• วันนี้เรามาคุยกันเรื่องลวดลายเหนือหว่างคิ้วหรือที่เรียกกันว่า “ฮวาเตี้ยน” (花钿)
    ความมีอยู่ว่า
    ... ฝูหรงรักสวยรักงาม จะทนให้คนชี้นิ้วซุบซิบเรื่องรอยแผลเป็นขนาดเม็ดงาบนหน้าผากนางได้อย่างไร? ยังดีที่ตำแหน่งนี้เหมาะเจาะ นางติดลายฮวาเตี้ยนทุกวันไว้กลบรอยแผล ลวดลายของฮวาเตี้ยนน้อยใหญ่ บ้างลายจุด บ้างลายกลีบบุปผา เปลี่ยนไปทุกวัน เสริมความงดงามของนางยิ่งขึ้นไปอีก ...

    - จากเรื่อง <เส้นทางของฮองเฮาคนโปรด> ผู้แต่ง เซี่ยวเจียเหริน
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <กรุ่นรักกลิ่นบุปผา> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ฮวาเตี้ยนเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้แต่งหน้าสตรีในสมัยราชวงศ์ถัง ตำนานและที่มาของฮวาเตี้ยนมีคนเคยเขียนถึงมากแล้ว Storyฯ จะไม่พูดถึง แต่ที่วันนี้จะมาคุยกันเรื่องฮวาเตี้ยน เพราะเชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนคงจะคิดเหมือน Storyฯ ว่ามันคือการทาสีแต้มชาด แต่พอไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงรู้ว่า ไม่ใช่ค่ะ

    จริงๆ แล้วฮวาเตี้ยนเป็นการ “แปะ” ไม่ใช่ “วาด” วัสดุที่ใช้แปะนั้นแรกเริ่มเลยคือกระดาษสีและทองคำเปลวที่ตัดเป็นลวดลาย ต่อมามีการใช้วัสดุอื่น เช่นไข่มุกและเปลือกหอย และยังมีวัสดุอื่นที่ทำเอา Storyฯ ถึงกับทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ เพราะมีกระดูกแก้มปลา เกล็ดปลา ขนนก ปีกแมลงปอ ฯลฯ ย้อมสีอีกด้วย

    แล้วใช้อะไรแปะ? เขาใช้กาวที่ทำมาจากกระเพาะปลาเรียกว่า “เฮ้อเจี่ยว” (呵胶) เวลาจะใช้ให้อังลมปาก (เป็นที่มาของคำว่า “เฮ้อ”) หรือแตะน้ำหรือน้ำลายเล็กน้อย ก็สามารถแปะติดได้ทนทานหลายวัน เวลาจะเอาออกก็ใช้น้ำอุ่นร้อนทาให้ชุ่มก็เอาออกได้ สมัยโบราณมีการใช้กาวชนิดนี้เชื่อมติดขนนกในการทำลูกธนูด้วย

    กระแสนิยมฮวาเตี้ยนเริ่มจางลงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ใช้กันเฉพาะในวังหลัง และใช้วัสดุมีค่าเช่นไข่มุก ตามภาพ) พอมาถึงยุคสมัยราชวงศ์หมิงจะมีการใช้ฮวาเตี้ยนเฉพาะในงานทางการและลวดลายเบาบางลง และไม่มีใช้ฮวาเตี้ยนอีกเลยเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ชิง

    Storyฯ พยายามหาว่าตกลงมีการใช้วาดหรือแต้มสีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นมีข้อมูลบ่งบอกว่ามี เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://waynesan.com/ruyi-pavilion/
    http://www.cunman.com/new/decad6397de34fe9b1cdca62cb53623e
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://culture.gansudaily.com.cn/system/2020/09/01/030144072.shtml
    http://www.guoxue.com/?p=11516
    https://zhidao.baidu.com/question/558092075.html
    https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%8A%B1%E9%88%BF%E5%A6%9D

    #กรุ่นรักกลิ่นบุปผา #วังเดียวดาย #ประเพณีจีนโบราณ #ฮวาเตี้ยน #StoryfromStory
    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องลวดลายเหนือหว่างคิ้วหรือที่เรียกกันว่า “ฮวาเตี้ยน” (花钿) ความมีอยู่ว่า ... ฝูหรงรักสวยรักงาม จะทนให้คนชี้นิ้วซุบซิบเรื่องรอยแผลเป็นขนาดเม็ดงาบนหน้าผากนางได้อย่างไร? ยังดีที่ตำแหน่งนี้เหมาะเจาะ นางติดลายฮวาเตี้ยนทุกวันไว้กลบรอยแผล ลวดลายของฮวาเตี้ยนน้อยใหญ่ บ้างลายจุด บ้างลายกลีบบุปผา เปลี่ยนไปทุกวัน เสริมความงดงามของนางยิ่งขึ้นไปอีก ... - จากเรื่อง <เส้นทางของฮองเฮาคนโปรด> ผู้แต่ง เซี่ยวเจียเหริน (หมายเหตุ ละครเรื่อง <กรุ่นรักกลิ่นบุปผา> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ฮวาเตี้ยนเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้แต่งหน้าสตรีในสมัยราชวงศ์ถัง ตำนานและที่มาของฮวาเตี้ยนมีคนเคยเขียนถึงมากแล้ว Storyฯ จะไม่พูดถึง แต่ที่วันนี้จะมาคุยกันเรื่องฮวาเตี้ยน เพราะเชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนคงจะคิดเหมือน Storyฯ ว่ามันคือการทาสีแต้มชาด แต่พอไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงรู้ว่า ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วฮวาเตี้ยนเป็นการ “แปะ” ไม่ใช่ “วาด” วัสดุที่ใช้แปะนั้นแรกเริ่มเลยคือกระดาษสีและทองคำเปลวที่ตัดเป็นลวดลาย ต่อมามีการใช้วัสดุอื่น เช่นไข่มุกและเปลือกหอย และยังมีวัสดุอื่นที่ทำเอา Storyฯ ถึงกับทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ เพราะมีกระดูกแก้มปลา เกล็ดปลา ขนนก ปีกแมลงปอ ฯลฯ ย้อมสีอีกด้วย แล้วใช้อะไรแปะ? เขาใช้กาวที่ทำมาจากกระเพาะปลาเรียกว่า “เฮ้อเจี่ยว” (呵胶) เวลาจะใช้ให้อังลมปาก (เป็นที่มาของคำว่า “เฮ้อ”) หรือแตะน้ำหรือน้ำลายเล็กน้อย ก็สามารถแปะติดได้ทนทานหลายวัน เวลาจะเอาออกก็ใช้น้ำอุ่นร้อนทาให้ชุ่มก็เอาออกได้ สมัยโบราณมีการใช้กาวชนิดนี้เชื่อมติดขนนกในการทำลูกธนูด้วย กระแสนิยมฮวาเตี้ยนเริ่มจางลงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ใช้กันเฉพาะในวังหลัง และใช้วัสดุมีค่าเช่นไข่มุก ตามภาพ) พอมาถึงยุคสมัยราชวงศ์หมิงจะมีการใช้ฮวาเตี้ยนเฉพาะในงานทางการและลวดลายเบาบางลง และไม่มีใช้ฮวาเตี้ยนอีกเลยเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ชิง Storyฯ พยายามหาว่าตกลงมีการใช้วาดหรือแต้มสีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นมีข้อมูลบ่งบอกว่ามี เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://waynesan.com/ruyi-pavilion/ http://www.cunman.com/new/decad6397de34fe9b1cdca62cb53623e Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://culture.gansudaily.com.cn/system/2020/09/01/030144072.shtml http://www.guoxue.com/?p=11516 https://zhidao.baidu.com/question/558092075.html https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%8A%B1%E9%88%BF%E5%A6%9D #กรุ่นรักกลิ่นบุปผา #วังเดียวดาย #ประเพณีจีนโบราณ #ฮวาเตี้ยน #StoryfromStory
    WAYNESAN.COM
    Cyber Revue – 電影、韓劇、日劇、台劇等各類影視介紹與評價
    發掘最新電影與影集評論,來自影評人及實際觀影者的深入見解。我們提供可信的影評,幫助你選擇最佳觀影體驗。探索更多有關電影與影集的專業分析和觀影建議,盡在我們的網站。
    1 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • ..คนไทยเราเก่งนะ สืบหาข้อมูล และนำเสนอได้หลากหลายหมดล่ะ,ส่วนลึกลับลงไปอีกแบบระดับmouตกลงกันลับๆอีกแบบก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งหลังฉากกับหน้าฉากประวัติศาสตร์อีกแบบหนึ่ง เช่นมโนเล่นๆว่า อเมริกาเสรีไทย อเมริกาทำทีช่วยเหลือไทย จริงๆพวกมันทั้งหมดสมรู้ร่วมคิดกันไว้หมดแล้ว แบบสไตล์วงในมันคือdeep stateคนโต๊ะกินข้าวด้วยกันทุกๆวันปกตินั้นล่ะ ทำทีออกจากห้องมาแสดงละครหลอกเราว่าคนละพวกกัน,เดินคนบทละสาย,แต่แดกทรัพยากรไทยร่วมกันชนะทั้งสองทางนั้นล่ะ ฝรั่งเศสได้เอาคืนพอสมควร อเมริกาได้บุญคุณว่ามาช่วยแล้วอาจเรียกร้องเอาสิทธิทำบ่อปิโตรเลียมเราทั้งหมดบนแผ่นดินไทยจากเราทางลับในอดีตซึ่งวลีใดวาทะไหนเราก็มิทราบแต่ตกลงกันไว้แล้วที่แลกในการยื่นมือเอามาช่วยมิให้ไทยถูกฝรั่งเศสเล่นงานหนักขึ้น,สรุปอเมริกาในปัจจุบันจึงมีสิทธิทางบ่อน้ำมันเหนือแผ่นดินไทยตลอดเรื่อยมาแบบแปลกมั้ยล่ะ ได้พื้นที่สัมปทานก็มากมายกว่าเพื่อน กฎหมายปิโตรเลียมมันก็ส่งคนของมันมาช่วยเขียนแดกประเทศไทยให้เสียเปรียบให้พวกมันมากๆเข้าไว้ก่อน,กับคนโง่ประจำประเทศไทยมันว่า ญี่ปุ่นก็ใช่น้อยหน้า ปรีดีก็ธรรมดาที่ไหนคือคนทรยศประเทศไทยมันมากมายก็ว่า ตอนใต้ญี่ปุ่นยิงมุกวาทะคืนให้ไทยหมด ปรีดีเสือกกล้าหาญบอกว่าไม่ขอรับคืนพะนะ เช่นนั้นตลอดแหลมมลายูทั้งหมดคือมาเลย์และสิงคโปรปัจจุบันมันคือดินแดนไทยนี้ล่ะ.
    ..ในด้านเขมรที่ฝรั่งเศสคืนผิดประเทศหรือจะวีโต้ห่าเหวใดๆก็ตาม ในปัจจุบันนี้เขมรเล่นมุกทวงคืนเขาพระวิหารสำเร็จและอยากได้ลากยาวต่อถึงทะเลเอาหลุมน้ำมันเราในอ่าวไทย จริงๆรัฐบาลตลอดเรื่อยมาที่ผ่านมาหรือยุคยึดอำนาจรัฐประหารกว่า10ครั้งบนแผ่นดินไทยหรือล่าสุดปัจจุบันยุคกปปส.ถวายพานให้ก็สามารถใช้ประวัติศาสตร์ในอดีตที่ฝรั่งเศสคืนผิดประเทศ สามารถร้องเรียนเรียกร้องให้เขมรคืนมาให้ถูกต้องถูกประเทศทั้งหมดทันที่ฝรั่งเศสปล้นชิงไปกลับคืนมาได้อย่างชอบธรรมเลยทีเดียว,แต่ทุกๆรัฐบาลทำไมไม่ทำ.,จึงถึงเวลาทำทันทีเมื่อมีนายกฯใหม่พระราชทานยิ่งดี,แล้วให้คนเขมรออกจากพื้นที่ทั้งหมด ไปกองรวมกันบนพื้นที่ตนเองที่แท้จริงแทน.555
    ..
    ..https://youtube.com/watch?v=dAmLrZWrz8k&si=EicgIBGNV-FKcp60
    ..คนไทยเราเก่งนะ สืบหาข้อมูล และนำเสนอได้หลากหลายหมดล่ะ,ส่วนลึกลับลงไปอีกแบบระดับmouตกลงกันลับๆอีกแบบก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งหลังฉากกับหน้าฉากประวัติศาสตร์อีกแบบหนึ่ง เช่นมโนเล่นๆว่า อเมริกาเสรีไทย อเมริกาทำทีช่วยเหลือไทย จริงๆพวกมันทั้งหมดสมรู้ร่วมคิดกันไว้หมดแล้ว แบบสไตล์วงในมันคือdeep stateคนโต๊ะกินข้าวด้วยกันทุกๆวันปกตินั้นล่ะ ทำทีออกจากห้องมาแสดงละครหลอกเราว่าคนละพวกกัน,เดินคนบทละสาย,แต่แดกทรัพยากรไทยร่วมกันชนะทั้งสองทางนั้นล่ะ ฝรั่งเศสได้เอาคืนพอสมควร อเมริกาได้บุญคุณว่ามาช่วยแล้วอาจเรียกร้องเอาสิทธิทำบ่อปิโตรเลียมเราทั้งหมดบนแผ่นดินไทยจากเราทางลับในอดีตซึ่งวลีใดวาทะไหนเราก็มิทราบแต่ตกลงกันไว้แล้วที่แลกในการยื่นมือเอามาช่วยมิให้ไทยถูกฝรั่งเศสเล่นงานหนักขึ้น,สรุปอเมริกาในปัจจุบันจึงมีสิทธิทางบ่อน้ำมันเหนือแผ่นดินไทยตลอดเรื่อยมาแบบแปลกมั้ยล่ะ ได้พื้นที่สัมปทานก็มากมายกว่าเพื่อน กฎหมายปิโตรเลียมมันก็ส่งคนของมันมาช่วยเขียนแดกประเทศไทยให้เสียเปรียบให้พวกมันมากๆเข้าไว้ก่อน,กับคนโง่ประจำประเทศไทยมันว่า ญี่ปุ่นก็ใช่น้อยหน้า ปรีดีก็ธรรมดาที่ไหนคือคนทรยศประเทศไทยมันมากมายก็ว่า ตอนใต้ญี่ปุ่นยิงมุกวาทะคืนให้ไทยหมด ปรีดีเสือกกล้าหาญบอกว่าไม่ขอรับคืนพะนะ เช่นนั้นตลอดแหลมมลายูทั้งหมดคือมาเลย์และสิงคโปรปัจจุบันมันคือดินแดนไทยนี้ล่ะ. ..ในด้านเขมรที่ฝรั่งเศสคืนผิดประเทศหรือจะวีโต้ห่าเหวใดๆก็ตาม ในปัจจุบันนี้เขมรเล่นมุกทวงคืนเขาพระวิหารสำเร็จและอยากได้ลากยาวต่อถึงทะเลเอาหลุมน้ำมันเราในอ่าวไทย จริงๆรัฐบาลตลอดเรื่อยมาที่ผ่านมาหรือยุคยึดอำนาจรัฐประหารกว่า10ครั้งบนแผ่นดินไทยหรือล่าสุดปัจจุบันยุคกปปส.ถวายพานให้ก็สามารถใช้ประวัติศาสตร์ในอดีตที่ฝรั่งเศสคืนผิดประเทศ สามารถร้องเรียนเรียกร้องให้เขมรคืนมาให้ถูกต้องถูกประเทศทั้งหมดทันที่ฝรั่งเศสปล้นชิงไปกลับคืนมาได้อย่างชอบธรรมเลยทีเดียว,แต่ทุกๆรัฐบาลทำไมไม่ทำ.,จึงถึงเวลาทำทันทีเมื่อมีนายกฯใหม่พระราชทานยิ่งดี,แล้วให้คนเขมรออกจากพื้นที่ทั้งหมด ไปกองรวมกันบนพื้นที่ตนเองที่แท้จริงแทน.555 .. ..https://youtube.com/watch?v=dAmLrZWrz8k&si=EicgIBGNV-FKcp60
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • รอง ผบช.ก. เรียกประชุมทีมคลี่ปม "ทิดอาชว์-สีกากอล์ฟ" แบ่งงานสืบสวนสอบสวนหาข้อมูลเพิ่ม เผยสีกาสำนึกผิดยอมร่วมมือกับตำรวจ รับเลือกแต่คนรวย-เข้าถึงง่าย จ่อโดนคดีกรรโชกทรัพย์

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063990

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รอง ผบช.ก. เรียกประชุมทีมคลี่ปม "ทิดอาชว์-สีกากอล์ฟ" แบ่งงานสืบสวนสอบสวนหาข้อมูลเพิ่ม เผยสีกาสำนึกผิดยอมร่วมมือกับตำรวจ รับเลือกแต่คนรวย-เข้าถึงง่าย จ่อโดนคดีกรรโชกทรัพย์ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000063990 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 363 Views 0 Reviews
  • AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น?

    บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

    AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล

    ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก?
    AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

    ตัวอย่างการใช้พลังงาน
    - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า
    - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี
    - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า
    - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี

    ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน

    จากไฟฟ้าสู่ความร้อน
    พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย

    รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ
    การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านความร้อน
    ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต:
    - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip
    - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip
    - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling
    - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling

    นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน

    การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด
    - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling
    - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ
    - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน
    - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้
    - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก
    - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs
    - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
    - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์

    พลังงานหมุนเวียน
    ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable

    ความรับผิดชอบร่วมกัน

    ความโปร่งใสของบริษัท AI
    บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ

    นโยบายและกฎระเบียบ
    รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน

    บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้
    - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน
    - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน

    บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI
    AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌍 AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น? 📝 บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ⚡ AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล ❓ ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก? AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก 📊 ตัวอย่างการใช้พลังงาน - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี 🔥 ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน 🌡️ จากไฟฟ้าสู่ความร้อน พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย 🌱 รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ 🛠️ ความท้าทายด้านความร้อน ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต: - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling 🌱 นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน 💧 การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล 🖥️ การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้ - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ ☀️ พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable 🤝 ความรับผิดชอบร่วมกัน 📊 ความโปร่งใสของบริษัท AI บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ 📜 นโยบายและกฎระเบียบ รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน 🧑‍💻 บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้ - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน 🌟 บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • ปกติแล้วลีกฟุตบอลระดับโลกอย่าง Premier League มีเว็บไซต์ แอปมือถือ เกม Fantasy ที่แฟนบอลเข้าใช้งานกว่า 1 พันล้านครั้งต่อปี แต่เบื้องหลังระบบเดิม...ยังอยู่บนโครงสร้างคลาวด์แบบเก่า กระจัดกระจาย แยกส่วนกันหลายจุด → การเชื่อมต่อ ขยาย หรือนำ AI มาช่วยพัฒนาประสบการณ์แฟนบอล ทำได้ยากและช้า

    ล่าสุด Premier League จึงตกลงเซ็นสัญญา “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ 5 ปี” กับ Microsoft → ย้าย “โครงสร้างเทคโนโลยีหลักทั้งหมด” ไปอยู่บน Azure → พร้อมเปิดตัว AI Assistant ฝังในเว็บไซต์, แอปมือถือ และเกม Fantasy ที่ใช้บริการ AI ของ Microsoft (เช่น Azure OpenAI หรือ Copilot)

    ตัวอย่างประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น:
    - แอป Premier League มีแชต AI ช่วยตอบคำถามระหว่างเกม เช่น “ใครได้ใบเหลืองไปแล้ว?”, “คืนนี้ถ่ายทอดสดช่องไหน?”
    - เกม Fantasy Premier League ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ “ควรขายใครซื้อตัวไหนในทีม?” ตามข้อมูลบาดเจ็บ–ฟอร์มย้อนหลัง
    - เว็บไซต์สามารถให้ AI สรุปไฮไลต์หรือสถิติจากรอบที่แล้วแบบเนื้อหาเฉพาะตัว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ใช้กีฬาเป็นฐานทดลอง AI — ก่อนหน้านี้ก็มีดีลกับ NBA, NFL และทีม F1 อย่าง Mercedes ด้วย → และในโลกที่ AI–Sport–Entertainment กำลังหลอมรวมกัน... Premier League ก็กลายเป็นเวทีระดับโลกของ Microsoft อีกแห่งเรียบร้อยครับ

    Premier League เซ็นสัญญา 5 ปี กับ Microsoft เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”  
    • ย้ายโครงสร้างเทคโนโลยีหลักไปอยู่บน Microsoft Azure  
    • ประกาศความร่วมมือเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2025

    จะใช้ AI Services ของ Microsoft สร้างแชตบอตอัจฉริยะ (AI Assistant)  
    • ฝังใน:   
    – แอป Premier League บนมือถือ   
    – เว็บไซต์ทางการของลีก   
    – เกม Fantasy Premier League

    เป้าหมายคือยกระดับประสบการณ์แฟนบอลด้วยเทคโนโลยี AI – Cloud – Data  
    • สร้างอินเทอร์เฟซสื่อสารแบบเรียลไทม์  
    • เพิ่ม personalisation สำหรับผู้ชม  
    • ลดภาระการค้นหาข้อมูลด้วย AI

    Microsoft เคยมีประสบการณ์ด้านกีฬา AI มาก่อน  
    • เคยร่วมมือกับ NBA, NFL, NASCAR, F1 Mercedes  
    • ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอ, พฤติกรรมแฟน, และเชื่อม AR/VR

