• หมดเวลารัฐบาล รัฐพันลึกเปลี่ยนตัวนักแสดง : คนเคาะข่าว 16-04-68
    ร่วมสนทนา
    พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    #คนเคาะข่าว #news1
    #รัฐบาล #รัฐพันลึก
    หมดเวลารัฐบาล รัฐพันลึกเปลี่ยนตัวนักแสดง : คนเคาะข่าว 16-04-68 ร่วมสนทนา พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ #คนเคาะข่าว #news1 #รัฐบาล #รัฐพันลึก
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ เลือกคาช ปาเทล (Kash Patel) เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอ (FBI) คนต่อไป

    คาช ปาเทล วัย 44 ปี ได้รับการขนานนานจากสื่อว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อทรัมป์ อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ต้องการลดบทบาทด้านข่าวกรองของสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) เคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้แก่ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติและรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก

    เขาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ Shawn Ryan Show เมื่อเดือนกันยายนว่า ปัญหาใหญที่สุดของเอฟบีไอ คือ การทำงานด้านการรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง เขาอยากยุบงานนี้ทิ้ง และปิดสำนักงานใหญ่ของเอฟบีไอที่อาคารเจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ในกรุงวอชิงตันในวันแรกที่ทำงาน แล้วเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งรัฐพันลึกหรือดีปสเตท ส่วนคน 7,000 คน ที่ทำงานในอาคารแห่งนี้จะถูกส่งไปทำงานไล่ล่าอาชญากรทั่วประเทศแทน

    ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การที่ทรัมป์ประกาศเสนอชื่อนายปาเทลเป็นการส่งสัญญาณว่า เขาเตรียมเล่นงานนายคริสโตเฟอร์ เรย์ วัย 57 ปี ผู้อำนวยการเอฟบีไอคนปัจจุบัน ซึ่งทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งเรย์เข้ามารับตำแหน่งนี้ในปี 2560

    เรย์ตกเป็นเป้าการวิจารณ์จากผู้สนับสนุนทรัมป์ หลังจากที่เอฟบีไอมีคำสั่งค้นคฤหาสน์หรู "มาร์-อะ-ลาโก" ของทรัมป์ที่รัฐฟลอริดาเพื่อค้นหาเอกสารลับที่ทรัมป์เก็บไว้หลังจากพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2564

    อย่างไรก็ตาม คริสโตเฟอร์ เรย์ อาจถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ หรืออาจถูกไล่ออกโดยทรัมป์ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เรียกร้องให้เขาทำเช่นนั้นก็ตาม ซึ่งตำแหน่งผู้อำนวยการ FBI มีวาระการดำรงตำแหน่ง 10 ปี ซึ่งจะครบวาระในปี 2570
    โดนัลด์ ทรัมป์ เลือกคาช ปาเทล (Kash Patel) เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอ (FBI) คนต่อไป คาช ปาเทล วัย 44 ปี ได้รับการขนานนานจากสื่อว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อทรัมป์ อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ต้องการลดบทบาทด้านข่าวกรองของสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) เคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้แก่ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติและรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก เขาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ Shawn Ryan Show เมื่อเดือนกันยายนว่า ปัญหาใหญที่สุดของเอฟบีไอ คือ การทำงานด้านการรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง เขาอยากยุบงานนี้ทิ้ง และปิดสำนักงานใหญ่ของเอฟบีไอที่อาคารเจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ในกรุงวอชิงตันในวันแรกที่ทำงาน แล้วเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งรัฐพันลึกหรือดีปสเตท ส่วนคน 7,000 คน ที่ทำงานในอาคารแห่งนี้จะถูกส่งไปทำงานไล่ล่าอาชญากรทั่วประเทศแทน ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การที่ทรัมป์ประกาศเสนอชื่อนายปาเทลเป็นการส่งสัญญาณว่า เขาเตรียมเล่นงานนายคริสโตเฟอร์ เรย์ วัย 57 ปี ผู้อำนวยการเอฟบีไอคนปัจจุบัน ซึ่งทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งเรย์เข้ามารับตำแหน่งนี้ในปี 2560 เรย์ตกเป็นเป้าการวิจารณ์จากผู้สนับสนุนทรัมป์ หลังจากที่เอฟบีไอมีคำสั่งค้นคฤหาสน์หรู "มาร์-อะ-ลาโก" ของทรัมป์ที่รัฐฟลอริดาเพื่อค้นหาเอกสารลับที่ทรัมป์เก็บไว้หลังจากพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2564 อย่างไรก็ตาม คริสโตเฟอร์ เรย์ อาจถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ หรืออาจถูกไล่ออกโดยทรัมป์ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เรียกร้องให้เขาทำเช่นนั้นก็ตาม ซึ่งตำแหน่งผู้อำนวยการ FBI มีวาระการดำรงตำแหน่ง 10 ปี ซึ่งจะครบวาระในปี 2570
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์ vs.กมลา” ละครปาหี่เลือกตั้งอเมริกา
    .
    วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะมีการเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา การต่อสู้ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นางกมลา แฮร์ริส กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกานั้น สำคัญที่สุด จะส่งผลต่อโลกทั้งใบได้
    .
    ไม่ว่าใครจะชนะ นโยบายอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี แต่ถูกบงการโดยรัฐพันลึกที่เขาเรียกว่า Deep State คือกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน ล็อบบี้ยิสต์ ไปจนถึงเครือข่ายในองค์กรอย่าง CIA, FBI รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, CBS, CNN, New York Times ซึ่งล้วนแล้วแต่ถือหางเลือกสองข้างพรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นเอง
    .
    ทั้งพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ล้วนยึดนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนทั้งนั้น และนโยบายหลายเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ต่อต้านจีน บ่อนเซาะรัสเซีย และรักษาสถานภาพมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ สร้างข่าวปลอม การคว่ำบาตร การทำสงคราม ทั้งสงครามอาวุธและสงครามข้อมูลข่าวสาร
    .
    อำนาจของสหรัฐฯ เสื่อมโทรม ทรุดถอยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาในประเทศอย่างหนักหนาสาหัส เพราะเกิดจากระบบทุนนิยมสามัญของตัวเองที่รังแกประชาชนของตัวเอง และใช้วิธีโยนปัญหาให้ประเทศอื่น เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหลายครั้งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นปั่นป่วนไปด้วย แต่พอแข่งขันไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน ก่อสงครามเทคโนโลยี ส่งผลให้หคนอเมริกาเองต้องใช้สินค้าราคาแพงด้วย
    .
    นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลกจึงเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง นโยบายหลายๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนแต่รูปแบบเท่านั้น โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า นางกมลา แฮร์ริส จะใช้มีดผ่าตัด จัดการแบบเชือดนิ่มๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ ส่วนนายทรัมป์จะใช้ค้อนทุบประเทศคู่แข่งที่เขาบอกว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ
    .
    ในการประชุม BRICS ที่ประเทศรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ประธานาธิบดีเบลารุส ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นละครปาหี่ทางการเมืองที่ห่วยแตกและงี่เง่าที่สุด พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
    “ทรัมป์ vs.กมลา” ละครปาหี่เลือกตั้งอเมริกา . วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะมีการเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา การต่อสู้ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นางกมลา แฮร์ริส กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกานั้น สำคัญที่สุด จะส่งผลต่อโลกทั้งใบได้ . ไม่ว่าใครจะชนะ นโยบายอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี แต่ถูกบงการโดยรัฐพันลึกที่เขาเรียกว่า Deep State คือกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน ล็อบบี้ยิสต์ ไปจนถึงเครือข่ายในองค์กรอย่าง CIA, FBI รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, CBS, CNN, New York Times ซึ่งล้วนแล้วแต่ถือหางเลือกสองข้างพรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นเอง . ทั้งพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ล้วนยึดนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนทั้งนั้น และนโยบายหลายเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ต่อต้านจีน บ่อนเซาะรัสเซีย และรักษาสถานภาพมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ สร้างข่าวปลอม การคว่ำบาตร การทำสงคราม ทั้งสงครามอาวุธและสงครามข้อมูลข่าวสาร . อำนาจของสหรัฐฯ เสื่อมโทรม ทรุดถอยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาในประเทศอย่างหนักหนาสาหัส เพราะเกิดจากระบบทุนนิยมสามัญของตัวเองที่รังแกประชาชนของตัวเอง และใช้วิธีโยนปัญหาให้ประเทศอื่น เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหลายครั้งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นปั่นป่วนไปด้วย แต่พอแข่งขันไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน ก่อสงครามเทคโนโลยี ส่งผลให้หคนอเมริกาเองต้องใช้สินค้าราคาแพงด้วย . นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลกจึงเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง นโยบายหลายๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนแต่รูปแบบเท่านั้น โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า นางกมลา แฮร์ริส จะใช้มีดผ่าตัด จัดการแบบเชือดนิ่มๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ ส่วนนายทรัมป์จะใช้ค้อนทุบประเทศคู่แข่งที่เขาบอกว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ . ในการประชุม BRICS ที่ประเทศรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ประธานาธิบดีเบลารุส ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นละครปาหี่ทางการเมืองที่ห่วยแตกและงี่เง่าที่สุด พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1334 มุมมอง 0 รีวิว