัน ลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัม พร้อมกำหนดให้นักลงทุนต้องรายงานการลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง มาตรการนี้ครอบคลุมถึงผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ อาทิ การช่วยเหลือด้านการจัดการ การเข้าถึงเครือข่ายการลงทุน และการใช้บุคลากรที่มีความสามารถ

    สืบเนื่องจากคำสั่งปีที่แล้วของประธานาธิบดีไบเดนที่วิตกว่าการลงทุนของสหรัฐฯ อาจถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหาร การข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศคู่แข่ง ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง กล่าวหาสหรัฐฯ พยายามต่อต้านโลกาภิวัตน์และกีดกันจีน พร้อมยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว

    ที่มา : imctnews
    https://www.facebook.com/share/p/15RRz3U8X9/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    สหรัฐฯ คุมเข้มการลงทุนในจีน ห้ามลงทุน AI-เซมิคอนดักเตอร์-คอมพิวเตอร์ควอนตัม หวั่นถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหารและไซเบอร์ ครอบคลุมถึงการช่วยเหลือด้านการจัดการและบุคลากร ด้านจีนโต้กลับทันที ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว 31 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวIMCT News Thai Perspective ระบุว่า สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีนทวีความเข้มข้น เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการขั้นสุดท้ายจำกัดการลงทุนในภาคเทคโนโลยีสำคัญของจีน ซึ่งอาจมีการใช้เร็วๆ นี้ โดยห้ามพลเมืองสหรัฐฯ ผู้พำนักถาวร และบริษัทสัญชาติอเมริกัน ลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัม พร้อมกำหนดให้นักลงทุนต้องรายงานการลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง มาตรการนี้ครอบคลุมถึงผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ อาทิ การช่วยเหลือด้านการจัดการ การเข้าถึงเครือข่ายการลงทุน และการใช้บุคลากรที่มีความสามารถ สืบเนื่องจากคำสั่งปีที่แล้วของประธานาธิบดีไบเดนที่วิตกว่าการลงทุนของสหรัฐฯ อาจถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหาร การข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศคู่แข่ง ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง กล่าวหาสหรัฐฯ พยายามต่อต้านโลกาภิวัตน์และกีดกันจีน พร้อมยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว ที่มา : imctnews https://www.facebook.com/share/p/15RRz3U8X9/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
    ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ
    อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย

    นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก
    เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน
    คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
    ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ
    ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม
    ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท
    และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา

    SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก
    จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย
    ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
    ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก
    ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน

    ปัจจัยภายในประเทศ :

    1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก :
    ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ
    ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
    เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด
    ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต
    กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD)
    ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี
    เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD
    ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ
    และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์
    และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย
    จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า
    การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก
    ไทยทั้งหมดในปี 2566

    2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า :
    ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก
    ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า
    ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย
    ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ
    ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้
    อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก
    ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์
    สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก)

    ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก
    ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23%
    ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
    ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38%
    เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า
    ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
    มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้
    ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง
    และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า
    แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
    ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน

    3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง :
    การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ
    ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น
    ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน
    ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย
    สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
    และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้

    จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก
    ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์
    สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้?

    SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน
    จากต่างชาติที่ลดลง :

    1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ
    22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม
    เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ
    ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า
    และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ
    เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า
    เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

    2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง :
    FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย
    เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก
    รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง
    ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ
    อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3,
    และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank)

    สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก

    (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย
    ยังมีมากที่สุดในอาเซียน

    (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
    กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
    เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป
    และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น

    (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง

    (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง
    นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน
    วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง
    และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ

    (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน
    ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง
    และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า

    ปัจจัยภายนอก :

    การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ

    ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ
    ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
    กับสินค้าจีน

    2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี
    สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม

    3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว
    ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ
    ต่อการค้าโลก

    4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง
    สำคัญทั่วโลก

    (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย
    และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์


    ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย
    อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน
    ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้
    ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ
    ที่เปราะบาง

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว
    หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน
    โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน
    ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น
    และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว
    เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ
    ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย
    แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย
    ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง
    การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ

    การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า
    ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์
    ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง
    แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า
    ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า
    ไปคันแล้วคันเล่า

    ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน ปัจจัยภายในประเทศ : 1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก : ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก ไทยทั้งหมดในปี 2566 2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า : ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก) ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23% ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38% เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้ ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน 3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง : การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้ จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์ สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้? SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน จากต่างชาติที่ลดลง : 1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ 22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง : FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3, และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย ยังมีมากที่สุดในอาเซียน (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า ปัจจัยภายนอก : การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา กับสินค้าจีน 2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ ต่อการค้าโลก 4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สำคัญทั่วโลก (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้ ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ ที่เปราะบาง อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์ ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า ไปคันแล้วคันเล่า ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 685 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ในเลบานอนขณะนี้:

    นอกจากส่งอาวุธให้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์แล้ว รัฐบาลอเมริกายังเป็นคนให้ข้อมูลด้านข่าวกรองแก่รัฐบาลอิสราเอลเพื่อเป็นเป้าในการตอบโต้ศัตรูซึ่งรัฐบาลอิสราเอลสร้างเอาไว้รอบทิศอีกด้วย

    ล่าสุดนี้ รัฐบาลอิสราเอลได้แฮ็คเพจเจอร์ที่ใช้ในเลบานอนและทำให้เกิดระเบิดขึ้น มีคนบาดเจ็บ ๒,๗๕๐ คนและเสียชีวิต ๘ คน ส่วนใหญ่ คนที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นชาวบ้านทั่วไป ข้อมูลสำคัญคือ

    ๑.ก่อนหน้าจะระเบิดขึ้น มีคนจำนวนมากเห็นเครื่องบิน EC-130H Compass Call ซึ่งมีหน้าที่ทำสงครามอีเล็กทรอนิกส์ของอเมริกาบินหาข่าวที่อ่าวเลบานอน

    ๒.เพจเจอร์ที่ระเบิดนั้นผลิตขึ้นที่ไต้หวัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน มีเจ้าของคือสหรัฐอเมริกา

    หลังจากเพจเจอร์ระเบิดขึ้นมา โฆษกจักรวรรดิ์นิยมอเมริการีบออกมาแก้ข่าวว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการระเบิดในครั้งนี้


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ในเลบานอนขณะนี้: นอกจากส่งอาวุธให้อิสราเอลฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์แล้ว รัฐบาลอเมริกายังเป็นคนให้ข้อมูลด้านข่าวกรองแก่รัฐบาลอิสราเอลเพื่อเป็นเป้าในการตอบโต้ศัตรูซึ่งรัฐบาลอิสราเอลสร้างเอาไว้รอบทิศอีกด้วย ล่าสุดนี้ รัฐบาลอิสราเอลได้แฮ็คเพจเจอร์ที่ใช้ในเลบานอนและทำให้เกิดระเบิดขึ้น มีคนบาดเจ็บ ๒,๗๕๐ คนและเสียชีวิต ๘ คน ส่วนใหญ่ คนที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นชาวบ้านทั่วไป ข้อมูลสำคัญคือ ๑.ก่อนหน้าจะระเบิดขึ้น มีคนจำนวนมากเห็นเครื่องบิน EC-130H Compass Call ซึ่งมีหน้าที่ทำสงครามอีเล็กทรอนิกส์ของอเมริกาบินหาข่าวที่อ่าวเลบานอน ๒.เพจเจอร์ที่ระเบิดนั้นผลิตขึ้นที่ไต้หวัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน มีเจ้าของคือสหรัฐอเมริกา หลังจากเพจเจอร์ระเบิดขึ้นมา โฆษกจักรวรรดิ์นิยมอเมริการีบออกมาแก้ข่าวว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการระเบิดในครั้งนี้ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกมจบแล้วสำหรับสหรัฐอเมริกา!

    ตอนนี้จีนมีเครื่องพิมพ์หิน DUV ของตัวเอง; และมีการยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับ EUV แล้ว

    ตอนนี้, มีเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นที่สามารถผลิต EUV ได้ นั่นก็คือ — บริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์

    ในไม่ช้านี้, จีนจะผลิตชิปทุกตัวที่สหรัฐอเมริกาผลิตได้

    Nvidia, Apple, Qualcomm… ข้อได้เปรียบด้านชิปทั้งหมดของพวกเขาจะหายไป รวมถึงราคาหุ้นของพวกเขาด้วย!
    .
    น่าตกใจทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

    🤣นโยบายควบคุมจีนของอเมริกาล้มเหลวอย่างยับเยิน🤣

    ในปี ๒๐๑๙, ทรัมป์ป้องกันไม่ให้ ASML ขายเครื่อง EUV ให้กับจีน

    ตั้งแต่นั้นมา, บริษัทผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ของจีนทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
    .
    ตอนนี้, จีนจะทำกับชิปแบบเดียวกับที่ทำกับสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้า

    📌เป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลก, แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับสหรัฐฯ📌
    .
    It’s game over for USA!

    China now has its own DUV lithography machines; and a patent has been filed for EUV.

    Right now, there’s only ONE company that can make EUV — Dutch firm ASML.

    Soon, China will make every chip that the US can.

    Nvidia, Apple, Qualcomm… all their chip advantages will vanish. Also with their share prices!
    .
    Economic and geopolitical shocker.

    America’s China containment policy failed miserably.

    In 2019, Trump prevented ASML from selling an EUV machine to China.

    Since then, all the Chinese semiconductor chip firms have been under US sanctions.
    .
    Now, China will do to chips what it did to smartphones and EV.

    It’s good for the world, but terrible news for the US.
    .
    Source: Chinese chip making shows progress with new EUV patent from domestic lithography champion

    The patent from Shanghai Micro Electronics Equipment is still under review, but producing EUV tools in China would break a monopoly held by ASML

    https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3278235/chinese-chip-making-shows-progress-new-euv-patent-domestic-lithography-champion
    .
    4:03 AM · Sep 17, 2024 · 380.3K Views
    https://x.com/Kanthan2030/status/1835786533921788137
    เกมจบแล้วสำหรับสหรัฐอเมริกา! ตอนนี้จีนมีเครื่องพิมพ์หิน DUV ของตัวเอง; และมีการยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับ EUV แล้ว ตอนนี้, มีเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นที่สามารถผลิต EUV ได้ นั่นก็คือ — บริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ ในไม่ช้านี้, จีนจะผลิตชิปทุกตัวที่สหรัฐอเมริกาผลิตได้ Nvidia, Apple, Qualcomm… ข้อได้เปรียบด้านชิปทั้งหมดของพวกเขาจะหายไป รวมถึงราคาหุ้นของพวกเขาด้วย! . น่าตกใจทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ 🤣นโยบายควบคุมจีนของอเมริกาล้มเหลวอย่างยับเยิน🤣 ในปี ๒๐๑๙, ทรัมป์ป้องกันไม่ให้ ASML ขายเครื่อง EUV ให้กับจีน ตั้งแต่นั้นมา, บริษัทผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ของจีนทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ . ตอนนี้, จีนจะทำกับชิปแบบเดียวกับที่ทำกับสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้า 📌เป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลก, แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับสหรัฐฯ📌 . It’s game over for USA! China now has its own DUV lithography machines; and a patent has been filed for EUV. Right now, there’s only ONE company that can make EUV — Dutch firm ASML. Soon, China will make every chip that the US can. Nvidia, Apple, Qualcomm… all their chip advantages will vanish. Also with their share prices! . Economic and geopolitical shocker. America’s China containment policy failed miserably. In 2019, Trump prevented ASML from selling an EUV machine to China. Since then, all the Chinese semiconductor chip firms have been under US sanctions. . Now, China will do to chips what it did to smartphones and EV. It’s good for the world, but terrible news for the US. . Source: Chinese chip making shows progress with new EUV patent from domestic lithography champion The patent from Shanghai Micro Electronics Equipment is still under review, but producing EUV tools in China would break a monopoly held by ASML https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3278235/chinese-chip-making-shows-progress-new-euv-patent-domestic-lithography-champion . 4:03 AM · Sep 17, 2024 · 380.3K Views https://x.com/Kanthan2030/status/1835786533921788137
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจเจอร์ที่ระเบิดในเลบานอนผลิตในไต้หวัน

