• ทหารไทยในสมรภูมิ ก็ยังไม่ลืม “รักแม่” (13/8/68)
    #TruthFromThailand #รักแม่ #วันแม่แห่งชาติ #ทหารไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #thaitimes #shorts
    ทหารไทยในสมรภูมิ ก็ยังไม่ลืม “รักแม่” (13/8/68) #TruthFromThailand #รักแม่ #วันแม่แห่งชาติ #ทหารไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #news1 #thaitimes #shorts
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 0 Reviews
  • "ถ้าวันนี้คือวันแม่...แต่สำหรับฉันทุกๆวันคือวันแม่เสมอเพราะเธอไม่เคยหายไปจากใจฉันเลยเธออยู่ในทุกอนูในร่างกายของฉัน "รักแม่ที่สุดของหัวใจ
    "ถ้าวันนี้คือวันแม่...แต่สำหรับฉันทุกๆวันคือวันแม่เสมอเพราะเธอไม่เคยหายไปจากใจฉันเลยเธออยู่ในทุกอนูในร่างกายของฉัน "รักแม่ที่สุดของหัวใจ🤍
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 0 Reviews
  • ๑๒ ส.ค. ๖๘
    บอกรักแม่ให้ดังที่สุดในใจ และทำให้แม่ยิ้มกว้างที่สุดในวันพิเศษนี้
    เพราะ “รักแม่นะ” เป็นคำที่แม่รอฟังเสมอ

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
    ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงานเว็บไซต์ ครูซโดเมน ดอทคอม

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #รักแม่ทุกวัน #MotherDay #วันแม่แห่งชาติ #กอดแม่ #บอกรักแม่ #FamilyLove #วันหยุด #เรือสำราญ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #CruiseDomain
    🌼 ๑๒ ส.ค. ๖๘ 💙 บอกรักแม่ให้ดังที่สุดในใจ และทำให้แม่ยิ้มกว้างที่สุดในวันพิเศษนี้ เพราะ “รักแม่นะ” เป็นคำที่แม่รอฟังเสมอ 💕👩‍👧 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงานเว็บไซต์ ครูซโดเมน ดอทคอม ✨ ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #รักแม่ทุกวัน #MotherDay #วันแม่แห่งชาติ #กอดแม่ #บอกรักแม่ #FamilyLove #วันหยุด #เรือสำราญ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #CruiseDomain
    0 Comments 1 Shares 151 Views 0 Reviews
  • วันแม่ปีนี้ ๑๒ ส.ค. ๖๘ พาแม่ออกไปสร้างความทรงจำดีๆ ด้วยกัน
    ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวนอกบ้าน เที่ยวใกล้ๆ หรือแค่ใช้เวลานั่งคุยกัน
    เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุด…คือเวลาที่เราให้กัน

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
    ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงานเว็บไซต์ อีทราเวลเวย์ ดอทคอม

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #วันแม่ #รักแม่ที่สุด #MotherDay #เวลาของเรา #ความทรงจำดีๆ #FamilyTime
    💙 วันแม่ปีนี้ ๑๒ ส.ค. ๖๘ พาแม่ออกไปสร้างความทรงจำดีๆ ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวนอกบ้าน เที่ยวใกล้ๆ หรือแค่ใช้เวลานั่งคุยกัน เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุด…คือเวลาที่เราให้กัน 💐👩‍👧‍👦 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงานเว็บไซต์ อีทราเวลเวย์ ดอทคอม LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #วันแม่ #รักแม่ที่สุด #MotherDay #เวลาของเรา #ความทรงจำดีๆ #FamilyTime
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • คุณแม่ชวนถ่ายรูป รักแม่นะ
    คุณแม่ชวนถ่ายรูป รักแม่นะ
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง,
    ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า.

    https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง, ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า. https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • “บอย ปกรณ์” เสียงสั่น พูดแบบไม่อาย คิดถึงและรักแม่มาก แต่ต้องฟื้นตัวเองก้าวต่อไป เพื่อตัวเองและครอบครัว เฮฮาโบ๊ะบ๊ะเพราะไม่อยากให้ใครห่วง ซาบซึ้งและขอบคุณ “เฟย์” หนุนอยู่ข้างหลัง แจงคนห่วง “หน่อง” ดาวน์ดิ่ง รับที่เห็นบ้าๆ บอๆ แต่ตัวจริงเซนซิทีฟ รู้แค่คนในครอบครัว นับถอยหลังอีก 7 วันขอพลังจากแม่ ชีวิตมีงวดหน้าเสมอ

    แม้สภาพจิตใจดีขึ้น แต่ก็ยังเศร้าทุกครั้งที่คิดถึง “แม่งามทิพย์” อีกทั้งอยู่บ้านก็ยังร้องไห้กันทุกคน ล่าสุด “บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์”ในฐานะพี่คนโต เผยระหว่างมาร่วมงาน “ช้าง ยู-แชมเปี้ยน คัพ ปี 3” รอบชิงชนะเลิศ แคมเปญ ช้างส่งแชมป์ "CHANG U-CHAMPION CUP" ไปอังกฤษ ปี 3 ณ สนามอินทรีจันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) ลั่นทุกอย่างดีขึ้นตามเวลา แต่ทุกครั้งที่จับเข่าคุยกับ “หน่อง ธนา - ภัทร์” ก็ยังมีน้ำตาไหลกันอยู่

    “มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนพอผ่านช่วงเวลาที่หนักหน่วงและยากที่สุดมาแล้ว ถามว่าดีขึ้นไหม มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามช่วงเวลา ชีวิตเราก็ต้องไปต่อ ผมมีหลายอย่างที่ต้องทำ ออกงาน ถ่ายซีรีส์ ก็พยายามฟื้นตัวเองขึ้นมาทั้งเพื่อตัวเองด้วย แล้วไม่ได้พูดให้ดูหล่อ และทั้งเพื่อครอบครัวด้วย แต่ผมว่าตรงนี้มันต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000059486

