• MK ร่วมแจม ศึกสุกี้ตลาดแมส

    ในที่สุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ M เจ้าของภัตตาคารอาหารเอ็มเค และอีกสารพัดแบรนด์ ตัดสินใจโดดร่วมสมรภูมิสุกี้ตลาดแมส ด้วยการเปิดร้านสุกี้แบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า "โบนัสสุกี้" ประเดิมสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สระบุรี จ.สระบุรี ในวันที่ 16 ก.ค. ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึง 05.00 น. พร้อมเปิดตัวอย่างร้อนแรงด้วยโปรโมชันฉลองเปิดสาขา 1 ฟรี 1 เป็นเวลา 5 วัน วันละ 100 สิทธิ์

    นับเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของเอ็มเค หลังคู่แข่งอย่างร้านสุกี้ตี๋น้อย ของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ประสบความสำเร็จด้วยจำนวนสาขา 82 สาขา มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 รวม 271 ล้านบาท แซงหน้าเอ็มเคที่มีกำไรสุทธิ 234 ล้านบาท รวมทั้งคู่แข่งในตลาดเดียวกันอย่าง ร้านลัคกี้สุกี้ ของบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ที่มี 19 สาขาอีกด้วย ทำให้เอ็มเคตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

    สำหรับจังหวัดสระบุรี นอกจากมีรายได้ต่อหัวสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เป็นแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ รวมทั้งมีค่ายอดิศร เป็นที่ตั้งของศูนย์การทหารม้า มณฑลทหารบกที่ 18 รวมทั้งโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ที่ อ.มวกเหล็ก แล้ว ยังเป็นทางผ่านสู่ภาคอีสานด้วยถนนมิตรภาพ และมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา ที่ผ่านมามีสุกี้ตี๋น้อย เปิดสาขาสระบุรีที่ปั๊มบางจาก B5 อเวนิว ใกล้ห้างบิ๊กซีเพลสสระบุรี และลัคกี้สุกี้ สาขาโลตัสสระบุรี

    ก่อนหน้านี้เอ็มเคได้ทดลองจัดโปรโมชัน “MK บุฟเฟต์ คุ้มคุ้มอิ่มไม่อั้น 90 นาที” ราคา 299 บาทต่อคน หากลูกค้ามา 4 คน สามารถสั่งกุ้งแม่น้ำได้ไม่อั้น เฉพาะร้านเอ็มเค เรสโตรองต์ สาขาในห้างค้าปลีก เช่น โลตัส และบิ๊กซี รวม 250 สาขา พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี จึงขยายโปรโมชันถึงวันที่ 31 ก.ค. 2568 พร้อมเพิ่มสาขาร่วมรายการอีก 49 สาขา รวม 299 สาขา นอกจากนี้ ยังทดลองขยายเวลาให้บริการถึงเวลา 24.00 น. จำนวน 9 สาขา และเวลา 23.00 น. จำนวน 8 สาขา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการรับประทานอาหารในช่วงกลางคืนหรือหลังเลิกงาน

    การเปิดแบรนด์สุกี้ใหม่ของเอ็มเค นอกจากจะสร้างสีสันการแข่งขันสุกี้ตลาดแมสให้คึกคัก ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีก เช่น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ปัจจุบันมีพื้นที่ว่างจำนวนมาก แม้จะต้องปรับตัวเรื่องการรักษาความปลอดภัยหลังศูนย์การค้าปิดให้บริการก็ตาม

    #Newskit
    MK ร่วมแจม ศึกสุกี้ตลาดแมส ในที่สุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ M เจ้าของภัตตาคารอาหารเอ็มเค และอีกสารพัดแบรนด์ ตัดสินใจโดดร่วมสมรภูมิสุกี้ตลาดแมส ด้วยการเปิดร้านสุกี้แบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า "โบนัสสุกี้" ประเดิมสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สระบุรี จ.สระบุรี ในวันที่ 16 ก.ค. ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึง 05.00 น. พร้อมเปิดตัวอย่างร้อนแรงด้วยโปรโมชันฉลองเปิดสาขา 1 ฟรี 1 เป็นเวลา 5 วัน วันละ 100 สิทธิ์ นับเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของเอ็มเค หลังคู่แข่งอย่างร้านสุกี้ตี๋น้อย ของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ประสบความสำเร็จด้วยจำนวนสาขา 82 สาขา มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 รวม 271 ล้านบาท แซงหน้าเอ็มเคที่มีกำไรสุทธิ 234 ล้านบาท รวมทั้งคู่แข่งในตลาดเดียวกันอย่าง ร้านลัคกี้สุกี้ ของบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ที่มี 19 สาขาอีกด้วย ทำให้เอ็มเคตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สำหรับจังหวัดสระบุรี นอกจากมีรายได้ต่อหัวสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เป็นแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ รวมทั้งมีค่ายอดิศร เป็นที่ตั้งของศูนย์การทหารม้า มณฑลทหารบกที่ 18 รวมทั้งโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ที่ อ.มวกเหล็ก แล้ว ยังเป็นทางผ่านสู่ภาคอีสานด้วยถนนมิตรภาพ และมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา ที่ผ่านมามีสุกี้ตี๋น้อย เปิดสาขาสระบุรีที่ปั๊มบางจาก B5 อเวนิว ใกล้ห้างบิ๊กซีเพลสสระบุรี และลัคกี้สุกี้ สาขาโลตัสสระบุรี ก่อนหน้านี้เอ็มเคได้ทดลองจัดโปรโมชัน “MK บุฟเฟต์ คุ้มคุ้มอิ่มไม่อั้น 90 นาที” ราคา 299 บาทต่อคน หากลูกค้ามา 4 คน สามารถสั่งกุ้งแม่น้ำได้ไม่อั้น เฉพาะร้านเอ็มเค เรสโตรองต์ สาขาในห้างค้าปลีก เช่น โลตัส และบิ๊กซี รวม 250 สาขา พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี จึงขยายโปรโมชันถึงวันที่ 31 ก.ค. 2568 พร้อมเพิ่มสาขาร่วมรายการอีก 49 สาขา รวม 299 สาขา นอกจากนี้ ยังทดลองขยายเวลาให้บริการถึงเวลา 24.00 น. จำนวน 9 สาขา และเวลา 23.00 น. จำนวน 8 สาขา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการรับประทานอาหารในช่วงกลางคืนหรือหลังเลิกงาน การเปิดแบรนด์สุกี้ใหม่ของเอ็มเค นอกจากจะสร้างสีสันการแข่งขันสุกี้ตลาดแมสให้คึกคัก ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีก เช่น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ปัจจุบันมีพื้นที่ว่างจำนวนมาก แม้จะต้องปรับตัวเรื่องการรักษาความปลอดภัยหลังศูนย์การค้าปิดให้บริการก็ตาม #Newskit
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe Gen6 – เร็วกว่าเดิมเท่าตัว รองรับ 512 TB

    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ SM8466 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยี PCIe Gen6 ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 28 GB/s และรองรับ IOPS สูงถึง 7 ล้านครั้งต่อวินาที—มากกว่ารุ่นก่อนถึงเท่าตัว

    ตัวคอนโทรลเลอร์ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC และรองรับมาตรฐานใหม่ NVMe 2.0+, OCP NVMe SSD Spec 2.5 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบครัน เช่น Secure Boot, AES-256, TCG Opal และ End-to-End Data Protection

    เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน SM8366 (Gen5):
    - ความเร็ว: 28 GB/s vs 14.2 GB/s
    - ความจุ: 512 TB vs 128 TB
    - IOPS: 7 ล้าน vs 3.5 ล้าน
    - เทคโนโลยีการผลิต: 4nm vs 12nm

    อย่างไรก็ตาม คอนโทรลเลอร์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดตัวเทคโนโลยีเท่านั้น และผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มใช้งานในตลาดช่วงปี 2026–2027 โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ ส่วนตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะได้ใช้ SSD ที่รองรับ PCIe Gen6

    ข้อมูลจากข่าว
    - Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น SM8466 รองรับ PCIe Gen6
    - ความเร็วสูงสุด 28 GB/s และรองรับความจุสูงสุด 512 TB
    - รองรับมาตรฐาน NVMe 2.0+, OCP Spec 2.5 และฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายรายการ
    - ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC
    - IOPS สูงสุด 7 ล้านครั้งต่อวินาที
    - เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน SM8366: เร็วขึ้น 2 เท่า, ความจุเพิ่ม 4 เท่า
    - คาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026–2027 สำหรับตลาดองค์กร
    - ตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจได้ใช้ PCIe Gen6 SSD หลังปี 2030

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป ต้องรออีกหลายปี
    - PCIe Gen5 SSD ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดผู้บริโภค ทำให้ Gen6 ยิ่งห่างไกล
    - การเปลี่ยนไปใช้ Gen6 ต้องอัปเกรดทั้งเมนบอร์ด, CPU และระบบจัดเก็บข้อมูล
    - ความเร็วสูงอาจมาพร้อมกับความร้อนและการใช้พลังงานที่มากขึ้น
    - องค์กรควรวางแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Gen6

    https://wccftech.com/silicon-motion-first-pcie-gen6-ssd-controller-enterprise-sm8466-up-to-28-gbps-speeds-512-tb-capacities/
    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe Gen6 – เร็วกว่าเดิมเท่าตัว รองรับ 512 TB Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ SM8466 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยี PCIe Gen6 ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 28 GB/s และรองรับ IOPS สูงถึง 7 ล้านครั้งต่อวินาที—มากกว่ารุ่นก่อนถึงเท่าตัว ตัวคอนโทรลเลอร์ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC และรองรับมาตรฐานใหม่ NVMe 2.0+, OCP NVMe SSD Spec 2.5 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบครัน เช่น Secure Boot, AES-256, TCG Opal และ End-to-End Data Protection เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน SM8366 (Gen5): - ความเร็ว: 28 GB/s vs 14.2 GB/s - ความจุ: 512 TB vs 128 TB - IOPS: 7 ล้าน vs 3.5 ล้าน - เทคโนโลยีการผลิต: 4nm vs 12nm อย่างไรก็ตาม คอนโทรลเลอร์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดตัวเทคโนโลยีเท่านั้น และผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มใช้งานในตลาดช่วงปี 2026–2027 โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ ส่วนตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะได้ใช้ SSD ที่รองรับ PCIe Gen6 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น SM8466 รองรับ PCIe Gen6 - ความเร็วสูงสุด 28 GB/s และรองรับความจุสูงสุด 512 TB - รองรับมาตรฐาน NVMe 2.0+, OCP Spec 2.5 และฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายรายการ - ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC - IOPS สูงสุด 7 ล้านครั้งต่อวินาที - เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน SM8366: เร็วขึ้น 2 เท่า, ความจุเพิ่ม 4 เท่า - คาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026–2027 สำหรับตลาดองค์กร - ตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจได้ใช้ PCIe Gen6 SSD หลังปี 2030 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป ต้องรออีกหลายปี - PCIe Gen5 SSD ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดผู้บริโภค ทำให้ Gen6 ยิ่งห่างไกล - การเปลี่ยนไปใช้ Gen6 ต้องอัปเกรดทั้งเมนบอร์ด, CPU และระบบจัดเก็บข้อมูล - ความเร็วสูงอาจมาพร้อมกับความร้อนและการใช้พลังงานที่มากขึ้น - องค์กรควรวางแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Gen6 https://wccftech.com/silicon-motion-first-pcie-gen6-ssd-controller-enterprise-sm8466-up-to-28-gbps-speeds-512-tb-capacities/
    WCCFTECH.COM
    Silicon Motion Unveils Its First PCIe Gen6 SSD Controller For Enterprise: SM8466 With Up To 28 GB/s Speeds & 512 TB Capacities
    Silicon Motion has unveiled its next-gen PCIe Gen6 SSD controller which will be used to power the high-end enterprise level storage products.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ESMA เตือนบริษัทคริปโต – อย่าใช้คำว่า “ถูกกำกับดูแล” หลอกผู้บริโภค

    เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2025 ESMA (European Securities and Markets Authority) ได้ออกแถลงการณ์เตือนบริษัทคริปโตทั่วสหภาพยุโรปว่าไม่ควรใช้สถานะ “ได้รับใบอนุญาต” ภายใต้กฎ MiCA (Markets in Crypto-Assets) เป็นเครื่องมือทางการตลาดเพื่อสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค

    หลายบริษัทคริปโต (CASPs) เสนอทั้งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MiCA บนแพลตฟอร์มเดียวกัน เช่น การลงทุนในทองคำหรือการให้กู้ยืมคริปโต ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าทุกบริการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

    ESMA ระบุว่าบางบริษัทถึงขั้นใช้ใบอนุญาต MiCA เป็น “เครื่องมือส่งเสริมการขาย” และสร้างความสับสนระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการกำกับกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการกำกับ

    นอกจากนี้ ESMA ยังออกแนวทางใหม่เกี่ยวกับความรู้และความสามารถของพนักงานที่ทำหน้าที่ประเมินบริษัทคริปโต เพื่อให้การออกใบอนุญาตมีความรัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากพบว่า Malta Financial Services Authority มีการประเมินความเสี่ยงของบริษัทคริปโตบางแห่งอย่างไม่ละเอียดพอ

    ข้อมูลจากข่าว
    - ESMA เตือนบริษัทคริปโตว่าไม่ควรใช้สถานะ “ได้รับการกำกับ” เป็นเครื่องมือทางการตลาด
    - กฎ MiCA ของ EU มีข้อกำหนดด้านการคุ้มครองผู้ลงทุน เช่น การจัดการสินทรัพย์และการรับเรื่องร้องเรียน
    - CASPs บางแห่งเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MiCA เช่น การลงทุนในทองคำหรือการให้กู้ยืมคริปโต
    - ESMA ระบุว่าการเสนอผลิตภัณฑ์ทั้งแบบกำกับและไม่กำกับบนแพลตฟอร์มเดียวกันสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
    - ESMA ออกแนวทางใหม่เกี่ยวกับความรู้ของพนักงานที่ประเมินบริษัทคริปโต
    - การตรวจสอบในมอลตาพบว่ามีการอนุญาตบริษัทคริปโตโดยไม่ประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดว่าทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทคริปโตได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
    - การใช้ใบอนุญาต MiCA เป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายอาจนำไปสู่การหลอกลวง
    - ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MiCA เช่น crypto lending ไม่มีการคุ้มครองหากเกิดปัญหา
    - การออกใบอนุญาตที่ไม่รัดกุมอาจเปิดช่องให้บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงเข้าสู่ตลาด
    - นักลงทุนควรตรวจสอบว่าแต่ละบริการของบริษัทคริปโตอยู่ภายใต้กฎ MiCA หรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/11/european-securities-regulator-warns-about-crypto-firms-misleading-customers
    ESMA เตือนบริษัทคริปโต – อย่าใช้คำว่า “ถูกกำกับดูแล” หลอกผู้บริโภค เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2025 ESMA (European Securities and Markets Authority) ได้ออกแถลงการณ์เตือนบริษัทคริปโตทั่วสหภาพยุโรปว่าไม่ควรใช้สถานะ “ได้รับใบอนุญาต” ภายใต้กฎ MiCA (Markets in Crypto-Assets) เป็นเครื่องมือทางการตลาดเพื่อสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค หลายบริษัทคริปโต (CASPs) เสนอทั้งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MiCA บนแพลตฟอร์มเดียวกัน เช่น การลงทุนในทองคำหรือการให้กู้ยืมคริปโต ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าทุกบริการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ESMA ระบุว่าบางบริษัทถึงขั้นใช้ใบอนุญาต MiCA เป็น “เครื่องมือส่งเสริมการขาย” และสร้างความสับสนระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการกำกับกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการกำกับ นอกจากนี้ ESMA ยังออกแนวทางใหม่เกี่ยวกับความรู้และความสามารถของพนักงานที่ทำหน้าที่ประเมินบริษัทคริปโต เพื่อให้การออกใบอนุญาตมีความรัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากพบว่า Malta Financial Services Authority มีการประเมินความเสี่ยงของบริษัทคริปโตบางแห่งอย่างไม่ละเอียดพอ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ESMA เตือนบริษัทคริปโตว่าไม่ควรใช้สถานะ “ได้รับการกำกับ” เป็นเครื่องมือทางการตลาด - กฎ MiCA ของ EU มีข้อกำหนดด้านการคุ้มครองผู้ลงทุน เช่น การจัดการสินทรัพย์และการรับเรื่องร้องเรียน - CASPs บางแห่งเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MiCA เช่น การลงทุนในทองคำหรือการให้กู้ยืมคริปโต - ESMA ระบุว่าการเสนอผลิตภัณฑ์ทั้งแบบกำกับและไม่กำกับบนแพลตฟอร์มเดียวกันสร้างความเสี่ยงต่อผู้บริโภค - ESMA ออกแนวทางใหม่เกี่ยวกับความรู้ของพนักงานที่ประเมินบริษัทคริปโต - การตรวจสอบในมอลตาพบว่ามีการอนุญาตบริษัทคริปโตโดยไม่ประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดว่าทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทคริปโตได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย - การใช้ใบอนุญาต MiCA เป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายอาจนำไปสู่การหลอกลวง - ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MiCA เช่น crypto lending ไม่มีการคุ้มครองหากเกิดปัญหา - การออกใบอนุญาตที่ไม่รัดกุมอาจเปิดช่องให้บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงเข้าสู่ตลาด - นักลงทุนควรตรวจสอบว่าแต่ละบริการของบริษัทคริปโตอยู่ภายใต้กฎ MiCA หรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/11/european-securities-regulator-warns-about-crypto-firms-misleading-customers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    European securities regulator warns about crypto firms misleading customers
    PARIS (Reuters) -Europe's securities regulator warned crypto companies on Friday not to mislead customers about the extent to which their products are regulated - the latest sign of European authorities trying to limit crypto-related risks.
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • ..นายกฯพระราชทานคือทางออก.
    ..ยุควิกฤตินี้หรือนักการเมืองบัดสบในยุคนี้สุดเสื่อมเลวชั่วแล้วก็ว่า,
    ..นายกฯใหม่ที่มาจากอำนาจพระราชทานจึงสามารถกำหนดทิศทางของประเทศไทยได้ชัดเจนกว่า น่าเชื่อถือกว่า และเด็ดขาดไม่เกรงใจใครได้ด้วย ประชาชนต้องมาก่อนนั้นเอง
    ..เช่นกัน นายกฯใหม่เรา ในมุมมองการสร้างตลาดฟื้นฟูการเงินการตังการเศรษฐกิจการสัมมาชีวิตการสัมมาอาชีพใดๆต่างๆทั่วไทยจะช่วยทำให้การค้าการขายเราเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ไม่ยากจากการสนับสนุนช่องทางตลาดช่องทางทำเงินหรือจัดหาตลาดกลางไร้เอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางได้จริงด้วย,ตลอดจนอำนวยสะดวกระเบียนเงื่อนไขลดต้นทุนค่าขนส่ง เพิ่มกำไรแก่ทุกๆคนไทยในรากฐานสัมมาอาชีพต่างๆนั้นด้วย,พูดเสียยาวคือนายกฯใหม่ไทยจะเป็นเป็นก่อตั้งตลาดซื้อขายออนไลน์กลางระดับชาติไทยแก่คนไทยนั้นเองบนแพลตฟอร์มที่คนไทยสร้างเองเป็นแอปของคนไทยจริงๆ นอกจากshopeeของdeep stateสิงคโปร์หรือ lazada มีdeep stateตัวแม่ทั่วโลกให้นอมินีอย่างalibaba groupเป็นเจ้าของที่เหนียวแน่นบนแผ่นดินไทยเรา ,นายกฯเราสามารถสร้างแพลตฟอร์มเราเองได้แน่นอน กระแสเงินสดมากมายทั้งภายในเราเองคนไทยหันมาใช้แอปเราเอง ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง ไม่มีการหักอะไร กินค่านั้นค่านี้สาระพัดอีก คนขายกำไร คนซื้อได้ของถูกมีคุณภาพจริงไม่ถูกเอาเปรียบทั้งจากคนขายและเจ้าของแอป,รัฐบาลอัดโปรโมตใดๆได้อีก กระตุ้นการซื้อขาย อัดบัตรสวัสดิการช่วยค่าครองชีพผ่านแพลตฟอร์มนี้ก็ได้ เสมือนร้านค้ากองทุนหมู่บ้านออนไลน์ทั่วไทย ร่วมกันเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มร้านค้าร้านตลาดนี้ร่วมกันอีก จะซื้อจะขายได้ทุกๆที่ทุกเวลา มีทั้งตลาดออฟไลน์มีสถานที่จริง จุดรับสินค้าส่งสินค้าฮับประจำหมู่บ้านสายออฟไลน์และออนไลน์ก็ได้ เข้าไปซื้อจริงจับจริงที่ร้านกองทุนหมู่บ้านก็ได้ สบู่ยาสีฟันยันเรือรบที่ตลาดออนไลน์ได้อีก,ขายข้ามโลกทั่วโลกก็ได้อีก โดยมีรัฐบาลอำนวยงานสร้างให้ตรวจสอบจับกุมจริงในคนไม่ซื่อตรงซื่อสัตย์เพราะล็อกอินคือบัตรประชาชนตัวเป็นจริงนั้นล่ะ,ตลาดออนไลน์นี้ระดับประเทศไทยทั่วโลกรู้จักชัดเจน ขายสาระพัดได้หมด ค่าห้องพักโรงแรม ตั๋วสาระพัดตั๋ว ตั๋วบอลตั๋วเครื่องบินขายได้หมด ทุกๆภาคอุตสาหกรรม ขายซื้อขายได้หมด GtG ,GtB ,BtB,BtC,CtCผู้บริโภคเจอกับผู้บริโภคทางตรงค้าขายได้หมดบนแพลตฟอร์มของไทยเรา,ค้ำประกันโดยรัฐบาลไทยเราด้วย,นี้เราต้องสร้างหน่วยทัพทำตังจริงแบบนี้,ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี กลยุทธ นายกฯสั่งตรงทีมเฉพาะกิจพิเศษควบคุมอำนวยการได้หมด,บริหารจัดการได้หมด ลดภาวะประชาชนไม่ต้องปวดหัวอะไร ค้าขายเต็มที่สร้างรายได้สัมมาอาชีพอย่างสุจริตเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถใครมัน,และสามารถให้โอกาสคนทั่วโลกมาร่วมใช้บริการได้ฟรีๆค้าขายเสรีร่วมกันได้อีกเมื่อเราสามารถขนาดงานดาต้าควอนตัมพร้อมรับการไหลผ่านข้อมูลมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลกได้แล้ว,รายได้ของแพลตฟอร์มนายกฯใหม่ของคนไทยเราริเริ่มปฐมบทงานสร้าง ตังสะพัดกว่า50ล้านล้านเหรียญทั่วโลกจากปกติอาจอยู่ที่25-30ล้านล้านเหรียญทั่วโลกในทุกๆแพลตฟอร์มค้าขายออนไลน์รวมกันก็ว่า,คนไทยเราไม่ธรรมดา แพลตฟอร์มเรามันคือโลกเสมือนจริงที่เป็นบ้านใหญ่ของคนไทยและประเทศอื่นๆที่เข้ามาโลกออนไลน์อาจติดความรู้สึกว่าบ้านตนเองคือจีนคืออเมริกาคือคนอาหรับคือคนฝรั่งคือคนผิวสี คือใดๆ แต่เมื่อเข้ามาใช้บนแพลตฟอร์มคนไทย เสมือนว่าคุณทั้งหมดคือคนไทย อยู่ประเทศไทย บ้านนี้คือบ้านคุณ บ้านนี้คือเป็นของคุณด้วยคือคุณเป็นคนไทยเช่นกันนั้นเอง,การต้อนรับมาบ้านกลับบ้านบนโลกเสมือนจริงนี้คือบ้านเราร่วมกันกันทุกๆคน ไร้การแบ่งแยกเชิงสัญลักษณ์ใดๆอีกต่อไป,มันมิใช่นัยยะแค่ตลาดออนไลน์การค้าขายแต่คือจิตวิญญาณคุณค่าความเป็นชาวโลกเราได้มีพื้นที่พอยึดเหนี่ยวนั่งพักจิตพักใจพักกายนั้นเอง มีตัวตนจริงเป็นโลกเสมือนที่คนไทยเราสร้างขึ้นและจะเป็นอารยะธรรมดีงามบนโลกเสมือนจริงอีกแห่งด้วยเช่นกันแม้ไม่ใช่โลกแห่งความจริงก็ตาม รอยยิ้ม ความอิ่มอกอิ่มใจจะเหมือนว่าได้มาเยือนประเทศไทยอยู่ที่ประเทศไทยเราจริงนั้นเอง,เราไม่ได้ขายแค่วัตถุสิ่งของ แต่เราเสมอความสุขด้วยจิตวิญญาณไปด้วย,เบิกบานจิตใจยกจิตยกใจผ่านเน็ตเวิคส์นั้นเองทั่วโลก,เพราะอนาคตมาแน่นอนแว่นเรียลไทม์,และวาล์ปจริงไปโลกเสมือนนั้น ตลอดซื้อสินค้าเสร็จบนโลกเสมือน ออกมาสแกนรอรับสินค้าที่วาล์ปมาได้เลยนั้นล่ะที่จุดบริการรอรับสินค้า ขนส่งเดินรถอาจไม่มีอีกต่อไป,ท่องเที่ยวผ่านแว่นเรียล,ไปได้ทั่วจักรวาลบนโลกเสมือนจริงที่สร้างเสมือนจักรวาลที่ต้องการไปนั่นๆ,ซื้อสินค้าเสร็จจ่ายตัง กลับมาบ้าน รอรับสินค้าทันทีผ่านเครื่องพิมพ์สินค้าวาล์ปเรียลไทม์ก็ว่า,นี้จึงวิถีการบุกเบิกโคตรๆของผู้นำใหม่ประจำประเทศไทยเราจริงๆ,กากๆกระจอกอย่าเสนอตัวออกมาแดกชาติโกงกินบ้านเมืองอีกเลย,ยุคอนาคตตังติดตามเรียลไทม์การผ่านมือใครได้หมดล่ะควอนตัมบันทึกทุกกิจกรรมธุรกรรมการเงินย้อนหลังโคตรๆลบไม่ได้ด้วย,มีหนาวมีอักเสบมีดับอนาถแน่นอนในอนาคตเร็วๆนี้,กอบโกยโกงกินหมูๆหมาๆง่ายๆแบบๆเดิมๆตกยุคแน่นอน,โลกเรากำลังอัพเรเวลคัดกรองคนด้วย,จักรวาลจัดสรรนั่นล่ะ ธรรมะจักรวาลธรรมดาที่ไหน.
    ..นายกฯพระราชทานคือหนทางออกทางเดียวในจังหวะเวลานี้,ยุคใหม่ไม่ธรรมดานะ,และเรามีเวลาเหลือแค่ก่อนพ.ศ.5,000นะ นี้ก็2568แล้ว,มนุษยสมบัติเราสมควรจบที่โลกุตระสมบัติเป็นเบื้องต้น อรหันต์เป็นเบื้องกลาง นิพพานคือที่สุดก็ว่า,ผู้นำผู้ปกครองไทยเราอย่าขัดขวางอย่าเป็นมหามารมหาปีศาจมหาอสูรโคตรเลวโคตรชั่วอีกเลย อย่างน้อยคนไทยโดยมากเป็นผู้มากบุญบารมีพร้อมเลื่อนขั้นสาระพัดมากมายแน่แห่งจิตวิญญาณใครมัน,ท่านทั้งหลายอย่าแสวงหามหานรกโดยกระทำชั่วเลวแก่ผู้มากบุญบารมีประจำประเทศไทยคือประชาชนชาวไทยเลย,โสดาบันเต็มแผ่นดินนะนั้น กรรมใหญ่หลวงนักไปขัดขวางคนไทยตนเองในนามผีบ้าบ้าตำแหน่งอำนาจชื่อสมมุติว่าผู้นำผู้ปกครองประเทศไทยนี้,คนไทยทั้งหลายแค่มาเสวยเศษกรรมตนนิดหน่อยๆแค่นั้นล่ะ,ประเทศไทยนี้จึงมีสิทธิ์ศักดิ์เป็นอันมากเพราะมาปกป้องเจ้านายตนเองด้วยก็ว่าก็มีที่มาเสวยกรรม บ้างก็ลงมาเล่นเพลินๆสาระพัพมุกมาเกิดบนอาณาเขตราชอาณาจักรมหาพุทธภูมินี้.
    ..ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์โคตรๆ เงินทองมากมายเต็มแผ่นดิน,วิกฤติเศรษฐกิจนี้แก้ไม่ยาก แก้ได้มากมาย นี้ก็อีกบริบทหนึ่ง,หรือไปยึดทรัพยากรมีค่ามากมายคืนมาทั้งหมดก็ได้ เอาบ่อน้ำมันคืนมาทุกๆสัมปทานก่อน จากต่างชาติจากเอกชนใดๆทั้งหมด ยึดคืนก่อนก็ได้ มาทำเองเลย ต้นทุนทุกๆมิติของไทยเราจะลดลงทันที,ขายน้ำมันก็ขายนอกประเทศในราคาตลาดโลกก็ได้แต่ขายในไทยถูกๆลิตรละ1-2บาทแบบอิหร่านก็สบายมาก,เศรษฐกิจไทยจะฟื้นฟูทันที บวกอัดเศรษฐกิจพอเพียงสมถะเราไปด้วย,เพียงพอพอเพียงไม่ละโมภโลภมาก ความยัางยืนรอบด้านหลากหลายมิติจะเต็มประเทศไทยเราและขยายไปทั่วโลก,โลกจะมีต่างดาวดีๆมากมายมาเยือนโลกเราและปกป้องคุ้มครองภัยศัตรูช่วยเราได้สบายๆด้วยบนจักรวาลเรานี้.
    ..ให้มันจบที่รุ่นเรา.

    https://www.tiktok.com/@amp.sarun/video/7476739522403798279

    ..นายกฯพระราชทานคือทางออก. ..ยุควิกฤตินี้หรือนักการเมืองบัดสบในยุคนี้สุดเสื่อมเลวชั่วแล้วก็ว่า, ..นายกฯใหม่ที่มาจากอำนาจพระราชทานจึงสามารถกำหนดทิศทางของประเทศไทยได้ชัดเจนกว่า น่าเชื่อถือกว่า และเด็ดขาดไม่เกรงใจใครได้ด้วย ประชาชนต้องมาก่อนนั้นเอง ..เช่นกัน นายกฯใหม่เรา ในมุมมองการสร้างตลาดฟื้นฟูการเงินการตังการเศรษฐกิจการสัมมาชีวิตการสัมมาอาชีพใดๆต่างๆทั่วไทยจะช่วยทำให้การค้าการขายเราเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ไม่ยากจากการสนับสนุนช่องทางตลาดช่องทางทำเงินหรือจัดหาตลาดกลางไร้เอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางได้จริงด้วย,ตลอดจนอำนวยสะดวกระเบียนเงื่อนไขลดต้นทุนค่าขนส่ง เพิ่มกำไรแก่ทุกๆคนไทยในรากฐานสัมมาอาชีพต่างๆนั้นด้วย,พูดเสียยาวคือนายกฯใหม่ไทยจะเป็นเป็นก่อตั้งตลาดซื้อขายออนไลน์กลางระดับชาติไทยแก่คนไทยนั้นเองบนแพลตฟอร์มที่คนไทยสร้างเองเป็นแอปของคนไทยจริงๆ นอกจากshopeeของdeep stateสิงคโปร์หรือ lazada มีdeep stateตัวแม่ทั่วโลกให้นอมินีอย่างalibaba groupเป็นเจ้าของที่เหนียวแน่นบนแผ่นดินไทยเรา ,นายกฯเราสามารถสร้างแพลตฟอร์มเราเองได้แน่นอน กระแสเงินสดมากมายทั้งภายในเราเองคนไทยหันมาใช้แอปเราเอง ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเอง ไม่มีการหักอะไร กินค่านั้นค่านี้สาระพัดอีก คนขายกำไร คนซื้อได้ของถูกมีคุณภาพจริงไม่ถูกเอาเปรียบทั้งจากคนขายและเจ้าของแอป,รัฐบาลอัดโปรโมตใดๆได้อีก กระตุ้นการซื้อขาย อัดบัตรสวัสดิการช่วยค่าครองชีพผ่านแพลตฟอร์มนี้ก็ได้ เสมือนร้านค้ากองทุนหมู่บ้านออนไลน์ทั่วไทย ร่วมกันเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มร้านค้าร้านตลาดนี้ร่วมกันอีก จะซื้อจะขายได้ทุกๆที่ทุกเวลา มีทั้งตลาดออฟไลน์มีสถานที่จริง จุดรับสินค้าส่งสินค้าฮับประจำหมู่บ้านสายออฟไลน์และออนไลน์ก็ได้ เข้าไปซื้อจริงจับจริงที่ร้านกองทุนหมู่บ้านก็ได้ สบู่ยาสีฟันยันเรือรบที่ตลาดออนไลน์ได้อีก,ขายข้ามโลกทั่วโลกก็ได้อีก โดยมีรัฐบาลอำนวยงานสร้างให้ตรวจสอบจับกุมจริงในคนไม่ซื่อตรงซื่อสัตย์เพราะล็อกอินคือบัตรประชาชนตัวเป็นจริงนั้นล่ะ,ตลาดออนไลน์นี้ระดับประเทศไทยทั่วโลกรู้จักชัดเจน ขายสาระพัดได้หมด ค่าห้องพักโรงแรม ตั๋วสาระพัดตั๋ว ตั๋วบอลตั๋วเครื่องบินขายได้หมด ทุกๆภาคอุตสาหกรรม ขายซื้อขายได้หมด GtG ,GtB ,BtB,BtC,CtCผู้บริโภคเจอกับผู้บริโภคทางตรงค้าขายได้หมดบนแพลตฟอร์มของไทยเรา,ค้ำประกันโดยรัฐบาลไทยเราด้วย,นี้เราต้องสร้างหน่วยทัพทำตังจริงแบบนี้,ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี กลยุทธ นายกฯสั่งตรงทีมเฉพาะกิจพิเศษควบคุมอำนวยการได้หมด,บริหารจัดการได้หมด ลดภาวะประชาชนไม่ต้องปวดหัวอะไร ค้าขายเต็มที่สร้างรายได้สัมมาอาชีพอย่างสุจริตเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถใครมัน,และสามารถให้โอกาสคนทั่วโลกมาร่วมใช้บริการได้ฟรีๆค้าขายเสรีร่วมกันได้อีกเมื่อเราสามารถขนาดงานดาต้าควอนตัมพร้อมรับการไหลผ่านข้อมูลมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลกได้แล้ว,รายได้ของแพลตฟอร์มนายกฯใหม่ของคนไทยเราริเริ่มปฐมบทงานสร้าง ตังสะพัดกว่า50ล้านล้านเหรียญทั่วโลกจากปกติอาจอยู่ที่25-30ล้านล้านเหรียญทั่วโลกในทุกๆแพลตฟอร์มค้าขายออนไลน์รวมกันก็ว่า,คนไทยเราไม่ธรรมดา แพลตฟอร์มเรามันคือโลกเสมือนจริงที่เป็นบ้านใหญ่ของคนไทยและประเทศอื่นๆที่เข้ามาโลกออนไลน์อาจติดความรู้สึกว่าบ้านตนเองคือจีนคืออเมริกาคือคนอาหรับคือคนฝรั่งคือคนผิวสี คือใดๆ แต่เมื่อเข้ามาใช้บนแพลตฟอร์มคนไทย เสมือนว่าคุณทั้งหมดคือคนไทย อยู่ประเทศไทย บ้านนี้คือบ้านคุณ บ้านนี้คือเป็นของคุณด้วยคือคุณเป็นคนไทยเช่นกันนั้นเอง,การต้อนรับมาบ้านกลับบ้านบนโลกเสมือนจริงนี้คือบ้านเราร่วมกันกันทุกๆคน ไร้การแบ่งแยกเชิงสัญลักษณ์ใดๆอีกต่อไป,มันมิใช่นัยยะแค่ตลาดออนไลน์การค้าขายแต่คือจิตวิญญาณคุณค่าความเป็นชาวโลกเราได้มีพื้นที่พอยึดเหนี่ยวนั่งพักจิตพักใจพักกายนั้นเอง มีตัวตนจริงเป็นโลกเสมือนที่คนไทยเราสร้างขึ้นและจะเป็นอารยะธรรมดีงามบนโลกเสมือนจริงอีกแห่งด้วยเช่นกันแม้ไม่ใช่โลกแห่งความจริงก็ตาม รอยยิ้ม ความอิ่มอกอิ่มใจจะเหมือนว่าได้มาเยือนประเทศไทยอยู่ที่ประเทศไทยเราจริงนั้นเอง,เราไม่ได้ขายแค่วัตถุสิ่งของ แต่เราเสมอความสุขด้วยจิตวิญญาณไปด้วย,เบิกบานจิตใจยกจิตยกใจผ่านเน็ตเวิคส์นั้นเองทั่วโลก,เพราะอนาคตมาแน่นอนแว่นเรียลไทม์,และวาล์ปจริงไปโลกเสมือนนั้น ตลอดซื้อสินค้าเสร็จบนโลกเสมือน ออกมาสแกนรอรับสินค้าที่วาล์ปมาได้เลยนั้นล่ะที่จุดบริการรอรับสินค้า ขนส่งเดินรถอาจไม่มีอีกต่อไป,ท่องเที่ยวผ่านแว่นเรียล,ไปได้ทั่วจักรวาลบนโลกเสมือนจริงที่สร้างเสมือนจักรวาลที่ต้องการไปนั่นๆ,ซื้อสินค้าเสร็จจ่ายตัง กลับมาบ้าน รอรับสินค้าทันทีผ่านเครื่องพิมพ์สินค้าวาล์ปเรียลไทม์ก็ว่า,นี้จึงวิถีการบุกเบิกโคตรๆของผู้นำใหม่ประจำประเทศไทยเราจริงๆ,กากๆกระจอกอย่าเสนอตัวออกมาแดกชาติโกงกินบ้านเมืองอีกเลย,ยุคอนาคตตังติดตามเรียลไทม์การผ่านมือใครได้หมดล่ะควอนตัมบันทึกทุกกิจกรรมธุรกรรมการเงินย้อนหลังโคตรๆลบไม่ได้ด้วย,มีหนาวมีอักเสบมีดับอนาถแน่นอนในอนาคตเร็วๆนี้,กอบโกยโกงกินหมูๆหมาๆง่ายๆแบบๆเดิมๆตกยุคแน่นอน,โลกเรากำลังอัพเรเวลคัดกรองคนด้วย,จักรวาลจัดสรรนั่นล่ะ ธรรมะจักรวาลธรรมดาที่ไหน. ..นายกฯพระราชทานคือหนทางออกทางเดียวในจังหวะเวลานี้,ยุคใหม่ไม่ธรรมดานะ,และเรามีเวลาเหลือแค่ก่อนพ.ศ.5,000นะ นี้ก็2568แล้ว,มนุษยสมบัติเราสมควรจบที่โลกุตระสมบัติเป็นเบื้องต้น อรหันต์เป็นเบื้องกลาง นิพพานคือที่สุดก็ว่า,ผู้นำผู้ปกครองไทยเราอย่าขัดขวางอย่าเป็นมหามารมหาปีศาจมหาอสูรโคตรเลวโคตรชั่วอีกเลย อย่างน้อยคนไทยโดยมากเป็นผู้มากบุญบารมีพร้อมเลื่อนขั้นสาระพัดมากมายแน่แห่งจิตวิญญาณใครมัน,ท่านทั้งหลายอย่าแสวงหามหานรกโดยกระทำชั่วเลวแก่ผู้มากบุญบารมีประจำประเทศไทยคือประชาชนชาวไทยเลย,โสดาบันเต็มแผ่นดินนะนั้น กรรมใหญ่หลวงนักไปขัดขวางคนไทยตนเองในนามผีบ้าบ้าตำแหน่งอำนาจชื่อสมมุติว่าผู้นำผู้ปกครองประเทศไทยนี้,คนไทยทั้งหลายแค่มาเสวยเศษกรรมตนนิดหน่อยๆแค่นั้นล่ะ,ประเทศไทยนี้จึงมีสิทธิ์ศักดิ์เป็นอันมากเพราะมาปกป้องเจ้านายตนเองด้วยก็ว่าก็มีที่มาเสวยกรรม บ้างก็ลงมาเล่นเพลินๆสาระพัพมุกมาเกิดบนอาณาเขตราชอาณาจักรมหาพุทธภูมินี้. ..ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์โคตรๆ เงินทองมากมายเต็มแผ่นดิน,วิกฤติเศรษฐกิจนี้แก้ไม่ยาก แก้ได้มากมาย นี้ก็อีกบริบทหนึ่ง,หรือไปยึดทรัพยากรมีค่ามากมายคืนมาทั้งหมดก็ได้ เอาบ่อน้ำมันคืนมาทุกๆสัมปทานก่อน จากต่างชาติจากเอกชนใดๆทั้งหมด ยึดคืนก่อนก็ได้ มาทำเองเลย ต้นทุนทุกๆมิติของไทยเราจะลดลงทันที,ขายน้ำมันก็ขายนอกประเทศในราคาตลาดโลกก็ได้แต่ขายในไทยถูกๆลิตรละ1-2บาทแบบอิหร่านก็สบายมาก,เศรษฐกิจไทยจะฟื้นฟูทันที บวกอัดเศรษฐกิจพอเพียงสมถะเราไปด้วย,เพียงพอพอเพียงไม่ละโมภโลภมาก ความยัางยืนรอบด้านหลากหลายมิติจะเต็มประเทศไทยเราและขยายไปทั่วโลก,โลกจะมีต่างดาวดีๆมากมายมาเยือนโลกเราและปกป้องคุ้มครองภัยศัตรูช่วยเราได้สบายๆด้วยบนจักรวาลเรานี้. ..ให้มันจบที่รุ่นเรา. https://www.tiktok.com/@amp.sarun/video/7476739522403798279
    @amp.sarun

    ขายของออนไลน์ อย่าทำที่เดียวแพลทฟอร์มเดียว ทำทุกที่ ดีทุกทาง กการตลาดการเตลิดก#การตลาดวันละคลิปสสอนการตลาดออนไลน์สสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์สสร้างตัวตนบนtiktokคครูแอ๊มการตลาดการเตลิดttiktokสายความรู้คครูลูกแอ๊มสสร้างแบรนด์bbrandingแแบรนด์ดิ้งกการตลาดออนไลน์กกลยุทธ์การตลาดสสร้างแบรนด์กการตลาดคอนเทนต์ธธุรกิจออนไลน์ดดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งddigitalmarketingก#การตลาดTikTokT#TikTokMarketing

    ♬ เสียงต้นฉบับ - การตลาดการเตลิด - การตลาดการเตลิด
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • สินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เกตกรุงพนมเปญเริ่มขาดแคลน ขณะผู้บริโภคต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นหรือที่นำเข้าจากประเทศอื่น บางคนบอกเศร้าหาซื้อนมดัชมิลล์ไม่ได้แล้ว รสชาติอาหารเช้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะครูศรีลังกาที่มาสอนในกัมพูชาเผยยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้โดยไม่กิน “มาม่า” อย่างไร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064782

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    สินค้าไทยในซูเปอร์มาร์เกตกรุงพนมเปญเริ่มขาดแคลน ขณะผู้บริโภคต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับสินค้ายี่ห้อท้องถิ่นหรือที่นำเข้าจากประเทศอื่น บางคนบอกเศร้าหาซื้อนมดัชมิลล์ไม่ได้แล้ว รสชาติอาหารเช้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะครูศรีลังกาที่มาสอนในกัมพูชาเผยยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้โดยไม่กิน “มาม่า” อย่างไร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064782 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    1 Comments 0 Shares 466 Views 0 Reviews
  • อย่าเอา LNG ไปผูกดีลภาษีทรัมป์!
    ผศ.ประสาท มีแต้ม เตือน “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย”
    หัวโตแน่ ทั้งที่โซลาร์+แบตใช้ไฟได้เกือบทั้งปี

    ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนรัฐบาลว่า

    “ไม่ควรนำเรื่อง การนำเข้า LNG ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ หรือข้อตกลงทางการค้า”
    เพราะนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ ต้องเซ็นสัญญา Take-or-Pay — ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย ซึ่งจะกลายเป็นภาระค่าไฟระยะยาวมหาศาล

    ผศ.ประสาทชี้ว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่พลังงานหมุนเวียน และงานวิจัยล่าสุดพบว่า

    “ระบบโซลาร์บวกแบตเตอรี่ (Solar + Storage) ในประเทศที่มีแดดดี 12 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เกือบครบ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน”

    เช่นใน ฟิลิปปินส์ ระบบนี้สามารถจ่ายไฟได้ถึง 92% ของเวลาทั้งปี ส่วนที่เหลืออีกเพียง 8% จึงค่อยใช้ไฟจากแหล่งอื่น

    นอกจากนี้ ต้นทุนไฟฟ้าจากระบบโซลาร์บวกแบตฯ ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว
    • ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย
    • และจะ ลดลงเฉลี่ยปีละ 22%

    “ลองคิดดูดีๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องพึ่ง LNG อีกต่อไป
    แต่ถ้ารัฐยังฝืนพาไทยไปผูกกับดีล LNG ระยะยาว สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายแพงไปอีกหลายสิบปี”

    https://www.facebook.com/share/p/1Aor22TQZp/?mibextid=wwXIfr
    อย่าเอา LNG ไปผูกดีลภาษีทรัมป์! ผศ.ประสาท มีแต้ม เตือน “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” หัวโตแน่ ทั้งที่โซลาร์+แบตใช้ไฟได้เกือบทั้งปี ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนรัฐบาลว่า “ไม่ควรนำเรื่อง การนำเข้า LNG ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ หรือข้อตกลงทางการค้า” เพราะนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ ต้องเซ็นสัญญา Take-or-Pay — ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย ซึ่งจะกลายเป็นภาระค่าไฟระยะยาวมหาศาล ผศ.ประสาทชี้ว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่พลังงานหมุนเวียน และงานวิจัยล่าสุดพบว่า “ระบบโซลาร์บวกแบตเตอรี่ (Solar + Storage) ในประเทศที่มีแดดดี 12 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เกือบครบ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน” เช่นใน ฟิลิปปินส์ ระบบนี้สามารถจ่ายไฟได้ถึง 92% ของเวลาทั้งปี ส่วนที่เหลืออีกเพียง 8% จึงค่อยใช้ไฟจากแหล่งอื่น นอกจากนี้ ต้นทุนไฟฟ้าจากระบบโซลาร์บวกแบตฯ ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว • ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย • และจะ ลดลงเฉลี่ยปีละ 22% “ลองคิดดูดีๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องพึ่ง LNG อีกต่อไป แต่ถ้ารัฐยังฝืนพาไทยไปผูกกับดีล LNG ระยะยาว สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายแพงไปอีกหลายสิบปี” https://www.facebook.com/share/p/1Aor22TQZp/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) สั่งการทูตพาณิชย์ในจีน 7 แห่ง ตรวจสอบกรณีพบข้าวหอมกัมพูชาดอดใช้ธงชาติไทยและตรารับรองข้าวหอมมะลิไทยขายในจีน เผยเจอบางยี่ห้อใช้ภาษาไทยกำกับว่าเป็นข้าวหอมมะลิไทยจริง ขอให้เร่งหารือผู้นำเข้าและแพลตฟอร์มออนไลน์ระงับการวางจำหน่าย ประชาสัมพันธ์ตรารับรองให้คนจีนรู้จัก ประสานหน่วยงาน SAMR เข้าไปดูแล และดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด

    น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยถึงกรณีที่คนไทยในจีนได้แจ้งพบมีการนำข้าวที่ผลิตในกัมพูชาส่งออกมาที่จีน แต่บนบรรจุภัณฑ์มีการใช้ธงชาติไทยและตราสัญลักษณ์ที่คล้ายกับตรารับรองข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งเป็นรูปรวงข้าวบนพื้นหลังสีเขียว ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อรับรองคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตในจีน ว่า ได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ ประเทศจีน เร่งตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาผู้บริโภคชาวจีนเกิดความสับสน หรือเข้าใจผิดว่าเป็นข้าวที่นำเข้าจากประเทศไทย หรือเป็นข้าวหอมมะลิไทยจริง เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจส่งผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ที่มีต่อข้าวหอมมะลิไทยในตลาดจีน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000060599

    #Thaitimes #MGROnline #กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ #ทูตพาณิชย์ #จีน #ข้าวหอมกัมพูชา #ธงชาติไทย #ตรารับรอง #ข้าวหอมมะลิไทย
    กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) สั่งการทูตพาณิชย์ในจีน 7 แห่ง ตรวจสอบกรณีพบข้าวหอมกัมพูชาดอดใช้ธงชาติไทยและตรารับรองข้าวหอมมะลิไทยขายในจีน เผยเจอบางยี่ห้อใช้ภาษาไทยกำกับว่าเป็นข้าวหอมมะลิไทยจริง ขอให้เร่งหารือผู้นำเข้าและแพลตฟอร์มออนไลน์ระงับการวางจำหน่าย ประชาสัมพันธ์ตรารับรองให้คนจีนรู้จัก ประสานหน่วยงาน SAMR เข้าไปดูแล และดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด • น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยถึงกรณีที่คนไทยในจีนได้แจ้งพบมีการนำข้าวที่ผลิตในกัมพูชาส่งออกมาที่จีน แต่บนบรรจุภัณฑ์มีการใช้ธงชาติไทยและตราสัญลักษณ์ที่คล้ายกับตรารับรองข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งเป็นรูปรวงข้าวบนพื้นหลังสีเขียว ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อรับรองคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตในจีน ว่า ได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ ประเทศจีน เร่งตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาผู้บริโภคชาวจีนเกิดความสับสน หรือเข้าใจผิดว่าเป็นข้าวที่นำเข้าจากประเทศไทย หรือเป็นข้าวหอมมะลิไทยจริง เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจส่งผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ที่มีต่อข้าวหอมมะลิไทยในตลาดจีน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000060599 • #Thaitimes #MGROnline #กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ #ทูตพาณิชย์ #จีน #ข้าวหอมกัมพูชา #ธงชาติไทย #ตรารับรอง #ข้าวหอมมะลิไทย
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • สมมุติว่าเราซื้อโทรศัพท์มาใช้ แต่กลับไม่สามารถโหลดแอปจากที่ไหนก็ได้ ต้องผ่าน App Store หรือ Google Play เท่านั้น มิหนำซ้ำยังต้องจ่ายผ่านระบบในแอปของเจ้าของระบบเอง (In-App Payment) ซึ่งโดนหักค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก... แบบนี้มันยุติธรรมจริงหรือ?

    วุฒิสมาชิก Marsha Blackburn, Richard Blumenthal, Mike Lee, Amy Klobuchar และ **** Durbin มองว่าไม่ยุติธรรมเลย — พวกเขาจึงรื้อฟื้นร่าง “Open App Markets Act” ซึ่งเคยล้มไปในปี 2021 เพราะถูกล็อบบี้โดย Big Tech ทั้ง Apple, Google, Amazon และ Meta

    เป้าหมายของกฎหมายนี้คือ:
    - บังคับให้ Apple และ Google เปิดให้ “ติดตั้งแอปจากที่อื่น” (sideload)
    - อนุญาตให้ใช้ระบบจ่ายเงินอื่นที่ไม่ใช่ของเจ้าของแพลตฟอร์ม
    - ส่งเสริมการแข่งขัน ลดค่าธรรมเนียม และคืนอำนาจให้ผู้บริโภคและนักพัฒนา

    ผู้สนับสนุนกฎหมายยังรวมถึง Spotify, Epic Games และกลุ่มผู้บริโภค เช่น American Economic Liberties Project และ Y Combinator

    แต่ศึกนี้ไม่ง่าย เพราะแค่ครั้งก่อน บริษัทยักษ์ก็ทุ่มล็อบบี้กว่า $100 ล้าน เพื่อเบรกไม่ให้ร่างกฎหมายเข้าสภาเลยด้วยซ้ำ

    https://www.techspot.com/news/108466-us-senators-introduce-bipartisan-bill-enable-third-party.html
    สมมุติว่าเราซื้อโทรศัพท์มาใช้ แต่กลับไม่สามารถโหลดแอปจากที่ไหนก็ได้ ต้องผ่าน App Store หรือ Google Play เท่านั้น มิหนำซ้ำยังต้องจ่ายผ่านระบบในแอปของเจ้าของระบบเอง (In-App Payment) ซึ่งโดนหักค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก... แบบนี้มันยุติธรรมจริงหรือ? วุฒิสมาชิก Marsha Blackburn, Richard Blumenthal, Mike Lee, Amy Klobuchar และ Dick Durbin มองว่าไม่ยุติธรรมเลย — พวกเขาจึงรื้อฟื้นร่าง “Open App Markets Act” ซึ่งเคยล้มไปในปี 2021 เพราะถูกล็อบบี้โดย Big Tech ทั้ง Apple, Google, Amazon และ Meta เป้าหมายของกฎหมายนี้คือ: - บังคับให้ Apple และ Google เปิดให้ “ติดตั้งแอปจากที่อื่น” (sideload) - อนุญาตให้ใช้ระบบจ่ายเงินอื่นที่ไม่ใช่ของเจ้าของแพลตฟอร์ม - ส่งเสริมการแข่งขัน ลดค่าธรรมเนียม และคืนอำนาจให้ผู้บริโภคและนักพัฒนา ผู้สนับสนุนกฎหมายยังรวมถึง Spotify, Epic Games และกลุ่มผู้บริโภค เช่น American Economic Liberties Project และ Y Combinator แต่ศึกนี้ไม่ง่าย เพราะแค่ครั้งก่อน บริษัทยักษ์ก็ทุ่มล็อบบี้กว่า $100 ล้าน เพื่อเบรกไม่ให้ร่างกฎหมายเข้าสภาเลยด้วยซ้ำ https://www.techspot.com/news/108466-us-senators-introduce-bipartisan-bill-enable-third-party.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US Senators introduce bipartisan bill to enable third-party app stores on iPhones
    The "Open App Markets Act," introduced by Senators Marsha Blackburn, Richard Blumenthal, Mike Lee, Amy Klobuchar, and Dick Durbin, aims to promote competition and strengthen consumer protections...
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณเพิ่งประกอบพีซีใหม่แล้วใส่ SSD PCIe 4.0 หรือ 5.0 ไป ก็ยังนอนหลับได้สบายอยู่ เพราะ PCIe 6.0 กำลังจะมา...แต่ยัง “ไม่ใช่ของคุณในเร็ว ๆ นี้แน่นอน”

    แม้ AMD จะประกาศว่าพร้อมเปิดใช้งาน PCIe 6.0 ตั้งแต่ปี 2026 — และชิปเซ็ตใหม่หลายรุ่นในองค์กรเตรียมรับมือไว้แล้ว — แต่ฝั่งผู้บริโภคกลับ “ไม่มีแรงผลักดัน” ให้รีบอัปเกรด เพราะ:
    - ราคายังแพงเกินไป (เมนบอร์ด, รีไทเมอร์, วัสดุพิเศษ ฯลฯ)
    - การใช้งานปัจจุบันยังใช้ PCIe 4.0 ได้แบบเหลือเฟือ
    - PCIe 6.0 ทำงานยากขึ้น เพราะยิ่งเร็ว = เส้นทางสัญญาณยิ่งสั้นลงเหลือไม่ถึง 9 ซม.

    นั่นหมายความว่า PCIe 6.0 จะยัง “จำกัดเฉพาะ” ตลาดองค์กรและ AI เท่านั้นในช่วงหลายปีข้างหน้า ส่วนพีซีทั่วไปจะได้เห็นจริง “อาจหลังปี 2030” เลยก็ได้

    AMD เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มรองรับ PCIe 6.0 ในปี 2026  
    • แต่เฉพาะกลุ่มองค์กร, เซิร์ฟเวอร์ และ AI infrastructure  
    • SSD PCIe 6.0 สำหรับผู้บริโภคอาจต้องรอถึงปี 2030

    PCIe 6.0 ให้แบนด์วิธสูงถึง 32 GB/s ที่ x4 (เทียบกับ PCIe 4.0 ที่ 8 GB/s)  
    • ดีสำหรับงาน AI และการส่งข้อมูลปริมาณสูงแบบเรียลไทม์

    PC OEM ส่วนใหญ่ไม่อยากคุยเรื่อง PCIe 6.0 ด้วยซ้ำ  
    • Intel และ AMD ยังคงเลี่ยงให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการนำมาใช้ในโน้ตบุ๊ก/เดสก์ท็อป

    PCIe 4.0 และ 5.0 ยังเพียงพอสำหรับงานทั่วไป เช่น เกม, ทำงาน, ตัดต่อวิดีโอ  
    • bottleneck ปัจจุบันในระบบผู้ใช้ทั่วไปไม่ได้มาจากแบนด์วิธ

    รีไทเมอร์ที่จำเป็นในระบบ PCIe 6.0 แพงเกินกว่าจะใส่ในเครื่องผู้ใช้ทั่วไปได้  
    • ใช้เฉพาะในเซิร์ฟเวอร์ที่มีงบประมาณสูง

    สายสัญญาณ copper ที่ใช้กับ PCIe 6.0 วิ่งได้แค่ราว 3.4 นิ้วก่อนจะ signal loss  
    • ต้องใช้เมนบอร์ดที่มีเลเยอร์หนาและวัสดุคุณภาพสูงขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/amd-will-launch-pcie-6-0-devices-next-year-but-consumers-will-have-to-wait-almost-half-a-decade-to-get-it-heres-why
    ถ้าคุณเพิ่งประกอบพีซีใหม่แล้วใส่ SSD PCIe 4.0 หรือ 5.0 ไป ก็ยังนอนหลับได้สบายอยู่ เพราะ PCIe 6.0 กำลังจะมา...แต่ยัง “ไม่ใช่ของคุณในเร็ว ๆ นี้แน่นอน” แม้ AMD จะประกาศว่าพร้อมเปิดใช้งาน PCIe 6.0 ตั้งแต่ปี 2026 — และชิปเซ็ตใหม่หลายรุ่นในองค์กรเตรียมรับมือไว้แล้ว — แต่ฝั่งผู้บริโภคกลับ “ไม่มีแรงผลักดัน” ให้รีบอัปเกรด เพราะ: - ราคายังแพงเกินไป (เมนบอร์ด, รีไทเมอร์, วัสดุพิเศษ ฯลฯ) - การใช้งานปัจจุบันยังใช้ PCIe 4.0 ได้แบบเหลือเฟือ - PCIe 6.0 ทำงานยากขึ้น เพราะยิ่งเร็ว = เส้นทางสัญญาณยิ่งสั้นลงเหลือไม่ถึง 9 ซม. นั่นหมายความว่า PCIe 6.0 จะยัง “จำกัดเฉพาะ” ตลาดองค์กรและ AI เท่านั้นในช่วงหลายปีข้างหน้า ส่วนพีซีทั่วไปจะได้เห็นจริง “อาจหลังปี 2030” เลยก็ได้ ✅ AMD เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มรองรับ PCIe 6.0 ในปี 2026   • แต่เฉพาะกลุ่มองค์กร, เซิร์ฟเวอร์ และ AI infrastructure   • SSD PCIe 6.0 สำหรับผู้บริโภคอาจต้องรอถึงปี 2030 ✅ PCIe 6.0 ให้แบนด์วิธสูงถึง 32 GB/s ที่ x4 (เทียบกับ PCIe 4.0 ที่ 8 GB/s)   • ดีสำหรับงาน AI และการส่งข้อมูลปริมาณสูงแบบเรียลไทม์ ✅ PC OEM ส่วนใหญ่ไม่อยากคุยเรื่อง PCIe 6.0 ด้วยซ้ำ   • Intel และ AMD ยังคงเลี่ยงให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการนำมาใช้ในโน้ตบุ๊ก/เดสก์ท็อป ✅ PCIe 4.0 และ 5.0 ยังเพียงพอสำหรับงานทั่วไป เช่น เกม, ทำงาน, ตัดต่อวิดีโอ   • bottleneck ปัจจุบันในระบบผู้ใช้ทั่วไปไม่ได้มาจากแบนด์วิธ ✅ รีไทเมอร์ที่จำเป็นในระบบ PCIe 6.0 แพงเกินกว่าจะใส่ในเครื่องผู้ใช้ทั่วไปได้   • ใช้เฉพาะในเซิร์ฟเวอร์ที่มีงบประมาณสูง ✅ สายสัญญาณ copper ที่ใช้กับ PCIe 6.0 วิ่งได้แค่ราว 3.4 นิ้วก่อนจะ signal loss   • ต้องใช้เมนบอร์ดที่มีเลเยอร์หนาและวัสดุคุณภาพสูงขึ้น https://www.techradar.com/pro/amd-will-launch-pcie-6-0-devices-next-year-but-consumers-will-have-to-wait-almost-half-a-decade-to-get-it-heres-why
    WWW.TECHRADAR.COM
    No rush to adopt PCIe 6.0 in consumer PCs, say industry leaders
    Next-gen tech is reportedly too expensive and complex for home PCs
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • ปกติเวลาพูดถึงเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึง “พลังงาน” ที่มันใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ, สัญญาณ 5G หรือแม้แต่เน็ตบนรถไฟฟ้า แต่งานวิจัยล่าสุดจาก GSMA บอกว่า แม้ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9% และมีการใช้ดาต้ามากกว่า 4 เท่า — แต่มือถือกลับปล่อยคาร์บอนน้อยลง

    สิ่งที่ช่วยให้เป็นแบบนั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น:
    - การยกเลิกเครือข่ายเก่า (เช่น 2G/3G) ที่กินไฟมาก
    - เปลี่ยนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล มาใช้พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์/แบตเตอรี่)
    - ใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น

    โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นตลาดมือถือใหญ่ที่สุดในโลก (มีผู้ใช้ 5G กว่า 1 พันล้านราย) กลับลดคาร์บอนลง 4% ในปี 2024 ได้สำเร็จ

    แต่ทาง GSMA ก็ยังบอกว่า ยังเร็วเกินจะดีใจ เพราะเป้าหมาย Net Zero ต้องลดลงเฉลี่ย 7.5% ต่อปี — ตอนนี้ทำได้แค่ 4.5% เท่านั้นในปีล่าสุด

    เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกด้านคือ “รอยเท้าคาร์บอนที่แฝงอยู่” (Scope 3) เช่น:
    - การผลิตมือถือและสายส่ง
    - การจัดส่งและรีไซเคิล
    - ระบบซัพพลายเชนทั้งหมด

    จุดนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังเท่า Scope 1–2

    ข่าวดีคือ ผู้บริโภคเริ่มสนใจความยั่งยืนแล้วจริง ๆ:
    - 90% อยากให้มือถือซ่อมง่ายและใช้นาน
    - 50% พร้อมซื้อเครื่อง Refurbished ซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ามือถือใหม่ถึง 80–90%
    - ตลาดมือถือมือสองตอนนี้โตไวมาก คาดว่าจะมูลค่าถึง $150B ภายในปี 2027 เลยทีเดียว

    https://www.techradar.com/pro/mobile-industry-slashes-global-carbon-emissions-despite-4x-increase-in-worldwide-data-traffic-heres-why-it-matters
    ปกติเวลาพูดถึงเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึง “พลังงาน” ที่มันใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ, สัญญาณ 5G หรือแม้แต่เน็ตบนรถไฟฟ้า แต่งานวิจัยล่าสุดจาก GSMA บอกว่า แม้ผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 9% และมีการใช้ดาต้ามากกว่า 4 เท่า — แต่มือถือกลับปล่อยคาร์บอนน้อยลง สิ่งที่ช่วยให้เป็นแบบนั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น: - การยกเลิกเครือข่ายเก่า (เช่น 2G/3G) ที่กินไฟมาก - เปลี่ยนจากเครื่องปั่นไฟดีเซล มาใช้พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์/แบตเตอรี่) - ใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะ “จีน” ที่เป็นตลาดมือถือใหญ่ที่สุดในโลก (มีผู้ใช้ 5G กว่า 1 พันล้านราย) กลับลดคาร์บอนลง 4% ในปี 2024 ได้สำเร็จ แต่ทาง GSMA ก็ยังบอกว่า ยังเร็วเกินจะดีใจ เพราะเป้าหมาย Net Zero ต้องลดลงเฉลี่ย 7.5% ต่อปี — ตอนนี้ทำได้แค่ 4.5% เท่านั้นในปีล่าสุด เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกด้านคือ “รอยเท้าคาร์บอนที่แฝงอยู่” (Scope 3) เช่น: - การผลิตมือถือและสายส่ง - การจัดส่งและรีไซเคิล - ระบบซัพพลายเชนทั้งหมด จุดนี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งยังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจังเท่า Scope 1–2 ข่าวดีคือ ผู้บริโภคเริ่มสนใจความยั่งยืนแล้วจริง ๆ: - 90% อยากให้มือถือซ่อมง่ายและใช้นาน - 50% พร้อมซื้อเครื่อง Refurbished ซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ามือถือใหม่ถึง 80–90% - ตลาดมือถือมือสองตอนนี้โตไวมาก คาดว่าจะมูลค่าถึง $150B ภายในปี 2027 เลยทีเดียว https://www.techradar.com/pro/mobile-industry-slashes-global-carbon-emissions-despite-4x-increase-in-worldwide-data-traffic-heres-why-it-matters
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน

    1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้

    ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

    2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น

    ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว

    3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้

    การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น

    4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว

    ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น

    เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก

    อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล

    ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card

    สรุป

    การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️ ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน 1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ 2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว 3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้ การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น 4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน 5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก 🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️ การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 339 Views 0 Reviews
  • หลายประเทศในลาตินอเมริกาไม่อยากเป็นแค่ "ผู้บริโภค AI" อีกต่อไป พวกเขารวมตัวกันกว่า 12 ประเทศ โดยมีชิลีเป็นแกนกลาง ผ่านศูนย์ CENIA (National Center for AI) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ภาษาใหญ่ของตัวเองชื่อ Latam-GPT

    จุดเด่นคือโมเดลนี้จะเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาเฉพาะถิ่นของลาตินอเมริกาได้ดีกว่าโมเดลที่ถูกฝึกด้วยภาษาอังกฤษแบบตะวันตก เช่น ChatGPT หรือ Gemini แถมยัง “โอเพนซอร์ส” เปิดให้ใคร ๆ ในภูมิภาคนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือ การรักษาภาษา Indigenous อย่าง Rapa Nui ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของ Easter Island พวกเขาสร้างระบบแปลไว้แล้วเพื่อให้ใช้ในบริการสาธารณะ เช่น แชตบอทหน่วยงานรัฐหรือแพลตฟอร์มการศึกษาสำหรับชุมชน

    Latam-GPT จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก Llama 3 ของ Meta และพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรประมวลผลจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงคลาวด์จาก Amazon ด้วย

    12 ประเทศในลาตินอเมริการ่วมพัฒนาโมเดล Latam-GPT เปิดตัว ก.ย. 2025  
    • นำโดยชิลี และศูนย์วิจัย CENIA พร้อมสถาบันในภูมิภาคกว่า 30 แห่ง  
    • พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น

    เป้าหมายคือการกระจาย AI ให้เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม (AI democratization)  
    • วางแผนใช้ในโรงเรียน โรงพยาบาล และระบบบริการภาครัฐ

    เน้นการอนุรักษ์ภาษา Indigenous เช่น Rapa Nui  
    • สร้างระบบแปลภาษาเพื่อการใช้งานเชิงบริการและการศึกษา

    พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Llama 3 จาก Meta  
    • ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับภูมิภาค รวมถึงคลาวด์ของ AWS

    ยังไม่มีงบประมาณเฉพาะ แต่หวังดึงเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมภายหลัง  
    • CENIA ระบุว่าหากโชว์ศักยภาพได้ จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นแน่นอน

    การที่ Latam-GPT เปิดโอเพนซอร์ส อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด  
    • โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การควบคุมการใช้เทคโนโลยียังไม่เข้มงวด

    การใช้ LLM กับภาษาเฉพาะถิ่นต้องใช้ข้อมูลเทรนมากพอ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิด bias  
    • หากรวบรวมข้อมูลน้อยหรือไม่หลากหลาย AI อาจเข้าใจผิดหรือตอบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม

    การพัฒนา AI ข้ามประเทศหลายฝ่าย อาจขัดแย้งกันด้านสิทธิ์และการควบคุมในอนาคต  
    • ต้องมีข้อตกลงชัดเจนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และการแบ่งปันผลประโยชน์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/latin-american-countries-to-launch-own-ai-model-in-september
    หลายประเทศในลาตินอเมริกาไม่อยากเป็นแค่ "ผู้บริโภค AI" อีกต่อไป พวกเขารวมตัวกันกว่า 12 ประเทศ โดยมีชิลีเป็นแกนกลาง ผ่านศูนย์ CENIA (National Center for AI) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ภาษาใหญ่ของตัวเองชื่อ Latam-GPT จุดเด่นคือโมเดลนี้จะเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาเฉพาะถิ่นของลาตินอเมริกาได้ดีกว่าโมเดลที่ถูกฝึกด้วยภาษาอังกฤษแบบตะวันตก เช่น ChatGPT หรือ Gemini แถมยัง “โอเพนซอร์ส” เปิดให้ใคร ๆ ในภูมิภาคนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้ อีกหนึ่งไฮไลต์คือ การรักษาภาษา Indigenous อย่าง Rapa Nui ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของ Easter Island พวกเขาสร้างระบบแปลไว้แล้วเพื่อให้ใช้ในบริการสาธารณะ เช่น แชตบอทหน่วยงานรัฐหรือแพลตฟอร์มการศึกษาสำหรับชุมชน Latam-GPT จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก Llama 3 ของ Meta และพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรประมวลผลจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงคลาวด์จาก Amazon ด้วย ✅ 12 ประเทศในลาตินอเมริการ่วมพัฒนาโมเดล Latam-GPT เปิดตัว ก.ย. 2025   • นำโดยชิลี และศูนย์วิจัย CENIA พร้อมสถาบันในภูมิภาคกว่า 30 แห่ง   • พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ✅ เป้าหมายคือการกระจาย AI ให้เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม (AI democratization)   • วางแผนใช้ในโรงเรียน โรงพยาบาล และระบบบริการภาครัฐ ✅ เน้นการอนุรักษ์ภาษา Indigenous เช่น Rapa Nui   • สร้างระบบแปลภาษาเพื่อการใช้งานเชิงบริการและการศึกษา ✅ พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Llama 3 จาก Meta   • ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับภูมิภาค รวมถึงคลาวด์ของ AWS ✅ ยังไม่มีงบประมาณเฉพาะ แต่หวังดึงเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมภายหลัง   • CENIA ระบุว่าหากโชว์ศักยภาพได้ จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นแน่นอน ‼️ การที่ Latam-GPT เปิดโอเพนซอร์ส อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด   • โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การควบคุมการใช้เทคโนโลยียังไม่เข้มงวด ‼️ การใช้ LLM กับภาษาเฉพาะถิ่นต้องใช้ข้อมูลเทรนมากพอ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิด bias   • หากรวบรวมข้อมูลน้อยหรือไม่หลากหลาย AI อาจเข้าใจผิดหรือตอบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ‼️ การพัฒนา AI ข้ามประเทศหลายฝ่าย อาจขัดแย้งกันด้านสิทธิ์และการควบคุมในอนาคต   • ต้องมีข้อตกลงชัดเจนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และการแบ่งปันผลประโยชน์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/latin-american-countries-to-launch-own-ai-model-in-september
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Latin American countries to launch own AI model in September
    SANTIAGO (Reuters) -A dozen Latin American countries are collaborating to launch Latam-GPT in September, the first large artificial intelligence language model trained to understand the region's diverse cultures and linguistic nuances, Chilean officials said on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • ตอนนี้ Microsoft ตั้งใจจะผลักดัน “Copilot” ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะประจำทั้งคนทั่วไปและในองค์กร พอไปดูหน้าเว็บโฆษณาต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า Copilot ช่วยสรุปเนื้อหา สร้างเอกสาร และวางโครงสไลด์ได้ทันใจ

    แต่แล้ว หน่วยงาน NAD (National Advertising Division) ในสหรัฐฯ ก็ออกมา “ตักเตือน” Microsoft ว่าการโฆษณานั้นอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางจุด โดยเฉพาะการใช้คำว่า “Copilot” ทั้งในเวอร์ชันผู้ช่วยในแอปต่าง ๆ กับ Business Chat ซึ่งจริง ๆ แล้วประสบการณ์ใช้งานต่างกันพอสมควร

    Business Chat ต้องการการตั้งค่าและขั้นตอนเพิ่มเติมกว่าจะเริ่มทำงานได้ ไม่ได้คลิกแล้วพิมพ์คุยได้เลยแบบ Copilot ใน Word หรือ PowerPoint แต่ในหน้าโฆษณากลับไม่ได้อธิบายความต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน

    NAD ยังชี้ว่า Microsoft ไม่ควรระบุว่า Copilot “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ ROI” โดยไม่มีหลักฐานที่ “น่าเชื่อถือพอ” ถึงแม้จะมีการอ้างอิงผลการทดลองในสหราชอาณาจักรที่ว่าผู้ใช้ประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 26 นาทีต่อวันก็ตาม

    สุดท้าย Microsoft ตอบกลับอย่างมืออาชีพว่า ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางข้อ แต่ก็ได้ปรับข้อความโฆษณาบางจุดให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ NAD แล้ว

    Microsoft ถูก NAD วิจารณ์เรื่องโฆษณา Copilot ที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน  
    • โฆษณา Copilot ไม่แยกแยะชัดเจนระหว่าง Copilot ทั่วไปกับ Business Chat  
    • Business Chat ต้องใช้ขั้นตอนมากกว่า แต่โฆษณากลับไม่อธิบายจุดนี้

    NAD ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างผลลัพธ์โดยไม่มีหลักฐานที่เหมาะสม  
    • Microsoft อ้างว่า Copilot ช่วยเพิ่ม productivity และ ROI แต่ NAD ระบุว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ  
    • แม้จะมีการทดลองใน UK ที่ระบุว่าผู้ใช้ประหยัดเวลา 26 นาทีต่อวัน

    Microsoft ตอบรับคำแนะนำและปรับข้อความโฆษณาแล้วบางส่วน  
    • แสดงความร่วมมือแม้ไม่เห็นด้วยทุกประเด็น

    การใช้คำว่า “Copilot” โดยไม่มีการแยกประเภท อาจทำให้ผู้ใช้สับสน  
    • ผู้ใช้ทั่วไปอาจคาดหวังให้ Business Chat ทำงานได้เร็วแบบเดียวกับ Copilot ในแอปต่าง ๆ  
    • ความคาดหวังผิดอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในการใช้งานจริง

    ข้อความโฆษณาที่กล่าวอ้างประสิทธิภาพ อาจเกินจริงถ้าไม่มีข้อมูลยืนยันที่โปร่งใส  
    • การใช้คำว่า “เพิ่ม ROI” ต้องมีการอ้างอิงวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทการใช้งานจริง  
    • การขาด transparency อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า

    ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า Copilot แต่ละเวอร์ชันมีระดับความสามารถต่างกัน  
    • ควรศึกษาฟีเจอร์เฉพาะของ Copilot ในแอปต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือซื้อบริการเพิ่มเติม

    https://www.neowin.net/news/watchdog-finds-microsoft-guilty-of-confusing-advertising-when-it-comes-to-copilot/
    ตอนนี้ Microsoft ตั้งใจจะผลักดัน “Copilot” ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะประจำทั้งคนทั่วไปและในองค์กร พอไปดูหน้าเว็บโฆษณาต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า Copilot ช่วยสรุปเนื้อหา สร้างเอกสาร และวางโครงสไลด์ได้ทันใจ แต่แล้ว หน่วยงาน NAD (National Advertising Division) ในสหรัฐฯ ก็ออกมา “ตักเตือน” Microsoft ว่าการโฆษณานั้นอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางจุด โดยเฉพาะการใช้คำว่า “Copilot” ทั้งในเวอร์ชันผู้ช่วยในแอปต่าง ๆ กับ Business Chat ซึ่งจริง ๆ แล้วประสบการณ์ใช้งานต่างกันพอสมควร Business Chat ต้องการการตั้งค่าและขั้นตอนเพิ่มเติมกว่าจะเริ่มทำงานได้ ไม่ได้คลิกแล้วพิมพ์คุยได้เลยแบบ Copilot ใน Word หรือ PowerPoint แต่ในหน้าโฆษณากลับไม่ได้อธิบายความต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน NAD ยังชี้ว่า Microsoft ไม่ควรระบุว่า Copilot “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ ROI” โดยไม่มีหลักฐานที่ “น่าเชื่อถือพอ” ถึงแม้จะมีการอ้างอิงผลการทดลองในสหราชอาณาจักรที่ว่าผู้ใช้ประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 26 นาทีต่อวันก็ตาม สุดท้าย Microsoft ตอบกลับอย่างมืออาชีพว่า ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางข้อ แต่ก็ได้ปรับข้อความโฆษณาบางจุดให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ NAD แล้ว ✅ Microsoft ถูก NAD วิจารณ์เรื่องโฆษณา Copilot ที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน   • โฆษณา Copilot ไม่แยกแยะชัดเจนระหว่าง Copilot ทั่วไปกับ Business Chat   • Business Chat ต้องใช้ขั้นตอนมากกว่า แต่โฆษณากลับไม่อธิบายจุดนี้ ✅ NAD ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างผลลัพธ์โดยไม่มีหลักฐานที่เหมาะสม   • Microsoft อ้างว่า Copilot ช่วยเพิ่ม productivity และ ROI แต่ NAD ระบุว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ   • แม้จะมีการทดลองใน UK ที่ระบุว่าผู้ใช้ประหยัดเวลา 26 นาทีต่อวัน ✅ Microsoft ตอบรับคำแนะนำและปรับข้อความโฆษณาแล้วบางส่วน   • แสดงความร่วมมือแม้ไม่เห็นด้วยทุกประเด็น ‼️ การใช้คำว่า “Copilot” โดยไม่มีการแยกประเภท อาจทำให้ผู้ใช้สับสน   • ผู้ใช้ทั่วไปอาจคาดหวังให้ Business Chat ทำงานได้เร็วแบบเดียวกับ Copilot ในแอปต่าง ๆ   • ความคาดหวังผิดอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในการใช้งานจริง ‼️ ข้อความโฆษณาที่กล่าวอ้างประสิทธิภาพ อาจเกินจริงถ้าไม่มีข้อมูลยืนยันที่โปร่งใส   • การใช้คำว่า “เพิ่ม ROI” ต้องมีการอ้างอิงวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทการใช้งานจริง   • การขาด transparency อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า ‼️ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า Copilot แต่ละเวอร์ชันมีระดับความสามารถต่างกัน   • ควรศึกษาฟีเจอร์เฉพาะของ Copilot ในแอปต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือซื้อบริการเพิ่มเติม https://www.neowin.net/news/watchdog-finds-microsoft-guilty-of-confusing-advertising-when-it-comes-to-copilot/
    WWW.NEOWIN.NET
    Watchdog finds Microsoft guilty of confusing advertising when it comes to Copilot
    A U.S. watchdog has criticized Microsoft for making statements about Copilot that are not a "good fit" for making objective claims regarding increased productivity.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • อิตาลีสอบสวน DeepSeek เรื่องความเสี่ยงของข้อมูลเท็จ
    หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคของอิตาลี (AGCM) ได้เปิดการสอบสวน DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน เนื่องจากไม่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดย AI.

    รายละเอียดการสอบสวน
    AGCM ระบุว่า DeepSeek ไม่ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ "Hallucinations" ของ AI ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีแหล่งที่มา.
    DeepSeek ไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสื่อ หลังจากมีการสอบสวน.
    ก่อนหน้านี้ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลีเคยสั่งให้ DeepSeek ปิดการเข้าถึงแชทบอท เนื่องจากข้อกังวลด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้.
    DeepSeek อาจเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายและข้อจำกัดเพิ่มเติม หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้.
    การใช้ AI ในการให้ข้อมูลต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด.

    แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้
    ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยเปรียบเทียบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้.
    ใช้ AI อย่างระมัดระวัง โดยไม่พึ่งพาข้อมูลจาก AI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจที่สำคัญ.
    ติดตามการพัฒนาและมาตรการกำกับดูแล AI เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและความถูกต้อง.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI
    หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม AI เช่น สหภาพยุโรปที่มี AI Act เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย.
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น OpenAI และ Google กำลังพัฒนาแนวทางป้องกันข้อมูลเท็จใน AI.
    AI ที่ไม่มีมาตรการตรวจสอบอาจถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/17/italy-regulator-probes-deepseek-over-false-information-risks
    อิตาลีสอบสวน DeepSeek เรื่องความเสี่ยงของข้อมูลเท็จ หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคของอิตาลี (AGCM) ได้เปิดการสอบสวน DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน เนื่องจากไม่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดย AI. รายละเอียดการสอบสวน ✅ AGCM ระบุว่า DeepSeek ไม่ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ "Hallucinations" ของ AI ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีแหล่งที่มา. ✅ DeepSeek ไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสื่อ หลังจากมีการสอบสวน. ✅ ก่อนหน้านี้ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลีเคยสั่งให้ DeepSeek ปิดการเข้าถึงแชทบอท เนื่องจากข้อกังวลด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้. ‼️ DeepSeek อาจเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายและข้อจำกัดเพิ่มเติม หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้. ‼️ การใช้ AI ในการให้ข้อมูลต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด. แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้ ✅ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยเปรียบเทียบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้. ✅ ใช้ AI อย่างระมัดระวัง โดยไม่พึ่งพาข้อมูลจาก AI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจที่สำคัญ. ✅ ติดตามการพัฒนาและมาตรการกำกับดูแล AI เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและความถูกต้อง. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI ✅ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม AI เช่น สหภาพยุโรปที่มี AI Act เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย. ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น OpenAI และ Google กำลังพัฒนาแนวทางป้องกันข้อมูลเท็จใน AI. ‼️ AI ที่ไม่มีมาตรการตรวจสอบอาจถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/17/italy-regulator-probes-deepseek-over-false-information-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Italy regulator probes DeepSeek over false information risks
    ROME (Reuters) -Italy's antitrust watchdog AGCM said on Monday it had opened an investigation into Chinese artificial intelligence startup DeepSeek for allegedly failing to warn users that it may produce false information.
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • PCI-SIG เปิดตัวมาตรฐาน PCIe-over-Fiber สำหรับการเชื่อมต่อแบบออปติคอล
    PCI-SIG ได้ประกาศ มาตรฐาน PCIe-over-Fiber ซึ่งเป็น โซลูชันการเชื่อมต่อแบบออปติคอลที่ใช้ PCIe Retimer เพื่อช่วยให้ สามารถขยายระยะการเชื่อมต่อและลดข้อจำกัดของสายทองแดง

    มาตรฐานใหม่นี้ เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่าง Switch, Root-Complex และ Endpoint โดยใช้ เทคโนโลยี Optical Aware Retimer

    ข้อมูลจากข่าว
    - PCI-SIG เปิดตัว Optical Aware Retimer ECN สำหรับ PCIe 6.4 และ PCIe 7.0
    - ช่วยให้สามารถใช้เทคโนโลยีออปติคอลร่วมกับ PCIe ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - ขยายระยะการเชื่อมต่อระหว่าง racks และ pods ในศูนย์ข้อมูล
    - รองรับการ multiplexing และ data mapping ระหว่างสัญญาณไฟฟ้าและออปติคอล
    - ช่วยให้สามารถออกแบบระบบที่กะทัดรัดกว่าการใช้สายทองแดง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และ AI
    PCIe-over-Fiber จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น AI/ML และ Cloud Computing

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนไปใช้การเชื่อมต่อแบบออปติคอลอาจต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่
    - ต้องติดตามว่า PCIe-over-Fiber จะสามารถเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์และ HPC ได้เร็วแค่ไหน
    - การบำรุงรักษาและติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกอาจมีต้นทุนสูงกว่าสายทองแดง
    - ต้องรอดูว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปหรือไม่

    อนาคตของ PCIe และการเชื่อมต่อแบบออปติคอล
    PCI-SIG กำลังผลักดันให้ PCIe-over-Fiber กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูล โดย อาจช่วยให้สามารถขยายแบนด์วิดท์และลดข้อจำกัดของสายทองแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techpowerup.com/337962/pci-sig-announces-pcie-optical-interconnect-solution-pcie-over-fiber
    🔗 PCI-SIG เปิดตัวมาตรฐาน PCIe-over-Fiber สำหรับการเชื่อมต่อแบบออปติคอล PCI-SIG ได้ประกาศ มาตรฐาน PCIe-over-Fiber ซึ่งเป็น โซลูชันการเชื่อมต่อแบบออปติคอลที่ใช้ PCIe Retimer เพื่อช่วยให้ สามารถขยายระยะการเชื่อมต่อและลดข้อจำกัดของสายทองแดง มาตรฐานใหม่นี้ เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่าง Switch, Root-Complex และ Endpoint โดยใช้ เทคโนโลยี Optical Aware Retimer ✅ ข้อมูลจากข่าว - PCI-SIG เปิดตัว Optical Aware Retimer ECN สำหรับ PCIe 6.4 และ PCIe 7.0 - ช่วยให้สามารถใช้เทคโนโลยีออปติคอลร่วมกับ PCIe ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ขยายระยะการเชื่อมต่อระหว่าง racks และ pods ในศูนย์ข้อมูล - รองรับการ multiplexing และ data mapping ระหว่างสัญญาณไฟฟ้าและออปติคอล - ช่วยให้สามารถออกแบบระบบที่กะทัดรัดกว่าการใช้สายทองแดง 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และ AI PCIe-over-Fiber จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น AI/ML และ Cloud Computing ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนไปใช้การเชื่อมต่อแบบออปติคอลอาจต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่ - ต้องติดตามว่า PCIe-over-Fiber จะสามารถเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์และ HPC ได้เร็วแค่ไหน - การบำรุงรักษาและติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกอาจมีต้นทุนสูงกว่าสายทองแดง - ต้องรอดูว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปหรือไม่ 🚀 อนาคตของ PCIe และการเชื่อมต่อแบบออปติคอล PCI-SIG กำลังผลักดันให้ PCIe-over-Fiber กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูล โดย อาจช่วยให้สามารถขยายแบนด์วิดท์และลดข้อจำกัดของสายทองแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techpowerup.com/337962/pci-sig-announces-pcie-optical-interconnect-solution-pcie-over-fiber
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    PCI-SIG Announces PCIe Optical Interconnect Solution: PCIe-over-Fiber
    PCI-SIG today announced a new optical interconnect specification revision to enable higher PCI Express (PCIe) technology performance. The Optical Aware Retimer Engineering Change Notice (ECN) amends the PCIe 6.4 specification and the new PCIe 7.0 specification to include a PCIe retimer-based solutio...
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • ARM และ Nvidia วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ
    Rene Haas, CEO ของ ARM ได้เข้าร่วมกับ Jensen Huang, CEO ของ Nvidia ในการวิจารณ์ มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค

    Haas กล่าวในงาน Founders Forum Global ที่ Oxford ว่า การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

    ข้อมูลจากข่าว
    - ARM CEO Rene Haas และ Nvidia CEO Jensen Huang วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ
    - Haas ระบุว่าการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์
    - Huang เตือนว่าหากข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไป Huawei อาจใช้โอกาสนี้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI
    - Haas เปิดเผยว่าเขาใช้เวลามากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่สมดุล

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    ข้อจำกัดของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทจีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และ ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทตะวันตก

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อจำกัดอาจส่งผลให้บริษัทจีน เช่น Huawei เร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น
    - Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการนี้ และอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่ หลังจากการวิจารณ์จากผู้นำอุตสาหกรรม
    - การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้าน AI อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต

    อนาคตของตลาดชิป AI
    ARM และ Nvidia กำลังผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการควบคุมการส่งออก โดยเชื่อว่า การเปิดตลาดจะช่วยให้เทคโนโลยีเติบโตได้เร็วขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/arm-ceo-joins-nvidia-in-stance-against-us-export-controls-rene-haas-says-narrower-access-not-good-for-industry-or-consumer
    🌍 ARM และ Nvidia วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ Rene Haas, CEO ของ ARM ได้เข้าร่วมกับ Jensen Huang, CEO ของ Nvidia ในการวิจารณ์ มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภค Haas กล่าวในงาน Founders Forum Global ที่ Oxford ว่า การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ✅ ข้อมูลจากข่าว - ARM CEO Rene Haas และ Nvidia CEO Jensen Huang วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ - Haas ระบุว่าการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจะทำให้ตลาดเล็กลงและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค - สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีนตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ซึ่งส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์ - Huang เตือนว่าหากข้อจำกัดยังคงดำเนินต่อไป Huawei อาจใช้โอกาสนี้ในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI - Haas เปิดเผยว่าเขาใช้เวลามากขึ้นในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกที่สมดุล 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ข้อจำกัดของสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทจีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และ ลดการพึ่งพาชิปจากบริษัทตะวันตก ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อจำกัดอาจส่งผลให้บริษัทจีน เช่น Huawei เร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI และกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น - Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากมาตรการนี้ และอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่ หลังจากการวิจารณ์จากผู้นำอุตสาหกรรม - การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในด้าน AI อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต 🚀 อนาคตของตลาดชิป AI ARM และ Nvidia กำลังผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนมาตรการควบคุมการส่งออก โดยเชื่อว่า การเปิดตลาดจะช่วยให้เทคโนโลยีเติบโตได้เร็วขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/arm-ceo-joins-nvidia-in-stance-against-us-export-controls-rene-haas-says-narrower-access-not-good-for-industry-or-consumer
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ARM CEO joins Nvidia in stance against US export controls — Rene Haas says narrower access 'not good' for industry or consumer
    “If you narrow access to technology and you force other ecosystems to grow up, it’s not good."
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขน
    นายอำเภอเมืองลพบุรี รำวง
    ทั้งสองลีลา
    ไม่ธรรมดา
    ในงานแถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32
    ประจำปี 2568

    //////////////////////

    เพลงขึ้น ทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมารำวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนในอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร รำวงอย่างสนุกสนาน
    ในงาน แถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคมนี้
    วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ตลอดจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกัน แถลงข่าวเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ณ สวนกระท้อนผู้ใหญ่อนุวัชร โตสวัสดิ์ (ผู้ใหญ่หนึ่ง) หมู่ที่ 7 ตำบลตะลุง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งในงานแถลงข่าวยังได้มีการเปิดตัว การแปรรูปผลผลิตกระท้อน มากมาย รวมถึง เมนูใหม่ การทำยำกระท้อนทอดกรอบ ซึ่งมีรสชาติที่อร่อย และ สีสันชวนน่ารับประทาน ให้แก่ผู้ร่วมงานได้ลิ้มรส ด้วย
    โดยมีนายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย

    สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 32 กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ภายในงานจะมีผลกระท้อนสด จากชาวสวนกระท้อน มาจำหน่าย หลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ปุยฝ้าย พันธุ์อีล่า พันธุ์นิ่มนวล พันธุ์ทองกำมะหยี่ พันธุ์ทับทิม ซึ่งเป็นสินค้า GI ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดลพบุรี และยังมีกระท้อนแปรรูป ได้แก่ กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนกวน กระท้อนทรงเครื่อง มาวางจำหน่าย เพื่อให้เลือกซื้อหาไปรับประทาน และเป็นของฝากจากลพบุรี ให้ได้เลือก ชิม ช้อป ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “รำวงย้อนยุค” โดยชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน การแสดงของชาติพันธุ์ การแสดงดนตรี ลูกทุ่ง และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึง การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรี

    สำหรับ กระท้อนของลพบุรี เป็นกระท้อน ที่มีชื่อเสียงจะอยู่ใน 3 ตำบลของอำเภอเมืองลพบุรี ได้แก่ ตำบลตะลุง ตำบลโพธิ์เก้าต้น และตำบลงิ้วราย ของอำเภอเมืองลพบุรี มีลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษไม่เหมือนที่ใด คือ เป็นพื้นที่น้ำไหลทรายมูล เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำลพบุรี เหมาะสมกับการผลิตกระท้อนคุณภาพดี จนกระท้อนจังหวัดลพบุรี ได้รับการรับรองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ในชื่อ “กระท้อนตะลุง” จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจาก กระท้อนมีคุณภาพดี รสชาติหวาน อมเปรี้ยว อร่อย ถูกใจผู้บริโภค แตกต่างจากระท้อนที่อื่น ซึ่งจะมีผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม แต่จะมีผลผลิตมากสุดในเดือนมิถุนายน

    มีเกษตรกรผู้ปลูกกระท้อนจำนวน 154 ราย ในพื้นที่ 464 ไร่เศษ ทั้งนี้ กระท้อนลพบุรีได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI ) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 66 ราย ในพื้นที่ 271 ไร่ ซึ่งปีนี้จะมีผลผลิตออกมาจำหน่ายอยู่ที่ ประมาณ 425,090 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับ ราคากระท้อนสดจะจำหน่าย 35-100 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของผล โดยจะมีช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลพบุรี สำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี และชาวสวนกระท้อนเอง นอกจากนี้ยังเปิดจำหน่ายที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรีและริมทางถนนลพบุรี-บ้านแพรก ซึ่งกระท้อนลพบุรีมีลักษณะพิเศษคือ กลมแป้น เปลือกบาง รสหวาน เนื้อปุย หวานสะดุ้ง กระท้อนตะลุงลพบุรี

    ไฮไลท์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าว รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนนายอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร ลีลาไม่ธรรมดารำวง อย่างสุดสนานทำให้บรรดาผู้ร่วมแถลงข่าวต้องลุกมารำเช่นกันและจบการรำเสร็จลีลายำกระท้อนและหยิบหยิบช้อนป้อนให้
    นายอำเภอเมืองลพบุรีชิม
    นายอำเภอเมืองลพบุรีบอกว่าอร่อยจริงฝีมือขั้นเทพ
    รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขน นายอำเภอเมืองลพบุรี รำวง ทั้งสองลีลา ไม่ธรรมดา ในงานแถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ประจำปี 2568 ////////////////////// เพลงขึ้น ทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมารำวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนในอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร รำวงอย่างสนุกสนาน ในงาน แถลงข่าว เทศกาลกระท้อนหวาน สินค้า GI และของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคมนี้ วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ตลอดจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกัน แถลงข่าวเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งที่ 32 ณ สวนกระท้อนผู้ใหญ่อนุวัชร โตสวัสดิ์ (ผู้ใหญ่หนึ่ง) หมู่ที่ 7 ตำบลตะลุง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งในงานแถลงข่าวยังได้มีการเปิดตัว การแปรรูปผลผลิตกระท้อน มากมาย รวมถึง เมนูใหม่ การทำยำกระท้อนทอดกรอบ ซึ่งมีรสชาติที่อร่อย และ สีสันชวนน่ารับประทาน ให้แก่ผู้ร่วมงานได้ลิ้มรส ด้วย โดยมีนายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรี ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 32 กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ภายในงานจะมีผลกระท้อนสด จากชาวสวนกระท้อน มาจำหน่าย หลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ปุยฝ้าย พันธุ์อีล่า พันธุ์นิ่มนวล พันธุ์ทองกำมะหยี่ พันธุ์ทับทิม ซึ่งเป็นสินค้า GI ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดลพบุรี และยังมีกระท้อนแปรรูป ได้แก่ กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนกวน กระท้อนทรงเครื่อง มาวางจำหน่าย เพื่อให้เลือกซื้อหาไปรับประทาน และเป็นของฝากจากลพบุรี ให้ได้เลือก ชิม ช้อป ด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “รำวงย้อนยุค” โดยชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน การแสดงของชาติพันธุ์ การแสดงดนตรี ลูกทุ่ง และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึง การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรี สำหรับ กระท้อนของลพบุรี เป็นกระท้อน ที่มีชื่อเสียงจะอยู่ใน 3 ตำบลของอำเภอเมืองลพบุรี ได้แก่ ตำบลตะลุง ตำบลโพธิ์เก้าต้น และตำบลงิ้วราย ของอำเภอเมืองลพบุรี มีลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษไม่เหมือนที่ใด คือ เป็นพื้นที่น้ำไหลทรายมูล เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำลพบุรี เหมาะสมกับการผลิตกระท้อนคุณภาพดี จนกระท้อนจังหวัดลพบุรี ได้รับการรับรองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ในชื่อ “กระท้อนตะลุง” จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจาก กระท้อนมีคุณภาพดี รสชาติหวาน อมเปรี้ยว อร่อย ถูกใจผู้บริโภค แตกต่างจากระท้อนที่อื่น ซึ่งจะมีผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม แต่จะมีผลผลิตมากสุดในเดือนมิถุนายน มีเกษตรกรผู้ปลูกกระท้อนจำนวน 154 ราย ในพื้นที่ 464 ไร่เศษ ทั้งนี้ กระท้อนลพบุรีได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI ) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 66 ราย ในพื้นที่ 271 ไร่ ซึ่งปีนี้จะมีผลผลิตออกมาจำหน่ายอยู่ที่ ประมาณ 425,090 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับ ราคากระท้อนสดจะจำหน่าย 35-100 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของผล โดยจะมีช่องทางการจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลพบุรี สำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี และชาวสวนกระท้อนเอง นอกจากนี้ยังเปิดจำหน่ายที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรีและริมทางถนนลพบุรี-บ้านแพรก ซึ่งกระท้อนลพบุรีมีลักษณะพิเศษคือ กลมแป้น เปลือกบาง รสหวาน เนื้อปุย หวานสะดุ้ง กระท้อนตะลุงลพบุรี ไฮไลท์ ก่อนที่จะมีการแถลงข่าว รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ควงแขนนายอำเภอเมืองลพบุรี นายอำเภอเมืองหัวใจเพชร ลีลาไม่ธรรมดารำวง อย่างสุดสนานทำให้บรรดาผู้ร่วมแถลงข่าวต้องลุกมารำเช่นกันและจบการรำเสร็จลีลายำกระท้อนและหยิบหยิบช้อนป้อนให้ นายอำเภอเมืองลพบุรีชิม นายอำเภอเมืองลพบุรีบอกว่าอร่อยจริงฝีมือขั้นเทพ
    0 Comments 0 Shares 308 Views 0 0 Reviews
  • กรมการค้าภายในแจ้งข่าวผู้บริโภค สัปดาห์นี้ได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หลังสต๊อกเดิมของผู้ผลิตที่ซื้อช่วงต้นทุนสูงหมดแล้ว มีแต่ต้นทุนใหม่ที่ราคาลดลง เผยอาจได้เห็นขวดละ 45-46 บาท พร้อมเร่งดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบหลังสต๊อกเพิ่ม ย้ำโรงสกัดรับซื้อปาล์มน้ำมันกิโลกรัมละ 5.20 บาท ใครฝ่าฝืนเจอเล่นงานตามกฎหมาย

    นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งออก 11 ราย เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พบว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เป็นต้นทุนเดิมในช่วงที่ราคาผลปาล์มสดอยู่ในระดับสูงกิโลกรัม (กก.) ละ 8-10 บาท และราคาน้ำมันปาล์มขวดขายเกินขวดละ 50 บาทนั้น เริ่มหมดแล้ว และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 5-5.20 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถขายได้ที่ต่ำกว่าขวดละ 50 บาทได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป

    “เดิม ในช่วงที่ราคาผลปาล์ม กก.ละ 8-10 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ผู้ผลิตก็ใช้วิธีการซื้อถัว เพื่อให้สามารถขายน้ำมันปาล์มขวดในราคาไม่สูงจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ขณะนี้ต้นทุนต่ำลงแล้ว ผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปราคาน้ำมันปาล์มขวดจะต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หรือลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 45-46 บาทต่อขวด”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000051923

    #MGROnline #กรมการค้าภายใน #ราคาน้ำมันปาล์ม #ต่ำกว่าขวดละ50บาท #น้ำมันปาล์มดิบ #ปาล์มน้ำมัน
    กรมการค้าภายในแจ้งข่าวผู้บริโภค สัปดาห์นี้ได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หลังสต๊อกเดิมของผู้ผลิตที่ซื้อช่วงต้นทุนสูงหมดแล้ว มีแต่ต้นทุนใหม่ที่ราคาลดลง เผยอาจได้เห็นขวดละ 45-46 บาท พร้อมเร่งดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบหลังสต๊อกเพิ่ม ย้ำโรงสกัดรับซื้อปาล์มน้ำมันกิโลกรัมละ 5.20 บาท ใครฝ่าฝืนเจอเล่นงานตามกฎหมาย • นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งออก 11 ราย เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พบว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เป็นต้นทุนเดิมในช่วงที่ราคาผลปาล์มสดอยู่ในระดับสูงกิโลกรัม (กก.) ละ 8-10 บาท และราคาน้ำมันปาล์มขวดขายเกินขวดละ 50 บาทนั้น เริ่มหมดแล้ว และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 5-5.20 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถขายได้ที่ต่ำกว่าขวดละ 50 บาทได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป • “เดิม ในช่วงที่ราคาผลปาล์ม กก.ละ 8-10 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ผู้ผลิตก็ใช้วิธีการซื้อถัว เพื่อให้สามารถขายน้ำมันปาล์มขวดในราคาไม่สูงจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ขณะนี้ต้นทุนต่ำลงแล้ว ผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปราคาน้ำมันปาล์มขวดจะต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หรือลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 45-46 บาทต่อขวด” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000051923 • #MGROnline #กรมการค้าภายใน #ราคาน้ำมันปาล์ม #ต่ำกว่าขวดละ50บาท #น้ำมันปาล์มดิบ #ปาล์มน้ำมัน
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
    หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง

    B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน

    แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้

    ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ
    - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs
    - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs
    - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU
    - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร
    - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน
    - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    0 Comments 0 Shares 323 Views 0 Reviews
  • ASRock ยืนยันปัญหา BIOS ทำให้ Ryzen 9000 เสียหาย
    ASRock ได้ออกมายอมรับว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย โดยบริษัทได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 เพื่อแก้ไขปัญหานี้

    ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ Precision Boost Overdrive (PBO) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU โดย ASRock ตั้งค่า Electric Design Current (EDC), Thermal Design Current (TDC) และ shadow voltages สูงเกินไปใน BIOS เวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ CPU บางตัวเสียหาย

    ASRock ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA (Return Merchandise Authorization) ของเมนบอร์ดที่ได้รับผลกระทบ

    ข้อมูลจากข่าว
    - ASRock ยืนยันว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย
    - BIOS เวอร์ชัน 3.25 ได้รับการปรับปรุง เพื่อลดค่าของ EDC, TDC และ shadow voltages
    - AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ ASRock รับผิดชอบทั้งหมด
    - ASRock จะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA ของเมนบอร์ด
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดใหม่

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมี BIOS เวอร์ชันใหม่ แต่ยังมีรายงานว่า Ryzen 7 9800X3D บางตัวเสียหาย
    - ASRock เคยแก้ไขปัญหานี้มาก่อน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่า PBO ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
    - ต้องจับตาดูว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 จะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม
    การตั้งค่า BIOS ที่ผิดพลาดของ ASRock ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ryzen 9000 และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือของเมนบอร์ด ASRock ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทออกมายอมรับและเสนอการแก้ไขปัญหาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค

    หากคุณใช้ AM5 ASRock motherboard ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชันล่าสุดถูกติดตั้งแล้ว และหากพบปัญหา ควรติดต่อ ASRock เพื่อดำเนินการ RMA

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/asrock-confirms-its-bios-settings-are-killing-ryzen-cpus-is-fully-committed-to-fixing-any-damaged-motherboards
    🔧 ASRock ยืนยันปัญหา BIOS ทำให้ Ryzen 9000 เสียหาย ASRock ได้ออกมายอมรับว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย โดยบริษัทได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับ Precision Boost Overdrive (PBO) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU โดย ASRock ตั้งค่า Electric Design Current (EDC), Thermal Design Current (TDC) และ shadow voltages สูงเกินไปใน BIOS เวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ CPU บางตัวเสียหาย ASRock ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA (Return Merchandise Authorization) ของเมนบอร์ดที่ได้รับผลกระทบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ASRock ยืนยันว่า BIOS เวอร์ชันก่อนหน้ามีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ Ryzen 9000 CPUs บางตัวเสียหาย - BIOS เวอร์ชัน 3.25 ได้รับการปรับปรุง เพื่อลดค่าของ EDC, TDC และ shadow voltages - AMD ไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ ASRock รับผิดชอบทั้งหมด - ASRock จะรับผิดชอบค่าขนส่งสำหรับการ RMA ของเมนบอร์ด - ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดใหม่ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมี BIOS เวอร์ชันใหม่ แต่ยังมีรายงานว่า Ryzen 7 9800X3D บางตัวเสียหาย - ASRock เคยแก้ไขปัญหานี้มาก่อน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่า PBO ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม - ต้องจับตาดูว่า BIOS เวอร์ชัน 3.25 จะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ 🔎 ผลกระทบต่อผู้ใช้และอุตสาหกรรม การตั้งค่า BIOS ที่ผิดพลาดของ ASRock ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Ryzen 9000 และอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือของเมนบอร์ด ASRock ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทออกมายอมรับและเสนอการแก้ไขปัญหาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค หากคุณใช้ AM5 ASRock motherboard ควรตรวจสอบว่า BIOS เวอร์ชันล่าสุดถูกติดตั้งแล้ว และหากพบปัญหา ควรติดต่อ ASRock เพื่อดำเนินการ RMA https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/asrock-confirms-its-bios-settings-are-killing-ryzen-cpus-is-fully-committed-to-fixing-any-damaged-motherboards
    0 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • Marvell Technology คาดการณ์ว่ารายได้ไตรมาสที่สองจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิป AI แบบกำหนดเองที่เพิ่มขึ้นในศูนย์ข้อมูล

    Marvell เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาด AI โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscalers ที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับงานประมวลผล AI นอกจากนี้ บริษัทกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดศูนย์ข้อมูลระดับประเทศและตลาดเกิดใหม่

    นักวิเคราะห์จาก CFRA Research ระบุว่า ธุรกิจชิปแบบกำหนดเองจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า

    ข้อมูลจากข่าว
    - Marvell คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญ สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.98 พันล้านเหรียญ
    - รายได้จากกลุ่มศูนย์ข้อมูลคิดเป็น 76% ของรายได้ทั้งหมด โดยอยู่ที่ 1.44 พันล้านเหรียญ ในไตรมาสแรก
    - ธุรกิจเครือข่ายสำหรับองค์กรและผู้ให้บริการโทรคมนาคมเริ่มฟื้นตัว หลังจากช่วงปรับลดสินค้าคงคลัง
    - Marvell เลื่อนการประชุมนักลงทุนออกไป เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ตลาดผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ โดยรายได้ลดลง 29% เนื่องจากความต้องการเกมที่ลดลงตามฤดูกาล
    - กลุ่มอุตสาหกรรมก็เผชิญกับความท้าทาย โดยรายได้ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
    - หุ้นของ Marvell ลดลงประมาณ 2% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด แม้ว่าจะมีแนวโน้มรายได้ที่ดีขึ้น
    - ต้องจับตาดูการประชุมเกี่ยวกับชิปแบบกำหนดเองในวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งอาจเปิดเผยโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด

    Marvell กำลังใช้ประโยชน์จากกระแส AI เพื่อขยายธุรกิจชิปแบบกำหนดเอง แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดผู้บริโภคและอุตสาหกรรม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/chipmaker-marvell-forecasts-second-quarter-revenue-above-estimates
    Marvell Technology คาดการณ์ว่ารายได้ไตรมาสที่สองจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิป AI แบบกำหนดเองที่เพิ่มขึ้นในศูนย์ข้อมูล Marvell เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาด AI โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscalers ที่ต้องการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับงานประมวลผล AI นอกจากนี้ บริษัทกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดศูนย์ข้อมูลระดับประเทศและตลาดเกิดใหม่ นักวิเคราะห์จาก CFRA Research ระบุว่า ธุรกิจชิปแบบกำหนดเองจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า ✅ ข้อมูลจากข่าว - Marvell คาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญ สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.98 พันล้านเหรียญ - รายได้จากกลุ่มศูนย์ข้อมูลคิดเป็น 76% ของรายได้ทั้งหมด โดยอยู่ที่ 1.44 พันล้านเหรียญ ในไตรมาสแรก - ธุรกิจเครือข่ายสำหรับองค์กรและผู้ให้บริการโทรคมนาคมเริ่มฟื้นตัว หลังจากช่วงปรับลดสินค้าคงคลัง - Marvell เลื่อนการประชุมนักลงทุนออกไป เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ตลาดผู้บริโภคยังคงอ่อนแอ โดยรายได้ลดลง 29% เนื่องจากความต้องการเกมที่ลดลงตามฤดูกาล - กลุ่มอุตสาหกรรมก็เผชิญกับความท้าทาย โดยรายได้ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า - หุ้นของ Marvell ลดลงประมาณ 2% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด แม้ว่าจะมีแนวโน้มรายได้ที่ดีขึ้น - ต้องจับตาดูการประชุมเกี่ยวกับชิปแบบกำหนดเองในวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งอาจเปิดเผยโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด Marvell กำลังใช้ประโยชน์จากกระแส AI เพื่อขยายธุรกิจชิปแบบกำหนดเอง แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดผู้บริโภคและอุตสาหกรรม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/chipmaker-marvell-forecasts-second-quarter-revenue-above-estimates
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Marvell forecasts second-quarter revenue above estimates on strong demand for custom AI chips
    (Reuters) -Marvell Technology forecast second-quarter revenue above Wall Street estimates on Thursday, betting on strong demand for its custom chips powering artificial intelligence workloads in data centers.
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • มุสลิมอินโดฯ ช็อก! ร้านไก่ทอดดังเพิ่งเผยเมนูไม่ฮาลาล

    ร้านไก่ทอดชื่อดังในอินโดนีเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลฯ ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากกว่า 80% เมื่อร้านไก่ทอดชื่อดัง อะยัม โกเรง วิดูรัน (AYAM GORENG WIDURAN) ในเมืองซูราการ์ตา (โซโล) จังหวัดชวาเตงกะห์ กำลังถูกชาวมุสลิมแสดงความไม่พอใจ หลังบัญชีผู้ใช้เธรด (Thread) ที่ชื่อ @pedalranger สงสัยว่าเกล็ดกรุบกรอบ หรือเกรอเมอร์ส (Kremes) ที่โรยบนไก่ทอด ทอดด้วยไขมันหมู ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามปรุงอาหาร ทั้งที่นับตั้งแต่เปิดกิจการในปี 2516 หรือกว่า 50 ปีก่อน ไม่เคยบอกให้สาธารณชนรับรู้ ภายหลังทางร้านจึงใช้วิธีติดป้ายว่า "KREMES NON HALAL" แทน

    เรื่องนี้ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นชาวมุสลิมรู้สึกว่าเหมือนถูกหลอก เพราะร้านอาหารไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าเมนูภายในร้านไม่ใช่ฮาลาล นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตบางคนไปขุดภาพร้านใน Google Street View แล้วพบว่าเคยขึ้นเครื่องหมายฮาลาลบนป้ายแบนเนอร์ในอดีตอีกด้วย ร้อนถึงฝ่ายบริหารของร้านออกมาขอโทษผ่านอินสตาแกรม @ayamgorengwiduransolo เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) ว่า ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่ใช่ฮาลาลอย่างชัดเจนในร้านค้าและโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของร้านทุกแห่ง หวังว่าสาธารณชนจะให้พื้นที่แก่ทางร้านในการแก้ไขและปรับปรุงทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ขณะที่พนักงานร้านยืนยันว่าเมนูที่มีปัญหามีเพียงไก่ทอดเกรอเมอร์สเท่านั้น เมนูอื่นใช้น้ำมันพืชปกติ

    ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองโซโล เรสปาตี อาร์ดี สั่งปิดร้านอาหารชั่วคราว ยอมรับว่าผิดหวังที่ร้านอาหารในตำนานแห่งนี้ไม่ได้ติดป้าย NON HALAL มานาน ทั้งที่มีผู้บริโภคชาวมุสลิมจำนวนมากซื้อไก่ทอดที่ร้านแห่งนี้ และย้ำว่าการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนแกนนำกลุ่มด้านสิทธิผู้บริโภคอินโดนีเซีย Forum Konsumen Berdaya Indonesia (FKBI) ตูลุส อาบาดี ระบุว่า คำขอโทษดังกล่าวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่ทางร้านทำมานานเป็นสิบปี เป็นการกระทำโดยจงใจ ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย อีกทั้งทางร้านละเมิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเฉพาะกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายอาหาร และกฎหมายการรับประกันผลิตภัณฑ์ฮาลาล ซึ่งจัดอยู่ในประเภทการฉ้อโกง โดยเรียกร้องให้ดำเนินคดีและลงโทษทางปกครอง

    สำหรับเกรอเมอร์ส ภาษาอินโดนีเซีย ตรงกับคำว่า Crunch (ครันช์) เป็นเกล็ดที่ใช้โรยบนไก่ทอด ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง ผสมแป้งข้าวเจ้า ไข่แดง และซอสที่ใช้หมักไก่ทอดแบบอินโดนีเซีย เติมผงฟูลงไปเล็กน้อย แล้วค่อยใช้มือวักส่วนผสมโรยลงบนน้ำมันให้กลายเป็นเกล็ด ก่อนซับน้ำมันแล้วนำไปโรยหน้าบนจานไก่ทอด ข้าว และแตงกวาหั่น

    #Newskit
    มุสลิมอินโดฯ ช็อก! ร้านไก่ทอดดังเพิ่งเผยเมนูไม่ฮาลาล ร้านไก่ทอดชื่อดังในอินโดนีเซีย กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลฯ ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากกว่า 80% เมื่อร้านไก่ทอดชื่อดัง อะยัม โกเรง วิดูรัน (AYAM GORENG WIDURAN) ในเมืองซูราการ์ตา (โซโล) จังหวัดชวาเตงกะห์ กำลังถูกชาวมุสลิมแสดงความไม่พอใจ หลังบัญชีผู้ใช้เธรด (Thread) ที่ชื่อ @pedalranger สงสัยว่าเกล็ดกรุบกรอบ หรือเกรอเมอร์ส (Kremes) ที่โรยบนไก่ทอด ทอดด้วยไขมันหมู ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามปรุงอาหาร ทั้งที่นับตั้งแต่เปิดกิจการในปี 2516 หรือกว่า 50 ปีก่อน ไม่เคยบอกให้สาธารณชนรับรู้ ภายหลังทางร้านจึงใช้วิธีติดป้ายว่า "KREMES NON HALAL" แทน เรื่องนี้ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นชาวมุสลิมรู้สึกว่าเหมือนถูกหลอก เพราะร้านอาหารไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าเมนูภายในร้านไม่ใช่ฮาลาล นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตบางคนไปขุดภาพร้านใน Google Street View แล้วพบว่าเคยขึ้นเครื่องหมายฮาลาลบนป้ายแบนเนอร์ในอดีตอีกด้วย ร้อนถึงฝ่ายบริหารของร้านออกมาขอโทษผ่านอินสตาแกรม @ayamgorengwiduransolo เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) ว่า ได้แจ้งข้อมูลที่ไม่ใช่ฮาลาลอย่างชัดเจนในร้านค้าและโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของร้านทุกแห่ง หวังว่าสาธารณชนจะให้พื้นที่แก่ทางร้านในการแก้ไขและปรับปรุงทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ขณะที่พนักงานร้านยืนยันว่าเมนูที่มีปัญหามีเพียงไก่ทอดเกรอเมอร์สเท่านั้น เมนูอื่นใช้น้ำมันพืชปกติ ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองโซโล เรสปาตี อาร์ดี สั่งปิดร้านอาหารชั่วคราว ยอมรับว่าผิดหวังที่ร้านอาหารในตำนานแห่งนี้ไม่ได้ติดป้าย NON HALAL มานาน ทั้งที่มีผู้บริโภคชาวมุสลิมจำนวนมากซื้อไก่ทอดที่ร้านแห่งนี้ และย้ำว่าการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนแกนนำกลุ่มด้านสิทธิผู้บริโภคอินโดนีเซีย Forum Konsumen Berdaya Indonesia (FKBI) ตูลุส อาบาดี ระบุว่า คำขอโทษดังกล่าวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่ทางร้านทำมานานเป็นสิบปี เป็นการกระทำโดยจงใจ ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย อีกทั้งทางร้านละเมิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเฉพาะกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายอาหาร และกฎหมายการรับประกันผลิตภัณฑ์ฮาลาล ซึ่งจัดอยู่ในประเภทการฉ้อโกง โดยเรียกร้องให้ดำเนินคดีและลงโทษทางปกครอง สำหรับเกรอเมอร์ส ภาษาอินโดนีเซีย ตรงกับคำว่า Crunch (ครันช์) เป็นเกล็ดที่ใช้โรยบนไก่ทอด ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง ผสมแป้งข้าวเจ้า ไข่แดง และซอสที่ใช้หมักไก่ทอดแบบอินโดนีเซีย เติมผงฟูลงไปเล็กน้อย แล้วค่อยใช้มือวักส่วนผสมโรยลงบนน้ำมันให้กลายเป็นเกล็ด ก่อนซับน้ำมันแล้วนำไปโรยหน้าบนจานไก่ทอด ข้าว และแตงกวาหั่น #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 575 Views 0 Reviews
  • นายอำเภอเมืองลพบุรี เยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน แปรรูป
    เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว เทศกาลงานกระท้อน ประจำปี 68 ปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี

    ////////////////////

    นายอำเภอเมืองลพบุรีเป็นห่วงแม่ค้า ลุยเยี่ยม
    แม่ค้าขายกระท้อน ในบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี
    เป็นสถานที่จัดงานกระท้อนหวาน
    ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68

    เมื่อเวลา 08.00 น
    ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568
    นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี
    เยี่ยมแม่ค้าขายกระท้อนที่เป็นผลและแปรรูปแล้ว เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและเป็นแนวทางในการประชาสัมพันธ์เทศกาลงานกระท้อนหวาน ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68
    ณ สนามหน้า
    ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี

    นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ได้ไปเยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน มีชาวสวนนำมาจำหน่าย พร้อมทั้งมอบธงให้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นอาหารปลอดภัยและเป็นกระท้อนที่มาจากสวนโดยตรง
    สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรีในครั้งนี้ ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย

    นอกจากนี้ มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระท้อนหวานเมืองลพบุรี การแปรรูปกระท้อน การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรีอีกมากมายมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรี อีกด้วย

    โดยนายอำเภอเมืองลพบุรี
    กล่าวว่า “กระท้อนตะลุง” อำเภอเมืองลพบุรี เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ได้รับความนิยมจากตลาดมากขึ้นทุกปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดี สิ่งสำคัญมาจากการจัดงานเพื่อเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ผลผลิตของกระท้อน ทำให้กระท้อนลพบุรีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่างแพร่หลาย สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมงาน และจับจ่ายซื้อหาสินค้าต่างๆ ภายในงานได้อย่างครบครัน สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากและขอความร่วมมือ พี่น้องเกษตรกรคือ เรื่องคุณภาพกระท้อน ความปลอดภัยของผู้บริโภค และไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ซื้อ ให้คิดเสมอว่า ผู้ผลิตอยู่รอด ผู้บริโภคปลอดภัยจากการบริโภค ผลผลิตไร้สารเคมีต่างๆ และส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น

    รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดูโดดเด่น น่าซื้อหา เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญ “กระท้อนตะลุง” ถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดลพบุรี ซึ่งจังหวัดลพบุรี ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของประเทศไทย โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนกระท้อนตะลุง เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้า GI แล้ว เพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาชื่อเสียงให้กระท้อนตะลุง ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อกระท้อนตะลุงที่มีคุณภาพได้ง่าย และมั่นใจยิ่งขึ้นอีกด้วย
    นายอำเภอเมืองลพบุรี เยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน แปรรูป เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยว เทศกาลงานกระท้อน ประจำปี 68 ปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี //////////////////// นายอำเภอเมืองลพบุรีเป็นห่วงแม่ค้า ลุยเยี่ยม แม่ค้าขายกระท้อน ในบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี เป็นสถานที่จัดงานกระท้อนหวาน ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68 เมื่อเวลา 08.00 น ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี เยี่ยมแม่ค้าขายกระท้อนที่เป็นผลและแปรรูปแล้ว เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจและเป็นแนวทางในการประชาสัมพันธ์เทศกาลงานกระท้อนหวาน ประจำปี 68 ระหว่าง 21 มิย.-2 กค.68 ณ สนามหน้า ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี ได้ไปเยี่ยมร้านที่จำหน่ายกระท้อน มีชาวสวนนำมาจำหน่าย พร้อมทั้งมอบธงให้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นอาหารปลอดภัยและเป็นกระท้อนที่มาจากสวนโดยตรง สำหรับการจัดงานเทศกาลกระท้อนหวานและของดีเมืองลพบุรีในครั้งนี้ ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระท้อนหวานเมืองลพบุรี การแปรรูปกระท้อน การแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดลพบุรี การจัดแสดงพันธุ์ไม้ และสินค้าของดีเมืองลพบุรีอีกมากมายมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรี อีกด้วย โดยนายอำเภอเมืองลพบุรี กล่าวว่า “กระท้อนตะลุง” อำเภอเมืองลพบุรี เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ได้รับความนิยมจากตลาดมากขึ้นทุกปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดี สิ่งสำคัญมาจากการจัดงานเพื่อเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ผลผลิตของกระท้อน ทำให้กระท้อนลพบุรีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอย่างแพร่หลาย สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมงาน และจับจ่ายซื้อหาสินค้าต่างๆ ภายในงานได้อย่างครบครัน สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากและขอความร่วมมือ พี่น้องเกษตรกรคือ เรื่องคุณภาพกระท้อน ความปลอดภัยของผู้บริโภค และไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ซื้อ ให้คิดเสมอว่า ผู้ผลิตอยู่รอด ผู้บริโภคปลอดภัยจากการบริโภค ผลผลิตไร้สารเคมีต่างๆ และส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดูโดดเด่น น่าซื้อหา เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญ “กระท้อนตะลุง” ถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดลพบุรี ซึ่งจังหวัดลพบุรี ได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของประเทศไทย โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนกระท้อนตะลุง เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้า GI แล้ว เพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาชื่อเสียงให้กระท้อนตะลุง ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อกระท้อนตะลุงที่มีคุณภาพได้ง่าย และมั่นใจยิ่งขึ้นอีกด้วย
    0 Comments 0 Shares 389 Views 10 0 Reviews
  • Instagram กำลังใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อฝึก AI ของ Meta – นี่คือโอกาสสุดท้ายในการปฏิเสธ

    Meta เตรียมเริ่มฝึกระบบ AI ใหม่ของตนโดยใช้ข้อมูลสาธารณะจากผู้ใช้ Instagram ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2025 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้ภายในวันที่ 26 พฤษภาคม

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลผู้ใช้ของ Meta
    Meta AI จะใช้ข้อมูลสาธารณะจาก Instagram เพื่อฝึกโมเดล AI
    - รวมถึง โพสต์, คำบรรยายภาพ และข้อมูลโปรไฟล์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้
    - ต้อง กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และล็อกอินเข้าสู่บัญชี Instagram

    Meta ยืนยันว่าจะเคารพคำร้องขอของผู้ใช้ที่ยื่นแบบฟอร์มภายในกำหนด
    - เมื่อได้รับการอนุมัติ ผู้ใช้จะได้รับอีเมลยืนยันว่า Meta จะไม่ใช้ข้อมูลของตน

    องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคในยุโรประบุว่าแนวทางของ Meta อาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
    - มีการดำเนินคดีในศาลยุโรปเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างพิจารณา

    Facebook มีแบบฟอร์มปฏิเสธการใช้ข้อมูลเช่นกัน แต่ต้องให้ข้อมูลมากกว่า Instagram
    - ผู้ใช้ต้อง กรอกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันตัวตน

    WhatsApp ไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้ข้อมูล AI ยกเว้นกรณีที่ผู้ใช้สื่อสารกับ Meta AI
    - หากผู้ใช้ เพิ่ม Meta AI ในแชทกลุ่มหรือใช้ฟีเจอร์ AI บน WhatsApp ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/last-chance-to-stop-instagram-training-meta039s-ai-with-your-data
    Instagram กำลังใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อฝึก AI ของ Meta – นี่คือโอกาสสุดท้ายในการปฏิเสธ Meta เตรียมเริ่มฝึกระบบ AI ใหม่ของตนโดยใช้ข้อมูลสาธารณะจากผู้ใช้ Instagram ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2025 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้ภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลผู้ใช้ของ Meta ✅ Meta AI จะใช้ข้อมูลสาธารณะจาก Instagram เพื่อฝึกโมเดล AI - รวมถึง โพสต์, คำบรรยายภาพ และข้อมูลโปรไฟล์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ✅ ผู้ใช้สามารถยื่นคำร้องเพื่อปฏิเสธการใช้ข้อมูลของตนได้ - ต้อง กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และล็อกอินเข้าสู่บัญชี Instagram ✅ Meta ยืนยันว่าจะเคารพคำร้องขอของผู้ใช้ที่ยื่นแบบฟอร์มภายในกำหนด - เมื่อได้รับการอนุมัติ ผู้ใช้จะได้รับอีเมลยืนยันว่า Meta จะไม่ใช้ข้อมูลของตน ✅ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคในยุโรประบุว่าแนวทางของ Meta อาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - มีการดำเนินคดีในศาลยุโรปเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระหว่างพิจารณา ✅ Facebook มีแบบฟอร์มปฏิเสธการใช้ข้อมูลเช่นกัน แต่ต้องให้ข้อมูลมากกว่า Instagram - ผู้ใช้ต้อง กรอกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันตัวตน ✅ WhatsApp ไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้ข้อมูล AI ยกเว้นกรณีที่ผู้ใช้สื่อสารกับ Meta AI - หากผู้ใช้ เพิ่ม Meta AI ในแชทกลุ่มหรือใช้ฟีเจอร์ AI บน WhatsApp ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/last-chance-to-stop-instagram-training-meta039s-ai-with-your-data
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Last chance to stop Instagram training Meta's AI with your data
    On May 27 at the latest, Meta will begin training its new artificial intelligence system, Meta AI, using public data from its users.
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • งาน Dell Technologies World 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ณ ลาสเวกัส มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กร ดังนี้:
    1️⃣ Dell AI Factory with NVIDIA 2.0
    - อัปเกรดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวในปี 2024 เป็นโซลูชันที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน AI อันทรงพลังและประหยัดพลังงาน รองรับการประมวลผล AI ในระดับองค์กร
    - รองรับการใช้งาน Large Language Models (LLMs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบน On-Premises ถูกกว่าการใช้ Public Cloud สูงสุดถึง 62%
    - รองรับ GPU สูงสุด 256 ตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge เพื่อประมวลผล AI ขนาดใหญ่
    2️⃣ เซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นใหม่
    - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ รองรับ NVIDIA GPUs เช่น GB10 และ GB300 รวมถึง RTX Pro Enterprise Server Edition สำหรับงาน AI ในระดับองค์กร
    - มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับ AI Factories
    3️⃣ Dell Project Lightning
    - ระบบไฟล์แบบ Parallel ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วย Throughput สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ช่วยเร่งการฝึกอบรม AI และจัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน
    - เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น Recommendation Engines และ Semantic Search
    4️⃣ Dell Data Lakehouse Enhancements
    - ปรับปรุงเพื่อลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์ AI ช่วยให้สร้างและจัดการชุดข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI ได้ง่ายขึ้น รองรับ use cases เช่น การตรวจจับเจตนาของลูกค้า
    5️⃣ พีซี AI รุ่นใหม่
    - เปิดตัวพีซีเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อม Qualcomm AI Accelerator แบบ Discrete เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ Edge
    - Dell Pro Max และ Pro Max Plus รุ่นใหม่ ใช้ชิป Qualcomm แทน NVIDIA เพื่อการประมวลผล AI ที่ Edge อย่างมีประสิทธิภาพ
    6️⃣ Dell Linear Pluggable Optics
    - เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลด Latency และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับ High Performance Computing (HPC) และ AI Fabrics
    7️⃣ Dell AI Security and Resiliency Services
    - บริการด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับ AI คาดว่าจะวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่มิถุนายน 2568
    8️⃣ จอภาพและอุปกรณ์ใหม่
    - จอ Dell UltraSharp 32 4K Thunderbolt Hub Monitor: จอแรกของโลกที่มี IPS Black Contrast Ratio 3000:1 ได้รับคะแนน 5 ดาวด้าน Eye Comfort
    - จอ Dell 32 Plus 4K QD-OLED Monitor: มาพร้อม 3D Spatial Audio และ Dolby Vision
    - Area-51 Desktop และ Laptop (16 และ 18 นิ้ว): ออกแบบใหม่สำหรับเกมเมอร์ ด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงและดีไซน์ Sci-Fi
    9️⃣ Dell NativeEdge AI Updates
    - อัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการ AI ที่ Edge วางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ
    หมายเหตุ
    - งานนี้เน้นหนักไปที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA, AMD, Intel, และ Qualcomm เพื่อเสริมแกร่งโซลูชัน
    - ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในระดับองค์กร แต่ก็มีบางส่วน เช่น จอภาพและพีซี Area-51 ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคและเกมเมอร์
    - ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม สามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ Dell หรือ session recaps จากงาน

    งาน Dell Technologies World 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 ณ ลาสเวกัส มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กร ดังนี้: 1️⃣ Dell AI Factory with NVIDIA 2.0 - อัปเกรดจากเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวในปี 2024 เป็นโซลูชันที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน AI อันทรงพลังและประหยัดพลังงาน รองรับการประมวลผล AI ในระดับองค์กร - รองรับการใช้งาน Large Language Models (LLMs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบน On-Premises ถูกกว่าการใช้ Public Cloud สูงสุดถึง 62% - รองรับ GPU สูงสุด 256 ตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge เพื่อประมวลผล AI ขนาดใหญ่ 2️⃣ เซิร์ฟเวอร์ PowerEdge รุ่นใหม่ - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ รองรับ NVIDIA GPUs เช่น GB10 และ GB300 รวมถึง RTX Pro Enterprise Server Edition สำหรับงาน AI ในระดับองค์กร - มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับ AI Factories 3️⃣ Dell Project Lightning - ระบบไฟล์แบบ Parallel ที่เร็วที่สุดในโลก ด้วย Throughput สูงกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ช่วยเร่งการฝึกอบรม AI และจัดการเวิร์กโหลดที่ซับซ้อน - เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น Recommendation Engines และ Semantic Search 4️⃣ Dell Data Lakehouse Enhancements - ปรับปรุงเพื่อลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์ AI ช่วยให้สร้างและจัดการชุดข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI ได้ง่ายขึ้น รองรับ use cases เช่น การตรวจจับเจตนาของลูกค้า 5️⃣ พีซี AI รุ่นใหม่ - เปิดตัวพีซีเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อม Qualcomm AI Accelerator แบบ Discrete เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ Edge - Dell Pro Max และ Pro Max Plus รุ่นใหม่ ใช้ชิป Qualcomm แทน NVIDIA เพื่อการประมวลผล AI ที่ Edge อย่างมีประสิทธิภาพ 6️⃣ Dell Linear Pluggable Optics - เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลด Latency และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับ High Performance Computing (HPC) และ AI Fabrics 7️⃣ Dell AI Security and Resiliency Services - บริการด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสำหรับ AI คาดว่าจะวางจำหน่ายในบางประเทศตั้งแต่มิถุนายน 2568 8️⃣ จอภาพและอุปกรณ์ใหม่ - จอ Dell UltraSharp 32 4K Thunderbolt Hub Monitor: จอแรกของโลกที่มี IPS Black Contrast Ratio 3000:1 ได้รับคะแนน 5 ดาวด้าน Eye Comfort - จอ Dell 32 Plus 4K QD-OLED Monitor: มาพร้อม 3D Spatial Audio และ Dolby Vision - Area-51 Desktop และ Laptop (16 และ 18 นิ้ว): ออกแบบใหม่สำหรับเกมเมอร์ ด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงและดีไซน์ Sci-Fi 9️⃣ Dell NativeEdge AI Updates - อัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการ AI ที่ Edge วางจำหน่ายแล้วในบางประเทศ ℹ️ℹ️ หมายเหตุ ℹ️ℹ️ - งานนี้เน้นหนักไปที่ AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง NVIDIA, AMD, Intel, และ Qualcomm เพื่อเสริมแกร่งโซลูชัน - ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในระดับองค์กร แต่ก็มีบางส่วน เช่น จอภาพและพีซี Area-51 ที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคและเกมเมอร์ - ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม สามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ Dell หรือ session recaps จากงาน
    0 Comments 0 Shares 471 Views 0 Reviews
More Results