    🤣อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันทั้งหมดเป็นของสหรัฐฯ🤣
    .
    ⚡️BREAKING

    The pagers that exploded in Lebanon were manufactured in Taiwan

    The entire Taiwanese semiconductor industry is owned by the United States
    .
    2:04 AM · Sep 18, 2024 · 443.6K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1836119104643616810
    เพจเจอร์ที่ระเบิดในเลบานอนผลิตในไต้หวัน 🤣อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันทั้งหมดเป็นของสหรัฐฯ🤣 . ⚡️BREAKING The pagers that exploded in Lebanon were manufactured in Taiwan The entire Taiwanese semiconductor industry is owned by the United States . 2:04 AM · Sep 18, 2024 · 443.6K Views https://x.com/IranObserver0/status/1836119104643616810
    Like
    Wow
    2
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1367 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย เดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Forum-EEF) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 3-6 ก.ย.67 ณ เมืองวลาดิวอสตอก โดยมีกำหนดการปราศรัยต่อที่ประชุม และหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือด้านการค้า การลงทุน การศึกษา เกษตร ความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอวกาศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ย้ำถึงความสนใจของมาเลเซียในการเข้าร่วมองค์กร BRICS และคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ในบริบทอาเซียน-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อปี 2565

    นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่รับปากว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์และนำพาการพัฒนามาสู่ภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่ามี “ศักยภาพมหาศาล” จากการมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน นอกรอบการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ของรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งอันวาร์ เยือนมอสโกว์เป็นเวลา 2 วัน

    อันวาร์กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์ต่อมาเลเซียหากรัสเซียตกลงที่จะ “ร่วมมือกันในทุกด้าน” และแบ่งปันผลสัมฤทธิ์ให้กับมาเลเซีย โดยทั้งสองประเทศกำลังเจรจาหารือถึงความร่วมมือ ตั้งแต่ด้านการบิน อวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเกษตรกรรม และความมั่นคงด้านอาหาร

    อันวาร์กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความข้องเกี่ยวกับรัสเซียเสมอมา และมี “การค้าเสรี” ที่มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณ (ปูติน) และทีมของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเห็นด้วยนะท่านประธานาธิบดี ศักยภาพมหาศาลจริง ๆ” ผู้นำมาเลย์กล่าว

    การประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจที่รัสเซียผลักดันอย่างต่อเนื่องตามนโยบายหันหาตะวันออก (Look East) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเจรจาส่วนมาก ได้แก่ เหมืองแร่ พลังงาน และปุ๋ย ที่ผ่านมามีประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียดำเนินตามรอยผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ ในการพบปะกับปูติน โดยไม่สะทกสะท้านต่อการประณามและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามจากฝ่ายตะวันตกที่มีต่อผู้นำรัสเซีย อันวาร์กล่าวว่า การตัดสินใจเยือนรัสเซีย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ก็เป็น “การตัดสินใจที่ถูกต้อง”

    โดยตอนหนึ่งของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวเกี่ยวกับสงครามฉนวนกาซาในงานนี้ที่รัสเซียว่า"เหตุการณ์นี้ไม่ได้เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมและขบวนการนัคบาในปี 1948... เหตุการณ์นี้ไม่ได้หยุดลงเพราะความดื้อรั้นของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ... ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ทาส"

    นอกจากนี้นายกฯอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากปูตินให้มาเลเซียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซานในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการเข้าร่วมกลุ่มของมาเลเซีย

    ที่มา : https://www.youtube.com/live/uAkJtZgyY-E?si=cOMnw5ebIsD8LAcL
    นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย เดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Forum-EEF) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 3-6 ก.ย.67 ณ เมืองวลาดิวอสตอก โดยมีกำหนดการปราศรัยต่อที่ประชุม และหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือด้านการค้า การลงทุน การศึกษา เกษตร ความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอวกาศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ย้ำถึงความสนใจของมาเลเซียในการเข้าร่วมองค์กร BRICS และคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ในบริบทอาเซียน-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อปี 2565 นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่รับปากว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์และนำพาการพัฒนามาสู่ภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่ามี “ศักยภาพมหาศาล” จากการมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน นอกรอบการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ของรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งอันวาร์ เยือนมอสโกว์เป็นเวลา 2 วัน อันวาร์กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์ต่อมาเลเซียหากรัสเซียตกลงที่จะ “ร่วมมือกันในทุกด้าน” และแบ่งปันผลสัมฤทธิ์ให้กับมาเลเซีย โดยทั้งสองประเทศกำลังเจรจาหารือถึงความร่วมมือ ตั้งแต่ด้านการบิน อวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเกษตรกรรม และความมั่นคงด้านอาหาร อันวาร์กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความข้องเกี่ยวกับรัสเซียเสมอมา และมี “การค้าเสรี” ที่มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณ (ปูติน) และทีมของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเห็นด้วยนะท่านประธานาธิบดี ศักยภาพมหาศาลจริง ๆ” ผู้นำมาเลย์กล่าว การประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจที่รัสเซียผลักดันอย่างต่อเนื่องตามนโยบายหันหาตะวันออก (Look East) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเจรจาส่วนมาก ได้แก่ เหมืองแร่ พลังงาน และปุ๋ย ที่ผ่านมามีประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียดำเนินตามรอยผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ ในการพบปะกับปูติน โดยไม่สะทกสะท้านต่อการประณามและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามจากฝ่ายตะวันตกที่มีต่อผู้นำรัสเซีย อันวาร์กล่าวว่า การตัดสินใจเยือนรัสเซีย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ก็เป็น “การตัดสินใจที่ถูกต้อง” โดยตอนหนึ่งของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวเกี่ยวกับสงครามฉนวนกาซาในงานนี้ที่รัสเซียว่า"เหตุการณ์นี้ไม่ได้เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมและขบวนการนัคบาในปี 1948... เหตุการณ์นี้ไม่ได้หยุดลงเพราะความดื้อรั้นของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ... ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ทาส" นอกจากนี้นายกฯอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากปูตินให้มาเลเซียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซานในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการเข้าร่วมกลุ่มของมาเลเซีย ที่มา : https://www.youtube.com/live/uAkJtZgyY-E?si=cOMnw5ebIsD8LAcL
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 755 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจำกัดการส่งออก ‘แร่พลวง’
    วัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
    ตอบโต้สหรัฐฯซึ่งห้ามส่งออก‘ชิป’ให้จีน
    .
    จีนคือประเทศที่จัดหาจัดส่งและดำเนินการผลิตพลวง (Antimony) รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยที่ธาตุที่มีหมายเลขอะตอม 51 และสัญลักษณ์คือ Sb (มาจากคำในภาษาลาตินว่า Stibium) นี้ถูกใช้ในการผลิตพวกขีปนาวุธอินฟราเรด, อาวุธนิวเคลียร์, และกล่องส่องกลางคืน, กระทั่งเซมิคอนดักเตอร์เจนเนอเรชั่นหน้า เวลานี้ปักกิ่งกำลังพยายามอาศัยฐานะครอบงำเหนือพลวง มาเป็นมาตรการอีกอย่างหนึ่งเพื่อตอบโต้เอาคืนการบีบคั้นของวอชิงตันที่มุ่งจำกัดกีดกั้นไม่ให้มีการจัดส่ง “ชิป” มายังประเทศจีน
    .
    ประเทศจีนกำลังจะควบคุมการส่งออกพลวง ด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ นี่คือมาตรการล่าสุดจากแรงขับดันของปักกิ่งที่มุ่งจำกัดการส่งออกพวกสินค้าโลหะทางยุทธศาสตร์ ท่ามกลางสงครามการค้ากับฝ่ายตะวันตกที่กำลังขยายตัวบานปลายออกไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ มาตรการแบบนักกีดกันการค้าเช่นนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนเป็นต้นไป
    .
    นอกจากในอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว พลวงยังถูกใช้ในยุทโปกรณ์ทางการทหาร อย่างเช่น พวกขีปนาวุธอินฟราเรด, อาวุธนิวเคลียร์, และกล้องมองกลางคืน ตลอดจนเป็นสารทำให้พวกลูกปืนและรถถังมีความแข็งมากขึ้น
    .
    กระทรวงพาณิชย์ของจีน และสำนักงานบริหารทั่วไปด้านศุลกากรของจีน (General Administration of Customs) กล่าวในคำแถลง ที่ออกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม ว่า บริษัททั้งหลายจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลก่อนจึงจะสามารถส่งออก สินแร่พลวง, ออกไซด์และไฮไดรด์ของพลวง, สารประกอบ อินเดียม แอนติโมไนด์ (indium antimonides สารประกอบทำจากอินเดียมกับพลวง) สารประกอบ ออร์แกโน-แอนติโมนี, ตลอดจนเทคโนโลยีในการแยกทองคำ-พลวง
    .
    ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (US Geological Survey) จีนมีสินแร่สำรองพลวงอยู่ 640,000 ตัน คิดเป็นประมาณ 30% ของสินแร่ทั้งหมดที่มีอยูในโลก ติดตามมาด้วยรัสเซียที่มี 350,000 ตัน (16%), และโบลิเวีย 310,000 ตัน (14%) ในด้านของการผลิตและจัดส่ง ในปี 2566 จีนเป็นผู้ซัปพลายพลวงประมาณ 48% ของโลก ติดตามมาด้วยทาจิกิสถานที่ 25% และตุรกีที่ 7%
    .
    ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 จีนได้ประกาศใช้ระเบียบจำกัดควบคุมการส่งออกแร่แกลเลียม และแร่เจอร์มาเนียม แกลเลียมนั้นใช้ในการทำเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความซับซ้อน โดยบ่อยครั้งมักใช้เพื่อปรับปรุงยกระดับอัตราความเร็วและประสิทธิผลการรับส่งข้อมูลในระบบเรดาร์ ขณะที่เจอร์มาเนียมถูกใช้ในการผลิตกล้องส่องกลางคืน และในแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งเป็นตัวให้พลังของดาวเทียม
    .
    ทั้งนี้ จีนเป็นผู้ควบคุม ซัปพลายแกลเลียมประมาณ 80% ของโลก และเจอร์มาเนียมราว 60% ของโลก ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมยุโรปแห่งพันธมิตรวัตถุดิบสำคัญยิ่งยวด (European industry association Critical Raw Materials Alliance หรือ CRMA)
    .
    ย่อและเรียบเรียงจาก >> https://mgronline.com/around/detail/9670000077283
    .
    ภาพประกอบจาก https://www.britannica.com/science/stibnite
    จีนจำกัดการส่งออก ‘แร่พลวง’ วัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ ตอบโต้สหรัฐฯซึ่งห้ามส่งออก‘ชิป’ให้จีน . จีนคือประเทศที่จัดหาจัดส่งและดำเนินการผลิตพลวง (Antimony) รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยที่ธาตุที่มีหมายเลขอะตอม 51 และสัญลักษณ์คือ Sb (มาจากคำในภาษาลาตินว่า Stibium) นี้ถูกใช้ในการผลิตพวกขีปนาวุธอินฟราเรด, อาวุธนิวเคลียร์, และกล่องส่องกลางคืน, กระทั่งเซมิคอนดักเตอร์เจนเนอเรชั่นหน้า เวลานี้ปักกิ่งกำลังพยายามอาศัยฐานะครอบงำเหนือพลวง มาเป็นมาตรการอีกอย่างหนึ่งเพื่อตอบโต้เอาคืนการบีบคั้นของวอชิงตันที่มุ่งจำกัดกีดกั้นไม่ให้มีการจัดส่ง “ชิป” มายังประเทศจีน . ประเทศจีนกำลังจะควบคุมการส่งออกพลวง ด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ นี่คือมาตรการล่าสุดจากแรงขับดันของปักกิ่งที่มุ่งจำกัดการส่งออกพวกสินค้าโลหะทางยุทธศาสตร์ ท่ามกลางสงครามการค้ากับฝ่ายตะวันตกที่กำลังขยายตัวบานปลายออกไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ มาตรการแบบนักกีดกันการค้าเช่นนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนเป็นต้นไป . นอกจากในอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว พลวงยังถูกใช้ในยุทโปกรณ์ทางการทหาร อย่างเช่น พวกขีปนาวุธอินฟราเรด, อาวุธนิวเคลียร์, และกล้องมองกลางคืน ตลอดจนเป็นสารทำให้พวกลูกปืนและรถถังมีความแข็งมากขึ้น . กระทรวงพาณิชย์ของจีน และสำนักงานบริหารทั่วไปด้านศุลกากรของจีน (General Administration of Customs) กล่าวในคำแถลง ที่ออกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม ว่า บริษัททั้งหลายจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลก่อนจึงจะสามารถส่งออก สินแร่พลวง, ออกไซด์และไฮไดรด์ของพลวง, สารประกอบ อินเดียม แอนติโมไนด์ (indium antimonides สารประกอบทำจากอินเดียมกับพลวง) สารประกอบ ออร์แกโน-แอนติโมนี, ตลอดจนเทคโนโลยีในการแยกทองคำ-พลวง . ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (US Geological Survey) จีนมีสินแร่สำรองพลวงอยู่ 640,000 ตัน คิดเป็นประมาณ 30% ของสินแร่ทั้งหมดที่มีอยูในโลก ติดตามมาด้วยรัสเซียที่มี 350,000 ตัน (16%), และโบลิเวีย 310,000 ตัน (14%) ในด้านของการผลิตและจัดส่ง ในปี 2566 จีนเป็นผู้ซัปพลายพลวงประมาณ 48% ของโลก ติดตามมาด้วยทาจิกิสถานที่ 25% และตุรกีที่ 7% . ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 จีนได้ประกาศใช้ระเบียบจำกัดควบคุมการส่งออกแร่แกลเลียม และแร่เจอร์มาเนียม แกลเลียมนั้นใช้ในการทำเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความซับซ้อน โดยบ่อยครั้งมักใช้เพื่อปรับปรุงยกระดับอัตราความเร็วและประสิทธิผลการรับส่งข้อมูลในระบบเรดาร์ ขณะที่เจอร์มาเนียมถูกใช้ในการผลิตกล้องส่องกลางคืน และในแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งเป็นตัวให้พลังของดาวเทียม . ทั้งนี้ จีนเป็นผู้ควบคุม ซัปพลายแกลเลียมประมาณ 80% ของโลก และเจอร์มาเนียมราว 60% ของโลก ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรมยุโรปแห่งพันธมิตรวัตถุดิบสำคัญยิ่งยวด (European industry association Critical Raw Materials Alliance หรือ CRMA) . ย่อและเรียบเรียงจาก >> https://mgronline.com/around/detail/9670000077283 . ภาพประกอบจาก https://www.britannica.com/science/stibnite
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 รีวิว