    #Thaitimes #MGROnline #บอยปกรณ์
    “บอย ปกรณ์” เสียงสั่น พูดแบบไม่อาย คิดถึงและรักแม่มาก แต่ต้องฟื้นตัวเองก้าวต่อไป เพื่อตัวเองและครอบครัว เฮฮาโบ๊ะบ๊ะเพราะไม่อยากให้ใครห่วง ซาบซึ้งและขอบคุณ “เฟย์” หนุนอยู่ข้างหลัง แจงคนห่วง “หน่อง” ดาวน์ดิ่ง รับที่เห็นบ้าๆ บอๆ แต่ตัวจริงเซนซิทีฟ รู้แค่คนในครอบครัว นับถอยหลังอีก 7 วันขอพลังจากแม่ ชีวิตมีงวดหน้าเสมอ • แม้สภาพจิตใจดีขึ้น แต่ก็ยังเศร้าทุกครั้งที่คิดถึง “แม่งามทิพย์” อีกทั้งอยู่บ้านก็ยังร้องไห้กันทุกคน ล่าสุด “บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์”ในฐานะพี่คนโต เผยระหว่างมาร่วมงาน “ช้าง ยู-แชมเปี้ยน คัพ ปี 3” รอบชิงชนะเลิศ แคมเปญ ช้างส่งแชมป์ "CHANG U-CHAMPION CUP" ไปอังกฤษ ปี 3 ณ สนามอินทรีจันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) ลั่นทุกอย่างดีขึ้นตามเวลา แต่ทุกครั้งที่จับเข่าคุยกับ “หน่อง ธนา - ภัทร์” ก็ยังมีน้ำตาไหลกันอยู่ • “มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนพอผ่านช่วงเวลาที่หนักหน่วงและยากที่สุดมาแล้ว ถามว่าดีขึ้นไหม มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามช่วงเวลา ชีวิตเราก็ต้องไปต่อ ผมมีหลายอย่างที่ต้องทำ ออกงาน ถ่ายซีรีส์ ก็พยายามฟื้นตัวเองขึ้นมาทั้งเพื่อตัวเองด้วย แล้วไม่ได้พูดให้ดูหล่อ และทั้งเพื่อครอบครัวด้วย แต่ผมว่าตรงนี้มันต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000059486 • #Thaitimes #MGROnline #บอยปกรณ์
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • บอกรักแม่ยัง
    บอกรักแม่ยัง
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • พระคุณแม่ พ่อ
    สำคัญที่สุดของชีวิตลูก รักแม่พ่อครับ
    พระคุณแม่ พ่อ สำคัญที่สุดของชีวิตลูก รักแม่พ่อครับ
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 0 Reviews
  • รักแม่นะ
    รักแม่นะ
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • ทำแฟนๆ ใจคอไม่ดีอีกครั้ง สำหรับ “เม จีระนันท์ กิจประสาน” นักร้องดังยุค 90 เจ้าของเพลงดัง คนเดียวไม่เหงาเท่า 3 คน, เทียนไข, นอนไม่หลับ (ถ้าไม่กลับพร้อมเธอ) หลังจากที่โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเผยว่าคุณแม่หายออกไปจากบ้าน ติดต่อไม่ได้ ขณะที่บอกขอลาทุกคนตรงนี้ เป็นลูกที่แย่และเลว

    “แม่เมหายออกไปจากบ้าน และปิดโทรศัพท์ ติดต่อไม่ได้ ใครพบเห็นช่วยแจ้ง แฟนคลับเม ใครสะดวกฝากเบอร์ที่คอมเมนท์ไว้ และเมฝากดูแลแม่ให้หน่อยนะคะ เมเอง เป็นลูกที่แย่และเลวมากๆ เมขอโทษคุณแม่ และขอลาคุณแม่และทุกคนตรงนี้🙏🏻 รักแม่สุดหัวใจนะ

    พร้อมบอกพิกัดที่คุณแม่หายไป ซอยโยธินพัฒนา 11 แยก 7 ซึ่งแม่ไม่ได้เอารถไป ขณะที่แฟนๆ ต่างให้กำลังใจเจ้าตัว ขอให้ใจเย็นๆ ไม่จำเป็นต้องลา ให้รอเจอแม่ อย่าทำอะไรที่มันไม่ดี

    อย่างไรก็ตาม เดือน มิ.ย.ปี 67 เม เคยหายตัวออกไปจากบ้านด้วยความเครียด จนคุณแม่ต้องโพสต์ประกาศขอความช่วยเหลือให้ทุกคนช่วยตามหาตัวลูกสาว ก่อนเจ้าตัวจะกลับมาสู่อ้อมอกอย่างปลอดภัย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023464

    #MGROnline #เมจีระนันท์
    ทำแฟนๆ ใจคอไม่ดีอีกครั้ง สำหรับ “เม จีระนันท์ กิจประสาน” นักร้องดังยุค 90 เจ้าของเพลงดัง คนเดียวไม่เหงาเท่า 3 คน, เทียนไข, นอนไม่หลับ (ถ้าไม่กลับพร้อมเธอ) หลังจากที่โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเผยว่าคุณแม่หายออกไปจากบ้าน ติดต่อไม่ได้ ขณะที่บอกขอลาทุกคนตรงนี้ เป็นลูกที่แย่และเลว • “แม่เมหายออกไปจากบ้าน และปิดโทรศัพท์ ติดต่อไม่ได้ ใครพบเห็นช่วยแจ้ง แฟนคลับเม ใครสะดวกฝากเบอร์ที่คอมเมนท์ไว้ และเมฝากดูแลแม่ให้หน่อยนะคะ เมเอง เป็นลูกที่แย่และเลวมากๆ เมขอโทษคุณแม่ และขอลาคุณแม่และทุกคนตรงนี้🙏🏻 รักแม่สุดหัวใจนะ❤️” • พร้อมบอกพิกัดที่คุณแม่หายไป ซอยโยธินพัฒนา 11 แยก 7 ซึ่งแม่ไม่ได้เอารถไป ขณะที่แฟนๆ ต่างให้กำลังใจเจ้าตัว ขอให้ใจเย็นๆ ไม่จำเป็นต้องลา ให้รอเจอแม่ อย่าทำอะไรที่มันไม่ดี • อย่างไรก็ตาม เดือน มิ.ย.ปี 67 เม เคยหายตัวออกไปจากบ้านด้วยความเครียด จนคุณแม่ต้องโพสต์ประกาศขอความช่วยเหลือให้ทุกคนช่วยตามหาตัวลูกสาว ก่อนเจ้าตัวจะกลับมาสู่อ้อมอกอย่างปลอดภัย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000023464 • #MGROnline #เมจีระนันท์
    0 Comments 0 Shares 606 Views 0 Reviews
  • บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1
    สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ)
    ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ
    ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน)
    ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป
    ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่
    ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ
    ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม
    ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
    ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ
    ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที
    "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน"
    พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ
    สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล...

    คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง
    แดนเจอร์
    บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1 สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ) ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน) ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่ ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน" พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล... คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง แดนเจอร์
    0 Comments 0 Shares 843 Views 0 Reviews
  • ไม่รักน้องก็ว่าแย่ ไม่รักแม่นี่ซั่วเลย E พวก NERAKUN
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ไม่รักน้องก็ว่าแย่ ไม่รักแม่นี่ซั่วเลย E พวก NERAKUN #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • พี่คิงส์รักแม่และขยันทำงานเพราะพี่ๆไม่เอาไหน พี่คิงส์จะไม่ยอมทำกงสี ทำไปพี่ๆแม่vผลาญหมด ที่เห็นๆตอนนี้ยังเอาตัวไม่รอดกันเลย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    พี่คิงส์รักแม่และขยันทำงานเพราะพี่ๆไม่เอาไหน พี่คิงส์จะไม่ยอมทำกงสี ทำไปพี่ๆแม่vผลาญหมด ที่เห็นๆตอนนี้ยังเอาตัวไม่รอดกันเลย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • #อุ๊ยคำถามน่าคิด
    พอดีเพื่อนในหมู่บ้านคอมเม้นถามมาด้วยความสงสัย
    ว่าทำไมอิ 4 ป้าในหมู่บ้าน สังเกตุ ไม่ได้ทำงานอะไรกันเลยหรา
    จะคิดว่าเปิดบริษัทแบบน้องสุดท้องคงไม่ใช่
    เพราะวันๆก็พ่นพรรณาว่าลำบาก
    น้อยอกน้อยใจ ค่าเทอมลูก น้องไม่ยอมออกให้
    ลืมไปว่าเป็นหน้าที่พ่อแม่มันนั่นแหละที่ต้องหาให้ลูก
    เรียกร้องความสงสารว่า นี่ทำงานเลี้ยงลูกนะเคอะ
    อ้าว ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ถามดิ แล้วผัวไปไหนอะ
    สรุป ผัวไม่ทำหน้าที่ ตัวเองนอนงอมืองอเท้า
    แล้วโยนทุกความผิดให้น้อง เช็ดดดเขร้้
    ถามว่า เอาจริงๆนะ อิ 4 ป้ามหาภัยในภาพอะ
    ไม่เกี่ยวกับใครนะ
    อยากถามว่า ดูหน้าดิ ใครรู้จักมันบ้าง
    สาระรูปไม่ได้โดดเด่น ความสามารถไม่ปรากฏ
    คนในหมู่บ้านแทบไม่มีใครรู้จัก
    ที่คนรู้จัก เพราะน้องเป็นคนดังในหมู่บ้านแค่นั้น
    ที่เค้าหนับหนุน ก็เพราะรักน้องก็เลยรักพี่ด้วย อิฟาย
    แล้ววันนี้ไปเชื่อผจก.นิติ อย่างอิปูเสี้ยม
    มาเล่นงานน้องชายตัวเอง แล้วยืนหน้าหมู่บ้าน
    ต่อว่าน้องชาย คิดว่าน้องจะขายหน้า
    ไม่รู้ตัวว่า คนขายหน้าคืออิ 4 ป้าในรูปนี้แหละ
    แล้วจะเอาที่ไหน คนรักน้องชายคนไหนมันจะไปซัพพอตอีก
    สรุป อิ 4 ป้า ได้สาวกอิป้าศรีธังญ่ามาแทน
    กรรูขรรม เปลี่ยนทาเก็ตไปแล้ว
    แล้ววันนี้ เพื่อนบ้านที่อยู่ต้นซอย มาเล่าให้ฟังว่า
    พี่ชายก็เข้าข้าง 4 ป้า กรรูก็ไม่รู้มาก่อนว่าครอบครัวนี้
    มันมีพี่น้องกี่คนนะ แต่ถ้าเป็นพี่จริงๆ
    ครอบครัวนี้ สงสารแม่กับน้องคนสุดท้องอิ๊บอ๋าย
    ถ้าเป็นเรื่องจริง แม่มีลูก 5 คน คนที่รักแม่ดูแลแม่
    เชื่อฟังแม่ และทำทุกอย่างเพื่อแม่ คือไอ่น้องคนนี้คนเดียว
    มิน่าละ ทำงานหนักตั้งแต่เด็กๆ เคยสงสัย ทำไมน้องมันดูโต
    กว่าวัยเดียวกัน เก็บเป็นที่ดินในหมู่บ้านข้างๆ ที่แท้ น้องมันห่วงแม่
    ว่าถ้าน้องมันเป็นอะไรขึ้นมา พี่ๆแม่มไม่ได้เป็นที่พึ่งพา
    ยอมทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
    ทำลายได้แม้กระทั่้งน้อง ยอมไปเข้าข้างคนที่ให้ร้ายแม่กับน้อง
    นี่แหละ เรื่องเล่าคนข้างบ้านพี่คิงส์
    แค่อยากเล่าให้แฟนเพจอ่านกัน
    ว่าพี่เฮี้ยๆแบบนี้ ก็มีด้วย
    เออ แล้วนี่กรูก็เล่าเรื่องคนข้างบ้าน
    คนอื่นไม่เกี่ยว อย่าเฉือกโยงแล้วร้อนไปดิ้นเองอีกหละ
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #อุ๊ยคำถามน่าคิด พอดีเพื่อนในหมู่บ้านคอมเม้นถามมาด้วยความสงสัย ว่าทำไมอิ 4 ป้าในหมู่บ้าน สังเกตุ ไม่ได้ทำงานอะไรกันเลยหรา จะคิดว่าเปิดบริษัทแบบน้องสุดท้องคงไม่ใช่ เพราะวันๆก็พ่นพรรณาว่าลำบาก น้อยอกน้อยใจ ค่าเทอมลูก น้องไม่ยอมออกให้ ลืมไปว่าเป็นหน้าที่พ่อแม่มันนั่นแหละที่ต้องหาให้ลูก เรียกร้องความสงสารว่า นี่ทำงานเลี้ยงลูกนะเคอะ อ้าว ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ถามดิ แล้วผัวไปไหนอะ สรุป ผัวไม่ทำหน้าที่ ตัวเองนอนงอมืองอเท้า แล้วโยนทุกความผิดให้น้อง เช็ดดดเขร้้ ถามว่า เอาจริงๆนะ อิ 4 ป้ามหาภัยในภาพอะ ไม่เกี่ยวกับใครนะ อยากถามว่า ดูหน้าดิ ใครรู้จักมันบ้าง สาระรูปไม่ได้โดดเด่น ความสามารถไม่ปรากฏ คนในหมู่บ้านแทบไม่มีใครรู้จัก ที่คนรู้จัก เพราะน้องเป็นคนดังในหมู่บ้านแค่นั้น ที่เค้าหนับหนุน ก็เพราะรักน้องก็เลยรักพี่ด้วย อิฟาย แล้ววันนี้ไปเชื่อผจก.