สนธิกอดชูวิทย์แนบแน่นสะท้านโลกธรรม
.
ผมดีใจที่สุดเมื่อวานนี้ 7 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันเกิดผม คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แจ้งมาว่า เขาจะมาพบผมสิบโมงครึ่งที่บ้านพระอาทิตย์ ผมไปนั่งรอที่ขั้นบันได พอรถเขามาถึงปั๊บ เขาเปิดประตูรถ ผมไปรับเขา ผมเห็นสภาพเขาเดินไม่ค่อยได้ ผมกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เขาอ่อนแอมาก เขาไม่ใช่สิงห์ผงาดในอดีตที่ออกมาแล้วยกมือชี้เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมดูสภาพเขาอายุหกสิบกว่ากับสภาพผมซึ่งเต็ม 77 กำลังจะเริ่ม 78 ปีวันนี้แล้ว เขาอ่อนแอมาก เขาบอกว่าในตับเขามีมะเร็งยาวถึง 5 เซนติเมตร ซึ่งมันผ่าไม่ได้แล้วและทานอะไรไม่ได้เลย
.
ผมบอกเขาว่า ชูวิทย์คุณอยู่เฉยๆก่อน ขอผมกอดคุณที ผมก็กอดเขา เขาก็กอดผมและสะอื้น ผมน้ำตาปริ่ม ผมบอกชูวิทย์ นิ่งๆนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าไปสนใจเสียงข้างนอก กำหนดจิตให้สงบ ไม่รู้สึกอะไร เดี๋ยวผมจะถ่ายพลังที่มีอยู่ในตัวของผมเอาไปให้คุณเพื่อรักษาตัว แล้วผมก็ภาวนาในใจและกอดเขาแน่นเลย เขาก็กอดผมแน่นเช่นกัน ผมภาวนาจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งผมคิดว่าพอแล้ว พอผมพูดจบ ชูวิทย์สะอื้นแล้วบอกว่า พี่สนธิ ขอบคุณมาก ขอบคุณในน้ำใจพี่ สภาพเขาเดินยังแทบจะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้า ต้องประคองแขนทั้งสองข้าง ขากลับเขายืนยันจะเดิน ผมบอกไม่ได้ ชูวิทย์ คุณนั่งรถเข็น เดี๋ยวผมเข็นให้
.
ผมบอกว่า ชูวิทย์วันนี้เราไม่พูดเรื่องเก่ากันแล้วนะ เพราะคุณกับผมสวมหมวกคนละใบ อาจจะมีการปะทะกันในหลักการ แต่ผมไม่ได้โกรธคุณ และคุณก็ไม่ได้โกรธผม
.
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผม สนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหตุการณ์ที่พัฒนามาจากวันนั้นถึงวันนี้ น่าจะเป็นบทเรียนในชีวิตให้กับพวกเราหลายๆ คนที่ยังคงฝังตัวเองและจมลึกอยู่ท่ามกลางความแค้น ความแค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย มีแต่แผดเผาจิตใจของเรา
.
สำหรับผมแล้ว เรื่องเล็กมาก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องสมมุติ และเป็นเรื่องที่มันควรจะจบด้วยการให้อภัยและลืมมันไปซะ ชีวิตเรามันสั้น เหลือเวลาของชีวิต รักษาความเป็นมิตรภาพ สัมพันธภาพอันดี
.
ผมคิดว่าคุณชูวิทย์ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถ้าจะเป็นช่วงสุดท้าย เขาคงอยากจะมีเพื่อนดีๆ หรือพี่ดีๆ อย่างผมที่เขาแวะมาคุยด้วยได้ มองตาแล้วเขาสบายใจ นั่นล่ะครับ ประสบการณ์ที่ผมเจอคุณชูวิทย์ สิบโมงครึ่ง ที่บ้านพระอาทิตย์
.
จุดจบของความสัมพันธ์ก็คือความเข้าใจกัน และความจริงใจให้กันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย
ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ
#Thaitimes
.
ผมดีใจที่สุดเมื่อวานนี้ 7 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันเกิดผม คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แจ้งมาว่า เขาจะมาพบผมสิบโมงครึ่งที่บ้านพระอาทิตย์ ผมไปนั่งรอที่ขั้นบันได พอรถเขามาถึงปั๊บ เขาเปิดประตูรถ ผมไปรับเขา ผมเห็นสภาพเขาเดินไม่ค่อยได้ ผมกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เขาอ่อนแอมาก เขาไม่ใช่สิงห์ผงาดในอดีตที่ออกมาแล้วยกมือชี้เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมดูสภาพเขาอายุหกสิบกว่ากับสภาพผมซึ่งเต็ม 77 กำลังจะเริ่ม 78 ปีวันนี้แล้ว เขาอ่อนแอมาก เขาบอกว่าในตับเขามีมะเร็งยาวถึง 5 เซนติเมตร ซึ่งมันผ่าไม่ได้แล้วและทานอะไรไม่ได้เลย
.
ผมบอกเขาว่า ชูวิทย์คุณอยู่เฉยๆก่อน ขอผมกอดคุณที ผมก็กอดเขา เขาก็กอดผมและสะอื้น ผมน้ำตาปริ่ม ผมบอกชูวิทย์ นิ่งๆนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าไปสนใจเสียงข้างนอก กำหนดจิตให้สงบ ไม่รู้สึกอะไร เดี๋ยวผมจะถ่ายพลังที่มีอยู่ในตัวของผมเอาไปให้คุณเพื่อรักษาตัว แล้วผมก็ภาวนาในใจและกอดเขาแน่นเลย เขาก็กอดผมแน่นเช่นกัน ผมภาวนาจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งผมคิดว่าพอแล้ว พอผมพูดจบ ชูวิทย์สะอื้นแล้วบอกว่า พี่สนธิ ขอบคุณมาก ขอบคุณในน้ำใจพี่ สภาพเขาเดินยังแทบจะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้า ต้องประคองแขนทั้งสองข้าง ขากลับเขายืนยันจะเดิน ผมบอกไม่ได้ ชูวิทย์ คุณนั่งรถเข็น เดี๋ยวผมเข็นให้
.
ผมบอกว่า ชูวิทย์วันนี้เราไม่พูดเรื่องเก่ากันแล้วนะ เพราะคุณกับผมสวมหมวกคนละใบ อาจจะมีการปะทะกันในหลักการ แต่ผมไม่ได้โกรธคุณ และคุณก็ไม่ได้โกรธผม
.
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผม สนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหตุการณ์ที่พัฒนามาจากวันนั้นถึงวันนี้ น่าจะเป็นบทเรียนในชีวิตให้กับพวกเราหลายๆ คนที่ยังคงฝังตัวเองและจมลึกอยู่ท่ามกลางความแค้น ความแค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย มีแต่แผดเผาจิตใจของเรา
.
สำหรับผมแล้ว เรื่องเล็กมาก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องสมมุติ และเป็นเรื่องที่มันควรจะจบด้วยการให้อภัยและลืมมันไปซะ ชีวิตเรามันสั้น เหลือเวลาของชีวิต รักษาความเป็นมิตรภาพ สัมพันธภาพอันดี
.
ผมคิดว่าคุณชูวิทย์ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถ้าจะเป็นช่วงสุดท้าย เขาคงอยากจะมีเพื่อนดีๆ หรือพี่ดีๆ อย่างผมที่เขาแวะมาคุยด้วยได้ มองตาแล้วเขาสบายใจ นั่นล่ะครับ ประสบการณ์ที่ผมเจอคุณชูวิทย์ สิบโมงครึ่ง ที่บ้านพระอาทิตย์
.
จุดจบของความสัมพันธ์ก็คือความเข้าใจกัน และความจริงใจให้กันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย
ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ
#Thaitimes
สนธิกอดชูวิทย์แนบแน่นสะท้านโลกธรรม
.
ผมดีใจที่สุดเมื่อวานนี้ 7 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันเกิดผม คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แจ้งมาว่า เขาจะมาพบผมสิบโมงครึ่งที่บ้านพระอาทิตย์ ผมไปนั่งรอที่ขั้นบันได พอรถเขามาถึงปั๊บ เขาเปิดประตูรถ ผมไปรับเขา ผมเห็นสภาพเขาเดินไม่ค่อยได้ ผมกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เขาอ่อนแอมาก เขาไม่ใช่สิงห์ผงาดในอดีตที่ออกมาแล้วยกมือชี้เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมดูสภาพเขาอายุหกสิบกว่ากับสภาพผมซึ่งเต็ม 77 กำลังจะเริ่ม 78 ปีวันนี้แล้ว เขาอ่อนแอมาก เขาบอกว่าในตับเขามีมะเร็งยาวถึง 5 เซนติเมตร ซึ่งมันผ่าไม่ได้แล้วและทานอะไรไม่ได้เลย
.
ผมบอกเขาว่า ชูวิทย์คุณอยู่เฉยๆก่อน ขอผมกอดคุณที ผมก็กอดเขา เขาก็กอดผมและสะอื้น ผมน้ำตาปริ่ม ผมบอกชูวิทย์ นิ่งๆนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าไปสนใจเสียงข้างนอก กำหนดจิตให้สงบ ไม่รู้สึกอะไร เดี๋ยวผมจะถ่ายพลังที่มีอยู่ในตัวของผมเอาไปให้คุณเพื่อรักษาตัว แล้วผมก็ภาวนาในใจและกอดเขาแน่นเลย เขาก็กอดผมแน่นเช่นกัน ผมภาวนาจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งผมคิดว่าพอแล้ว พอผมพูดจบ ชูวิทย์สะอื้นแล้วบอกว่า พี่สนธิ ขอบคุณมาก ขอบคุณในน้ำใจพี่ สภาพเขาเดินยังแทบจะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้า ต้องประคองแขนทั้งสองข้าง ขากลับเขายืนยันจะเดิน ผมบอกไม่ได้ ชูวิทย์ คุณนั่งรถเข็น เดี๋ยวผมเข็นให้
.
ผมบอกว่า ชูวิทย์วันนี้เราไม่พูดเรื่องเก่ากันแล้วนะ เพราะคุณกับผมสวมหมวกคนละใบ อาจจะมีการปะทะกันในหลักการ แต่ผมไม่ได้โกรธคุณ และคุณก็ไม่ได้โกรธผม
.
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผม สนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหตุการณ์ที่พัฒนามาจากวันนั้นถึงวันนี้ น่าจะเป็นบทเรียนในชีวิตให้กับพวกเราหลายๆ คนที่ยังคงฝังตัวเองและจมลึกอยู่ท่ามกลางความแค้น ความแค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย มีแต่แผดเผาจิตใจของเรา
.
สำหรับผมแล้ว เรื่องเล็กมาก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องสมมุติ และเป็นเรื่องที่มันควรจะจบด้วยการให้อภัยและลืมมันไปซะ ชีวิตเรามันสั้น เหลือเวลาของชีวิต รักษาความเป็นมิตรภาพ สัมพันธภาพอันดี
.
ผมคิดว่าคุณชูวิทย์ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถ้าจะเป็นช่วงสุดท้าย เขาคงอยากจะมีเพื่อนดีๆ หรือพี่ดีๆ อย่างผมที่เขาแวะมาคุยด้วยได้ มองตาแล้วเขาสบายใจ นั่นล่ะครับ ประสบการณ์ที่ผมเจอคุณชูวิทย์ สิบโมงครึ่ง ที่บ้านพระอาทิตย์
.
จุดจบของความสัมพันธ์ก็คือความเข้าใจกัน และความจริงใจให้กันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย
ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ
#Thaitimes