• เรื่องอื้อฉาว Shein กับตุ๊กตาเด็ก: จุดไฟปัญหามืดของตลาดออนไลน์

    เรื่องราวล่าสุดจากฝรั่งเศสได้เปิดโปงด้านมืดของตลาดออนไลน์ เมื่อมีการประท้วงต่อต้าน Shein ที่ขายตุ๊กตาเซ็กซ์ลักษณะคล้ายเด็ก พร้อมอาวุธต้องห้ามผ่านแพลตฟอร์มของตน ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาตรการจัดการอย่างเร่งด่วน

    Shein ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นจีนชื่อดัง ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีการพบว่าบนแพลตฟอร์มของตนมีการขายตุ๊กตาเซ็กซ์ที่มีลักษณะคล้ายเด็ก รวมถึงอาวุธต้องห้ามบางประเภท โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านถาวรแห่งแรกของ Shein ในกรุงปารีส ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน

    ป้ายประท้วงมีข้อความรุนแรง เช่น “Shein สมรู้ร่วมคิดกับสื่อลามกเด็ก” และ “ร้าน BHV ไม่ควรซ่อนความอับอายนี้ไว้หลังหน้าต่าง” สะท้อนความโกรธของสังคมต่อการปล่อยให้สินค้าลักษณะนี้หลุดรอดเข้าสู่ตลาดได้

    เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังของตลาดออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ขายหลายรายเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าผิดกฎหมาย อันตราย หรือไม่เหมาะสมสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย

    จุดอ่อนของตลาดออนไลน์แบบหลายผู้ขาย
    แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Amazon, Temu และ Alibaba เปิดให้ผู้ขายทั่วโลกเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
    การตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มยังไม่เข้มงวดพอ
    สินค้าผิดกฎหมาย เช่น อาวุธต้องห้าม และสินค้าลามกสามารถหลุดรอดได้
    ผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าที่ซื้อผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม

    ปฏิกิริยาจากสังคมและรัฐบาล
    ฝรั่งเศสออกมาตรการจัดการกับสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม
    การประท้วงหน้าร้าน BHV Marais สะท้อนความไม่พอใจของประชาชน
    สื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้มีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น

    คำเตือนต่อผู้บริโภคและแพลตฟอร์ม
    การซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย
    แพลตฟอร์มที่ไม่ควบคุมผู้ขายอาจกลายเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์หรือการละเมิดสิทธิเด็ก
    การเปิดร้านถาวรโดยไม่จัดการกับปัญหาในระบบออนไลน์อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อแบรนด์
    ผู้บริโภคควรตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีลักษณะไม่เหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/shein-sex-doll-scandal-shines-light-on-marketplaces039-dark-corners
    🛑 เรื่องอื้อฉาว Shein กับตุ๊กตาเด็ก: จุดไฟปัญหามืดของตลาดออนไลน์ เรื่องราวล่าสุดจากฝรั่งเศสได้เปิดโปงด้านมืดของตลาดออนไลน์ เมื่อมีการประท้วงต่อต้าน Shein ที่ขายตุ๊กตาเซ็กซ์ลักษณะคล้ายเด็ก พร้อมอาวุธต้องห้ามผ่านแพลตฟอร์มของตน ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาตรการจัดการอย่างเร่งด่วน Shein ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นจีนชื่อดัง ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีการพบว่าบนแพลตฟอร์มของตนมีการขายตุ๊กตาเซ็กซ์ที่มีลักษณะคล้ายเด็ก รวมถึงอาวุธต้องห้ามบางประเภท โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านถาวรแห่งแรกของ Shein ในกรุงปารีส ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน ป้ายประท้วงมีข้อความรุนแรง เช่น “Shein สมรู้ร่วมคิดกับสื่อลามกเด็ก” และ “ร้าน BHV ไม่ควรซ่อนความอับอายนี้ไว้หลังหน้าต่าง” สะท้อนความโกรธของสังคมต่อการปล่อยให้สินค้าลักษณะนี้หลุดรอดเข้าสู่ตลาดได้ เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังของตลาดออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ขายหลายรายเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าผิดกฎหมาย อันตราย หรือไม่เหมาะสมสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย ✅ จุดอ่อนของตลาดออนไลน์แบบหลายผู้ขาย ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Amazon, Temu และ Alibaba เปิดให้ผู้ขายทั่วโลกเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ➡️ การตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มยังไม่เข้มงวดพอ ➡️ สินค้าผิดกฎหมาย เช่น อาวุธต้องห้าม และสินค้าลามกสามารถหลุดรอดได้ ➡️ ผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าที่ซื้อผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม ✅ ปฏิกิริยาจากสังคมและรัฐบาล ➡️ ฝรั่งเศสออกมาตรการจัดการกับสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ➡️ การประท้วงหน้าร้าน BHV Marais สะท้อนความไม่พอใจของประชาชน ➡️ สื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้มีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ‼️ คำเตือนต่อผู้บริโภคและแพลตฟอร์ม ⛔ การซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย ⛔ แพลตฟอร์มที่ไม่ควบคุมผู้ขายอาจกลายเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์หรือการละเมิดสิทธิเด็ก ⛔ การเปิดร้านถาวรโดยไม่จัดการกับปัญหาในระบบออนไลน์อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อแบรนด์ ⛔ ผู้บริโภคควรตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีลักษณะไม่เหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/shein-sex-doll-scandal-shines-light-on-marketplaces039-dark-corners
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Shein sex doll scandal shines light on marketplaces' dark corners
    LONDON (Reuters) -France's crackdown on Shein over childlike sex dolls and banned weapons is exposing a perennial problem of online marketplaces: failing to properly police third-party sellers and block sales of counterfeit, illegal, dangerous or simply offensive products.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเด็ก

    ในเมืองเล็กชื่อ Almendralejo ทางตอนใต้ของสเปน มีรายงานว่ามีการสร้างและเผยแพร่ภาพลามกของเด็กโดยใช้ AI ที่นำใบหน้าจริงของผู้เยาว์ไปใส่ในภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่เหมาะสม สำนักงานคุ้มครองข้อมูลของสเปน (AEPD) ได้สืบสวนตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 และพบว่าผู้กระทำละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสหภาพยุโรป (GDPR)

    แม้ภาพจะถูกสร้างขึ้นโดย AI แต่การใช้ใบหน้าจริงของเด็กถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ผู้กระทำถูกปรับเป็นเงิน 2,000 ยูโร แต่ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิดและชำระเงินโดยสมัครใจ

    กรณีนี้ไม่เพียงเป็นครั้งแรกในยุโรปที่มีการลงโทษทางการเงินในลักษณะนี้ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการควบคุมการใช้ AI อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในด้านที่อาจกระทบต่อสิทธิเด็กและความปลอดภัยสาธารณะ

    กรณีการลงโทษครั้งแรกในยุโรป
    สเปนปรับบุคคลที่ใช้ AI สร้างภาพลามกเด็กโดยใช้ใบหน้าจริง
    เป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป
    ปรับเงิน 2,000 ยูโร ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิด

    ความเสี่ยงของเทคโนโลยี AI ต่อสิทธิเด็ก
    AI สามารถสร้างภาพเหมือนจริงที่อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    การใช้ใบหน้าจริงในภาพปลอมถือเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
    เด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ

    บทเรียนสำหรับการกำกับดูแล AI
    ต้องมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ AI
    หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลต้องมีอำนาจในการลงโทษ
    สังคมต้องตระหนักถึงผลกระทบของ deepfake และ AI-generated content

    คำเตือนจากกรณีนี้
    AI สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง
    การเผยแพร่ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจและสังคม
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดกรณีคล้ายกันในประเทศอื่นอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/spain-issues-fine-for-ai-generated-sexual-images-of-minors
    📣 เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเด็ก ในเมืองเล็กชื่อ Almendralejo ทางตอนใต้ของสเปน มีรายงานว่ามีการสร้างและเผยแพร่ภาพลามกของเด็กโดยใช้ AI ที่นำใบหน้าจริงของผู้เยาว์ไปใส่ในภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่เหมาะสม สำนักงานคุ้มครองข้อมูลของสเปน (AEPD) ได้สืบสวนตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 และพบว่าผู้กระทำละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสหภาพยุโรป (GDPR) แม้ภาพจะถูกสร้างขึ้นโดย AI แต่การใช้ใบหน้าจริงของเด็กถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง ผู้กระทำถูกปรับเป็นเงิน 2,000 ยูโร แต่ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิดและชำระเงินโดยสมัครใจ กรณีนี้ไม่เพียงเป็นครั้งแรกในยุโรปที่มีการลงโทษทางการเงินในลักษณะนี้ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการควบคุมการใช้ AI อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในด้านที่อาจกระทบต่อสิทธิเด็กและความปลอดภัยสาธารณะ ✅ กรณีการลงโทษครั้งแรกในยุโรป ➡️ สเปนปรับบุคคลที่ใช้ AI สร้างภาพลามกเด็กโดยใช้ใบหน้าจริง ➡️ เป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ➡️ ปรับเงิน 2,000 ยูโร ลดเหลือ 1,200 ยูโรหลังยอมรับผิด ✅ ความเสี่ยงของเทคโนโลยี AI ต่อสิทธิเด็ก ➡️ AI สามารถสร้างภาพเหมือนจริงที่อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ➡️ การใช้ใบหน้าจริงในภาพปลอมถือเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ➡️ เด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ ✅ บทเรียนสำหรับการกำกับดูแล AI ➡️ ต้องมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ AI ➡️ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลต้องมีอำนาจในการลงโทษ ➡️ สังคมต้องตระหนักถึงผลกระทบของ deepfake และ AI-generated content ‼️ คำเตือนจากกรณีนี้ ⛔ AI สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง ⛔ การเผยแพร่ภาพปลอมที่ใช้ใบหน้าจริงอาจสร้างความเสียหายทางจิตใจและสังคม ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิดกรณีคล้ายกันในประเทศอื่นอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/spain-issues-fine-for-ai-generated-sexual-images-of-minors
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Spain issues fine for AI-generated sexual images of minors
    (Reuters) -Spain's data protection agency on Thursday said it had fined a person for sharing AI-generated sexual images of minors using real faces, in what Spanish media said was the first case in Europe of a financial penalty for this type of content.
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • “UK เตรียมใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพ – นักสิทธิมนุษยชนหวั่นเทคโนโลยีละเมิดสิทธิเด็ก”

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประเมินอายุของผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาโดยลำพังผ่านช่องทางลักลอบ เช่น เรือเล็กจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น

    เทคโนโลยีที่ใช้คือ facial age estimation หรือการประเมินอายุจากใบหน้า ซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2026 โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นวิธีที่ “คุ้มค่าและแม่นยำ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่แอบอ้างเป็นเด็กเพื่อรับสิทธิพิเศษในการขอลี้ภัย

    แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพออกมาเตือนว่า การใช้ AI แบบนี้อาจ ตอกย้ำอคติทางเชื้อชาติ และ ละเมิดสิทธิของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีเอกสารยืนยันอายุ หรือมีเอกสารปลอม ซึ่งอาจทำให้เด็กถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม

    กรณีของ “Jean” ผู้อพยพจากแอฟริกากลางที่เคยถูกระบุอายุผิดเพราะ “ตัวสูงเกินไป” จนต้องอยู่กับผู้ใหญ่และเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม

    แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า AI จะเป็นเพียง “หนึ่งในหลายเครื่องมือ” ที่ใช้ร่วมกับการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเตือนว่า ระบบอัตโนมัติอาจขาดความโปร่งใส และ ไม่สามารถอธิบายการตัดสินใจได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกประเมินไม่สามารถโต้แย้งผลได้

    แผนของรัฐบาลอังกฤษ
    เริ่มใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพในปี 2026
    ใช้เทคโนโลยี facial age estimation
    มุ่งเป้าผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็กแต่ไม่มีเอกสาร
    เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น

    ความกังวลจากภาคประชาสังคม
    AI อาจมีอคติทางเชื้อชาติและเพศ
    เด็กอาจถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยผิดพลาด
    การประเมินอายุควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ไม่ใช่ AI
    ระบบอัตโนมัติขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก

    ตัวอย่างผลกระทบจริง
    Jean ถูกประเมินอายุผิดเพราะ “ตัวสูง”
    ต้องอยู่กับผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครอง
    ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย
    ต่อมาได้รับการแก้ไขอายุหลังยื่นอุทธรณ์

    ความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย
    รัฐบาลอังกฤษร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ในหลายด้าน
    มีแผนใช้ AI ในการตัดสินคำขอลี้ภัย
    แนวโน้มการใช้ “digital fixes” เพื่อจัดการผู้อพยพเพิ่มขึ้น
    กลุ่มสิทธิเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองและความโปร่งใส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/uk-use-of-ai-age-estimation-tech-on-migrants-fuels-rights-fears
    🧬 “UK เตรียมใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพ – นักสิทธิมนุษยชนหวั่นเทคโนโลยีละเมิดสิทธิเด็ก” รัฐบาลอังกฤษเตรียมใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประเมินอายุของผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาโดยลำพังผ่านช่องทางลักลอบ เช่น เรือเล็กจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้คือ facial age estimation หรือการประเมินอายุจากใบหน้า ซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2026 โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นวิธีที่ “คุ้มค่าและแม่นยำ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่แอบอ้างเป็นเด็กเพื่อรับสิทธิพิเศษในการขอลี้ภัย แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพออกมาเตือนว่า การใช้ AI แบบนี้อาจ ตอกย้ำอคติทางเชื้อชาติ และ ละเมิดสิทธิของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีเอกสารยืนยันอายุ หรือมีเอกสารปลอม ซึ่งอาจทำให้เด็กถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม กรณีของ “Jean” ผู้อพยพจากแอฟริกากลางที่เคยถูกระบุอายุผิดเพราะ “ตัวสูงเกินไป” จนต้องอยู่กับผู้ใหญ่และเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า AI จะเป็นเพียง “หนึ่งในหลายเครื่องมือ” ที่ใช้ร่วมกับการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเตือนว่า ระบบอัตโนมัติอาจขาดความโปร่งใส และ ไม่สามารถอธิบายการตัดสินใจได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกประเมินไม่สามารถโต้แย้งผลได้ ✅ แผนของรัฐบาลอังกฤษ ➡️ เริ่มใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพในปี 2026 ➡️ ใช้เทคโนโลยี facial age estimation ➡️ มุ่งเป้าผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็กแต่ไม่มีเอกสาร ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น ✅ ความกังวลจากภาคประชาสังคม ➡️ AI อาจมีอคติทางเชื้อชาติและเพศ ➡️ เด็กอาจถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยผิดพลาด ➡️ การประเมินอายุควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ไม่ใช่ AI ➡️ ระบบอัตโนมัติขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก ✅ ตัวอย่างผลกระทบจริง ➡️ Jean ถูกประเมินอายุผิดเพราะ “ตัวสูง” ➡️ ต้องอยู่กับผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครอง ➡️ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย ➡️ ต่อมาได้รับการแก้ไขอายุหลังยื่นอุทธรณ์ ✅ ความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย ➡️ รัฐบาลอังกฤษร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ในหลายด้าน ➡️ มีแผนใช้ AI ในการตัดสินคำขอลี้ภัย ➡️ แนวโน้มการใช้ “digital fixes” เพื่อจัดการผู้อพยพเพิ่มขึ้น ➡️ กลุ่มสิทธิเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองและความโปร่งใส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/uk-use-of-ai-age-estimation-tech-on-migrants-fuels-rights-fears
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK use of AI age estimation tech on migrants fuels rights fears
    UK to use facial recognition tech to decide ages of lone child asylum seekers but critics say biases could rob many of safeguards.
    0 Comments 0 Shares 400 Views 0 Reviews
  • "วราวุธ" แถลงการณ์เดือด! ชี้กัมพูชาโจมตีพลเรือน-ทุ่นระเบิดทำทหารพิการ "ไม่ใช่แค่ละเมิดพรมแดน แต่คือละเมิดความเป็นมนุษย์"
    https://www.thai-tai.tv/news/20549/
    .
    #พม #วราวุธศิลปอาชา #ประณามกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา #ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม #พลเรือนเสียชีวิต #ทุ่นระเบิด #สิทธิเด็ก #ความมั่นคงของมนุษย์
    "วราวุธ" แถลงการณ์เดือด! ชี้กัมพูชาโจมตีพลเรือน-ทุ่นระเบิดทำทหารพิการ "ไม่ใช่แค่ละเมิดพรมแดน แต่คือละเมิดความเป็นมนุษย์" https://www.thai-tai.tv/news/20549/ . #พม #วราวุธศิลปอาชา #ประณามกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา #ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม #พลเรือนเสียชีวิต #ทุ่นระเบิด #สิทธิเด็ก #ความมั่นคงของมนุษย์
    0 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews
  • การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

    พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย แต่ในความจริงแล้ว...

    "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง”

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 Comments 0 Shares 1537 Views 0 Reviews