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/microsoft-signs-deal-to-power-premier-leagues-ai-tools
    ปกติแล้วลีกฟุตบอลระดับโลกอย่าง Premier League มีเว็บไซต์ แอปมือถือ เกม Fantasy ที่แฟนบอลเข้าใช้งานกว่า 1 พันล้านครั้งต่อปี แต่เบื้องหลังระบบเดิม...ยังอยู่บนโครงสร้างคลาวด์แบบเก่า กระจัดกระจาย แยกส่วนกันหลายจุด → การเชื่อมต่อ ขยาย หรือนำ AI มาช่วยพัฒนาประสบการณ์แฟนบอล ทำได้ยากและช้า ล่าสุด Premier League จึงตกลงเซ็นสัญญา “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ 5 ปี” กับ Microsoft → ย้าย “โครงสร้างเทคโนโลยีหลักทั้งหมด” ไปอยู่บน Azure → พร้อมเปิดตัว AI Assistant ฝังในเว็บไซต์, แอปมือถือ และเกม Fantasy ที่ใช้บริการ AI ของ Microsoft (เช่น Azure OpenAI หรือ Copilot) ตัวอย่างประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น: - แอป Premier League มีแชต AI ช่วยตอบคำถามระหว่างเกม เช่น “ใครได้ใบเหลืองไปแล้ว?”, “คืนนี้ถ่ายทอดสดช่องไหน?” - เกม Fantasy Premier League ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ “ควรขายใครซื้อตัวไหนในทีม?” ตามข้อมูลบาดเจ็บ–ฟอร์มย้อนหลัง - เว็บไซต์สามารถให้ AI สรุปไฮไลต์หรือสถิติจากรอบที่แล้วแบบเนื้อหาเฉพาะตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ใช้กีฬาเป็นฐานทดลอง AI — ก่อนหน้านี้ก็มีดีลกับ NBA, NFL และทีม F1 อย่าง Mercedes ด้วย → และในโลกที่ AI–Sport–Entertainment กำลังหลอมรวมกัน... Premier League ก็กลายเป็นเวทีระดับโลกของ Microsoft อีกแห่งเรียบร้อยครับ ✅ Premier League เซ็นสัญญา 5 ปี กับ Microsoft เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”   • ย้ายโครงสร้างเทคโนโลยีหลักไปอยู่บน Microsoft Azure   • ประกาศความร่วมมือเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2025 ✅ จะใช้ AI Services ของ Microsoft สร้างแชตบอตอัจฉริยะ (AI Assistant)   • ฝังใน:    – แอป Premier League บนมือถือ    – เว็บไซต์ทางการของลีก    – เกม Fantasy Premier League ✅ เป้าหมายคือยกระดับประสบการณ์แฟนบอลด้วยเทคโนโลยี AI – Cloud – Data   • สร้างอินเทอร์เฟซสื่อสารแบบเรียลไทม์   • เพิ่ม personalisation สำหรับผู้ชม   • ลดภาระการค้นหาข้อมูลด้วย AI ✅ Microsoft เคยมีประสบการณ์ด้านกีฬา AI มาก่อน   • เคยร่วมมือกับ NBA, NFL, NASCAR, F1 Mercedes   • ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอ, พฤติกรรมแฟน, และเชื่อม AR/VR https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/microsoft-signs-deal-to-power-premier-leagues-ai-tools
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft signs deal to power Premier League's AI tools
    Microsoft Corp has signed a cloud computing deal with the Premier League, a pact that will let the software company tout its AI technology to a captive audience of sports fans.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • หลายคนรู้จัก Grammarly ในฐานะผู้ช่วยตรวจแกรมมาร์ แต่ตอนนี้บริษัทกำลังกลายร่างเป็น “ศูนย์กลาง AI ด้านการสื่อสารในองค์กร” เลยครับ โดยการซื้อ Superhuman ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมล — มันคือชิ้นส่วนต่อจิ๊กซอว์สู่ผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่รวม AI, เอกสาร, อีเมล, ปฏิทิน และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

    Superhuman เคยเป็นแอปอีเมลสุดพรีเมียมที่มี waitlist ยาวเหยียด ด้วยจุดขายความเร็วและดีไซน์เฉียบ แต่หลังจากที่ Google และ Microsoft พัฒนา AI ใน Gmail / Outlook มากขึ้น Superhuman ก็เจอความท้าทายไม่น้อย

    Grammarly ที่เพิ่งได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เลยฉวยโอกาสนี้ซื้อ Superhuman เข้ามา พร้อมวางแผนใหญ่:
    - ดึงทีมและเทคโนโลยี Superhuman มาสร้าง “AI agents” ที่จะช่วยคุณเขียน ตอบ ค้นหา และจัดการเมลอย่างอัตโนมัติ
    - ใช้ข้อมูลจากเอกสาร + อีเมล + ปฏิทิน เพื่อสร้างผู้ช่วยเสมือนที่ “เข้าใจงานและบริบทของคุณจริง ๆ”

    CEO คนใหม่ของ Grammarly คือ Shishir Mehrotra (อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coda) ซึ่งก็เคยปั้น Coda ให้เป็น workspace platform มาก่อน ดังนั้นนี่อาจเป็นการสร้าง “Coda + Email + AI = Grammarly ยุคใหม่” ก็เป็นได้ครับ!

    Grammarly ซื้อกิจการ Superhuman เพื่อลุยตลาด AI Productivity Suite  
    • ยังไม่เปิดเผยมูลค่าการซื้อ แต่ Superhuman เคยมีมูลค่าบริษัท $825 ล้าน  
    • มีรายได้ ~$35 ล้าน/ปี และผู้ใช้หลักอยู่ในกลุ่มองค์กร/มืออาชีพ

    Grammarly ได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เมื่อไม่นานมานี้  
    • ใช้สำหรับขยายผลิตภัณฑ์ + สร้าง ecosystem ด้านการทำงานด้วย AI

    Superhuman จะยังคงแบรนด์เดิมและทีมเดิมอยู่ใน Grammarly  
    • CEO Rahul Vohra จะย้ายมานั่งใน Grammarly พร้อมทีม ~100 คน  
    • แผนจะขยายจากอีเมลสู่ปฏิทิน, งาน (Tasks), และการทำงานร่วมกัน (Collab tools)

    วิสัยทัศน์คือสร้าง “AI Agents” ที่เข้าใจทั้งอีเมล เอกสาร และบริบทการทำงานของผู้ใช้  
    • ใช้ช่วยเขียน ตอบอีเมล วิเคราะห์บริบท และลดเวลาค้นหาข้อมูลจากระบบต่าง ๆ  
    • แข่งขันกับ Copilot ของ Microsoft, Duet AI ของ Google, Salesforce Slack AI, และอื่น ๆ

    Superhuman ระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ส่งเมลได้เร็วขึ้น 72% และใช้งาน AI เขียนอีเมลเพิ่ม 5 เท่าในปีที่ผ่านมา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/exclusive-grammarly-acquires-email-startup-superhuman-in-ai-platform-push
    หลายคนรู้จัก Grammarly ในฐานะผู้ช่วยตรวจแกรมมาร์ แต่ตอนนี้บริษัทกำลังกลายร่างเป็น “ศูนย์กลาง AI ด้านการสื่อสารในองค์กร” เลยครับ โดยการซื้อ Superhuman ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมล — มันคือชิ้นส่วนต่อจิ๊กซอว์สู่ผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่รวม AI, เอกสาร, อีเมล, ปฏิทิน และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน Superhuman เคยเป็นแอปอีเมลสุดพรีเมียมที่มี waitlist ยาวเหยียด ด้วยจุดขายความเร็วและดีไซน์เฉียบ แต่หลังจากที่ Google และ Microsoft พัฒนา AI ใน Gmail / Outlook มากขึ้น Superhuman ก็เจอความท้าทายไม่น้อย Grammarly ที่เพิ่งได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เลยฉวยโอกาสนี้ซื้อ Superhuman เข้ามา พร้อมวางแผนใหญ่: - ดึงทีมและเทคโนโลยี Superhuman มาสร้าง “AI agents” ที่จะช่วยคุณเขียน ตอบ ค้นหา และจัดการเมลอย่างอัตโนมัติ - ใช้ข้อมูลจากเอกสาร + อีเมล + ปฏิทิน เพื่อสร้างผู้ช่วยเสมือนที่ “เข้าใจงานและบริบทของคุณจริง ๆ” CEO คนใหม่ของ Grammarly คือ Shishir Mehrotra (อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coda) ซึ่งก็เคยปั้น Coda ให้เป็น workspace platform มาก่อน ดังนั้นนี่อาจเป็นการสร้าง “Coda + Email + AI = Grammarly ยุคใหม่” ก็เป็นได้ครับ! ✅ Grammarly ซื้อกิจการ Superhuman เพื่อลุยตลาด AI Productivity Suite   • ยังไม่เปิดเผยมูลค่าการซื้อ แต่ Superhuman เคยมีมูลค่าบริษัท $825 ล้าน   • มีรายได้ ~$35 ล้าน/ปี และผู้ใช้หลักอยู่ในกลุ่มองค์กร/มืออาชีพ ✅ Grammarly ได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เมื่อไม่นานมานี้   • ใช้สำหรับขยายผลิตภัณฑ์ + สร้าง ecosystem ด้านการทำงานด้วย AI ✅ Superhuman จะยังคงแบรนด์เดิมและทีมเดิมอยู่ใน Grammarly   • CEO Rahul Vohra จะย้ายมานั่งใน Grammarly พร้อมทีม ~100 คน   • แผนจะขยายจากอีเมลสู่ปฏิทิน, งาน (Tasks), และการทำงานร่วมกัน (Collab tools) ✅ วิสัยทัศน์คือสร้าง “AI Agents” ที่เข้าใจทั้งอีเมล เอกสาร และบริบทการทำงานของผู้ใช้   • ใช้ช่วยเขียน ตอบอีเมล วิเคราะห์บริบท และลดเวลาค้นหาข้อมูลจากระบบต่าง ๆ   • แข่งขันกับ Copilot ของ Microsoft, Duet AI ของ Google, Salesforce Slack AI, และอื่น ๆ ✅ Superhuman ระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ส่งเมลได้เร็วขึ้น 72% และใช้งาน AI เขียนอีเมลเพิ่ม 5 เท่าในปีที่ผ่านมา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/exclusive-grammarly-acquires-email-startup-superhuman-in-ai-platform-push
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Grammarly to acquire email startup Superhuman in AI platform push
    (Corrects the year Grammarly was founded in paragraph 3, and the spelling of CEO's first name in paragraph 6;)
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า
    ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง

    แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง

    แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน

    นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น

    เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/
    https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html
    https://www.gaohaipeng.com/1868.html
    https://m.sohu.com/n/469737945/
    https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html

    #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    คิ้วนั้นสำคัญไฉน? จีนโบราณมีชื่อเรียกสไตล์คิ้วไม่ต่ำกว่า 20 แบบ ซึ่งหลายชื่อมาจากคำบรรยายในบทกวี นอกจากจะแตกต่างด้วยรูปทรงแล้ว ยังมีเรื่องความหนักเบาของลายเส้นอีกด้วย (ตัวอย่างเปรียบเทียบตามที่รูปที่ 1 ด้านล่าง สังเกตความเข้มจางของแต่ละรูปทรง) เราเริ่มคุยกันด้วยตัวอย่างจากนิยายเรื่องนี้ ความมีอยู่ว่า ...นางมีใบหน้ารูปแตง คิ้วสั้นหนานั้นไม่เหมาะกับนาง หว่างคิ้วนางเปิดกว้าง หน้าผากนูนอิ่ม อันเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ใจกว้าง ดังนั้น คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์ดูจะเหมาะกับนางที่สุด... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ‘คิ้วโค้งดุจเสี้ยวพระจันทร์’ ที่เอ่ยถึงข้างต้น มีชื่อเรียกว่า “ซินเยวี่ยเหมย” (แปลว่าคิ้วจันทร์เสี้ยว) ซึ่งเป็นหนึ่งในทรงคิ้วยอดนิยมในยุคสมัยราชวงศ์ถัง รูปทรงโค้งครึ่งวงกลม ลายเส้นเข้มปานกลาง แต่หากย้อนกลับไปในยุคสมัยราชวงศ์ฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น (221ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 220) ทรงคิ้วที่นิยมคือ ฉางเหมยหรือเอ๋อเหมย ซึ่ง “เอ๋อ” มาจากหนวดที่โปร่งเรียวโค้งของ “ฉานเอ๋อ” (蚕蛾 หรือมอดไหม ดูรูปที่ 2 ด้านซ้ายล่าง) ตรงกับคำบรรยายในยุคสมัยนั้นถึงคิ้วงามของสตรีว่าเป็นคิ้วที่เรียวโค้ง แต่พอกล่าวถึงตรงนี้ อาจเกิดความสับสน เพราะเพื่อนเพจที่เคยเห็นรูปคิ้วหลากสไตล์ของสมัยราชวงศ์ถังอาจเคยเห็นรูปคิ้วหนาสั้นตามรูปที่ 2 ด้านขวา ซึ่งก็เรียกว่าเอ๋อเหมยเหมือนกัน (แต่ดูแล้ว Storyฯ ว่าน่าจะเป็นปีกมอดมากกว่าหนวดมอดนะนั่น) แต่พอไปหาข้อมูลจริงๆ จะเห็นว่าคิ้วทรงหนาสั้นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กุ้ยเยี่ยเหมย” (แปลว่าใบหอมหมื่นลี้) ดังนั้นเอ๋อเหมยที่พูดถึงยุคสมัยฉิน-ฮั่น ควรเป็นรูปทรงเรียวโค้งยาวตามรูปที่ 2 ด้านซ้ายบน นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีสไตล์คิ้วอีกหลากหลายแบบ พัฒนาไปพร้อมๆ กับการใช้ผงไต้มาผสมน้ำใช้วาดคิ้ว ทำให้สามารถวาดได้ลายเส้นที่เรียวบางมากขึ้น เช่น หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย ฯลฯ (ดูรูปที่ 1ด้านล่าง) และเป็นที่นิยมในราชวงศ์ถัดๆ ไป จนเข้าสู่ยุคเรืองรองแห่งการแต่งกายสตรีซึ่งก็คือยุคสมัยของราชวงศ์ถัง ซึ่งแฟชั่นเปลี่ยนแทบทุกปี (ดูรูปที่ 3 ตลอดรัชสมัยตั้งแต่ปีค.ศ. 618-907) ซึ่งแม้จะมีหลายสไตล์ที่เรียกตามแบบในสมัยก่อนๆ เช่น เอ๋อเหมย หย่วนซานเหมย ปาจึ้อเหมย แต่ในสมัยถังดูจะนิยมคิ้วหนาเข้ม และมีช่วงหนึ่งชอบคิ้วสั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมานิยมคิ้วเรียวบางอีกครั้งในช่วงปลายยุคสมัยถังจวบจนสมัยซ่งตอนต้น เรื่องสไตล์คิ้วจีนโบราณนี้คงคุยกันได้อีกยาว แต่ Storyฯ จะพยายามทำให้กระชับสั้น อาทิตย์หน้ามาคุยกันต่อนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: http://dramaslot.com/love-and-redemption-review/ https://kknews.cc/zh-cn/history/pv92652.html https://www.gaohaipeng.com/1868.html https://m.sohu.com/n/469737945/ https://www.163.com/dy/article/G1TDP5IP0543L1FT.html #ปลดผนึกหัวใจ #วาดคิ้ว #ประเพณีจีน #ราชวงศ์ถัง StoryfromStory
    DRAMASLOT.COM
    Love And Redemption Review - Best Drama For 2020?
    Love And Redemption has plenty of fans and many have compared it to Ashes Of Love and other epic dramas. Is it really that good? Read review here.
    3 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • คุณเคยรู้สึกไหมว่าวันทำงานหมดไปกับการ “ตามเรื่อง, ตอบอีเมล, กรอกฟอร์ม” มากกว่าสร้างงานใหม่ ๆ?

    นั่นแหละครับคือปัญหาที่ Dropbox สำรวจพบในสหราชอาณาจักร โดยสรุปว่า คนทำงาน “ติดหล่มงานจุกจิก” จนไม่มีเวลาใช้สมองคิดสร้างสรรค์เลย

    - คนอังกฤษเกือบครึ่ง (45%) บอกว่ามีเวลา “คิดหาวิธีใหม่ ๆ หรือพัฒนางาน” แค่ 0–5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
    - 1 ใน 4 คนใช้เวลา “6–10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” กับงานแอดมินอย่างเดียว — เท่ากับเสียเวลาทำงานเต็มวันไปฟรี ๆ
    - แค่ 42% เท่านั้นที่บอกว่าตนเองมีเวลาพอสำหรับงานสร้างสรรค์

    สิ่งนี้สะท้อนว่าระบบงานแบบเดิม ๆ ที่ใช้วิธี manual, ประสานงานแบบ patchwork และเครื่องมือที่ไม่เชื่อมต่อกัน — กำลังกดทับศักยภาพของพนักงานจำนวนมาก

    ในขณะที่ฝั่ง Dropbox เองบอกว่า พนักงานที่ใช้ AI ช่วยงานอยู่ทุกสัปดาห์ (96%) สามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 7.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ — เท่ากับได้วันทำงานคืนมา 1 วันแบบไม่ต้อง OT

    พนักงานออฟฟิศในอังกฤษเสียเวลา 11.3 พันล้านชั่วโมงต่อปีไปกับงานแอดมิน  
    • งานที่กินเวลาคือ อีเมล, นัดหมาย, กรอกฟอร์ม, ค้นหาข้อมูล

    มีเพียง 42% ของคนทำงานอังกฤษที่รู้สึกว่าตนเองมีเวลา “พอ” สำหรับงานสร้างสรรค์  
    • ตัวเลขนี้แย่กว่าประเทศอย่างสหรัฐและเยอรมนี

    พนักงาน Dropbox ที่ใช้ AI ช่วยงานสามารถประหยัดเวลาเฉลี่ย 7.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  
    • ใช้ AI ในการจัดเอกสาร, เขียน, โค้ด, คิดไอเดีย, และค้นข้อมูล

    เกินครึ่งของพนักงานอังกฤษ (51%) คิดว่าตนมีเครื่องมือที่ดีในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  
    • แต่ก็ยังดีกว่าฝรั่งเศสและสหรัฐที่คนจำนวนมากรู้สึกว่า “เครื่องมือยังไม่ช่วยพอ”

    หากมีเวลาเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง/วัน คนทำงาน 27% จะเอาไปเคลียร์งานค้าง, 18% จะลดภาระของตนเอง

    Dropbox เสนอว่าวิธีแก้ที่ยั่งยืนคือ “การเปลี่ยนระบบทั้งองค์กร” เช่น  
    • ใช้เครื่องมือที่ลดงานซ้ำซ้อน  
    • ปรับโมเดลการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น  
    • ให้อิสระแก่พนักงานในการจัดสรรเวลาและงาน

    https://www.techradar.com/pro/uk-workers-are-wasting-billions-of-hours-on-administrative-tasks-no-im-not-joking
    คุณเคยรู้สึกไหมว่าวันทำงานหมดไปกับการ “ตามเรื่อง, ตอบอีเมล, กรอกฟอร์ม” มากกว่าสร้างงานใหม่ ๆ? นั่นแหละครับคือปัญหาที่ Dropbox สำรวจพบในสหราชอาณาจักร โดยสรุปว่า คนทำงาน “ติดหล่มงานจุกจิก” จนไม่มีเวลาใช้สมองคิดสร้างสรรค์เลย - คนอังกฤษเกือบครึ่ง (45%) บอกว่ามีเวลา “คิดหาวิธีใหม่ ๆ หรือพัฒนางาน” แค่ 0–5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ - 1 ใน 4 คนใช้เวลา “6–10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” กับงานแอดมินอย่างเดียว — เท่ากับเสียเวลาทำงานเต็มวันไปฟรี ๆ - แค่ 42% เท่านั้นที่บอกว่าตนเองมีเวลาพอสำหรับงานสร้างสรรค์ สิ่งนี้สะท้อนว่าระบบงานแบบเดิม ๆ ที่ใช้วิธี manual, ประสานงานแบบ patchwork และเครื่องมือที่ไม่เชื่อมต่อกัน — กำลังกดทับศักยภาพของพนักงานจำนวนมาก ในขณะที่ฝั่ง Dropbox เองบอกว่า พนักงานที่ใช้ AI ช่วยงานอยู่ทุกสัปดาห์ (96%) สามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 7.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ — เท่ากับได้วันทำงานคืนมา 1 วันแบบไม่ต้อง OT ✅ พนักงานออฟฟิศในอังกฤษเสียเวลา 11.3 พันล้านชั่วโมงต่อปีไปกับงานแอดมิน   • งานที่กินเวลาคือ อีเมล, นัดหมาย, กรอกฟอร์ม, ค้นหาข้อมูล ✅ มีเพียง 42% ของคนทำงานอังกฤษที่รู้สึกว่าตนเองมีเวลา “พอ” สำหรับงานสร้างสรรค์   • ตัวเลขนี้แย่กว่าประเทศอย่างสหรัฐและเยอรมนี ✅ พนักงาน Dropbox ที่ใช้ AI ช่วยงานสามารถประหยัดเวลาเฉลี่ย 7.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์   • ใช้ AI ในการจัดเอกสาร, เขียน, โค้ด, คิดไอเดีย, และค้นข้อมูล ✅ เกินครึ่งของพนักงานอังกฤษ (51%) คิดว่าตนมีเครื่องมือที่ดีในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ   • แต่ก็ยังดีกว่าฝรั่งเศสและสหรัฐที่คนจำนวนมากรู้สึกว่า “เครื่องมือยังไม่ช่วยพอ” ✅ หากมีเวลาเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง/วัน คนทำงาน 27% จะเอาไปเคลียร์งานค้าง, 18% จะลดภาระของตนเอง ✅ Dropbox เสนอว่าวิธีแก้ที่ยั่งยืนคือ “การเปลี่ยนระบบทั้งองค์กร” เช่น   • ใช้เครื่องมือที่ลดงานซ้ำซ้อน   • ปรับโมเดลการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น   • ให้อิสระแก่พนักงานในการจัดสรรเวลาและงาน https://www.techradar.com/pro/uk-workers-are-wasting-billions-of-hours-on-administrative-tasks-no-im-not-joking
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews

  • คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร>

    ความมีอยู่ว่า
    ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”...
    (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว)

    เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค

    แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน

    แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555)

    ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097
    Credit ข้อมูลจาก:
    https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650
    https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html
    https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html

    #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    คราวที่แล้วเขียนเรื่องธรรมเนียมวันรับตัวเจ้าสาว วันนี้เลยมาคุยกันต่ออีกสักนิดถึงอีกหนึ่งธรรมเนียมจีนเกี่ยวกับประเพณีที่มีมาแต่โบราณคือการหวีผมให้เจ้าสาว ภาพประกอบอาจจะเก่านิดนึง แต่มาดูธรรมเนียมการหวีผมนี้กันโดยถอดบทสนทนาจากเรื่อง <เซียนกระบี่พิชิตมาร> ความมีอยู่ว่า ... “มา นั่งลง เหล่าเล้าจะหวีผมให้เจ้า” เหล่าเล้ากล่าว “หวีครั้งแรก หวีถึงปลาย หวีครั้งที่สอง ผมขาวบรรจบคิ้ว หวีครั้งที่สาม บุตรหลานเต็มบ้าน”... (หมายเหตุ Storyฯ ขอแปลความหมายเพิ่มเติมของ “ผมขาวบรรจบคิ้ว” ให้ว่า ชีวิตคู่ยืนยาวมีความสุขจากต้นจนปลาย อยู่คู่กันยืดยาวจนผมขาว) เพื่อนเพจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ในวันที่แต่งงาน แม่หรือญาติอาวุโสของเจ้าสาวจะหวีผมให้เจ้าสาวการหวีก็ต้องหวีด้านหน้าขึ้นบน แล้วหวีจากบนลงไปด้านหลังจนสุดปลาย พร้อมกับกล่าวคำมงคลดังๆ ในระหว่างที่หวี เช่นที่เหล่าเล้าหรือยายของนางเอกกล่าวตามความข้างต้น ประเพณีนี้ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน และย่อสั้นเหลือเพียงสามประโยคข้างต้น (คำพูดอาจแตกต่างเล็กน้อยตามธรรมเนียมท้องถิ่น บางที่อาจมีประโยคที่สี่อวยพรให้ร่ำรวย) จากเดิมที่เคยต้องพูดกันยาวถึงสิบประโยค แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดจริงๆ นั้น คนที่จะมาหวีผมให้เจ้าสาวนั้นต้องคัดสรรกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ว่าเป็นแม่หรือญาติผู้ใหญ่คนไหนก็ทำได้ เพราะต้องเป็นคนที่มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งในที่นี่หมายถึง บิดามารดาพี่น้องสามีภรรยามีชีวิตอยู่ครบ บุตรหลานมากมาย และดวงไม่ชงกับบ่าวสาว เป็นเคล็ดว่าหากให้คนเช่นนี้หวีผมให้กับเจ้าสาว ดวงส่วนตัวของคนๆ นั้นจะสามารถนำพาให้เจ้าสาวได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเหล่านี้เช่นกัน แต่ชีวิตใครจะเพอร์เฟ็ค? คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้หาได้ไม่ง่าย อีกทั้งสมัยโบราณการเกล้าผมเจ้าสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปกติคุณหนูคุณนายไม่เคยต้องทำเอง มักมีสาวใช้ทำให้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลผู้ดี การหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและมีฝีมือเกล้าผมด้วยย่อมหายากเป็นธรรมดา (ก็เพราะว่าเครือญาติและเพื่อนฝูงด้วยกันล้วนแต่เป็นผู้ดีหรือคหบดีเช่นกัน ไม่ต้องทำผมเอง ดังนั้นอาจไม่มีฝีมือด้านนี้เหมือนกัน 555) ต่อมาจึงเกิดการว่าจ้างผู้ที่มาหวีและเกล้าผมมืออาชีพ (ใช่ค่ะ สมัยโบราณมีช่างทำผมค่ะ!... เท่าที่หาข้อมูลเจอกล่าวแต่ว่า “สมัยโบราณ” แต่เท่าที่ดูจากรูปภาพน่าจะเป็นในยุคสมัยราชวงศ์ชิง) สมัยโบราณเรียกกันว่า ซูโถวอี๋เหนียง (梳头姨娘) ต่อมาพัฒนาเป็นช่างทำผมทั่วไปเรียกกันว่า ซูโถวมา (梳头妈) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจากในละครและ: https://www.sohu.com/a/456348733_100129097 Credit ข้อมูลจาก: https://m.hunliji.com/bai_ke/detail_18650 https://m.bxhyw.com/hunjia/41035.html https://www.163.com/dy/article/F9OQP5L00543A2C5.html #เซียนกระบี่พิชิตมาร #ประเพณีจีน #ประเพณีแต่งงานจีน #หวีผมเจ้าสาว
    WWW.SOHU.COM
    《仙剑奇侠传》将被翻拍,网友:谁能超越刘亦菲版啊!_年胡歌
    随着新消息的公开,该剧与2005年胡歌、刘亦菲主演的《仙剑奇侠传》角色所吻合,确认为第一部的翻拍。另外那时候电视剧也没后来出的那么频繁,玄幻剧占比也不多,《仙剑奇侠传》则凭借着强悍的演员阵容征服了大家的心。 …
    1 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • ช่วงนี้อิสราเอลกำลังเผชิญการโจมตีจากอิหร่าน ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธหรือปฏิบัติการไซเบอร์ หนึ่งในแนวรุกของฝ่ายตรงข้ามคือ... แฮ็กกล้องวงจรปิดตามบ้านของประชาชน โดยเฉพาะกล้องที่ใช้รหัสผ่านเดิมจากโรงงาน หรือรหัสง่าย ๆ เดาง่าย เช่น “123456”

    สิ่งที่แฮกเกอร์ทำคือ เจาะกล้องเพื่อ ดูว่า “มิสไซล์ที่ยิงไปตกตรงไหน”, มีการเคลื่อนไหวของรถทหารหรือไม่ หรือแม้แต่ตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ที่ถูก blackout ข้อมูลในสื่อ กระทรวงไซเบอร์ของอิสราเอลยอมรับว่า มีความพยายามเจาะระบบกล้องเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่วันหลังการยิงขีปนาวุธ

    ย้อนไปปี 2022 เคยมีการเตือนแล้วว่า “กล้องกว่า 66,000 ตัวในอิสราเอลยังใช้รหัสผ่านเริ่มต้น” — และหลายหมู่บ้านที่ถูกบุกในปีถัดมาก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร จนกลายเป็นปัญหาข้อมูลรั่ววงกว้าง

    รัฐบาลจึงขอให้ประชาชน ปิดกล้องที่ไม่จำเป็น, เปลี่ยนรหัสผ่าน, เปิด two-factor authentication และถ้าเป็นไปได้... อย่าติดตั้งกล้องที่ “สตรีมออนไลน์” ได้เอง เพราะอาจกลายเป็นหน้าต่างเปิดให้ศัตรูมองย้อนกลับมา

    กรณีนี้ไม่ได้เกิดแค่ในอิสราเอล — ในยูเครน เคยมีการแบนกล้องวงจรปิด เพราะพบว่ารัสเซียใช้วิดีโอแบบ live มา “ปรับทิศการโจมตีอากาศ” แบบทันทีได้เช่นกัน

    รัฐบาลอิสราเอลเตือนประชาชนให้ “ปิดกล้องวงจรปิดที่ไม่จำเป็น” หรืออย่างน้อยให้เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่  
    • ลดความเสี่ยงที่กลุ่มอิหร่านเจาะเข้าไปดู live feed เพื่อเก็บข้อมูล

    พบว่าแฮกเกอร์จากอิหร่านพยายามแฮกกล้องเพื่อดูผลกระทบของมิสไซล์ และการเคลื่อนไหวทางทหาร  
    • เป็นการเจาะระบบในช่วงสื่อถูกจำกัดการเผยข้อมูล

    เคยมีการเตือนเมื่อปี 2022 ว่ามีกล้อง 66,000 ตัวใช้รหัสผ่านจากโรงงาน (default password)  
    • ส่วนใหญ่ไม่ถูกเปลี่ยนแม้มีคำเตือน

    รัฐบาลสามารถปิดการทำงานของกล้องภาครัฐและส่วนบุคคลในพื้นที่อ่อนไหว เช่น พรมแดน หรือโครงสร้างสำคัญแล้ว
    • ใช้กฎหมายพิเศษในช่วงภัยพิบัติ

    กรณีคล้ายกันเคยเกิดในยูเครน — เมื่อรัสเซียใช้วิดีโอจากกล้องสาธารณะเพื่อเจาะพิกัดเป้าหมาย

    ผู้เชี่ยวชาญแนะให้เลือกกล้องที่มีระบบความปลอดภัยดี รองรับการตั้งค่ารหัส, การเข้ารหัส และปิดการสตรีมออนไลน์ได้

    https://www.techspot.com/news/108401-israel-urges-citizens-turn-off-home-cameras-iran.html
    ช่วงนี้อิสราเอลกำลังเผชิญการโจมตีจากอิหร่าน ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธหรือปฏิบัติการไซเบอร์ หนึ่งในแนวรุกของฝ่ายตรงข้ามคือ... แฮ็กกล้องวงจรปิดตามบ้านของประชาชน โดยเฉพาะกล้องที่ใช้รหัสผ่านเดิมจากโรงงาน หรือรหัสง่าย ๆ เดาง่าย เช่น “123456” สิ่งที่แฮกเกอร์ทำคือ เจาะกล้องเพื่อ ดูว่า “มิสไซล์ที่ยิงไปตกตรงไหน”, มีการเคลื่อนไหวของรถทหารหรือไม่ หรือแม้แต่ตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ที่ถูก blackout ข้อมูลในสื่อ กระทรวงไซเบอร์ของอิสราเอลยอมรับว่า มีความพยายามเจาะระบบกล้องเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่วันหลังการยิงขีปนาวุธ ย้อนไปปี 2022 เคยมีการเตือนแล้วว่า “กล้องกว่า 66,000 ตัวในอิสราเอลยังใช้รหัสผ่านเริ่มต้น” — และหลายหมู่บ้านที่ถูกบุกในปีถัดมาก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร จนกลายเป็นปัญหาข้อมูลรั่ววงกว้าง รัฐบาลจึงขอให้ประชาชน ปิดกล้องที่ไม่จำเป็น, เปลี่ยนรหัสผ่าน, เปิด two-factor authentication และถ้าเป็นไปได้... อย่าติดตั้งกล้องที่ “สตรีมออนไลน์” ได้เอง เพราะอาจกลายเป็นหน้าต่างเปิดให้ศัตรูมองย้อนกลับมา กรณีนี้ไม่ได้เกิดแค่ในอิสราเอล — ในยูเครน เคยมีการแบนกล้องวงจรปิด เพราะพบว่ารัสเซียใช้วิดีโอแบบ live มา “ปรับทิศการโจมตีอากาศ” แบบทันทีได้เช่นกัน ✅ รัฐบาลอิสราเอลเตือนประชาชนให้ “ปิดกล้องวงจรปิดที่ไม่จำเป็น” หรืออย่างน้อยให้เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่   • ลดความเสี่ยงที่กลุ่มอิหร่านเจาะเข้าไปดู live feed เพื่อเก็บข้อมูล ✅ พบว่าแฮกเกอร์จากอิหร่านพยายามแฮกกล้องเพื่อดูผลกระทบของมิสไซล์ และการเคลื่อนไหวทางทหาร   • เป็นการเจาะระบบในช่วงสื่อถูกจำกัดการเผยข้อมูล ✅ เคยมีการเตือนเมื่อปี 2022 ว่ามีกล้อง 66,000 ตัวใช้รหัสผ่านจากโรงงาน (default password)   • ส่วนใหญ่ไม่ถูกเปลี่ยนแม้มีคำเตือน ✅ รัฐบาลสามารถปิดการทำงานของกล้องภาครัฐและส่วนบุคคลในพื้นที่อ่อนไหว เช่น พรมแดน หรือโครงสร้างสำคัญแล้ว • ใช้กฎหมายพิเศษในช่วงภัยพิบัติ ✅ กรณีคล้ายกันเคยเกิดในยูเครน — เมื่อรัสเซียใช้วิดีโอจากกล้องสาธารณะเพื่อเจาะพิกัดเป้าหมาย ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะให้เลือกกล้องที่มีระบบความปลอดภัยดี รองรับการตั้งค่ารหัส, การเข้ารหัส และปิดการสตรีมออนไลน์ได้ https://www.techspot.com/news/108401-israel-urges-citizens-turn-off-home-cameras-iran.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Israel urges citizens to turn off home cameras as Iran hacks surveillance systems
    In the aftermath of recent Iranian missile strikes on Tel Aviv, concerns about the vulnerability of internet-connected cameras have intensified. "We know that in the past two...
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเขียนบทความนี้ทุกตัวอักษรจากหัวใจล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงข้อมูลใดๆ ไม่มีการหาข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพราะส่วนตัวคิดว่า คงถึงเวลาที่เราต้องเรียก "สติ" กัน แม้ว่าการส่งเสียงผ่านกลุ่มนี้ อาจจะเงียบกริบ แต่อย่างน้อยๆ คนที่แวะผ่านมาเห็น ขอจงโปรดใช้วิจารณญานในการ ค.ว.ย. กรณีตระกูลฮุน

    ผมหมายถึง "คิด . วิเคระห์ . แยกแยะ" โปรดอย่างคิดเป็นอื่น

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ทำลงเป็น เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมควรอภัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายอย่างใด สิ่งที่ทำลงไป ไม่อาจเรียกว่าเป็น "การกระทำที่ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว" ได้เลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะผู้นำประเทศที่ทุกๆ การกระทำ คือสิ่งแสดงสถานะตัวแทนและผู้นำประเทศ และไม่ว่าจะด้วยการกล่าวอ้างใดๆ ของคนที่เห็นว่านายกฯ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยิ่งช่วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ลูกสาวคนสุดท้อง ของคุณทักษิณ ยังไม่มีวุฒิภาวะ และความสามารถเพียงพอใจการเป็นผู้นำประเทศ

    โดยเฉพาะการนำเรื่อง "ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ" ไปคุยผ่าน "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" ไม่ว่าคนที่คุยด้วยนั้น จะเป็นผู้นำประเทศคู่กรณีตัวจริง หรือ ตัวจริง ก็ตาม (ผมหมายถึง เป็นโดยตำแหน่ง หรือเป็นโดยการยอมรับ) หรือแม้กระทั่ง เป็นการคุยเพื่อหวังดีต่อประเทศจริงๆ หรือเพียงหวังดีต่อเก้าอี้ตนเองก็ตาม

    นี่คือเรื่องของ "ประเทศ" ที่ไม่ใช่ "ธุรกิจส่วนตัว" ที่ไปคุยกันบนกรีนสนามกอล์ฟ หรือจบที่คลับหรือเลานจ์สักที่่ คุยนอกรอบให้ลงตัว แล้วค่อยไปจบในห้องประชุม การพูดคุยในฐานะประเทศ ต่อให้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็พึงมีคนระวังหลังให้เสมอ ไม่ว่าจะมีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ ก็ต้องมีคนช่วยเวลาคุย ไม่ใช่ กำลังจะนอนแล้ว โทรหาอังเคิลซะหน่อย เผื่อเคลียร์ได้

    ผมไม่เคยเชื่อว่าระหว่าง Donald Trump และ Vladimir Putin จะโทรคุยกันโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ระหว่าง Vladimir Putin กับ 习近平 (สีจิ้นผิง) จะคุยกันบนความสัมพันธ์ส่วนตัว

    และเมื่อตัดสินใจผิดพลาด เปลี่ยนการพูดคุยที่ควรจะมีแบบแผนและจริงจัง เป็นวาทกรรมก่อนนอน ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เมื่อคู่สนทนา จริงจังในทุกๆ บริบท

    สรุป ไม่ว่าสายซัพพอร์ตของ น้องอิ๊ง จะพยายามแก้ต่างด้วยเหตุความหวังดีต่อประเทศอย่างไร มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้องอิ๊ง ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำอยู่ดี - รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เมื่อบทสนทนาหนักๆ กลายเป็นเรื่องคุยก่อนนอน

    แต่!!

    สิ่งที่น่ากลัวกว่าท่านนายกฯ ก็คือ ท่านพ่อนายกฯ ที่ไม่ใช่พ่อนายกฯ เมืองไทย แต่เป็นพ่อนายกฯ เขมร ผู้นำตระกูลฮุน ที่กำลัง "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลกไปทุกวัน ดูจากสิ่งที่กำลังตามต่อมาจากหลังจาก คลิปเสียงเวอร์ชั่นเต็ม 17 นาทีถูกปล่อยออกมา

    สิ่งที่ท่านผู้นำฮุนกระทำ และบัญชาการให้องคาพยบของเหล่าชนชั้นนำของกัมพูชาทำก็คือ การเขย่าประเทศไทยให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อสร้างแต้มต่อไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดให้กับการต่ออายุการกดขี่ข่มเหงคนกัมพูชาให้นานที่สุด

    โดยมีเป้าหมายในการเป็น "คิมอิลซุง" หรือ "คิมจองอิล" ของราชวงศ์กัมพูชาให้จงได้ โดยอาศัยเพียงความชาตินิยมของคนกัมพูชา ที่ยังไม่หลุดพ้นจากภาพจำของการตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นครวัดนครธมถูกอโยธยาเผา เรื่อยมาจนกระทั่งเขมรได้รับการปลดปล่อยจากไทย ด้วยปลายกระบอกปืนของฝรั่งเศส แต่ก็ถูกกดโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ที่คอยยกไทยให้เป็นศัตรูผ่านตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ยังคงตอกย้ำการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้งมาโดยตลอด

    ยังดีที่คนไทย ได้รับโอกาสมากกว่า เราจึงหลุดพ้นการกดขี่และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพจากผู้ปกครองได้มากกว่าคนกัมพูชา แม้ว่าไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ ทางด้านประชาธิปไตยมาตลอด 92 ปี จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้

    แต่คนกัมพูชา ยังไม่หลุดพ้นจากเรื่องนั้น ทั้งปัญหาสงครามกลางเมืองและการช่วงชิงอำนาจที่พึ่งยุติไปเมื่อก่อนโลโซปกแดงไม่กี่ปี แถมซ้ำด้วยการที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูขากดหัวประชาชนตัวเองต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้คนกัมพูชายังมองภาพรวมไม่ออก

    ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างกันคนไทยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มีเสรีมากกว่าในการพูด พรรคฝ่ายค้านของประเทศเรา ก็ยังด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ไม่ต้องติดคุก หรือไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไหน

    ดูได้จาก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ "ไทย" ได้ดิบได้ดี ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็จะแปลงสัญชาติเป็น "เคลมโบเดีย" ทันที และเป็นกับไทย และไทยเท่านั้น ไม่มีลาว ไม่มีเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาเหมือนกัน และเจริญกว่ากัมพูชาเหมือนกันแม้แต่น้อย

    ตราบใดก็ตามที่ คนกัมพูชา ยังไม่หลุดกับดักของชนชั้้นนำ ที่พยายามเอาเรื่องความรู้สึกต่ำต้อยทางเชื่อชาติเมื่อเทียบกับไทย มาเป็นอาวุธเหนี่ยวไกฝังกระสุนลงหัวประชาชนกัมพูชา ตราบนั้น การที่ตระกูลฮุน และชนชั้นนำของกัมพูชา จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือก็จะไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น

    และวันนี้ คนไทย กำลังเล่นเกมตระกูลฮุนอยู่

    เรากำลังเสริมภาพลักษณ์ให้ "ฮุนเซน" กลายเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติกัมพูชา ดังที่คนกัมพูชากำลังได้ชม "ลูกชายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ" (หรือบางคนเรียกว่า "ลูกชายใต้เดือนเพ็ญ") ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กัมพูชาในทุกวัน

    คนไทยเรา แค่ต้องฟังเพลง "เราจะทำตามสัญญา" ก็ปิดทีวี เปิด YouTube หรือ Netflix ดูกันหมดแล้ว แต่นี่ละครทั้งเรื่อง คนกัมพูชามีทางเลือกอะไรบ้าง?

    สิ่งที่เราควรทำในนาทีนี้คือ Status Quo หรือ ตรึงทุกอย่างไว้กับที่ให้นานที่สุด เพราะตระกูลฮุน กำลังเล่นเกมที่เรียกว่า Rally Round the Flag หรือการสร้างภาพการคลั่งชาติ ประคองคะแนนนิยม

    ยิ่งฝ่ายตรงข้ามในเกม ร้อนระอุเท่าไหร่ ตระกูลฮุน ก็จะยิ่งได้ ได้ และ ได้ ได้โดยไม่หยุดหย่อน และหากผันเกมให้เป็นความบาดหมางระหว่างเชื้อชาติได้ ตระกูลฮุนจะยิ่งครอง และกดหัวคนกัมพูชาไปได้อีกหลาย Generation

    และเราก็จะเดือดร้อนไปอีกหลาย Generation เช่นกัน และไม่เพียงแต่ชีวิตประชาชนและทหารหาญที่จะต้องเสียไปในวันนี้ หากการปั่นกระแสเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลฮุน จุดติดขึ้นมาจริงๆ ประชาชนและทหารหาญที่ คนรักอิ๊ง นำมากล่าวอ้างว่า ต้องการปกป้องนัก ปกป้องหนา ก็จะยิ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามทีจะไม่มีวันสิ้นสุด

    ไม่ต่างจาก ฉนวนกาซ่า ที่ ปาเลสไตน์ ปะทะกับ อิสราเอล ตามที่ ฮุนเซน กล่าวและหวังไว้ว่ามันจะเกิด

    สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้จึงควรเป็นการตั้งสติอย่างมาก และมากที่สุด หยุดเต้นตามเพลงกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาร้องเพลง เต้นรำ ปิดปราสาทในเขตพื้นที่พิพาท หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม แม้กระทั่งทหารไทยที่กำลังได้รับแรงเชียร์อย่างมหาศาลให้รบ ก็ควรทิ้งกระบอกปืนไว้ที่ต้้ง แล้วจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน

    ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้กระสุนไทย ฝังในร่างกายคนกัมพูชาได้เท่าไร่

    ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้หมัดทหารไทย อัดหน้านักแสดงตุ๊กตาทองรักชาติกัมพูชาที่พยายามยั่วยุในพื้นที่พิพาทรายวันได้เท่าไหร่

    ฮุนเซนก็จะยิ่งอึดอัดกับกระแสที่จะค่อยๆ ตีกลับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    เมื่อใดก็ตามที่คนไทยสามารถสร้างภาพให้คนกัมพูชาเห็นได้ว่า ฮุนเซน ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ดี ไม่ได้เจ๋ง ซ้ำยังอ่อนด้อย เพราะไม่เคยสร้างความเจริญใดๆ ให้ประเทศเค้าเอง นอกจากความมั่งคั่งของตัวเอง และเป็นเพียงนายใหม่ที่มากดหัวคนกัมพูชามากกว่า สยามในประวัติศาสตร์ และฝรั่งเศสในอดีต

    เพราะฮุนเซนเป็นคนชาติเดียวกันกับคนกัมพูชา ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาหางานทำในเมืองไทยเพื่อชีวิตที่่ดีกว่า ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในประเทศตัวเองได้

    ยิ่งภาพความ "ไร้สมรรถภาพ" และ "ไร้ฝีมือ" เกิดขึ้นกับ ฮุนเซน และตระกูลฮุนมากเท่าไหร่ ...เราก็จะใกล้กับความสงบมากขึ้นเท่านั้น

    ณ เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลา ส่งทหารเป็นผู้มีอำนาจ หรือต่อให้ส่งอำนาจให้ทหาร ก็ไม่ใช่เวลาที่ทหารจะใช้อำนาจ แต่ต้องเป็นการใช้โอบกอดคนกัมพูชา

    ถ้าเค้าส่งคมมาร้องรำ เราก็เนียนร้องเพลงไทยไปข้างๆ เขาเลย ถือธงชาติ 2 ประเทศเคียงกัน ทำให้รู้สึกว่า คนที่อยู่บริเวณนั้น คือ "คน" เหมือนๆ กัน ที่ต่างก็พูดเขมรได้ พูดไทยเป็นด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนคนที่ทำผิดพลาดไป ในตอนนี้ จะลงดาบประหารเลย หรือว่าจะเก็บเอาไว้ด่าเล่นเพลินๆ ก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา

    แต่ได้โปรด อย่าหยิบยื่นกระสุนให้ทหารเลย

    หวังว่าเสียงนี้จะเพียงพอที่จะทำให้คนที่แวะเข้ามาอ่าน ได้หยุดความสะใจ และเลือกทางเดินให้กับประเทศอย่างมีวิจารณญาน
    วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเขียนบทความนี้ทุกตัวอักษรจากหัวใจล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงข้อมูลใดๆ ไม่มีการหาข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพราะส่วนตัวคิดว่า คงถึงเวลาที่เราต้องเรียก "สติ" กัน แม้ว่าการส่งเสียงผ่านกลุ่มนี้ อาจจะเงียบกริบ แต่อย่างน้อยๆ คนที่แวะผ่านมาเห็น ขอจงโปรดใช้วิจารณญานในการ ค.ว.ย. กรณีตระกูลฮุน ผมหมายถึง "คิด . วิเคระห์ . แยกแยะ" โปรดอย่างคิดเป็นอื่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ทำลงเป็น เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมควรอภัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายอย่างใด สิ่งที่ทำลงไป ไม่อาจเรียกว่าเป็น "การกระทำที่ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว" ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะผู้นำประเทศที่ทุกๆ การกระทำ คือสิ่งแสดงสถานะตัวแทนและผู้นำประเทศ และไม่ว่าจะด้วยการกล่าวอ้างใดๆ ของคนที่เห็นว่านายกฯ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยิ่งช่วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ลูกสาวคนสุดท้อง ของคุณทักษิณ ยังไม่มีวุฒิภาวะ และความสามารถเพียงพอใจการเป็นผู้นำประเทศ โดยเฉพาะการนำเรื่อง "ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ" ไปคุยผ่าน "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" ไม่ว่าคนที่คุยด้วยนั้น จะเป็นผู้นำประเทศคู่กรณีตัวจริง หรือ ตัวจริง ก็ตาม (ผมหมายถึง เป็นโดยตำแหน่ง หรือเป็นโดยการยอมรับ) หรือแม้กระทั่ง เป็นการคุยเพื่อหวังดีต่อประเทศจริงๆ หรือเพียงหวังดีต่อเก้าอี้ตนเองก็ตาม นี่คือเรื่องของ "ประเทศ" ที่ไม่ใช่ "ธุรกิจส่วนตัว" ที่ไปคุยกันบนกรีนสนามกอล์ฟ หรือจบที่คลับหรือเลานจ์สักที่่ คุยนอกรอบให้ลงตัว แล้วค่อยไปจบในห้องประชุม การพูดคุยในฐานะประเทศ ต่อให้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็พึงมีคนระวังหลังให้เสมอ ไม่ว่าจะมีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ ก็ต้องมีคนช่วยเวลาคุย ไม่ใช่ กำลังจะนอนแล้ว โทรหาอังเคิลซะหน่อย เผื่อเคลียร์ได้ ผมไม่เคยเชื่อว่าระหว่าง Donald Trump และ Vladimir Putin จะโทรคุยกันโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ระหว่าง Vladimir Putin กับ 习近平 (สีจิ้นผิง) จะคุยกันบนความสัมพันธ์ส่วนตัว และเมื่อตัดสินใจผิดพลาด เปลี่ยนการพูดคุยที่ควรจะมีแบบแผนและจริงจัง เป็นวาทกรรมก่อนนอน ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เมื่อคู่สนทนา จริงจังในทุกๆ บริบท สรุป ไม่ว่าสายซัพพอร์ตของ น้องอิ๊ง จะพยายามแก้ต่างด้วยเหตุความหวังดีต่อประเทศอย่างไร มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้องอิ๊ง ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำอยู่ดี - รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เมื่อบทสนทนาหนักๆ กลายเป็นเรื่องคุยก่อนนอน แต่!! สิ่งที่น่ากลัวกว่าท่านนายกฯ ก็คือ ท่านพ่อนายกฯ ที่ไม่ใช่พ่อนายกฯ เมืองไทย แต่เป็นพ่อนายกฯ เขมร ผู้นำตระกูลฮุน ที่กำลัง "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลกไปทุกวัน ดูจากสิ่งที่กำลังตามต่อมาจากหลังจาก คลิปเสียงเวอร์ชั่นเต็ม 17 นาทีถูกปล่อยออกมา สิ่งที่ท่านผู้นำฮุนกระทำ และบัญชาการให้องคาพยบของเหล่าชนชั้นนำของกัมพูชาทำก็คือ การเขย่าประเทศไทยให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อสร้างแต้มต่อไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดให้กับการต่ออายุการกดขี่ข่มเหงคนกัมพูชาให้นานที่สุด โดยมีเป้าหมายในการเป็น "คิมอิลซุง" หรือ "คิมจองอิล" ของราชวงศ์กัมพูชาให้จงได้ โดยอาศัยเพียงความชาตินิยมของคนกัมพูชา ที่ยังไม่หลุดพ้นจากภาพจำของการตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นครวัดนครธมถูกอโยธยาเผา เรื่อยมาจนกระทั่งเขมรได้รับการปลดปล่อยจากไทย ด้วยปลายกระบอกปืนของฝรั่งเศส แต่ก็ถูกกดโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ที่คอยยกไทยให้เป็นศัตรูผ่านตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ยังคงตอกย้ำการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้งมาโดยตลอด ยังดีที่คนไทย ได้รับโอกาสมากกว่า เราจึงหลุดพ้นการกดขี่และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพจากผู้ปกครองได้มากกว่าคนกัมพูชา แม้ว่าไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ ทางด้านประชาธิปไตยมาตลอด 92 ปี จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้ แต่คนกัมพูชา ยังไม่หลุดพ้นจากเรื่องนั้น ทั้งปัญหาสงครามกลางเมืองและการช่วงชิงอำนาจที่พึ่งยุติไปเมื่อก่อนโลโซปกแดงไม่กี่ปี แถมซ้ำด้วยการที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูขากดหัวประชาชนตัวเองต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้คนกัมพูชายังมองภาพรวมไม่ออก ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างกันคนไทยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มีเสรีมากกว่าในการพูด พรรคฝ่ายค้านของประเทศเรา ก็ยังด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ไม่ต้องติดคุก หรือไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไหน ดูได้จาก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ "ไทย" ได้ดิบได้ดี ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็จะแปลงสัญชาติเป็น "เคลมโบเดีย" ทันที และเป็นกับไทย และไทยเท่านั้น ไม่มีลาว ไม่มีเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาเหมือนกัน และเจริญกว่ากัมพูชาเหมือนกันแม้แต่น้อย ตราบใดก็ตามที่ คนกัมพูชา ยังไม่หลุดกับดักของชนชั้้นนำ ที่พยายามเอาเรื่องความรู้สึกต่ำต้อยทางเชื่อชาติเมื่อเทียบกับไทย มาเป็นอาวุธเหนี่ยวไกฝังกระสุนลงหัวประชาชนกัมพูชา ตราบนั้น การที่ตระกูลฮุน และชนชั้นนำของกัมพูชา จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือก็จะไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น และวันนี้ คนไทย กำลังเล่นเกมตระกูลฮุนอยู่ เรากำลังเสริมภาพลักษณ์ให้ "ฮุนเซน" กลายเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติกัมพูชา ดังที่คนกัมพูชากำลังได้ชม "ลูกชายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ" (หรือบางคนเรียกว่า "ลูกชายใต้เดือนเพ็ญ") ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กัมพูชาในทุกวัน คนไทยเรา แค่ต้องฟังเพลง "เราจะทำตามสัญญา" ก็ปิดทีวี เปิด YouTube หรือ Netflix ดูกันหมดแล้ว แต่นี่ละครทั้งเรื่อง คนกัมพูชามีทางเลือกอะไรบ้าง? สิ่งที่เราควรทำในนาทีนี้คือ Status Quo หรือ ตรึงทุกอย่างไว้กับที่ให้นานที่สุด เพราะตระกูลฮุน กำลังเล่นเกมที่เรียกว่า Rally Round the Flag หรือการสร้างภาพการคลั่งชาติ ประคองคะแนนนิยม ยิ่งฝ่ายตรงข้ามในเกม ร้อนระอุเท่าไหร่ ตระกูลฮุน ก็จะยิ่งได้ ได้ และ ได้ ได้โดยไม่หยุดหย่อน และหากผันเกมให้เป็นความบาดหมางระหว่างเชื้อชาติได้ ตระกูลฮุนจะยิ่งครอง และกดหัวคนกัมพูชาไปได้อีกหลาย Generation และเราก็จะเดือดร้อนไปอีกหลาย Generation เช่นกัน และไม่เพียงแต่ชีวิตประชาชนและทหารหาญที่จะต้องเสียไปในวันนี้ หากการปั่นกระแสเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลฮุน จุดติดขึ้นมาจริงๆ ประชาชนและทหารหาญที่ คนรักอิ๊ง นำมากล่าวอ้างว่า ต้องการปกป้องนัก ปกป้องหนา ก็จะยิ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามทีจะไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ต่างจาก ฉนวนกาซ่า ที่ ปาเลสไตน์ ปะทะกับ อิสราเอล ตามที่ ฮุนเซน กล่าวและหวังไว้ว่ามันจะเกิด สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้จึงควรเป็นการตั้งสติอย่างมาก และมากที่สุด หยุดเต้นตามเพลงกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาร้องเพลง เต้นรำ ปิดปราสาทในเขตพื้นที่พิพาท หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม แม้กระทั่งทหารไทยที่กำลังได้รับแรงเชียร์อย่างมหาศาลให้รบ ก็ควรทิ้งกระบอกปืนไว้ที่ต้้ง แล้วจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้กระสุนไทย ฝังในร่างกายคนกัมพูชาได้เท่าไร่ ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้หมัดทหารไทย อัดหน้านักแสดงตุ๊กตาทองรักชาติกัมพูชาที่พยายามยั่วยุในพื้นที่พิพาทรายวันได้เท่าไหร่ ฮุนเซนก็จะยิ่งอึดอัดกับกระแสที่จะค่อยๆ ตีกลับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่คนไทยสามารถสร้างภาพให้คนกัมพูชาเห็นได้ว่า ฮุนเซน ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ดี ไม่ได้เจ๋ง ซ้ำยังอ่อนด้อย เพราะไม่เคยสร้างความเจริญใดๆ ให้ประเทศเค้าเอง นอกจากความมั่งคั่งของตัวเอง และเป็นเพียงนายใหม่ที่มากดหัวคนกัมพูชามากกว่า สยามในประวัติศาสตร์ และฝรั่งเศสในอดีต เพราะฮุนเซนเป็นคนชาติเดียวกันกับคนกัมพูชา ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาหางานทำในเมืองไทยเพื่อชีวิตที่่ดีกว่า ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในประเทศตัวเองได้ ยิ่งภาพความ "ไร้สมรรถภาพ" และ "ไร้ฝีมือ" เกิดขึ้นกับ ฮุนเซน และตระกูลฮุนมากเท่าไหร่ ...เราก็จะใกล้กับความสงบมากขึ้นเท่านั้น ณ เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลา ส่งทหารเป็นผู้มีอำนาจ หรือต่อให้ส่งอำนาจให้ทหาร ก็ไม่ใช่เวลาที่ทหารจะใช้อำนาจ แต่ต้องเป็นการใช้โอบกอดคนกัมพูชา ถ้าเค้าส่งคมมาร้องรำ เราก็เนียนร้องเพลงไทยไปข้างๆ เขาเลย ถือธงชาติ 2 ประเทศเคียงกัน ทำให้รู้สึกว่า คนที่อยู่บริเวณนั้น คือ "คน" เหมือนๆ กัน ที่ต่างก็พูดเขมรได้ พูดไทยเป็นด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนคนที่ทำผิดพลาดไป ในตอนนี้ จะลงดาบประหารเลย หรือว่าจะเก็บเอาไว้ด่าเล่นเพลินๆ ก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา แต่ได้โปรด อย่าหยิบยื่นกระสุนให้ทหารเลย หวังว่าเสียงนี้จะเพียงพอที่จะทำให้คนที่แวะเข้ามาอ่าน ได้หยุดความสะใจ และเลือกทางเดินให้กับประเทศอย่างมีวิจารณญาน
    0 Comments 0 Shares 443 Views 0 Reviews
  • Storyฯ เพิ่งดูละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ตอนที่หนึ่งเปิดตัวพระนางด้วยการแข่งขันอันเร้าใจของเกมกีฬาที่เรียกว่า ‘ชู่จวี’ (蹴鞠 หรือที่ BBC เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Kickball) เป็นศัพท์จีนที่จำตัวเขียนได้ยากมาก ไปทำการบ้านมาจึงพบว่าในเว็บจีนต่างพูดถึงเกมชู่จวีนี้ว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล

    แต่เนื่องจากเพื่อนชาวอังกฤษของ Storyฯ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของอังกฤษ Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ปรากฏว่านาย Kevin Moore ผู้อำนวยการของ National Football Museum แห่งอังกฤษกล่าวไว้หลายปีแล้วดังนี้ค่ะ “While England is the birthplace of the modern game as we know it, we have always acknowledged that the origins of the game lie in China” ซึ่งหมายความว่า วิธีการเล่น/แข่งฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบันนั้นถือกำเนิดจากอังกฤษก็จริง แต่ฟุตบอลมีรากฐานมาจากจีน

    กลับมาที่ชู่จวีกันดีกว่า

    ความ ‘เอ๊ะ’ เกิดขึ้นเมื่อเห็นในละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ที่รูปร่างหน้าตาของ ‘บอล’ มันเหมือนตะกร้อมากเลย คือดูจะเป็นหวายสาน (ตามรูปขวาบนจากในละคร) แต่ Storyฯ เคยเห็นในละครเรื่องอื่นดูวัสดุคล้ายผ้าก็มี ก็เลยต้องไปทำการบ้านอีก

    เลยมีรูปจากพิพิธภัณฑ์กีฬาส่านซีมาฝาก (รูปขวาล่าง) เป็นรูปของลูกบอลที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ปีค.ศ. 220, คือลูกซ้าย) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907, คือลูกขวา) สังเกตได้ว่าการตัดเย็บไม่เหมือนกัน แต่สรุปว่าทั้งคู่ทำมาจากหนังนะจ๊ะ ส่วนไส้ในนั้นจะเป็นขนเป็ดขนไก่

    ในสมัยราชวงศ์ฮั่น การเล่นชู่จวีสามารถเล่นแบบโชว์เดี่ยว เป็นการแสดงทักษะและลีลาของผู้เล่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังจึงมีการเล่นแข่งเป็นทีม ซึ่งวิธีเล่นโดยหลักคือแข่งกันเตะลูกเข้าโกล โกลเป็นห่วงทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ตั้งอยู่ตรงกลางสนาม เรียกว่า เฟิงหลิวเหยี่ยน (Eye of the Flowing Wind) สูงเหนือพื้นประมาณสิบเมตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อยที่บรรยายถึงกฎกติกาการเล่นชู่จวีอย่างชัดเจน

    ชู่จวีเป็นกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ว่ากันว่ายุคเฟื่องฟูของมันจริงๆ คือสมัยราชวงศ์ถัง-ซ่ง เพราะงานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับทูตสัมพันธไมตรีจากแคว้นต่างๆ มักจัดให้มีการเล่นชู่จวี นอกจากนี้ยังมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสังคมเมืองใหญ่อีกด้วย ผู้เล่นเดิมเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี เป็นผู้หญิงก็เล่นได้ (ในสมัยราชวงศ์ถัง) ต่อมาจึงมีนักเล่นมืออาชีพมาร่วมทีมด้วย แต่เมื่อผ่านยุคสมัยราชวงศ์ซ่งก็ค่อยๆ คลายความนิยมลง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://mydramalist.com/photos/eN5EY_3
    https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.bbc.com/news/magazine-35409594
    https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html
    https://www.epochtimes.com/gb/16/6/18/n8010456.htm
    http://view.inews.qq.com/a/20200915A0HSBN00?tbkt=B3&uid=

    #สตรีหาญฉางเกอ #ชู่จวี #ราชวงศ์ถัง #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    Storyฯ เพิ่งดูละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ตอนที่หนึ่งเปิดตัวพระนางด้วยการแข่งขันอันเร้าใจของเกมกีฬาที่เรียกว่า ‘ชู่จวี’ (蹴鞠 หรือที่ BBC เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Kickball) เป็นศัพท์จีนที่จำตัวเขียนได้ยากมาก ไปทำการบ้านมาจึงพบว่าในเว็บจีนต่างพูดถึงเกมชู่จวีนี้ว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล แต่เนื่องจากเพื่อนชาวอังกฤษของ Storyฯ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของอังกฤษ Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ปรากฏว่านาย Kevin Moore ผู้อำนวยการของ National Football Museum แห่งอังกฤษกล่าวไว้หลายปีแล้วดังนี้ค่ะ “While England is the birthplace of the modern game as we know it, we have always acknowledged that the origins of the game lie in China” ซึ่งหมายความว่า วิธีการเล่น/แข่งฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบันนั้นถือกำเนิดจากอังกฤษก็จริง แต่ฟุตบอลมีรากฐานมาจากจีน กลับมาที่ชู่จวีกันดีกว่า ความ ‘เอ๊ะ’ เกิดขึ้นเมื่อเห็นในละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ที่รูปร่างหน้าตาของ ‘บอล’ มันเหมือนตะกร้อมากเลย คือดูจะเป็นหวายสาน (ตามรูปขวาบนจากในละคร) แต่ Storyฯ เคยเห็นในละครเรื่องอื่นดูวัสดุคล้ายผ้าก็มี ก็เลยต้องไปทำการบ้านอีก เลยมีรูปจากพิพิธภัณฑ์กีฬาส่านซีมาฝาก (รูปขวาล่าง) เป็นรูปของลูกบอลที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ปีค.ศ. 220, คือลูกซ้าย) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907, คือลูกขวา) สังเกตได้ว่าการตัดเย็บไม่เหมือนกัน แต่สรุปว่าทั้งคู่ทำมาจากหนังนะจ๊ะ ส่วนไส้ในนั้นจะเป็นขนเป็ดขนไก่ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น การเล่นชู่จวีสามารถเล่นแบบโชว์เดี่ยว เป็นการแสดงทักษะและลีลาของผู้เล่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังจึงมีการเล่นแข่งเป็นทีม ซึ่งวิธีเล่นโดยหลักคือแข่งกันเตะลูกเข้าโกล โกลเป็นห่วงทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ตั้งอยู่ตรงกลางสนาม เรียกว่า เฟิงหลิวเหยี่ยน (Eye of the Flowing Wind) สูงเหนือพื้นประมาณสิบเมตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อยที่บรรยายถึงกฎกติกาการเล่นชู่จวีอย่างชัดเจน ชู่จวีเป็นกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ว่ากันว่ายุคเฟื่องฟูของมันจริงๆ คือสมัยราชวงศ์ถัง-ซ่ง เพราะงานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับทูตสัมพันธไมตรีจากแคว้นต่างๆ มักจัดให้มีการเล่นชู่จวี นอกจากนี้ยังมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสังคมเมืองใหญ่อีกด้วย ผู้เล่นเดิมเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี เป็นผู้หญิงก็เล่นได้ (ในสมัยราชวงศ์ถัง) ต่อมาจึงมีนักเล่นมืออาชีพมาร่วมทีมด้วย แต่เมื่อผ่านยุคสมัยราชวงศ์ซ่งก็ค่อยๆ คลายความนิยมลง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://mydramalist.com/photos/eN5EY_3 https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.bbc.com/news/magazine-35409594 https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html https://www.epochtimes.com/gb/16/6/18/n8010456.htm http://view.inews.qq.com/a/20200915A0HSBN00?tbkt=B3&uid= #สตรีหาญฉางเกอ #ชู่จวี #ราชวงศ์ถัง #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    1 Comments 0 Shares 512 Views 0 Reviews
  • แฟนคลับละครจีนย้อนยุคกำลังภายในจะเห็นว่ามียาผงชนิดหนึ่งที่ตัวละครส่วนใหญ่มีพกติดตัวไว้โรยแผล เพื่อนเพจสงสัยกันบ้างหรือไม่ มันคือยาอะไร? ทำไมมีแผลอะไรก็เอาออกมาโรย? ไม่แน่ใจว่านิยายจีนฉบับแปลไทยมีชื่อเรียกยานี้หรือไม่ แต่ฉบับภาษาจีนจะเรียกยานี้ว่า จินชวงเย่า (金疮药)

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ท่านหัวหน้ากองเฉิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จินเซี่ยถาม
    “ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าท่านมือปราบหยวนได้รับบาดเจ็บ นี้คือยาจินชวงเย่าที่ในวังทำขึ้นเพื่อหน่วยองครักษ์โดยเฉพาะ ดีกว่าข้างนอก ทาแล้วแผลจะสมานได้สมบูรณ์” เฉิงฝูกล่าวพลางวางขวดยาไว้บนโต๊ะ....

    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร>

    จินชวงเย่าเป็นผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล สูตรยาอาจมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่เรียกโดยรวมว่าจินชวงเย่า และจินชวงเย่าที่มีชื่อที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง เพราะว่ากันว่าระงับเลือดได้ชะงัดทันใจที่สุด มีชื่อเรียกว่า “เตาเจียนเย่า” (刀尖药)

    จินชวงเย่ามีตัวยาที่สำคัญมากคือ “หลงกู่” (龙骨 แปลว่ากระดูกมังกร) แต่มันไม่ใช่กระดูกของมังกรจริงๆ “หลงกู่” เป็นการเรียกรวมซากกระดูกโบราณที่ขุดพบ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว เป็นต้น (ดูภาพประกอบขวาล่าง) ว่ากันว่า ตอนที่ค้นพบซากกระดูกโบราณเหล่านี้ คนที่ค้นพบพยายามใช้มีดขูดลวดลายบนกระดูกออกด้วยความสงสัย แต่โดนมีดบาดมือ แต่ผงที่ขูดออกจากซากกระดูกกลับทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที จึงเอากระดูกเหล่านี้ไปขายให้ร้านยา จึงเป็นที่มาของการค้นพบว่าผงของหลงกู่บดละเอียดคือตัวยาสำคัญที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและลดการอักเสบของจินชวงเย่านั่นเอง

    ประวัติของจินชวงเย่ามีมานานตั้งแต่เมื่อใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ที่แน่ๆ คือมีบันทึกถึงจินชวงเย่าไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) และใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1636-1912) สาเหตุที่ใช้กันมากในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น เป็นเพราะในสมัยชิงต้องมีการโกนหัวจึงมักมีบาดแผลจากมีดโกน จินชวงเย่าจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน

    และในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเองที่จินชวงเย่าสาบสูญไป เหตุเพราะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลงานอักษรนามว่า หวางอี้หรง สังเกตเห็นว่าเทียบยาของตนนั้นมียาหลงกู่ แต่เขาไม่รู้จักมัน จึงเรียกเอามาดู และสังเกตเห็นว่าลวดลายบนหลงกู่ที่แท้เป็นอักขระโบราณ แม้เขาอ่านไม่ออกแต่เชื่อว่ามันเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า จึงออกกว้านซื้อเพื่อเก็บรักษาและใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ ต่อมาในราชสำนักมีการทำอย่างนี้อย่างเป็นทางการ หลงกู่จึงมีราคาสูงมากและขาดตลาดไป ไม่สามารถนำมาใช้ทำจินชวงเย่าอีกต่อไป และด้วยตอนนั้นมีวิวัฒนาการด้านการแพทย์มากขึ้น จึงมีการคิดค้นตัวยาอื่นๆ มาทดแทน จึงเลิกใช้ผงยาจินชวงเย่าที่มีแก่นยามาจากหลงกู่จนมันสาบสูญไป (Storyฯ สงสัยว่าแล้วใช้กระดูกทั่วไปแทนไม่ได้หรืออย่างไร แต่หาคำตอบไม่ได้)

    ปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าอักขระบนหลงกู่ ก็คืออักษรโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี1200–1050 ก่อนคริสตกาล) กระดูกเหล่านี้ถูกใช้บันทึกพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในยุคสมัยนั้น รวมถึงผลของพิธีทำนายต่างๆ และเหตุการณ์ทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ฝรั่งเรียกกระดูกเหล่านี้ว่า Oracle Bones

    ที่บ้าน Storyฯ มีผงยาห้ามเลือดของจีน แต่ไม่รู้ชื่อและส่วนผสม แต่หน้าตาให้ความรู้สึกเหมือนจินชวงเย่ามาก เวลาดูหนังจีนมักมโนว่ามันคือยาเดียวกัน แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันคงทำมาจากส่วนผสมอื่น เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายๆ คนคงมียาที่ว่านี้ที่บ้านเหมือนกัน ใครมีข้อมูลว่ามันคืออะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://siaoyin.com/Info/8157030203451210773
    https://www.sohu.com/a/458843590_120172967
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.youtube.com/watch?v=U5NtRnOis9Y
    https://www.163.com/dy/article/G6S7ODGT05439D1U.html
    https://www.bilibili.com/read/cv10911896
    https://www.nms.ac.uk/explore-our-collections/stories/world-cultures/oracle-bones/

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ยาจีนโบราณ #ยาห้ามเลือดจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ #หลงกู่ #ราชวงศ์ชิง #จินเซี่ย #ใต้เท้าลู่ #จินชวงเย่า
    แฟนคลับละครจีนย้อนยุคกำลังภายในจะเห็นว่ามียาผงชนิดหนึ่งที่ตัวละครส่วนใหญ่มีพกติดตัวไว้โรยแผล เพื่อนเพจสงสัยกันบ้างหรือไม่ มันคือยาอะไร? ทำไมมีแผลอะไรก็เอาออกมาโรย? ไม่แน่ใจว่านิยายจีนฉบับแปลไทยมีชื่อเรียกยานี้หรือไม่ แต่ฉบับภาษาจีนจะเรียกยานี้ว่า จินชวงเย่า (金疮药) ความมีอยู่ว่า ... “ท่านหัวหน้ากองเฉิง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จินเซี่ยถาม “ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าท่านมือปราบหยวนได้รับบาดเจ็บ นี้คือยาจินชวงเย่าที่ในวังทำขึ้นเพื่อหน่วยองครักษ์โดยเฉพาะ ดีกว่าข้างนอก ทาแล้วแผลจะสมานได้สมบูรณ์” เฉิงฝูกล่าวพลางวางขวดยาไว้บนโต๊ะ.... - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> จินชวงเย่าเป็นผงยาที่ใช้สำหรับบาดแผล มีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อักเสบและสมานแผล สูตรยาอาจมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่เรียกโดยรวมว่าจินชวงเย่า และจินชวงเย่าที่มีชื่อที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง เพราะว่ากันว่าระงับเลือดได้ชะงัดทันใจที่สุด มีชื่อเรียกว่า “เตาเจียนเย่า” (刀尖药) จินชวงเย่ามีตัวยาที่สำคัญมากคือ “หลงกู่” (龙骨 แปลว่ากระดูกมังกร) แต่มันไม่ใช่กระดูกของมังกรจริงๆ “หลงกู่” เป็นการเรียกรวมซากกระดูกโบราณที่ขุดพบ เช่นกระดองเต่า กระดูกวัว เป็นต้น (ดูภาพประกอบขวาล่าง) ว่ากันว่า ตอนที่ค้นพบซากกระดูกโบราณเหล่านี้ คนที่ค้นพบพยายามใช้มีดขูดลวดลายบนกระดูกออกด้วยความสงสัย แต่โดนมีดบาดมือ แต่ผงที่ขูดออกจากซากกระดูกกลับทำให้เลือดหยุดไหลได้ทันที จึงเอากระดูกเหล่านี้ไปขายให้ร้านยา จึงเป็นที่มาของการค้นพบว่าผงของหลงกู่บดละเอียดคือตัวยาสำคัญที่มีสรรพคุณห้ามเลือดและลดการอักเสบของจินชวงเย่านั่นเอง ประวัติของจินชวงเย่ามีมานานตั้งแต่เมื่อใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ที่แน่ๆ คือมีบันทึกถึงจินชวงเย่าไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) และใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1636-1912) สาเหตุที่ใช้กันมากในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น เป็นเพราะในสมัยชิงต้องมีการโกนหัวจึงมักมีบาดแผลจากมีดโกน จินชวงเย่าจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน และในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเองที่จินชวงเย่าสาบสูญไป เหตุเพราะมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้ดูแลงานอักษรนามว่า หวางอี้หรง สังเกตเห็นว่าเทียบยาของตนนั้นมียาหลงกู่ แต่เขาไม่รู้จักมัน จึงเรียกเอามาดู และสังเกตเห็นว่าลวดลายบนหลงกู่ที่แท้เป็นอักขระโบราณ แม้เขาอ่านไม่ออกแต่เชื่อว่ามันเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า จึงออกกว้านซื้อเพื่อเก็บรักษาและใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ ต่อมาในราชสำนักมีการทำอย่างนี้อย่างเป็นทางการ หลงกู่จึงมีราคาสูงมากและขาดตลาดไป ไม่สามารถนำมาใช้ทำจินชวงเย่าอีกต่อไป และด้วยตอนนั้นมีวิวัฒนาการด้านการแพทย์มากขึ้น จึงมีการคิดค้นตัวยาอื่นๆ มาทดแทน จึงเลิกใช้ผงยาจินชวงเย่าที่มีแก่นยามาจากหลงกู่จนมันสาบสูญไป (Storyฯ สงสัยว่าแล้วใช้กระดูกทั่วไปแทนไม่ได้หรืออย่างไร แต่หาคำตอบไม่ได้) ปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าอักขระบนหลงกู่ ก็คืออักษรโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณปี1200–1050 ก่อนคริสตกาล) กระดูกเหล่านี้ถูกใช้บันทึกพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในยุคสมัยนั้น รวมถึงผลของพิธีทำนายต่างๆ และเหตุการณ์ทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ฝรั่งเรียกกระดูกเหล่านี้ว่า Oracle Bones ที่บ้าน Storyฯ มีผงยาห้ามเลือดของจีน แต่ไม่รู้ชื่อและส่วนผสม แต่หน้าตาให้ความรู้สึกเหมือนจินชวงเย่ามาก เวลาดูหนังจีนมักมโนว่ามันคือยาเดียวกัน แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันคงทำมาจากส่วนผสมอื่น เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายๆ คนคงมียาที่ว่านี้ที่บ้านเหมือนกัน ใครมีข้อมูลว่ามันคืออะไรก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://siaoyin.com/Info/8157030203451210773 https://www.sohu.com/a/458843590_120172967 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.youtube.com/watch?v=U5NtRnOis9Y https://www.163.com/dy/article/G6S7ODGT05439D1U.html https://www.bilibili.com/read/cv10911896 https://www.nms.ac.uk/explore-our-collections/stories/world-cultures/oracle-bones/ #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ยาจีนโบราณ #ยาห้ามเลือดจีน #วัฒนธรรมจีนโบราณ #หลงกู่ #ราชวงศ์ชิง #จินเซี่ย #ใต้เท้าลู่ #จินชวงเย่า
    1 Comments 0 Shares 493 Views 0 Reviews
  • เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม

    เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้
    ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”...

    เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ?

    ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน

    ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต

    การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง)

    Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748
    http://www.naradafoundation.org/content/6526
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้ ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”... เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ? ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง) Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748 http://www.naradafoundation.org/content/6526 https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    1 Comments 0 Shares 422 Views 0 Reviews
  • Google นำฟีเจอร์ Audio Overviews จาก NotebookLM มาใช้ใน Google Search
    Google ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Audio Overviews ใน Google Search ซึ่งเป็น ระบบสรุปข้อมูลด้วยเสียงที่ใช้ AI โดยใช้ โมเดล Gemini เพื่อสร้าง บทสรุปเสียงที่เข้าใจง่ายและเป็นธรรมชาติ

    Audio Overviews ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฟังสรุปข้อมูลของหัวข้อที่ค้นหาได้ โดย Google จะตัดสินใจว่าเมื่อใดควรแสดงตัวเลือกนี้

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google นำฟีเจอร์ Audio Overviews จาก NotebookLM มาใช้ใน Google Search
    - ใช้โมเดล Gemini เพื่อสร้างบทสรุปเสียงที่เข้าใจง่าย
    - ผู้ใช้สามารถให้คะแนนบทสรุปเสียงโดยกดปุ่ม thumbs-up หรือ thumbs-down
    - Google จะเพิ่มลิงก์ที่เกี่ยวข้องภายในอินเทอร์เฟซของ Audio Overviews
    - ผู้ใช้สามารถทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ได้โดยเข้าร่วมการทดลองใน Search Labs

    ผลกระทบต่อการค้นหาข้อมูล
    Audio Overviews ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ที่ต้องการใช้งานแบบแฮนด์ฟรี

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ฟีเจอร์นี้อาจไม่สามารถใช้ได้กับทุกคำค้นหา เนื่องจาก Google จะเลือกแสดงเฉพาะกรณีที่เห็นว่ามีประโยชน์
    - ต้องติดตามว่า Audio Overviews จะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนได้หรือไม่
    - การใช้ AI ในการสรุปข้อมูลอาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำและความลำเอียง
    - ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะให้การตอบรับต่อฟีเจอร์นี้อย่างไร และ Google จะปรับปรุงตามความคิดเห็นของผู้ใช้หรือไม่

    Google กำลังพัฒนา AI ให้สามารถช่วยสรุปข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Audio Overviews อาจเป็นก้าวแรกในการนำ AI มาใช้ในระบบค้นหาข้อมูลแบบเสียง

    https://www.neowin.net/news/notebooklms-audio-overviews-is-coming-to-google-search/
    🔊 Google นำฟีเจอร์ Audio Overviews จาก NotebookLM มาใช้ใน Google Search Google ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Audio Overviews ใน Google Search ซึ่งเป็น ระบบสรุปข้อมูลด้วยเสียงที่ใช้ AI โดยใช้ โมเดล Gemini เพื่อสร้าง บทสรุปเสียงที่เข้าใจง่ายและเป็นธรรมชาติ Audio Overviews ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฟังสรุปข้อมูลของหัวข้อที่ค้นหาได้ โดย Google จะตัดสินใจว่าเมื่อใดควรแสดงตัวเลือกนี้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google นำฟีเจอร์ Audio Overviews จาก NotebookLM มาใช้ใน Google Search - ใช้โมเดล Gemini เพื่อสร้างบทสรุปเสียงที่เข้าใจง่าย - ผู้ใช้สามารถให้คะแนนบทสรุปเสียงโดยกดปุ่ม thumbs-up หรือ thumbs-down - Google จะเพิ่มลิงก์ที่เกี่ยวข้องภายในอินเทอร์เฟซของ Audio Overviews - ผู้ใช้สามารถทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ได้โดยเข้าร่วมการทดลองใน Search Labs 🔥 ผลกระทบต่อการค้นหาข้อมูล Audio Overviews ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ที่ต้องการใช้งานแบบแฮนด์ฟรี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ฟีเจอร์นี้อาจไม่สามารถใช้ได้กับทุกคำค้นหา เนื่องจาก Google จะเลือกแสดงเฉพาะกรณีที่เห็นว่ามีประโยชน์ - ต้องติดตามว่า Audio Overviews จะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนได้หรือไม่ - การใช้ AI ในการสรุปข้อมูลอาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำและความลำเอียง - ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะให้การตอบรับต่อฟีเจอร์นี้อย่างไร และ Google จะปรับปรุงตามความคิดเห็นของผู้ใช้หรือไม่ Google กำลังพัฒนา AI ให้สามารถช่วยสรุปข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Audio Overviews อาจเป็นก้าวแรกในการนำ AI มาใช้ในระบบค้นหาข้อมูลแบบเสียง https://www.neowin.net/news/notebooklms-audio-overviews-is-coming-to-google-search/
    WWW.NEOWIN.NET
    NotebookLM's Audio Overviews is coming to Google Search
    Google's popular AI feature, which generates audio podcasts within minutes, is now coming to Google Search as a new experiment.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • ChromeOS M137 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น
    Google ได้เปิดตัว ChromeOS M137 บนช่องทางเสถียร โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญสำหรับ ผู้ใช้ทั่วไปและผู้ดูแลระบบ IT รวมถึง นโยบายใหม่สำหรับการจัดการ Chromebook จำนวนมาก

    ChromeOS M137 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงและประสบการณ์เสียง เพื่อให้ ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้สะดวกขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - Face Control accessibility tool ได้รับการอัปเดต พร้อมนโยบาย FaceGazeEnabled
    - ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดหรือปิด Face Control สำหรับทั้งโรงเรียนหรือบริษัทได้
    - เพิ่มฟีเจอร์ Crosstalk Cancellation เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง
    - ChromeVox มีคีย์ลัดใหม่ (Search + O + C) เพื่อแสดงข้อความเสียงเป็น Braille captions
    - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ IT
    Google พยายามทำให้การจัดการ Chromebook ง่ายขึ้น โดยเพิ่ม ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติ ที่ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลเอง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Face Control อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานกับบางอุปกรณ์
    - Crosstalk Cancellation อาจไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับระบบเสียงรอบทิศทางจริง
    - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติอัปโหลดข้อมูลเพียงสองครั้งต่อวันต่ออุปกรณ์

    https://www.neowin.net/news/chromeos-m137-goes-stable-bringing-new-face-control-policy-and-more/
    🚀 ChromeOS M137 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น Google ได้เปิดตัว ChromeOS M137 บนช่องทางเสถียร โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญสำหรับ ผู้ใช้ทั่วไปและผู้ดูแลระบบ IT รวมถึง นโยบายใหม่สำหรับการจัดการ Chromebook จำนวนมาก ChromeOS M137 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงและประสบการณ์เสียง เพื่อให้ ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้สะดวกขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Face Control accessibility tool ได้รับการอัปเดต พร้อมนโยบาย FaceGazeEnabled - ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดหรือปิด Face Control สำหรับทั้งโรงเรียนหรือบริษัทได้ - เพิ่มฟีเจอร์ Crosstalk Cancellation เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง - ChromeVox มีคีย์ลัดใหม่ (Search + O + C) เพื่อแสดงข้อความเสียงเป็น Braille captions - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น 🔥 ผลกระทบต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ IT Google พยายามทำให้การจัดการ Chromebook ง่ายขึ้น โดยเพิ่ม ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติ ที่ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลเอง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Face Control อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานกับบางอุปกรณ์ - Crosstalk Cancellation อาจไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับระบบเสียงรอบทิศทางจริง - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติอัปโหลดข้อมูลเพียงสองครั้งต่อวันต่ออุปกรณ์ https://www.neowin.net/news/chromeos-m137-goes-stable-bringing-new-face-control-policy-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    ChromeOS M137 goes stable, bringing new Face Control policy and more
    Google has rolled out ChromeOS M137 to the stable channel, bringing useful upgrades like an event-based logging system, improved accessibility features, and more.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • เรื่องนี้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้อัพขึ้นเฟซ เลยเห็นว่ามีในเพจอื่นมีคนเพิ่งเขียนถึงไปวันนี้ แต่อ่านดูแล้วไม่ขัดแต่ก็ไม่ตรงกันเสียหมด เลยคิดว่ายังคงลงเพจตามเดิมเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนเพจ เพียงแต่เลื่อนกำหนดมาอัพขึ้นเพจเร็วขึ้น

    เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์จีนเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> นี้จะทราบว่าในภาคอดีตนั้น นางเอกเป็นลูกศิษย์ของพระเอก Storyฯ เห็นพิธีกราบอาจารย์ของนางเอกก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ทันที

    Storyฯ เคยเห็นแต่ศิษย์ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับอาจารย์ แต่ในละครนางเอกถือถาดเข้ามามอบให้อาจารย์ หน้าตาสิ่งของบนถาดคือตามรูป (ขวากลาง) จึงเกิดความสงสัย... ถาดนี้คือ? ในหนังสือนิยายไม่มีพูดถึงรายละเอียดของฉากนี้ Storyฯ เลยไปทำการบ้านมา

    จีนโบราณมีธรรมเนียมการมอบของให้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียกว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ (六礼束脩 ซึ่งลิ่วหลี่แปลว่าหกพิธีการ ส่วนซู่ซิ่วหมายถึงเนื้อตากแห้งมัดเป็นพวงใช้แทนค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเล่าต่อด้านล่าง)

    ลิ่วหลี่ซู่ซิวประกอบด้วยของหกอย่าง (ดูรูปประกอบขวาล่าง) ดังนี้
    1. ผักขึ้นฉ่าย – ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘ฉินช่าย’ ซึ่งคำว่า ‘ฉิน’ พ้องเสียงกับคำว่าขยัน/ตั้งใจ หมายความว่า ลูกศิษย์จะขยันตั้งใจเรียน
    2. เมล็ดบัว - ซึ่งที่มาคือไส้เมล็ดบัวมีรสขม คำว่าไส้กับคำว่าใจคืออักษรเดียวกัน และ ‘ขมใจ’ ในภาษาจีนแปลได้ว่า เอาใจใส่/ตั้งใจ แม้จะยากลำบาก หมายความว่า ลูกศิษย์ทราบถึงความใส่ใจและความเพียรของอาจารย์ที่จะสั่งสอน
    3. ถั่วแดง - ซึ่งคำว่าแดงในภาษาจีนอ่านว่า ‘หง’ เป็นคำพ้องเสียงมาจากวลีที่ว่า หงอวิ้นเกาเจ้า (鸿运高照 แปลว่าโชคดีมาเยือน รุ่งเรืองเฉิดฉาย) เป็นการอวยพรให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ
    4. พุทราจีน - ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘หงเจ่า’ ซึ่งคำว่า ‘เจ่า’ พ้องเสียงกับคำว่าเช้า/เร็ว ความหมายในที่นี้คือให้ลูกศิษย์สำเร็จวิชาอย่างรวดเร็ว (早早高中)
    5. ลำไย – ภาษาจีนเรียกว่า ‘หลงเหยี่ยน’ หรือชื่อเก่ากว่านั้นคือ ‘กุ้ยหยวน’ และ ‘หยวน’ แปลว่ากลมหรือบริบูรณ์ หมายถึงให้ลูกศิษย์มีครบบริบูรณ์ทั้งผลงานและคุณธรรม (功德圆满)
    6. เนื้อหมูตากแห้ง – (อยากจะเรียกว่า ‘แดดเดียว’ แต่เดี๋ยวจะนึกถึงอาหารบ้านเรา) การให้เนื้อตากแห้งมีที่มาจากคำเล่าขานว่า ขงจื้อเคยกล่าวว่าหากใครนำเนื้อตากแห้งมามอบให้ เขาจะไม่ปฏิเสธการรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นการมอบเนื้อตากแห้งจึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจและความเคารพของลูกศิษย์ เป็นของขวัญ ‘แรกพบ’ ที่มอบให้อาจารย์ และต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าเล่าเรียน

    แต่ภาพในละครไม่เหมือนเป๊ะกับข้อมูลข้างต้น? (ดูรูปขวากลาง) Storyฯ เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่ม

    เลยพบว่าเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับขงจื้อนั้น มีการวิเคราะห์กันแพร่หลายว่า ขงจื้อหมายความเรื่องเนื้อตากแห้งอย่างนั้นจริงหรือไม่? เพราะจีนโบราณประโยคสั้นอักษรน้อย อาจตีความได้หลากหลาย จึงมีอีกการวิเคราะห์ว่า เนื่องด้วยขงจื้อไม่เคยแบ่งแยกฐานะและชนชั้น ดังนั้นความหมายจริงๆ ของขงจื้อคือว่า ใครก็ตามที่มากราบขอเป็นศิษย์ย่อมรับไว้ Storyฯ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะอย่างนี้หรือไม่ ถาดไหว้อาจารย์ในละครจึงขาดรายการนี้ไป

    และถ้าเพื่อนเพจสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในละครไม่มีถั่วแดง แต่เป็นลูกเกาลัด Storyฯ ลองไปหาข้อมูลดู ไม่ปรากฎว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ ให้ใช้เกาลัดแทนถั่วแดง แต่คำว่าลูกเกาลัดหรือ ‘ลี่’ นั้นภาษาจีนพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าตั้งขึ้น ในหลายโอกาสใช้แทนความหมายว่าสร้างรากฐานได้มั่นคง Storyฯ เลยสันนิษฐานว่าในละครคงมีความหมายนี้

    หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html
    https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.douban.com/group/topic/169323296/
    https://m.sohu.com/n/468143035/
    https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html
    https://wenda.huabaike.com/hywd/34686.html

    #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #ธรรมเนียมจีนโบราณ #ประเพณีจีน #กราบอาจารย์ #ลิ่วหลี่ซู่ซิว #ความหมายผักคึ่นฉ่าย #ความหมายถั่วแดง #ความหมายเมล็ดบัว #ความหมายพุทราจีน #ความหมายลำไย #ฉินช่าย #หงโต้ว #เหลียนจื่อ #กุ้ยหยวน #หงเจ่า
    เรื่องนี้เขียนไว้แล้วก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ได้อัพขึ้นเฟซ เลยเห็นว่ามีในเพจอื่นมีคนเพิ่งเขียนถึงไปวันนี้ แต่อ่านดูแล้วไม่ขัดแต่ก็ไม่ตรงกันเสียหมด เลยคิดว่ายังคงลงเพจตามเดิมเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนเพจ เพียงแต่เลื่อนกำหนดมาอัพขึ้นเพจเร็วขึ้น เพื่อนเพจที่ได้ดูซีรีส์จีนเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> นี้จะทราบว่าในภาคอดีตนั้น นางเอกเป็นลูกศิษย์ของพระเอก Storyฯ เห็นพิธีกราบอาจารย์ของนางเอกก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ทันที Storyฯ เคยเห็นแต่ศิษย์ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับอาจารย์ แต่ในละครนางเอกถือถาดเข้ามามอบให้อาจารย์ หน้าตาสิ่งของบนถาดคือตามรูป (ขวากลาง) จึงเกิดความสงสัย... ถาดนี้คือ? ในหนังสือนิยายไม่มีพูดถึงรายละเอียดของฉากนี้ Storyฯ เลยไปทำการบ้านมา จีนโบราณมีธรรมเนียมการมอบของให้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เรียกว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ (六礼束脩 ซึ่งลิ่วหลี่แปลว่าหกพิธีการ ส่วนซู่ซิ่วหมายถึงเนื้อตากแห้งมัดเป็นพวงใช้แทนค่าเล่าเรียน ซึ่งจะเล่าต่อด้านล่าง) ลิ่วหลี่ซู่ซิวประกอบด้วยของหกอย่าง (ดูรูปประกอบขวาล่าง) ดังนี้ 1. ผักขึ้นฉ่าย – ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘ฉินช่าย’ ซึ่งคำว่า ‘ฉิน’ พ้องเสียงกับคำว่าขยัน/ตั้งใจ หมายความว่า ลูกศิษย์จะขยันตั้งใจเรียน 2. เมล็ดบัว - ซึ่งที่มาคือไส้เมล็ดบัวมีรสขม คำว่าไส้กับคำว่าใจคืออักษรเดียวกัน และ ‘ขมใจ’ ในภาษาจีนแปลได้ว่า เอาใจใส่/ตั้งใจ แม้จะยากลำบาก หมายความว่า ลูกศิษย์ทราบถึงความใส่ใจและความเพียรของอาจารย์ที่จะสั่งสอน 3. ถั่วแดง - ซึ่งคำว่าแดงในภาษาจีนอ่านว่า ‘หง’ เป็นคำพ้องเสียงมาจากวลีที่ว่า หงอวิ้นเกาเจ้า (鸿运高照 แปลว่าโชคดีมาเยือน รุ่งเรืองเฉิดฉาย) เป็นการอวยพรให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ 4. พุทราจีน - ภาษาจีนออกเสียงว่า ‘หงเจ่า’ ซึ่งคำว่า ‘เจ่า’ พ้องเสียงกับคำว่าเช้า/เร็ว ความหมายในที่นี้คือให้ลูกศิษย์สำเร็จวิชาอย่างรวดเร็ว (早早高中) 5. ลำไย – ภาษาจีนเรียกว่า ‘หลงเหยี่ยน’ หรือชื่อเก่ากว่านั้นคือ ‘กุ้ยหยวน’ และ ‘หยวน’ แปลว่ากลมหรือบริบูรณ์ หมายถึงให้ลูกศิษย์มีครบบริบูรณ์ทั้งผลงานและคุณธรรม (功德圆满) 6. เนื้อหมูตากแห้ง – (อยากจะเรียกว่า ‘แดดเดียว’ แต่เดี๋ยวจะนึกถึงอาหารบ้านเรา) การให้เนื้อตากแห้งมีที่มาจากคำเล่าขานว่า ขงจื้อเคยกล่าวว่าหากใครนำเนื้อตากแห้งมามอบให้ เขาจะไม่ปฏิเสธการรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นการมอบเนื้อตากแห้งจึงเป็นการแสดงถึงความตั้งใจและความเคารพของลูกศิษย์ เป็นของขวัญ ‘แรกพบ’ ที่มอบให้อาจารย์ และต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของค่าเล่าเรียน แต่ภาพในละครไม่เหมือนเป๊ะกับข้อมูลข้างต้น? (ดูรูปขวากลาง) Storyฯ เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่ม เลยพบว่าเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับขงจื้อนั้น มีการวิเคราะห์กันแพร่หลายว่า ขงจื้อหมายความเรื่องเนื้อตากแห้งอย่างนั้นจริงหรือไม่? เพราะจีนโบราณประโยคสั้นอักษรน้อย อาจตีความได้หลากหลาย จึงมีอีกการวิเคราะห์ว่า เนื่องด้วยขงจื้อไม่เคยแบ่งแยกฐานะและชนชั้น ดังนั้นความหมายจริงๆ ของขงจื้อคือว่า ใครก็ตามที่มากราบขอเป็นศิษย์ย่อมรับไว้ Storyฯ เลยไม่แน่ใจว่าเพราะอย่างนี้หรือไม่ ถาดไหว้อาจารย์ในละครจึงขาดรายการนี้ไป และถ้าเพื่อนเพจสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในละครไม่มีถั่วแดง แต่เป็นลูกเกาลัด Storyฯ ลองไปหาข้อมูลดู ไม่ปรากฎว่า ‘ลิ่วหลี่ซู่ซิว’ ให้ใช้เกาลัดแทนถั่วแดง แต่คำว่าลูกเกาลัดหรือ ‘ลี่’ นั้นภาษาจีนพ้องเสียงกับคำที่แปลว่าตั้งขึ้น ในหลายโอกาสใช้แทนความหมายว่าสร้างรากฐานได้มั่นคง Storyฯ เลยสันนิษฐานว่าในละครคงมีความหมายนี้ หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.163.com/dy/article/GIB87TR80524M8IF.html https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.douban.com/group/topic/169323296/ https://m.sohu.com/n/468143035/ https://k.sina.cn/article_6897601262_19b210aee00100omuu.html https://wenda.huabaike.com/hywd/34686.html #ทุกชาติภพกระดูกงดงาม #สืออี๋ #ธรรมเนียมจีนโบราณ #ประเพณีจีน #กราบอาจารย์ #ลิ่วหลี่ซู่ซิว #ความหมายผักคึ่นฉ่าย #ความหมายถั่วแดง #ความหมายเมล็ดบัว #ความหมายพุทราจีน #ความหมายลำไย #ฉินช่าย #หงโต้ว #เหลียนจื่อ #กุ้ยหยวน #หงเจ่า
    1 Comments 0 Shares 556 Views 0 Reviews
  • วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับหนึ่งในสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้จีน
    ความมีอยู่ว่า
    ...หวางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันเกรงว่าปี้เซี่ยจะทรงใกล้ชิดกับพวกนาง จึงต้องกราบทูลรายงาน แต่กวนเจียมิทรงตรัสอันใด กลับทรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำพระราชดำรัสมาประกาศ ให้พระสนมทั้งสองออกจากวังโดยพลัน พระองค์ตรัสเสร็จพระอัสสุชลก็รินไหล”...
    - จากเรื่อง <จองจำเดียวดายในนคร> ผู้แต่ง หมี่หลานเลดี้ (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <วังเดียวดาย> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เพื่อความง่ายในการเข้าใจ Storyฯ ขอไม่เน้นราชาศัพท์ในบทความข้างล่างนะคะ

    เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณเสียงภาษาจีนต้องเคยได้ยินสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปี้เซี่ย หวงตี้ จินซ่าง เทียนจื่อ ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้มักมีความหมายเกี่ยวโยงราชบัลลังก์ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือสวรรค์ ที่ฟังดูสูงเกินเอื้อมของปุถุชนคนธรรมดา

    แต่หากใครได้ดูละครเรื่อง <วังเดียวดาย> จะได้ยินการเรียกขานฮ่องเต้ว่า ‘กวนเจีย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แปลกในความรู้สึกของ Storyฯ เพราะแปลความหมายได้ประมาณว่า ‘สำนักราชการ’ (กวน = ขุนนาง เจีย = บ้านหรือกลุ่มองค์กร) Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลทำความเข้าใจ

    คำว่า ‘กวนเจีย’ มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) เพียงแต่ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นการเรียกเจ้าผู้ปกครองประเทศ หากแต่เป็นการเรียกรวมหมายถึงเหล่าขุนนางและหน่วยงานข้าราชการ หรือเป็นการเรียกขานผู้ที่เป็นขุนนางอย่างยกย่อง

    ว่ากันว่ามีการใช้สรรพนามนี้ขานเรียกฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-589) แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากฟังดูไม่สูงศักดิ์และอาจทำให้สับสนเพราะยังหมายถึงเหล่าข้าราชการได้อีกด้วย จวบจนเริ่มยุคสมัยราชวงศ์ซ่งจึงใช้คำว่า ‘กวนเจีย’ เรียกฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ

    เพราะอะไร?

    ท่านที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีนจะทราบว่า เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ถังก็เข้าสู่ยุคที่แตกเป็นห้าราชวงศ์สิบแคว้น จากนั้นจึงเกิดเป็นราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ซ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 960 เมื่อเจ้าผู้ปกครองราชวงศ์โฮ่วโจว (โจวยุคหลัง หนึ่งในห้าราชวงศ์) สวรรคตลง ทำให้เกิดความระส่ำระสายในสายทหารเพราะผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเด็ก อยู่มาวันหนึ่งผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายพร้อมใจกันเอาชุดเหลืองลายมังกรแบบเฉพาะของฮ่องเต้มาคลุมกายให้แก่จอมทัพเจ้าควงอิ้น เพื่อขอให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรโฮ่วโจวแทน (ดูรูปขวาบนและล่าง และอ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมที่เพจศิลปวัฒนธรรมตามลิ้งค์ข้างล่าง)

    เจ้าควงอิ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็สถานปนาราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจคัดเฟ้นสรรพนามเรียกขานตนที่เหมาะสมขึ้นใหม่ เพราะเขาตระหนักว่าตนเองเป็นเชื้อสายตระกูลทหาร ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงเกรงว่าหากใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเขาขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม

    จึงมาลงเอยที่คำว่า ‘กวนเจีย’ นี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาคำสอนการปกครองจากยุคสมัยชุนชิว และถูกยกมาจากวรรคที่ว่า ‘สามราชาดูแลทั่วหล้า ห้าจักรพรรดิมีใต้นภาเป็นครอบครัว’ (ซานหวงกวนเทียเซี่ย อู่ตี้เจียเทียนเซี่ย / 三皇官天下,五帝家天下) ซึ่งเป็นการเท้าความถึง ‘สามราชาห้าจักรพรรดิ’ ในตำนานปรำปราที่ปกครองดูแลประชาชนอย่าง ‘เข้าถึง’ และมีคุณธรรม โดยในบริบทนี้คำว่า ‘กวนเจีย’ ถูกเลือกมาใช้เพื่อให้สะท้อนความนัยว่า เป็นการปกครองโดยคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำโดยหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลและเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชน

    ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประชาชนจะเรียกข้าราชการว่า ‘กวนเจีย’ ไม่ได้อีกต่อไป และมีการกำหนดให้คำนี้มีเพียงความหมายเดียวคือแปลว่าฮ่องเต้ (แต่จะใช้คำอื่นเช่น ปี้เซี่ย เรียกฮ่องเต้ก็ยังได้อยู่) ไม่ได้หมายรวมถึงเหล่าข้าราชการอีกต่อไป

    นอกจากคำที่พูดถึงมาข้างต้นแล้ว เพื่อนเพจยังเคยผ่านหูคำเรียกขานฮ่องเต้ว่าอย่างอื่นอีกไหมคะ? Storyฯ นึกได้อีกหลายคำเลย

    หมายเหตุ 1: ‘สามราชา’ บ้างว่าหมายถึงเทพเจ้าผู้สร้างและดูแลมนุษย์ในตำนานคือฟู่ซี หนี่ว์วา และเหยียนตี้ และบ้างว่าหมายถึงราชาแห่งแผ่นฟ้า ผืนดินและมนุษย์ชาติ ส่วน ‘ห้าจักรพรรดิ’ นั้นหมายถึงองค์หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) และฮ่องเต้ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาอีกสี่พระองค์
    หมายเหตุ 2: ในเรื่อง <วังเดียวดาย> เป็นยุคสมัยของฮ่องเต้เหรินจง เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ซ่ง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/zh-my/history/2vgm4n9.html
    https://dramakaffe.wordpress.com/2020/05/16/serenade-of-peaceful-joy/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/133862973
    https://www.thehour.cn/news/363118.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/songchao/18033.html
    https://kknews.cc/history/g48mr58.html

    #ราชวงศ์ซ่ง #ฮ่องเต้จีน #เจ้าควงอิ้น #ชิงผิงเยวี่ย #กวนเจีย #ประวัติศาสตร์จีน
    วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับหนึ่งในสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้จีน ความมีอยู่ว่า ...หวางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันเกรงว่าปี้เซี่ยจะทรงใกล้ชิดกับพวกนาง จึงต้องกราบทูลรายงาน แต่กวนเจียมิทรงตรัสอันใด กลับทรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำพระราชดำรัสมาประกาศ ให้พระสนมทั้งสองออกจากวังโดยพลัน พระองค์ตรัสเสร็จพระอัสสุชลก็รินไหล”... - จากเรื่อง <จองจำเดียวดายในนคร> ผู้แต่ง หมี่หลานเลดี้ (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) (หมายเหตุ ละครเรื่อง <วังเดียวดาย> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เพื่อความง่ายในการเข้าใจ Storyฯ ขอไม่เน้นราชาศัพท์ในบทความข้างล่างนะคะ เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณเสียงภาษาจีนต้องเคยได้ยินสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปี้เซี่ย หวงตี้ จินซ่าง เทียนจื่อ ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้มักมีความหมายเกี่ยวโยงราชบัลลังก์ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือสวรรค์ ที่ฟังดูสูงเกินเอื้อมของปุถุชนคนธรรมดา แต่หากใครได้ดูละครเรื่อง <วังเดียวดาย> จะได้ยินการเรียกขานฮ่องเต้ว่า ‘กวนเจีย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แปลกในความรู้สึกของ Storyฯ เพราะแปลความหมายได้ประมาณว่า ‘สำนักราชการ’ (กวน = ขุนนาง เจีย = บ้านหรือกลุ่มองค์กร) Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลทำความเข้าใจ คำว่า ‘กวนเจีย’ มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) เพียงแต่ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นการเรียกเจ้าผู้ปกครองประเทศ หากแต่เป็นการเรียกรวมหมายถึงเหล่าขุนนางและหน่วยงานข้าราชการ หรือเป็นการเรียกขานผู้ที่เป็นขุนนางอย่างยกย่อง ว่ากันว่ามีการใช้สรรพนามนี้ขานเรียกฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-589) แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากฟังดูไม่สูงศักดิ์และอาจทำให้สับสนเพราะยังหมายถึงเหล่าข้าราชการได้อีกด้วย จวบจนเริ่มยุคสมัยราชวงศ์ซ่งจึงใช้คำว่า ‘กวนเจีย’ เรียกฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ เพราะอะไร? ท่านที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีนจะทราบว่า เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ถังก็เข้าสู่ยุคที่แตกเป็นห้าราชวงศ์สิบแคว้น จากนั้นจึงเกิดเป็นราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ซ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 960 เมื่อเจ้าผู้ปกครองราชวงศ์โฮ่วโจว (โจวยุคหลัง หนึ่งในห้าราชวงศ์) สวรรคตลง ทำให้เกิดความระส่ำระสายในสายทหารเพราะผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเด็ก อยู่มาวันหนึ่งผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายพร้อมใจกันเอาชุดเหลืองลายมังกรแบบเฉพาะของฮ่องเต้มาคลุมกายให้แก่จอมทัพเจ้าควงอิ้น เพื่อขอให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรโฮ่วโจวแทน (ดูรูปขวาบนและล่าง และอ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมที่เพจศิลปวัฒนธรรมตามลิ้งค์ข้างล่าง) เจ้าควงอิ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็สถานปนาราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจคัดเฟ้นสรรพนามเรียกขานตนที่เหมาะสมขึ้นใหม่ เพราะเขาตระหนักว่าตนเองเป็นเชื้อสายตระกูลทหาร ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงเกรงว่าหากใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเขาขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม จึงมาลงเอยที่คำว่า ‘กวนเจีย’ นี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาคำสอนการปกครองจากยุคสมัยชุนชิว และถูกยกมาจากวรรคที่ว่า ‘สามราชาดูแลทั่วหล้า ห้าจักรพรรดิมีใต้นภาเป็นครอบครัว’ (ซานหวงกวนเทียเซี่ย อู่ตี้เจียเทียนเซี่ย / 三皇官天下,五帝家天下) ซึ่งเป็นการเท้าความถึง ‘สามราชาห้าจักรพรรดิ’ ในตำนานปรำปราที่ปกครองดูแลประชาชนอย่าง ‘เข้าถึง’ และมีคุณธรรม โดยในบริบทนี้คำว่า ‘กวนเจีย’ ถูกเลือกมาใช้เพื่อให้สะท้อนความนัยว่า เป็นการปกครองโดยคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำโดยหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลและเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชน ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประชาชนจะเรียกข้าราชการว่า ‘กวนเจีย’ ไม่ได้อีกต่อไป และมีการกำหนดให้คำนี้มีเพียงความหมายเดียวคือแปลว่าฮ่องเต้ (แต่จะใช้คำอื่นเช่น ปี้เซี่ย เรียกฮ่องเต้ก็ยังได้อยู่) ไม่ได้หมายรวมถึงเหล่าข้าราชการอีกต่อไป นอกจากคำที่พูดถึงมาข้างต้นแล้ว เพื่อนเพจยังเคยผ่านหูคำเรียกขานฮ่องเต้ว่าอย่างอื่นอีกไหมคะ? Storyฯ นึกได้อีกหลายคำเลย หมายเหตุ 1: ‘สามราชา’ บ้างว่าหมายถึงเทพเจ้าผู้สร้างและดูแลมนุษย์ในตำนานคือฟู่ซี หนี่ว์วา และเหยียนตี้ และบ้างว่าหมายถึงราชาแห่งแผ่นฟ้า ผืนดินและมนุษย์ชาติ ส่วน ‘ห้าจักรพรรดิ’ นั้นหมายถึงองค์หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) และฮ่องเต้ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาอีกสี่พระองค์ หมายเหตุ 2: ในเรื่อง <วังเดียวดาย> เป็นยุคสมัยของฮ่องเต้เหรินจง เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ซ่ง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/zh-my/history/2vgm4n9.html https://dramakaffe.wordpress.com/2020/05/16/serenade-of-peaceful-joy/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/133862973 https://www.thehour.cn/news/363118.html https://www.gugong.net/zhongguo/songchao/18033.html https://kknews.cc/history/g48mr58.html #ราชวงศ์ซ่ง #ฮ่องเต้จีน #เจ้าควงอิ้น #ชิงผิงเยวี่ย #กวนเจีย #ประวัติศาสตร์จีน
    1 Comments 0 Shares 512 Views 0 Reviews
  • VeraCrypt อัปเดตใหม่! ปิดกั้น Microsoft Recall และเครื่องมือบันทึกหน้าจอ
    VeraCrypt ซึ่งเป็น เครื่องมือเข้ารหัสข้อมูลแบบ on-the-fly ได้เปิดตัว เวอร์ชัน 1.26.24 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ โดยเฉพาะ Microsoft Recall ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในด้านความเป็นส่วนตัว

    Microsoft Recall เป็นฟีเจอร์ที่ จับภาพหน้าจอของผู้ใช้ทุก ๆ 5 วินาที และส่งข้อมูลไปยัง AI บนเครื่อง เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวต่างเตือนว่าฟีเจอร์นี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อข้อมูลส่วนบุคคล

    VeraCrypt ได้เพิ่ม "screen protection" ซึ่งช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจากเครื่องมือของ Windows และแอปของบุคคลที่สาม โดยค่าเริ่มต้นจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ แต่ผู้ใช้สามารถปิดได้หากต้องการ

    ข้อมูลจากข่าว
    - VeraCrypt เวอร์ชัน 1.26.24 เพิ่มฟีเจอร์ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ
    - Microsoft Recall จับภาพหน้าจอทุก 5 วินาที และใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง
    - ฟีเจอร์ "screen protection" ของ VeraCrypt ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจาก Windows และแอปของบุคคลที่สาม
    - VeraCrypt สามารถเข้ารหัสพาร์ติชันหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทั้งระบบด้วย pre-boot authentication
    - Signal เป็นอีกหนึ่งแอปที่บล็อกการจับภาพหน้าจอจาก Microsoft Recall

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Microsoft Recall ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    - แม้ VeraCrypt จะปิดกั้นการจับภาพหน้าจอ แต่ผู้ใช้ต้องตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม
    - การปิดกั้นการจับภาพหน้าจออาจส่งผลต่อการใช้งานบางแอปที่ต้องใช้ฟีเจอร์นี้
    - ต้องติดตามว่า Microsoft จะปรับปรุง Recall ให้มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีขึ้นหรือไม่

    การอัปเดตนี้ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากการถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะตอบสนองต่อข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108149-encryption-utility-veracrypt-now-disables-microsoft-recall-other.html
    🔒 VeraCrypt อัปเดตใหม่! ปิดกั้น Microsoft Recall และเครื่องมือบันทึกหน้าจอ VeraCrypt ซึ่งเป็น เครื่องมือเข้ารหัสข้อมูลแบบ on-the-fly ได้เปิดตัว เวอร์ชัน 1.26.24 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ โดยเฉพาะ Microsoft Recall ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในด้านความเป็นส่วนตัว Microsoft Recall เป็นฟีเจอร์ที่ จับภาพหน้าจอของผู้ใช้ทุก ๆ 5 วินาที และส่งข้อมูลไปยัง AI บนเครื่อง เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวต่างเตือนว่าฟีเจอร์นี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อข้อมูลส่วนบุคคล VeraCrypt ได้เพิ่ม "screen protection" ซึ่งช่วย ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจากเครื่องมือของ Windows และแอปของบุคคลที่สาม โดยค่าเริ่มต้นจะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ แต่ผู้ใช้สามารถปิดได้หากต้องการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - VeraCrypt เวอร์ชัน 1.26.24 เพิ่มฟีเจอร์ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอและเครื่องมือบันทึกหน้าจอ - Microsoft Recall จับภาพหน้าจอทุก 5 วินาที และใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง - ฟีเจอร์ "screen protection" ของ VeraCrypt ปิดกั้นการจับภาพหน้าจอจาก Windows และแอปของบุคคลที่สาม - VeraCrypt สามารถเข้ารหัสพาร์ติชันหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทั้งระบบด้วย pre-boot authentication - Signal เป็นอีกหนึ่งแอปที่บล็อกการจับภาพหน้าจอจาก Microsoft Recall ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Microsoft Recall ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ - แม้ VeraCrypt จะปิดกั้นการจับภาพหน้าจอ แต่ผู้ใช้ต้องตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม - การปิดกั้นการจับภาพหน้าจออาจส่งผลต่อการใช้งานบางแอปที่ต้องใช้ฟีเจอร์นี้ - ต้องติดตามว่า Microsoft จะปรับปรุง Recall ให้มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีขึ้นหรือไม่ การอัปเดตนี้ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากการถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะตอบสนองต่อข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวอย่างไร https://www.techspot.com/news/108149-encryption-utility-veracrypt-now-disables-microsoft-recall-other.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Encryption utility VeraCrypt now disables Microsoft Recall and other screen recording tools by default
    VeraCrypt has become a bit more resistant to Recall. The on-the-fly encryption tool, which emerged from the ashes of TrueCrypt, recently released version 1.26.24 with new features...
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • Microsoft กับแนวคิดใหม่ในการเปลี่ยนแปลงการใช้งานอินเทอร์เน็ต
    Microsoft กำลังพัฒนา "open agentic web" ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ใช้ AI agents เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานบนอินเทอร์เน็ตได้โดยอัตโนมัติ เช่น ค้นหาข้อมูล, จองตั๋วเครื่องบิน และจัดการเอกสาร

    Microsoft เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เน็ตอย่างมหาศาล เช่นเดียวกับที่ โทรศัพท์มือถือเปลี่ยนแปลงโลกในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยแนวคิดใหม่นี้จะช่วยให้ AI agents สามารถโต้ตอบกันเองและทำงานแทนผู้ใช้

    ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการ วางแผนการเดินทาง AI agent จะสามารถค้นหา เที่ยวบิน, โรงแรม และกิจกรรม ที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft กำลังพัฒนา "open agentic web" ที่ใช้ AI agents ทำงานแทนผู้ใช้
    - AI agents สามารถค้นหาข้อมูล, จองตั๋วเครื่องบิน และจัดการเอกสารได้โดยอัตโนมัติ
    - แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือเคยทำ
    - Microsoft ใช้ Model Context Protocol เพื่อให้ AI agents สามารถสื่อสารกันได้
    - NLWeb เป็นภาษาซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยให้ AI agents ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI agents อาจมีปัญหาด้านความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ
    - แนวคิดนี้อาจเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทอื่น เช่น Google และ Meta
    - ผู้ใช้ต้องระวังการให้ AI agents ทำงานที่มีผลกระทบสูง เช่น ด้านการเงินและกฎหมาย
    - ยังไม่มีมาตรฐานกลางสำหรับการพัฒนา AI agents บนอินเทอร์เน็ต

    Microsoft กำลังผลักดันให้ AI agents กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานเว็บ ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับแนวคิดนี้หรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/31/microsoft-wants-to-radically-change-the-way-you-surf-the-web
    🌐 Microsoft กับแนวคิดใหม่ในการเปลี่ยนแปลงการใช้งานอินเทอร์เน็ต Microsoft กำลังพัฒนา "open agentic web" ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ใช้ AI agents เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานบนอินเทอร์เน็ตได้โดยอัตโนมัติ เช่น ค้นหาข้อมูล, จองตั๋วเครื่องบิน และจัดการเอกสาร Microsoft เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เน็ตอย่างมหาศาล เช่นเดียวกับที่ โทรศัพท์มือถือเปลี่ยนแปลงโลกในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยแนวคิดใหม่นี้จะช่วยให้ AI agents สามารถโต้ตอบกันเองและทำงานแทนผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการ วางแผนการเดินทาง AI agent จะสามารถค้นหา เที่ยวบิน, โรงแรม และกิจกรรม ที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft กำลังพัฒนา "open agentic web" ที่ใช้ AI agents ทำงานแทนผู้ใช้ - AI agents สามารถค้นหาข้อมูล, จองตั๋วเครื่องบิน และจัดการเอกสารได้โดยอัตโนมัติ - แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือเคยทำ - Microsoft ใช้ Model Context Protocol เพื่อให้ AI agents สามารถสื่อสารกันได้ - NLWeb เป็นภาษาซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยให้ AI agents ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI agents อาจมีปัญหาด้านความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ - แนวคิดนี้อาจเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทอื่น เช่น Google และ Meta - ผู้ใช้ต้องระวังการให้ AI agents ทำงานที่มีผลกระทบสูง เช่น ด้านการเงินและกฎหมาย - ยังไม่มีมาตรฐานกลางสำหรับการพัฒนา AI agents บนอินเทอร์เน็ต Microsoft กำลังผลักดันให้ AI agents กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานเว็บ ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับแนวคิดนี้หรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/31/microsoft-wants-to-radically-change-the-way-you-surf-the-web
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • เคลียร์ต้นไม้ริมรั้ว แล้วไปสะดุดสีฉุดฉาก เลยลองหาข้อมูลในเน็ต พึ่งเคย #ดอกตำลึง
    เคลียร์ต้นไม้ริมรั้ว แล้วไปสะดุดสีฉุดฉาก เลยลองหาข้อมูลในเน็ต พึ่งเคย #ดอกตำลึง
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • อนาคตของการค้นหาข้อมูลท่ามกลางการเติบโตของ AI
    ผู้พิพากษา Amit Mehta ตั้งคำถามต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร ในขณะที่คดีต่อต้านการผูกขาดของ Google กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

    Mehta กำลังพิจารณาว่า AI ควรถือเป็นเทคโนโลยีที่แข่งขันกับการค้นหาข้อมูล หรือเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดย DOJ ต้องการให้ Google หยุดการจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น

    นอกจากนี้ DOJ ยังเสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม

    ข้อมูลจากข่าว
    - ผู้พิพากษา Mehta ตั้งคำถามว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร
    - DOJ ต้องการให้ Google หยุดจ่ายเงินให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น
    - Google ได้ยกเลิกข้อตกลงพิเศษกับ Samsung และผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปค้นหาของคู่แข่งได้
    - DOJ เสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งแข่งขันได้
    - OpenAI สนใจซื้อ Chrome หาก Google ถูกบังคับให้ขาย

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การบังคับให้ Google แบ่งปันข้อมูลการค้นหาอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    - AI อาจไม่สามารถแทนที่เครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด
    - Google อาจใช้ข้อได้เปรียบจากการผูกขาดการค้นหาเพื่อพัฒนา AI ของตนเอง เช่น Gemini
    - ต้องติดตามว่าผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างไรในเดือนสิงหาคม

    คดีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับตลาดการค้นหาข้อมูล หาก DOJ ประสบความสำเร็จ Google อาจต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ และเปิดโอกาสให้บริษัท AI เช่น OpenAI และ Perplexity เข้ามาแข่งขัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/google-and-doj-to-make-final-push-in-us-search-antitrust-case
    🔍 อนาคตของการค้นหาข้อมูลท่ามกลางการเติบโตของ AI ผู้พิพากษา Amit Mehta ตั้งคำถามต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร ในขณะที่คดีต่อต้านการผูกขาดของ Google กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย Mehta กำลังพิจารณาว่า AI ควรถือเป็นเทคโนโลยีที่แข่งขันกับการค้นหาข้อมูล หรือเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดย DOJ ต้องการให้ Google หยุดการจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น นอกจากนี้ DOJ ยังเสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม ✅ ข้อมูลจากข่าว - ผู้พิพากษา Mehta ตั้งคำถามว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร - DOJ ต้องการให้ Google หยุดจ่ายเงินให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น - Google ได้ยกเลิกข้อตกลงพิเศษกับ Samsung และผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปค้นหาของคู่แข่งได้ - DOJ เสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งแข่งขันได้ - OpenAI สนใจซื้อ Chrome หาก Google ถูกบังคับให้ขาย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การบังคับให้ Google แบ่งปันข้อมูลการค้นหาอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ - AI อาจไม่สามารถแทนที่เครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด - Google อาจใช้ข้อได้เปรียบจากการผูกขาดการค้นหาเพื่อพัฒนา AI ของตนเอง เช่น Gemini - ต้องติดตามว่าผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างไรในเดือนสิงหาคม คดีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับตลาดการค้นหาข้อมูล หาก DOJ ประสบความสำเร็จ Google อาจต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ และเปิดโอกาสให้บริษัท AI เช่น OpenAI และ Perplexity เข้ามาแข่งขัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/google-and-doj-to-make-final-push-in-us-search-antitrust-case
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Judge in Google case questions future of search amid rise of AI
    WASHINGTON (Reuters) -A judge asked the U.S. Department of Justice on Friday how much room there would be for new search engines to emerge given the rise of artificial intelligence, as antitrust enforcers press for Alphabet's Google to take dramatic measures to restore competition in online search.
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • บทความเก่าขอนำมาโพสอีกครั้ง
    ----------------------------
    สงครามน้ำจะมาถึงในไม่ช้า
    นี่เป็นคำพยากรณ์...
    .
    อันที่จริงผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ราวปี 2003 ผมเคยพยายามที่จะทำโครงการหนึ่งชื่อ Voices of Asia รวมทั้งเคยหาข้อมูลเพื่อทำสารคดีเรื่องแม่น้ำ.. มันไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำ แต่ยังคงเป็นสิ่งที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิดผมเสมอมา ความกังวลนี้มาจากการได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาวิกฤติน้ำในเอธิโอเปียในช่วงเวลานั้น
    .
    แม่น้ำไนล์ เป็นที่รู้ดีมานานแล้วว่า คือกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงแอฟริกาตอนบน และมันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย นับแต่ซาฮาร่าโบราณที่เคยอุดมสมบูรณ์ในยุคโบราณได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และบรรพบุรุษของโฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มอพยพหนีออกมาจากที่นั่น.. ซาฮาร่าแห้งแล้งลงเรื่อยๆ ผ่านเวลาแสนปีจนถึงปัจจุบัน.. ยิ่งเมื่อภาวะวิกฤติโลกร้อนและอุณหภูมิโลกและอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้ มันก็ยิ่งเหือดแห้งลงกว่าเดิม และยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการมากยิ่งขึ้น..
    .
    ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้อยู่ในเอธิโอเปีย. ประเทศอันแสนยากจน พวกเขาส่วนใหญ่ยากจนแสนเข็ญจริงๆ และแม้ว่าแม่น้ำนี้จะกำเนิดจากดินแดนแห่งนี้ แต่พวกเขาในพื้นที่ห่างไกลกลับยากลำบากและขาดแคลนน้ำที่จะนำมาเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอาชีวิตรอด นั่นคือใช้ในการทำเกษตรกรรม. พวกเขาคงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ถ้าเพียงพวกเขาจะทำเขื่อนเพื่อที่จะกักและชะลอน้ำไว้บ้างสำหรับการเพาะปลูกเท่าที่จำเป็น แต่การทำเช่นนั้น.. สร้างความวิตกว่าน้ำจะยิ่งไม่เพียงพอแก่ประเทศอื่นที่ใช้แม่น้ำนี้ร่วมกัน เช่น อียิปต์ และ ซูดาน.. สองประเทศนี้มีแสนยานุภาพ มีขีปนาวุธ และเครื่องบินรบทันสมัยอย่างเอฟสิบหก ทันทีที่เอธิโอเปียสร้างเขื่อน มันจะถูกยิงถล่มเป็นผุยผง.. ประชาชนเอธิโอเปียไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากจ้องมองแม่น้ำของพวกเขาด้วยความสิ้นหวังและล้มลงตายกับพื้นดิน.
    .
    เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นที่อื่นอีก อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
    และมันอาจเกิดขึ้นกับเรา คุณและผม... สักวันหนึ่ง
    .
    คนไทยอย่างเราอาจมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องไกลตัว เราใช้น้ำอย่างสบายใจและฟุ่มเฟือย เราเดินเข้าห้าง เข้ามินิมาร์ตที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดมากมายเรียงรายเต็มหิ้งให้เลือก จนเราอาจลืมข้อเท็จจริงและเผลอคิดไปได้ว่า น้ำนี้จะไม่มีวันหมด และมันจะรอเราอยู่บนหิ้งนั้นชั่วนิรันดร์.. นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีและไม่เป็นความจริง.
    .
    วันนึง ..จะไม่มีน้ำแม้สักครึ่งขวดเหลืออยู่บนหิ้งพวกนั้น และวันนั้นอาจมาถึงในไม่ช้า
    .
    สมัยเด็ก ผมโตมาบนถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ บ้านพ่ออยู่ติดแม่น้ำหน้าท่าพระอาทิตย์ ส่วนบ้านแม่อยู่ตรอกวัดสังเวช อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเลย. ยุคนั้น ที่บ้านแม่ตักน้ำจากแม่น้ำแล้วกวนด้วยสารส้มใช้เป็นประจำ นำมาต้ม แล้วใช้ปรุงอาหารได้.. น้ำดื่มคือน้ำฝนที่รองใส่โอ่ง..
    .
    ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนอาจจะยังคงสะอาดพอควร แต่ตอนกลางนั้นมีการปนเปื้อนอยู่หลายจุดตลอดเส้นทาง.. ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำตอนล่าง ที่ไหลผ่านเมืองใหญ่อย่างอยุธยาและกรุงเทพเลย พวกมันล้วนอุดมด้วยสารพิษอย่างเช่น ปรอท โลหะหนัก และสารเคมีสารพัด เช่น แคดเมี่ยม ฯลฯ พวกมันถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำ ผสมโรงด้วยขยะพิษที่ประชาชนปล่อยลงไป ทั้งจากเคมีที่ใช้ประจำวันและยาฆ่าแมลง จากวัตถุมีพิษอื่นๆ เช่น อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ
    .
    ขณะที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้และไม่สนใจเพิกเฉยปัญหาของมัน หายนะกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มาสู่เราโดยไม่รู้ตัว.. ในภาวะปกตินี้ บ้านเมืองที่มีระบบรองรับ ก็ขับเคลื่อนหน่วยงานกลไกของมันไปตามสถานะที่ยังคงเลื่อนไหลไปได้ตามสภาพที่มี คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจจะไปรับรู้ว่า กลไกเหล่านั้นขับเคลื่อนได้ดีแค่ไหน? ปลอดภัยแค่ไหน? ได้มาตรฐานแค่ไหน?.. พวกเขาสนใจแค่เรื่องตัวเองและคงคิดแค่ว่า "มีใครสักคนที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้อยู่ และไม่ใช่ภาระที่ฉันจะเอามาใส่ใจ.." คงมีใครกำลังดูแลมันอยู่และมันก็คงดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร "ตลอดไป"..
    .
    งั้นสินะ? โอ้.. ฉันมีการประปานครหลวง กองบำบัดน้ำเสีย กระทรวงสาธารณะสุข กรมประมง เทศบาลเมือง การท่า.. ฯลฯ พวกเขาคงทำทุกอย่างได้ราบรื่นไม่มีปัญหา คนทั้งหลายไม่สำเหนียกว่า จักรเฟืองพวกนี้มีวันหยุดชะงักได้ และเมื่อวันนึงเกิดหายนะภัยพิบัติสักอย่างขึ้น เช่น สงครามโลก ภัยจากอวกาศภายนอกอย่างอุกกาบาต แผ่นดินไหวรุนแรง ซุปเปอร์อีรัพชั่น สภาพอากาศวิกฤติ ยุคน้ำแข็ง.. ฯ ระบบที่ขับเคลื่อนไปทั้งหมดนี้ อาจล่มสลายได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อมันเกิดขึ้น คำถามง่ายๆ ที่สุดที่ไม่มีใครคิดอย่างเช่น.. จะยังจะมีน้ำบรรจุขวดอยู่บนหิ้งในห้างร้านอยู่ไหม? อาจตามมาด้วยคำตอบที่แย่เกินกว่าจะยอมรับ.
    .
    กรณีนี้ ถ้าเราไม่มีน้ำดื่มให้ซื้อหาอีกต่อไป ถามว่าเราจะทำอย่างไร? จะดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองอย่างที่คนโบราณเคยทำได้ไหม? ทำไม่ได้แน่นอน ถ้ามันเป็นพิษ.. เว้นแต่คนจะหมดสิ้นหนทางและความตายเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก.. ยิ่งเมื่อระบบเมืองและรัฐที่ขับเคลื่อนชาติต้องล่มสลายเพราะหายนะที่กล่าวไป จะเอางบประมาณ จะเอาอุปกรณ์ จะเอาวัตถุดิบ จะเอาเทคโนโลยี่ที่ไหนกัน มาเยียวยาแม่น้ำให้กลับมาดีดังเดิมและสามารถใช้กินใช้ดื่มได้อีก? ถ้าเราไม่แก้ไขเสียแต่ตอนนี้ จนกระทั่งเราไปถึงจุดนั้น แม่น้ำก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย.
    .
    ครั้งหนึ่ง แม่น้ำโวลกาในรัสเซียนั้น เคยวิกฤติถึงขั้นอันตรายจนกินใช้ไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ปลาในแม่น้ำเต็มไปด้วยพิษ แต่ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน แม้ใช้เวลานับสิบปีในการพยายามกู้แม่น้ำสายนี้ ในที่สุดแม่น้ำนี้ก็กลับมาดีจนใช้ได้ในที่สุด แม้มันจะไม่ดีพอที่จะดื่มมันได้ก็ตามในตอนนี้..
    .
    แน่นอนว่า แม่น้ำเจ้าพระยานั้นยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มันอย่างสมบูรณ์ หากเราจะถือว่านี่คือวาระแห่งชาติ และร่วมมือกันฟื้นฟูอย่างจริงจัง
    .
    แม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีต้นกำเนิดจากป่าต้นน้ำทางภาคเหนือสี่แห่ง ซึ่งคือหัวใจที่ให้ชีวิตแก่แควทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และ น่าน.. นี่นับเป็นความโชคดีของคนไทยเหลือคณานับ ที่ต้นแม่น้ำสายใหญ่นี้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศอื่น. นี่เป็นทรัพยากรเลอค่าที่สุด ที่จะพยุงชีวิตให้แก่ชาตินี้ แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ควรจะเห็นความสำคัญในจุดนี้ได้. การฟื้นฟูแม่น้ำต้องเริ่มจากป่าต้นน้ำของมัน จะต้องไม่มีการทำลายอีก จะต้องฟื้นฟูป่าเหล่านี้ให้กลับมา จากนั้นฟื้นฟูแม่น้ำแควทั้งสี่ เชื่อมไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน จนจรดเจ้าพระยาตอนล่าง.
    .
    นี่แหละคือชีพจรชีวิตของสยามประเทศ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ หากวันนึงหายนะน้ำเกิดขึ้นและนำไปสู่จุดที่กลายเป็นสงครามแย่งชิงน้ำ ดังนั้นฟื้นฟูมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป!
    .
    หากคุณติดตามข่าว พระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ท่านทรงไล่ฟื้นฟูคลองในกรุงเทพไล่เรียงไปทีละสาย หลายสายบัดนี้ได้กลับมาสะอาดดังเดิม หากแม่น้ำฟื้นคืนชีวิต คลองทั้งหลายเหล่านี้จะยิ่งหล่อเลี้ยงไปยังแขนงน้อยใหญ่ให้แก่เมือง
    .
    ลองดูภาพแผนที่ เมื่อเราพิจารณาดูแผนที่ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งแสดงแม่น้ำสายใหญ่ๆ ในเอเชีย มันต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต้นน้ำอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดอยู่ในทิเบต แม่น้ำทั้งหมดนี้คือสายโลหิตที่เลี้ยงเอเชีย มันไม่ได้มีความสำคัญแค่เป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมอันเก่าแก่ลึกล้ำ มันเป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมันยังเป็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างโดยเฉพาะทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค.
    .
    นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจีนจึงต้องปกป้องให้ทิเบตสุดชีวิต
    นี่เป็นอาณาเขตที่อ่อนไหวและหวงแหนยิ่งของจีน. เพราะอะไร?
    .
    ดินแดนนี้เป็นดังเขตกันชนที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำครอบงำจากโลกฝั่งตะวันตก ที่อาจแทรกทะลุผ่านเอเชียกลางเข้ามาได้. ดินแดนเปราะบางบางส่วนที่เป็นประตูเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ ถูกแทรกแซงครอบงำจากตะวันตกไปบ้างแล้ว เช่น อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน... มหาอำนาจตะวันตกนั้นมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือทิเบตให้ได้ ด้วยกลยุทธมากมายหลายอย่าง แม้กระทั่งด้วยวิธีการใช้พรอพพาแกนดามากมาย เช่น ฟรีทิเบต เป็นต้น. แม้เราจะเคารพรักองค์ดาไลลามะและเห็นใจพุทธศาสนิกชน ประชากรชาวทิเบตเพียงใด แต่เราก็จำเป็นต้องไตร่ตรองในความเปราะบางของสถานะการณ์เช่นนี้อย่างระมัดระวัง. จีนนั้นมีเหตุผลเช่นไร ในการที่จะปกป้องพื้นที่นี้เอาไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างสุดกำลังความสามารถ เราสามารถพิจารณาได้จากแผนที่ที่เห็น..
    .
    หากมหาอำนาจตะวันตกใดก็ตามเข้ามายึดครองควบคุมทิเบต ไม่เพียงแค่จีนเท่านั้นที่จะเส่ียงต่อความมั่นคง.. แต่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และบางส่วนของอินเดีย อาจตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากได้. ใครครอบครองทิเบต ผู้นั้นกุมชะตาเอเชีย เท่าที่ผ่านมานับพันปี แม้มีความไม่น่ายินดีกับการจัดการทรัพยากรต้นน้ำของจีนนัก แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ชั่วร้ายที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสายเลือดใหญ่เหล่านี้แต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเรายังอยู่ร่วมกันมาได้นับพันปี แต่เราไม่อาจคาดการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมหาอำนาจอื่น เข้ามามีอำนาจในการควบคุมแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้.
    .
    แน่นอนว่า เวลาเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน.. ทั้งมนุษย์ ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งสถานะการณ์โลกและนอกโลก.. เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ตัดสินใจจากพื้นฐานที่เป็นประสบการณ์ของเราจากประวัติศาสตร์และบทเรียนที่ผ่านมา
    .
    พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปตามเหตุและปัจจัย
    มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    จงมีสติปัญญาที่จะพิจารณาวิเคราะห์และแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ถี่ถ้วนและพร้อมที่จะตัดสินใจ แก้ไขมันอย่างทันท่วงที โดยเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด
    .
    ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยทุกท่าน
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา -
    .
    อัพเดทข้อมูลในปี 2566
    --------------------------
    - แม่น้ำโวลก้าในเวลานี้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม โลหะหนักเป็นพิษลดสู่ปริมาณที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ
    - พื้นที่ในเอเชียกลางที่เคยถูกแทรกแซงครอบงำจากอิทธิพลตะวันตก เช่นอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังเป็นอิสระและฟื้นฟูโดยความช่วยเหลือของจีนและรัสเซีย เส้นทางลำเลียงยาเสพติดของซีไอเอในเอเชียกลางถูกกำจัด และเอเชียกลางทั้งหมดผนึกเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตรรัสเซีย-จีน เดินหน้าไปสู่ความเจริญของโครงการ One Belt One Road นั่นหมายความว่าแหล่งน้ำในทิเบตในเวลานี้ ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงในการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว และมันจะกลายเป็นพื้นที่ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่
    - เอธิโอเปีย เข้าร่วมสมาขิก BRICS นั่นหมายความว่า ในที่สุดชาติที่น่าสงสารนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที และจีนกำลังเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในแอฟริกา หลังจากหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการถูกเอาเปรียบขูดรีดทรัพยากรโดยมหาทุนตะวันตก
    --------------------------
    บทความเก่าขอนำมาโพสอีกครั้ง ---------------------------- สงครามน้ำจะมาถึงในไม่ช้า นี่เป็นคำพยากรณ์... . อันที่จริงผมพูดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ราวปี 2003 ผมเคยพยายามที่จะทำโครงการหนึ่งชื่อ Voices of Asia รวมทั้งเคยหาข้อมูลเพื่อทำสารคดีเรื่องแม่น้ำ.. มันไม่ได้รับการสนับสนุนให้ทำ แต่ยังคงเป็นสิ่งที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิดผมเสมอมา ความกังวลนี้มาจากการได้อ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาวิกฤติน้ำในเอธิโอเปียในช่วงเวลานั้น . แม่น้ำไนล์ เป็นที่รู้ดีมานานแล้วว่า คือกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงแอฟริกาตอนบน และมันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย นับแต่ซาฮาร่าโบราณที่เคยอุดมสมบูรณ์ในยุคโบราณได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย และบรรพบุรุษของโฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มอพยพหนีออกมาจากที่นั่น.. ซาฮาร่าแห้งแล้งลงเรื่อยๆ ผ่านเวลาแสนปีจนถึงปัจจุบัน.. ยิ่งเมื่อภาวะวิกฤติโลกร้อนและอุณหภูมิโลกและอากาศเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้ มันก็ยิ่งเหือดแห้งลงกว่าเดิม และยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการมากยิ่งขึ้น.. . ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้อยู่ในเอธิโอเปีย. ประเทศอันแสนยากจน พวกเขาส่วนใหญ่ยากจนแสนเข็ญจริงๆ และแม้ว่าแม่น้ำนี้จะกำเนิดจากดินแดนแห่งนี้ แต่พวกเขาในพื้นที่ห่างไกลกลับยากลำบากและขาดแคลนน้ำที่จะนำมาเป็นปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอาชีวิตรอด นั่นคือใช้ในการทำเกษตรกรรม. พวกเขาคงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ถ้าเพียงพวกเขาจะทำเขื่อนเพื่อที่จะกักและชะลอน้ำไว้บ้างสำหรับการเพาะปลูกเท่าที่จำเป็น แต่การทำเช่นนั้น.. สร้างความวิตกว่าน้ำจะยิ่งไม่เพียงพอแก่ประเทศอื่นที่ใช้แม่น้ำนี้ร่วมกัน เช่น อียิปต์ และ ซูดาน.. สองประเทศนี้มีแสนยานุภาพ มีขีปนาวุธ และเครื่องบินรบทันสมัยอย่างเอฟสิบหก ทันทีที่เอธิโอเปียสร้างเขื่อน มันจะถูกยิงถล่มเป็นผุยผง.. ประชาชนเอธิโอเปียไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากจ้องมองแม่น้ำของพวกเขาด้วยความสิ้นหวังและล้มลงตายกับพื้นดิน. . เหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นที่อื่นอีก อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว และมันอาจเกิดขึ้นกับเรา คุณและผม... สักวันหนึ่ง . คนไทยอย่างเราอาจมองเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องไกลตัว เราใช้น้ำอย่างสบายใจและฟุ่มเฟือย เราเดินเข้าห้าง เข้ามินิมาร์ตที่มีน้ำดื่มบรรจุขวดมากมายเรียงรายเต็มหิ้งให้เลือก จนเราอาจลืมข้อเท็จจริงและเผลอคิดไปได้ว่า น้ำนี้จะไม่มีวันหมด และมันจะรอเราอยู่บนหิ้งนั้นชั่วนิรันดร์.. นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาสิ้นดีและไม่เป็นความจริง. . วันนึง ..จะไม่มีน้ำแม้สักครึ่งขวดเหลืออยู่บนหิ้งพวกนั้น และวันนั้นอาจมาถึงในไม่ช้า . สมัยเด็ก ผมโตมาบนถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ บ้านพ่ออยู่ติดแม่น้ำหน้าท่าพระอาทิตย์ ส่วนบ้านแม่อยู่ตรอกวัดสังเวช อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเลย. ยุคนั้น ที่บ้านแม่ตักน้ำจากแม่น้ำแล้วกวนด้วยสารส้มใช้เป็นประจำ นำมาต้ม แล้วใช้ปรุงอาหารได้.. น้ำดื่มคือน้ำฝนที่รองใส่โอ่ง.. . ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนอาจจะยังคงสะอาดพอควร แต่ตอนกลางนั้นมีการปนเปื้อนอยู่หลายจุดตลอดเส้นทาง.. ไม่ต้องพูดถึงแม่น้ำตอนล่าง ที่ไหลผ่านเมืองใหญ่อย่างอยุธยาและกรุงเทพเลย พวกมันล้วนอุดมด้วยสารพิษอย่างเช่น ปรอท โลหะหนัก และสารเคมีสารพัด เช่น แคดเมี่ยม ฯลฯ พวกมันถูกปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำ ผสมโรงด้วยขยะพิษที่ประชาชนปล่อยลงไป ทั้งจากเคมีที่ใช้ประจำวันและยาฆ่าแมลง จากวัตถุมีพิษอื่นๆ เช่น อุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ . ขณะที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเคยชินกับสิ่งเหล่านี้และไม่สนใจเพิกเฉยปัญหาของมัน หายนะกำลังคืบคลานอย่างช้าๆ มาสู่เราโดยไม่รู้ตัว.. ในภาวะปกตินี้ บ้านเมืองที่มีระบบรองรับ ก็ขับเคลื่อนหน่วยงานกลไกของมันไปตามสถานะที่ยังคงเลื่อนไหลไปได้ตามสภาพที่มี คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจจะไปรับรู้ว่า กลไกเหล่านั้นขับเคลื่อนได้ดีแค่ไหน? ปลอดภัยแค่ไหน? ได้มาตรฐานแค่ไหน?.. พวกเขาสนใจแค่เรื่องตัวเองและคงคิดแค่ว่า "มีใครสักคนที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้อยู่ และไม่ใช่ภาระที่ฉันจะเอามาใส่ใจ.." คงมีใครกำลังดูแลมันอยู่และมันก็คงดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร "ตลอดไป".. . งั้นสินะ? โอ้.. ฉันมีการประปานครหลวง กองบำบัดน้ำเสีย กระทรวงสาธารณะสุข กรมประมง เทศบาลเมือง การท่า.. ฯลฯ พวกเขาคงทำทุกอย่างได้ราบรื่นไม่มีปัญหา คนทั้งหลายไม่สำเหนียกว่า จักรเฟืองพวกนี้มีวันหยุดชะงักได้ และเมื่อวันนึงเกิดหายนะภัยพิบัติสักอย่างขึ้น เช่น สงครามโลก ภัยจากอวกาศภายนอกอย่างอุกกาบาต แผ่นดินไหวรุนแรง ซุปเปอร์อีรัพชั่น สภาพอากาศวิกฤติ ยุคน้ำแข็ง.. ฯ ระบบที่ขับเคลื่อนไปทั้งหมดนี้ อาจล่มสลายได้ในชั่วข้ามคืน และเมื่อมันเกิดขึ้น คำถามง่ายๆ ที่สุดที่ไม่มีใครคิดอย่างเช่น.. จะยังจะมีน้ำบรรจุขวดอยู่บนหิ้งในห้างร้านอยู่ไหม? อาจตามมาด้วยคำตอบที่แย่เกินกว่าจะยอมรับ. . กรณีนี้ ถ้าเราไม่มีน้ำดื่มให้ซื้อหาอีกต่อไป ถามว่าเราจะทำอย่างไร? จะดื่มน้ำจากแม่น้ำลำคลองอย่างที่คนโบราณเคยทำได้ไหม? ทำไม่ได้แน่นอน ถ้ามันเป็นพิษ.. เว้นแต่คนจะหมดสิ้นหนทางและความตายเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ยาก.. ยิ่งเมื่อระบบเมืองและรัฐที่ขับเคลื่อนชาติต้องล่มสลายเพราะหายนะที่กล่าวไป จะเอางบประมาณ จะเอาอุปกรณ์ จะเอาวัตถุดิบ จะเอาเทคโนโลยี่ที่ไหนกัน มาเยียวยาแม่น้ำให้กลับมาดีดังเดิมและสามารถใช้กินใช้ดื่มได้อีก? ถ้าเราไม่แก้ไขเสียแต่ตอนนี้ จนกระทั่งเราไปถึงจุดนั้น แม่น้ำก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย. . ครั้งหนึ่ง แม่น้ำโวลกาในรัสเซียนั้น เคยวิกฤติถึงขั้นอันตรายจนกินใช้ไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ปลาในแม่น้ำเต็มไปด้วยพิษ แต่ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน แม้ใช้เวลานับสิบปีในการพยายามกู้แม่น้ำสายนี้ ในที่สุดแม่น้ำนี้ก็กลับมาดีจนใช้ได้ในที่สุด แม้มันจะไม่ดีพอที่จะดื่มมันได้ก็ตามในตอนนี้.. . แน่นอนว่า แม่น้ำเจ้าพระยานั้นยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มันอย่างสมบูรณ์ หากเราจะถือว่านี่คือวาระแห่งชาติ และร่วมมือกันฟื้นฟูอย่างจริงจัง . แม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีต้นกำเนิดจากป่าต้นน้ำทางภาคเหนือสี่แห่ง ซึ่งคือหัวใจที่ให้ชีวิตแก่แควทั้งสี่ คือ ปิง วัง ยม และ น่าน.. นี่นับเป็นความโชคดีของคนไทยเหลือคณานับ ที่ต้นแม่น้ำสายใหญ่นี้อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศอื่น. นี่เป็นทรัพยากรเลอค่าที่สุด ที่จะพยุงชีวิตให้แก่ชาตินี้ แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ควรจะเห็นความสำคัญในจุดนี้ได้. การฟื้นฟูแม่น้ำต้องเริ่มจากป่าต้นน้ำของมัน จะต้องไม่มีการทำลายอีก จะต้องฟื้นฟูป่าเหล่านี้ให้กลับมา จากนั้นฟื้นฟูแม่น้ำแควทั้งสี่ เชื่อมไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน จนจรดเจ้าพระยาตอนล่าง. . นี่แหละคือชีพจรชีวิตของสยามประเทศ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ หากวันนึงหายนะน้ำเกิดขึ้นและนำไปสู่จุดที่กลายเป็นสงครามแย่งชิงน้ำ ดังนั้นฟื้นฟูมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป! . หากคุณติดตามข่าว พระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ท่านทรงไล่ฟื้นฟูคลองในกรุงเทพไล่เรียงไปทีละสาย หลายสายบัดนี้ได้กลับมาสะอาดดังเดิม หากแม่น้ำฟื้นคืนชีวิต คลองทั้งหลายเหล่านี้จะยิ่งหล่อเลี้ยงไปยังแขนงน้อยใหญ่ให้แก่เมือง . ลองดูภาพแผนที่ เมื่อเราพิจารณาดูแผนที่ที่เห็นอยู่นี้ซึ่งแสดงแม่น้ำสายใหญ่ๆ ในเอเชีย มันต่างกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต้นน้ำอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดอยู่ในทิเบต แม่น้ำทั้งหมดนี้คือสายโลหิตที่เลี้ยงเอเชีย มันไม่ได้มีความสำคัญแค่เป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมอันเก่าแก่ลึกล้ำ มันเป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมันยังเป็นปัจจัยสำคัญหลายอย่างโดยเฉพาะทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงของภูมิภาค. . นี่คือเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมจีนจึงต้องปกป้องให้ทิเบตสุดชีวิต นี่เป็นอาณาเขตที่อ่อนไหวและหวงแหนยิ่งของจีน. เพราะอะไร? . ดินแดนนี้เป็นดังเขตกันชนที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำครอบงำจากโลกฝั่งตะวันตก ที่อาจแทรกทะลุผ่านเอเชียกลางเข้ามาได้. ดินแดนเปราะบางบางส่วนที่เป็นประตูเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้ ถูกแทรกแซงครอบงำจากตะวันตกไปบ้างแล้ว เช่น อัฟกานิสถาน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน... มหาอำนาจตะวันตกนั้นมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือทิเบตให้ได้ ด้วยกลยุทธมากมายหลายอย่าง แม้กระทั่งด้วยวิธีการใช้พรอพพาแกนดามากมาย เช่น ฟรีทิเบต เป็นต้น. แม้เราจะเคารพรักองค์ดาไลลามะและเห็นใจพุทธศาสนิกชน ประชากรชาวทิเบตเพียงใด แต่เราก็จำเป็นต้องไตร่ตรองในความเปราะบางของสถานะการณ์เช่นนี้อย่างระมัดระวัง. จีนนั้นมีเหตุผลเช่นไร ในการที่จะปกป้องพื้นที่นี้เอาไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนอย่างสุดกำลังความสามารถ เราสามารถพิจารณาได้จากแผนที่ที่เห็น.. . หากมหาอำนาจตะวันตกใดก็ตามเข้ามายึดครองควบคุมทิเบต ไม่เพียงแค่จีนเท่านั้นที่จะเส่ียงต่อความมั่นคง.. แต่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า และบางส่วนของอินเดีย อาจตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากได้. ใครครอบครองทิเบต ผู้นั้นกุมชะตาเอเชีย เท่าที่ผ่านมานับพันปี แม้มีความไม่น่ายินดีกับการจัดการทรัพยากรต้นน้ำของจีนนัก แต่จีนก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ชั่วร้ายที่จะฉกฉวยประโยชน์จากสายเลือดใหญ่เหล่านี้แต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเรายังอยู่ร่วมกันมาได้นับพันปี แต่เราไม่อาจคาดการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากมหาอำนาจอื่น เข้ามามีอำนาจในการควบคุมแม่น้ำสายใหญ่เหล่านี้. . แน่นอนว่า เวลาเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน.. ทั้งมนุษย์ ทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ ทั้งสถานะการณ์โลกและนอกโลก.. เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ตัดสินใจจากพื้นฐานที่เป็นประสบการณ์ของเราจากประวัติศาสตร์และบทเรียนที่ผ่านมา . พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปตามเหตุและปัจจัย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จงมีสติปัญญาที่จะพิจารณาวิเคราะห์และแยกแยะสิ่งต่างๆ ให้ถี่ถ้วนและพร้อมที่จะตัดสินใจ แก้ไขมันอย่างทันท่วงที โดยเลือกทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด . ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยทุกท่าน - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - . อัพเดทข้อมูลในปี 2566 -------------------------- - แม่น้ำโวลก้าในเวลานี้มีสภาพที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม โลหะหนักเป็นพิษลดสู่ปริมาณที่ต่ำลงอย่างมีนัยยะ - พื้นที่ในเอเชียกลางที่เคยถูกแทรกแซงครอบงำจากอิทธิพลตะวันตก เช่นอัฟกานิสถานและปากีสถาน กำลังเป็นอิสระและฟื้นฟูโดยความช่วยเหลือของจีนและรัสเซีย เส้นทางลำเลียงยาเสพติดของซีไอเอในเอเชียกลางถูกกำจัด และเอเชียกลางทั้งหมดผนึกเป็นส่วนเดียวกับพันธมิตรรัสเซีย-จีน เดินหน้าไปสู่ความเจริญของโครงการ One Belt One Road นั่นหมายความว่าแหล่งน้ำในทิเบตในเวลานี้ ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงในการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว และมันจะกลายเป็นพื้นที่ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่ - เอธิโอเปีย เข้าร่วมสมาขิก BRICS นั่นหมายความว่า ในที่สุดชาติที่น่าสงสารนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที และจีนกำลังเข้าช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในแอฟริกา หลังจากหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานจากการถูกเอาเปรียบขูดรีดทรัพยากรโดยมหาทุนตะวันตก --------------------------
    0 Comments 0 Shares 782 Views 0 Reviews
  • นี่คือเสาหลักเมือง ตั้งอยู่ในตลาดรังสิต
    ในขณะที่เพลินเดินชมอาคารพาณิชย์ที่ดูคลาสสิค ไม่ใช่แค่อาคารนะฟอนต์ของร้านที่ตลาดแห่งนี้ก็มีความเก่าแก่ เหมือนถูกดึงร่างเข้าไปอยู่ในยุค 70

    เดินวนไปวนมาไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าแห่งนึง ที่มีเศษไม้สีทองตั้งตระหง่าน ในซุ้มลายไทย ที่ดูแตกต่างจากอาคารแวดล้อมเพราะเป็นศิลปะของจีน เลยเกิดอาการสงสัยว่าคืออะไร แล้วเหลือบมาเห็นป้ายที่อยู่ริมรั้วเขียนไว้ว่า"เสาหลักเมืองรังสิต" ไอ้เราก็เลยรีบหาข้อมูลโดยทันที

    เสาหลักเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 2521 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีในยุคนั้น โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวรังสิต ให้เกิดความรักความสามัคคี และนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่ชุมชน รวมถึงตลาดรังสิตด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าศาลหลักเมืองรังสิตได้นำโชคลาภมาสู่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดแห่งนี้มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี

    สบายใจคลายข้อสงสัย แล้วเดินไปหาอะไรใส่ท้องดีกว่า


    นี่คือเสาหลักเมือง ตั้งอยู่ในตลาดรังสิต ในขณะที่เพลินเดินชมอาคารพาณิชย์ที่ดูคลาสสิค ไม่ใช่แค่อาคารนะฟอนต์ของร้านที่ตลาดแห่งนี้ก็มีความเก่าแก่ เหมือนถูกดึงร่างเข้าไปอยู่ในยุค 70 เดินวนไปวนมาไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าแห่งนึง ที่มีเศษไม้สีทองตั้งตระหง่าน ในซุ้มลายไทย ที่ดูแตกต่างจากอาคารแวดล้อมเพราะเป็นศิลปะของจีน เลยเกิดอาการสงสัยว่าคืออะไร แล้วเหลือบมาเห็นป้ายที่อยู่ริมรั้วเขียนไว้ว่า"เสาหลักเมืองรังสิต" ไอ้เราก็เลยรีบหาข้อมูลโดยทันที เสาหลักเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 2521 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีในยุคนั้น โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวรังสิต ให้เกิดความรักความสามัคคี และนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่ชุมชน รวมถึงตลาดรังสิตด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าศาลหลักเมืองรังสิตได้นำโชคลาภมาสู่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดแห่งนี้มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี สบายใจคลายข้อสงสัย แล้วเดินไปหาอะไรใส่ท้องดีกว่า
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง

    ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล

    ChatGPT in the ASEAN Market

    Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent.

    In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users.

    Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics.

    To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups.

    Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment.

    Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล ChatGPT in the ASEAN Market Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent. In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users. Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics. To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups. Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment. Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ChatGPT ในตลาดอาเซียน

    เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม ChatGPT ซึ่งเป็นผู้ช่วยโต้ตอบที่สามารถเข้าใจและตอบสนองภาษามนุษย์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในด้านการวางแผน แก้ปัญหา และให้คำแนะนำในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 800 ล้านคน โดยมีผู้ใช้งานประจำวันราว 122 ล้านคน ท่ามกลางการแข่งขันกับแพลตฟอร์มจากค่ายเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Google, Microsoft, Meta ตลอดจนคู่แข่งจากฝั่งเอเชีย เช่น DeepSeek, Baidu, Alibaba และ Tencent

    สำหรับประเทศไทย แม้กลุ่มผู้ใช้งานหลักจะอยู่ในสายโค้ดดิ้ง โปรแกรมมิ่ง หรือการสร้างภาพ AI แต่ ChatGPT ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้านการใช้สร้างสรรค์เนื้อหาและแนวคิดใหม่ๆ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานประมาณ 14% จากประชากร 65.89 ล้านคน

    หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอาเซียน ซึ่งมีประชากรรวมราว 600 ล้านคน พบว่า อินโดนีเซียมีสัดส่วนผู้ใช้งานสูงที่สุด ประมาณ 32% ของประชากร 283.48 ล้านคน รองลงมาคือฟิลิปปินส์ ที่มีผู้ใช้งานประมาณ 28% จากประชากรราว 119 ล้านคน ส่วนสิงคโปร์มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในกลุ่มที่มีรายได้สูงและการศึกษาดี ขณะที่มาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้สนใจเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของภูมิภาคนี้ยังอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ที่รองรับ AI และต้นทุนบริการที่ยังถือว่าสูงสำหรับประชากรบางส่วน

    ที่ผ่านมา OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทด้าน AI จากสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัวโครงการ “OpenAI for Countries” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการเข้าถึง ChatGPT ในระดับประเทศ ขณะที่สิงคโปร์ OpenAI ได้ประกาศความร่วมมือกับโครงการ AI Singapore ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างรัฐบาลและสถาบันการศึกษา เพื่อส่งเสริมการนำ AI มาใช้ในประเทศ ส่วนประเทศอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และผ่านเว็บไซต์

    โดยรวมแล้ว ตลาดอาเซียนกำลังตื่นตัวต่อบริการ AI มากขึ้น แม้ยังไม่เทียบเท่าตลาดยุโรปหรือสหรัฐฯ ความร่วมมือระหว่าง OpenAI กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในภูมิภาค จึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายการเข้าถึง ChatGPT ให้ครอบคลุมประชากรในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

    #Newskit
    0 Comments 0 Shares 589 Views 0 Reviews
More Results