• Amazon กำลังเผชิญกับความขัดแย้งกับรัฐบาลทรัมป์ หลังจากมีรายงานว่า Amazon เตรียมแสดง ต้นทุนภาษีศุลกากร บนหน้ารายละเอียดสินค้า ซึ่งถูกมองว่าเป็น การกระทำที่เป็นศัตรูและมีเจตนาทางการเมือง โดย Karoline Leavitt โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า Amazon กำลังร่วมมือกับ หน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของจีน

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนโยบายภาษีศุลกากรเป็นประเด็นร้อนที่ถูกถกเถียงกันอย่างหนัก รายงานจาก Punchbowl News ระบุว่า Amazon อาจต้องการให้ผู้บริโภคเห็นว่าภาษีศุลกากรส่งผลต่อราคาสินค้าโดยตรง

    แม้ว่า Amazon ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การตอบโต้จากทำเนียบขาวอาจทำให้บริษัทต้องพิจารณาแนวทางใหม่

    ✅ แผนของ Amazon
    - เตรียมแสดงต้นทุนภาษีศุลกากรบนหน้ารายละเอียดสินค้า
    - อาจต้องการให้ผู้บริโภคเห็นว่าภาษีส่งผลต่อราคาสินค้าโดยตรง

    ✅ การตอบโต้จากรัฐบาลทรัมป์
    - โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า Amazon กำลังร่วมมือกับหน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของจีน
    - มองว่าเป็นการกระทำที่เป็นศัตรูและมีเจตนาทางการเมือง

    ✅ ผลกระทบต่อ Amazon
    - อาจต้องพิจารณาแนวทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับรัฐบาล
    - อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง Amazon และผู้บริโภคในสหรัฐฯ

    ✅ แนวโน้มของตลาดอีคอมเมิร์ซ
    - หาก Amazon ดำเนินแผนนี้ต่อไป อาจส่งผลต่อการกำหนดราคาสินค้าในตลาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/amazons-tariff-transparency-plans-for-product-pages-dubbed-hostile-and-political-act-by-the-trump-administration
    Amazon กำลังเผชิญกับความขัดแย้งกับรัฐบาลทรัมป์ หลังจากมีรายงานว่า Amazon เตรียมแสดง ต้นทุนภาษีศุลกากร บนหน้ารายละเอียดสินค้า ซึ่งถูกมองว่าเป็น การกระทำที่เป็นศัตรูและมีเจตนาทางการเมือง โดย Karoline Leavitt โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า Amazon กำลังร่วมมือกับ หน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของจีน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนโยบายภาษีศุลกากรเป็นประเด็นร้อนที่ถูกถกเถียงกันอย่างหนัก รายงานจาก Punchbowl News ระบุว่า Amazon อาจต้องการให้ผู้บริโภคเห็นว่าภาษีศุลกากรส่งผลต่อราคาสินค้าโดยตรง แม้ว่า Amazon ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การตอบโต้จากทำเนียบขาวอาจทำให้บริษัทต้องพิจารณาแนวทางใหม่ ✅ แผนของ Amazon - เตรียมแสดงต้นทุนภาษีศุลกากรบนหน้ารายละเอียดสินค้า - อาจต้องการให้ผู้บริโภคเห็นว่าภาษีส่งผลต่อราคาสินค้าโดยตรง ✅ การตอบโต้จากรัฐบาลทรัมป์ - โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า Amazon กำลังร่วมมือกับหน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของจีน - มองว่าเป็นการกระทำที่เป็นศัตรูและมีเจตนาทางการเมือง ✅ ผลกระทบต่อ Amazon - อาจต้องพิจารณาแนวทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับรัฐบาล - อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง Amazon และผู้บริโภคในสหรัฐฯ ✅ แนวโน้มของตลาดอีคอมเมิร์ซ - หาก Amazon ดำเนินแผนนี้ต่อไป อาจส่งผลต่อการกำหนดราคาสินค้าในตลาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/amazons-tariff-transparency-plans-for-product-pages-dubbed-hostile-and-political-act-by-the-trump-administration
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ได้เริ่มต้นการปล่อยดาวเทียมชุดแรกของ Project Kuiper ซึ่งเป็นโครงการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ตั้งเป้าแข่งขันกับ Starlink ของ SpaceX โดย Andy Jassy CEO ของ Amazon ได้ยืนยันว่าดาวเทียม 27 ดวงแรก ได้เข้าสู่วงโคจรต่ำของโลกและทำงานได้ตามที่คาดหมาย

    โครงการนี้เป็นก้าวแรกของแผนการปล่อยดาวเทียมทั้งหมด 3,236 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยใช้เวลาถึง 6 ปี ตั้งแต่การขออนุญาตจาก FCC จนถึงการปล่อยดาวเทียมชุดแรก คาดว่า Amazon จะใช้เวลาอีกหลายเดือนก่อนที่จะเริ่มให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    แม้ว่า Amazon จะเข้าสู่ตลาดช้ากว่า SpaceX ซึ่งมีดาวเทียม 7,000 ดวง ในวงโคจรแล้ว และมีแผนเพิ่มอีก 35,000 ดวง แต่การแข่งขันนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น และอาจทำให้ราคาบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมลดลง

    นอกจากนี้ SpaceSail บริษัทจากจีนก็เข้าสู่ตลาดนี้ด้วย โดยมีดาวเทียม 648 ดวง ในวงโคจร และมีแผนขยายเป็น 15,000 ดวง ภายในปี 2030

    ✅ การปล่อยดาวเทียมชุดแรก
    - Amazon ปล่อยดาวเทียม 27 ดวงแรกเข้าสู่วงโคจรต่ำของโลก
    - ดาวเทียมทำงานได้ตามที่คาดหมาย

    ✅ แผนการขยายโครงการ
    - มีแผนปล่อยดาวเทียมทั้งหมด 3,236 ดวง
    - ใช้เวลา 6 ปีตั้งแต่การขออนุญาตจนถึงการปล่อยดาวเทียมชุดแรก

    ✅ การแข่งขันกับ Starlink
    - SpaceX มีดาวเทียม 7,000 ดวงในวงโคจร และมีแผนเพิ่มอีก 35,000 ดวง
    - การแข่งขันอาจช่วยลดราคาบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    ✅ ผู้เล่นรายใหม่ในตลาด
    - SpaceSail จากจีนมีดาวเทียม 648 ดวง และมีแผนขยายเป็น 15,000 ดวงภายในปี 2030

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/amazons-starlink-rival-sees-the-first-27-satellites-successfully-reach-low-earth-orbit-project-kuiper-satellites-operating-as-expected
    Amazon ได้เริ่มต้นการปล่อยดาวเทียมชุดแรกของ Project Kuiper ซึ่งเป็นโครงการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ตั้งเป้าแข่งขันกับ Starlink ของ SpaceX โดย Andy Jassy CEO ของ Amazon ได้ยืนยันว่าดาวเทียม 27 ดวงแรก ได้เข้าสู่วงโคจรต่ำของโลกและทำงานได้ตามที่คาดหมาย โครงการนี้เป็นก้าวแรกของแผนการปล่อยดาวเทียมทั้งหมด 3,236 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยใช้เวลาถึง 6 ปี ตั้งแต่การขออนุญาตจาก FCC จนถึงการปล่อยดาวเทียมชุดแรก คาดว่า Amazon จะใช้เวลาอีกหลายเดือนก่อนที่จะเริ่มให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม แม้ว่า Amazon จะเข้าสู่ตลาดช้ากว่า SpaceX ซึ่งมีดาวเทียม 7,000 ดวง ในวงโคจรแล้ว และมีแผนเพิ่มอีก 35,000 ดวง แต่การแข่งขันนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น และอาจทำให้ราคาบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมลดลง นอกจากนี้ SpaceSail บริษัทจากจีนก็เข้าสู่ตลาดนี้ด้วย โดยมีดาวเทียม 648 ดวง ในวงโคจร และมีแผนขยายเป็น 15,000 ดวง ภายในปี 2030 ✅ การปล่อยดาวเทียมชุดแรก - Amazon ปล่อยดาวเทียม 27 ดวงแรกเข้าสู่วงโคจรต่ำของโลก - ดาวเทียมทำงานได้ตามที่คาดหมาย ✅ แผนการขยายโครงการ - มีแผนปล่อยดาวเทียมทั้งหมด 3,236 ดวง - ใช้เวลา 6 ปีตั้งแต่การขออนุญาตจนถึงการปล่อยดาวเทียมชุดแรก ✅ การแข่งขันกับ Starlink - SpaceX มีดาวเทียม 7,000 ดวงในวงโคจร และมีแผนเพิ่มอีก 35,000 ดวง - การแข่งขันอาจช่วยลดราคาบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ✅ ผู้เล่นรายใหม่ในตลาด - SpaceSail จากจีนมีดาวเทียม 648 ดวง และมีแผนขยายเป็น 15,000 ดวงภายในปี 2030 https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/amazons-starlink-rival-sees-the-first-27-satellites-successfully-reach-low-earth-orbit-project-kuiper-satellites-operating-as-expected
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วง 100 วันแรก ของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดย S&P 500 ลดลงเกือบ 8% ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025

    นโยบายของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงภาษีส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด โดยมีทั้ง บริษัทที่ได้รับประโยชน์และบริษัทที่ได้รับผลกระทบ อย่างชัดเจน

    ✅ บริษัทที่ได้รับประโยชน์
    - Palantir เพิ่มขึ้นเกือบ 60% เนื่องจากได้รับสัญญาจากกระทรวงกลาโหม
    - Newsmax เพิ่มขึ้นกว่า 60% หลังเปิดตัวในตลาดหุ้น
    - Newmont และบริษัทเหมืองทองอื่นๆ เพิ่มขึ้น 20-50% เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

    ✅ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ
    - สายการบินสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 33% เนื่องจากภาษีและความต้องการเดินทางที่ลดลง
    - Tesla ลดลง 33% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล
    - Kohl’s ลดลง 46% และ Macy’s ลดลง 17% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
    - Teradyne และ Zebra Technologies ลดลงกว่า 40% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีและข้อจำกัดทางการค้า

    ✅ แนวโน้มของตลาดหุ้น
    - นักลงทุนยังคงจับตานโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
    - ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/29/wall-street039s-winners-and-losers-during-trump039s-100-days-at-white-house
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วง 100 วันแรก ของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดย S&P 500 ลดลงเกือบ 8% ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 นโยบายของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงภาษีส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด โดยมีทั้ง บริษัทที่ได้รับประโยชน์และบริษัทที่ได้รับผลกระทบ อย่างชัดเจน ✅ บริษัทที่ได้รับประโยชน์ - Palantir เพิ่มขึ้นเกือบ 60% เนื่องจากได้รับสัญญาจากกระทรวงกลาโหม - Newsmax เพิ่มขึ้นกว่า 60% หลังเปิดตัวในตลาดหุ้น - Newmont และบริษัทเหมืองทองอื่นๆ เพิ่มขึ้น 20-50% เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ✅ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ - สายการบินสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 33% เนื่องจากภาษีและความต้องการเดินทางที่ลดลง - Tesla ลดลง 33% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล - Kohl’s ลดลง 46% และ Macy’s ลดลง 17% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง - Teradyne และ Zebra Technologies ลดลงกว่า 40% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีและข้อจำกัดทางการค้า ✅ แนวโน้มของตลาดหุ้น - นักลงทุนยังคงจับตานโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว - ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/29/wall-street039s-winners-and-losers-during-trump039s-100-days-at-white-house
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Wall Street's winners and losers during Trump's 100 days at White House
    (Reuters) -The dramatic shift in U.S. domestic and foreign policy since President Donald Trump returned to the White House on January 20 has sent shockwaves across global financial markets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • PayPal ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งสามารถทำกำไรได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยบริษัทยังคงคาดการณ์กำไรทั้งปีไว้ที่ $4.95 - $5.10 ต่อหุ้น

    แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน แต่ PayPal ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก CEO Alex Chriss ระบุว่าบริษัทกำลังมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง แทนที่จะเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด

    นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของบริการ Branded Checkout เช่น PayPal และ Venmo ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันจาก Apple และ Google อย่างไรก็ตาม PayPal ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เช่น Fastlane Guest Checkout เพื่อรักษาตำแหน่งในตลาด

    ✅ ผลประกอบการไตรมาสแรก
    - กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.33 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $1.16
    - คาดการณ์กำไรทั้งปีอยู่ที่ $4.95 - $5.10 ต่อหุ้น

    ✅ แนวโน้มเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภค
    - การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน
    - PayPal ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

    ✅ กลยุทธ์ของบริษัท
    - มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง แทนที่จะเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด
    - เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เช่น Fastlane Guest Checkout

    ✅ การแข่งขันในตลาด
    - บริการ Branded Checkout เผชิญกับการแข่งขันจาก Apple และ Google
    - PayPal ตั้งเป้าเพิ่มการเติบโตของ Branded Checkout เป็น 8-10% ภายในปี 2027

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/29/paypal-beats-profit-targets-maintains-annual-earnings-forecast-amid-us-trade-uncertainty
    PayPal ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งสามารถทำกำไรได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยบริษัทยังคงคาดการณ์กำไรทั้งปีไว้ที่ $4.95 - $5.10 ต่อหุ้น แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน แต่ PayPal ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก CEO Alex Chriss ระบุว่าบริษัทกำลังมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง แทนที่จะเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของบริการ Branded Checkout เช่น PayPal และ Venmo ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันจาก Apple และ Google อย่างไรก็ตาม PayPal ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เช่น Fastlane Guest Checkout เพื่อรักษาตำแหน่งในตลาด ✅ ผลประกอบการไตรมาสแรก - กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.33 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $1.16 - คาดการณ์กำไรทั้งปีอยู่ที่ $4.95 - $5.10 ต่อหุ้น ✅ แนวโน้มเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภค - การใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน - PayPal ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ✅ กลยุทธ์ของบริษัท - มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง แทนที่จะเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด - เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เช่น Fastlane Guest Checkout ✅ การแข่งขันในตลาด - บริการ Branded Checkout เผชิญกับการแข่งขันจาก Apple และ Google - PayPal ตั้งเป้าเพิ่มการเติบโตของ Branded Checkout เป็น 8-10% ภายในปี 2027 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/29/paypal-beats-profit-targets-maintains-annual-earnings-forecast-amid-us-trade-uncertainty
    WWW.THESTAR.COM.MY
    PayPal beats profit targets, flags spending pull forward amid economic uncertainty
    (Reuters) - PayPal beat Wall Street estimates for first-quarter earnings and stuck to its annual profit forecast on Tuesday, even at a time when U.S. President Donald Trump's tariffs have fueled economic uncertainty.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐน่าวิเคราะห์ว่า จะมีการขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐกันอย่างไรด้านจีน ฝ่ายผู้บริโภค สินค้าจำเป็นบางอย่างจำเป็นต้องซื้อจากสหรัฐ เช่น ก๊าซอีเทน รัฐบาลใช้วิธียกเว้นแบบเงียบๆฝ่ายผู้ผลิต โรงงานอุตสาหกรรมเบาหลายแห่งต้องปิด คนงานกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด แต่การเมืองยังไม่เดือดร้อนมาก เพราะไม่มีเลือกตั้งด้านสหรัฐ รูป 1 ฝ่ายผู้บริโภค รัฐบาลใช้วิธียกเว้นสินค้าจำเป็นบางอย่างไปแล้ว 22% ของยอดนำเข้าจากจีนรูป 2 แต่เนื่องจาก 37% ของสินค้าจีน เป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบ ดังนั้น ขบวนการอุตสาหกรรมทั่วไปในสหรัฐ กำลังจะสะดุดนี่ยังไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและยุทโธปกรณ์ ที่จีนแบนแร่หายากสัปดาห์ก่อน บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ขอพบกับทรัมป์ แจ้งว่า สงครามภาษี จะทำให้ของเริ่มขาดตลาด ภายในไม่กี่สัปดาห์รูป 3 แสดงน่านน้ำจีน ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ S ท่าเรือนิงเบา N จำนวนเรือรอเข้า/ออก ยังมีมากรูป 4 แสดงน่านน้ำสหรัฐ ลอสแอนเจลีส L ซานฟรานซิสโก S จำนวนเรือเหลือน้อยมากSupply Chain Disruption กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ทั้งสินค้าคอนซูเมอร์ และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรูป 5 จะเห็นได้ว่า สินค้าจีนไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นของโฮเทค (สีชมพูคือเครื่องจักร เทเลคอม และรถยนต์) ซึ่งกว่าจะหาแหล่งทดแทนได้ จะใช้เวลานานสินค้าสหรัฐไปจีน เป็นของพื้นๆ ที่ทดแทนได้ง่าย (สีฟ้าคือน้ำมันและก๊าซ)รูป 6 แสดงสัดส่วนแต่ละสินค้า ที่สหรัฐซื้อจากจีน ไฟ LED และเตาไมโครเวฟ เกิน 90%สมาร์ทโฟน วีดีโอเกม และพัดลม เกิน 80% ของเล่น สินค้าพลาสติก และจอคอมพิวเตอร์ เกิน 70%แลปท้อป และแบตเตอรี่ลิเทียม เกิน 60%ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จะเผชิญปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. จึงคาดกันว่า ทรัมป์จะเป็นฝ่ายที่คลายปม ก่อนสีจิ้นผิงทางเลือกที่หนึ่ง เลื่อนการใช้กำแพง 145% ออกไปชั่วคราว เหมือน 184 ประเทศที่เหลือจะแก้ปัญหาฝ่ายผู้นำเข้า ฝ่ายผู้บริโภค และผู้ผลิตอุตสาหกรรมซัพพลายเชน แต่ถ้าจีนไม่เลื่อนเวลาบังคับใช้ 125% ออกไปเช่นกัน การส่งออกสินค้าเกษตร ก็ไม่ฟื้น และไม่รู้ว่า ทรัมป์จะเดินหมาก ให้ไม่ดูเป็นการเสียหน้าได้อย่างไรรวมทั้ง การเลื่อนจะทำให้ปัญหา ค้างคาอยู่ กดดันการวางแผนธุรกิจทางเลือกที่สอง ประกาศยกเว้นสินค้าเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่ยกเว้น 22% ที่นำเข้าจากจีนขึ้นไปเป็น 30-40-50% แต่ก็จะดูเหมือนเป็นการยอมแพ้อีกเช่นกันและไม่แก้ปัญหา ด้านสหรัฐส่งออกทางเลือกที่สาม ประกาศลดจาก 145% ลงเหลือ 54% ตามตารางที่ทรัมป์ยกชูขึ้น ในการแถลงข่าวเป็นไปได้ ที่จีนจะยอมลดลงมา ล้อเลียนกัน เช่น อาจจะลดจาก 125% เหลือ 25-30%แต่ต้องยอมรับว่า อัตรา 54% ก็ยังจะทำให้คนอเมริกัน เลือดซิบ ในการควักกระเป๋าข้อบปิ้งอยู่เช่นเดิมอัตรานี้ สหรัฐจะไปไม่ได้ในระยะยาว ทางเลือกที่สี่ ประกาศแก้ไขจาก 145% กลับไปเป็น 20% ก่อนวันปลดปล่อยอิสรภาพปัญหาสงครามภาษีจะคลี่คลายทันที แต่คงต้องยกเลิกการเจรจากับ 184 ประเทศที่เหลือโฟกัสปัญหา จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ การเมืองภายในพรรครีปับบิลกันทันทีวันที่ 29 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังhttps://www.facebook.com/share/p/1E1Z4MinwB/?mibextid=wwXIfr
    ขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐน่าวิเคราะห์ว่า จะมีการขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐกันอย่างไรด้านจีน ฝ่ายผู้บริโภค สินค้าจำเป็นบางอย่างจำเป็นต้องซื้อจากสหรัฐ เช่น ก๊าซอีเทน รัฐบาลใช้วิธียกเว้นแบบเงียบๆฝ่ายผู้ผลิต โรงงานอุตสาหกรรมเบาหลายแห่งต้องปิด คนงานกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด แต่การเมืองยังไม่เดือดร้อนมาก เพราะไม่มีเลือกตั้งด้านสหรัฐ รูป 1 ฝ่ายผู้บริโภค รัฐบาลใช้วิธียกเว้นสินค้าจำเป็นบางอย่างไปแล้ว 22% ของยอดนำเข้าจากจีนรูป 2 แต่เนื่องจาก 37% ของสินค้าจีน เป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบ ดังนั้น ขบวนการอุตสาหกรรมทั่วไปในสหรัฐ กำลังจะสะดุดนี่ยังไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและยุทโธปกรณ์ ที่จีนแบนแร่หายากสัปดาห์ก่อน บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ขอพบกับทรัมป์ แจ้งว่า สงครามภาษี จะทำให้ของเริ่มขาดตลาด ภายในไม่กี่สัปดาห์รูป 3 แสดงน่านน้ำจีน ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ S ท่าเรือนิงเบา N จำนวนเรือรอเข้า/ออก ยังมีมากรูป 4 แสดงน่านน้ำสหรัฐ ลอสแอนเจลีส L ซานฟรานซิสโก S จำนวนเรือเหลือน้อยมากSupply Chain Disruption กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ทั้งสินค้าคอนซูเมอร์ และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรูป 5 จะเห็นได้ว่า สินค้าจีนไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นของโฮเทค (สีชมพูคือเครื่องจักร เทเลคอม และรถยนต์) ซึ่งกว่าจะหาแหล่งทดแทนได้ จะใช้เวลานานสินค้าสหรัฐไปจีน เป็นของพื้นๆ ที่ทดแทนได้ง่าย (สีฟ้าคือน้ำมันและก๊าซ)รูป 6 แสดงสัดส่วนแต่ละสินค้า ที่สหรัฐซื้อจากจีน ไฟ LED และเตาไมโครเวฟ เกิน 90%สมาร์ทโฟน วีดีโอเกม และพัดลม เกิน 80% ของเล่น สินค้าพลาสติก และจอคอมพิวเตอร์ เกิน 70%แลปท้อป และแบตเตอรี่ลิเทียม เกิน 60%ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จะเผชิญปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. จึงคาดกันว่า ทรัมป์จะเป็นฝ่ายที่คลายปม ก่อนสีจิ้นผิงทางเลือกที่หนึ่ง เลื่อนการใช้กำแพง 145% ออกไปชั่วคราว เหมือน 184 ประเทศที่เหลือจะแก้ปัญหาฝ่ายผู้นำเข้า ฝ่ายผู้บริโภค และผู้ผลิตอุตสาหกรรมซัพพลายเชน แต่ถ้าจีนไม่เลื่อนเวลาบังคับใช้ 125% ออกไปเช่นกัน การส่งออกสินค้าเกษตร ก็ไม่ฟื้น และไม่รู้ว่า ทรัมป์จะเดินหมาก ให้ไม่ดูเป็นการเสียหน้าได้อย่างไรรวมทั้ง การเลื่อนจะทำให้ปัญหา ค้างคาอยู่ กดดันการวางแผนธุรกิจทางเลือกที่สอง ประกาศยกเว้นสินค้าเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่ยกเว้น 22% ที่นำเข้าจากจีนขึ้นไปเป็น 30-40-50% แต่ก็จะดูเหมือนเป็นการยอมแพ้อีกเช่นกันและไม่แก้ปัญหา ด้านสหรัฐส่งออกทางเลือกที่สาม ประกาศลดจาก 145% ลงเหลือ 54% ตามตารางที่ทรัมป์ยกชูขึ้น ในการแถลงข่าวเป็นไปได้ ที่จีนจะยอมลดลงมา ล้อเลียนกัน เช่น อาจจะลดจาก 125% เหลือ 25-30%แต่ต้องยอมรับว่า อัตรา 54% ก็ยังจะทำให้คนอเมริกัน เลือดซิบ ในการควักกระเป๋าข้อบปิ้งอยู่เช่นเดิมอัตรานี้ สหรัฐจะไปไม่ได้ในระยะยาว ทางเลือกที่สี่ ประกาศแก้ไขจาก 145% กลับไปเป็น 20% ก่อนวันปลดปล่อยอิสรภาพปัญหาสงครามภาษีจะคลี่คลายทันที แต่คงต้องยกเลิกการเจรจากับ 184 ประเทศที่เหลือโฟกัสปัญหา จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ การเมืองภายในพรรครีปับบิลกันทันทีวันที่ 29 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังhttps://www.facebook.com/share/p/1E1Z4MinwB/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • งาน Auto Shanghai 2025 ได้เปิดตัวนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่เน้นเทคโนโลยีล้ำสมัยและความสะดวกสบายของผู้โดยสาร โดยมีการจัดแสดงรถยนต์ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ เบาะนวด และฟีเจอร์เสริมอื่นๆ รวมถึงการเปิดตัวแท็กซี่บินได้ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชม

    งานนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งาน มากกว่าการเน้นสมรรถนะของเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว

    ✅ นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
    - รถยนต์ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่และเบาะนวด
    - การเปิดตัวแท็กซี่บินได้ที่ดึงดูดความสนใจ

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์
    - มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
    - ลดความสำคัญของสมรรถนะเครื่องยนต์

    ✅ การจัดแสดงและผู้เข้าร่วมงาน
    - มีผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์เข้าร่วมงานหลายร้อยราย
    - การจัดแสดงรถยนต์ที่เน้นความสะดวกสบายและเทคโนโลยีล้ำสมัย

    ✅ เป้าหมายของงาน
    - นำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/28/screens-drones-massages-shanghai-flaunts-the-future-of-cars
    งาน Auto Shanghai 2025 ได้เปิดตัวนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่เน้นเทคโนโลยีล้ำสมัยและความสะดวกสบายของผู้โดยสาร โดยมีการจัดแสดงรถยนต์ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ เบาะนวด และฟีเจอร์เสริมอื่นๆ รวมถึงการเปิดตัวแท็กซี่บินได้ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชม งานนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งาน มากกว่าการเน้นสมรรถนะของเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว ✅ นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต - รถยนต์ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่และเบาะนวด - การเปิดตัวแท็กซี่บินได้ที่ดึงดูดความสนใจ ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ - มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งาน - ลดความสำคัญของสมรรถนะเครื่องยนต์ ✅ การจัดแสดงและผู้เข้าร่วมงาน - มีผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์เข้าร่วมงานหลายร้อยราย - การจัดแสดงรถยนต์ที่เน้นความสะดวกสบายและเทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ เป้าหมายของงาน - นำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/28/screens-drones-massages-shanghai-flaunts-the-future-of-cars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Screens, drones, massages: Shanghai flaunts the future of cars
    At the huge Auto Shanghai industry show this week, the chatter was less about powerful engines and more about cutting-edge technology and passenger comfort.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • YKK บริษัทผู้ผลิตซิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัวต้นแบบซิปอัตโนมัติที่สามารถรูดขึ้นและลงได้เองด้วยมอเตอร์และรีโมตควบคุมแบบมีสาย โดยซิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการการเชื่อมต่อวัสดุในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก เช่น การเชื่อมผ้าหรือวัสดุอื่นๆ ในระดับความสูงที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    ต้นแบบซิปอัตโนมัตินี้สามารถรูดซิปขึ้นไปได้สูงถึง 5 เมตร ภายในเวลาเพียง 40 วินาที และยังสามารถเชื่อมต่อเต็นท์ที่มีความสูง 2.5 เมตร และกว้าง 4 เมตร ได้ในเวลาเพียง 50 วินาที อย่างไรก็ตาม ซิปนี้ยังคงมีขนาดใหญ่และต้องใช้พลังงานจากตัวควบคุมที่มีสาย ทำให้ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในตลาดผู้บริโภคทั่วไป

    YKK ยังได้พัฒนานวัตกรรมอื่นๆ เช่น ซิปแม่เหล็กที่สามารถเชื่อมต่อและถอดออกได้ง่าย รวมถึงคลิปแม่เหล็กที่ใช้แทนกระดุมในกางเกง ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม

    ✅ การออกแบบและการใช้งาน
    - ซิปอัตโนมัติสามารถรูดขึ้นไปได้สูงถึง 5 เมตรในเวลา 40 วินาที
    - ใช้รีโมตควบคุมแบบมีสายและมอเตอร์ในการทำงาน

    ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรม
    - เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อวัสดุในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
    - ช่วยลดความเสี่ยงในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ✅ นวัตกรรมอื่นๆ ของ YKK
    - ซิปแม่เหล็กที่เชื่อมต่อและถอดออกได้ง่าย
    - คลิปแม่เหล็กที่ใช้แทนกระดุมในกางเกง

    ✅ เป้าหมายของ YKK
    - มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรม

    https://www.techspot.com/news/107692-self-propelled-zippers-have-arrived-but-theyre-not.html
    YKK บริษัทผู้ผลิตซิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัวต้นแบบซิปอัตโนมัติที่สามารถรูดขึ้นและลงได้เองด้วยมอเตอร์และรีโมตควบคุมแบบมีสาย โดยซิปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการการเชื่อมต่อวัสดุในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก เช่น การเชื่อมผ้าหรือวัสดุอื่นๆ ในระดับความสูงที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย ต้นแบบซิปอัตโนมัตินี้สามารถรูดซิปขึ้นไปได้สูงถึง 5 เมตร ภายในเวลาเพียง 40 วินาที และยังสามารถเชื่อมต่อเต็นท์ที่มีความสูง 2.5 เมตร และกว้าง 4 เมตร ได้ในเวลาเพียง 50 วินาที อย่างไรก็ตาม ซิปนี้ยังคงมีขนาดใหญ่และต้องใช้พลังงานจากตัวควบคุมที่มีสาย ทำให้ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในตลาดผู้บริโภคทั่วไป YKK ยังได้พัฒนานวัตกรรมอื่นๆ เช่น ซิปแม่เหล็กที่สามารถเชื่อมต่อและถอดออกได้ง่าย รวมถึงคลิปแม่เหล็กที่ใช้แทนกระดุมในกางเกง ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ✅ การออกแบบและการใช้งาน - ซิปอัตโนมัติสามารถรูดขึ้นไปได้สูงถึง 5 เมตรในเวลา 40 วินาที - ใช้รีโมตควบคุมแบบมีสายและมอเตอร์ในการทำงาน ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรม - เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อวัสดุในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก - ช่วยลดความเสี่ยงในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง ✅ นวัตกรรมอื่นๆ ของ YKK - ซิปแม่เหล็กที่เชื่อมต่อและถอดออกได้ง่าย - คลิปแม่เหล็กที่ใช้แทนกระดุมในกางเกง ✅ เป้าหมายของ YKK - มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรม https://www.techspot.com/news/107692-self-propelled-zippers-have-arrived-but-theyre-not.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    World's largest zipper maker YKK shows off self-fastening zippers powered by motors and remote controls
    Japanese manufacturer YKK recently announced successful testing results for a prototype automatic zipper. The company suggests that it could help people fasten objects in difficult-to-reach areas.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Phison ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรด้วย SSD รุ่น Pascari X200E ซึ่งมีความจุสูงสุดถึง 30.72TB และรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความเร็วและความหนาแน่นสูง โดย SSD รุ่นนี้สามารถทำความเร็วในการอ่านแบบต่อเนื่องได้ถึง 15,025MB/s ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ และยังเป็น SSD แรกที่สามารถทำงานได้เกิน 1 ล้าน IOPS ในการทดสอบแบบ 8K 70/30

    X200E ใช้ตัวควบคุม Phison PS5302-X2-66 และ NAND แบบ Hynix 176-layer eTLC พร้อมอินเทอร์เฟซ PCIe Gen5 x4 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานในศูนย์ข้อมูลและการประมวลผล AI โดย SSD รุ่นนี้สามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานได้แม้ในสถานการณ์ที่มีการใช้งานแบบสุ่มและมีความลึกของคิวสูงถึง 4096

    อย่างไรก็ตาม SSD รุ่นนี้ไม่สามารถใช้งานกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ เนื่องจากต้องการอินเทอร์เฟซแบบ U.2 และ E3.S ซึ่งไม่รองรับในเมนบอร์ดสำหรับผู้บริโภคทั่วไป

    ✅ ความเร็วและประสิทธิภาพ
    - ความเร็วในการอ่านแบบต่อเนื่องสูงสุด 15,025MB/s
    - เป็น SSD แรกที่ทำงานได้เกิน 1 ล้าน IOPS

    ✅ การออกแบบและเทคโนโลยี
    - ใช้ตัวควบคุม Phison PS5302-X2-66 และ NAND แบบ Hynix 176-layer eTLC
    - รองรับอินเทอร์เฟซ PCIe Gen5 x4

    ✅ การใช้งานในศูนย์ข้อมูล
    - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI และการทำงานในศูนย์ข้อมูล
    - รักษาประสิทธิภาพการทำงานแม้ในสถานการณ์ที่มีความลึกของคิวสูง

    ✅ ความจุและรูปแบบ
    - ความจุสูงสุด 30.72TB
    - มีรูปแบบ U.2 และ E3.S

    https://www.techradar.com/pro/this-ssd-just-smashed-the-15-gbps-speed-barrier-to-become-the-fastest-ever-tested-but-you-wont-be-able-to-run-it-on-a-normal-pc
    Phison ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรด้วย SSD รุ่น Pascari X200E ซึ่งมีความจุสูงสุดถึง 30.72TB และรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความเร็วและความหนาแน่นสูง โดย SSD รุ่นนี้สามารถทำความเร็วในการอ่านแบบต่อเนื่องได้ถึง 15,025MB/s ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ และยังเป็น SSD แรกที่สามารถทำงานได้เกิน 1 ล้าน IOPS ในการทดสอบแบบ 8K 70/30 X200E ใช้ตัวควบคุม Phison PS5302-X2-66 และ NAND แบบ Hynix 176-layer eTLC พร้อมอินเทอร์เฟซ PCIe Gen5 x4 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานในศูนย์ข้อมูลและการประมวลผล AI โดย SSD รุ่นนี้สามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานได้แม้ในสถานการณ์ที่มีการใช้งานแบบสุ่มและมีความลึกของคิวสูงถึง 4096 อย่างไรก็ตาม SSD รุ่นนี้ไม่สามารถใช้งานกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ เนื่องจากต้องการอินเทอร์เฟซแบบ U.2 และ E3.S ซึ่งไม่รองรับในเมนบอร์ดสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ✅ ความเร็วและประสิทธิภาพ - ความเร็วในการอ่านแบบต่อเนื่องสูงสุด 15,025MB/s - เป็น SSD แรกที่ทำงานได้เกิน 1 ล้าน IOPS ✅ การออกแบบและเทคโนโลยี - ใช้ตัวควบคุม Phison PS5302-X2-66 และ NAND แบบ Hynix 176-layer eTLC - รองรับอินเทอร์เฟซ PCIe Gen5 x4 ✅ การใช้งานในศูนย์ข้อมูล - ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI และการทำงานในศูนย์ข้อมูล - รักษาประสิทธิภาพการทำงานแม้ในสถานการณ์ที่มีความลึกของคิวสูง ✅ ความจุและรูปแบบ - ความจุสูงสุด 30.72TB - มีรูปแบบ U.2 และ E3.S https://www.techradar.com/pro/this-ssd-just-smashed-the-15-gbps-speed-barrier-to-become-the-fastest-ever-tested-but-you-wont-be-able-to-run-it-on-a-normal-pc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gigabyte ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาการรั่วไหลของเจลระบายความร้อนในกราฟิกการ์ด RTX 50-series ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในผลิตภัณฑ์รุ่นแรกๆ ของสายการผลิต โดยเจลระบายความร้อนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสัมผัสที่ดีขึ้นระหว่างพื้นผิวที่ไม่เรียบของส่วนประกอบ และสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 150°C โดยไม่ละลาย

    Gigabyte ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจากการใช้เจลในปริมาณที่มากเกินไปในสายการผลิตช่วงแรก ซึ่งส่งผลให้เกิดการรั่วไหลที่มองเห็นได้ แต่ยืนยันว่าปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ความเสถียร หรืออายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่

    อย่างไรก็ตาม Gigabyte ยังไม่ได้ประกาศโปรแกรมเรียกคืนหรือเปลี่ยนสินค้า โดยแนะนำให้ผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบติดต่อศูนย์บริการลูกค้าในภูมิภาคของตน

    ✅ การออกแบบเจลระบายความร้อน
    - เจลระบายความร้อนถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสัมผัสที่ดีขึ้นระหว่างพื้นผิวที่ไม่เรียบ
    - สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 150°C โดยไม่ละลาย

    ✅ ปัญหาที่พบในสายการผลิต
    - การใช้เจลในปริมาณที่มากเกินไปในสายการผลิตช่วงแรก
    - ปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ความเสถียร หรืออายุการใช้งาน

    ✅ การตอบสนองของ Gigabyte
    - ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่
    - แนะนำให้ผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบติดต่อศูนย์บริการลูกค้า

    ✅ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
    - ปัญหานี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/gigabyte-addresses-rtx-50-series-thermal-gel-leak-blames-over-application-in-early-production-units
    Gigabyte ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาการรั่วไหลของเจลระบายความร้อนในกราฟิกการ์ด RTX 50-series ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในผลิตภัณฑ์รุ่นแรกๆ ของสายการผลิต โดยเจลระบายความร้อนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสัมผัสที่ดีขึ้นระหว่างพื้นผิวที่ไม่เรียบของส่วนประกอบ และสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 150°C โดยไม่ละลาย Gigabyte ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจากการใช้เจลในปริมาณที่มากเกินไปในสายการผลิตช่วงแรก ซึ่งส่งผลให้เกิดการรั่วไหลที่มองเห็นได้ แต่ยืนยันว่าปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ความเสถียร หรืออายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม Gigabyte ยังไม่ได้ประกาศโปรแกรมเรียกคืนหรือเปลี่ยนสินค้า โดยแนะนำให้ผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบติดต่อศูนย์บริการลูกค้าในภูมิภาคของตน ✅ การออกแบบเจลระบายความร้อน - เจลระบายความร้อนถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสัมผัสที่ดีขึ้นระหว่างพื้นผิวที่ไม่เรียบ - สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 150°C โดยไม่ละลาย ✅ ปัญหาที่พบในสายการผลิต - การใช้เจลในปริมาณที่มากเกินไปในสายการผลิตช่วงแรก - ปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ความเสถียร หรืออายุการใช้งาน ✅ การตอบสนองของ Gigabyte - ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ - แนะนำให้ผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบติดต่อศูนย์บริการลูกค้า ✅ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค - ปัญหานี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/gigabyte-addresses-rtx-50-series-thermal-gel-leak-blames-over-application-in-early-production-units
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nike กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องในศาลสหรัฐฯ หลังจากปิดตัวธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตและ NFT ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงาน RTFKT ที่บริษัทเข้าซื้อในปี 2021 โดยผู้ซื้อ NFT และสินทรัพย์คริปโตที่เกี่ยวข้องกล่าวว่าการปิดตัวธุรกิจนี้ในเดือนธันวาคม 2024 ส่งผลให้ความต้องการในสินทรัพย์ของพวกเขาลดลงอย่างมาก และพวกเขาอ้างว่าหากทราบล่วงหน้าว่า NFT เหล่านี้เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน พวกเขาจะไม่ซื้อในราคาที่สูงหรืออาจไม่ซื้อเลย

    การฟ้องร้องนี้เป็นคดีแบบกลุ่มที่นำโดย Jagdeep Cheema ชาวออสเตรเลีย ซึ่งเรียกร้องค่าเสียหายมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าการปิดตัวธุรกิจนี้ละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในรัฐนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา และโอเรกอน

    Nike ระบุว่าแม้จะปิดตัว RTFKT แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก RTFKT

    ✅ การปิดตัวธุรกิจ RTFKT
    - Nike ปิดตัวธุรกิจ RTFKT ในเดือนธันวาคม 2024
    - ผู้ซื้อ NFT และสินทรัพย์คริปโตกล่าวว่าความต้องการในสินทรัพย์ของพวกเขาลดลง

    ✅ การฟ้องร้องในศาลสหรัฐฯ
    - คดีแบบกลุ่มนำโดย Jagdeep Cheema ชาวออสเตรเลีย
    - เรียกร้องค่าเสียหายมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์

    ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ NFT
    - ผู้ซื้ออ้างว่าหากทราบล่วงหน้าว่า NFT เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน พวกเขาจะไม่ซื้อ

    ✅ การตอบสนองของ Nike
    - Nike ระบุว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการสร้างสรรค์และนวัตกรรม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/26/nike-sued-over-closure-of-crypto-business
    Nike กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องในศาลสหรัฐฯ หลังจากปิดตัวธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตและ NFT ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงาน RTFKT ที่บริษัทเข้าซื้อในปี 2021 โดยผู้ซื้อ NFT และสินทรัพย์คริปโตที่เกี่ยวข้องกล่าวว่าการปิดตัวธุรกิจนี้ในเดือนธันวาคม 2024 ส่งผลให้ความต้องการในสินทรัพย์ของพวกเขาลดลงอย่างมาก และพวกเขาอ้างว่าหากทราบล่วงหน้าว่า NFT เหล่านี้เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน พวกเขาจะไม่ซื้อในราคาที่สูงหรืออาจไม่ซื้อเลย การฟ้องร้องนี้เป็นคดีแบบกลุ่มที่นำโดย Jagdeep Cheema ชาวออสเตรเลีย ซึ่งเรียกร้องค่าเสียหายมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าการปิดตัวธุรกิจนี้ละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในรัฐนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา และโอเรกอน Nike ระบุว่าแม้จะปิดตัว RTFKT แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก RTFKT ✅ การปิดตัวธุรกิจ RTFKT - Nike ปิดตัวธุรกิจ RTFKT ในเดือนธันวาคม 2024 - ผู้ซื้อ NFT และสินทรัพย์คริปโตกล่าวว่าความต้องการในสินทรัพย์ของพวกเขาลดลง ✅ การฟ้องร้องในศาลสหรัฐฯ - คดีแบบกลุ่มนำโดย Jagdeep Cheema ชาวออสเตรเลีย - เรียกร้องค่าเสียหายมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ NFT - ผู้ซื้ออ้างว่าหากทราบล่วงหน้าว่า NFT เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน พวกเขาจะไม่ซื้อ ✅ การตอบสนองของ Nike - Nike ระบุว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการสร้างสรรค์และนวัตกรรม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/26/nike-sued-over-closure-of-crypto-business
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nike sued over closure of crypto business
    NEW YORK (Reuters) -Nike was sued on Friday by purchasers of Nike-themed non-fungible tokens (NFTs) and other cryptocurrency assets who said they suffered significant losses when the athletic wear company abruptly closed the business that created those assets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเผชิญกับความท้าทายในการขายชิป AI PC รุ่นใหม่ เช่น Lunar Lake และ Meteor Lake ซึ่งมีราคาสูงกว่าชิป Raptor Lake รุ่นก่อนหน้าอย่างมาก ผู้บริโภคและ OEMs เลือกใช้ชิปรุ่นเก่าที่มีราคาย่อมเยาแทน ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิตสำหรับชิปรุ่นเก่าในกระบวนการผลิต Intel 7 นอกจากนี้ Intel ยังประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กรและการลดต้นทุน รวมถึงการเลิกจ้างพนักงานเพื่อรับมือกับผลประกอบการที่ลดลง

    Intel ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และสร้างระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาเพื่อเพิ่มการใช้งานชิป AI PC อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนแอปพลิเคชันที่ดึงดูดผู้บริโภคยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

    ✅ ปัญหาการขายชิป AI PC รุ่นใหม่
    - Lunar Lake และ Meteor Lake มีราคาสูงกว่าชิปรุ่นก่อนหน้า
    - ผู้บริโภคและ OEMs เลือกใช้ชิปรุ่นเก่า เช่น Raptor Lake

    ✅ ปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิต
    - Intel เผชิญกับปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิตสำหรับชิปรุ่นเก่าในกระบวนการผลิต Intel 7
    - ความต้องการชิปรุ่นเก่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่เหมาะสม

    ✅ แผนการปรับโครงสร้างองค์กร
    - Intel ประกาศแผนการลดต้นทุนและการเลิกจ้างพนักงาน
    - มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI และสร้างระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนา

    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี AI
    - Intel ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และสร้างระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนา

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-ai-pc-chips-arent-selling-instead-last-gen-raptor-lake-booms-and-creates-a-shortage
    Intel กำลังเผชิญกับความท้าทายในการขายชิป AI PC รุ่นใหม่ เช่น Lunar Lake และ Meteor Lake ซึ่งมีราคาสูงกว่าชิป Raptor Lake รุ่นก่อนหน้าอย่างมาก ผู้บริโภคและ OEMs เลือกใช้ชิปรุ่นเก่าที่มีราคาย่อมเยาแทน ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิตสำหรับชิปรุ่นเก่าในกระบวนการผลิต Intel 7 นอกจากนี้ Intel ยังประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กรและการลดต้นทุน รวมถึงการเลิกจ้างพนักงานเพื่อรับมือกับผลประกอบการที่ลดลง Intel ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และสร้างระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาเพื่อเพิ่มการใช้งานชิป AI PC อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนแอปพลิเคชันที่ดึงดูดผู้บริโภคยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ✅ ปัญหาการขายชิป AI PC รุ่นใหม่ - Lunar Lake และ Meteor Lake มีราคาสูงกว่าชิปรุ่นก่อนหน้า - ผู้บริโภคและ OEMs เลือกใช้ชิปรุ่นเก่า เช่น Raptor Lake ✅ ปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิต - Intel เผชิญกับปัญหาขาดแคลนกำลังการผลิตสำหรับชิปรุ่นเก่าในกระบวนการผลิต Intel 7 - ความต้องการชิปรุ่นเก่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่เหมาะสม ✅ แผนการปรับโครงสร้างองค์กร - Intel ประกาศแผนการลดต้นทุนและการเลิกจ้างพนักงาน - มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI และสร้างระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนา ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี AI - Intel ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และสร้างระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนา https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-ai-pc-chips-arent-selling-instead-last-gen-raptor-lake-booms-and-creates-a-shortage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟูดเดลิเวอรี ถึงยุคกึ่งผูกขาด

    การประกาศปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า (Foodpanda) แพลตฟอร์มสั่งอาหารและของกินของใช้ออนไลน์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2568 นับเป็นการปิดฉากหนึ่งในผู้แข่งขันฟูดเดลิเวอรี (Food Delivery) ที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคชาวไทยมานานถึง 13 ปี นับตั้งแต่สตาร์ทอัพจากประเทศเยอรมนี เปิดให้บริการเป็นเจ้าแรกในไทยเมื่อปี 2555 ท่ามกลางการแข่งขันของผู้ให้บริการรายอื่น ตั้งแต่อูเบอร์อีท (Uber Eats) แกร็บฟู้ด (Grab Food) ไลน์แมน (LINE MAN) โกเจ็ก (Gojek) โรบินฮู้ด (Robinhood) และช้อปปี้ฟู้ด (Shopee Food) ซึ่งแต่ละรายต่างช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้บริโภคด้วยวิธีแตกต่างกันไป

    หากย้อนไปถึงงบกำไรขาดทุนของฟู้ดแพนด้าย้อนหลัง 9 ปี พบว่าขาดทุนสุทธิทุกปี โดยในช่วงแรกมีรายได้รวมหลักร้อยล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิเกือบ 100 ล้านบาท แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผู้คนไม่ออกจากบ้าน พบว่าปี 2563 มีรายได้รวมกว่า 4,375.12 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 3,595.90 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มีรายได้รวม 6,786.56 ล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิถึง 4,721.59 ล้านบาท มาถึง 2 ปีหลังล่าสุด รายได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง โดยปีที่ส่งงบการเงินล่าสุด 2566 รายได้รวม 3,843.30 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 522.48 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันเหลือเพียง 5%

    การปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า ทำให้แพลตฟอร์มฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่สองเจ้าอย่าง LINE MAN Wongnai และ Grab ต่างสะท้อนมุมมองว่าการแข่งขันอาจเปลี่ยนแปลงไปสู่การแข่งขันแบบกึ่งผูกขาดอย่างชัดเจน ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai มองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนจากสงครามราคา สู่สงครามคุณภาพ โดยจัดสมดุลระหว่างคุณภาพ บริการ และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ขณะที่ จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับกลยุทธ์โดยรักษาสมดุลวงจรธุรกิจเป็นอันดับแรก และสามารถทำกำไรต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี

    "จากในยุคแรกที่เริ่มด้วยการเผาเงินผ่านการให้ส่วนลดมากๆ เพื่อสร้างตลาด ซึ่งถือเป็นการสร้างเฟกดีมานด์ (อุปสงค์เทียม) มาเป็นการโฟกัสที่คุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการเป็นหัวใจสำคัญ" จันต์สุดา จากแกร็บ ประเทศไทย ระบุ

    อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของไรเดอร์ (Rider) เฟซบุ๊กเพจสหภาพไรเดอร์กลับมองว่า การที่ผู้บริหารฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่ระบุว่าจากสงครามราคามาเป็นสงครามคุณภาพ คนแบกรับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่แสนเอาเปรียบคือไรเดอร์ ที่ผ่านมาประสบปัญหาถูกกดค่ารอบไรเดอร์ พ่วงงานให้ลูกค้ารอไป 1-2 ชั่วโมง ทำงานแล้วเงินลดทุกปีเพราะอ้างว่าขาดทุน

    #Newskit
    ฟูดเดลิเวอรี ถึงยุคกึ่งผูกขาด การประกาศปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า (Foodpanda) แพลตฟอร์มสั่งอาหารและของกินของใช้ออนไลน์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2568 นับเป็นการปิดฉากหนึ่งในผู้แข่งขันฟูดเดลิเวอรี (Food Delivery) ที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคชาวไทยมานานถึง 13 ปี นับตั้งแต่สตาร์ทอัพจากประเทศเยอรมนี เปิดให้บริการเป็นเจ้าแรกในไทยเมื่อปี 2555 ท่ามกลางการแข่งขันของผู้ให้บริการรายอื่น ตั้งแต่อูเบอร์อีท (Uber Eats) แกร็บฟู้ด (Grab Food) ไลน์แมน (LINE MAN) โกเจ็ก (Gojek) โรบินฮู้ด (Robinhood) และช้อปปี้ฟู้ด (Shopee Food) ซึ่งแต่ละรายต่างช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้บริโภคด้วยวิธีแตกต่างกันไป หากย้อนไปถึงงบกำไรขาดทุนของฟู้ดแพนด้าย้อนหลัง 9 ปี พบว่าขาดทุนสุทธิทุกปี โดยในช่วงแรกมีรายได้รวมหลักร้อยล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิเกือบ 100 ล้านบาท แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผู้คนไม่ออกจากบ้าน พบว่าปี 2563 มีรายได้รวมกว่า 4,375.12 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 3,595.90 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มีรายได้รวม 6,786.56 ล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิถึง 4,721.59 ล้านบาท มาถึง 2 ปีหลังล่าสุด รายได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง โดยปีที่ส่งงบการเงินล่าสุด 2566 รายได้รวม 3,843.30 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 522.48 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันเหลือเพียง 5% การปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า ทำให้แพลตฟอร์มฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่สองเจ้าอย่าง LINE MAN Wongnai และ Grab ต่างสะท้อนมุมมองว่าการแข่งขันอาจเปลี่ยนแปลงไปสู่การแข่งขันแบบกึ่งผูกขาดอย่างชัดเจน ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai มองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนจากสงครามราคา สู่สงครามคุณภาพ โดยจัดสมดุลระหว่างคุณภาพ บริการ และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ขณะที่ จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับกลยุทธ์โดยรักษาสมดุลวงจรธุรกิจเป็นอันดับแรก และสามารถทำกำไรต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี "จากในยุคแรกที่เริ่มด้วยการเผาเงินผ่านการให้ส่วนลดมากๆ เพื่อสร้างตลาด ซึ่งถือเป็นการสร้างเฟกดีมานด์ (อุปสงค์เทียม) มาเป็นการโฟกัสที่คุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการเป็นหัวใจสำคัญ" จันต์สุดา จากแกร็บ ประเทศไทย ระบุ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของไรเดอร์ (Rider) เฟซบุ๊กเพจสหภาพไรเดอร์กลับมองว่า การที่ผู้บริหารฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่ระบุว่าจากสงครามราคามาเป็นสงครามคุณภาพ คนแบกรับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่แสนเอาเปรียบคือไรเดอร์ ที่ผ่านมาประสบปัญหาถูกกดค่ารอบไรเดอร์ พ่วงงานให้ลูกค้ารอไป 1-2 ชั่วโมง ทำงานแล้วเงินลดทุกปีเพราะอ้างว่าขาดทุน #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้กล่าวถึงการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จาก MG และ Zeekr ในงาน Shanghai Motor Show โดย MG ได้เปิดตัว Cyber X ซึ่งเป็น SUV ที่มีดีไซน์โดดเด่นพร้อมไฟหน้าแบบ pop-up ที่หายไปจากตลาดมานาน ส่วน Zeekr ได้เปิดตัว 9X ซึ่งเป็น SUV ไฮบริดที่มุ่งเป้าไปที่ตลาดรถยนต์หรูระดับสูง โดยมีราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า Rolls-Royce Cullinan และ Bentley Bentayga

    ✅ MG Cyber X: SUV ดีไซน์โดดเด่น
    - มีไฟหน้าแบบ pop-up ที่หายไปจากตลาดมานาน
    - ออกแบบโดย Jozef Kaban อดีตนักออกแบบของ VW และ Bugatti Veyron

    ✅ Zeekr 9X: SUV ไฮบริดระดับหรู
    - มีราคาประมาณ $70,000 ซึ่งถูกกว่า Rolls-Royce Cullinan และ Bentley Bentayga
    - มาพร้อมหน้าจอขนาด 43 นิ้วในห้องโดยสารหลัง และเทคโนโลยี G-Pilot สำหรับการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3

    ✅ แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน
    - ความต้องการรถยนต์หรูจากแบรนด์ตะวันตกลดลงในจีน
    - ผู้บริโภคชาวจีนหันมาสนใจแบรนด์ในประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า

    ✅ การขยายตลาดของ MG และ Zeekr
    - MG และ Zeekr กำลังขยายตลาดไปยังยุโรปและประเทศอื่นๆ

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/mg-and-zeekr-show-us-the-future-of-electric-suvs-and-it-includes-the-return-of-pop-up-headlights
    ข่าวนี้กล่าวถึงการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จาก MG และ Zeekr ในงาน Shanghai Motor Show โดย MG ได้เปิดตัว Cyber X ซึ่งเป็น SUV ที่มีดีไซน์โดดเด่นพร้อมไฟหน้าแบบ pop-up ที่หายไปจากตลาดมานาน ส่วน Zeekr ได้เปิดตัว 9X ซึ่งเป็น SUV ไฮบริดที่มุ่งเป้าไปที่ตลาดรถยนต์หรูระดับสูง โดยมีราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า Rolls-Royce Cullinan และ Bentley Bentayga ✅ MG Cyber X: SUV ดีไซน์โดดเด่น - มีไฟหน้าแบบ pop-up ที่หายไปจากตลาดมานาน - ออกแบบโดย Jozef Kaban อดีตนักออกแบบของ VW และ Bugatti Veyron ✅ Zeekr 9X: SUV ไฮบริดระดับหรู - มีราคาประมาณ $70,000 ซึ่งถูกกว่า Rolls-Royce Cullinan และ Bentley Bentayga - มาพร้อมหน้าจอขนาด 43 นิ้วในห้องโดยสารหลัง และเทคโนโลยี G-Pilot สำหรับการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ✅ แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน - ความต้องการรถยนต์หรูจากแบรนด์ตะวันตกลดลงในจีน - ผู้บริโภคชาวจีนหันมาสนใจแบรนด์ในประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า ✅ การขยายตลาดของ MG และ Zeekr - MG และ Zeekr กำลังขยายตลาดไปยังยุโรปและประเทศอื่นๆ https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/mg-and-zeekr-show-us-the-future-of-electric-suvs-and-it-includes-the-return-of-pop-up-headlights
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งราคาถูกจนเจ๊ง! หรือขายสมราคาแล้วรอด กลยุทธ์ตั้งราคาร้านอาหาร ให้มีกำไรและอยู่รอดในระยะยาว อย่าหลงทางด้วยราคาถูก! ตั้งราคาที่สมคุณค่า เพื่อร้านอาหารอยู่รอด ลูกค้าไม่หาย กำไรยังงาม


    เรียนรู้วิธีตั้งราคาร้านอาหารให้คุ้มค่า มีกำไร และอยู่รอดในระยะยาว ลูกค้าเข้าใจ ไม่หาย พร้อมเทคนิคเพิ่มราคาอย่างชาญฉลาด ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องตั้งราคาอย่างมีกลยุทธ์ จะพาเข้าใจว่าการขายถูก อาจทำให้เจ๊งได้อย่างไร และจะแก้เกมยังไง ให้ลูกค้าไม่หาย กำไรยังคงอยู่

    📌 ขายดีแต่เจ๊ง? ปัญหาที่เจ้าของร้านอาหารไม่เคยอยากเจอ “ขายดีไม่ได้แปลว่ามีกำไร” หลายร้านขายดี จนลูกค้าแน่นทุกวัน แต่เมื่อดูบัญชีปลายเดือน กลับพบว่ากำไรแทบไม่มี หรือแม้แต่ขาดทุน! ทำไมจึงเกิดปัญหานี้?

    เพราะหลายร้าน “ตั้งราคาผิด” ด้วยความเข้าใจผิดว่า ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = รายได้เยอะ = ธุรกิจดี
    แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป...

    จะพาสำรวจความจริง ของการตั้งราคาในร้านอาหาร พร้อมเผยกลยุทธ์การตั้งราคาที่ “ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด” แต่ “คุ้มค่าที่สุด” จนลูกค้าพร้อมจ่าย และร้านของคุณก็อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน

    ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องกล้าราคา ขายแพงขึ้นยังไงไม่ให้ลูกค้าหาย? ความกลัวที่เจ้าของร้านอาหารทุกคนเคยมี...
    😨 “กลัวลูกค้าจะหาย ถ้าขึ้นราคา”
    😓 “กลัวโดนบ่นในโซเชียล”
    😔 “กลัวเสียลูกค้าประจำ”

    แต่...คุณลองถามตัวเองดูไหมว่า ทุกวันนี้คุณขายอาหารที่ “สมราคา” แล้วหรือยัง? หากคุณตั้งราคาถูกจนไม่มีกำไร แปลว่า “คุณกำลังทำธุรกิจโดยไม่มีอนาคต” และกำลังสร้างร้านที่ไม่มีพลังจะเติบโต

    ทำไมขายดีแต่ร้านยังเจ๊ง? จุดบอดที่หลายคนมองไม่เห็น มีหลายร้านที่ขายได้เยอะ คนต่อคิวยาว แต่สุดท้ายก็ปิดตัวในเวลาไม่นาน ทำไม?

    📉 เพราะราคาที่ตั้ง “ไม่ครอบคลุมต้นทุน” หรือ “กำไรต่อจานน้อยเกินไป”

    ต้นทุนที่คุณอาจลืมคำนวณ
    วัตถุดิบที่ราคาขึ้นทุกเดือน 🥬🍗
    ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ 💡
    ค่าจ้างพนักงาน 👨‍🍳👩‍🍳
    ค่าการตลาด โปรโมชัน 📱
    ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ต่างๆ

    เมื่อลบทุกอย่างแล้ว บางครั้งเหลือ “กำไรหลักสิบต่อวัน” หรือ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ!

    ความเข้าใจผิดของเจ้าของร้าน:ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = ดี? แนวคิดนี้อาจถูกบางส่วน แต่ใช้ไม่ได้กับระยะยาว ลูกค้าเยอะไม่ใช่คำตอบ ถ้ากำไรหาย ขายวันละ 200 จาน กำไรจานละ 5 บาท = กำไรวันละ 1,000 บาท

    แต่ถ้าใช้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยไม่ปรับราคา = กำไรหาย

    🎯 สิ่งที่คุณควรตั้งเป้าคือ “ขายได้น้อยลง แต่กำไรมากขึ้น และยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้” “คุณค่า” มาก่อน “ราคา”: ลูกค้าซื้อเพราะอะไร? ในยุคที่ผู้บริโภคฉลาดขึ้น การขายถูกอย่างเดียวไม่พอ

    ลูกค้าเลือกจ่ายให้ร้านที่มี คุณค่า เช่น... รสชาติอร่อยคงที่ การบริการดี ความสะอาด บรรยากาศดี ใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย มีเรื่องราว หรือ Storytelling 🧑‍🍳

    🔍 ตัวอย่าง “เราใช้เนื้อวัวจากฟาร์มออร์แกนิค ในเชียงใหม่” หรือ “สูตรน้ำซุปจากรุ่นยาย อายุกว่า 40 ปี” = เพิ่มคุณค่าโดยไม่ต้องลดราคา

    กลยุทธ์ตั้งราคาที่สมคุณค่า ขายแพงขึ้นยังไง ให้ลูกค้าเข้าใจ เพิ่มคุณค่าก่อนเพิ่มราคา อัปเดตเมนูใหม่ให้ดูดี ปรับปรุงร้าน เพิ่มแสงไฟ เพลง บรรยากาศ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ แล้วแจ้งให้ลูกค้ารู้ สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ใช้ป้ายในร้าน หรือโพสต์ในเพจ

    “เพื่อรักษาคุณภาพ เราจึงจำเป็นต้องปรับราคาบางเมนู” ขึ้นราคาอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆ เพิ่ม เช่น เมนูละ 5 บาท ทุก 6 เดือน ตัดเมนูที่ไม่ทำกำไรออก แล้วเสริมเมนูที่มีกำไรสูงแทน ใช้โปรโมชันแบบไม่ลดราคา แจกของแถมเล็กๆ น้อยๆ 🎁 จัดเซ็ตเมนูที่ดูคุ้มค่า ใช้โปรโมชั่นเฉพาะเวลา เช่น Happy Hour

    อันตรายของการติดกับดักราคาถูก ไม่มีเงินพัฒนา จ้างพนักงานที่มีศักยภาพไม่ได้ ลดคุณภาพวัตถุดิบ ไม่มีแรงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นราคาทีหลัง ลูกค้าบ่นเพราะไม่เคยชิน

    เรื่องเล่าจากร้านก๋วยเตี๋ยว กล้าขึ้นราคา แล้วเกิดอะไรขึ้น? ร้านหนึ่งขายก๋วยเตี๋ยว 35 บาทมา 5 ปี ไม่กล้าขึ้นราคา
    จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจขึ้นเป็น 40 บาท ลูกค้าบ่นนิดหน่อย แต่เขาพูดว่า 🗣️ “ผมทำอาหารด้วยใจ แต่ถ้าไม่มีทุน ผมก็อยู่ต่อไม่ได้”

    ผลคือ ลูกค้าที่เข้าใจยังอยู่ ลูกค้าที่ไม่เห็นคุณค่าก็จากไป แต่ที่สำคัญคือ “ร้านยังอยู่ และมีกำไร”

    ร้านที่อยู่รอด คือร้านที่รู้จักคุณค่าของตัวเอง 🎯 ตั้งราคาไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือ “จุดยืนของธุรกิจ” ถ้าคุณกลัวจะขึ้นราคา แล้วไม่มีคนมา อย่าลืมว่า “ฝีมือของคุณมีค่า” อย่ายอมขายของถูกๆ เพียงเพราะกลัวเปลี่ยนแปลง

    คุณไม่จำเป็นต้องขายถูกที่สุด แต่คุณต้อง “ให้มากกว่าที่ลูกค้าคาด” ลูกค้าที่ดีจะเข้าใจ และพร้อมจ่ายในราคาที่เหมาะสม

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 232230 เม.ย. 2568

    📲 #ตั้งราคาร้านอาหาร #กลยุทธ์ธุรกิจ #เคล็ดลับร้านอาหาร #ราคาสมเหตุสมผล #SMEไทย #ขายดีแต่ไม่เจ๊ง #ธุรกิจอาหาร #กำไรยั่งยืน #ร้านอาหารอยู่รอด #เพิ่มราคายังไงไม่ให้ลูกค้าหาย
    ตั้งราคาถูกจนเจ๊ง! หรือขายสมราคาแล้วรอด กลยุทธ์ตั้งราคาร้านอาหาร ให้มีกำไรและอยู่รอดในระยะยาว อย่าหลงทางด้วยราคาถูก! ตั้งราคาที่สมคุณค่า เพื่อร้านอาหารอยู่รอด ลูกค้าไม่หาย กำไรยังงาม เรียนรู้วิธีตั้งราคาร้านอาหารให้คุ้มค่า มีกำไร และอยู่รอดในระยะยาว ลูกค้าเข้าใจ ไม่หาย พร้อมเทคนิคเพิ่มราคาอย่างชาญฉลาด ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องตั้งราคาอย่างมีกลยุทธ์ จะพาเข้าใจว่าการขายถูก อาจทำให้เจ๊งได้อย่างไร และจะแก้เกมยังไง ให้ลูกค้าไม่หาย กำไรยังคงอยู่ 📌 ขายดีแต่เจ๊ง? ปัญหาที่เจ้าของร้านอาหารไม่เคยอยากเจอ “ขายดีไม่ได้แปลว่ามีกำไร” หลายร้านขายดี จนลูกค้าแน่นทุกวัน แต่เมื่อดูบัญชีปลายเดือน กลับพบว่ากำไรแทบไม่มี หรือแม้แต่ขาดทุน! ทำไมจึงเกิดปัญหานี้? เพราะหลายร้าน “ตั้งราคาผิด” ด้วยความเข้าใจผิดว่า ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = รายได้เยอะ = ธุรกิจดี แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป... จะพาสำรวจความจริง ของการตั้งราคาในร้านอาหาร พร้อมเผยกลยุทธ์การตั้งราคาที่ “ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด” แต่ “คุ้มค่าที่สุด” จนลูกค้าพร้อมจ่าย และร้านของคุณก็อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องกล้าราคา ขายแพงขึ้นยังไงไม่ให้ลูกค้าหาย? ความกลัวที่เจ้าของร้านอาหารทุกคนเคยมี... 😨 “กลัวลูกค้าจะหาย ถ้าขึ้นราคา” 😓 “กลัวโดนบ่นในโซเชียล” 😔 “กลัวเสียลูกค้าประจำ” แต่...คุณลองถามตัวเองดูไหมว่า ทุกวันนี้คุณขายอาหารที่ “สมราคา” แล้วหรือยัง? หากคุณตั้งราคาถูกจนไม่มีกำไร แปลว่า “คุณกำลังทำธุรกิจโดยไม่มีอนาคต” และกำลังสร้างร้านที่ไม่มีพลังจะเติบโต ทำไมขายดีแต่ร้านยังเจ๊ง? จุดบอดที่หลายคนมองไม่เห็น มีหลายร้านที่ขายได้เยอะ คนต่อคิวยาว แต่สุดท้ายก็ปิดตัวในเวลาไม่นาน ทำไม? 📉 เพราะราคาที่ตั้ง “ไม่ครอบคลุมต้นทุน” หรือ “กำไรต่อจานน้อยเกินไป” ต้นทุนที่คุณอาจลืมคำนวณ วัตถุดิบที่ราคาขึ้นทุกเดือน 🥬🍗 ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ 💡 ค่าจ้างพนักงาน 👨‍🍳👩‍🍳 ค่าการตลาด โปรโมชัน 📱 ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อลบทุกอย่างแล้ว บางครั้งเหลือ “กำไรหลักสิบต่อวัน” หรือ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ! ความเข้าใจผิดของเจ้าของร้าน:ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = ดี? แนวคิดนี้อาจถูกบางส่วน แต่ใช้ไม่ได้กับระยะยาว ลูกค้าเยอะไม่ใช่คำตอบ ถ้ากำไรหาย ขายวันละ 200 จาน กำไรจานละ 5 บาท = กำไรวันละ 1,000 บาท แต่ถ้าใช้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยไม่ปรับราคา = กำไรหาย 🎯 สิ่งที่คุณควรตั้งเป้าคือ “ขายได้น้อยลง แต่กำไรมากขึ้น และยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้” “คุณค่า” มาก่อน “ราคา”: ลูกค้าซื้อเพราะอะไร? ในยุคที่ผู้บริโภคฉลาดขึ้น การขายถูกอย่างเดียวไม่พอ ลูกค้าเลือกจ่ายให้ร้านที่มี คุณค่า เช่น... รสชาติอร่อยคงที่ การบริการดี ความสะอาด บรรยากาศดี ใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย มีเรื่องราว หรือ Storytelling 🧑‍🍳 🔍 ตัวอย่าง “เราใช้เนื้อวัวจากฟาร์มออร์แกนิค ในเชียงใหม่” หรือ “สูตรน้ำซุปจากรุ่นยาย อายุกว่า 40 ปี” = เพิ่มคุณค่าโดยไม่ต้องลดราคา กลยุทธ์ตั้งราคาที่สมคุณค่า ขายแพงขึ้นยังไง ให้ลูกค้าเข้าใจ เพิ่มคุณค่าก่อนเพิ่มราคา อัปเดตเมนูใหม่ให้ดูดี ปรับปรุงร้าน เพิ่มแสงไฟ เพลง บรรยากาศ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ แล้วแจ้งให้ลูกค้ารู้ สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ใช้ป้ายในร้าน หรือโพสต์ในเพจ “เพื่อรักษาคุณภาพ เราจึงจำเป็นต้องปรับราคาบางเมนู” ขึ้นราคาอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆ เพิ่ม เช่น เมนูละ 5 บาท ทุก 6 เดือน ตัดเมนูที่ไม่ทำกำไรออก แล้วเสริมเมนูที่มีกำไรสูงแทน ใช้โปรโมชันแบบไม่ลดราคา แจกของแถมเล็กๆ น้อยๆ 🎁 จัดเซ็ตเมนูที่ดูคุ้มค่า ใช้โปรโมชั่นเฉพาะเวลา เช่น Happy Hour อันตรายของการติดกับดักราคาถูก ไม่มีเงินพัฒนา จ้างพนักงานที่มีศักยภาพไม่ได้ ลดคุณภาพวัตถุดิบ ไม่มีแรงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นราคาทีหลัง ลูกค้าบ่นเพราะไม่เคยชิน เรื่องเล่าจากร้านก๋วยเตี๋ยว กล้าขึ้นราคา แล้วเกิดอะไรขึ้น? ร้านหนึ่งขายก๋วยเตี๋ยว 35 บาทมา 5 ปี ไม่กล้าขึ้นราคา จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจขึ้นเป็น 40 บาท ลูกค้าบ่นนิดหน่อย แต่เขาพูดว่า 🗣️ “ผมทำอาหารด้วยใจ แต่ถ้าไม่มีทุน ผมก็อยู่ต่อไม่ได้” ผลคือ ลูกค้าที่เข้าใจยังอยู่ ลูกค้าที่ไม่เห็นคุณค่าก็จากไป แต่ที่สำคัญคือ “ร้านยังอยู่ และมีกำไร” ร้านที่อยู่รอด คือร้านที่รู้จักคุณค่าของตัวเอง 🎯 ตั้งราคาไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือ “จุดยืนของธุรกิจ” ถ้าคุณกลัวจะขึ้นราคา แล้วไม่มีคนมา อย่าลืมว่า “ฝีมือของคุณมีค่า” อย่ายอมขายของถูกๆ เพียงเพราะกลัวเปลี่ยนแปลง คุณไม่จำเป็นต้องขายถูกที่สุด แต่คุณต้อง “ให้มากกว่าที่ลูกค้าคาด” ลูกค้าที่ดีจะเข้าใจ และพร้อมจ่ายในราคาที่เหมาะสม ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 232230 เม.ย. 2568 📲 #ตั้งราคาร้านอาหาร #กลยุทธ์ธุรกิจ #เคล็ดลับร้านอาหาร #ราคาสมเหตุสมผล #SMEไทย #ขายดีแต่ไม่เจ๊ง #ธุรกิจอาหาร #กำไรยั่งยืน #ร้านอาหารอยู่รอด #เพิ่มราคายังไงไม่ให้ลูกค้าหาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia และ AMD กำลังแข่งขันกันในตลาด GPU โดย Nvidia มีโอกาสครองตลาดด้วย RTX 5060 Ti เนื่องจาก AMD อาจเลื่อนการเปิดตัว RX 9060 XT และ RX 9070 GRE ไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 การเลื่อนนี้อาจทำให้ Nvidia ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด GPU ระดับกลางในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

    ✅ Nvidia RTX 5060 Ti อาจไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด
    - AMD อาจเลื่อนการเปิดตัว RX 9060 XT และ RX 9070 GRE ไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2025
    - RX 9070 GRE อาจเปิดตัวในจีนก่อน และเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ในปี 2026

    ✅ RX 9060 XT และ RX 9070 GRE มีประสิทธิภาพที่น่าสนใจ
    - RX 9060 XT อาจไม่สามารถแข่งขันกับ RTX 5060 Ti ได้โดยตรง
    - RX 9070 GRE มีสเปคที่น่าสนใจและอาจทำให้ RTX 5060 Ti ต้องเผชิญกับความท้าทาย

    ✅ AMD ใช้กลยุทธ์การเลื่อนการเปิดตัวเพื่อปรับปรุงราคาและประสิทธิภาพ
    - การเลื่อนนี้ช่วยให้ AMD มีเวลาในการปรับปรุงราคาและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

    ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคในตลาด GPU
    - ผู้บริโภคอาจต้องรอผลิตภัณฑ์ใหม่จาก AMD ในช่วงปลายปี 2025

    https://www.neowin.net/news/nvidia-could-again-have-a-free-5060-ti-reign-before-amd-has-an-answer-with-rx-9060-9070-gre/
    Nvidia และ AMD กำลังแข่งขันกันในตลาด GPU โดย Nvidia มีโอกาสครองตลาดด้วย RTX 5060 Ti เนื่องจาก AMD อาจเลื่อนการเปิดตัว RX 9060 XT และ RX 9070 GRE ไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 การเลื่อนนี้อาจทำให้ Nvidia ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด GPU ระดับกลางในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ✅ Nvidia RTX 5060 Ti อาจไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด - AMD อาจเลื่อนการเปิดตัว RX 9060 XT และ RX 9070 GRE ไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 - RX 9070 GRE อาจเปิดตัวในจีนก่อน และเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ในปี 2026 ✅ RX 9060 XT และ RX 9070 GRE มีประสิทธิภาพที่น่าสนใจ - RX 9060 XT อาจไม่สามารถแข่งขันกับ RTX 5060 Ti ได้โดยตรง - RX 9070 GRE มีสเปคที่น่าสนใจและอาจทำให้ RTX 5060 Ti ต้องเผชิญกับความท้าทาย ✅ AMD ใช้กลยุทธ์การเลื่อนการเปิดตัวเพื่อปรับปรุงราคาและประสิทธิภาพ - การเลื่อนนี้ช่วยให้ AMD มีเวลาในการปรับปรุงราคาและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคในตลาด GPU - ผู้บริโภคอาจต้องรอผลิตภัณฑ์ใหม่จาก AMD ในช่วงปลายปี 2025 https://www.neowin.net/news/nvidia-could-again-have-a-free-5060-ti-reign-before-amd-has-an-answer-with-rx-9060-9070-gre/
    WWW.NEOWIN.NET
    Nvidia could again have a free 5060 Ti reign before AMD has an answer with RX 9060, 9070 GRE
    There are reports that the alleged AMD RX 9070 GRE is delayed, which means Team Red may have no answer to Nvidia's 5060 Ti for a long time.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมาธิการยุโรป (EU Commission) ได้สั่งปรับ Apple และ Meta เป็นเงิน 500 ล้านยูโร และ 200 ล้านยูโร ตามลำดับ เนื่องจากละเมิดกฎของ Digital Markets Act (DMA) โดย Apple ถูกพบว่าละเมิดข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันการบังคับใช้ (anti-steering obligation) และ Meta ละเมิดข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้บริการที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลน้อยลง

    ✅ Apple ถูกปรับ 500 ล้านยูโร
    - Apple จำกัดการเข้าถึงของนักพัฒนาแอปไปยังร้านค้าแอปทางเลือก
    - ห้ามนักพัฒนาแอปสื่อสารข้อเสนอราคาถูกกว่าโดยตรงกับผู้บริโภค

    ✅ Meta ถูกปรับ 200 ล้านยูโร
    - Meta เสนอทางเลือกให้ผู้ใช้เลือกดูโฆษณาส่วนบุคคลหรือจ่ายค่าสมัครสมาชิกเพื่อไม่มีโฆษณา
    - คณะกรรมาธิการต้องการให้ Meta เสนอทางเลือกที่มีโฆษณาแต่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลน้อยลง

    ✅ Facebook Marketplace ไม่อยู่ภายใต้ DMA อีกต่อไป
    - เนื่องจากจำนวนผู้ใช้ธุรกิจลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

    ✅ EU ยังคงดำเนินการอย่างเข้มงวดกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
    - แม้จะมีการข่มขู่จากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกำหนดภาษี

    https://www.neowin.net/news/eu-commission-fines-apple-and-meta-500-million-and-200-million/
    คณะกรรมาธิการยุโรป (EU Commission) ได้สั่งปรับ Apple และ Meta เป็นเงิน 500 ล้านยูโร และ 200 ล้านยูโร ตามลำดับ เนื่องจากละเมิดกฎของ Digital Markets Act (DMA) โดย Apple ถูกพบว่าละเมิดข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันการบังคับใช้ (anti-steering obligation) และ Meta ละเมิดข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้บริการที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลน้อยลง ✅ Apple ถูกปรับ 500 ล้านยูโร - Apple จำกัดการเข้าถึงของนักพัฒนาแอปไปยังร้านค้าแอปทางเลือก - ห้ามนักพัฒนาแอปสื่อสารข้อเสนอราคาถูกกว่าโดยตรงกับผู้บริโภค ✅ Meta ถูกปรับ 200 ล้านยูโร - Meta เสนอทางเลือกให้ผู้ใช้เลือกดูโฆษณาส่วนบุคคลหรือจ่ายค่าสมัครสมาชิกเพื่อไม่มีโฆษณา - คณะกรรมาธิการต้องการให้ Meta เสนอทางเลือกที่มีโฆษณาแต่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลน้อยลง ✅ Facebook Marketplace ไม่อยู่ภายใต้ DMA อีกต่อไป - เนื่องจากจำนวนผู้ใช้ธุรกิจลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ✅ EU ยังคงดำเนินการอย่างเข้มงวดกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ - แม้จะมีการข่มขู่จากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกำหนดภาษี https://www.neowin.net/news/eu-commission-fines-apple-and-meta-500-million-and-200-million/
    WWW.NEOWIN.NET
    EU Commission fines Apple and Meta €500 million and €200 million
    The European Commission has fined Apple and Meta €500 million and €200 million, respectively, for violating the Digital Markets Act.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Uber กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องจาก FTC เนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินและการยกเลิกการสมัครสมาชิก Uber One ที่มีความซับซ้อนเกินไป โดย FTC ระบุว่า Uber ทำให้กระบวนการยกเลิกการสมัครสมาชิกเป็นเรื่องยากเกินความจำเป็น และยังมีกรณีที่ลูกค้าถูกเรียกเก็บเงินในช่วงทดลองใช้งานฟรี รวมถึงการสมัครสมาชิกโดยไม่ได้รับความยินยอม

    ✅ FTC กล่าวหา Uber ว่าทำให้การยกเลิกการสมัครสมาชิก Uber One เป็นเรื่องยาก
    - ลูกค้าบางรายต้องผ่านหน้าจอถึง 23 หน้าจอ และดำเนินการ 32 ขั้นตอน เพื่อยกเลิกการสมัครสมาชิก
    - Uber ยังลบตัวเลือกการยกเลิกออกจากแอปเมื่อใกล้ถึงวันเรียกเก็บเงิน

    ✅ ลูกค้าบางรายถูกเรียกเก็บเงินในช่วงทดลองใช้งานฟรี
    - FTC ระบุว่าลูกค้าถูกเรียกเก็บเงินก่อนสิ้นสุดช่วงทดลองใช้งานฟรี แม้ Uber จะสัญญาว่าสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา

    ✅ Uber ถูกกล่าวหาว่าสมัครสมาชิกให้ลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม
    - มีกรณีที่ลูกค้าถูกเรียกเก็บเงินแม้ไม่มีบัญชี Uber

    ✅ FTC ระบุว่า Uber ละเมิดกฎหมาย FTC Act และ ROSCA
    - FTC กล่าวหาว่า Uber หลอกลวงผู้บริโภคเกี่ยวกับการสมัครสมาชิกและทำให้การยกเลิกเป็นเรื่องยากเกินไป

    https://www.techspot.com/news/107639-ftc-sues-uber-over-deceptive-subscription-billing-cancellation.html
    Uber กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องจาก FTC เนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินและการยกเลิกการสมัครสมาชิก Uber One ที่มีความซับซ้อนเกินไป โดย FTC ระบุว่า Uber ทำให้กระบวนการยกเลิกการสมัครสมาชิกเป็นเรื่องยากเกินความจำเป็น และยังมีกรณีที่ลูกค้าถูกเรียกเก็บเงินในช่วงทดลองใช้งานฟรี รวมถึงการสมัครสมาชิกโดยไม่ได้รับความยินยอม ✅ FTC กล่าวหา Uber ว่าทำให้การยกเลิกการสมัครสมาชิก Uber One เป็นเรื่องยาก - ลูกค้าบางรายต้องผ่านหน้าจอถึง 23 หน้าจอ และดำเนินการ 32 ขั้นตอน เพื่อยกเลิกการสมัครสมาชิก - Uber ยังลบตัวเลือกการยกเลิกออกจากแอปเมื่อใกล้ถึงวันเรียกเก็บเงิน ✅ ลูกค้าบางรายถูกเรียกเก็บเงินในช่วงทดลองใช้งานฟรี - FTC ระบุว่าลูกค้าถูกเรียกเก็บเงินก่อนสิ้นสุดช่วงทดลองใช้งานฟรี แม้ Uber จะสัญญาว่าสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา ✅ Uber ถูกกล่าวหาว่าสมัครสมาชิกให้ลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม - มีกรณีที่ลูกค้าถูกเรียกเก็บเงินแม้ไม่มีบัญชี Uber ✅ FTC ระบุว่า Uber ละเมิดกฎหมาย FTC Act และ ROSCA - FTC กล่าวหาว่า Uber หลอกลวงผู้บริโภคเกี่ยวกับการสมัครสมาชิกและทำให้การยกเลิกเป็นเรื่องยากเกินไป https://www.techspot.com/news/107639-ftc-sues-uber-over-deceptive-subscription-billing-cancellation.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Uber faces FTC lawsuit for 'impossible to cancel' subscriptions
    Uber launched Uber One in 2021 with the lure of free delivery on eligible Uber Eats orders, discounts, priority service, and exclusive offers. The subscription costs $10...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ofcom ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านดิจิทัลของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศห้ามการเช่าหมายเลขโทรศัพท์ Global Titles เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด โดยหมายเลขเหล่านี้สามารถถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดีในการเบี่ยงเบนสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงรหัสความปลอดภัยที่ส่งจากธนาคาร นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ผู้ไม่หวังดีสามารถติดตามตำแหน่งของผู้ใช้ได้

    ✅ Ofcom ห้ามการเช่าหมายเลข Global Titles เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด
    - Global Titles เป็นหมายเลขโทรศัพท์พิเศษที่ใช้ในเครือข่ายมือถือเพื่อให้สายโทรศัพท์และข้อความถึงผู้รับที่ตั้งใจ
    - ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้หมายเลขเหล่านี้เพื่อเบี่ยงเบนสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงรหัสความปลอดภัย

    ✅ การห้ามเช่า Global Titles มีผลตั้งแต่วันนี้
    - การห้ามเช่าใหม่มีผลทันที และการเช่าที่มีอยู่จะถูกยกเลิกในวันที่ 22 เมษายน 2026
    - ธุรกิจที่ใช้ Global Titles อย่างถูกต้องจะมีเวลาในการจัดการทางเลือกอื่น

    ✅ Ofcom ระบุว่าการห้ามนี้จะช่วยเพิ่มการป้องกันผู้บริโภค
    - การห้ามนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้หมายเลข Global Titles ตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี
    - ช่วยปกป้องผู้ใช้มือถือและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่สำคัญ

    ✅ Ofcom ดำเนินการหลังจากความพยายามของอุตสาหกรรมล้มเหลว
    - อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NCSC) ทราบถึงภัยคุกคามจาก Global Titles มานานแล้ว

    https://www.neowin.net/news/ofcom-takes-decisive-action-against-powerful-tool-of-malicious-actors/
    Ofcom ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านดิจิทัลของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศห้ามการเช่าหมายเลขโทรศัพท์ Global Titles เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด โดยหมายเลขเหล่านี้สามารถถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดีในการเบี่ยงเบนสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงรหัสความปลอดภัยที่ส่งจากธนาคาร นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ผู้ไม่หวังดีสามารถติดตามตำแหน่งของผู้ใช้ได้ ✅ Ofcom ห้ามการเช่าหมายเลข Global Titles เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด - Global Titles เป็นหมายเลขโทรศัพท์พิเศษที่ใช้ในเครือข่ายมือถือเพื่อให้สายโทรศัพท์และข้อความถึงผู้รับที่ตั้งใจ - ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้หมายเลขเหล่านี้เพื่อเบี่ยงเบนสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงรหัสความปลอดภัย ✅ การห้ามเช่า Global Titles มีผลตั้งแต่วันนี้ - การห้ามเช่าใหม่มีผลทันที และการเช่าที่มีอยู่จะถูกยกเลิกในวันที่ 22 เมษายน 2026 - ธุรกิจที่ใช้ Global Titles อย่างถูกต้องจะมีเวลาในการจัดการทางเลือกอื่น ✅ Ofcom ระบุว่าการห้ามนี้จะช่วยเพิ่มการป้องกันผู้บริโภค - การห้ามนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้หมายเลข Global Titles ตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี - ช่วยปกป้องผู้ใช้มือถือและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่สำคัญ ✅ Ofcom ดำเนินการหลังจากความพยายามของอุตสาหกรรมล้มเหลว - อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NCSC) ทราบถึงภัยคุกคามจาก Global Titles มานานแล้ว https://www.neowin.net/news/ofcom-takes-decisive-action-against-powerful-tool-of-malicious-actors/
    WWW.NEOWIN.NET
    Ofcom takes decisive action against powerful tool of malicious actors
    Ofcom has announced that it's banning the leasing of Global Titles to help protect people from malicious actors who use Global Titles to intercept calls and messages.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยส่งออกข้าว 3 เดือน ปี 68 ทำได้แค่ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% ได้รับผลกระทบอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว อินโดนีเซียหยุดนำเข้า ส่วนทรัมป์ 2.0 ทำให้สหรัฐฯ มีการเร่งซื้อข้าวไทยไปเก็บสต๊อก แต่ระยะยาว หากภาษีขึ้น ส่งออกกระทบแน่ ยังยืนเป้าปีนี้ 7.5 ล้านตัน รอดูครึ่งปีจะทบทวนหรือไม่

    นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีปริมาณ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังระงับส่งออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังได้รับผลกระทบจากอินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำเข้ารายสำคัญในปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าสูงถึง 4 ล้านตัน แต่ช่วงนี้หยุดการนำเข้าข้าวจากไทย เพราะมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ทั้งปีอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน และคาดว่าจะกลับมานำเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวขาวลดลงถึง 53% แต่ยังดีที่มียอดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น

    สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยแล้ว 10% จากเดิมภาษีอยู่ที่ 0% โดยการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ออกไป 90 วัน ทำให้มีคำสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บในสต็อก โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ส่วนปีที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐฯ ปริมาณ 830,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิไทย 630,000 ตัน และข้าวหอมไทย 120,000 ตัน โดยแต่ละปี มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย รวม 1.3-1.4 ล้านตัน

    ทั้งนี้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 25% ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาจะเพิ่มเป็น 1,250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ จะรับราคาที่เพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลตอบรับต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000037319

    #MGROnline #สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย #ข้าวไทย #ส่งออกข้าวขาว
    สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยส่งออกข้าว 3 เดือน ปี 68 ทำได้แค่ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% ได้รับผลกระทบอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว อินโดนีเซียหยุดนำเข้า ส่วนทรัมป์ 2.0 ทำให้สหรัฐฯ มีการเร่งซื้อข้าวไทยไปเก็บสต๊อก แต่ระยะยาว หากภาษีขึ้น ส่งออกกระทบแน่ ยังยืนเป้าปีนี้ 7.5 ล้านตัน รอดูครึ่งปีจะทบทวนหรือไม่ • นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีปริมาณ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังระงับส่งออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังได้รับผลกระทบจากอินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำเข้ารายสำคัญในปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าสูงถึง 4 ล้านตัน แต่ช่วงนี้หยุดการนำเข้าข้าวจากไทย เพราะมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ทั้งปีอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน และคาดว่าจะกลับมานำเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวขาวลดลงถึง 53% แต่ยังดีที่มียอดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น • สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยแล้ว 10% จากเดิมภาษีอยู่ที่ 0% โดยการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ออกไป 90 วัน ทำให้มีคำสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บในสต็อก โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ส่วนปีที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐฯ ปริมาณ 830,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิไทย 630,000 ตัน และข้าวหอมไทย 120,000 ตัน โดยแต่ละปี มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย รวม 1.3-1.4 ล้านตัน • ทั้งนี้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 25% ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาจะเพิ่มเป็น 1,250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ จะรับราคาที่เพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลตอบรับต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000037319 • #MGROnline #สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย #ข้าวไทย #ส่งออกข้าวขาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตรวจสัญญา 4 ฉบับ ขุดไส้ในตึก สตง. : [NEWS UPDATE]

    พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินีบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ก่อสร้างที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แห่งใหม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงสัญญา 4 ฉบับ ได้แก่ 1.การออกแบบโครงสร้าง 2.การควบคุมงาน 3.การก่อสร้าง และ 4.การเปลี่ยนแบบ ส่วนการฮั้วประมูลต้องดูว่ามีการใช้กลอุบายจนได้สัญญามาหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาทุกมิติ ส่วนการปลอมลายเซ็นอยู่ระหว่างขยายผล ซึ่งจะทำให้เห็นว่าในกระบวนการต่างๆ ของการสร้างตึก สตง. มีวิศวกรเกี่ยวข้องกี่ราย เป็นใครบ้าง

    -แฉถูกเกณฑ์เรียกถ่ายรูป

    -ตัดวงจรเชื้อโรค

    -ยึดอาเซียนอำนาจต่อรอง

    -ดันทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา
    ตรวจสัญญา 4 ฉบับ ขุดไส้ในตึก สตง. : [NEWS UPDATE] พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินีบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ก่อสร้างที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) แห่งใหม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงสัญญา 4 ฉบับ ได้แก่ 1.การออกแบบโครงสร้าง 2.การควบคุมงาน 3.การก่อสร้าง และ 4.การเปลี่ยนแบบ ส่วนการฮั้วประมูลต้องดูว่ามีการใช้กลอุบายจนได้สัญญามาหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาทุกมิติ ส่วนการปลอมลายเซ็นอยู่ระหว่างขยายผล ซึ่งจะทำให้เห็นว่าในกระบวนการต่างๆ ของการสร้างตึก สตง. มีวิศวกรเกี่ยวข้องกี่ราย เป็นใครบ้าง -แฉถูกเกณฑ์เรียกถ่ายรูป -ตัดวงจรเชื้อโรค -ยึดอาเซียนอำนาจต่อรอง -ดันทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา
    Like
    Angry
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 663 มุมมอง 58 0 รีวิว
  • "ดีเอสไอ" เข้าค้น 4 เป้าหมาย "สำนักงานใหญ่ บินลิง วู - บริษัทในนามกิจการร่วมค้า PKW" เก็บหลักฐานขยายผลผู้ควบคุมงานตึก สตง.ถล่ม

    วันนี้ (17 เม.ย.) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีพิเศษเลขที่ 32/2568 กรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ว่า ในส่วนเรื่องสัญญา 4 ฉบับที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง อันประกอบด้วย 1.สัญญาการออกแบบโครงสร้าง (ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ แต่มีบริษัทเอกชนเป็นผู้ออกแบบ) 2.สัญญาควบคุมงาน 3.สัญญาการก่อสร้าง และ 4.สัญญาการเปลี่ยนแบบ หรือสัญญาขอแก้ไขเพิ่มเติมแบบ ซึ่งมันคือส่วนควบของสัญญาก่อสร้าง และสัญญาการออกแบบโครงสร้างก็ได้ เนื่องจากมีการแก้แบบระหว่างทาง เพราะการแก้ไขแบบก็ต้องให้คนออกแบบเป็นผู้อนุมัติ

    "ดังนั้น บริษัทที่เกี่ยวข้องจะเป็นบริษัทผู้ออกแบบ คือ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตามขั้นตอนแล้ว มันต้องเริ่มตั้งแต่ผู้รับเหมา เสนอไปที่ผู้ควบคุมงาน จากนั้นหากผู้ควบคุมงานเห็นด้วย ก็เสนอไปยังผู้ออกแบบว่าอนุมัติหรือไม่ หากผู้ออกแบบอนุมัติว่าทำแล้วไม่กระทบกับโครงสร้างก็เสนอไปยังคณะกรรมการเพื่อตรวจการจ้างฯ ทั้งนี้ ส่วนการออกแบบและการแก้ไขแบบจะต้องมีผู้แทนของ สตง. อนุมัติหรือไม่นั้น ทราบว่าจะมีคณะกรรมการบริหารเรื่องสัญญาจ้างอยู่ แต่ตามหลักการแล้ว อะไรที่รัฐเซ็นไปแล้ว รัฐต้องได้ประโยชน์"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000036195

    #MGROnline #ดีเอสไอ #ไชน่าเรลเวย์
    "ดีเอสไอ" เข้าค้น 4 เป้าหมาย "สำนักงานใหญ่ บินลิง วู - บริษัทในนามกิจการร่วมค้า PKW" เก็บหลักฐานขยายผลผู้ควบคุมงานตึก สตง.ถล่ม • วันนี้ (17 เม.ย.) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีพิเศษเลขที่ 32/2568 กรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ว่า ในส่วนเรื่องสัญญา 4 ฉบับที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง อันประกอบด้วย 1.สัญญาการออกแบบโครงสร้าง (ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ แต่มีบริษัทเอกชนเป็นผู้ออกแบบ) 2.สัญญาควบคุมงาน 3.สัญญาการก่อสร้าง และ 4.สัญญาการเปลี่ยนแบบ หรือสัญญาขอแก้ไขเพิ่มเติมแบบ ซึ่งมันคือส่วนควบของสัญญาก่อสร้าง และสัญญาการออกแบบโครงสร้างก็ได้ เนื่องจากมีการแก้แบบระหว่างทาง เพราะการแก้ไขแบบก็ต้องให้คนออกแบบเป็นผู้อนุมัติ • "ดังนั้น บริษัทที่เกี่ยวข้องจะเป็นบริษัทผู้ออกแบบ คือ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตามขั้นตอนแล้ว มันต้องเริ่มตั้งแต่ผู้รับเหมา เสนอไปที่ผู้ควบคุมงาน จากนั้นหากผู้ควบคุมงานเห็นด้วย ก็เสนอไปยังผู้ออกแบบว่าอนุมัติหรือไม่ หากผู้ออกแบบอนุมัติว่าทำแล้วไม่กระทบกับโครงสร้างก็เสนอไปยังคณะกรรมการเพื่อตรวจการจ้างฯ ทั้งนี้ ส่วนการออกแบบและการแก้ไขแบบจะต้องมีผู้แทนของ สตง. อนุมัติหรือไม่นั้น ทราบว่าจะมีคณะกรรมการบริหารเรื่องสัญญาจ้างอยู่ แต่ตามหลักการแล้ว อะไรที่รัฐเซ็นไปแล้ว รัฐต้องได้ประโยชน์" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000036195 • #MGROnline #ดีเอสไอ #ไชน่าเรลเวย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Bartlett Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับ AI workloads, media processing และ AI analytics โดยล่าสุดมีการเพิ่มการรองรับใน Linux และแอปพลิเคชันอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกว่าอาจมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้

    ✅ Intel เพิ่มการรองรับ Bartlett Lake-S ใน Linux และแอปพลิเคชันอื่นๆ
    - มีการเพิ่ม "one-liner" patch ใน Linux kernel ซึ่งบ่งบอกว่า Intel อาจเปิดตัวซีพียูนี้เร็วๆ นี้
    - MSI overclocker Toppc ยืนยันว่า Bartlett Lake-S ได้รับการรองรับใน AIDA64 patch ล่าสุด

    ✅ Bartlett Lake-S อาจเปิดตัวสำหรับตลาดผู้บริโภค
    - เดิมที Intel วางแผนให้ซีพียูนี้ใช้ใน อุตสาหกรรมและ IoT เท่านั้น
    - อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า Intel อาจเปิดตัว รุ่นสำหรับผู้บริโภค เนื่องจาก Arrow Lake-S มีประสิทธิภาพที่น่าผิดหวังในตลาดเดสก์ท็อป

    ✅ Bartlett Lake-S ใช้สถาปัตยกรรมแบบ P-Core ทั้งหมด
    - มีรุ่น Core 9 (12 P-Cores), Core 7 (10 P-Cores) และ Core 5 (8 P-Cores)
    - ไม่มีรุ่น Core 3 เนื่องจากซีพียูนี้มุ่งเน้นไปที่ตลาดที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ✅ รองรับแพลตฟอร์ม LGA 1700 และเมนบอร์ด 600/700-series
    - ผู้ใช้สามารถ อัปเกรดเป็น Bartlett Lake-S ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด
    - ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงขึ้น

    https://wccftech.com/intels-bartlett-lake-s-desktop-cpus-might-be-pretty-near-to-launch/
    Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Bartlett Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับ AI workloads, media processing และ AI analytics โดยล่าสุดมีการเพิ่มการรองรับใน Linux และแอปพลิเคชันอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกว่าอาจมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้ ✅ Intel เพิ่มการรองรับ Bartlett Lake-S ใน Linux และแอปพลิเคชันอื่นๆ - มีการเพิ่ม "one-liner" patch ใน Linux kernel ซึ่งบ่งบอกว่า Intel อาจเปิดตัวซีพียูนี้เร็วๆ นี้ - MSI overclocker Toppc ยืนยันว่า Bartlett Lake-S ได้รับการรองรับใน AIDA64 patch ล่าสุด ✅ Bartlett Lake-S อาจเปิดตัวสำหรับตลาดผู้บริโภค - เดิมที Intel วางแผนให้ซีพียูนี้ใช้ใน อุตสาหกรรมและ IoT เท่านั้น - อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า Intel อาจเปิดตัว รุ่นสำหรับผู้บริโภค เนื่องจาก Arrow Lake-S มีประสิทธิภาพที่น่าผิดหวังในตลาดเดสก์ท็อป ✅ Bartlett Lake-S ใช้สถาปัตยกรรมแบบ P-Core ทั้งหมด - มีรุ่น Core 9 (12 P-Cores), Core 7 (10 P-Cores) และ Core 5 (8 P-Cores) - ไม่มีรุ่น Core 3 เนื่องจากซีพียูนี้มุ่งเน้นไปที่ตลาดที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ✅ รองรับแพลตฟอร์ม LGA 1700 และเมนบอร์ด 600/700-series - ผู้ใช้สามารถ อัปเกรดเป็น Bartlett Lake-S ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด - ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงขึ้น https://wccftech.com/intels-bartlett-lake-s-desktop-cpus-might-be-pretty-near-to-launch/
    WCCFTECH.COM
    Intel's Bartlett Lake-S Desktop CPUs Might Be Pretty Near To Launch, Now Gaining Support In Linux and Other Applications
    Intel's Bartlett Lake-S desktop CPUs might be nearing launch, as the architecture starts to receive support on Linux and other applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • Shein และ Temu เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าในสัปดาห์หน้า เนื่องจากนโยบายของ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าและการปิดช่องโหว่ทางการค้า ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น

    ✅ Shein และ Temu จะปรับขึ้นราคาสินค้าในวันที่ 25 เมษายน 2025
    - ทั้งสองบริษัทส่งจดหมายแจ้งลูกค้าให้รีบซื้อสินค้าก่อนราคาจะปรับขึ้น
    - การขึ้นราคาสินค้าเป็นผลมาจาก การเปลี่ยนแปลงกฎการค้าระหว่างประเทศและภาษีนำเข้า

    ✅ นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Shein และ Temu
    - ก่อนหน้านี้ Shein และ Temu อาศัย ข้อยกเว้น "de minimis" ที่อนุญาตให้สินค้าราคาไม่เกิน $800 เข้าสหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษี
    - คำสั่งบริหารใหม่ของทรัมป์ ปิดช่องโหว่นี้ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2025

    ✅ ราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มก่อนการปรับขึ้น
    - Shein มีสินค้าราคาอยู่ระหว่าง $6 ถึง $91
    - Temu มีสินค้าราคาอยู่ระหว่าง $2.48 ถึง $210

    ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาดอีคอมเมิร์ซ
    - ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้าแฟชั่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    - อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/17/shein-temu-to-get-pricier-as-trump-cracks-down-on-cheap-imports
    Shein และ Temu เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าในสัปดาห์หน้า เนื่องจากนโยบายของ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าและการปิดช่องโหว่ทางการค้า ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น ✅ Shein และ Temu จะปรับขึ้นราคาสินค้าในวันที่ 25 เมษายน 2025 - ทั้งสองบริษัทส่งจดหมายแจ้งลูกค้าให้รีบซื้อสินค้าก่อนราคาจะปรับขึ้น - การขึ้นราคาสินค้าเป็นผลมาจาก การเปลี่ยนแปลงกฎการค้าระหว่างประเทศและภาษีนำเข้า ✅ นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Shein และ Temu - ก่อนหน้านี้ Shein และ Temu อาศัย ข้อยกเว้น "de minimis" ที่อนุญาตให้สินค้าราคาไม่เกิน $800 เข้าสหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษี - คำสั่งบริหารใหม่ของทรัมป์ ปิดช่องโหว่นี้ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 ✅ ราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มก่อนการปรับขึ้น - Shein มีสินค้าราคาอยู่ระหว่าง $6 ถึง $91 - Temu มีสินค้าราคาอยู่ระหว่าง $2.48 ถึง $210 ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาดอีคอมเมิร์ซ - ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้าแฟชั่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ - อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/17/shein-temu-to-get-pricier-as-trump-cracks-down-on-cheap-imports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Shein, Temu to get pricier as Trump cracks down on cheap imports
    (Reuters) -Chinese e-marketplace Temu and fast-fashion retailer Shein will raise prices next week as U.S. President Donald Trump's sweeping tariffs and crackdown on low-value imports push up costs for the companies known for their budget offerings.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เผยแพร่ Cyber Signals Report ฉบับล่าสุด ซึ่งเน้นถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาหลอกลวง โดยอาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ deepfakes, voice cloning และเว็บไซต์ปลอม

    ✅ AI ช่วยให้อาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างเนื้อหาหลอกลวงได้ง่ายขึ้น
    - ใช้ deepfakes และ voice cloning เพื่อแอบอ้างเป็นบุคคลจริง
    - สร้าง เว็บไซต์ปลอมและรีวิวสินค้า AI-generated เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค

    ✅ Microsoft เตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ใช้ AI
    - อาชญากรสามารถใช้ AI เพื่อสแกนข้อมูลบริษัทและสร้างโปรไฟล์ปลอมของพนักงาน
    - ใช้ AI-generated storefronts เพื่อสร้างแบรนด์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ

    ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft แนะนำ
    - เพิ่มการตรวจสอบตัวตนของนายจ้าง โดยใช้ Microsoft Entra ID และ multifactor authentication
    - ใช้ deepfake detection algorithms เพื่อตรวจจับการสัมภาษณ์งานที่ใช้ AI-generated faces
    - ตรวจสอบเว็บไซต์และโฆษณาที่ดูดีเกินจริง โดยใช้ Microsoft Edge typo protection

    ✅ การปรับปรุง Quick Assist เพื่อป้องกันการฉ้อโกง
    - Microsoft ได้เพิ่ม ข้อความเตือนเกี่ยวกับ tech support scams ใน Quick Assist
    - ระบบสามารถ บล็อกการเชื่อมต่อที่น่าสงสัยกว่า 4,415 ครั้งต่อวัน

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guidance-for-ai-scams-that-are-nearly-impossible-to-not-fall-for/
    Microsoft ได้เผยแพร่ Cyber Signals Report ฉบับล่าสุด ซึ่งเน้นถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาหลอกลวง โดยอาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ deepfakes, voice cloning และเว็บไซต์ปลอม ✅ AI ช่วยให้อาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างเนื้อหาหลอกลวงได้ง่ายขึ้น - ใช้ deepfakes และ voice cloning เพื่อแอบอ้างเป็นบุคคลจริง - สร้าง เว็บไซต์ปลอมและรีวิวสินค้า AI-generated เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค ✅ Microsoft เตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ใช้ AI - อาชญากรสามารถใช้ AI เพื่อสแกนข้อมูลบริษัทและสร้างโปรไฟล์ปลอมของพนักงาน - ใช้ AI-generated storefronts เพื่อสร้างแบรนด์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft แนะนำ - เพิ่มการตรวจสอบตัวตนของนายจ้าง โดยใช้ Microsoft Entra ID และ multifactor authentication - ใช้ deepfake detection algorithms เพื่อตรวจจับการสัมภาษณ์งานที่ใช้ AI-generated faces - ตรวจสอบเว็บไซต์และโฆษณาที่ดูดีเกินจริง โดยใช้ Microsoft Edge typo protection ✅ การปรับปรุง Quick Assist เพื่อป้องกันการฉ้อโกง - Microsoft ได้เพิ่ม ข้อความเตือนเกี่ยวกับ tech support scams ใน Quick Assist - ระบบสามารถ บล็อกการเชื่อมต่อที่น่าสงสัยกว่า 4,415 ครั้งต่อวัน https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guidance-for-ai-scams-that-are-nearly-impossible-to-not-fall-for/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares detailed guidance for AI scams that are nearly impossible to not fall for
    Microsoft has published a detailed guidance on ways to deal with modern AI-powered scams that are really difficult to detect.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนดูจะไม่จบลงง่ายๆ ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงยืนยันว่าจีนจะต้องเป็นฝ่ายติดต่อเขาก่อน การเจรจาถึงจะเริ่มต้นได้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์สงครามการค้า


    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวถึงสิ่งที่ทรัมป์บอก ซึ่งระบุว่า “จีนจำเป็นต้องทำข้อตกลงกับเรา เราไม่จำเป็นต้องทำข้อตกลงกับพวกเขา”

    “จีนไม่ได้มีความแตกต่างไปจากประเทศอื่นแต่อย่างใด ยกเว้นแค่ว่าพวกเขามีขนาดใหญ่กว่าแค่นั้น จีนต้องการสิ่งที่เรามี เหมือนๆกับทุกประเทศที่ต้องการจากเรา นั่นคือผู้บริโภคชาวอเมริกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาต้องการเงินของเรา”
    สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนดูจะไม่จบลงง่ายๆ ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงยืนยันว่าจีนจะต้องเป็นฝ่ายติดต่อเขาก่อน การเจรจาถึงจะเริ่มต้นได้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์สงครามการค้า แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวถึงสิ่งที่ทรัมป์บอก ซึ่งระบุว่า “จีนจำเป็นต้องทำข้อตกลงกับเรา เราไม่จำเป็นต้องทำข้อตกลงกับพวกเขา” “จีนไม่ได้มีความแตกต่างไปจากประเทศอื่นแต่อย่างใด ยกเว้นแค่ว่าพวกเขามีขนาดใหญ่กว่าแค่นั้น จีนต้องการสิ่งที่เรามี เหมือนๆกับทุกประเทศที่ต้องการจากเรา นั่นคือผู้บริโภคชาวอเมริกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาต้องการเงินของเรา”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 13 0 รีวิว
Pages Boosts