นิติ อย่างอิปูเสี้ยม มาเล่นงานน้องชายตัวเอง แล้วยืนหน้าหมู่บ้าน ต่อว่าน้องชาย คิดว่าน้องจะขายหน้า ไม่รู้ตัวว่า คนขายหน้าคืออิ 4 ป้าในรูปนี้แหละ แล้วจะเอาที่ไหน คนรักน้องชายคนไหนมันจะไปซัพพอตอีก สรุป อิ 4 ป้า ได้สาวกอิป้าศรีธังญ่ามาแทน กรรูขรรม เปลี่ยนทาเก็ตไปแล้ว แล้ววันนี้ เพื่อนบ้านที่อยู่ต้นซอย มาเล่าให้ฟังว่า พี่ชายก็เข้าข้าง 4 ป้า กรรูก็ไม่รู้มาก่อนว่าครอบครัวนี้ มันมีพี่น้องกี่คนนะ แต่ถ้าเป็นพี่จริงๆ ครอบครัวนี้ สงสารแม่กับน้องคนสุดท้องอิ๊บอ๋าย ถ้าเป็นเรื่องจริง แม่มีลูก 5 คน คนที่รักแม่ดูแลแม่ เชื่อฟังแม่ และทำทุกอย่างเพื่อแม่ คือไอ่น้องคนนี้คนเดียว มิน่าละ ทำงานหนักตั้งแต่เด็กๆ เคยสงสัย ทำไมน้องมันดูโต กว่าวัยเดียวกัน เก็บเป็นที่ดินในหมู่บ้านข้างๆ ที่แท้ น้องมันห่วงแม่ ว่าถ้าน้องมันเป็นอะไรขึ้นมา พี่ๆแม่มไม่ได้เป็นที่พึ่งพา ยอมทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ทำลายได้แม้กระทั่้งน้อง ยอมไปเข้าข้างคนที่ให้ร้ายแม่กับน้อง นี่แหละ เรื่องเล่าคนข้างบ้านพี่คิงส์ แค่อยากเล่าให้แฟนเพจอ่านกัน ว่าพี่เฮี้ยๆแบบนี้ ก็มีด้วย เออ แล้วนี่กรูก็เล่าเรื่องคนข้างบ้าน คนอื่นไม่เกี่ยว อย่าเฉือกโยงแล้วร้อนไปดิ้นเองอีกหละ อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
  • สูตรลับ สูตรรัก# รักแม่ รักเมีย
    555
    สูตรลับ สูตรรัก# รักแม่ รักเมีย 555
    Like
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 346 Views 37 0 Reviews
  • บ่อเก็บเพื่อการเกษตรกับงานแผ่นHDPEความหนา1.2มม.
    เจ้าของโครงการ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด(มหาชน)
    สถานที่ ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
    บ่อเก็บเพื่อการเกษตรกับงานแผ่นHDPEความหนา1.2มม. เจ้าของโครงการ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด(มหาชน) สถานที่ ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 Reviews
  • แม่เคยเล่าให้ฟังว่า"พ่อของตาเป็นคนจีนมาจากเกาะไหหลำมาชึ้นฝั่งที่เวียดนามและเข้ามาสยามแม่บอกว่า"ครอบครัวเราเป็นหมอยา ตอนเด็กๆฉันเคยเห็นตำรายานะแต่ตอนนี้มันหายไปแล้วเพราะย้ายบ้านหลายครั้งชีวิตต้องสู้ดิ้นรนยากลำบาก แต่ฉันเองเกิดมาไม่เคยเห็นตาเพราะท่านเสียตั้งแต่แม่ฉันอายุเพียง7ขวบเรียนอยู่ ป.1 ยายให้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยยายทำงานหาเงินส่งน้องๆได้เรียนหนังสือ ทุกคนได้เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีแม่ฉันคนเดียวที่ไม่ได้เรียนอ่านหนังสือไม่ออกทำงานหนักเกินเด็กต้องไปหาไม้มาเผาถ่านและหาบไปขาย ชีวิตแม่ของฉันน่าสงสารมากๆแม่แข็งแกร่งอดทน และไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นแต่ฉันเห็นฉันรักแม่ของฉันมากที่สุดในโลกแม่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต❤"miss you mom หนูจะเป็นเสมือนดวงตาให้แม่เองนะจ๊ะแม่จ๋าอยู่บนสวรรค์สักวันจะไปหา ^_^"รัก
    แม่เคยเล่าให้ฟังว่า"พ่อของตาเป็นคนจีนมาจากเกาะไหหลำมาชึ้นฝั่งที่เวียดนามและเข้ามาสยามแม่บอกว่า"ครอบครัวเราเป็นหมอยา ตอนเด็กๆฉันเคยเห็นตำรายานะแต่ตอนนี้มันหายไปแล้วเพราะย้ายบ้านหลายครั้งชีวิตต้องสู้ดิ้นรนยากลำบาก แต่ฉันเองเกิดมาไม่เคยเห็นตาเพราะท่านเสียตั้งแต่แม่ฉันอายุเพียง7ขวบเรียนอยู่ ป.1 ยายให้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยยายทำงานหาเงินส่งน้องๆได้เรียนหนังสือ ทุกคนได้เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีแม่ฉันคนเดียวที่ไม่ได้เรียนอ่านหนังสือไม่ออกทำงานหนักเกินเด็กต้องไปหาไม้มาเผาถ่านและหาบไปขาย ชีวิตแม่ของฉันน่าสงสารมากๆแม่แข็งแกร่งอดทน และไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นแต่ฉันเห็นฉันรักแม่ของฉันมากที่สุดในโลกแม่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต❤🧡🌹"miss you mom🤗 หนูจะเป็นเสมือนดวงตาให้แม่เองนะจ๊ะแม่จ๋าอยู่บนสวรรค์✨สักวันจะไปหา ^_^"รัก
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 524 Views 0 Reviews
  • OKJ ลากแมลงเม่าไปเชือด / สุนันท์ ศรีจันทรา

    หุ้นบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เพียง 2 วัน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้สนั่นหวั่นไหว เพราะราคาทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จนถูกตั้งคำถามว่า มีใครอยู่เบื้องหลัง ลากนักลงทุนรายย่อยขึ้นไปเชือดหรือไม่

    OKJ นำหุ้นจำนวน 159 ล้านหุ้น หรือสัดส่วนประมาณ 26% ของทุนจดทะเบียน เสนอขายนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 6.70 บาท โดย บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด บริษัทลูกของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้นในสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียน

    โอ้กะจู๋ หรือ OKJ สร้างชื่อเสียงจากร้านอาหารพักปลอดสารเพื่อสุขภาพ จนเติบโตเป็นที่นิยมและขยายสาขาต่อเนื่อง หุ้นที่นำมาเสนอขายนักลงทุน จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่จองล้นโควตาจัดสรร

    เป็นที่คาดหมายก่อนหน้าแล้วว่า การซื้อขายหุ้น OKJ จะมีความคึกคัก และเมื่อได้ฤกษ์ประเดิมเคาะซื้อขายวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคลื่อนไหวร้อนแรงตามคาด โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 10.10 บาท และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 12.50 บาท ก่อนปิดที่ 12.40 บาท สูงกว่าราคาจอง 5.70 บาท หรือสูงกว่าจอง 85% มูลค่าซื้อขาย 4,678.91 ล้านบาท

    การซื้อขายวันที่สอง หรือวันที่ 7 ตุลาคม OKJ ยังร้อนไม่หยุด เปิดซื้อขายที่ราคา 12.80 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไปสูงสุด 14.60 บาท แต่ถูกเทขาย จนร่วงลงมาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 50 สตางค์หรือเพิ่มขึ้น 4.03% มูลค่าซื้อขายยังหนาแน่น 1,829.41 ล้านบาท

    หุ้น OKJ ที่พุ่งทะยาน ถูกวิจารณ์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุนว่า ราคาร้อนเกินเหตุ และเป็นราคาที่ล้ำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปมาก จนมีเสียงเตือนให้ระมัดระวังการตามแห่เก็งกำไร เพราะอาจมีคนที่อยู่เบื้องหลังการลากราคาหุ้น

    ค่าพี/อีเรโช OKJ จากระดับ 24 เท่า ช่วงที่เสนอขายหุ้นในราคา 6.70บาท ล่าสุดพุ่งขึ้นไปเป็น 46 เท่าแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอาหารด้วยกัน ถือว่า เป็นหุ้นกลุ่มอาหารที่มีค่า พี/อี เรโช สูงกว่าหุ้นกลุ่มอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ซึ่งราคาปิดล่าสุดที่ 30.25 บาท มีค่า พี/อี เรโช 16 เท่า

    หุ้นน้องใหม่ที่เคยสร้างสถิติความร้อนแรงสุดขีดคือ หุ้นบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI จากราคาจอง 4.95 บาท และนับจากประเดิมเข้าซื้อขายในตลาด MAI วันที่ 14 ธันวาคม 2566 ราคาพุ่งไม่หยุด แม้จะถูกมาตรการกำกับการซื้อขายหลายครั้ง โดยราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 65.50 บาท ก่อนจะปรับฐานสู่พื้นฐานที่เป็นจริง ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมราคาปิดที่ 14.50 บาท

    นักลงทุนขาใหญ่ที่ลากหุ้น MGI ขึ้นไป ขายหุ้นทำกำไร เผ่นหนีออกไปแล้ว ปล่อยให้แมลงเม่าที่ตามแห่เก็งกำไร ติดค้างอยู่บนยอดดอย ขาดทุนกันป่นปี้

    เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งอาจมีนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังความร้อนแรงของราคา และ "ขาใหญ่" อาจทิ้งหุ้นไปแล้ว เมื่อราคาหุ้นพุ่งเกิน 100% เหนือราคาจอง

    หุ้นน้องใหม่ ส่วนใหญ่จะมีเจ้ามือหรือนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังการสร้างราคา โดยอาจมีข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นใหญ่ในการทำราคา แลกกับการจัดสรรหุ้นต้นทุนต่ำ จึงปรากฏรายชื่อบรรดานักลงทุนขาใหญ่หรือเซียนหุ้นได้รับการจัดสรรหุ้นใหม่จำนวนมาก

    และการซื้อขายหุ้นใหม่ในวันแรก ๆ ดูเหมือนว่าตลาดหลักทรัพย์จะปล่อยผี ปล่อยให้ทำราคากันได้เต็มที่ บางครั้งปล่อยให้ลากราคาสูงกว่าจองเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปิดตลาดกลับถูกทุบลงต่ำกว่าราคาจองอย่างน่าประหลาดใจ จนนักลงทุนรายย่อยตายกันเป็นเบือ

    เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งเป็นหุ้นชื่อเสียงดี แต่พฤติกรรมราคาใน 2 วันแรกที่เข้าซื้อขาย ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก และน่าจะมีแมลงเม่าจำนวนไม่น้อยต้องเซ่นสังเวยในกองไฟ

    แต่ตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยจับ ฆาตกรที่ลากหุ้นใหม่ขึ้นไปเชือดในวันแรกๆที่เข้าซื้อขายได้สักราย

    ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000095940

    #Thaitimes
    OKJ ลากแมลงเม่าไปเชือด / สุนันท์ ศรีจันทรา หุ้นบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เพียง 2 วัน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้สนั่นหวั่นไหว เพราะราคาทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จนถูกตั้งคำถามว่า มีใครอยู่เบื้องหลัง ลากนักลงทุนรายย่อยขึ้นไปเชือดหรือไม่ OKJ นำหุ้นจำนวน 159 ล้านหุ้น หรือสัดส่วนประมาณ 26% ของทุนจดทะเบียน เสนอขายนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 6.70 บาท โดย บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด บริษัทลูกของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้นในสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียน โอ้กะจู๋ หรือ OKJ สร้างชื่อเสียงจากร้านอาหารพักปลอดสารเพื่อสุขภาพ จนเติบโตเป็นที่นิยมและขยายสาขาต่อเนื่อง หุ้นที่นำมาเสนอขายนักลงทุน จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่จองล้นโควตาจัดสรร เป็นที่คาดหมายก่อนหน้าแล้วว่า การซื้อขายหุ้น OKJ จะมีความคึกคัก และเมื่อได้ฤกษ์ประเดิมเคาะซื้อขายวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคลื่อนไหวร้อนแรงตามคาด โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 10.10 บาท และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 12.50 บาท ก่อนปิดที่ 12.40 บาท สูงกว่าราคาจอง 5.70 บาท หรือสูงกว่าจอง 85% มูลค่าซื้อขาย 4,678.91 ล้านบาท การซื้อขายวันที่สอง หรือวันที่ 7 ตุลาคม OKJ ยังร้อนไม่หยุด เปิดซื้อขายที่ราคา 12.80 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไปสูงสุด 14.60 บาท แต่ถูกเทขาย จนร่วงลงมาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 50 สตางค์หรือเพิ่มขึ้น 4.03% มูลค่าซื้อขายยังหนาแน่น 1,829.41 ล้านบาท หุ้น OKJ ที่พุ่งทะยาน ถูกวิจารณ์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุนว่า ราคาร้อนเกินเหตุ และเป็นราคาที่ล้ำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปมาก จนมีเสียงเตือนให้ระมัดระวังการตามแห่เก็งกำไร เพราะอาจมีคนที่อยู่เบื้องหลังการลากราคาหุ้น ค่าพี/อีเรโช OKJ จากระดับ 24 เท่า ช่วงที่เสนอขายหุ้นในราคา 6.70บาท ล่าสุดพุ่งขึ้นไปเป็น 46 เท่าแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอาหารด้วยกัน ถือว่า เป็นหุ้นกลุ่มอาหารที่มีค่า พี/อี เรโช สูงกว่าหุ้นกลุ่มอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ซึ่งราคาปิดล่าสุดที่ 30.25 บาท มีค่า พี/อี เรโช 16 เท่า หุ้นน้องใหม่ที่เคยสร้างสถิติความร้อนแรงสุดขีดคือ หุ้นบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI จากราคาจอง 4.95 บาท และนับจากประเดิมเข้าซื้อขายในตลาด MAI วันที่ 14 ธันวาคม 2566 ราคาพุ่งไม่หยุด แม้จะถูกมาตรการกำกับการซื้อขายหลายครั้ง โดยราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 65.50 บาท ก่อนจะปรับฐานสู่พื้นฐานที่เป็นจริง ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมราคาปิดที่ 14.50 บาท นักลงทุนขาใหญ่ที่ลากหุ้น MGI ขึ้นไป ขายหุ้นทำกำไร เผ่นหนีออกไปแล้ว ปล่อยให้แมลงเม่าที่ตามแห่เก็งกำไร ติดค้างอยู่บนยอดดอย ขาดทุนกันป่นปี้ เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งอาจมีนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังความร้อนแรงของราคา และ "ขาใหญ่" อาจทิ้งหุ้นไปแล้ว เมื่อราคาหุ้นพุ่งเกิน 100% เหนือราคาจอง หุ้นน้องใหม่ ส่วนใหญ่จะมีเจ้ามือหรือนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังการสร้างราคา โดยอาจมีข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นใหญ่ในการทำราคา แลกกับการจัดสรรหุ้นต้นทุนต่ำ จึงปรากฏรายชื่อบรรดานักลงทุนขาใหญ่หรือเซียนหุ้นได้รับการจัดสรรหุ้นใหม่จำนวนมาก และการซื้อขายหุ้นใหม่ในวันแรก ๆ ดูเหมือนว่าตลาดหลักทรัพย์จะปล่อยผี ปล่อยให้ทำราคากันได้เต็มที่ บางครั้งปล่อยให้ลากราคาสูงกว่าจองเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปิดตลาดกลับถูกทุบลงต่ำกว่าราคาจองอย่างน่าประหลาดใจ จนนักลงทุนรายย่อยตายกันเป็นเบือ เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งเป็นหุ้นชื่อเสียงดี แต่พฤติกรรมราคาใน 2 วันแรกที่เข้าซื้อขาย ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก และน่าจะมีแมลงเม่าจำนวนไม่น้อยต้องเซ่นสังเวยในกองไฟ แต่ตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยจับ ฆาตกรที่ลากหุ้นใหม่ขึ้นไปเชือดในวันแรกๆที่เข้าซื้อขายได้สักราย ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000095940 #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 2 Shares 1383 Views 0 Reviews
  • บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือหุ้น OKJ เจ้าของแบรนด์ “โอ้กะจู๋” เผยสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อฟาร์มสารภี ซึ่งคิดเป็น 13% ของกำลังการผลิตผักสลัดทั้งหมด แม้จะเกิดความเสียหายในบางส่วน แต่บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือเรียบร้อย โดยเพิ่มกำลังการผลิตที่ฟาร์มสันอุ้ม และรับซื้อผลผลิตเพิ่มเติมจากเกษตรกรเครือข่าย

    ขณะที่ครัวกลางและฟาร์มหลักในพื้นที่อื่นๆ ยังคงดำเนินงานตามปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีประกันความเสี่ยง และมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงชั่วคราว คาดว่าพื้นที่ฟาร์มที่เสียหายจะกลับมาเพาะปลูกได้ภายใน 2 เดือน และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ แต่อย่างใดู

    #Thaitimes
    บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือหุ้น OKJ เจ้าของแบรนด์ “โอ้กะจู๋” เผยสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อฟาร์มสารภี ซึ่งคิดเป็น 13% ของกำลังการผลิตผักสลัดทั้งหมด แม้จะเกิดความเสียหายในบางส่วน แต่บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือเรียบร้อย โดยเพิ่มกำลังการผลิตที่ฟาร์มสันอุ้ม และรับซื้อผลผลิตเพิ่มเติมจากเกษตรกรเครือข่าย ขณะที่ครัวกลางและฟาร์มหลักในพื้นที่อื่นๆ ยังคงดำเนินงานตามปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีประกันความเสี่ยง และมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงชั่วคราว คาดว่าพื้นที่ฟาร์มที่เสียหายจะกลับมาเพาะปลูกได้ภายใน 2 เดือน และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ แต่อย่างใดู #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 799 Views 0 Reviews
  • ..คลิปนี้อาจขำๆ
    ..แต่ ลูกๆหลานๆเราในหลายๆคนทั่วประเทศทั้งอนุบาล ทั้งประถม ทัังมอ.หรือระดับมหาลัยมวิลัย,พากันลาป่วย เจ็บ ไข้ บ่อยๆผิดปกติมากมายอย่างมีนัยยะสำคัญมากเมื่อเทียบอดีตก่อนเดอะแก๊งท่านลอร์ดจะสั่งเริ่มปฏิบัติปี2019คือเริ่มสงครามเข็มชีวภาพก็ว่า.
    ..ประชาชนคนไทยเราคือเหยื่อ โดยเฉพาะลูกหลานเราคนไทย ไม่สมควรต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้,ใครไม่รักลูก รักหลาน รักพ่อ รักแม่ คนๆนี้ผิดปกติมาก.
    ..คลิปนี้อาจขำๆ ..แต่ ลูกๆหลานๆเราในหลายๆคนทั่วประเทศทั้งอนุบาล ทั้งประถม ทัังมอ.หรือระดับมหาลัยมวิลัย,พากันลาป่วย เจ็บ ไข้ บ่อยๆผิดปกติมากมายอย่างมีนัยยะสำคัญมากเมื่อเทียบอดีตก่อนเดอะแก๊งท่านลอร์ดจะสั่งเริ่มปฏิบัติปี2019คือเริ่มสงครามเข็มชีวภาพก็ว่า. ..ประชาชนคนไทยเราคือเหยื่อ โดยเฉพาะลูกหลานเราคนไทย ไม่สมควรต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้,ใครไม่รักลูก รักหลาน รักพ่อ รักแม่ คนๆนี้ผิดปกติมาก.
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 205 Views 82 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 3004 Views 0 Reviews
  • #อิไผ่คอลาเจนหิวแสงมาแว๊วววว
    อรุณสวัสดิ์ แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่าน
    กลับมารับแสงอีกครั้ง พร้อมความกลางสุดๆอีกรอบ
    สำหรับอิไผ่ ที่ชอบมโนเรียกตัวเองว่าแม่
    ที่ต้องออกมาปกป้องผลประโยชน์ตัวเองแบบไม่ต้องเขินกันอีกต่อไป
    เพราะความซุ่ย ผลิตของไม่ทัน จะทันได้ไง ทั้งโรงงานก็ต่างด้าวหมด
    ถูกก-ฏห-ม-า-ย หรือเปล่าก็ไม่รู้
    ผลิตไม่ทันจนหมดสัญญา ชาลีไม่ต่อสัญญาเพราะรู้เช่นเห็นชาติ
    แอบไปสุมหัวกับอิเหวิงงุบงิบงุบงิบกันก่อนอิเหวิงขึ้นบิสเนสคลาสหอบข้าวของกลับเกาหลี มีบันทึกไว้ทั้งภาพและเสียง อิฉัด
    แต่ลับหลัง อิเหวิงนินตาอิไผ่ สารพัด
    อิเหวิงเห็นอิไผ่เหมือนขรี้ ขนาดนั้นเลย
    อิไผ่ก็ยังอิน คิดว่าอิเหวิงรักแม๊ไผ่ 5555
    สุดท้าย ดิ้นเฮือกสุดท้ายทีเหลือ ก็เพียงแค่หวังให้อิเหวิง
    ช่วยระบายสต็อค ที่กองเป็นภูเขา เพราะที่ผ่านมาเป็นปลิงเกาะชาลีอินคัมมหาศาลจนแฟนเพจนึกภาพไม่ออกเลยทีเดียว
    สต็อปท่วมแบบนี้ เลยต้องไปเข้าพวกกับอิป้าโจจิตเปื่อยตกขาว
    สุมหัวเล่นงานแน๊กทั้งเช้าค่ำ และเป็นตัวปล่อยวลีแก้เกมส์ วาทะกรรมที่อิป้าโจนั่งคิดหัวแทบแต็ก แต่ก็ทำได้แค่นี้
    โดยล่าสุด ออกมาไลฟ์ มีตัวชงด้วยนะ
    คอมเม้นกลางไลฟ์
    "ทำไมกามินบอกว่า ฉันดังด้วยตัวเองคะ"
    เช็ด อิโจจิตเปื่อยตกขาว เขียนบทดี มีชง มี ต-บ
    อิไผ่บอกงี้
    "อุ๊ย แม่ไผ่อะ ทำงานกับคนเกาหลีรอบตัว เค้าก็บอกมาว่ เข้าใจผิด น้องไม่ได้พูดว่า น้องดังด้วยตัวเอง น้องบอกว่า น้องเป็นตัวของตัวเอง"
    เช็ด นี่แหละ ทุยช๊อบชอบ เค้าเล่ามา เค้าเล่าว่า แค่อิพวกปลิงพูดนี่ เชื่อเลย
    แต่อิไผ่ คอลเจนบูด ลืมไป
    ว่า
    1. คนที่แปลให้คนไทยเข้าใจความหมายที่ถูกต้องอะ คนเกาหลีแท้ อิฉัด
    2. ถ้าอิเหวิงมันถูกเข้าใจผิดจริง ป่านนี้ต้องมีคนเกาหลีออกมาปกป้อง มาอธิบายแล้ว แต่เพราะความหมายมันเชี่ยจริงๆไง อิฉัด เกาหลีเค้าฟังเค้ายังของขึ้น แล้วบอกว่าขอเลือกข้างชาลี ก็มีแต่ปลิงทีม พวกเมิงนี่แหละ ที่แปลเซี่ยไรไม่รู้ กลางอิ๊บอ๋าย
    อิฉัด อิปลิง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #อิไผ่คอลาเจนหิวแสงมาแว๊วววว อรุณสวัสดิ์ แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่าน กลับมารับแสงอีกครั้ง พร้อมความกลางสุดๆอีกรอบ สำหรับอิไผ่ ที่ชอบมโนเรียกตัวเองว่าแม่ ที่ต้องออกมาปกป้องผลประโยชน์ตัวเองแบบไม่ต้องเขินกันอีกต่อไป เพราะความซุ่ย ผลิตของไม่ทัน จะทันได้ไง ทั้งโรงงานก็ต่างด้าวหมด ถูกก-ฏห-ม-า-ย หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผลิตไม่ทันจนหมดสัญญา ชาลีไม่ต่อสัญญาเพราะรู้เช่นเห็นชาติ แอบไปสุมหัวกับอิเหวิงงุบงิบงุบงิบกันก่อนอิเหวิงขึ้นบิสเนสคลาสหอบข้าวของกลับเกาหลี มีบันทึกไว้ทั้งภาพและเสียง อิฉัด แต่ลับหลัง อิเหวิงนินตาอิไผ่ สารพัด อิเหวิงเห็นอิไผ่เหมือนขรี้ ขนาดนั้นเลย อิไผ่ก็ยังอิน คิดว่าอิเหวิงรักแม๊ไผ่ 5555 สุดท้าย ดิ้นเฮือกสุดท้ายทีเหลือ ก็เพียงแค่หวังให้อิเหวิง ช่วยระบายสต็อค ที่กองเป็นภูเขา เพราะที่ผ่านมาเป็นปลิงเกาะชาลีอินคัมมหาศาลจนแฟนเพจนึกภาพไม่ออกเลยทีเดียว สต็อปท่วมแบบนี้ เลยต้องไปเข้าพวกกับอิป้าโจจิตเปื่อยตกขาว สุมหัวเล่นงานแน๊กทั้งเช้าค่ำ และเป็นตัวปล่อยวลีแก้เกมส์ วาทะกรรมที่อิป้าโจนั่งคิดหัวแทบแต็ก แต่ก็ทำได้แค่นี้ โดยล่าสุด ออกมาไลฟ์ มีตัวชงด้วยนะ คอมเม้นกลางไลฟ์ "ทำไมกามินบอกว่า ฉันดังด้วยตัวเองคะ" เช็ด อิโจจิตเปื่อยตกขาว เขียนบทดี มีชง มี ต-บ อิไผ่บอกงี้ "อุ๊ย แม่ไผ่อะ ทำงานกับคนเกาหลีรอบตัว เค้าก็บอกมาว่ เข้าใจผิด น้องไม่ได้พูดว่า น้องดังด้วยตัวเอง น้องบอกว่า น้องเป็นตัวของตัวเอง" เช็ด นี่แหละ ทุยช๊อบชอบ เค้าเล่ามา เค้าเล่าว่า แค่อิพวกปลิงพูดนี่ เชื่อเลย แต่อิไผ่ คอลเจนบูด ลืมไป ว่า 1. คนที่แปลให้คนไทยเข้าใจความหมายที่ถูกต้องอะ คนเกาหลีแท้ อิฉัด 2. ถ้าอิเหวิงมันถูกเข้าใจผิดจริง ป่านนี้ต้องมีคนเกาหลีออกมาปกป้อง มาอธิบายแล้ว แต่เพราะความหมายมันเชี่ยจริงๆไง อิฉัด เกาหลีเค้าฟังเค้ายังของขึ้น แล้วบอกว่าขอเลือกข้างชาลี ก็มีแต่ปลิงทีม พวกเมิงนี่แหละ ที่แปลเซี่ยไรไม่รู้ กลางอิ๊บอ๋าย อิฉัด อิปลิง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 2597 Views 0 Reviews
  • ของขวัญที่พิเศษที่สุดในวันเกิดปีนี้คือคำอวยพรดีๆจากผู้ให้กำเนิดชีวิตผม กราบขอบพระคุณมากครับแม่…ผมรักแม่ครับ
    ของขวัญที่พิเศษที่สุดในวันเกิดปีนี้คือคำอวยพรดีๆจากผู้ให้กำเนิดชีวิตผม กราบขอบพระคุณมากครับแม่…ผมรักแม่ครับ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews