• LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก

    LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า

    การเชื่อมต่อและพลังงาน
    จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์
    LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น

    ราคาและการเปรียบเทียบ
    LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A)
    ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว

    พาเนล IPS Black
    คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป

    การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5
    รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W

    ฟีเจอร์สำหรับ Mac
    Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด

    ราคาเปิดตัว $1,999
    ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K

    ข้อควรระวังด้านราคา
    แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อจำกัดของพาเนล
    ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ

    https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    🖥️ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า ⚡ การเชื่อมต่อและพลังงาน จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows 🎨 ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์ LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น 💰 ราคาและการเปรียบเทียบ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A) ➡️ ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว ✅ พาเนล IPS Black ➡️ คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป ✅ การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5 ➡️ รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W ✅ ฟีเจอร์สำหรับ Mac ➡️ Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด ✅ ราคาเปิดตัว $1,999 ➡️ ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K ‼️ ข้อควรระวังด้านราคา ⛔ แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ‼️ ข้อจำกัดของพาเนล ⛔ ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุโรปผ่อนปรนกฎหมายความเป็นส่วนตัวและ AI

    หลังจากหลายปีที่สหภาพยุโรป (EU) ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลและการกำกับดูแล AI ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอการปรับแก้กฎหมายสำคัญอย่าง GDPR และ AI Act ภายใต้แพ็กเกจ “Digital Omnibus” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการลดจำนวนป๊อปอัพคุกกี้ที่ผู้ใช้ต้องเผชิญ และการอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงในการฝึก AI ได้

    แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ
    การผ่อนปรนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Meta และ OpenAI รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่ากฎเข้มงวดของยุโรปเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโลก รายงานจาก Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็ชี้ว่ากฎหมายเข้มงวดทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน

    ความกังวลจากนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง
    แม้การปรับลดกฎจะถูกนำเสนอว่าเป็นการ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” แต่หลายฝ่าย เช่น กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักการเมืองยุโรป เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือการลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลลงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปิดช่องให้บริษัทอ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” (legitimate interest) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม

    ผลกระทบต่ออนาคตการแข่งขันและสิทธิพลเมือง
    หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพทำงานง่ายขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อการทำให้สิทธิของประชาชนในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนแอลง นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “การตัดทอนทีละน้อย” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในยุโรปในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย GDPR และ AI Act
    ลดจำนวนคุกกี้ป๊อปอัพ และอนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ในการฝึก AI

    แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ
    บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่ากฎเข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน

    เป้าหมายของ EU
    ลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น

    ความเสี่ยงต่อสิทธิพลเมือง
    การใช้ข้ออ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” อาจทำให้บริษัทเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขอความยินยอม

    การลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล
    นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “death by a thousand cuts” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นใน GDPR

    ผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก
    ยุโรปอาจสูญเสียจุดยืนในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว หากกฎหมายอ่อนตัวลง

    https://www.theverge.com/news/823750/european-union-ai-act-gdpr-changes
    📰 ยุโรปผ่อนปรนกฎหมายความเป็นส่วนตัวและ AI หลังจากหลายปีที่สหภาพยุโรป (EU) ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลและการกำกับดูแล AI ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอการปรับแก้กฎหมายสำคัญอย่าง GDPR และ AI Act ภายใต้แพ็กเกจ “Digital Omnibus” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการลดจำนวนป๊อปอัพคุกกี้ที่ผู้ใช้ต้องเผชิญ และการอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงในการฝึก AI ได้ ⚖️ แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ การผ่อนปรนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Meta และ OpenAI รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่ากฎเข้มงวดของยุโรปเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโลก รายงานจาก Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็ชี้ว่ากฎหมายเข้มงวดทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน 🔍 ความกังวลจากนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง แม้การปรับลดกฎจะถูกนำเสนอว่าเป็นการ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” แต่หลายฝ่าย เช่น กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักการเมืองยุโรป เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือการลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลลงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปิดช่องให้บริษัทอ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” (legitimate interest) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม 🌐 ผลกระทบต่ออนาคตการแข่งขันและสิทธิพลเมือง หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพทำงานง่ายขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อการทำให้สิทธิของประชาชนในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนแอลง นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “การตัดทอนทีละน้อย” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในยุโรปในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย GDPR และ AI Act ➡️ ลดจำนวนคุกกี้ป๊อปอัพ และอนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ในการฝึก AI ✅ แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่ากฎเข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน ✅ เป้าหมายของ EU ➡️ ลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น ‼️ ความเสี่ยงต่อสิทธิพลเมือง ⛔ การใช้ข้ออ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” อาจทำให้บริษัทเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขอความยินยอม ‼️ การลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล ⛔ นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “death by a thousand cuts” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นใน GDPR ‼️ ผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก ⛔ ยุโรปอาจสูญเสียจุดยืนในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว หากกฎหมายอ่อนตัวลง https://www.theverge.com/news/823750/european-union-ai-act-gdpr-changes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปรับมาตรฐานไดรเวอร์ใหม่ หลังเหตุการณ์ CrowdStrike driver crash

    Microsoft ประกาศว่าจะ ยกเลิกสิทธิ์ OEM ในการฉีดโค้ดเข้าสู่ kernel โดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไดรเวอร์ที่ผิดพลาดทำให้ระบบล่มทั้งเครื่องอีกต่อไป โดยจะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs แทน ซึ่งจะช่วยลดโค้ดที่ทำงานใน kernel mode และเพิ่มความเสถียรของระบบ

    การป้องกันและมาตรการใหม่
    สำหรับไดรเวอร์ที่ยังจำเป็นต้องทำงานใน kernel เช่น GPU drivers หรือ anti-cheat modules Microsoft จะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น
    Compiler-level security constraints
    Driver isolation เพื่อลดผลกระทบหากเกิดความผิดพลาด
    DMA remapping เพื่อป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำ kernel โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ใช้
    การเปลี่ยนแปลงนี้จะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว โดยย้าย logic จาก kernel mode ไปยัง user mode หรือใช้ standardized drivers ของ Windows แทน แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์เฉพาะทางซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ประโยชน์จากระบบที่เสถียรขึ้นและลดความเสี่ยงจากการ crash แบบทั่วโลก

    แนวโน้มในอนาคต
    Microsoft ยืนยันว่าจะยังคงรองรับ third-party kernel drivers ในบางกรณี แต่เป้าหมายคือการลดจำนวนโค้ดที่ทำงานใน kernel ให้เหลือน้อยที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนการผลักดันไปสู่ ระบบปฏิบัติการที่ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของซอฟต์แวร์สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM kernel-level driver privileges
    ผู้ผลิตต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs
    GPU drivers และ anti-cheat modules ยังทำงานใน kernel mode แต่มีมาตรการป้องกันเพิ่ม
    มาตรการใหม่: compiler-level constraints, driver isolation, DMA remapping

    คำเตือนจากข่าว
    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์ซับซ้อนขึ้น
    หากไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่ อาจเสี่ยงต่อการไม่รองรับใน Windows รุ่นอนาคต
    การเปลี่ยนแปลงอาจกระทบต่อไดรเวอร์เฉพาะทางที่ยังไม่มี standardized driver

    https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges/
    🖥️ Microsoft ปรับมาตรฐานไดรเวอร์ใหม่ หลังเหตุการณ์ CrowdStrike driver crash Microsoft ประกาศว่าจะ ยกเลิกสิทธิ์ OEM ในการฉีดโค้ดเข้าสู่ kernel โดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไดรเวอร์ที่ผิดพลาดทำให้ระบบล่มทั้งเครื่องอีกต่อไป โดยจะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs แทน ซึ่งจะช่วยลดโค้ดที่ทำงานใน kernel mode และเพิ่มความเสถียรของระบบ 🔒 การป้องกันและมาตรการใหม่ สำหรับไดรเวอร์ที่ยังจำเป็นต้องทำงานใน kernel เช่น GPU drivers หรือ anti-cheat modules Microsoft จะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น 🎗️ Compiler-level security constraints 🎗️ Driver isolation เพื่อลดผลกระทบหากเกิดความผิดพลาด 🎗️ DMA remapping เพื่อป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำ kernel โดยไม่ได้รับอนุญาต 🌐 ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ใช้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว โดยย้าย logic จาก kernel mode ไปยัง user mode หรือใช้ standardized drivers ของ Windows แทน แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์เฉพาะทางซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ประโยชน์จากระบบที่เสถียรขึ้นและลดความเสี่ยงจากการ crash แบบทั่วโลก 🔮 แนวโน้มในอนาคต Microsoft ยืนยันว่าจะยังคงรองรับ third-party kernel drivers ในบางกรณี แต่เป้าหมายคือการลดจำนวนโค้ดที่ทำงานใน kernel ให้เหลือน้อยที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนการผลักดันไปสู่ ระบบปฏิบัติการที่ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของซอฟต์แวร์สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM kernel-level driver privileges ➡️ ผู้ผลิตต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs ➡️ GPU drivers และ anti-cheat modules ยังทำงานใน kernel mode แต่มีมาตรการป้องกันเพิ่ม ➡️ มาตรการใหม่: compiler-level constraints, driver isolation, DMA remapping ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์ซับซ้อนขึ้น ⛔ หากไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่ อาจเสี่ยงต่อการไม่รองรับใน Windows รุ่นอนาคต ⛔ การเปลี่ยนแปลงอาจกระทบต่อไดรเวอร์เฉพาะทางที่ยังไม่มี standardized driver https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges/
    SECURITYONLINE.INFO
    Post-CrowdStrike: Microsoft to Phase Out OEM Kernel-Level Driver Privileges
    Following major crashes, Microsoft will phase out OEM kernel-level driver privileges, forcing a shift to native drivers or user mode to prevent system-wide operating system failures.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • MCP API ใน Comet Browser สั่นคลอนความเชื่อมั่น

    นักวิจัยจาก SquareX พบว่า Comet Browser มีการฝัง MCP API (chrome.perplexity.mcp.addStdioServer) ที่เปิดโอกาสให้ส่วนขยายฝังตัวสามารถรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือยืนยันจากผู้ใช้ ซึ่งต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไปที่ต้องใช้ Native Messaging API และการอนุญาตจากผู้ใช้เสมอ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
    แม้ยังไม่มีหลักฐานว่า Perplexity.ai ใช้ API นี้ในทางที่ผิด แต่หากเกิดการโจมตี เช่น XSS, Phishing หรือ Insider Threat ก็สามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมเครื่องผู้ใช้ได้ทันที SquareX สาธิตการโจมตีโดยใช้ Extension Stomping เพื่อปลอมตัวเป็น Analytics Extension และรันมัลแวร์ WannaCry ผ่าน API นี้ได้สำเร็จ

    ปัญหาการซ่อนส่วนขยาย
    สิ่งที่น่ากังวลคือ Comet Browser ได้ซ่อนส่วนขยายที่เกี่ยวข้องกับ Agentic และ Analytics จากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถปิดหรือควบคุมได้เลย ส่งผลให้เกิด “Hidden IT” ที่ทั้งผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่มีทางตรวจสอบหรือจัดการได้

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    SquareX เตือนว่าหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานและการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเร่งพัฒนาฟีเจอร์ที่คล้ายกันโดยไม่สนใจความปลอดภัย ผู้ใช้ควรเรียกร้องให้มีการเปิดเผย API ทั้งหมด และให้สิทธิ์ในการปิดส่วนขยายที่ฝังมา เพื่อป้องกันการละเมิดความเชื่อมั่นในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Comet Browser มี MCP API ที่ให้ส่วนขยายฝังตัวรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้
    SquareX สาธิตการโจมตีด้วย Extension Stomping และรัน WannaCry ผ่าน API นี้
    ส่วนขยาย Agentic และ Analytics ถูกซ่อนจากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้
    SquareX เรียกร้องให้มีการเปิดเผย API และตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม

    คำเตือนจากข่าว
    หาก Perplexity.ai ถูกโจมตี ผู้ใช้ Comet Browser ทุกคนอาจถูกควบคุมเครื่องได้ทันที
    การซ่อนส่วนขยายทำให้ผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้
    แนวโน้มที่เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเลียนแบบโดยไม่สนใจความปลอดภัย

    https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers/
    🌐 MCP API ใน Comet Browser สั่นคลอนความเชื่อมั่น นักวิจัยจาก SquareX พบว่า Comet Browser มีการฝัง MCP API (chrome.perplexity.mcp.addStdioServer) ที่เปิดโอกาสให้ส่วนขยายฝังตัวสามารถรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือยืนยันจากผู้ใช้ ซึ่งต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไปที่ต้องใช้ Native Messaging API และการอนุญาตจากผู้ใช้เสมอ ⚠️ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แม้ยังไม่มีหลักฐานว่า Perplexity.ai ใช้ API นี้ในทางที่ผิด แต่หากเกิดการโจมตี เช่น XSS, Phishing หรือ Insider Threat ก็สามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมเครื่องผู้ใช้ได้ทันที SquareX สาธิตการโจมตีโดยใช้ Extension Stomping เพื่อปลอมตัวเป็น Analytics Extension และรันมัลแวร์ WannaCry ผ่าน API นี้ได้สำเร็จ 🔒 ปัญหาการซ่อนส่วนขยาย สิ่งที่น่ากังวลคือ Comet Browser ได้ซ่อนส่วนขยายที่เกี่ยวข้องกับ Agentic และ Analytics จากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถปิดหรือควบคุมได้เลย ส่งผลให้เกิด “Hidden IT” ที่ทั้งผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่มีทางตรวจสอบหรือจัดการได้ 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ SquareX เตือนว่าหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานและการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเร่งพัฒนาฟีเจอร์ที่คล้ายกันโดยไม่สนใจความปลอดภัย ผู้ใช้ควรเรียกร้องให้มีการเปิดเผย API ทั้งหมด และให้สิทธิ์ในการปิดส่วนขยายที่ฝังมา เพื่อป้องกันการละเมิดความเชื่อมั่นในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Comet Browser มี MCP API ที่ให้ส่วนขยายฝังตัวรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้ ➡️ SquareX สาธิตการโจมตีด้วย Extension Stomping และรัน WannaCry ผ่าน API นี้ ➡️ ส่วนขยาย Agentic และ Analytics ถูกซ่อนจากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ ➡️ SquareX เรียกร้องให้มีการเปิดเผย API และตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ หาก Perplexity.ai ถูกโจมตี ผู้ใช้ Comet Browser ทุกคนอาจถูกควบคุมเครื่องได้ทันที ⛔ การซ่อนส่วนขยายทำให้ผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้ ⛔ แนวโน้มที่เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเลียนแบบโดยไม่สนใจความปลอดภัย https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • Grok 4.1 Thinking ขึ้นอันดับ 1

    บริษัท xAI ของ Elon Musk ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ Grok 4.1 โดยมีสองเวอร์ชันคือ Grok 4.1 มาตรฐาน และ Grok 4.1 Thinking ที่เน้นการใช้เหตุผลเชิงลึก ผลลัพธ์คือ Grok 4.1 Thinking สามารถทำคะแนน Elo ได้สูงถึง 1483 และขึ้นอันดับ 1 บนกระดาน LMArena โดยแซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ที่ตกไปอยู่อันดับ 3

    ความสามารถด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์
    ผลการทดสอบ Creative Writing v3 แสดงให้เห็นว่า Grok 4.1 ทั้งสองเวอร์ชันมีความสามารถด้านการเขียนที่ดีขึ้นอย่างมาก โดยทำคะแนนเหนือกว่าโมเดลคู่แข่งอย่าง OpenAI o3, Claude Sonnet 4.5 และ Kimi K2 Instruct แม้จะยังตามหลัง GPT 5.1 อยู่เล็กน้อย แต่ถือเป็นการพัฒนาที่ทำให้ Grok กลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองในตลาด AI เชิงสร้างสรรค์

    ความแม่นยำและการลดความผิดพลาด
    เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า Grok 4 Fast โมเดลใหม่สามารถลดอัตราความผิดพลาดเชิงข้อมูลได้ถึง 70% และลดอัตราการ “หลอน” (hallucination) จาก 12.09% เหลือเพียง 4.22% ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการใช้งานจริงในระดับองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

    แนวโน้มการแข่งขัน AI
    การที่ Grok 4.1 Thinking ขึ้นอันดับ 1 ถือเป็นแรงกดดันต่อ Google ที่เตรียมเปิดตัว Gemini 3.0 ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด AI ระดับโลก ซึ่งแต่ละบริษัทต่างพยายามพัฒนาโมเดลที่มีทั้งความแม่นยำ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึก

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Grok 4.1 Thinking ทำคะแนน Elo ได้ 1483 ขึ้นอันดับ 1 บน LMArena
    Google Gemini 2.5 Pro ตกไปอยู่อันดับ 3
    ความสามารถด้าน Creative Writing ดีขึ้น แซงคู่แข่งหลายราย
    ลดอัตราความผิดพลาดเชิงข้อมูลลง 70% และลด hallucination เหลือ 4.22%

    คำเตือนจากข่าว
    การแข่งขัน AI ที่รุนแรงอาจทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี
    แม้ Grok 4.1 จะลดความผิดพลาด แต่ยังมีความเสี่ยงจากการหลอนที่ไม่สามารถกำจัดได้หมด
    ผู้ใช้ควรระวังการนำ AI มาใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น กฎหมายหรือการแพทย์

    https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro/
    🚀 Grok 4.1 Thinking ขึ้นอันดับ 1 บริษัท xAI ของ Elon Musk ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ Grok 4.1 โดยมีสองเวอร์ชันคือ Grok 4.1 มาตรฐาน และ Grok 4.1 Thinking ที่เน้นการใช้เหตุผลเชิงลึก ผลลัพธ์คือ Grok 4.1 Thinking สามารถทำคะแนน Elo ได้สูงถึง 1483 และขึ้นอันดับ 1 บนกระดาน LMArena โดยแซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ที่ตกไปอยู่อันดับ 3 ✍️ ความสามารถด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ผลการทดสอบ Creative Writing v3 แสดงให้เห็นว่า Grok 4.1 ทั้งสองเวอร์ชันมีความสามารถด้านการเขียนที่ดีขึ้นอย่างมาก โดยทำคะแนนเหนือกว่าโมเดลคู่แข่งอย่าง OpenAI o3, Claude Sonnet 4.5 และ Kimi K2 Instruct แม้จะยังตามหลัง GPT 5.1 อยู่เล็กน้อย แต่ถือเป็นการพัฒนาที่ทำให้ Grok กลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองในตลาด AI เชิงสร้างสรรค์ 📊 ความแม่นยำและการลดความผิดพลาด เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า Grok 4 Fast โมเดลใหม่สามารถลดอัตราความผิดพลาดเชิงข้อมูลได้ถึง 70% และลดอัตราการ “หลอน” (hallucination) จาก 12.09% เหลือเพียง 4.22% ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการใช้งานจริงในระดับองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป 🔮 แนวโน้มการแข่งขัน AI การที่ Grok 4.1 Thinking ขึ้นอันดับ 1 ถือเป็นแรงกดดันต่อ Google ที่เตรียมเปิดตัว Gemini 3.0 ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด AI ระดับโลก ซึ่งแต่ละบริษัทต่างพยายามพัฒนาโมเดลที่มีทั้งความแม่นยำ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Grok 4.1 Thinking ทำคะแนน Elo ได้ 1483 ขึ้นอันดับ 1 บน LMArena ➡️ Google Gemini 2.5 Pro ตกไปอยู่อันดับ 3 ➡️ ความสามารถด้าน Creative Writing ดีขึ้น แซงคู่แข่งหลายราย ➡️ ลดอัตราความผิดพลาดเชิงข้อมูลลง 70% และลด hallucination เหลือ 4.22% ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การแข่งขัน AI ที่รุนแรงอาจทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ⛔ แม้ Grok 4.1 จะลดความผิดพลาด แต่ยังมีความเสี่ยงจากการหลอนที่ไม่สามารถกำจัดได้หมด ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการนำ AI มาใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grok 4.1 Thinking Steals #1 Spot on LMArena, Surpassing Google Gemini 2.5 Pro
    xAI released Grok 4.1 Thinking, which immediately topped the LMArena leaderboard (Elo 1483), pushing Gemini 2.5 Pro to #3. Grok 4.1 also cut hallucinations by 70%.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยับหมาก ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก”
    ตอน 2
    อังกฤษไม่มีวันทำใจได้ที่เห็นรัส เซียยังคงอยู่ได้ และยังอยู่ดี ทฤษฏีครูMac เกี่ยวกับ Eurasia มันยังหลอนอยู่ ผมไม่เล่าซ้ำแล้ว หาอ่านเอาแล้วกัน อยู่ในนิทานสาระพัดเรื่อง
    รายงานการวิเคราะห์ของ Chatham House เรื่อง Russia Challenge รัสเซียกำเริบ ที่เพิ่งออกมานี่ แทบจะเดาได้ว่า เขียนว่าอะไร มันเหมือนกับเขียนวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของอังกฤษมากกว่าการเขียนวิเคราะห์รัสเซีย
    ถังขยะ Chatham House บรรยายสรุปว่า
    ” บทวิเคราะห์เรื่อง Russia Challenge นี้ ทำขึ้นจากการเฝ้ามองพฤติกรรมของรัสเซียตั้งแต่หลังสงครามเย็นจนถึงปี ค.ศ.2003 ซึ่งประเทศต่างๆคิดว่า รัสเซียใหม่อาจเข้ามาอยู่ในระบบของยุโรปได้ ในฐานะตัวเแสดงที่สร้างสรร และไม่เป็นอันตราย แต่หลังจากนั้น ความเห็นดังกล่าวค่อยๆเปลี่ยนไป และในที่สุดก็มีความเห็นพ้อง สรุปกันว่า จากพฤติกรรมต่างๆของรัสเซียเอง ทำให้เห็นว่า รัสเซียไม่เหมาะที่จะเป็นหุ้นส่วนและมิตรด้วยเลย partner and ally ความแตกต่างของรัสเซียมีมากเกินกว่าที่จะสามารถมีผลประโยชน์ร่วมกัน… ”
    เขียนแบบนี้ แถวบ้านผมเขาแปลสั้นๆ ว่า “กูไม่คบมึง กูไม่ชอบมึง”
    “ความแตกต่างที่พวกตะวันตก “ทน” รัสเซียไม่ได้ที่สำคัญ คือ :
    1. นโยบาย ” new model Russia” ของปูติน เป็นนโยบายที่ตั้งใจเป็นอิสระ ที่จะไม่เข้ากับใคร และไม่ขึ้นกับใคร
    2. ปูตินไม่เปิดทางเลือกให้กับผู้อื่น หรือเปิดอย่างแคบมาก
    3. ปูติน ใช้พรรคพวกในการควบคุม ทั้งด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคง ทำให้ใครแทรกยาก
    4. รัสเซีย ยากจน และเศรษฐกิจกำลังถดถอย แต่ยังดันเพิ่มงบประมาณด้านกำลังอาวุธ
    5. การคว่ำบาตรรัสเซีย จากเรื่องยูเครน ไม่เพียงพอให้รัสเซียถอยจากยูเครน ตรงกันข้าม กลับเป็นทางออกให้รัสเซียนำมาอ้างว่า เรื่องคว่ำบาตร เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของรัสเซีย แต่เรื่องคว่ำบาตรก็ยังเลิกไม่ได้ และการเผชิญหน้าก็ยังมีอยู่ต่อไป
    6. เทคนิคที่รัสเซียใช้คือ สร้างความไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน การขู่ว่าจะตัดการส่งพลังงาน การทำสงครามไซเบอร์ในรูปแบบต่างๆ และที่รัสเซียใช้บ่อยที่สุดคือ ทำให้ข้อขัดแย้งยืดเยื้อ เป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา หรือแช่แข็งไว้ เพื่อหวังผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
    7. รัสเซียพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะสร้างให้ตัวเอง “เท่าเทียม” กับอเมริกา และทำทุกอย่างเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น โดยไม่คำนึงว่า จะสร้างผลกระทบกับใคร อย่างไรบ้าง …”
    ตกลงเรื่องต่างๆ ที่อังกฤษบอกว่า “ทน” รัสเซียไม่ได้นี่ แปลง่ายๆว่า เพราะ “สั่ง” รัสเซียไม่ได้ และเป็นเรื่องที่พวกตะวันตกยัง แก้ลำรัสเซียไม่ได้ จึง”ทน” รัสเซียไม่ได้ใช่ไหม สำหรับผม หัวข้อทนไม่ได้ นี่น่าจะถือเป็นคำชมนะ น่าจะทำให้รัสเซียชอบใจ เหมือนได้ยินคำสารภาพ ของฝ่ายที่กำลังเสียแต้ม ฮา
    “ข้อเสนอแนะ ของถังขยะ :
    แม้ว่าพวกตะวันตกจะประเมินรัสเซียในบางเรื่องต่างกันบ้าง แต่ทั้งหมดเห็นพ้องกันว่า รัสเซียไม่มีทางมาเป็นส่วนหนึ่งยุโรป ตามกฏเกณท์ กติกาที่ยุโรปใช้อยู่ ยกเว้นแต่ รัสเซียจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของประเทศ ตั้งแต่พื้นฐาน และการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากภายในรัสเซียเอง ดังนั้น พวกตะวันตกจะต้องร่วมมือกันคิดอย่างจริงจัง ถึงยุทธศาสตร์ที่จะใช้กับรัสเซีย ซึ่งจะต้องใช้มุมมองเดียวกันทั้งทรานสแอตแลนติกและยุโรป โดยเฉพาะ ต้องมองรัสเซียจากพฤติกรรมของรัส เซียเอง ไม่ใช่มองแบบง่ายๆ หรือจากการเล่ากันต่อๆมา policy must be based on the evidence of Russia’s behaviour, not on convenience or fashionable narratives…
    การร่วมมือของพวกตะวันตก อย่างเข้มงวดจริงจัง เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ผู้ที่จะเป็นตัวหลัก ในการทำงาน จะต้องมีแนวทางเดียวกัน และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด……”
    โอ้โห อันนี้ มันฟ้องตัวเองว่า ไม่มีเอกภาพเท่าไหร่ในพวกตะวันตก แถมแดกใครครับ ที่มองรัสเซียแบบง่าย สงสัยจะเป็นฝรั่งเศส ลุงโอลอง เพื่อนผมมังนะ เห็นแอบไปจี๋จ๋ากับคุณน้องปูตินบ่อยๆ
    เป้าหมายทางยุทธศาสตร์สำหรับตะวันตก ที่ถังขยะเสนอ :
    “1. ยับยั้งการรุกรานของรัสเซียกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป แต่อย่าทำ โดยไม่มีทางออกเผื่อไว้ หากสถานการณ์เปลี่ยน เช่น ปูตินร่วงไป หรืออาจมีหัวหน้าคนใหม่ของรัสเซียที่อยากคบกับตะวันตกก็ได้ ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียไปไม่รอด และการคบกับจีนอาจมีต้นทุนสูงเกินไป ถ้าจีนโตขึ้นเรื่อยๆ รัสเซียอาจอยากกลับมาอยู่กับยุโรปอีกก็เป็นได้”
    …. แปลว่า มีแผนจะจัดการเอาคุณพี่ปูตินของผมเก็บลงกล่อง.. ขณะเดียวกันก็เสี้ยมเรื่องอาเฮียเสียหน่อย…..
    “2. ต้องเสริมสร้างเกียรติภูมิของยุโรป ด้านการรักษาความมั่นคงใหม่ โดยเฉพาะแต่ละประเทศต้องดูแลรักษาเขตแดนของตัวเองได้ และตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของประเทศตัวเองได้ ”
    ….. แปลว่า ยุโรปอ่อนระทวย ดูแลตัวเองไม่ได้ แหม ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯนี่เก่งนะ เรือดำน้ำรัสเซียโผล่ใกล้บ้านหลายที ทำอะไรเขาไม่ได้ เลยแต่ด่าคนอื่นแทน….
    “3. ต้องพยายามหาทางที่จะสื่อสารกับคนรัสเซียว่า ในระยะไกล การอยู่ร่วมกับยุโรปเป็นผลดีกับรัสเซียมากกว่า”
    …. มาแล้ว โรงงานฟอกย้อม….
    “4. หาทางที่จะหารือกับจีน และประเทศที่เป็นอดีตรัฐของรัสเซีย ให้พิจารณานโยบายของรัสเซีย ว่าจะเป็นปัญหาต่อไปอย่างไร บางประเทศมีปัญหาในการมองรัสเซียด้านเดียว”
    ….. อันนี้ เป็นรายการ เสี้ยม…..
    “5. ให้เตรียมพร้อม สำหรับความวุ่นวาย และโอกาสที่จะเกิดขึ้น จากการเปลี่ยนตัวผู้นำของรัสเซีย”
    …..ข้อนี้น่าสนใจมาก …. คิดจะทำอะไรหรือครับ ..
    “6. ต้องพยายามแย่งรัสเซีย และชาวรัสเซียมาจากปูติน สิ่งที่พวกตะวันตกกำลังทำอยู่โดยการไม่สนใจ ไม่ยุ่งกับรัสเซีย กลายเป็นการส่งเสริมให้รัสเซียตกอยู่ในมือปูตินหนักขึ้น”
    …..สร้างกระบวนการแย่งประชาชน แผนมาตรฐาน ใช้มันทุกที่….
    นโยบาย ที่ถังขยะเสนอว่า ต้องทำอย่างเฉพาะเจาะจง :
    “1. สร้างยูเครนให้เข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ถ้าเอายูเครนไม่อยู่ ยุโรปตะวันออกเซหมด และเพิ่มความผยองให้กับรัสเซีย ทำให้โอกาสที่จะ “เปลี่ยน” รัสเซียริบหรี่ลงไปด้วย”
    “2. ประเทศที่เป็นอียูตะวันออก ต้องปรับปรุงให้เป็นเครื่องมือสำคัญของอียู และต้องพร้อมที่จะมีการปฏิรูปทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจอย่างจริงจัง”
    “3. การคว่ำบาตรรัสเซียจะมีผลต่อเมื่อคว่ำ “นาน “และ “แรง” การคว่ำบาตรจากกรณียูเครน ปลดให้ง่ายๆไม่ได้ และการจะยกเลิกการคว่ำบาตรโดยเอาไปโยงกับการทำ Minsk Accord เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าที่สุด”
    “4. พวกตะวันตก ต้องไม่กลับไปทำการค้ากับรัสเซียอย่างเดิม do business as usual จนกว่าเรื่องยูเครนจะจบ ด้วยการที่รัสเซียยอมทำตามภาระ ความรับผิดชอบ ตามกฏหมายสากล international legal obligations”
    “5. นโยบายด้านพลังงานของอียู ต้องมีเป้าหมายที่จะตัดอำนาจการต่อรองของรัสเซีย ออกไปจากตลาดพลังงาน ไม่ใช่แค่ตัดการส่งพลังงานให้ยุโรป ดังนั้นการยกเลิกโครงการ South Stream pipeline เป็นเรื่องต้องทำ และแผนการที่รัสเสียกำลังสร้าง “energy island” ในยุโรป ต้องไม่ให้สำเร็จ”
    …. มาแล้ว เรื่องกรีซ/ตุรกี…..
    “6. พวกตะวันตก ต้องลงทุนในการใช้สื่อเป็นยุทธศาสตร์ตอบโต้กับการอวดอ้างที่ผิดๆของเครมลิน ต้องทำทั้งระดับประเทศ ผ่านอียูและนาโต้ ร่วมมือกัน ต้องสร้างช่องทางที่จะเข้าถึงชาวรัสเซียทั่วไป โดยผ่านการศึกษา และสัมพันธ์ด้านบุคคลอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน”
    …..โรงงานฟอกย้อม เตรียมหาสีได้แล้ว……
    “7. นาโต้ ต้องสร้างผลงานว่า สามารถยับยั้งการรุกรานได้ โดยเฉพาะต้องแสดงให้เห็นว่า การจำกัดรุกราน ที่ยังคลุมเคลือ หรือมาหลายรูปแบบ เป็นเรื่องที่นาโต้จัดการได้อย่างไม่มีปัญหา”
    …….อายแทน นาโต้จัง อย่าด่าตรงนักซิพี่….
    “8. นาโต้ ต้องซ่อมชื่อเสียงที่เคยมีว่า สามารถยับยั้งการรุกราน ที่มาในรูปแบบธรรมดา ให้ได้อย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นจะทำให้รัสเซียฉวยโอกาส สร้าง และซ้อมเป้ามากขึ้น”
    ….. แสดงว่า นาโต้ ลุ้นไม่ขึ้นแล้ว….
    “9. แต่ละประเทศในอียู อียูเอง รวมทั้งกองกำลังเสริมจากภายนอก External Action Service จำเป็นที่จะต้องกลับมาวิเคราะห์ และทำความเข้าใจ กับความเป็นไปของรัสเซีย และประเทศเพื่อนบ้านเสียใหม่ ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะช่วยนำมาใช้เป็นข้อมูลให้การวางนโยบาย”
    ……นโยบาย 9 ข้อ นี่ ผมชอบจัง เหมือนคำสารภาพอีกแล้ว คุณพี่ปูติน อ่านแล้วก็คงหัวร่อในคอ นี่เจาะจงไปที่อียู โดยเฉพาะอียูตะวันออก กับนาโต้ ล้วนๆ ให้เห็นว่า “ถ้า” รบกัน อียูกับนาโต้ ไม่มีทางต้านรัสเซียอยู่หรอก การบ้านเพียบเลย จะทำทันไหมครับ…
    ” …การดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น จะทำให้พวกตะวันตก เตรียมตัวในการรับมือ กับสัมพันธภาพกับรัสเซีย ที่นับวันมีแต่จะเลวลง และใครที่คิดว่าคุยกับปูตินก็ยังดีกว่า เพราะผู้นำรัสเซียคนใหม่อาจแย่กว่า นั้น คิดแบบนั้น มีแต่จะนำแต่ความล้มเหลวมาให้ตัว ไม่ว่าผู้นำรัสเซียคนใหม่จะเป็นใคร ปูตินจะอยู่ต่อไปอีก หรือ “ไปก่อนเวลา” prematurely replaced มันก็สร้างความกระทบกระเทือนไปทั่วทั้งนั้นแหละ
    18 เดือนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นข้อสรุปว่า การมองรัสเซียในแง่ดี ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง…”
    จบได้แรงนะ น่าสงสัยว่า ไม่ใช่แค่ อียู นาโต้ ที่ต้องปรับปรุง ผู้รับตัวจริง ที่การวิเคราะห์นี้ ต้องการจะส่งไปถึง น่าจะเป็น พณฯใบตองแห้งของอเมริกา เสียมากกว่า ที่มีแนวคิดว่า รัสเซียอยู่ไกลบ้านอเมริกา เกิดอะไรขึ้นมา นาโต้และยุโรป รับไปก่อน แถม พณฯใบตองแห้ง ยังเปลี่ยนนโยบาย โยกกำลัง จากแอตแลนติก ไปเพิ่มให้ทางแปซิฟิกมากกว่า เพราะตอนนั้นเริ่มปอดแหกอาเฮีย และแม้อเมริกาจะใช้วิธีการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเต็มพิกัดแล้ว แต่ในสายตาของอังกฤษ การดำเนินการของอเมริกาต่อรัสเซีย โดยเฉพาะการประเมินปูตินเบาไปนั้น น่าจะไม่พอรับมือรัสเซีย ยังไม่ถึงใจอังกฤษ ที่มองเห็นและประทับตราให้รัสเซียเป็นศัตรูถาวร
    แล้วจริงๆ อเมริกามีแผนอะไรเตรียมไว้ให้รัสเซียอีกหรือไม่ หรือประเมินคุณพี่ปูตินของผมเบาเท่าปุยนุ่น
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 ก.ค. 2558
    ขยับหมาก ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก” ตอน 2 อังกฤษไม่มีวันทำใจได้ที่เห็นรัส เซียยังคงอยู่ได้ และยังอยู่ดี ทฤษฏีครูMac เกี่ยวกับ Eurasia มันยังหลอนอยู่ ผมไม่เล่าซ้ำแล้ว หาอ่านเอาแล้วกัน อยู่ในนิทานสาระพัดเรื่อง รายงานการวิเคราะห์ของ Chatham House เรื่อง Russia Challenge รัสเซียกำเริบ ที่เพิ่งออกมานี่ แทบจะเดาได้ว่า เขียนว่าอะไร มันเหมือนกับเขียนวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของอังกฤษมากกว่าการเขียนวิเคราะห์รัสเซีย ถังขยะ Chatham House บรรยายสรุปว่า ” บทวิเคราะห์เรื่อง Russia Challenge นี้ ทำขึ้นจากการเฝ้ามองพฤติกรรมของรัสเซียตั้งแต่หลังสงครามเย็นจนถึงปี ค.ศ.2003 ซึ่งประเทศต่างๆคิดว่า รัสเซียใหม่อาจเข้ามาอยู่ในระบบของยุโรปได้ ในฐานะตัวเแสดงที่สร้างสรร และไม่เป็นอันตราย แต่หลังจากนั้น ความเห็นดังกล่าวค่อยๆเปลี่ยนไป และในที่สุดก็มีความเห็นพ้อง สรุปกันว่า จากพฤติกรรมต่างๆของรัสเซียเอง ทำให้เห็นว่า รัสเซียไม่เหมาะที่จะเป็นหุ้นส่วนและมิตรด้วยเลย partner and ally ความแตกต่างของรัสเซียมีมากเกินกว่าที่จะสามารถมีผลประโยชน์ร่วมกัน… ” เขียนแบบนี้ แถวบ้านผมเขาแปลสั้นๆ ว่า “กูไม่คบมึง กูไม่ชอบมึง” “ความแตกต่างที่พวกตะวันตก “ทน” รัสเซียไม่ได้ที่สำคัญ คือ : 1. นโยบาย ” new model Russia” ของปูติน เป็นนโยบายที่ตั้งใจเป็นอิสระ ที่จะไม่เข้ากับใคร และไม่ขึ้นกับใคร 2. ปูตินไม่เปิดทางเลือกให้กับผู้อื่น หรือเปิดอย่างแคบมาก 3. ปูติน ใช้พรรคพวกในการควบคุม ทั้งด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคง ทำให้ใครแทรกยาก 4. รัสเซีย ยากจน และเศรษฐกิจกำลังถดถอย แต่ยังดันเพิ่มงบประมาณด้านกำลังอาวุธ 5. การคว่ำบาตรรัสเซีย จากเรื่องยูเครน ไม่เพียงพอให้รัสเซียถอยจากยูเครน ตรงกันข้าม กลับเป็นทางออกให้รัสเซียนำมาอ้างว่า เรื่องคว่ำบาตร เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของรัสเซีย แต่เรื่องคว่ำบาตรก็ยังเลิกไม่ได้ และการเผชิญหน้าก็ยังมีอยู่ต่อไป 6. เทคนิคที่รัสเซียใช้คือ สร้างความไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน การขู่ว่าจะตัดการส่งพลังงาน การทำสงครามไซเบอร์ในรูปแบบต่างๆ และที่รัสเซียใช้บ่อยที่สุดคือ ทำให้ข้อขัดแย้งยืดเยื้อ เป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา หรือแช่แข็งไว้ เพื่อหวังผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 7. รัสเซียพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะสร้างให้ตัวเอง “เท่าเทียม” กับอเมริกา และทำทุกอย่างเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น โดยไม่คำนึงว่า จะสร้างผลกระทบกับใคร อย่างไรบ้าง …” ตกลงเรื่องต่างๆ ที่อังกฤษบอกว่า “ทน” รัสเซียไม่ได้นี่ แปลง่ายๆว่า เพราะ “สั่ง” รัสเซียไม่ได้ และเป็นเรื่องที่พวกตะวันตกยัง แก้ลำรัสเซียไม่ได้ จึง”ทน” รัสเซียไม่ได้ใช่ไหม สำหรับผม หัวข้อทนไม่ได้ นี่น่าจะถือเป็นคำชมนะ น่าจะทำให้รัสเซียชอบใจ เหมือนได้ยินคำสารภาพ ของฝ่ายที่กำลังเสียแต้ม ฮา “ข้อเสนอแนะ ของถังขยะ : แม้ว่าพวกตะวันตกจะประเมินรัสเซียในบางเรื่องต่างกันบ้าง แต่ทั้งหมดเห็นพ้องกันว่า รัสเซียไม่มีทางมาเป็นส่วนหนึ่งยุโรป ตามกฏเกณท์ กติกาที่ยุโรปใช้อยู่ ยกเว้นแต่ รัสเซียจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของประเทศ ตั้งแต่พื้นฐาน และการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากภายในรัสเซียเอง ดังนั้น พวกตะวันตกจะต้องร่วมมือกันคิดอย่างจริงจัง ถึงยุทธศาสตร์ที่จะใช้กับรัสเซีย ซึ่งจะต้องใช้มุมมองเดียวกันทั้งทรานสแอตแลนติกและยุโรป โดยเฉพาะ ต้องมองรัสเซียจากพฤติกรรมของรัส เซียเอง ไม่ใช่มองแบบง่ายๆ หรือจากการเล่ากันต่อๆมา policy must be based on the evidence of Russia’s behaviour, not on convenience or fashionable narratives… การร่วมมือของพวกตะวันตก อย่างเข้มงวดจริงจัง เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ผู้ที่จะเป็นตัวหลัก ในการทำงาน จะต้องมีแนวทางเดียวกัน และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด……” โอ้โห อันนี้ มันฟ้องตัวเองว่า ไม่มีเอกภาพเท่าไหร่ในพวกตะวันตก แถมแดกใครครับ ที่มองรัสเซียแบบง่าย สงสัยจะเป็นฝรั่งเศส ลุงโอลอง เพื่อนผมมังนะ เห็นแอบไปจี๋จ๋ากับคุณน้องปูตินบ่อยๆ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์สำหรับตะวันตก ที่ถังขยะเสนอ : “1. ยับยั้งการรุกรานของรัสเซียกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป แต่อย่าทำ โดยไม่มีทางออกเผื่อไว้ หากสถานการณ์เปลี่ยน เช่น ปูตินร่วงไป หรืออาจมีหัวหน้าคนใหม่ของรัสเซียที่อยากคบกับตะวันตกก็ได้ ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียไปไม่รอด และการคบกับจีนอาจมีต้นทุนสูงเกินไป ถ้าจีนโตขึ้นเรื่อยๆ รัสเซียอาจอยากกลับมาอยู่กับยุโรปอีกก็เป็นได้” …. แปลว่า มีแผนจะจัดการเอาคุณพี่ปูตินของผมเก็บลงกล่อง.. ขณะเดียวกันก็เสี้ยมเรื่องอาเฮียเสียหน่อย….. “2. ต้องเสริมสร้างเกียรติภูมิของยุโรป ด้านการรักษาความมั่นคงใหม่ โดยเฉพาะแต่ละประเทศต้องดูแลรักษาเขตแดนของตัวเองได้ และตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของประเทศตัวเองได้ ” ….. แปลว่า ยุโรปอ่อนระทวย ดูแลตัวเองไม่ได้ แหม ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯนี่เก่งนะ เรือดำน้ำรัสเซียโผล่ใกล้บ้านหลายที ทำอะไรเขาไม่ได้ เลยแต่ด่าคนอื่นแทน…. “3. ต้องพยายามหาทางที่จะสื่อสารกับคนรัสเซียว่า ในระยะไกล การอยู่ร่วมกับยุโรปเป็นผลดีกับรัสเซียมากกว่า” …. มาแล้ว โรงงานฟอกย้อม…. “4. หาทางที่จะหารือกับจีน และประเทศที่เป็นอดีตรัฐของรัสเซีย ให้พิจารณานโยบายของรัสเซีย ว่าจะเป็นปัญหาต่อไปอย่างไร บางประเทศมีปัญหาในการมองรัสเซียด้านเดียว” ….. อันนี้ เป็นรายการ เสี้ยม….. “5. ให้เตรียมพร้อม สำหรับความวุ่นวาย และโอกาสที่จะเกิดขึ้น จากการเปลี่ยนตัวผู้นำของรัสเซีย” …..ข้อนี้น่าสนใจมาก …. คิดจะทำอะไรหรือครับ .. “6. ต้องพยายามแย่งรัสเซีย และชาวรัสเซียมาจากปูติน สิ่งที่พวกตะวันตกกำลังทำอยู่โดยการไม่สนใจ ไม่ยุ่งกับรัสเซีย กลายเป็นการส่งเสริมให้รัสเซียตกอยู่ในมือปูตินหนักขึ้น” …..สร้างกระบวนการแย่งประชาชน แผนมาตรฐาน ใช้มันทุกที่…. นโยบาย ที่ถังขยะเสนอว่า ต้องทำอย่างเฉพาะเจาะจง : “1. สร้างยูเครนให้เข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ถ้าเอายูเครนไม่อยู่ ยุโรปตะวันออกเซหมด และเพิ่มความผยองให้กับรัสเซีย ทำให้โอกาสที่จะ “เปลี่ยน” รัสเซียริบหรี่ลงไปด้วย” “2. ประเทศที่เป็นอียูตะวันออก ต้องปรับปรุงให้เป็นเครื่องมือสำคัญของอียู และต้องพร้อมที่จะมีการปฏิรูปทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจอย่างจริงจัง” “3. การคว่ำบาตรรัสเซียจะมีผลต่อเมื่อคว่ำ “นาน “และ “แรง” การคว่ำบาตรจากกรณียูเครน ปลดให้ง่ายๆไม่ได้ และการจะยกเลิกการคว่ำบาตรโดยเอาไปโยงกับการทำ Minsk Accord เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าที่สุด” “4. พวกตะวันตก ต้องไม่กลับไปทำการค้ากับรัสเซียอย่างเดิม do business as usual จนกว่าเรื่องยูเครนจะจบ ด้วยการที่รัสเซียยอมทำตามภาระ ความรับผิดชอบ ตามกฏหมายสากล international legal obligations” “5. นโยบายด้านพลังงานของอียู ต้องมีเป้าหมายที่จะตัดอำนาจการต่อรองของรัสเซีย ออกไปจากตลาดพลังงาน ไม่ใช่แค่ตัดการส่งพลังงานให้ยุโรป ดังนั้นการยกเลิกโครงการ South Stream pipeline เป็นเรื่องต้องทำ และแผนการที่รัสเสียกำลังสร้าง “energy island” ในยุโรป ต้องไม่ให้สำเร็จ” …. มาแล้ว เรื่องกรีซ/ตุรกี….. “6. พวกตะวันตก ต้องลงทุนในการใช้สื่อเป็นยุทธศาสตร์ตอบโต้กับการอวดอ้างที่ผิดๆของเครมลิน ต้องทำทั้งระดับประเทศ ผ่านอียูและนาโต้ ร่วมมือกัน ต้องสร้างช่องทางที่จะเข้าถึงชาวรัสเซียทั่วไป โดยผ่านการศึกษา และสัมพันธ์ด้านบุคคลอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน” …..โรงงานฟอกย้อม เตรียมหาสีได้แล้ว…… “7. นาโต้ ต้องสร้างผลงานว่า สามารถยับยั้งการรุกรานได้ โดยเฉพาะต้องแสดงให้เห็นว่า การจำกัดรุกราน ที่ยังคลุมเคลือ หรือมาหลายรูปแบบ เป็นเรื่องที่นาโต้จัดการได้อย่างไม่มีปัญหา” …….อายแทน นาโต้จัง อย่าด่าตรงนักซิพี่…. “8. นาโต้ ต้องซ่อมชื่อเสียงที่เคยมีว่า สามารถยับยั้งการรุกราน ที่มาในรูปแบบธรรมดา ให้ได้อย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นจะทำให้รัสเซียฉวยโอกาส สร้าง และซ้อมเป้ามากขึ้น” ….. แสดงว่า นาโต้ ลุ้นไม่ขึ้นแล้ว…. “9. แต่ละประเทศในอียู อียูเอง รวมทั้งกองกำลังเสริมจากภายนอก External Action Service จำเป็นที่จะต้องกลับมาวิเคราะห์ และทำความเข้าใจ กับความเป็นไปของรัสเซีย และประเทศเพื่อนบ้านเสียใหม่ ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะช่วยนำมาใช้เป็นข้อมูลให้การวางนโยบาย” ……นโยบาย 9 ข้อ นี่ ผมชอบจัง เหมือนคำสารภาพอีกแล้ว คุณพี่ปูติน อ่านแล้วก็คงหัวร่อในคอ นี่เจาะจงไปที่อียู โดยเฉพาะอียูตะวันออก กับนาโต้ ล้วนๆ ให้เห็นว่า “ถ้า” รบกัน อียูกับนาโต้ ไม่มีทางต้านรัสเซียอยู่หรอก การบ้านเพียบเลย จะทำทันไหมครับ… ” …การดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น จะทำให้พวกตะวันตก เตรียมตัวในการรับมือ กับสัมพันธภาพกับรัสเซีย ที่นับวันมีแต่จะเลวลง และใครที่คิดว่าคุยกับปูตินก็ยังดีกว่า เพราะผู้นำรัสเซียคนใหม่อาจแย่กว่า นั้น คิดแบบนั้น มีแต่จะนำแต่ความล้มเหลวมาให้ตัว ไม่ว่าผู้นำรัสเซียคนใหม่จะเป็นใคร ปูตินจะอยู่ต่อไปอีก หรือ “ไปก่อนเวลา” prematurely replaced มันก็สร้างความกระทบกระเทือนไปทั่วทั้งนั้นแหละ 18 เดือนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นข้อสรุปว่า การมองรัสเซียในแง่ดี ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง…” จบได้แรงนะ น่าสงสัยว่า ไม่ใช่แค่ อียู นาโต้ ที่ต้องปรับปรุง ผู้รับตัวจริง ที่การวิเคราะห์นี้ ต้องการจะส่งไปถึง น่าจะเป็น พณฯใบตองแห้งของอเมริกา เสียมากกว่า ที่มีแนวคิดว่า รัสเซียอยู่ไกลบ้านอเมริกา เกิดอะไรขึ้นมา นาโต้และยุโรป รับไปก่อน แถม พณฯใบตองแห้ง ยังเปลี่ยนนโยบาย โยกกำลัง จากแอตแลนติก ไปเพิ่มให้ทางแปซิฟิกมากกว่า เพราะตอนนั้นเริ่มปอดแหกอาเฮีย และแม้อเมริกาจะใช้วิธีการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเต็มพิกัดแล้ว แต่ในสายตาของอังกฤษ การดำเนินการของอเมริกาต่อรัสเซีย โดยเฉพาะการประเมินปูตินเบาไปนั้น น่าจะไม่พอรับมือรัสเซีย ยังไม่ถึงใจอังกฤษ ที่มองเห็นและประทับตราให้รัสเซียเป็นศัตรูถาวร แล้วจริงๆ อเมริกามีแผนอะไรเตรียมไว้ให้รัสเซียอีกหรือไม่ หรือประเมินคุณพี่ปูตินของผมเบาเท่าปุยนุ่น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดคอมพิวเตอร์ปี 2025—การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ

    ในปี 2025 ตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ภาพรวมที่เคยคุ้นชินกำลังถูกปรับใหม่แทบทั้งหมด ทั้งจากเทคโนโลยีใหม่ ความต้องการของผู้บริโภค และแรงกดดันจากอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างท่วมท้น บทความนี้สำรวจเทรนด์เหล่านั้นผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ เพื่ออธิบายว่าทำไมตลาดปีนี้จึงแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา และกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใหม่อย่างชัดเจน
    ________________________________________
    คอมพิวเตอร์กำลังแบ่งเป็นสองกลุ่มสุดขั้ว
    หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ ตลาดคอมพิวเตอร์กำลังแบ่งตัวออกเป็น “สองขั้ว” อย่างชัดเจน คือขั้วของเครื่องบางเบาสำหรับงานทั่วไป และขั้วของเครื่องที่เน้นพลังประมวลผลสูงสำหรับงานเฉพาะทาง ซึ่งเป็นการหายไปของตลาดระดับกลางที่เคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมมาอย่างยาวนาน
    กลุ่มแรกคือโน้ตบุ๊กบางเบาที่เน้นการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน คนทำงานสำนักงาน หรือผู้ใช้ที่ต้องการเพียงเว็บ เบราว์เซอร์ งานเอกสาร และการสื่อสารออนไลน์ โน้ตบุ๊กประเภทนี้ได้ประโยชน์จากชิปรุ่นใหม่อย่าง Intel Core Ultra และ AMD Ryzen AI ซึ่งมี NPU ในตัวที่ช่วยรองรับงานด้านปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud มากเหมือนในอดีต
    อีกกลุ่มคือโน้ตบุ๊กหรือเดสก์ท็อปที่เน้นพลังประมวลผลสูง ใช้งานสำหรับตัดต่อวิดีโอ 4K/8K งาน 3D การพัฒนาเกม หรือการทำงานด้าน AI ที่ต้องใช้ GPU ระดับสูง กลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็วเพราะอุตสาหกรรมคอนเทนต์และ AI ต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพจริงจัง ผู้ใช้ในกลุ่มนี้เลือกเครื่องที่ “แรงที่สุดเท่าที่งบเอื้อ” และตลาดระดับกลางกำลังถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ
    ________________________________________
    AI PC กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาด
    ปี 2025 คือปีที่ AI ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ใน Cloud อีกต่อไป แต่ถูกผลักดันให้เกิดการทำงานบนเครื่องโดยตรง ผ่าน NPU รุ่นใหม่ในชิปของทั้ง Intel, AMD และ Apple ส่งผลให้โน้ตบุ๊กทั่วไปสามารถทำงาน เช่น การลบฉากหลังแบบเรียลไทม์ การสรุปเอกสาร การแปลภาษา การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดเล็ก และการช่วยเขียนเนื้อหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
    AI PC จึงไม่ใช่เพียงคำโฆษณา แต่กำลังกลายเป็นมาตรฐานที่ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มคาดหวัง เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของคนจำนวนมาก
    ________________________________________
    ตลาดเดสก์ท็อปยังคงอยู่ แต่ถูกจำกัดในกลุ่มเฉพาะ
    แม้ยอดขายเดสก์ท็อปสำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดนี้ยังคงมีพลังในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะทาง เช่น เกมเมอร์ นักออกแบบ 3D สตูดิโอผลิตวิดีโอ และนักวิจัย AI เพราะเดสก์ท็อปยังให้ “ประสิทธิภาพต่อราคา” ที่ดีที่สุด สามารถอัปเกรดได้ยืดหยุ่น และรองรับงานหนักต่อเนื่องได้ยาวนานกว่าทางฝั่งโน้ตบุ๊ก
    ตลาดเดสก์ท็อปจึงไม่หายไป แต่กำลังปรับตัวให้เหมาะกับผู้ใช้งานที่จริงจังมากขึ้น และไม่ใช่อุปกรณ์หลักสำหรับบ้านทั่วไปเหมือนในอดีต
    ________________________________________
    การเปลี่ยนผ่านจาก x86 ไปสู่ ARM
    การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่เริ่มชัดเจนคือ การย้ายจากสถาปัตยกรรม x86 ที่ครองตลาดมายาวนานไปสู่ ARM โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดผู้ใช้ทั่วไป Apple ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชิป ARM สามารถให้ประสิทธิภาพสูงกว่าและประหยัดพลังงานกว่าอย่างชัดเจน จนทำให้โน้ตบุ๊ก ARM กลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงในตลาดระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง
    ในปีนี้ Microsoft ลงทุนอย่างจริงจังกับ Windows on ARM ทำให้การใช้งานลื่นขึ้น แอปพลิเคชันรองรับมากขึ้น และมีผู้ผลิตหลายรายเปิดตัวโน้ตบุ๊ก ARM เพื่อเจาะตลาดราคาประหยัดแบบจริงจัง แนวโน้มนี้อาจทำให้ ARM ครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาดโน้ตบุ๊กภายใน 2–3 ปีต่อจากนี้
    ________________________________________
    สถานการณ์ใหม่: RAM และ SSD ราคาสูงขึ้นเพราะถูกแย่งโดยอุตสาหกรรม AI
    หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นชัดเจนในปีนี้คือ ราคา RAM และ SSD ในตลาดผู้ใช้ทั่วไปมีแนวโน้มสูงขึ้นสวนทางกับแนวโน้มเดิม ที่มักจะถูกลงตามเวลา สาเหตุสำคัญมาจากความต้องการอุปกรณ์สตอเรจและหน่วยความจำจากบริษัทด้าน AI ระดับโลกที่กำลังแข่งขันกันขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว
    งานด้าน AI ต้องการ RAM ความจุสูงมากในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ และต้องใช้ SSD ความเร็วสูงจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผลและจัดเก็บโมเดล การที่บริษัทอย่าง OpenAI, Google, Meta และ Amazon สั่งซื้อ SSD และ RAM ในปริมาณมหาศาลทำให้ซัพพลายที่เคยส่งมายังตลาดผู้ใช้ทั่วไปถูกเบียดออกไป ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น 10–40% แล้วแต่รุ่นและความจุ
    สถานการณ์นี้อาจคงอยู่ไปจนถึงปี 2026 และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ราคาชิ้นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ “แพงขึ้น” แทนที่จะถูกลงเหมือนธรรมเนียมปกติของอุตสาหกรรม
    ________________________________________
    แท็บเล็ตเริ่มเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊กในบางกลุ่ม
    แท็บเล็ตอย่าง iPad และแท็บเล็ตจากฝั่ง Android เริ่มทำหน้าที่แทนโน้ตบุ๊กสำหรับบางกลุ่มผู้ใช้ โดยเฉพาะนักเรียน คนทำงานเอกสาร และผู้ที่ใช้งานผ่าน Cloud เป็นหลัก ด้วยความเบา ใช้งานง่าย และมีระบบ multitasking ที่ดีขึ้นมาก ชิปตระกูล M-Series ของ Apple ก็ให้ประสิทธิภาพสูงพอที่จะทำงานด้านกราฟิกระดับหนึ่งได้
    อย่างไรก็ตาม ยังมีงานที่แท็บเล็ตแทนที่โน้ตบุ๊กไม่ได้ เช่น งานพัฒนาโปรแกรมระดับลึก งานด้าน AI ขั้นสูง การทำงานผ่านเครื่องมือเฉพาะทาง และการเล่นเกมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม ทำให้แม้แท็บเล็ตจะเติบโต แต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่โน้ตบุ๊กทั้งหมดได้
    ________________________________________
    แนวโน้มของตลาดในอีก 2–3 ปีข้างหน้า
    จากข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ดังนี้:
    1. AI PC จะกลายเป็นมาตรฐานของโน้ตบุ๊กราคา 20,000 บาทขึ้นไป
    2. ARM จะขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดโน้ตบุ๊กระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง
    3. เดสก์ท็อปจะยังอยู่ แต่จำกัดในกลุ่มจริงจัง เช่น เกมเมอร์และงานเฉพาะทาง
    4. โปรแกรมต่าง ๆ จะถูกปรับให้เบาขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้นบน ARM และทำงานร่วมกับ AI ได้ดี
    5. GPU จะยังคงเติบโตและมีราคาเพิ่มขึ้นตามความต้องการด้าน AI
    6. ราคา RAM และ SSD จะยังคงสูงขึ้นหรือลดลงช้ากว่าปกติ เนื่องจากความต้องการจากอุตสาหกรรม AI
    ________________________________________
    สรุป
    ตลาดคอมพิวเตอร์ในปี 2025 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ทั้งจากเทคโนโลยี AI การเติบโตของ ARM การขยายตัวของแท็บเล็ต และการแข่งขันจากเครื่องราคาประหยัด ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรม AI ก็สร้างแรงกดดันใหม่ให้ตลาดฮาร์ดแวร์ ทำให้ราคาบางส่วนสูงขึ้นแบบไม่เคยมีมาก่อน
    นี่คือปีที่เราอาจต้องทบทวนความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่ที่เทคโนโลยี AI จะเป็นหัวใจของการใช้งานทุกระดับ ตั้งแต่เครื่องราคาประหยัดจนถึงเครื่องระดับมืออาชีพ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🖥️ ตลาดคอมพิวเตอร์ปี 2025—การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ ในปี 2025 ตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ภาพรวมที่เคยคุ้นชินกำลังถูกปรับใหม่แทบทั้งหมด ทั้งจากเทคโนโลยีใหม่ ความต้องการของผู้บริโภค และแรงกดดันจากอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างท่วมท้น บทความนี้สำรวจเทรนด์เหล่านั้นผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ เพื่ออธิบายว่าทำไมตลาดปีนี้จึงแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา และกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใหม่อย่างชัดเจน ________________________________________ ⚖️ คอมพิวเตอร์กำลังแบ่งเป็นสองกลุ่มสุดขั้ว หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ ตลาดคอมพิวเตอร์กำลังแบ่งตัวออกเป็น “สองขั้ว” อย่างชัดเจน คือขั้วของเครื่องบางเบาสำหรับงานทั่วไป และขั้วของเครื่องที่เน้นพลังประมวลผลสูงสำหรับงานเฉพาะทาง ซึ่งเป็นการหายไปของตลาดระดับกลางที่เคยเป็นตัวเลือกยอดนิยมมาอย่างยาวนาน กลุ่มแรกคือโน้ตบุ๊กบางเบาที่เน้นการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน คนทำงานสำนักงาน หรือผู้ใช้ที่ต้องการเพียงเว็บ เบราว์เซอร์ งานเอกสาร และการสื่อสารออนไลน์ โน้ตบุ๊กประเภทนี้ได้ประโยชน์จากชิปรุ่นใหม่อย่าง Intel Core Ultra และ AMD Ryzen AI ซึ่งมี NPU ในตัวที่ช่วยรองรับงานด้านปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud มากเหมือนในอดีต อีกกลุ่มคือโน้ตบุ๊กหรือเดสก์ท็อปที่เน้นพลังประมวลผลสูง ใช้งานสำหรับตัดต่อวิดีโอ 4K/8K งาน 3D การพัฒนาเกม หรือการทำงานด้าน AI ที่ต้องใช้ GPU ระดับสูง กลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็วเพราะอุตสาหกรรมคอนเทนต์และ AI ต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพจริงจัง ผู้ใช้ในกลุ่มนี้เลือกเครื่องที่ “แรงที่สุดเท่าที่งบเอื้อ” และตลาดระดับกลางกำลังถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ ________________________________________ 🤖 AI PC กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาด ปี 2025 คือปีที่ AI ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ใน Cloud อีกต่อไป แต่ถูกผลักดันให้เกิดการทำงานบนเครื่องโดยตรง ผ่าน NPU รุ่นใหม่ในชิปของทั้ง Intel, AMD และ Apple ส่งผลให้โน้ตบุ๊กทั่วไปสามารถทำงาน เช่น การลบฉากหลังแบบเรียลไทม์ การสรุปเอกสาร การแปลภาษา การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดเล็ก และการช่วยเขียนเนื้อหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา AI PC จึงไม่ใช่เพียงคำโฆษณา แต่กำลังกลายเป็นมาตรฐานที่ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มคาดหวัง เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของคนจำนวนมาก ________________________________________ 🖱️ ตลาดเดสก์ท็อปยังคงอยู่ แต่ถูกจำกัดในกลุ่มเฉพาะ แม้ยอดขายเดสก์ท็อปสำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดนี้ยังคงมีพลังในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะทาง เช่น เกมเมอร์ นักออกแบบ 3D สตูดิโอผลิตวิดีโอ และนักวิจัย AI เพราะเดสก์ท็อปยังให้ “ประสิทธิภาพต่อราคา” ที่ดีที่สุด สามารถอัปเกรดได้ยืดหยุ่น และรองรับงานหนักต่อเนื่องได้ยาวนานกว่าทางฝั่งโน้ตบุ๊ก ตลาดเดสก์ท็อปจึงไม่หายไป แต่กำลังปรับตัวให้เหมาะกับผู้ใช้งานที่จริงจังมากขึ้น และไม่ใช่อุปกรณ์หลักสำหรับบ้านทั่วไปเหมือนในอดีต ________________________________________ 🔄 การเปลี่ยนผ่านจาก x86 ไปสู่ ARM การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่เริ่มชัดเจนคือ การย้ายจากสถาปัตยกรรม x86 ที่ครองตลาดมายาวนานไปสู่ ARM โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดผู้ใช้ทั่วไป Apple ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชิป ARM สามารถให้ประสิทธิภาพสูงกว่าและประหยัดพลังงานกว่าอย่างชัดเจน จนทำให้โน้ตบุ๊ก ARM กลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงในตลาดระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง ในปีนี้ Microsoft ลงทุนอย่างจริงจังกับ Windows on ARM ทำให้การใช้งานลื่นขึ้น แอปพลิเคชันรองรับมากขึ้น และมีผู้ผลิตหลายรายเปิดตัวโน้ตบุ๊ก ARM เพื่อเจาะตลาดราคาประหยัดแบบจริงจัง แนวโน้มนี้อาจทำให้ ARM ครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาดโน้ตบุ๊กภายใน 2–3 ปีต่อจากนี้ ________________________________________ 💸 สถานการณ์ใหม่: RAM และ SSD ราคาสูงขึ้นเพราะถูกแย่งโดยอุตสาหกรรม AI หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นชัดเจนในปีนี้คือ ราคา RAM และ SSD ในตลาดผู้ใช้ทั่วไปมีแนวโน้มสูงขึ้นสวนทางกับแนวโน้มเดิม ที่มักจะถูกลงตามเวลา สาเหตุสำคัญมาจากความต้องการอุปกรณ์สตอเรจและหน่วยความจำจากบริษัทด้าน AI ระดับโลกที่กำลังแข่งขันกันขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว งานด้าน AI ต้องการ RAM ความจุสูงมากในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ และต้องใช้ SSD ความเร็วสูงจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผลและจัดเก็บโมเดล การที่บริษัทอย่าง OpenAI, Google, Meta และ Amazon สั่งซื้อ SSD และ RAM ในปริมาณมหาศาลทำให้ซัพพลายที่เคยส่งมายังตลาดผู้ใช้ทั่วไปถูกเบียดออกไป ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น 10–40% แล้วแต่รุ่นและความจุ สถานการณ์นี้อาจคงอยู่ไปจนถึงปี 2026 และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ราคาชิ้นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ “แพงขึ้น” แทนที่จะถูกลงเหมือนธรรมเนียมปกติของอุตสาหกรรม ________________________________________ 📱 แท็บเล็ตเริ่มเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊กในบางกลุ่ม แท็บเล็ตอย่าง iPad และแท็บเล็ตจากฝั่ง Android เริ่มทำหน้าที่แทนโน้ตบุ๊กสำหรับบางกลุ่มผู้ใช้ โดยเฉพาะนักเรียน คนทำงานเอกสาร และผู้ที่ใช้งานผ่าน Cloud เป็นหลัก ด้วยความเบา ใช้งานง่าย และมีระบบ multitasking ที่ดีขึ้นมาก ชิปตระกูล M-Series ของ Apple ก็ให้ประสิทธิภาพสูงพอที่จะทำงานด้านกราฟิกระดับหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีงานที่แท็บเล็ตแทนที่โน้ตบุ๊กไม่ได้ เช่น งานพัฒนาโปรแกรมระดับลึก งานด้าน AI ขั้นสูง การทำงานผ่านเครื่องมือเฉพาะทาง และการเล่นเกมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม ทำให้แม้แท็บเล็ตจะเติบโต แต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่โน้ตบุ๊กทั้งหมดได้ ________________________________________ 📈 แนวโน้มของตลาดในอีก 2–3 ปีข้างหน้า จากข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ดังนี้: 1. AI PC จะกลายเป็นมาตรฐานของโน้ตบุ๊กราคา 20,000 บาทขึ้นไป 2. ARM จะขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดโน้ตบุ๊กระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง 3. เดสก์ท็อปจะยังอยู่ แต่จำกัดในกลุ่มจริงจัง เช่น เกมเมอร์และงานเฉพาะทาง 4. โปรแกรมต่าง ๆ จะถูกปรับให้เบาขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้นบน ARM และทำงานร่วมกับ AI ได้ดี 5. GPU จะยังคงเติบโตและมีราคาเพิ่มขึ้นตามความต้องการด้าน AI 6. ราคา RAM และ SSD จะยังคงสูงขึ้นหรือลดลงช้ากว่าปกติ เนื่องจากความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ________________________________________ 📌📝 สรุป ตลาดคอมพิวเตอร์ในปี 2025 กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ทั้งจากเทคโนโลยี AI การเติบโตของ ARM การขยายตัวของแท็บเล็ต และการแข่งขันจากเครื่องราคาประหยัด ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรม AI ก็สร้างแรงกดดันใหม่ให้ตลาดฮาร์ดแวร์ ทำให้ราคาบางส่วนสูงขึ้นแบบไม่เคยมีมาก่อน นี่คือปีที่เราอาจต้องทบทวนความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่ที่เทคโนโลยี AI จะเป็นหัวใจของการใช้งานทุกระดับ ตั้งแต่เครื่องราคาประหยัดจนถึงเครื่องระดับมืออาชีพ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Big-Screen Gaming Anywhere – พลังของ HDMI เชื่อมโลกเกมพกพาสู่จอทีวี”

    เครื่องเกมพกพาในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่การเล่นคนเดียวบนหน้าจอเล็กอีกต่อไป แต่สามารถเชื่อมต่อกับทีวีผ่าน HDMI เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที ตัวอย่างเช่น Nintendo Switch และ Switch 2 ที่มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI โดยตรง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมโปรดในความละเอียดสูงสุดถึง 4K ได้บนทีวีในบ้าน

    นอกจาก Nintendo แล้ว ASUS ROG Ally X ก็มี Dock เสริมที่ช่วยให้เครื่องเกมพกพาเชื่อมต่อกับจอ HDMI ได้เช่นกัน ขณะที่ Steam Deck แม้จะไม่มี Dock เฉพาะ แต่ก็สามารถใช้ Dock ของผู้ผลิตอื่นที่มีพอร์ต HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวีได้อย่างยืดหยุ่น และสำหรับบางเครื่อง เช่น Atari Gamestation ก็มีพอร์ต HDMI ติดตั้งมาในตัว ทำให้สามารถเสียบสายแล้วเล่นบนจอใหญ่ได้ทันที

    การเชื่อมต่อผ่าน HDMI ไม่ได้ให้แค่ภาพคมชัด แต่ยังรองรับระบบเสียงขั้นสูงผ่าน HDMI ARC และ eARC ซึ่งสามารถส่งสัญญาณเสียงไปยัง Soundbar หรือเครื่องเสียงหลายลำโพงได้ ทำให้การเล่นเกมมีมิติด้านเสียงที่สมจริงมากขึ้น รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงโรงภาพยนตร์

    แนวโน้มนี้สะท้อนว่าเครื่องเกมพกพากำลังกลายเป็น Hybrid Console ที่สามารถเล่นได้ทั้งนอกบ้านและในห้องนั่งเล่น โดย HDMI เป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องเลือกว่าจะเล่นแบบพกพาหรือจอใหญ่ แต่สามารถทำได้ทั้งสองอย่างอย่างไร้รอยต่อ

    สรุปสาระสำคัญ
    Nintendo Switch และ Switch 2
    มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI เล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที

    ASUS ROG Ally X และ Steam Deck
    ใช้ Dock เสริมที่มี HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวี

    Atari Gamestation
    มีพอร์ต HDMI ในตัว รองรับการเชื่อมต่อโดยตรง

    HDMI ARC/eARC
    รองรับเสียง Dolby Atmos และ DTS:X เพิ่มความสมจริง

    ข้อจำกัดของบางเครื่อง
    ต้องใช้ Dock หรืออุปกรณ์เสริมในการเชื่อมต่อ HDMI

    ความเสี่ยงด้านคุณภาพเสียง/ภาพ
    หากใช้สายหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/big-screen-gaming-anywhere-connecting-portable-consoles-to-hdtvs-with-hdmi-r-technology
    📰 “Big-Screen Gaming Anywhere – พลังของ HDMI เชื่อมโลกเกมพกพาสู่จอทีวี” เครื่องเกมพกพาในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่การเล่นคนเดียวบนหน้าจอเล็กอีกต่อไป แต่สามารถเชื่อมต่อกับทีวีผ่าน HDMI เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที ตัวอย่างเช่น Nintendo Switch และ Switch 2 ที่มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI โดยตรง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมโปรดในความละเอียดสูงสุดถึง 4K ได้บนทีวีในบ้าน นอกจาก Nintendo แล้ว ASUS ROG Ally X ก็มี Dock เสริมที่ช่วยให้เครื่องเกมพกพาเชื่อมต่อกับจอ HDMI ได้เช่นกัน ขณะที่ Steam Deck แม้จะไม่มี Dock เฉพาะ แต่ก็สามารถใช้ Dock ของผู้ผลิตอื่นที่มีพอร์ต HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวีได้อย่างยืดหยุ่น และสำหรับบางเครื่อง เช่น Atari Gamestation ก็มีพอร์ต HDMI ติดตั้งมาในตัว ทำให้สามารถเสียบสายแล้วเล่นบนจอใหญ่ได้ทันที การเชื่อมต่อผ่าน HDMI ไม่ได้ให้แค่ภาพคมชัด แต่ยังรองรับระบบเสียงขั้นสูงผ่าน HDMI ARC และ eARC ซึ่งสามารถส่งสัญญาณเสียงไปยัง Soundbar หรือเครื่องเสียงหลายลำโพงได้ ทำให้การเล่นเกมมีมิติด้านเสียงที่สมจริงมากขึ้น รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงโรงภาพยนตร์ แนวโน้มนี้สะท้อนว่าเครื่องเกมพกพากำลังกลายเป็น Hybrid Console ที่สามารถเล่นได้ทั้งนอกบ้านและในห้องนั่งเล่น โดย HDMI เป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องเลือกว่าจะเล่นแบบพกพาหรือจอใหญ่ แต่สามารถทำได้ทั้งสองอย่างอย่างไร้รอยต่อ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Nintendo Switch และ Switch 2 ➡️ มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI เล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที ✅ ASUS ROG Ally X และ Steam Deck ➡️ ใช้ Dock เสริมที่มี HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวี ✅ Atari Gamestation ➡️ มีพอร์ต HDMI ในตัว รองรับการเชื่อมต่อโดยตรง ✅ HDMI ARC/eARC ➡️ รองรับเสียง Dolby Atmos และ DTS:X เพิ่มความสมจริง ‼️ ข้อจำกัดของบางเครื่อง ⛔ ต้องใช้ Dock หรืออุปกรณ์เสริมในการเชื่อมต่อ HDMI ‼️ ความเสี่ยงด้านคุณภาพเสียง/ภาพ ⛔ หากใช้สายหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/big-screen-gaming-anywhere-connecting-portable-consoles-to-hdtvs-with-hdmi-r-technology
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Big-Screen Gaming Anywhere: Connecting Portable Consoles to HDTVs with HDMI®Technology
    The latest News,/news,,news, breaking news, comment, reviews and features from the experts at Tom's Hardware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • “The Fall of Icarus – ภาพถ่ายดาราศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน”

    ภาพนี้เป็นผลงานร่วมกันของ Andrew McCarthy นักถ่ายภาพดาราศาสตร์ และ Gabriel C. Brown นักกระโดดร่ม โดยพวกเขาวางแผนให้ Brown กระโดดร่มในจังหวะที่ตรงกับการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในแสง Hydrogen-alpha ซึ่งเผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับบนดวงอาทิตย์ ผลลัพธ์คือภาพเงาของนักกระโดดร่มที่พุ่งลงมาพอดีกับตำแหน่งระหว่างจุดดับดวงอาทิตย์ สร้างความสมบูรณ์แบบทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์

    การถ่ายภาพครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องใช้ หลายกล้องและการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ระหว่างนักบินพารามอเตอร์, McCarthy และ Brown เพื่อให้การจัดตำแหน่งเป็นไปอย่างแม่นยำ หลังจากความพยายามถึง 6 ครั้ง พวกเขาจึงได้ภาพที่สมบูรณ์แบบตามที่ตั้งใจไว้

    สิ่งที่ทำให้ภาพนี้โดดเด่นคือการนำ กิจกรรมสุดขั้วอย่างการกระโดดร่ม มาผสมผสานกับ การถ่ายภาพดาราศาสตร์เชิงลึก ซึ่งปกติแล้วมักจะเป็นงานที่ต้องใช้ความนิ่งและความแม่นยำสูง การสร้างสรรค์ครั้งนี้จึงถูกยกย่องว่าเป็น “การยกระดับมาตรฐานของวงการ Astrophotography” และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในฐานะผลงานศิลป์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

    นอกจากความงดงามทางศิลปะแล้ว ภาพนี้ยังสะท้อนถึง ความร่วมมือระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์การบิน, ดาราศาสตร์ และศิลปะการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการคิดนอกกรอบและการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญต่างสาขา

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลงานของ Andrew McCarthy และ Gabriel C. Brown
    ผสมผสานการถ่ายภาพดาราศาสตร์กับการกระโดดร่ม

    ใช้แสง Hydrogen-alpha ในการถ่ายดวงอาทิตย์
    เผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับ

    การวางแผนซับซ้อนและพยายามถึง 6 ครั้ง
    เพื่อให้ตำแหน่งกระโดดร่มตรงกับดวงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์

    ได้รับการยกย่องว่าเป็นการยกระดับ Astrophotography
    สร้างความตื่นตะลึงและเผยแพร่ไปทั่วโลก

    ความเสี่ยงจากการกระโดดร่มและการจัดตำแหน่งที่ซับซ้อน
    ต้องอาศัยการสื่อสารและการควบคุมที่แม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย

    การผสมผสานกิจกรรมสุดขั้วกับงานวิทยาศาสตร์
    หากผิดพลาดอาจทำให้ทั้งการถ่ายภาพและการกระโดดร่มล้มเหลว

    https://www.iflscience.com/the-fall-of-icarus-you-have-never-seen-an-astrophotography-picture-like-this-81570
    📰 “The Fall of Icarus – ภาพถ่ายดาราศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน” ภาพนี้เป็นผลงานร่วมกันของ Andrew McCarthy นักถ่ายภาพดาราศาสตร์ และ Gabriel C. Brown นักกระโดดร่ม โดยพวกเขาวางแผนให้ Brown กระโดดร่มในจังหวะที่ตรงกับการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในแสง Hydrogen-alpha ซึ่งเผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับบนดวงอาทิตย์ ผลลัพธ์คือภาพเงาของนักกระโดดร่มที่พุ่งลงมาพอดีกับตำแหน่งระหว่างจุดดับดวงอาทิตย์ สร้างความสมบูรณ์แบบทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ การถ่ายภาพครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องใช้ หลายกล้องและการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ระหว่างนักบินพารามอเตอร์, McCarthy และ Brown เพื่อให้การจัดตำแหน่งเป็นไปอย่างแม่นยำ หลังจากความพยายามถึง 6 ครั้ง พวกเขาจึงได้ภาพที่สมบูรณ์แบบตามที่ตั้งใจไว้ สิ่งที่ทำให้ภาพนี้โดดเด่นคือการนำ กิจกรรมสุดขั้วอย่างการกระโดดร่ม มาผสมผสานกับ การถ่ายภาพดาราศาสตร์เชิงลึก ซึ่งปกติแล้วมักจะเป็นงานที่ต้องใช้ความนิ่งและความแม่นยำสูง การสร้างสรรค์ครั้งนี้จึงถูกยกย่องว่าเป็น “การยกระดับมาตรฐานของวงการ Astrophotography” และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในฐานะผลงานศิลป์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นอกจากความงดงามทางศิลปะแล้ว ภาพนี้ยังสะท้อนถึง ความร่วมมือระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์การบิน, ดาราศาสตร์ และศิลปะการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการคิดนอกกรอบและการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญต่างสาขา 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลงานของ Andrew McCarthy และ Gabriel C. Brown ➡️ ผสมผสานการถ่ายภาพดาราศาสตร์กับการกระโดดร่ม ✅ ใช้แสง Hydrogen-alpha ในการถ่ายดวงอาทิตย์ ➡️ เผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับ ✅ การวางแผนซับซ้อนและพยายามถึง 6 ครั้ง ➡️ เพื่อให้ตำแหน่งกระโดดร่มตรงกับดวงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์ ✅ ได้รับการยกย่องว่าเป็นการยกระดับ Astrophotography ➡️ สร้างความตื่นตะลึงและเผยแพร่ไปทั่วโลก ‼️ ความเสี่ยงจากการกระโดดร่มและการจัดตำแหน่งที่ซับซ้อน ⛔ ต้องอาศัยการสื่อสารและการควบคุมที่แม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย ‼️ การผสมผสานกิจกรรมสุดขั้วกับงานวิทยาศาสตร์ ⛔ หากผิดพลาดอาจทำให้ทั้งการถ่ายภาพและการกระโดดร่มล้มเหลว https://www.iflscience.com/the-fall-of-icarus-you-have-never-seen-an-astrophotography-picture-like-this-81570
    WWW.IFLSCIENCE.COM
    “The Fall Of Icarus”: You Have Never Seen An Astrophotography Picture Like This!
    This is not photoshopped. That’s really a person falling in front of the Sun.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไฟหน้ารถ LED สว่างเกินไป – ปัญหาที่รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข”

    งานวิจัยที่จัดทำโดย Department for Transport (DfT) ของสหราชอาณาจักร พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกถูกรบกวนจากแสงไฟหน้ารถที่สว่างเกินไป และ 96% เชื่อว่าไฟหน้ารถส่วนใหญ่สว่างเกินมาตรฐาน ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยจนบางคนถึงขั้นเลี่ยงการขับรถกลางคืน โดย 33% เลิกขับกลางคืนหรือขับน้อยลง และอีก 22% อยากเลี่ยงแต่ไม่มีทางเลือก

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Transport Research Laboratory (TRL) ระบุว่าไฟ LED และไฟสีขาวเข้มมีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่ทำให้สายตามนุษย์ปรับตัวได้ยากในเวลากลางคืน ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการรณรงค์ของ RAC (Royal Automobile Club) ที่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะแม้ไฟหน้าสว่างจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็สร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ

    รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าจะบรรจุประเด็นนี้ใน Road Safety Strategy ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดยมีแนวทางทบทวนมาตรฐานไฟหน้ารถ เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ความสว่างเพื่อความปลอดภัย” และ “การลดแสงจ้าที่รบกวนสายตา” ขณะเดียวกัน นักทัศนมาตรวิทยาแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยีไฟรถที่เปลี่ยนไป

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลสำรวจจาก DfT
    97% ของผู้ขับขี่ถูกรบกวนจากไฟหน้ารถ, 96% เชื่อว่าไฟหน้าสว่างเกินไป

    ผลกระทบต่อพฤติกรรมการขับขี่
    33% เลิกขับกลางคืน, 22% อยากเลี่ยงแต่จำเป็นต้องขับ

    ไฟ LED และไฟสีขาวเข้ม
    มีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่สายตามนุษย์ปรับได้ยาก

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข
    จะบรรจุใน Road Safety Strategy เพื่อทบทวนมาตรฐานไฟหน้า

    ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนน
    ไฟหน้าสว่างเกินไปอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุ

    การพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ปรับกฎเกณฑ์
    หากไม่แก้ไข อาจทำให้ปัญหาลุกลามเมื่อรถรุ่นใหม่ใช้ไฟ LED มากขึ้น

    https://www.bbc.com/news/articles/c1j8ewy1p86o
    📰 “ไฟหน้ารถ LED สว่างเกินไป – ปัญหาที่รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข” งานวิจัยที่จัดทำโดย Department for Transport (DfT) ของสหราชอาณาจักร พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกถูกรบกวนจากแสงไฟหน้ารถที่สว่างเกินไป และ 96% เชื่อว่าไฟหน้ารถส่วนใหญ่สว่างเกินมาตรฐาน ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยจนบางคนถึงขั้นเลี่ยงการขับรถกลางคืน โดย 33% เลิกขับกลางคืนหรือขับน้อยลง และอีก 22% อยากเลี่ยงแต่ไม่มีทางเลือก ผู้เชี่ยวชาญจาก Transport Research Laboratory (TRL) ระบุว่าไฟ LED และไฟสีขาวเข้มมีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่ทำให้สายตามนุษย์ปรับตัวได้ยากในเวลากลางคืน ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการรณรงค์ของ RAC (Royal Automobile Club) ที่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะแม้ไฟหน้าสว่างจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็สร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าจะบรรจุประเด็นนี้ใน Road Safety Strategy ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดยมีแนวทางทบทวนมาตรฐานไฟหน้ารถ เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ความสว่างเพื่อความปลอดภัย” และ “การลดแสงจ้าที่รบกวนสายตา” ขณะเดียวกัน นักทัศนมาตรวิทยาแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยีไฟรถที่เปลี่ยนไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลสำรวจจาก DfT ➡️ 97% ของผู้ขับขี่ถูกรบกวนจากไฟหน้ารถ, 96% เชื่อว่าไฟหน้าสว่างเกินไป ✅ ผลกระทบต่อพฤติกรรมการขับขี่ ➡️ 33% เลิกขับกลางคืน, 22% อยากเลี่ยงแต่จำเป็นต้องขับ ✅ ไฟ LED และไฟสีขาวเข้ม ➡️ มีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่สายตามนุษย์ปรับได้ยาก ✅ รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข ➡️ จะบรรจุใน Road Safety Strategy เพื่อทบทวนมาตรฐานไฟหน้า ‼️ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนน ⛔ ไฟหน้าสว่างเกินไปอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุ ‼️ การพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ปรับกฎเกณฑ์ ⛔ หากไม่แก้ไข อาจทำให้ปัญหาลุกลามเมื่อรถรุ่นใหม่ใช้ไฟ LED มากขึ้น https://www.bbc.com/news/articles/c1j8ewy1p86o
    WWW.BBC.COM
    Nearly all drivers say vehicles' lights are too bright in study
    The study, commissioned by the Department for Transport, was completed by Berkshire's TRL.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครคือผู้ผลิต Laptop ที่ทนทานที่สุดในโลก?

    บทความจาก SlashGear ได้เจาะลึกถึงตลาด Rugged Laptops ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ไซต์ก่อสร้าง, แท่นขุดเจาะน้ำมัน, หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว โดยมีหลายบริษัทที่แข่งขันกัน แต่ Panasonic ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยซีรีส์ Toughbook ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน

    Panasonic Toughbook: มาตรฐานทองคำของความทนทาน
    Panasonic เปิดตัว Toughbook รุ่นแรกในปี 1996 และปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รุ่นล่าสุดเช่น Toughbook G2 และ Toughbook 40 มาพร้อมมาตรฐาน MIL-STD-810H และการป้องกันน้ำระดับ IP66 สามารถทนต่อการตกจากความสูง, ฝุ่น, น้ำ และแรงสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับงานภาคสนามที่ต้องการความเชื่อถือได้สูงสุด

    คู่แข่งในตลาด: Dell, HP, Lenovo และผู้ผลิตเฉพาะทาง
    Dell เข้าสู่ตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2006 ด้วย Latitude ATG และล่าสุดมี Dell Pro Rugged 13 ที่ทนทานใกล้เคียง Toughbook แต่การป้องกันน้ำอยู่ที่ IP65

    HP, Asus, Acer มีรุ่นที่เรียกว่า “semi-rugged” ซึ่งทนทานกว่าลaptop ปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับ Toughbook หรือ Dell Rugged

    Getac และ MilDef เป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ โดย MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14 และ RS13 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเขตสงคราม

    ความหมายต่อผู้ใช้และองค์กร
    Laptop ทนทานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความเสียหาย การเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมช่วยลด downtime และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ในโลกดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    Panasonic Toughbook
    รุ่น G2 และ 40 มี MIL-STD-810H และ IP66
    ครองตำแหน่ง laptop ที่ทนทานที่สุดในตลาด

    Dell Rugged
    รุ่น Pro Rugged 13 มี drop protection 6 ฟุต และ IP65
    เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2006

    Semi-rugged laptops
    HP, Asus, Acer มีรุ่นที่ทนทานกว่าปกติ แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด

    ผู้ผลิตเฉพาะทาง
    Getac และ MilDef เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ
    MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14, RS13

    คำเตือน
    Semi-rugged ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูงสุด
    Tough laptops จากผู้ผลิตเฉพาะทางมักขายผ่าน B2B ไม่ใช่ตลาดทั่วไป
    การเลือก laptop ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิด downtime และความเสียหายต่อข้อมูล

    https://www.slashgear.com/2025990/who-makes-worlds-most-durable-laptop/
    💻 ใครคือผู้ผลิต Laptop ที่ทนทานที่สุดในโลก? บทความจาก SlashGear ได้เจาะลึกถึงตลาด Rugged Laptops ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ไซต์ก่อสร้าง, แท่นขุดเจาะน้ำมัน, หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว โดยมีหลายบริษัทที่แข่งขันกัน แต่ Panasonic ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยซีรีส์ Toughbook ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน 🛡️ Panasonic Toughbook: มาตรฐานทองคำของความทนทาน Panasonic เปิดตัว Toughbook รุ่นแรกในปี 1996 และปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รุ่นล่าสุดเช่น Toughbook G2 และ Toughbook 40 มาพร้อมมาตรฐาน MIL-STD-810H และการป้องกันน้ำระดับ IP66 สามารถทนต่อการตกจากความสูง, ฝุ่น, น้ำ และแรงสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับงานภาคสนามที่ต้องการความเชื่อถือได้สูงสุด ⚙️ คู่แข่งในตลาด: Dell, HP, Lenovo และผู้ผลิตเฉพาะทาง 💻 Dell เข้าสู่ตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2006 ด้วย Latitude ATG และล่าสุดมี Dell Pro Rugged 13 ที่ทนทานใกล้เคียง Toughbook แต่การป้องกันน้ำอยู่ที่ IP65 💻 HP, Asus, Acer มีรุ่นที่เรียกว่า “semi-rugged” ซึ่งทนทานกว่าลaptop ปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับ Toughbook หรือ Dell Rugged 💻 Getac และ MilDef เป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ โดย MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14 และ RS13 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเขตสงคราม 🌍 ความหมายต่อผู้ใช้และองค์กร Laptop ทนทานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความเสียหาย การเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมช่วยลด downtime และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ในโลกดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Panasonic Toughbook ➡️ รุ่น G2 และ 40 มี MIL-STD-810H และ IP66 ➡️ ครองตำแหน่ง laptop ที่ทนทานที่สุดในตลาด ✅ Dell Rugged ➡️ รุ่น Pro Rugged 13 มี drop protection 6 ฟุต และ IP65 ➡️ เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2006 ✅ Semi-rugged laptops ➡️ HP, Asus, Acer มีรุ่นที่ทนทานกว่าปกติ แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด ✅ ผู้ผลิตเฉพาะทาง ➡️ Getac และ MilDef เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ ➡️ MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14, RS13 ‼️ คำเตือน ⛔ Semi-rugged ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูงสุด ⛔ Tough laptops จากผู้ผลิตเฉพาะทางมักขายผ่าน B2B ไม่ใช่ตลาดทั่วไป ⛔ การเลือก laptop ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิด downtime และความเสียหายต่อข้อมูล https://www.slashgear.com/2025990/who-makes-worlds-most-durable-laptop/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Who Makes The World's Most Durable Laptops? - SlashGear
    Panasonic is a pioneer in the durable laptop department. However, other companies design laptops specifically for industries like the military.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อเสีย 5 ข้อที่อาจจะทำให้คุณไม่อยากจะใช้สาย HDMI

    บทความจาก SlashGear ชี้ให้เห็นว่าแม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อภาพและเสียงที่แพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยาวสาย, แบนด์วิดท์, การรองรับหลายจอ, ความทนทาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ USB-C

    1️⃣ ข้อจำกัดด้านความยาวสาย
    HDMI มีข้อจำกัดเรื่องความยาวสาย โดยสายทั่วไปที่ยาวเกิน 25 ฟุต มักจะเริ่มมีปัญหาสัญญาณ เช่น ภาพแตก, เสียงดีเลย์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณหายไป หากต้องการคุณภาพ 4K ที่เสถียร ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 ฟุต ขณะที่ DisplayPort หรือ SDI สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่ามาก (SDI ถึง ~980 ฟุต)

    2️⃣ แบนด์วิดท์ต่ำกว่า DisplayPort
    แม้ HDMI 2.1 จะรองรับ 48 Gbps และ HDMI 2.2 ที่เปิดตัวใน CES 2025 จะรองรับ 96 Gbps แต่ก็ยังด้อยกว่า DisplayPort 2.1 ที่รองรับ 80 Gbps พร้อม multi-stream transport (MST) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลายจอพร้อมกันและรองรับ refresh rate สูงกว่า เหมาะสำหรับงาน เกมแข่งขันและการสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ

    3️⃣ การรองรับหลายจอที่ซับซ้อน
    HDMI ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับจอเดียว หากต้องการหลายจอจะต้องใช้ splitters หรือ adapters ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากและสายระโยงระยาง ในทางตรงกันข้าม DisplayPort รองรับ daisy-chaining หลายจอโดยตรง ทำให้เหมาะกับนักออกแบบ, นักพัฒนา และเกมเมอร์ที่ใช้หลายจอพร้อมกัน

    4️⃣ ความทนทานและการเสื่อมสภาพ
    สาย HDMI มีแนวโน้มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอ ความร้อน, ฝุ่น, ความชื้น หรือการบิดงอ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และคุณภาพลดลง แม้จะมีสายไฟเบอร์ออปติก HDMI ที่ทนทานกว่า แต่ก็มีราคาสูงและไม่แพร่หลายเท่า DisplayPort หรือ SDI

    5️⃣ การเปลี่ยนแปลงสู่ USB-C
    แม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานหลักในทีวีและคอนโซลเกม แต่ USB-C กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรองรับ DisplayPort Alt Mode, การส่งข้อมูลความเร็วสูง และการชาร์จไฟในสายเดียว อีกทั้งยังมี หัวเสียบแบบ reversible ที่ใช้ง่ายกว่า HDMI ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต

    https://www.slashgear.com/2025900/reasons-to-stop-using-hdmi-cables/
    📺 ข้อเสีย 5 ข้อที่อาจจะทำให้คุณไม่อยากจะใช้สาย HDMI บทความจาก SlashGear ชี้ให้เห็นว่าแม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อภาพและเสียงที่แพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยาวสาย, แบนด์วิดท์, การรองรับหลายจอ, ความทนทาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ USB-C 1️⃣ 📏 ข้อจำกัดด้านความยาวสาย HDMI มีข้อจำกัดเรื่องความยาวสาย โดยสายทั่วไปที่ยาวเกิน 25 ฟุต มักจะเริ่มมีปัญหาสัญญาณ เช่น ภาพแตก, เสียงดีเลย์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณหายไป หากต้องการคุณภาพ 4K ที่เสถียร ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 ฟุต ขณะที่ DisplayPort หรือ SDI สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่ามาก (SDI ถึง ~980 ฟุต) 2️⃣ ⚡ แบนด์วิดท์ต่ำกว่า DisplayPort แม้ HDMI 2.1 จะรองรับ 48 Gbps และ HDMI 2.2 ที่เปิดตัวใน CES 2025 จะรองรับ 96 Gbps แต่ก็ยังด้อยกว่า DisplayPort 2.1 ที่รองรับ 80 Gbps พร้อม multi-stream transport (MST) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลายจอพร้อมกันและรองรับ refresh rate สูงกว่า เหมาะสำหรับงาน เกมแข่งขันและการสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ 3️⃣ 🖥️ การรองรับหลายจอที่ซับซ้อน HDMI ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับจอเดียว หากต้องการหลายจอจะต้องใช้ splitters หรือ adapters ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากและสายระโยงระยาง ในทางตรงกันข้าม DisplayPort รองรับ daisy-chaining หลายจอโดยตรง ทำให้เหมาะกับนักออกแบบ, นักพัฒนา และเกมเมอร์ที่ใช้หลายจอพร้อมกัน 4️⃣ 📉 ความทนทานและการเสื่อมสภาพ สาย HDMI มีแนวโน้มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอ ความร้อน, ฝุ่น, ความชื้น หรือการบิดงอ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และคุณภาพลดลง แม้จะมีสายไฟเบอร์ออปติก HDMI ที่ทนทานกว่า แต่ก็มีราคาสูงและไม่แพร่หลายเท่า DisplayPort หรือ SDI 5️⃣ 🔌 การเปลี่ยนแปลงสู่ USB-C แม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานหลักในทีวีและคอนโซลเกม แต่ USB-C กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรองรับ DisplayPort Alt Mode, การส่งข้อมูลความเร็วสูง และการชาร์จไฟในสายเดียว อีกทั้งยังมี หัวเสียบแบบ reversible ที่ใช้ง่ายกว่า HDMI ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต https://www.slashgear.com/2025900/reasons-to-stop-using-hdmi-cables/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Reasons You Might Want To Stop Using HDMI Cables - SlashGear
    HDMI is pretty much the global standard in A/V connection these days, but that doesn't mean it's a perfect solution for everyone — far from it, in fact.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity

    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

    จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI)
    SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข

    ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
    การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้

    ความสำคัญในระดับโลก
    งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    รางวัลที่ได้รับ
    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025
    มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards

    จุดเด่นของ SCI
    ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time
    ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS

    ผลกระทบต่อธุรกิจ
    ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล
    ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น
    ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    🏆 SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ 🔍 จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI) SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข 🛡️ ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้ 🌐 ความสำคัญในระดับโลก งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รางวัลที่ได้รับ ➡️ SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025 ➡️ มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards ✅ จุดเด่นของ SCI ➡️ ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time ➡️ ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจ ➡️ ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล ➡️ ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น ⛔ ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”
    ตอน 3
    คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด
    วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง
    ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด
    ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป
    …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง
    ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
    …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น
    แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ
    … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง
    …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ
    … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง
    ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว
    ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน …..
    อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว
    ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว
    ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย
    ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง
    …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว)
    … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด
    …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ….
    คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 4
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน
    นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน
    นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง
    เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น
    แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ…
    นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย
    เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman
    ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ
    โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ
    ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ
    ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์
    ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ
    … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน
    ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้
    ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว
    นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย
    คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย
    นาย Cordesman ให้การว่า
    “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์
    ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ”
    “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…”
    และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 3 คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน ….. อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว) … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ…. คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 4 ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ… นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์ ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้ ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย นาย Cordesman ให้การว่า “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ” “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…” และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • Vera Rubin – แพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่จาก Nvidia

    Nvidia กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในศูนย์ข้อมูล AI และ HPC จุดเด่นคือการรวม 9 โปรเซสเซอร์ที่แตกต่างกัน เข้าด้วยกันในระบบเดียว ตั้งแต่ CPU, GPU, DPU ไปจนถึงระบบเชื่อมต่อความเร็วสูง ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับงาน AI ที่ต้องการพลังประมวลผลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สถาปัตยกรรมที่ก้าวล้ำ
    หัวใจของ Vera Rubin คือ Vera CPU ที่มี 88 คอร์ Armv9-class พร้อม SMT รองรับ 176 เธรด และ Rubin GPU ที่ใช้หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 288 GB ให้แบนด์วิดท์สูงถึง 13 TB/s นอกจากนี้ยังมี Rubin CPX GPU ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน inference ของโมเดล LLM ที่ต้องการ context ยาวหลายล้าน token ทำให้ระบบสามารถจัดการงาน multi-modal ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเชื่อมต่อความเร็วสูง
    แพลตฟอร์มนี้ใช้ NVLink 6.0 และ NVSwitch 6.0 เพื่อเชื่อมต่อ GPU และ CPU ด้วยแบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s พร้อมทั้งระบบ Photonics Ethernet และ InfiniBand ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 1.6 Tb/s ต่อพอร์ต สิ่งนี้ทำให้ Vera Rubin สามารถขยายสเกลเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น รองรับการฝึกโมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน

    อนาคต: Rubin Ultra
    Nvidia ยังมีแผนเปิดตัว Rubin Ultra ในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนชิป GPU เป็น 4 ชิปต่อแพ็กเกจ พร้อมหน่วยความจำ HBM4E ขนาด 1 TB และแบนด์วิดท์สูงถึง 32 TB/s คาดว่าจะให้ประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS ต่อแพ็กเกจ ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการประมวลผล AI

    สรุปสาระสำคัญ
    Vera Rubin คือแพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่ของ Nvidia
    รวม 9 โปรเซสเซอร์ที่ออกแบบเฉพาะงาน AI และ HPC

    Vera CPU และ Rubin GPU เป็นหัวใจหลักของระบบ
    CPU มี 88 คอร์ Armv9-class, GPU ใช้ HBM4 288 GB

    Rubin CPX GPU เน้นงาน inference ของ LLM
    ใช้ GDDR7 128 GB สำหรับ context ยาวและ multi-modal

    ระบบเชื่อมต่อ NVLink 6.0 และ Photonics Ethernet
    ให้แบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s

    Rubin Ultra จะเปิดตัวในปี 2027
    เพิ่มหน่วยความจำเป็น 1 TB และประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS

    ความท้าทายด้านพลังงานและการระบายความร้อน
    Rubin GPU ใช้พลังงานสูงถึง 1.8 kW ต่อชิป และ Rubin Ultra อาจถึง 3.6 kW

    ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สูงมาก
    ต้องใช้ระบบระบายความร้อนและแร็คใหม่ เช่น Kyber rack สำหรับ Rubin Ultra

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-vera-rubin-platform-in-depth-inside-nvidias-most-complex-ai-and-hpc-platform-to-date
    ⚙️ Vera Rubin – แพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่จาก Nvidia Nvidia กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพและความซับซ้อนในศูนย์ข้อมูล AI และ HPC จุดเด่นคือการรวม 9 โปรเซสเซอร์ที่แตกต่างกัน เข้าด้วยกันในระบบเดียว ตั้งแต่ CPU, GPU, DPU ไปจนถึงระบบเชื่อมต่อความเร็วสูง ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับงาน AI ที่ต้องการพลังประมวลผลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🖥️ สถาปัตยกรรมที่ก้าวล้ำ หัวใจของ Vera Rubin คือ Vera CPU ที่มี 88 คอร์ Armv9-class พร้อม SMT รองรับ 176 เธรด และ Rubin GPU ที่ใช้หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 288 GB ให้แบนด์วิดท์สูงถึง 13 TB/s นอกจากนี้ยังมี Rubin CPX GPU ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน inference ของโมเดล LLM ที่ต้องการ context ยาวหลายล้าน token ทำให้ระบบสามารถจัดการงาน multi-modal ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🌐 การเชื่อมต่อความเร็วสูง แพลตฟอร์มนี้ใช้ NVLink 6.0 และ NVSwitch 6.0 เพื่อเชื่อมต่อ GPU และ CPU ด้วยแบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s พร้อมทั้งระบบ Photonics Ethernet และ InfiniBand ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 1.6 Tb/s ต่อพอร์ต สิ่งนี้ทำให้ Vera Rubin สามารถขยายสเกลเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น รองรับการฝึกโมเดล AI ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน 🔮 อนาคต: Rubin Ultra Nvidia ยังมีแผนเปิดตัว Rubin Ultra ในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนชิป GPU เป็น 4 ชิปต่อแพ็กเกจ พร้อมหน่วยความจำ HBM4E ขนาด 1 TB และแบนด์วิดท์สูงถึง 32 TB/s คาดว่าจะให้ประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS ต่อแพ็กเกจ ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการประมวลผล AI 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Vera Rubin คือแพลตฟอร์ม AI/HPC รุ่นใหม่ของ Nvidia ➡️ รวม 9 โปรเซสเซอร์ที่ออกแบบเฉพาะงาน AI และ HPC ✅ Vera CPU และ Rubin GPU เป็นหัวใจหลักของระบบ ➡️ CPU มี 88 คอร์ Armv9-class, GPU ใช้ HBM4 288 GB ✅ Rubin CPX GPU เน้นงาน inference ของ LLM ➡️ ใช้ GDDR7 128 GB สำหรับ context ยาวและ multi-modal ✅ ระบบเชื่อมต่อ NVLink 6.0 และ Photonics Ethernet ➡️ ให้แบนด์วิดท์รวมกว่า 28.8 TB/s ✅ Rubin Ultra จะเปิดตัวในปี 2027 ➡️ เพิ่มหน่วยความจำเป็น 1 TB และประสิทธิภาพ inference FP4 ถึง 100 PFLOPS ‼️ ความท้าทายด้านพลังงานและการระบายความร้อน ⛔ Rubin GPU ใช้พลังงานสูงถึง 1.8 kW ต่อชิป และ Rubin Ultra อาจถึง 3.6 kW ‼️ ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สูงมาก ⛔ ต้องใช้ระบบระบายความร้อนและแร็คใหม่ เช่น Kyber rack สำหรับ Rubin Ultra https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-vera-rubin-platform-in-depth-inside-nvidias-most-complex-ai-and-hpc-platform-to-date
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • Singapore Exchange เตรียมเปิดตัว Bitcoin และ Ether Perpetual Futures

    Singapore Exchange (SGX) ประกาศว่าจะเปิดให้บริการซื้อขาย Bitcoin และ Ether perpetual futures ผ่านหน่วยงานด้านอนุพันธ์ของตน โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 การซื้อขายนี้จะเปิดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนที่ได้รับการรับรอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในตลาดคริปโตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ความหมายต่อภูมิภาคและตลาดโลก
    การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงคโปร์ในการยกระดับตนเองเป็น ศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย โดย SGX ตั้งเป้าให้ตลาดอนุพันธ์คริปโตมีมาตรฐานสูงเทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม การเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของประเทศในการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่ต้องการความมั่นคงและการกำกับดูแลที่ชัดเจน

    การกำกับดูแลและความเสี่ยง
    แม้จะเป็นโอกาสใหม่ แต่ อนุพันธ์คริปโต ก็มีความเสี่ยงสูง ทั้งด้านความผันผวนของราคาและความซับซ้อนของสัญญา SGX จึงจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรเกินควรและลดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนรายย่อย การกำกับดูแลที่เข้มงวดนี้อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตที่ยังคงถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์คาดว่า หาก SGX ประสบความสำเร็จ อาจมีการขยายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์คริปโตไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ และอาจกระตุ้นให้ตลาดการเงินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาใช้โมเดลเดียวกัน เพื่อแข่งขันกับตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SGX เปิดตัว Bitcoin และ Ether perpetual futures
    เริ่มซื้อขายวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025

    จำกัดสิทธิ์เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ได้รับการรับรอง
    เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย
    ยกระดับมาตรฐานตลาดคริปโตให้เทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม

    ความเสี่ยงจากความผันผวนของอนุพันธ์คริปโต
    อาจสร้างผลกระทบต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจโครงสร้างสัญญา

    การกำกับดูแลเข้มงวดอาจจำกัดการเข้าถึงของรายย่อย
    ทำให้ตลาดคริปโตยังคงเป็นพื้นที่ของนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/17/singapore-exchange-to-launch-bitcoin-and-ether-perpetual-futures
    💹 Singapore Exchange เตรียมเปิดตัว Bitcoin และ Ether Perpetual Futures Singapore Exchange (SGX) ประกาศว่าจะเปิดให้บริการซื้อขาย Bitcoin และ Ether perpetual futures ผ่านหน่วยงานด้านอนุพันธ์ของตน โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 การซื้อขายนี้จะเปิดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนที่ได้รับการรับรอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในตลาดคริปโตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 🌍 ความหมายต่อภูมิภาคและตลาดโลก การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงคโปร์ในการยกระดับตนเองเป็น ศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย โดย SGX ตั้งเป้าให้ตลาดอนุพันธ์คริปโตมีมาตรฐานสูงเทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม การเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของประเทศในการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่ต้องการความมั่นคงและการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⚖️ การกำกับดูแลและความเสี่ยง แม้จะเป็นโอกาสใหม่ แต่ อนุพันธ์คริปโต ก็มีความเสี่ยงสูง ทั้งด้านความผันผวนของราคาและความซับซ้อนของสัญญา SGX จึงจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรเกินควรและลดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนรายย่อย การกำกับดูแลที่เข้มงวดนี้อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตที่ยังคงถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่า หาก SGX ประสบความสำเร็จ อาจมีการขยายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์คริปโตไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ และอาจกระตุ้นให้ตลาดการเงินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาใช้โมเดลเดียวกัน เพื่อแข่งขันกับตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SGX เปิดตัว Bitcoin และ Ether perpetual futures ➡️ เริ่มซื้อขายวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 ✅ จำกัดสิทธิ์เฉพาะนักลงทุนสถาบันและผู้ได้รับการรับรอง ➡️ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในเอเชีย ➡️ ยกระดับมาตรฐานตลาดคริปโตให้เทียบเท่าตลาดการเงินดั้งเดิม ‼️ ความเสี่ยงจากความผันผวนของอนุพันธ์คริปโต ⛔ อาจสร้างผลกระทบต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจโครงสร้างสัญญา ‼️ การกำกับดูแลเข้มงวดอาจจำกัดการเข้าถึงของรายย่อย ⛔ ทำให้ตลาดคริปโตยังคงเป็นพื้นที่ของนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/17/singapore-exchange-to-launch-bitcoin-and-ether-perpetual-futures
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore Exchange to launch bitcoin and ether perpetual futures
    SINGAPORE (Reuters) -The derivatives arm of Singapore Exchange (SGX) said on Monday that it would launch bitcoin and ether cryptocurrency perpetual futures trading on its platform.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อสร้าง Synth ให้ลูกสาว

    บทความ I Built a Synth for My Daughter โดย Alastair Roberts เล่าประสบการณ์การสร้าง เครื่องสังเคราะห์เสียงแบบพกพา (portable step-sequencer synthesizer) สำหรับลูกสาววัย 3 ขวบ โดยเริ่มจากแรงบันดาลใจจากบอร์ดกิจกรรม Montessori ที่เต็มไปด้วยสวิตช์และไฟ LED จนเกิดไอเดียทำเป็นของเล่นดนตรีที่เด็กสามารถเลื่อนสไลด์เพื่อเปลี่ยนเสียงได้

    จาก Arduino สู่ PCB จริง
    Alastair เริ่มต้นด้วย Arduino Inventors Kit และเขียนโค้ดให้ potentiometer ส่งค่า MIDI ไปยัง Logic Pro เพื่อทดสอบเสียง ต่อมาเขาเพิ่มโมดูล synth ราคาถูก SAM2695 พร้อมลำโพงในตัว และจอ OLED ที่แสดงภาพแพนด้าน้อยเต้นตามจังหวะ แม้จะเจอปัญหาเรื่องหน่วยความจำและการอัปเดตหน้าจอที่ทำให้เสียงหน่วง แต่ก็แก้ไขด้วยการอัปเดตเป็นแพตช์เล็ก ๆ

    การออกแบบและพิมพ์ 3D
    เมื่อวงจรเริ่มเสถียร เขาใช้ Fusion 360 ออกแบบกล่องและพิมพ์ด้วยเครื่อง 3D printer ของเพื่อน หลังจากนั้นจึงพัฒนาเป็น PCB แบบสองชั้น ผ่านบริการ JLCPCB เพื่อให้ประกอบง่ายและทนทานขึ้น พร้อมปรับระบบพลังงานจากแบตเตอรี่ AA 4 ก้อนเป็น 3 ก้อนร่วมกับ Adafruit Miniboost เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าเสถียร

    ผลลัพธ์และอนาคต
    Synth ที่สร้างขึ้นกลายเป็นของเล่นที่ลูกสาวชอบเล่นเป็นประจำ และยังเป็นโครงการเรียนรู้ที่ทำให้ Alastair เข้าใจทั้ง microcontroller, CAD, PCB design และการผลิตต้นแบบ เขามองว่าอาจต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่ก็ยอมรับว่ามีอุปสรรคด้านต้นทุนการผลิตและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แรงบันดาลใจจากบอร์ด Montessori
    นำไปสู่การสร้างของเล่นดนตรีที่เด็กเล่นได้ง่าย

    เริ่มจาก Arduino และ MIDI
    พัฒนาไปสู่ synth module และจอ OLED

    ออกแบบกล่องด้วย Fusion 360 และพิมพ์ 3D
    ต่อมาเปลี่ยนเป็น PCB ที่ทนทานและประกอบง่าย

    ปรับระบบพลังงานให้เสถียรด้วย Miniboost
    ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทานของเครื่อง

    ข้อจำกัดด้านการผลิตเชิงพาณิชย์
    ต้องใช้ทุนสูงและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย

    ปัญหาทางเทคนิคที่ยังต้องแก้ไข
    เช่น การหน่วงเสียงจากการอัปเดตหน้าจอ OLED

    https://bitsnpieces.dev/posts/a-synth-for-my-daughter/
    🎹 พ่อสร้าง Synth ให้ลูกสาว บทความ I Built a Synth for My Daughter โดย Alastair Roberts เล่าประสบการณ์การสร้าง เครื่องสังเคราะห์เสียงแบบพกพา (portable step-sequencer synthesizer) สำหรับลูกสาววัย 3 ขวบ โดยเริ่มจากแรงบันดาลใจจากบอร์ดกิจกรรม Montessori ที่เต็มไปด้วยสวิตช์และไฟ LED จนเกิดไอเดียทำเป็นของเล่นดนตรีที่เด็กสามารถเลื่อนสไลด์เพื่อเปลี่ยนเสียงได้ 🛠️ จาก Arduino สู่ PCB จริง Alastair เริ่มต้นด้วย Arduino Inventors Kit และเขียนโค้ดให้ potentiometer ส่งค่า MIDI ไปยัง Logic Pro เพื่อทดสอบเสียง ต่อมาเขาเพิ่มโมดูล synth ราคาถูก SAM2695 พร้อมลำโพงในตัว และจอ OLED ที่แสดงภาพแพนด้าน้อยเต้นตามจังหวะ แม้จะเจอปัญหาเรื่องหน่วยความจำและการอัปเดตหน้าจอที่ทำให้เสียงหน่วง แต่ก็แก้ไขด้วยการอัปเดตเป็นแพตช์เล็ก ๆ 🖨️ การออกแบบและพิมพ์ 3D เมื่อวงจรเริ่มเสถียร เขาใช้ Fusion 360 ออกแบบกล่องและพิมพ์ด้วยเครื่อง 3D printer ของเพื่อน หลังจากนั้นจึงพัฒนาเป็น PCB แบบสองชั้น ผ่านบริการ JLCPCB เพื่อให้ประกอบง่ายและทนทานขึ้น พร้อมปรับระบบพลังงานจากแบตเตอรี่ AA 4 ก้อนเป็น 3 ก้อนร่วมกับ Adafruit Miniboost เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าเสถียร 🌟 ผลลัพธ์และอนาคต Synth ที่สร้างขึ้นกลายเป็นของเล่นที่ลูกสาวชอบเล่นเป็นประจำ และยังเป็นโครงการเรียนรู้ที่ทำให้ Alastair เข้าใจทั้ง microcontroller, CAD, PCB design และการผลิตต้นแบบ เขามองว่าอาจต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่ก็ยอมรับว่ามีอุปสรรคด้านต้นทุนการผลิตและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แรงบันดาลใจจากบอร์ด Montessori ➡️ นำไปสู่การสร้างของเล่นดนตรีที่เด็กเล่นได้ง่าย ✅ เริ่มจาก Arduino และ MIDI ➡️ พัฒนาไปสู่ synth module และจอ OLED ✅ ออกแบบกล่องด้วย Fusion 360 และพิมพ์ 3D ➡️ ต่อมาเปลี่ยนเป็น PCB ที่ทนทานและประกอบง่าย ✅ ปรับระบบพลังงานให้เสถียรด้วย Miniboost ➡️ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทานของเครื่อง ‼️ ข้อจำกัดด้านการผลิตเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องใช้ทุนสูงและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ‼️ ปัญหาทางเทคนิคที่ยังต้องแก้ไข ⛔ เช่น การหน่วงเสียงจากการอัปเดตหน้าจอ OLED https://bitsnpieces.dev/posts/a-synth-for-my-daughter/
    BITSNPIECES.DEV
    I Built a Synth for My Daughter
    How I built a portable synthesizer for my three year old daughter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเกิดขึ้นของ Chief Trust Officer และบทบาทใหม่ของ CISO

    องค์กรจำนวนมากเริ่มสร้างตำแหน่ง Chief Trust Officer (CTrO) เพื่อรับผิดชอบด้านความเชื่อมั่นและความโปร่งใส โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าและคู่ค้าต้องการความมั่นใจเกี่ยวกับ ความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัว, การใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ และการทำงานของ AI การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าความเชื่อมั่นได้กลายเป็น ตัวแปรเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป

    ในหลายองค์กร CTrO ทำงานควบคู่กับ CISO โดยที่ CISO ยังคงดูแลการควบคุมและการป้องกันระบบ แต่ CTrO จะขยายขอบเขตไปสู่เรื่อง ชื่อเสียง, จริยธรรม และความมั่นใจของลูกค้า ตัวอย่างเช่น การสื่อสารอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการฝึกและปกป้องโมเดล AI หรือการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้

    บทบาทใหม่นี้ยังช่วยให้การรายงานต่อ คณะกรรมการบริษัท (Board) มีความชัดเจนมากขึ้น โดยการพูดคุยผ่าน “เลนส์ของความเชื่อมั่น” ทำให้บอร์ดเข้าใจผลกระทบต่อกลยุทธ์ธุรกิจได้ดีกว่าการรายงานเชิงเทคนิค เช่น จำนวนช่องโหว่หรือการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย

    นอกจากนี้ หลายองค์กรยังมองว่า CTrO อาจเป็นเส้นทางอาชีพใหม่สำหรับ CISO ที่ต้องการขยายบทบาทจากการป้องกันความเสี่ยงไปสู่การสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นกับลูกค้า ถือเป็นการเปลี่ยนจาก “ผู้ปกป้องระบบ” ไปสู่ “ผู้พิทักษ์ความน่าเชื่อถือ”

    สรุปสาระสำคัญ
    การเกิดขึ้นของ Chief Trust Officer (CTrO)
    เน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส
    ครอบคลุมเรื่องความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัว และการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ

    ความสัมพันธ์กับ CISO
    CISO ดูแลการควบคุมและการป้องกันระบบ
    CTrO ขยายไปสู่ชื่อเสียง, จริยธรรม และความมั่นใจของลูกค้า

    การรายงานต่อบอร์ด
    ใช้ “เลนส์ของความเชื่อมั่น” แทนรายงานเชิงเทคนิค
    เชื่อมโยงความปลอดภัยกับกลยุทธ์ธุรกิจโดยตรง

    เส้นทางอาชีพใหม่สำหรับ CISO
    จากผู้ปกป้องระบบ → ผู้พิทักษ์ความน่าเชื่อถือ
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กร

    ข้อควรระวัง
    หากองค์กรสร้างตำแหน่ง CTrO โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจริง อาจกลายเป็น “Trust Theatre”
    ต้องมีการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงและบอร์ด มิฉะนั้นบทบาทจะไม่เกิดผลจริง

    https://www.csoonline.com/article/4085479/the-rise-of-the-chief-trust-officer-where-does-the-ciso-fit.html
    🏢 การเกิดขึ้นของ Chief Trust Officer และบทบาทใหม่ของ CISO องค์กรจำนวนมากเริ่มสร้างตำแหน่ง Chief Trust Officer (CTrO) เพื่อรับผิดชอบด้านความเชื่อมั่นและความโปร่งใส โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าและคู่ค้าต้องการความมั่นใจเกี่ยวกับ ความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัว, การใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ และการทำงานของ AI การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าความเชื่อมั่นได้กลายเป็น ตัวแปรเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป ในหลายองค์กร CTrO ทำงานควบคู่กับ CISO โดยที่ CISO ยังคงดูแลการควบคุมและการป้องกันระบบ แต่ CTrO จะขยายขอบเขตไปสู่เรื่อง ชื่อเสียง, จริยธรรม และความมั่นใจของลูกค้า ตัวอย่างเช่น การสื่อสารอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการฝึกและปกป้องโมเดล AI หรือการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ บทบาทใหม่นี้ยังช่วยให้การรายงานต่อ คณะกรรมการบริษัท (Board) มีความชัดเจนมากขึ้น โดยการพูดคุยผ่าน “เลนส์ของความเชื่อมั่น” ทำให้บอร์ดเข้าใจผลกระทบต่อกลยุทธ์ธุรกิจได้ดีกว่าการรายงานเชิงเทคนิค เช่น จำนวนช่องโหว่หรือการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ หลายองค์กรยังมองว่า CTrO อาจเป็นเส้นทางอาชีพใหม่สำหรับ CISO ที่ต้องการขยายบทบาทจากการป้องกันความเสี่ยงไปสู่การสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นกับลูกค้า ถือเป็นการเปลี่ยนจาก “ผู้ปกป้องระบบ” ไปสู่ “ผู้พิทักษ์ความน่าเชื่อถือ” 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเกิดขึ้นของ Chief Trust Officer (CTrO) ➡️ เน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส ➡️ ครอบคลุมเรื่องความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัว และการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ✅ ความสัมพันธ์กับ CISO ➡️ CISO ดูแลการควบคุมและการป้องกันระบบ ➡️ CTrO ขยายไปสู่ชื่อเสียง, จริยธรรม และความมั่นใจของลูกค้า ✅ การรายงานต่อบอร์ด ➡️ ใช้ “เลนส์ของความเชื่อมั่น” แทนรายงานเชิงเทคนิค ➡️ เชื่อมโยงความปลอดภัยกับกลยุทธ์ธุรกิจโดยตรง ✅ เส้นทางอาชีพใหม่สำหรับ CISO ➡️ จากผู้ปกป้องระบบ → ผู้พิทักษ์ความน่าเชื่อถือ ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ หากองค์กรสร้างตำแหน่ง CTrO โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจริง อาจกลายเป็น “Trust Theatre” ⛔ ต้องมีการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงและบอร์ด มิฉะนั้นบทบาทจะไม่เกิดผลจริง https://www.csoonline.com/article/4085479/the-rise-of-the-chief-trust-officer-where-does-the-ciso-fit.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The rise of the chief trust officer: Where does the CISO fit?
    The increase of chief trust officers signals a shift from defending systems to safeguarding credibility. Understanding what the CTrO stands for may see CISOs finding a new calling.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • NetworkManager 1.54.2 เพิ่มการตั้งค่า HSR Protocol

    ทีมพัฒนา NetworkManager ได้ปล่อย เวอร์ชัน 1.54.2 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 1.54 โดยมีการเพิ่มการรองรับการตั้งค่า HSR (High-availability Seamless Redundancy) Protocol Version ผ่าน property ใหม่ hsr.protocol-version รวมถึงการตั้งค่า HSR Interlink Port ผ่าน hsr.interlink สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของเครือข่ายที่ต้องการความทนทานสูงได้อย่างละเอียดมากขึ้น

    HSR คืออะไร?
    HSR เป็น Layer 2 redundancy protocol ที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEC 62439-3 ใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมและระบบที่ต้องความเสถียรสูง เช่น substation automation (IEC 61850), ระบบไฟฟ้า, การขนส่ง, โรงงานที่ต้อง real-time communication

    หัวใจของ HSR คือ:
    การทำงานแบบ Ring redundancy โดยไม่มีเวลาสลับเส้นทาง (0 ms recovery)
    อุปกรณ์ HSR จะเชื่อมต่อกันเป็นวง (ring) และ ทุกเฟรมที่ส่งออกมาจะถูกส่งสองทางพร้อมกัน — วิ่งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา หากทางใดทางหนึ่งขาด ระบบจะยังคงรับข้อมูลจากอีกทางหนึ่งทันที จึงไม่มี Downtime แม้เกิด failure

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานกับค่า sriov.vfs โดยสามารถ reapply ได้หากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การจัดการ Virtual Functions บน SR-IOV มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบเครือข่ายทั้งหมด

    แม้จะเป็นการอัปเดตเล็ก แต่ NetworkManager 1.54.2 ถือเป็นการต่อยอดจากเวอร์ชัน 1.54 ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การรองรับการตั้งค่า IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์, การเพิ่มการจัดการ OCI Baremetal ใน nm-cloud-setup และการปรับปรุง UI ของ nmtui ให้รองรับการตั้งค่า Loopback Interface

    ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนากำลังเดินหน้าสู่ NetworkManager 1.56 ซึ่งจะเป็นการอัปเดตใหญ่ โดยมีแผนเพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli, รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร และการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบเครือข่าย

    สรุปสาระสำคัญ
    การอัปเดตใหม่ใน NetworkManager 1.54.2
    รองรับการตั้งค่า HSR Protocol Version (hsr.protocol-version)
    รองรับการตั้งค่า HSR Interlink Port (hsr.interlink)

    การปรับปรุง SR-IOV
    สามารถ reapply ค่า sriov.vfs ได้
    ไม่ต้องรีสตาร์ทระบบหากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยน

    การต่อยอดจาก NetworkManager 1.54
    เพิ่ม IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์
    รองรับ OCI Baremetal และปรับปรุง UI ของ nmtui

    แผนใน NetworkManager 1.56
    เพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli
    รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร
    ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC

    ข้อควรระวัง
    การตั้งค่า HSR ต้องใช้กับระบบที่รองรับเท่านั้น
    หาก SR-IOV ถูกตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบเครือข่ายไม่เสถียร

    https://9to5linux.com/networkmanager-1-54-2-adds-support-for-configuring-the-hsr-protocol-version
    🌐 NetworkManager 1.54.2 เพิ่มการตั้งค่า HSR Protocol ทีมพัฒนา NetworkManager ได้ปล่อย เวอร์ชัน 1.54.2 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 1.54 โดยมีการเพิ่มการรองรับการตั้งค่า HSR (High-availability Seamless Redundancy) Protocol Version ผ่าน property ใหม่ hsr.protocol-version รวมถึงการตั้งค่า HSR Interlink Port ผ่าน hsr.interlink สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของเครือข่ายที่ต้องการความทนทานสูงได้อย่างละเอียดมากขึ้น ✅ HSR คืออะไร? HSR เป็น Layer 2 redundancy protocol ที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEC 62439-3 ใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมและระบบที่ต้องความเสถียรสูง เช่น substation automation (IEC 61850), ระบบไฟฟ้า, การขนส่ง, โรงงานที่ต้อง real-time communication 💖 หัวใจของ HSR คือ: 🔁 การทำงานแบบ Ring redundancy โดยไม่มีเวลาสลับเส้นทาง (0 ms recovery) อุปกรณ์ HSR จะเชื่อมต่อกันเป็นวง (ring) และ ทุกเฟรมที่ส่งออกมาจะถูกส่งสองทางพร้อมกัน — วิ่งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา หากทางใดทางหนึ่งขาด ระบบจะยังคงรับข้อมูลจากอีกทางหนึ่งทันที จึงไม่มี Downtime แม้เกิด failure นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานกับค่า sriov.vfs โดยสามารถ reapply ได้หากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การจัดการ Virtual Functions บน SR-IOV มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบเครือข่ายทั้งหมด แม้จะเป็นการอัปเดตเล็ก แต่ NetworkManager 1.54.2 ถือเป็นการต่อยอดจากเวอร์ชัน 1.54 ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การรองรับการตั้งค่า IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์, การเพิ่มการจัดการ OCI Baremetal ใน nm-cloud-setup และการปรับปรุง UI ของ nmtui ให้รองรับการตั้งค่า Loopback Interface ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนากำลังเดินหน้าสู่ NetworkManager 1.56 ซึ่งจะเป็นการอัปเดตใหญ่ โดยมีแผนเพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli, รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร และการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบเครือข่าย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอัปเดตใหม่ใน NetworkManager 1.54.2 ➡️ รองรับการตั้งค่า HSR Protocol Version (hsr.protocol-version) ➡️ รองรับการตั้งค่า HSR Interlink Port (hsr.interlink) ✅ การปรับปรุง SR-IOV ➡️ สามารถ reapply ค่า sriov.vfs ได้ ➡️ ไม่ต้องรีสตาร์ทระบบหากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยน ✅ การต่อยอดจาก NetworkManager 1.54 ➡️ เพิ่ม IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์ ➡️ รองรับ OCI Baremetal และปรับปรุง UI ของ nmtui ✅ แผนใน NetworkManager 1.56 ➡️ เพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli ➡️ รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร ➡️ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การตั้งค่า HSR ต้องใช้กับระบบที่รองรับเท่านั้น ⛔ หาก SR-IOV ถูกตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบเครือข่ายไม่เสถียร https://9to5linux.com/networkmanager-1-54-2-adds-support-for-configuring-the-hsr-protocol-version
    9TO5LINUX.COM
    NetworkManager 1.54.2 Adds Support for Configuring the HSR Protocol Version - 9to5Linux
    NetworkManager 1.54.2 open-source network connection manager is now available for downlaoad with various new features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้

    Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้

    การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ

    ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค

    นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้
    เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads

    จุดเด่นของ AccuKnox
    มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture
    เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
    เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้
    Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง

    https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    🌐 Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้ Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้ การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้ ➡️ เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ✅ จุดเด่นของ AccuKnox ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture ➡️ เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ➡️ เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ ➡️ Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้ ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ⛔ การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Alice Blue จับมือ AccuKnox เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแล

    Alice Blue บริษัทด้านการเงินและโบรกเกอร์ชั้นนำของอินเดีย ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายการเงิน โดยความร่วมมือนี้ดำเนินการผ่านพันธมิตร Airowire ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโซลูชันด้านความปลอดภัยสู่ตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด

    การตัดสินใจเลือก AccuKnox เกิดขึ้นหลังจาก Alice Blue ได้ทำการประเมินผู้ให้บริการหลายราย โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP ของ AccuKnox มีความโดดเด่นในด้านการทำงานแบบ Agentless ลดภาระการดูแลระบบ และสามารถปรับใช้ได้รวดเร็ว พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานสำคัญ เช่น RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักในอุตสาหกรรมการเงินของอินเดีย

    นอกจากการเสริมความปลอดภัยแล้ว ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้ Alice Blue สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับโค้ดไปจนถึงการทำงานจริงในระบบคลาวด์และ AI workloads อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการในตลาดการเงินที่แข่งขันสูง

    ในมุมมองที่กว้างขึ้น ความร่วมมือเช่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังหันมาใช้แนวคิด Zero Trust และ CNAPP เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานบนระบบคลาวด์และ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อีกด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Alice Blue – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแลในระบบการเงินอินเดีย
    ใช้ Zero Trust CNAPP แบบ Agentless ลดภาระการจัดการ

    มาตรฐานการกำกับดูแลที่รองรับ
    สอดคล้องกับ RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2
    เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ลงทุน

    ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ
    การตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง
    ลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรับปรุงระบบตลอดเวลา
    การพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์และ AI ทำให้ต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://securityonline.info/alice-blue-partners-with-accuknox-for-regulatory-compliance/
    🛡️ Alice Blue จับมือ AccuKnox เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแล Alice Blue บริษัทด้านการเงินและโบรกเกอร์ชั้นนำของอินเดีย ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายการเงิน โดยความร่วมมือนี้ดำเนินการผ่านพันธมิตร Airowire ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโซลูชันด้านความปลอดภัยสู่ตลาดที่มีการกำกับดูแลเข้มงวด การตัดสินใจเลือก AccuKnox เกิดขึ้นหลังจาก Alice Blue ได้ทำการประเมินผู้ให้บริการหลายราย โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP ของ AccuKnox มีความโดดเด่นในด้านการทำงานแบบ Agentless ลดภาระการดูแลระบบ และสามารถปรับใช้ได้รวดเร็ว พร้อมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานสำคัญ เช่น RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดหลักในอุตสาหกรรมการเงินของอินเดีย นอกจากการเสริมความปลอดภัยแล้ว ความร่วมมือนี้ยังช่วยให้ Alice Blue สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับโค้ดไปจนถึงการทำงานจริงในระบบคลาวด์และ AI workloads อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการในตลาดการเงินที่แข่งขันสูง ในมุมมองที่กว้างขึ้น ความร่วมมือเช่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังหันมาใช้แนวคิด Zero Trust และ CNAPP เพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานบนระบบคลาวด์และ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ การลงทุนในโครงสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อีกด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Alice Blue – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยและการกำกับดูแลในระบบการเงินอินเดีย ➡️ ใช้ Zero Trust CNAPP แบบ Agentless ลดภาระการจัดการ ✅ มาตรฐานการกำกับดูแลที่รองรับ ➡️ สอดคล้องกับ RBI, SEBI, PCI-DSS, ISO และ SOC 2 ➡️ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ลงทุน ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากความร่วมมือ ➡️ การตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามแบบต่อเนื่อง ➡️ ลดความเสี่ยงและเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรับปรุงระบบตลอดเวลา ⛔ การพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์และ AI ทำให้ต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น https://securityonline.info/alice-blue-partners-with-accuknox-for-regulatory-compliance/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kingston Dual Portable SSD: ดีไซน์กะทัดรัดแต่ทรงพลัง

    Kingston Technology เปิดตัว SSD แบบ thumb drive รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมพอร์ต USB-A และ USB-C ในตัวเดียว ทำให้ใช้งานได้กับอุปกรณ์หลากหลาย ทั้งคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าและใหม่ รวมถึงสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตที่รองรับ USB-C. ตัวเครื่องทำจากโลหะและพลาสติก แข็งแรงทนทาน น้ำหนักเพียง 13 กรัม พกพาสะดวกเหมือนแฟลชไดรฟ์ทั่วไป แต่ให้ประสิทธิภาพระดับ SSD.

    ความเร็วและความจุ
    รุ่นนี้รองรับมาตรฐาน USB 3.2 Gen 2 ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 1,050 MB/s และเขียน 950 MB/s ซึ่งเร็วกว่าฟลาชไดรฟ์ทั่วไปหลายเท่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการโอนถ่ายไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น วิดีโอ 4K, ภาพถ่าย RAW หรือการสำรองข้อมูลด่วน โดยมีให้เลือก 3 ความจุ:
    512GB ราคา $97
    1TB ราคา $144
    2TB ราคา $239

    การใช้งานและความเข้ากันได้
    Kingston ออกแบบให้ใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลากหลาย เช่น Windows 11, macOS, Linux, ChromeOS, Android และ iOS/iPadOS 13 ขึ้นไป ทำให้ผู้ใช้สามารถโอนถ่ายข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการรับประกัน 5 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตฟรี.

    ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรระวัง
    แม้จะมีความเร็วสูงและดีไซน์ทนทาน แต่รุ่นนี้ยังไม่มีคุณสมบัติ กันน้ำหรือกันฝุ่น ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในสภาพแวดล้อมกลางแจ้งหรือการเดินทางไกล อีกทั้งราคายังสูงกว่าฟลาชไดรฟ์ทั่วไป แม้จะแลกมากับความเร็วและความจุที่เหนือกว่า.

    สรุปสาระสำคัญ
    Kingston เปิดตัว SSD thumb drive รุ่นใหม่
    มีพอร์ต USB-A และ USB-C ในตัวเดียว
    ดีไซน์กะทัดรัด น้ำหนักเพียง 13 กรัม

    ความเร็วและความจุ
    อ่านสูงสุด 1,050 MB/s เขียน 950 MB/s
    มีให้เลือก 512GB, 1TB, 2TB

    การใช้งานและความเข้ากันได้
    รองรับ Windows, macOS, Linux, ChromeOS, Android, iOS/iPadOS
    รับประกัน 5 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตฟรี

    ข้อจำกัด
    ไม่มีคุณสมบัติกันน้ำหรือกันฝุ่น
    ราคาสูงกว่าฟลาชไดรฟ์ทั่วไป

    https://www.tomshardware.com/pc-components/external-ssds/kingston-debuts-versatile-ssd-thumb-drive-with-usb-a-and-usb-c-connectors-offers-1-050-mb-s-transfers-priced-from-usd97-for-512gb
    💾 Kingston Dual Portable SSD: ดีไซน์กะทัดรัดแต่ทรงพลัง Kingston Technology เปิดตัว SSD แบบ thumb drive รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมพอร์ต USB-A และ USB-C ในตัวเดียว ทำให้ใช้งานได้กับอุปกรณ์หลากหลาย ทั้งคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าและใหม่ รวมถึงสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตที่รองรับ USB-C. ตัวเครื่องทำจากโลหะและพลาสติก แข็งแรงทนทาน น้ำหนักเพียง 13 กรัม พกพาสะดวกเหมือนแฟลชไดรฟ์ทั่วไป แต่ให้ประสิทธิภาพระดับ SSD. ⚡ ความเร็วและความจุ รุ่นนี้รองรับมาตรฐาน USB 3.2 Gen 2 ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 1,050 MB/s และเขียน 950 MB/s ซึ่งเร็วกว่าฟลาชไดรฟ์ทั่วไปหลายเท่า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการโอนถ่ายไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น วิดีโอ 4K, ภาพถ่าย RAW หรือการสำรองข้อมูลด่วน โดยมีให้เลือก 3 ความจุ: 💠 512GB ราคา $97 💠 1TB ราคา $144 💠 2TB ราคา $239 🌍 การใช้งานและความเข้ากันได้ Kingston ออกแบบให้ใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลากหลาย เช่น Windows 11, macOS, Linux, ChromeOS, Android และ iOS/iPadOS 13 ขึ้นไป ทำให้ผู้ใช้สามารถโอนถ่ายข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการรับประกัน 5 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตฟรี. ⚠️ ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรระวัง แม้จะมีความเร็วสูงและดีไซน์ทนทาน แต่รุ่นนี้ยังไม่มีคุณสมบัติ กันน้ำหรือกันฝุ่น ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานในสภาพแวดล้อมกลางแจ้งหรือการเดินทางไกล อีกทั้งราคายังสูงกว่าฟลาชไดรฟ์ทั่วไป แม้จะแลกมากับความเร็วและความจุที่เหนือกว่า. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Kingston เปิดตัว SSD thumb drive รุ่นใหม่ ➡️ มีพอร์ต USB-A และ USB-C ในตัวเดียว ➡️ ดีไซน์กะทัดรัด น้ำหนักเพียง 13 กรัม ✅ ความเร็วและความจุ ➡️ อ่านสูงสุด 1,050 MB/s เขียน 950 MB/s ➡️ มีให้เลือก 512GB, 1TB, 2TB ✅ การใช้งานและความเข้ากันได้ ➡️ รองรับ Windows, macOS, Linux, ChromeOS, Android, iOS/iPadOS ➡️ รับประกัน 5 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตฟรี ‼️ ข้อจำกัด ⛔ ไม่มีคุณสมบัติกันน้ำหรือกันฝุ่น ⛔ ราคาสูงกว่าฟลาชไดรฟ์ทั่วไป https://www.tomshardware.com/pc-components/external-ssds/kingston-debuts-versatile-ssd-thumb-drive-with-usb-a-and-usb-c-connectors-offers-1-050-mb-s-transfers-priced-from-usd97-for-512gb
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVMe Destroyinator: เครื่องลบข้อมูลความเร็วสูง

    อุปกรณ์ NVMe Destroyinator ถูกออกแบบมาเพื่อการ ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยสามารถจัดการไดรฟ์หลายประเภท เช่น M.2, E1.S EDSFF และไดรฟ์ 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ SATA, SAS และ NVMe จุดเด่นคือสามารถลบข้อมูลได้พร้อมกันถึง 16 ไดรฟ์ในเวลาเดียวกัน และสร้าง ใบรับรองการลบข้อมูล (tamper-proof certificates) เพื่อยืนยันการทำงานตามมาตรฐานสากล เช่น HIPAA, NIST 800-88 และ U.S. DoD

    ความเร็วและฟีเจอร์
    Destroyinator ใช้ระบบที่ติดตั้ง Linux Mint และซอฟต์แวร์ KillDisk ทำให้สามารถลบข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 64 GB/s พร้อมฟังก์ชัน Hot-swap ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนไดรฟ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบอัตโนมัติในการพิมพ์ใบรับรองและการโคลนไดรฟ์เพื่อการใช้งานต่อ

    การใช้งานในตลาด
    อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับ บริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที (IT e-recyclers) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูล ที่ต้องการลบข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตรวจสอบได้ นอกจากการทำลายข้อมูลแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำไดรฟ์ไปขายต่อได้โดยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล

    ข้อควรระวัง
    แม้ Destroyinator จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากราคาสูงและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบ DIY หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญแทน

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติหลักของ NVMe Destroyinator
    ลบข้อมูลได้พร้อมกันสูงสุด 16 ไดรฟ์
    ความเร็วสูงสุด 64 GB/s
    รองรับ NVMe, SATA และ SAS

    ฟีเจอร์เสริม
    สร้างใบรับรองการลบข้อมูลที่ตรวจสอบได้
    ระบบ Hot-swap และการโคลนไดรฟ์
    ใช้ Linux Mint และ KillDisk

    การใช้งานในตลาด
    เหมาะสำหรับบริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที
    ช่วยให้สามารถขายต่อไดรฟ์ได้โดยปลอดภัย

    ข้อควรระวัง
    ราคาสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
    การใช้งานซับซ้อน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    ผู้ใช้ทั่วไปควรเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบอื่นที่ง่ายกว่า

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/the-nvme-destroyinator-can-wipe-16-nvme-drives-simultaneously-at-speeds-up-to-64-gb-s-it-could-be-the-data-shredder-of-your-dreams-or-nightmares
    🗜️ NVMe Destroyinator: เครื่องลบข้อมูลความเร็วสูง อุปกรณ์ NVMe Destroyinator ถูกออกแบบมาเพื่อการ ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยสามารถจัดการไดรฟ์หลายประเภท เช่น M.2, E1.S EDSFF และไดรฟ์ 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ SATA, SAS และ NVMe จุดเด่นคือสามารถลบข้อมูลได้พร้อมกันถึง 16 ไดรฟ์ในเวลาเดียวกัน และสร้าง ใบรับรองการลบข้อมูล (tamper-proof certificates) เพื่อยืนยันการทำงานตามมาตรฐานสากล เช่น HIPAA, NIST 800-88 และ U.S. DoD ⚡ ความเร็วและฟีเจอร์ Destroyinator ใช้ระบบที่ติดตั้ง Linux Mint และซอฟต์แวร์ KillDisk ทำให้สามารถลบข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 64 GB/s พร้อมฟังก์ชัน Hot-swap ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนไดรฟ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบอัตโนมัติในการพิมพ์ใบรับรองและการโคลนไดรฟ์เพื่อการใช้งานต่อ 🌍 การใช้งานในตลาด อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับ บริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที (IT e-recyclers) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูล ที่ต้องการลบข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตรวจสอบได้ นอกจากการทำลายข้อมูลแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำไดรฟ์ไปขายต่อได้โดยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ⚠️ ข้อควรระวัง แม้ Destroyinator จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากราคาสูงและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบ DIY หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญแทน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติหลักของ NVMe Destroyinator ➡️ ลบข้อมูลได้พร้อมกันสูงสุด 16 ไดรฟ์ ➡️ ความเร็วสูงสุด 64 GB/s ➡️ รองรับ NVMe, SATA และ SAS ✅ ฟีเจอร์เสริม ➡️ สร้างใบรับรองการลบข้อมูลที่ตรวจสอบได้ ➡️ ระบบ Hot-swap และการโคลนไดรฟ์ ➡️ ใช้ Linux Mint และ KillDisk ✅ การใช้งานในตลาด ➡️ เหมาะสำหรับบริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที ➡️ ช่วยให้สามารถขายต่อไดรฟ์ได้โดยปลอดภัย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การใช้งานซับซ้อน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปควรเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบอื่นที่ง่ายกว่า https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/the-nvme-destroyinator-can-wipe-16-nvme-drives-simultaneously-at-speeds-up-to-64-gb-s-it-could-be-the-data-shredder-of-your-dreams-or-nightmares
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Elecom Huge Plus – แทร็กบอลยักษ์รุ่นใหม่พร้อมการเชื่อมต่อไร้สาย”

    คุณสมบัติเด่น
    ลูกบอลขนาด 52 มม. ใหญ่กว่ามาตรฐานราว 52% ทำให้ควบคุมได้ละเอียด เหมาะกับงาน CAD และตัดต่อวิดีโอ
    Tri-mode connectivity: รองรับ Bluetooth, 2.4 GHz wireless, และ USB-C แบบมีสาย
    ลูกปืนเหล็กถอดเปลี่ยนได้ ลดแรงเสียดทานและบำรุงรักษาง่าย
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 3–5 เดือน ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    ปุ่มโปรแกรมได้ 10 ปุ่ม สำหรับตั้งค่า shortcut ที่ใช้บ่อย
    รองรับหลายระบบปฏิบัติการ: Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS และ Android

    ขนาดและราคา
    ขนาด: 4.5 x 7.2 x 2.3 นิ้ว
    น้ำหนัก: 10.3 ออนซ์
    ราคาเปิดตัว: US$139.99 (แพงกว่ารุ่น MX Master 4 ของ Logitech แต่ถูกกว่า G502 X Plus ที่ US$180)

    จุดเด่นและข้อจำกัด
    เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น CAD และงานตัดต่อ
    ปุ่มเยอะและลูกบอลใหญ่ ทำให้ใช้งานสะดวกสำหรับ Productivity

    ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแบบ Hardcore
    ราคาแพงเมื่อเทียบกับเมาส์ทั่วไป

    https://www.tomshardware.com/peripherals/mice/elecom-releases-huge-plus-trackball-mouse-with-massive-52mm-ball-and-10-programmable-buttons-now-comes-with-wireless-connectivity
    🖱️ หัวข้อข่าว: “Elecom Huge Plus – แทร็กบอลยักษ์รุ่นใหม่พร้อมการเชื่อมต่อไร้สาย” 🔧 คุณสมบัติเด่น 🔰 ลูกบอลขนาด 52 มม. ใหญ่กว่ามาตรฐานราว 52% ทำให้ควบคุมได้ละเอียด เหมาะกับงาน CAD และตัดต่อวิดีโอ 🔰 Tri-mode connectivity: รองรับ Bluetooth, 2.4 GHz wireless, และ USB-C แบบมีสาย 🔰 ลูกปืนเหล็กถอดเปลี่ยนได้ ลดแรงเสียดทานและบำรุงรักษาง่าย 🔰 แบตเตอรี่ใช้งานได้ 3–5 เดือน ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 🔰 ปุ่มโปรแกรมได้ 10 ปุ่ม สำหรับตั้งค่า shortcut ที่ใช้บ่อย 🔰 รองรับหลายระบบปฏิบัติการ: Windows, macOS, iPadOS, ChromeOS และ Android 📏 ขนาดและราคา 📍 ขนาด: 4.5 x 7.2 x 2.3 นิ้ว 📍 น้ำหนัก: 10.3 ออนซ์ 📍 ราคาเปิดตัว: US$139.99 (แพงกว่ารุ่น MX Master 4 ของ Logitech แต่ถูกกว่า G502 X Plus ที่ US$180) 🏆 จุดเด่นและข้อจำกัด ✅ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น CAD และงานตัดต่อ ✅ ปุ่มเยอะและลูกบอลใหญ่ ทำให้ใช้งานสะดวกสำหรับ Productivity ⛔ ไม่เหมาะกับการเล่นเกมแบบ Hardcore ⛔ ราคาแพงเมื่อเทียบกับเมาส์ทั่วไป https://www.tomshardware.com/peripherals/mice/elecom-releases-huge-plus-trackball-mouse-with-massive-52mm-ball-and-10-programmable-buttons-now-comes-with-wireless-connectivity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NES ครบรอบ 40 ปี – ดีไซน์ที่เกือบจะเป็นลายไม้แบบ Atari 2600”

    ในงาน Portland Retro Gaming Expo 2025 อดีตผู้บริหาร Nintendo of America ได้แก่ Bruce Lowry (VP of Sales), Gail Tilden (ฝ่ายการตลาด), และ Lance Barr (นักออกแบบผลิตภัณฑ์) ได้เล่าย้อนถึงการเปิดตัว NES ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1985 พวกเขาเผยว่าในตอนแรกมีการเสนอแบบดีไซน์ที่คล้าย Atari 2600 คือมี ลายไม้และสวิตช์ด้านบน แต่ Barr ปฏิเสธทันที โดยบอกว่า “มันดูแย่มาก” และเลือกแนวทางใหม่ที่ทำให้ NES ดูเหมือนอุปกรณ์บันเทิงภายในบ้าน เช่น Hi-Fi หรือ VCR

    การตัดสินใจนี้มีความสำคัญมาก เพราะในช่วงนั้นตลาดเกมยังบอบช้ำจาก Video Game Crash ปี 1983 ผู้บริหารจึงต้องการให้ NES ดู “จริงจัง” และไม่เหมือนของเล่นราคาถูก ดีไซน์ Control Deck ที่เรียบหรูและเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    นอกจากดีไซน์แล้ว ทีมงานยังเล่าถึงการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun และการจัดการกับปัญหาในคลังสินค้าที่เต็มไปด้วย “หนู งู และขยะพิษ” ซึ่งสะท้อนความท้าทายเบื้องหลังการสร้าง NES ให้สำเร็จในตลาดอเมริกา

    ผลลัพธ์คือ NES ไม่เพียงแค่รอดจากวิกฤต แต่ยัง พลิกฟื้นอุตสาหกรรมเกม และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Sega Master System และต่อยอดไปสู่ยุค 16-bit เช่น SNES และ Sega Genesis จนทำให้เกมกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่กว่าภาพยนตร์และดนตรีในเวลาต่อมา

    สรุปสาระสำคัญ
    แผนดีไซน์ NES ในตอนแรก
    มีการเสนอให้ใช้ลายไม้และสวิตช์ด้านบนคล้าย Atari 2600
    Lance Barr ปฏิเสธและเลือกดีไซน์ Control Deck ที่ดูเหมือนเครื่องเสียง/วิดีโอ

    เหตุผลในการเลือกดีไซน์ใหม่
    ตลาดเกมยังบอบช้ำจากวิกฤตปี 1983
    ต้องการให้ NES ดูจริงจัง ไม่เหมือนของเล่นราคาถูก
    ดีไซน์ใหม่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    เบื้องหลังการเปิดตัว
    เปิดตัวพร้อมอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun
    เผชิญปัญหาการจัดเก็บสินค้าที่มีหนู งู และขยะพิษ

    คำเตือนและข้อคิด
    หากเลือกดีไซน์ลายไม้ อาจทำให้ NES ถูกมองว่าเป็นเพียงของเล่น
    ความผิดพลาดด้านภาพลักษณ์อาจทำให้ NES ไม่สามารถฟื้นตลาดเกมได้

    https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/the-nes-at-40-employees-reveal-there-were-plans-for-a-woodgrain-veneer-model-to-rival-the-atari-2600
    🎮 “NES ครบรอบ 40 ปี – ดีไซน์ที่เกือบจะเป็นลายไม้แบบ Atari 2600” ในงาน Portland Retro Gaming Expo 2025 อดีตผู้บริหาร Nintendo of America ได้แก่ Bruce Lowry (VP of Sales), Gail Tilden (ฝ่ายการตลาด), และ Lance Barr (นักออกแบบผลิตภัณฑ์) ได้เล่าย้อนถึงการเปิดตัว NES ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1985 พวกเขาเผยว่าในตอนแรกมีการเสนอแบบดีไซน์ที่คล้าย Atari 2600 คือมี ลายไม้และสวิตช์ด้านบน แต่ Barr ปฏิเสธทันที โดยบอกว่า “มันดูแย่มาก” และเลือกแนวทางใหม่ที่ทำให้ NES ดูเหมือนอุปกรณ์บันเทิงภายในบ้าน เช่น Hi-Fi หรือ VCR การตัดสินใจนี้มีความสำคัญมาก เพราะในช่วงนั้นตลาดเกมยังบอบช้ำจาก Video Game Crash ปี 1983 ผู้บริหารจึงต้องการให้ NES ดู “จริงจัง” และไม่เหมือนของเล่นราคาถูก ดีไซน์ Control Deck ที่เรียบหรูและเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก นอกจากดีไซน์แล้ว ทีมงานยังเล่าถึงการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun และการจัดการกับปัญหาในคลังสินค้าที่เต็มไปด้วย “หนู งู และขยะพิษ” ซึ่งสะท้อนความท้าทายเบื้องหลังการสร้าง NES ให้สำเร็จในตลาดอเมริกา ผลลัพธ์คือ NES ไม่เพียงแค่รอดจากวิกฤต แต่ยัง พลิกฟื้นอุตสาหกรรมเกม และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Sega Master System และต่อยอดไปสู่ยุค 16-bit เช่น SNES และ Sega Genesis จนทำให้เกมกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่กว่าภาพยนตร์และดนตรีในเวลาต่อมา 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แผนดีไซน์ NES ในตอนแรก ➡️ มีการเสนอให้ใช้ลายไม้และสวิตช์ด้านบนคล้าย Atari 2600 ➡️ Lance Barr ปฏิเสธและเลือกดีไซน์ Control Deck ที่ดูเหมือนเครื่องเสียง/วิดีโอ ✅ เหตุผลในการเลือกดีไซน์ใหม่ ➡️ ตลาดเกมยังบอบช้ำจากวิกฤตปี 1983 ➡️ ต้องการให้ NES ดูจริงจัง ไม่เหมือนของเล่นราคาถูก ➡️ ดีไซน์ใหม่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก ✅ เบื้องหลังการเปิดตัว ➡️ เปิดตัวพร้อมอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun ➡️ เผชิญปัญหาการจัดเก็บสินค้าที่มีหนู งู และขยะพิษ ‼️ คำเตือนและข้อคิด ⛔ หากเลือกดีไซน์ลายไม้ อาจทำให้ NES ถูกมองว่าเป็นเพียงของเล่น ⛔ ความผิดพลาดด้านภาพลักษณ์อาจทำให้ NES ไม่สามารถฟื้นตลาดเกมได้ https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/the-nes-at-40-employees-reveal-there-were-plans-for-a-woodgrain-veneer-model-to-rival-the-atari-2600
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The NES at 40: Employees reveal there were plans for a woodgrain veneer model to rival the Atari 2600
    Nintendo of America veterans chatted to a host from the Video Game History Foundation to celebrate the console’s Ruby jubilee.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts