• “ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola – เปลี่ยนขยะให้เป็นเครดิตอาหาร”

    Coca-Cola กำลังพลิกโฉมภาพลักษณ์ของตนเองจากบริษัทน้ำอัดลมที่ถูกวิจารณ์เรื่องสิ่งแวดล้อม มาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัว “Reverse Vending Machine” หรือ “ตู้ขายของย้อนกลับ” ที่รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้วจากผู้ใช้ แล้วให้รางวัลตอบแทนเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า

    ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่การนำมาใช้จริงในวงกว้าง โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศ เช่น สกอตแลนด์ ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

    ผู้ใช้เพียงแค่นำภาชนะเปล่ามาหยอดลงในช่องของตู้ เครื่องจะใช้สายพานและระบบสแกนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือไม่ จากนั้นจะทำการแยกประเภท และบางรุ่นยังสามารถบดขยะให้เล็กลงเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ก่อนจะส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิล

    นอกจากจะช่วยลดขยะ ตู้เหล่านี้ยังสร้างแรงจูงใจให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียนและนักศึกษา หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะทุกขวดที่หยอดลงไปคือ “เงิน” ในรูปแบบเครดิตที่ใช้ซื้ออาหารหรือสินค้าได้

    Coca-Cola เปิดตัวตู้ขายของย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการรีไซเคิล
    รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้ว
    ให้รางวัลเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า

    ระบบทำงานอัตโนมัติและชาญฉลาด
    ใช้สายพานและระบบสแกนตรวจสอบวัสดุ
    แยกประเภทวัสดุและบดขยะเพื่อลดขนาด
    ส่งต่อวัสดุไปยังโรงงานรีไซเคิล

    ขยายการใช้งานในระดับนานาชาติ
    มีการติดตั้งในมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์
    นักเรียนได้รับเครดิตเพื่อใช้จ่ายในโรงอาหาร
    ส่งเสริมพฤติกรรมรักษ์โลกในชีวิตประจำวัน

    ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
    ลดปริมาณขยะที่หลุดรอดสู่ธรรมชาติ
    เพิ่มการเข้าถึงวัสดุรีไซเคิลสำหรับอุตสาหกรรม
    สร้างแรงจูงใจผ่านระบบรางวัล

    ความท้าทายของระบบรีไซเคิลอัตโนมัติ
    ต้องการการบำรุงรักษาและการจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง
    ความแม่นยำของระบบสแกนต้องสูงเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
    ต้องมีระบบขนส่งวัสดุรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ

    นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะ แต่ยังเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคต่อ “ขยะ” ให้กลายเป็น “ทรัพยากร” ที่มีมูลค่า และอาจเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั่วโลก

    https://www.slashgear.com/2017652/coca-cola-reverse-vending-machine-advanced-kiosk-innovative-environmental-tech/
    ♻️ “ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola – เปลี่ยนขยะให้เป็นเครดิตอาหาร” Coca-Cola กำลังพลิกโฉมภาพลักษณ์ของตนเองจากบริษัทน้ำอัดลมที่ถูกวิจารณ์เรื่องสิ่งแวดล้อม มาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัว “Reverse Vending Machine” หรือ “ตู้ขายของย้อนกลับ” ที่รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้วจากผู้ใช้ แล้วให้รางวัลตอบแทนเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่การนำมาใช้จริงในวงกว้าง โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศ เช่น สกอตแลนด์ ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้ใช้เพียงแค่นำภาชนะเปล่ามาหยอดลงในช่องของตู้ เครื่องจะใช้สายพานและระบบสแกนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือไม่ จากนั้นจะทำการแยกประเภท และบางรุ่นยังสามารถบดขยะให้เล็กลงเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ก่อนจะส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิล นอกจากจะช่วยลดขยะ ตู้เหล่านี้ยังสร้างแรงจูงใจให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียนและนักศึกษา หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะทุกขวดที่หยอดลงไปคือ “เงิน” ในรูปแบบเครดิตที่ใช้ซื้ออาหารหรือสินค้าได้ ✅ Coca-Cola เปิดตัวตู้ขายของย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการรีไซเคิล ➡️ รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้ว ➡️ ให้รางวัลเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า ✅ ระบบทำงานอัตโนมัติและชาญฉลาด ➡️ ใช้สายพานและระบบสแกนตรวจสอบวัสดุ ➡️ แยกประเภทวัสดุและบดขยะเพื่อลดขนาด ➡️ ส่งต่อวัสดุไปยังโรงงานรีไซเคิล ✅ ขยายการใช้งานในระดับนานาชาติ ➡️ มีการติดตั้งในมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์ ➡️ นักเรียนได้รับเครดิตเพื่อใช้จ่ายในโรงอาหาร ➡️ ส่งเสริมพฤติกรรมรักษ์โลกในชีวิตประจำวัน ✅ ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ➡️ ลดปริมาณขยะที่หลุดรอดสู่ธรรมชาติ ➡️ เพิ่มการเข้าถึงวัสดุรีไซเคิลสำหรับอุตสาหกรรม ➡️ สร้างแรงจูงใจผ่านระบบรางวัล ‼️ ความท้าทายของระบบรีไซเคิลอัตโนมัติ ⛔ ต้องการการบำรุงรักษาและการจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง ⛔ ความแม่นยำของระบบสแกนต้องสูงเพื่อป้องกันการปนเปื้อน ⛔ ต้องมีระบบขนส่งวัสดุรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะ แต่ยังเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคต่อ “ขยะ” ให้กลายเป็น “ทรัพยากร” ที่มีมูลค่า และอาจเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั่วโลก https://www.slashgear.com/2017652/coca-cola-reverse-vending-machine-advanced-kiosk-innovative-environmental-tech/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Coca-Cola's 'Reverse Vending Machine' Is Environmental Tech Many Can Get Behind - SlashGear
    Coca-Cola's reverse vending machines help recycle used bottles and cans, and have now made their way to New Lanarkshire College in Scotland.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • "สงครามชิป AI ดันราคา DRAM พุ่งทะลุฟ้า แซงราคาทองคำ!"

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะอัปเกรดคอมพิวเตอร์ แต่ราคาหน่วยความจำ (RAM) กลับพุ่งสูงจนต้องคิดหนัก… นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เมื่อความต้องการชิปหน่วยความจำจากอุตสาหกรรม AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ราคา DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว — มากกว่าการขึ้นราคาของทองคำเสียอีก!

    บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังหันไปเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล AI เช่น RDIMM และ HBM แทนที่จะผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงในตลาดค้าปลีก เช่น Corsair Vengeance DDR5 ที่เคยขายในราคา $91 ตอนเดือนกรกฎาคม ตอนนี้พุ่งไปถึง $183 แล้ว!

    นอกจาก DRAM แล้ว NAND Flash และฮาร์ดไดรฟ์ก็โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะบริษัท AI รายใหญ่แห่กันเซ็นสัญญาซื้อชิปกับ Samsung และ SK Hynix ล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
    เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    สูงกว่าการขึ้นราคาของทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน

    ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI เป็นตัวเร่ง
    ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น RDIMM และ HBM
    ผู้ผลิตจึงลดการผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ราคาหน่วยความจำ DDR5 ในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเท่าตัว
    ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance DDR5 ขึ้นจาก $91 เป็น $183

    แนวโน้มระยะยาว
    ผู้ผลิตเซ็นสัญญาซื้อ DRAM ล่วงหน้ากับ Samsung และ SK Hynix นานถึง 4 ปี
    ราคาสินค้าดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน และพีซี อาจปรับตัวสูงขึ้นตาม

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
    อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในระยะยาว
    การอัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่อาจต้องวางแผนล่วงหน้า

    คำเตือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    ต้นทุนการผลิตที่ใช้หน่วยความจำอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    ควรพิจารณาการจัดซื้อหรือสต็อกสินค้าให้เหมาะสมกับแนวโน้มตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-surge-171-percent-year-over-year-ai-demand-drives-a-higher-yoy-price-increase-than-gold
    🧠💰 "สงครามชิป AI ดันราคา DRAM พุ่งทะลุฟ้า แซงราคาทองคำ!" ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะอัปเกรดคอมพิวเตอร์ แต่ราคาหน่วยความจำ (RAM) กลับพุ่งสูงจนต้องคิดหนัก… นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เมื่อความต้องการชิปหน่วยความจำจากอุตสาหกรรม AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ราคา DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว — มากกว่าการขึ้นราคาของทองคำเสียอีก! บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังหันไปเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล AI เช่น RDIMM และ HBM แทนที่จะผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงในตลาดค้าปลีก เช่น Corsair Vengeance DDR5 ที่เคยขายในราคา $91 ตอนเดือนกรกฎาคม ตอนนี้พุ่งไปถึง $183 แล้ว! นอกจาก DRAM แล้ว NAND Flash และฮาร์ดไดรฟ์ก็โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะบริษัท AI รายใหญ่แห่กันเซ็นสัญญาซื้อชิปกับ Samsung และ SK Hynix ล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ➡️ เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ➡️ สูงกว่าการขึ้นราคาของทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน ✅ ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI เป็นตัวเร่ง ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น RDIMM และ HBM ➡️ ผู้ผลิตจึงลดการผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ราคาหน่วยความจำ DDR5 ในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเท่าตัว ➡️ ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance DDR5 ขึ้นจาก $91 เป็น $183 ✅ แนวโน้มระยะยาว ➡️ ผู้ผลิตเซ็นสัญญาซื้อ DRAM ล่วงหน้ากับ Samsung และ SK Hynix นานถึง 4 ปี ➡️ ราคาสินค้าดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน และพีซี อาจปรับตัวสูงขึ้นตาม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ⛔ อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในระยะยาว ⛔ การอัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่อาจต้องวางแผนล่วงหน้า ‼️ คำเตือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ ต้นทุนการผลิตที่ใช้หน่วยความจำอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ⛔ ควรพิจารณาการจัดซื้อหรือสต็อกสินค้าให้เหมาะสมกับแนวโน้มตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-surge-171-percent-year-over-year-ai-demand-drives-a-higher-yoy-price-increase-than-gold
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • ## ทองคำ จะลงเพราะ จีน ยกเลิกสิทธิพิเศษ ภาษีทองคำ...??? ##
    ..
    ..
    นโยบายนี้ อาจทำให้เพิ่มต้นทุน ราคาทองคำใน จีน ขึ้นได้ประมาณ 4-13% สำหรับผู้ซื้อในจีน (หากต้นทุนถูกส่งผ่านเต็มที่)
    .
    และ ผลต่อ อุปสงค์โลก อาจลดลงประมาณ 3% ในระยะกลาง
    .
    ซึ่งถ้าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น ราคาทองโลกอาจถูกกดดันหรือขึ้นช้าลง แต่ไม่ถึงกับทำให้เทรนด์ขาขึ้นหาย เพราะแรงซื้ออื่นยังอยู่
    .
    เหตุผลที่ นโยบายนี้ มีผลกระทบไม่มากจนเกินไป
    .
    เพราะตลาดทองคำโลก ไม่ได้ขึ้นหรือลงจาก จีน เพียงลำพังประเทศเดียว
    .
    ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก ปัจจัยทางเฝด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ อีกด้วย
    .
    แม้จีนเป็นผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่มาก แต่การบริโภคทองแตกต่างกัน (เครื่องประดับ vs แท่ง/เหรียญ) และ การซื้อเพื่อเก็บรักษามูลค่า (investment) มีความยืดหยุ่นกว่า
    .
    ผู้ผลิต/ผู้ค้าทองอาจปรับกลยุทธ์ เช่น ลดกำไรเล็กน้อยเพื่อรักษายอดขาย ลดต้นทุนอื่น หรือ ชะลอการส่งออก เข้าไทย ฮ่องกง สิงคโปร์แทน เพื่อรักษา margin
    ....
    ....
    สรุป อย่างสั้นที่สุด คือ มีผลกระทบอยู่ แต่ไม่มากมายอะไรนัก...
    ## ทองคำ จะลงเพราะ จีน ยกเลิกสิทธิพิเศษ ภาษีทองคำ...??? ## .. .. นโยบายนี้ อาจทำให้เพิ่มต้นทุน ราคาทองคำใน จีน ขึ้นได้ประมาณ 4-13% สำหรับผู้ซื้อในจีน (หากต้นทุนถูกส่งผ่านเต็มที่) . และ ผลต่อ อุปสงค์โลก อาจลดลงประมาณ 3% ในระยะกลาง . ซึ่งถ้าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น ราคาทองโลกอาจถูกกดดันหรือขึ้นช้าลง แต่ไม่ถึงกับทำให้เทรนด์ขาขึ้นหาย เพราะแรงซื้ออื่นยังอยู่ . เหตุผลที่ นโยบายนี้ มีผลกระทบไม่มากจนเกินไป . เพราะตลาดทองคำโลก ไม่ได้ขึ้นหรือลงจาก จีน เพียงลำพังประเทศเดียว . ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก ปัจจัยทางเฝด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ อีกด้วย . แม้จีนเป็นผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่มาก แต่การบริโภคทองแตกต่างกัน (เครื่องประดับ vs แท่ง/เหรียญ) และ การซื้อเพื่อเก็บรักษามูลค่า (investment) มีความยืดหยุ่นกว่า . ผู้ผลิต/ผู้ค้าทองอาจปรับกลยุทธ์ เช่น ลดกำไรเล็กน้อยเพื่อรักษายอดขาย ลดต้นทุนอื่น หรือ ชะลอการส่งออก เข้าไทย ฮ่องกง สิงคโปร์แทน เพื่อรักษา margin .... .... สรุป อย่างสั้นที่สุด คือ มีผลกระทบอยู่ แต่ไม่มากมายอะไรนัก...
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • Chewy ครองแชมป์ร้านค้าออนไลน์ที่ลูกค้าพึงพอใจที่สุดในสหรัฐฯ ปี 2025 แซงหน้า Amazon และ eBay

    จากการจัดอันดับของ American Customer Satisfaction Index (ACSI) ประจำปี 2025 Chewy ได้รับคะแนนสูงสุดด้านความพึงพอใจของลูกค้าในหมวดร้านค้าออนไลน์ ด้วยคะแนน 85 แซงหน้า Amazon (83) และ eBay (81) อย่างน่าประทับใจ

    แม้ Amazon จะครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในแง่ยอดขาย แต่เมื่อพูดถึง “ความพึงพอใจของลูกค้า” กลับเป็น Chewy ที่คว้าอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่สาม

    ACSI ซึ่งเป็นองค์กรวัดความพึงพอใจระดับประเทศในสหรัฐฯ ใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
    คุณภาพและความน่าเชื่อถือของแอปหรือเว็บไซต์
    ความง่ายในการใช้งานและขั้นตอนชำระเงิน
    ความพร้อมของสินค้าและตัวเลือกการจัดส่ง

    Chewy ได้คะแนนสูงสุดในทุกหมวด โดยเฉพาะด้าน “ประสบการณ์ลูกค้า” เช่น การส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยงของลูกค้า หรือการให้บริการแชทสดที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

    ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” คือสิ่งที่ทำให้ Chewy แตกต่างจากคู่แข่ง แม้จะไม่มีร้านค้าจริง แต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้

    ผลการจัดอันดับ ACSI ปี 2025
    Chewy ได้คะแนน 85 (เพิ่มขึ้นจาก 84 ในปี 2024)
    Amazon ได้ 83
    eBay ได้ 81

    ปัจจัยที่ทำให้ Chewy ได้คะแนนสูง
    แอปและเว็บไซต์ใช้งานง่าย
    การจัดส่งรวดเร็วและแม่นยำ
    การบริการลูกค้าแบบ “มีหัวใจ” เช่น ส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยง
    คำอธิบายสินค้าและภาพประกอบชัดเจน

    บริบทของตลาดอีคอมเมิร์ซ
    ปี 2024 ยอดขายกว่า 81% ยังมาจากร้านค้าจริง แต่ลดลงจาก 92% เมื่อ 10 ปีก่อน
    คาดว่าอีคอมเมิร์ซจะครอง 27% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดภายในปี 2027
    ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวก ความหลากหลาย และราคาที่คุ้มค่า

    https://www.slashgear.com/2008353/best-online-retailer-why-chewy-ranked-number-one/
    🏆🐾 Chewy ครองแชมป์ร้านค้าออนไลน์ที่ลูกค้าพึงพอใจที่สุดในสหรัฐฯ ปี 2025 แซงหน้า Amazon และ eBay จากการจัดอันดับของ American Customer Satisfaction Index (ACSI) ประจำปี 2025 Chewy ได้รับคะแนนสูงสุดด้านความพึงพอใจของลูกค้าในหมวดร้านค้าออนไลน์ ด้วยคะแนน 85 แซงหน้า Amazon (83) และ eBay (81) อย่างน่าประทับใจ แม้ Amazon จะครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในแง่ยอดขาย แต่เมื่อพูดถึง “ความพึงพอใจของลูกค้า” กลับเป็น Chewy ที่คว้าอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่สาม ACSI ซึ่งเป็นองค์กรวัดความพึงพอใจระดับประเทศในสหรัฐฯ ใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่: 🎗️ คุณภาพและความน่าเชื่อถือของแอปหรือเว็บไซต์ 🎗️ ความง่ายในการใช้งานและขั้นตอนชำระเงิน 🎗️ ความพร้อมของสินค้าและตัวเลือกการจัดส่ง Chewy ได้คะแนนสูงสุดในทุกหมวด โดยเฉพาะด้าน “ประสบการณ์ลูกค้า” เช่น การส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยงของลูกค้า หรือการให้บริการแชทสดที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” คือสิ่งที่ทำให้ Chewy แตกต่างจากคู่แข่ง แม้จะไม่มีร้านค้าจริง แต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้ ✅ ผลการจัดอันดับ ACSI ปี 2025 ➡️ Chewy ได้คะแนน 85 (เพิ่มขึ้นจาก 84 ในปี 2024) ➡️ Amazon ได้ 83 ➡️ eBay ได้ 81 ✅ ปัจจัยที่ทำให้ Chewy ได้คะแนนสูง ➡️ แอปและเว็บไซต์ใช้งานง่าย ➡️ การจัดส่งรวดเร็วและแม่นยำ ➡️ การบริการลูกค้าแบบ “มีหัวใจ” เช่น ส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยง ➡️ คำอธิบายสินค้าและภาพประกอบชัดเจน ✅ บริบทของตลาดอีคอมเมิร์ซ ➡️ ปี 2024 ยอดขายกว่า 81% ยังมาจากร้านค้าจริง แต่ลดลงจาก 92% เมื่อ 10 ปีก่อน ➡️ คาดว่าอีคอมเมิร์ซจะครอง 27% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดภายในปี 2027 ➡️ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวก ความหลากหลาย และราคาที่คุ้มค่า https://www.slashgear.com/2008353/best-online-retailer-why-chewy-ranked-number-one/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Is Considered The Best Online Retailer In Terms Of Customer Satisfaction - SlashGear
    Chewy takes the crown as the most satisfying online retailer, scoring higher than Amazon and eBay in the latest American Customer Satisfaction Index.
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • จีนจับแก๊งปลอมชิป! อาจกระทบฮาร์ดแวร์ PC ทั่วโลก

    ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เก่ามารีแบรนด์เป็นชิปนำเข้าระดับพรีเมียมจาก Infineon และ Texas Instruments ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU โดยไม่รู้ตัว

    ตำรวจในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ได้รื้อถอนขบวนการปลอมแปลงชิปที่ใช้วิธีนำชิปเก่าที่ถูกทิ้งมาขัดลบรหัสเดิมด้วยเลเซอร์ แล้วติดฉลากใหม่ให้ดูเหมือนชิปนำเข้าจากบริษัทชั้นนำอย่าง Infineon และ Texas Instruments ก่อนส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ

    ชิปปลอมเหล่านี้ไม่ได้ถูกขายให้ผู้บริโภคโดยตรง แต่ถูกส่งต่อแบบ B2B ไปยังผู้ผลิตอุปกรณ์ downstream เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และระบบควบคุมอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอาจเผลอใช้ชิปปลอมในผลิตภัณฑ์ของตนโดยไม่รู้ตัว

    ปัญหาคือชิปปลอมมักไม่แสดงอาการผิดปกติทันที แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความร้อนหรือแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น รีบูตแบบสุ่มเมื่อ GPU boost ทำงาน หรือเสียงพัดลมผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากใช้งานไปหลายสัปดาห์

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดด้านการส่งออกชิประหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อในจีนบางรายหันไปใช้ชิปปลอมเพราะหาอะไหล่แท้ได้ยากขึ้น และราคาชิปแท้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ

    ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปอิเล็กทรอนิกส์
    ใช้ชิปเก่าขัดลบรหัสแล้วติดฉลากใหม่เป็นแบรนด์ดัง
    ส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ

    แบรนด์ที่ถูกปลอมแปลง
    Infineon: power MOSFETs และ driver ICs
    Texas Instruments: power controllers และ op-amps

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม downstream
    อาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU
    ปัญหาอาจไม่แสดงทันที แต่เกิดเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความเครียด

    การตอบสนองของทางการ
    มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อยหนึ่งราย
    ประสานงานกับผู้ผลิตต่างประเทศเพื่อตรวจสอบล็อตที่ได้รับผลกระทบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/police-bust-chip-relabeling-ring-in-shenzen
    🔍💻 จีนจับแก๊งปลอมชิป! อาจกระทบฮาร์ดแวร์ PC ทั่วโลก ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เก่ามารีแบรนด์เป็นชิปนำเข้าระดับพรีเมียมจาก Infineon และ Texas Instruments ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU โดยไม่รู้ตัว ตำรวจในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ได้รื้อถอนขบวนการปลอมแปลงชิปที่ใช้วิธีนำชิปเก่าที่ถูกทิ้งมาขัดลบรหัสเดิมด้วยเลเซอร์ แล้วติดฉลากใหม่ให้ดูเหมือนชิปนำเข้าจากบริษัทชั้นนำอย่าง Infineon และ Texas Instruments ก่อนส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ ชิปปลอมเหล่านี้ไม่ได้ถูกขายให้ผู้บริโภคโดยตรง แต่ถูกส่งต่อแบบ B2B ไปยังผู้ผลิตอุปกรณ์ downstream เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และระบบควบคุมอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอาจเผลอใช้ชิปปลอมในผลิตภัณฑ์ของตนโดยไม่รู้ตัว ปัญหาคือชิปปลอมมักไม่แสดงอาการผิดปกติทันที แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความร้อนหรือแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น รีบูตแบบสุ่มเมื่อ GPU boost ทำงาน หรือเสียงพัดลมผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากใช้งานไปหลายสัปดาห์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดด้านการส่งออกชิประหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อในจีนบางรายหันไปใช้ชิปปลอมเพราะหาอะไหล่แท้ได้ยากขึ้น และราคาชิปแท้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ✅ ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ใช้ชิปเก่าขัดลบรหัสแล้วติดฉลากใหม่เป็นแบรนด์ดัง ➡️ ส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ ✅ แบรนด์ที่ถูกปลอมแปลง ➡️ Infineon: power MOSFETs และ driver ICs ➡️ Texas Instruments: power controllers และ op-amps ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม downstream ➡️ อาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU ➡️ ปัญหาอาจไม่แสดงทันที แต่เกิดเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความเครียด ✅ การตอบสนองของทางการ ➡️ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อยหนึ่งราย ➡️ ประสานงานกับผู้ผลิตต่างประเทศเพื่อตรวจสอบล็อตที่ได้รับผลกระทบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/police-bust-chip-relabeling-ring-in-shenzen
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง

    WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล

    ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล

    เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล

    WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร

    WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB
    รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX
    ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล
    WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน

    ลักษณะของเทคโนโลยี SMR
    เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา
    เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ
    มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง

    ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021
    WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น
    ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน
    ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร ✅ WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB ➡️ รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX ➡️ ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล ➡️ WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน ✅ ลักษณะของเทคโนโลยี SMR ➡️ เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา ➡️ เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ ➡️ มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง ✅ ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021 ➡️ WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น ➡️ ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน ➡️ ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7 https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • AI ช่วยชีวิตหลังความตาย: จากบิลโรงพยาบาล 195,000 เหลือ 33,000 ดอลลาร์

    ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งสูญเสียคนรักไป แล้วต้องเผชิญกับบิลค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 195,000 ดอลลาร์สำหรับการดูแลเพียง 4 ชั่วโมงสุดท้ายใน ICU… นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งในสหรัฐฯ ต้องเผชิญ แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ และหันไปหา Claude AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของบิล และผลลัพธ์ก็พลิกชีวิต: ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์!

    Claude ไม่ได้แค่ช่วยคำนวณ แต่ยังกลายเป็น “นักสืบบัญชี” ที่ขุดเจอการคิดเงินซ้ำซ้อน การใช้รหัสผิดประเภท และการเรียกเก็บเงินที่ละเมิดข้อบังคับของ Medicare ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดชัดเจนตั้งแต่แรก จนต้องใช้ AI เจาะลึกทีละบรรทัด

    เรื่องนี้สะท้อนถึงพลังของ AI ในการปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค และเตือนให้เราระวังการเรียกเก็บเงินที่ไม่โปร่งใสจากสถานพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต

    Claude AI ช่วยครอบครัวลดบิลค่ารักษาพยาบาลจาก $195,000 เหลือ $33,000
    ใช้การวิเคราะห์รหัสการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์อย่างละเอียด
    พบการคิดเงินซ้ำซ้อน เช่น คิดค่าหัตถการรวม และแยกรายการย่อยซ้ำอีก
    ตรวจพบการใช้รหัสผู้ป่วยในแทนรหัสฉุกเฉิน ซึ่งอาจละเมิดข้อบังคับ
    ช่วยเขียนจดหมายเจรจาและเตือนถึงการดำเนินคดีหรือผลกระทบทางสื่อ

    สาเหตุที่บิลสูงผิดปกติ
    ผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้น
    โรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดรายการค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส

    บทบาทของ AI ในการช่วยเหลือด้านการเงินและกฎหมาย
    Claude AI ทำหน้าที่คล้ายผู้ช่วยนักบัญชีและนักกฎหมาย
    ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน
    เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต

    คำเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาล
    บางโรงพยาบาลอาจใช้ช่องโหว่ทางระบบเพื่อเรียกเก็บเงินเกินจริง
    การไม่ตรวจสอบบิลอย่างละเอียดอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น
    การไม่มีประกันสุขภาพอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนโดยไม่มีการต่อรอง

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบ
    AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดหากข้อมูลไม่ครบถ้วน
    ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการตัดสินใจทั้งหมด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/grieving-family-uses-ai-chatbot-to-cut-hospital-bill-from-usd195-000-to-usd33-000-family-says-claude-highlighted-duplicative-charges-improper-coding-and-other-violations
    🧠💸 AI ช่วยชีวิตหลังความตาย: จากบิลโรงพยาบาล 195,000 เหลือ 33,000 ดอลลาร์ ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งสูญเสียคนรักไป แล้วต้องเผชิญกับบิลค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 195,000 ดอลลาร์สำหรับการดูแลเพียง 4 ชั่วโมงสุดท้ายใน ICU… นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งในสหรัฐฯ ต้องเผชิญ แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ และหันไปหา Claude AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของบิล และผลลัพธ์ก็พลิกชีวิต: ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์! Claude ไม่ได้แค่ช่วยคำนวณ แต่ยังกลายเป็น “นักสืบบัญชี” ที่ขุดเจอการคิดเงินซ้ำซ้อน การใช้รหัสผิดประเภท และการเรียกเก็บเงินที่ละเมิดข้อบังคับของ Medicare ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดชัดเจนตั้งแต่แรก จนต้องใช้ AI เจาะลึกทีละบรรทัด เรื่องนี้สะท้อนถึงพลังของ AI ในการปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค และเตือนให้เราระวังการเรียกเก็บเงินที่ไม่โปร่งใสจากสถานพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต ✅ Claude AI ช่วยครอบครัวลดบิลค่ารักษาพยาบาลจาก $195,000 เหลือ $33,000 ➡️ ใช้การวิเคราะห์รหัสการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์อย่างละเอียด ➡️ พบการคิดเงินซ้ำซ้อน เช่น คิดค่าหัตถการรวม และแยกรายการย่อยซ้ำอีก ➡️ ตรวจพบการใช้รหัสผู้ป่วยในแทนรหัสฉุกเฉิน ซึ่งอาจละเมิดข้อบังคับ ➡️ ช่วยเขียนจดหมายเจรจาและเตือนถึงการดำเนินคดีหรือผลกระทบทางสื่อ ✅ สาเหตุที่บิลสูงผิดปกติ ➡️ ผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้น ➡️ โรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดรายการค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส ✅ บทบาทของ AI ในการช่วยเหลือด้านการเงินและกฎหมาย ➡️ Claude AI ทำหน้าที่คล้ายผู้ช่วยนักบัญชีและนักกฎหมาย ➡️ ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน ➡️ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาล ⛔ บางโรงพยาบาลอาจใช้ช่องโหว่ทางระบบเพื่อเรียกเก็บเงินเกินจริง ⛔ การไม่ตรวจสอบบิลอย่างละเอียดอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ⛔ การไม่มีประกันสุขภาพอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนโดยไม่มีการต่อรอง ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบ ⛔ AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดหากข้อมูลไม่ครบถ้วน ⛔ ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการตัดสินใจทั้งหมด https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/grieving-family-uses-ai-chatbot-to-cut-hospital-bill-from-usd195-000-to-usd33-000-family-says-claude-highlighted-duplicative-charges-improper-coding-and-other-violations
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • เมื่อชื่อ “Cameo” กลายเป็นสนามรบระหว่างของจริงกับของปลอม

    Cameo ฟ้อง OpenAI ปมฟีเจอร์ “Cameo” ใน Sora ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสร้าง Deepfake ดารา แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง Cameo ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานใช้ชื่อ “Cameo” ในฟีเจอร์ใหม่ของ Sora ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI โดยใส่ใบหน้าตนเองหรือคนอื่น ซึ่งอาจสร้างความสับสนและละเมิดสิทธิ์ของดารา

    Cameo เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อรับวิดีโอส่วนตัวจากคนดัง เช่น Jon Gruden หรือ Lisa Vanderpump โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Cameo” อย่างถูกต้อง แต่เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Sora ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “Cameo” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใส่ใบหน้าตัวเองหรือคนอื่นลงในวิดีโอ AI ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทันที

    Cameo กล่าวหาว่า OpenAI “จงใจละเมิดเครื่องหมายการค้า” และ “เพิกเฉยต่อความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค” พร้อมระบุว่าเกิด “ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้” ต่อแบรนด์ของตน

    OpenAI ตอบกลับว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของคำว่า Cameo” และกำลังพิจารณาคำฟ้องอยู่

    สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจคือ:
    ฟีเจอร์ “Cameo” ของ Sora สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนจริงโดยใช้ใบหน้าคนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนดัง
    ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม Cameo เพื่อรับวิดีโอจากคนดังจริง หรือใช้ Sora เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่เหมือนจริง
    มีการกล่าวอ้างว่า Sora ใช้ likeness ของคนดัง เช่น Mark Cuban และ Jake Paul โดยไม่ได้รับอนุญาต

    นอกจากนี้ Sora ยังถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลฝึก AI ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น อนิเมะ บุคคลที่เสียชีวิต และเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอื่น ๆ

    https://securityonline.info/ai-vs-authenticity-cameo-sues-openai-over-soras-cameo-deepfake-feature/
    🎭 เมื่อชื่อ “Cameo” กลายเป็นสนามรบระหว่างของจริงกับของปลอม Cameo ฟ้อง OpenAI ปมฟีเจอร์ “Cameo” ใน Sora ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสร้าง Deepfake ดารา แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง Cameo ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานใช้ชื่อ “Cameo” ในฟีเจอร์ใหม่ของ Sora ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI โดยใส่ใบหน้าตนเองหรือคนอื่น ซึ่งอาจสร้างความสับสนและละเมิดสิทธิ์ของดารา Cameo เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อรับวิดีโอส่วนตัวจากคนดัง เช่น Jon Gruden หรือ Lisa Vanderpump โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Cameo” อย่างถูกต้อง แต่เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Sora ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “Cameo” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใส่ใบหน้าตัวเองหรือคนอื่นลงในวิดีโอ AI ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทันที Cameo กล่าวหาว่า OpenAI “จงใจละเมิดเครื่องหมายการค้า” และ “เพิกเฉยต่อความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค” พร้อมระบุว่าเกิด “ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้” ต่อแบรนด์ของตน OpenAI ตอบกลับว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของคำว่า Cameo” และกำลังพิจารณาคำฟ้องอยู่ สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจคือ: 🎗️ ฟีเจอร์ “Cameo” ของ Sora สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนจริงโดยใช้ใบหน้าคนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนดัง 🎗️ ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม Cameo เพื่อรับวิดีโอจากคนดังจริง หรือใช้ Sora เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่เหมือนจริง 🎗️ มีการกล่าวอ้างว่า Sora ใช้ likeness ของคนดัง เช่น Mark Cuban และ Jake Paul โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ Sora ยังถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลฝึก AI ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น อนิเมะ บุคคลที่เสียชีวิต และเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอื่น ๆ https://securityonline.info/ai-vs-authenticity-cameo-sues-openai-over-soras-cameo-deepfake-feature/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI vs. Authenticity: Cameo Sues OpenAI Over Sora’s ‘Cameo’ Deepfake Feature
    The Cameo celebrity platform sued OpenAI for trademark infringement over its Sora feature, arguing the name for AI-generated likenesses causes confusion and harms its brand.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • นักวิทยาศาสตร์เผย: มนุษย์แทบแยกไม่ออกระหว่าง 1440p กับ 8K หากดูจากระยะ 10 ฟุต!

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ร่วมกับ Meta Reality Labs ได้ทำการศึกษาขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ต่อความละเอียดหน้าจอ พบว่า ที่ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอขนาด 50 นิ้ว ความแตกต่างระหว่าง 1440p, 4K และ 8K แทบไม่สามารถแยกออกได้ด้วยสายตา

    รายละเอียดการศึกษา

    นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวัด “Pixels Per Degree” (PPD) เพื่อประเมินว่ามนุษย์สามารถแยกแยะพิกเซลได้มากแค่ไหนในแต่ละสีและระยะห่าง โดยใช้จอภาพที่สามารถปรับความละเอียดได้อย่างต่อเนื่อง และวัดการรับรู้ของผู้ทดลองในหลายเงื่อนไข เช่น สี ความสว่าง และมุมมอง

    ผลลัพธ์ที่ได้:
    สีขาวดำ: มนุษย์สามารถแยกแยะได้สูงสุดถึง 94 PPD
    สีแดงและเขียว: 89 PPD
    สีเหลืองและม่วง: ต่ำสุดที่ 53 PPD

    นักวิจัยยังสร้างเครื่องคำนวณออนไลน์ให้ผู้ใช้กรอกขนาดหน้าจอ ระยะห่าง และความละเอียด เพื่อดูว่าความละเอียดที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา
    ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอ 50 นิ้ว: 1440p, 4K และ 8K แทบไม่ต่างกันในสายตามนุษย์
    1% เท่านั้นที่สามารถแยกแยะภาพ 1440p กับภาพสมบูรณ์แบบได้
    ที่ 4K และ 8K ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 0% — หมายความว่าไม่มีใครแยกออกได้
    การเพิ่มความละเอียดเกินขีดจำกัดสายตาอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

    ขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์
    สีขาวดำ: สูงสุด 94 PPD
    สีแดง/เขียว: สูงสุด 89 PPD
    สีเหลือง/ม่วง: ต่ำสุด 53 PPD
    ความสามารถในการแยกแยะลดลงเมื่อมองจากมุมเฉียงหรือในสภาพแสงต่างกัน

    เครื่องมือช่วยผู้บริโภค
    นักวิจัยพัฒนาเครื่องคำนวณออนไลน์เพื่อช่วยเลือกหน้าจอที่เหมาะสม
    ช่วยลดการซื้อหน้าจอที่มีความละเอียดเกินความจำเป็น

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภค
    การซื้อหน้าจอ 8K อาจไม่ให้คุณภาพภาพที่ต่างจาก 1440p หากดูจากระยะไกล
    ความละเอียดสูงขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น
    ผู้ผลิตอาจโฆษณาความละเอียดเกินความจำเป็นเพื่อกระตุ้นยอดขาย

    https://www.tomshardware.com/monitors/scientists-claim-you-cant-see-the-difference-between-1440p-and-8k-at-10-feet-in-new-study-on-the-limits-of-the-human-eye-would-still-be-an-improvement-on-the-previously-touted-upper-limit-of-60-pixels-per-degree
    🧠👁️ นักวิทยาศาสตร์เผย: มนุษย์แทบแยกไม่ออกระหว่าง 1440p กับ 8K หากดูจากระยะ 10 ฟุต! นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ร่วมกับ Meta Reality Labs ได้ทำการศึกษาขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ต่อความละเอียดหน้าจอ พบว่า ที่ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอขนาด 50 นิ้ว ความแตกต่างระหว่าง 1440p, 4K และ 8K แทบไม่สามารถแยกออกได้ด้วยสายตา 📺 รายละเอียดการศึกษา นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวัด “Pixels Per Degree” (PPD) เพื่อประเมินว่ามนุษย์สามารถแยกแยะพิกเซลได้มากแค่ไหนในแต่ละสีและระยะห่าง โดยใช้จอภาพที่สามารถปรับความละเอียดได้อย่างต่อเนื่อง และวัดการรับรู้ของผู้ทดลองในหลายเงื่อนไข เช่น สี ความสว่าง และมุมมอง 💠 ผลลัพธ์ที่ได้: 👁️ สีขาวดำ: มนุษย์สามารถแยกแยะได้สูงสุดถึง 94 PPD 👁️ สีแดงและเขียว: 89 PPD 👁️ สีเหลืองและม่วง: ต่ำสุดที่ 53 PPD นักวิจัยยังสร้างเครื่องคำนวณออนไลน์ให้ผู้ใช้กรอกขนาดหน้าจอ ระยะห่าง และความละเอียด เพื่อดูว่าความละเอียดที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา ➡️ ระยะห่าง 10 ฟุตจากหน้าจอ 50 นิ้ว: 1440p, 4K และ 8K แทบไม่ต่างกันในสายตามนุษย์ ➡️ 1% เท่านั้นที่สามารถแยกแยะภาพ 1440p กับภาพสมบูรณ์แบบได้ ➡️ ที่ 4K และ 8K ตัวเลขนั้นลดลงเหลือ 0% — หมายความว่าไม่มีใครแยกออกได้ ➡️ การเพิ่มความละเอียดเกินขีดจำกัดสายตาอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ✅ ขีดจำกัดการมองเห็นของมนุษย์ ➡️ สีขาวดำ: สูงสุด 94 PPD ➡️ สีแดง/เขียว: สูงสุด 89 PPD ➡️ สีเหลือง/ม่วง: ต่ำสุด 53 PPD ➡️ ความสามารถในการแยกแยะลดลงเมื่อมองจากมุมเฉียงหรือในสภาพแสงต่างกัน ✅ เครื่องมือช่วยผู้บริโภค ➡️ นักวิจัยพัฒนาเครื่องคำนวณออนไลน์เพื่อช่วยเลือกหน้าจอที่เหมาะสม ➡️ ช่วยลดการซื้อหน้าจอที่มีความละเอียดเกินความจำเป็น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภค ⛔ การซื้อหน้าจอ 8K อาจไม่ให้คุณภาพภาพที่ต่างจาก 1440p หากดูจากระยะไกล ⛔ ความละเอียดสูงขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น ⛔ ผู้ผลิตอาจโฆษณาความละเอียดเกินความจำเป็นเพื่อกระตุ้นยอดขาย https://www.tomshardware.com/monitors/scientists-claim-you-cant-see-the-difference-between-1440p-and-8k-at-10-feet-in-new-study-on-the-limits-of-the-human-eye-would-still-be-an-improvement-on-the-previously-touted-upper-limit-of-60-pixels-per-degree
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปปลายปี 2025 — สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชม

    Paramount Global เตรียมปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปทั้งหมดภายในสิ้นปี 2025 หลังการควบรวมกิจการกับ Skydance Media โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชมที่หันไปใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากขึ้น

    MTV เคยเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อปยุค 80s–90s โดยเฉพาะในยุโรปที่มีช่องเฉพาะอย่าง MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live แต่หลังจาก Paramount Global ควบรวมกับ Skydance Media ในดีลมูลค่า $8 พันล้านเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ก็มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

    David Ellison ซีอีโอคนใหม่ของ Paramount Skydance ต้องการลดต้นทุนและปรับแบรนด์ให้ทันยุค โดยเน้นไปที่แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Paramount+ และ TikTok ซึ่งครอบครัว Ellison มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านการถือหุ้น

    แม้เพลงยังคงได้รับความนิยม แต่ผู้ชมไม่ได้ดูผ่านทีวีอีกต่อไป YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ชมมากที่สุดในอเมริกา แซงหน้า Netflix และ Disney ไปแล้ว ขณะที่ช่อง MTV Music และ MTV 90s มีผู้ชมรวมกันเพียง 2.25 ล้านครั้งในเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวิวรายวันของเพลงฮิตอย่าง “The Fate of Ophelia” ของ Taylor Swift

    การปิดช่องเพลงจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากยุคทีวีสู่ยุคสตรีมมิ่ง และการรวมศูนย์ของอุตสาหกรรมสื่อที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

    Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรป
    รวมถึง MTV Music, MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live
    มีผลภายในสิ้นปี 2025

    เหตุผลหลักของการปิด
    การควบรวมกิจการกับ Skydance Media
    ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเน้นแพลตฟอร์มดิจิทัล
    ผู้ชมเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ YouTube และสตรีมมิ่ง

    สถานะของ MTV ในยุคใหม่
    ผู้ชมเฉลี่ยมีอายุ 56 ปี
    แบรนด์ต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่
    อาจเน้นไปที่คอนเทนต์ออนไลน์และแพลตฟอร์มมือถือ

    การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อ
    การรวมศูนย์ของแบรนด์ใหญ่ เช่น Paramount, HBO Max, TikTok
    การแข่งขันด้านคอนเทนต์ระหว่างสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดีย
    การใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตและวิเคราะห์คอนเทนต์

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภคและผู้ผลิตคอนเทนต์
    การรวมศูนย์อาจลดความหลากหลายของคอนเทนต์
    ผู้ผลิตอิสระอาจถูกกลืนโดยแพลตฟอร์มใหญ่
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการถูกควบคุมหรือเซ็นเซอร์

    https://www.slashgear.com/2004759/paramount-global-shutting-down-mtv-music-channels-europe-reason-why/
    📺 Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปปลายปี 2025 — สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชม Paramount Global เตรียมปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปทั้งหมดภายในสิ้นปี 2025 หลังการควบรวมกิจการกับ Skydance Media โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชมที่หันไปใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากขึ้น MTV เคยเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อปยุค 80s–90s โดยเฉพาะในยุโรปที่มีช่องเฉพาะอย่าง MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live แต่หลังจาก Paramount Global ควบรวมกับ Skydance Media ในดีลมูลค่า $8 พันล้านเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ก็มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ David Ellison ซีอีโอคนใหม่ของ Paramount Skydance ต้องการลดต้นทุนและปรับแบรนด์ให้ทันยุค โดยเน้นไปที่แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Paramount+ และ TikTok ซึ่งครอบครัว Ellison มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านการถือหุ้น แม้เพลงยังคงได้รับความนิยม แต่ผู้ชมไม่ได้ดูผ่านทีวีอีกต่อไป YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ชมมากที่สุดในอเมริกา แซงหน้า Netflix และ Disney ไปแล้ว ขณะที่ช่อง MTV Music และ MTV 90s มีผู้ชมรวมกันเพียง 2.25 ล้านครั้งในเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวิวรายวันของเพลงฮิตอย่าง “The Fate of Ophelia” ของ Taylor Swift การปิดช่องเพลงจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากยุคทีวีสู่ยุคสตรีมมิ่ง และการรวมศูนย์ของอุตสาหกรรมสื่อที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ✅ Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรป ➡️ รวมถึง MTV Music, MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live ➡️ มีผลภายในสิ้นปี 2025 ✅ เหตุผลหลักของการปิด ➡️ การควบรวมกิจการกับ Skydance Media ➡️ ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเน้นแพลตฟอร์มดิจิทัล ➡️ ผู้ชมเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ YouTube และสตรีมมิ่ง ✅ สถานะของ MTV ในยุคใหม่ ➡️ ผู้ชมเฉลี่ยมีอายุ 56 ปี ➡️ แบรนด์ต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ ➡️ อาจเน้นไปที่คอนเทนต์ออนไลน์และแพลตฟอร์มมือถือ ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อ ➡️ การรวมศูนย์ของแบรนด์ใหญ่ เช่น Paramount, HBO Max, TikTok ➡️ การแข่งขันด้านคอนเทนต์ระหว่างสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดีย ➡️ การใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตและวิเคราะห์คอนเทนต์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภคและผู้ผลิตคอนเทนต์ ⛔ การรวมศูนย์อาจลดความหลากหลายของคอนเทนต์ ⛔ ผู้ผลิตอิสระอาจถูกกลืนโดยแพลตฟอร์มใหญ่ ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการถูกควบคุมหรือเซ็นเซอร์ https://www.slashgear.com/2004759/paramount-global-shutting-down-mtv-music-channels-europe-reason-why/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    After 40 Years, MTV Is Finally Taking Its Music Channels Off-The-Air Internationally - Here's Why - SlashGear
    Fans were devastated to learn that several MTV music channels would be shut down, but why has the station's owner decided to make the move now?
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์

    บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์

    YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน”

    ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์

    บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์

    นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก
    ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย
    วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก

    การตอบโต้จากบริษัทล็อก
    ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
    กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด
    กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส
    การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ
    การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น

    คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
    การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
    ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์
    การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า


    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    🔒 บริษัทล็อกฟ้อง YouTuber หลังโชว์วิธีเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก — กลับกลายเป็นดราม่าทางกฎหมายและภาพลักษณ์ บริษัทล็อกชื่อดังตัดสินใจฟ้อง YouTuber รายหนึ่งที่เผยแพร่วิดีโอสาธิตการเปิดล็อกรุ่นยอดนิยมด้วยวิธี “shimming” หรือการสอดแผ่นพลาสติกเข้าไปในช่องล็อก ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันมานานในวงการรักษาความปลอดภัย แต่การฟ้องครั้งนี้กลับสร้างกระแสตีกลับอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์ YouTuber รายนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน และมักทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการทดสอบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย เช่น ล็อก กุญแจ และกล้อง โดยเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคว่าอุปกรณ์ใด “ปลอดภัยจริง” และอุปกรณ์ใด “แค่ดูดีแต่ไม่ทน” ในวิดีโอล่าสุด เขาได้สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติกธรรมดา โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ซึ่งทำให้ผู้ชมจำนวนมากตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตล็อกไม่พอใจ และตัดสินใจฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและทำให้แบรนด์เสียหาย แต่การฟ้องกลับสร้างกระแสตีกลับ เพราะหลายคนมองว่าเป็นการ “ยิงตัวเอง” และพยายามปิดปากผู้วิจารณ์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออกมาเตือนว่า การฟ้องผู้ทดสอบอุปกรณ์อาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส และไม่ยอมรับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ YouTuber สาธิตการเปิดล็อกราคา $130 ด้วยแผ่นพลาสติก ➡️ ใช้เทคนิค “shimming” ที่เป็นที่รู้จักในวงการรักษาความปลอดภัย ➡️ วิดีโอได้รับความนิยมและสร้างคำถามถึงคุณภาพของล็อก ✅ การตอบโต้จากบริษัทล็อก ➡️ ฟ้อง YouTuber ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ กล่าวหาว่าทำให้แบรนด์เสียหายและเข้าใจผิด ➡️ กลายเป็นดราม่าทางภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การฟ้องอาจทำให้บริษัทถูกมองว่าไม่โปร่งใส ➡️ การวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ควรได้รับการปกป้องในฐานะสิทธิเสรีภาพ ➡️ การเปิดเผยข้อบกพร่องช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ดีขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ⛔ การปิดปากผู้วิจารณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ⛔ ควรรับฟังข้อเสนอแนะและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ⛔ การฟ้องร้องอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://arstechnica.com/tech-policy/2025/10/suing-a-popular-youtuber-who-shimmed-a-130-lock-what-could-possibly-go-wrong/
    ARSTECHNICA.COM
    10M people watched a YouTuber shim a lock; the lock company sued him. Bad idea.
    It’s still legal to pick locks, even when you swing your legs.
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei – จีนใกล้ปลดล็อกคอขวดชิป AI

    จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI ที่ใช้ในการประมวลผลขนาดใหญ่ เช่นในระบบปัญญาประดิษฐ์และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    ที่ผ่านมา Huawei และบริษัทอื่นๆ ต้องพึ่งพาสต็อก HBM ที่มีอยู่ก่อนการควบคุมการส่งออกจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ CXMT ได้พัฒนาตัวอย่าง HBM3 ได้สำเร็จ และส่งให้ Huawei ทดสอบแล้ว ซึ่งถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการผลิตในประเทศ

    แม้ CXMT ยังล้าหลังบริษัทระดับโลกอย่าง SK hynix อยู่ประมาณ 3–4 ปี แต่ก็มีความสามารถในการผลิต DRAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะผลิตได้ถึง 280,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปีนี้

    นอกจากนี้ CXMT ยังเริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และเตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกของปี 2026 เพื่อระดมทุนขยายกำลังการผลิต

    CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei
    เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดด้านชิป AI
    อาจนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายในปีนี้

    ความสามารถในการผลิตของ CXMT
    มีสายการผลิต DRAM ที่กำลังขยายตัว
    คาดว่าจะผลิตได้ 230,000–280,000 เวเฟอร์ต่อเดือน
    เริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว

    ความเคลื่อนไหวของบริษัทหน่วยความจำจีน
    YMTC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ DRAM เพื่อช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ
    CXMT เตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกปี 2026

    ความล้าหลังด้านเทคโนโลยี
    CXMT ยังตามหลัง SK hynix ประมาณ 3–4 ปี
    HBM3E จะเข้าสู่จีนในปี 2027 ขณะที่ HBM4 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่

    https://wccftech.com/china-cxmt-ships-out-pivotal-hbm3-samples-to-huawei/
    🇨🇳 CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei – จีนใกล้ปลดล็อกคอขวดชิป AI จีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI ที่ใช้ในการประมวลผลขนาดใหญ่ เช่นในระบบปัญญาประดิษฐ์และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ผ่านมา Huawei และบริษัทอื่นๆ ต้องพึ่งพาสต็อก HBM ที่มีอยู่ก่อนการควบคุมการส่งออกจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ CXMT ได้พัฒนาตัวอย่าง HBM3 ได้สำเร็จ และส่งให้ Huawei ทดสอบแล้ว ซึ่งถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการผลิตในประเทศ แม้ CXMT ยังล้าหลังบริษัทระดับโลกอย่าง SK hynix อยู่ประมาณ 3–4 ปี แต่ก็มีความสามารถในการผลิต DRAM เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะผลิตได้ถึง 280,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปีนี้ นอกจากนี้ CXMT ยังเริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป และเตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกของปี 2026 เพื่อระดมทุนขยายกำลังการผลิต ✅ CXMT ส่งตัวอย่าง HBM3 ให้ Huawei ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดด้านชิป AI ➡️ อาจนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมภายในปีนี้ ✅ ความสามารถในการผลิตของ CXMT ➡️ มีสายการผลิต DRAM ที่กำลังขยายตัว ➡️ คาดว่าจะผลิตได้ 230,000–280,000 เวเฟอร์ต่อเดือน ➡️ เริ่มผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว ✅ ความเคลื่อนไหวของบริษัทหน่วยความจำจีน ➡️ YMTC เริ่มเข้าสู่ธุรกิจ DRAM เพื่อช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ ➡️ CXMT เตรียมเปิด IPO ในไตรมาสแรกปี 2026 ‼️ ความล้าหลังด้านเทคโนโลยี ⛔ CXMT ยังตามหลัง SK hynix ประมาณ 3–4 ปี ⛔ HBM3E จะเข้าสู่จีนในปี 2027 ขณะที่ HBM4 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ https://wccftech.com/china-cxmt-ships-out-pivotal-hbm3-samples-to-huawei/
    WCCFTECH.COM
    China's CXMT Ships Out HBM3 Samples to Huawei, Potentially Sorting Out a Massive Bottleneck in the Domestic AI Supply Chain
    China's CXMT has reportedly achieved a significant breakthrough by shipping HBM3 samples to domestic AI giants.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค

    Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026

    บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600

    นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น

    ปัญหาการผลิตของ Intel
    ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10
    ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล
    ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
    คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026

    การจัดลำดับความสำคัญ
    Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน
    เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’
    เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า
    ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต

    ปัจจัยซ้ำเติม
    ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป
    ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร
    ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    💥 Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026 บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600 นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น ✅ ปัญหาการผลิตของ Intel ➡️ ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10 ➡️ ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ➡️ ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ➡️ คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026 ✅ การจัดลำดับความสำคัญ ➡️ Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน ➡️ เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’ ➡️ เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า ➡️ ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต ✅ ปัจจัยซ้ำเติม ➡️ ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ➡️ ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร ➡️ ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • “ศาลเยอรมันตัดสิน ISP หลอกลูกค้าเรื่องอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ – สุดท้ายใช้สายทองแดงช่วงสุดท้าย!”

    เรื่องนี้เกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อศาลภูมิภาคเมือง Koblenz ตัดสินให้บริษัทอินเทอร์เน็ต 1&1 มีความผิดฐานโฆษณาเกินจริง โดยอ้างว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL” ทั้งที่จริงแล้วสายไฟเบอร์นั้นไปไม่ถึงบ้านลูกค้า แต่ใช้สายทองแดงในช่วงสุดท้ายของการเชื่อมต่อ

    ระบบที่บริษัทใช้คือ FTTC (Fiber to the Curb) ซึ่งหมายถึงสายไฟเบอร์จะไปถึงกล่องกระจายสัญญาณในละแวกบ้านหรืออาคารเท่านั้น จากนั้นจะใช้สายทองแดงวิ่งเข้าไปถึงตัวบ้าน ซึ่งทำให้ความเร็วและคุณภาพลดลงจากไฟเบอร์แท้ ๆ ที่ควรจะเป็นแบบ FTTH (Fiber to the Home)

    ที่แย่คือ บนเว็บไซต์ของบริษัทมีการแสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็นแค่ DSL ธรรมดา และแพ็กเกจที่เสนอให้ก็เป็น DSL ไม่ใช่ไฟเบอร์จริง ๆ แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด ทำให้ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดได้ง่าย

    องค์กรผู้บริโภคของเยอรมนีจึงฟ้องร้อง และศาลก็เห็นด้วยว่าเป็นการหลอกลวง แม้ในรายละเอียดเล็ก ๆ จะมีการระบุว่าใช้สายทองแดง แต่ก็ไม่ชัดเจนพอที่จะป้องกันความเข้าใจผิด

    อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที เพราะบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ และต้องรอการตัดสินจากศาลสูงต่อไป

    รายละเอียดการหลอกลวงของ ISP
    บริษัท 1&1 โฆษณาว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL”
    ใช้ระบบ FTTC ที่มีสายไฟเบอร์ถึงแค่กล่องกระจายสัญญาณ
    ช่วงสุดท้ายถึงบ้านลูกค้าใช้สายทองแดง
    เว็บไซต์แสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็น DSL
    แพ็กเกจที่เสนอเป็น DSL แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด
    ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไฟเบอร์แท้

    การดำเนินคดีและคำตัดสิน
    องค์กรผู้บริโภคเยอรมนีฟ้องร้องบริษัท
    ศาล Koblenz ตัดสินว่าเป็นการหลอกลวง
    แม้มีข้อมูลในรายละเอียด แต่ไม่ชัดเจนพอ
    คำตัดสินยังไม่บังคับใช้ เพราะบริษัทยื่นอุทธรณ์
    ต้องรอการตัดสินจากศาลสูงก่อนจะมีผลจริง

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/isp-tricked-customers-about-fiber-optics-being-used-in-their-internet-service-german-court-rules-full-fiber-customers-found-to-have-last-mile-copper-connections
    📡 “ศาลเยอรมันตัดสิน ISP หลอกลูกค้าเรื่องอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ – สุดท้ายใช้สายทองแดงช่วงสุดท้าย!” เรื่องนี้เกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อศาลภูมิภาคเมือง Koblenz ตัดสินให้บริษัทอินเทอร์เน็ต 1&1 มีความผิดฐานโฆษณาเกินจริง โดยอ้างว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL” ทั้งที่จริงแล้วสายไฟเบอร์นั้นไปไม่ถึงบ้านลูกค้า แต่ใช้สายทองแดงในช่วงสุดท้ายของการเชื่อมต่อ ระบบที่บริษัทใช้คือ FTTC (Fiber to the Curb) ซึ่งหมายถึงสายไฟเบอร์จะไปถึงกล่องกระจายสัญญาณในละแวกบ้านหรืออาคารเท่านั้น จากนั้นจะใช้สายทองแดงวิ่งเข้าไปถึงตัวบ้าน ซึ่งทำให้ความเร็วและคุณภาพลดลงจากไฟเบอร์แท้ ๆ ที่ควรจะเป็นแบบ FTTH (Fiber to the Home) ที่แย่คือ บนเว็บไซต์ของบริษัทมีการแสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็นแค่ DSL ธรรมดา และแพ็กเกจที่เสนอให้ก็เป็น DSL ไม่ใช่ไฟเบอร์จริง ๆ แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด ทำให้ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดได้ง่าย องค์กรผู้บริโภคของเยอรมนีจึงฟ้องร้อง และศาลก็เห็นด้วยว่าเป็นการหลอกลวง แม้ในรายละเอียดเล็ก ๆ จะมีการระบุว่าใช้สายทองแดง แต่ก็ไม่ชัดเจนพอที่จะป้องกันความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม คำตัดสินนี้ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที เพราะบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ และต้องรอการตัดสินจากศาลสูงต่อไป ✅ รายละเอียดการหลอกลวงของ ISP ➡️ บริษัท 1&1 โฆษณาว่าให้บริการ “Fiber Optic DSL” ➡️ ใช้ระบบ FTTC ที่มีสายไฟเบอร์ถึงแค่กล่องกระจายสัญญาณ ➡️ ช่วงสุดท้ายถึงบ้านลูกค้าใช้สายทองแดง ➡️ เว็บไซต์แสดงผลว่า “Fiber Optic DSL connection available” แม้จะเป็น DSL ➡️ แพ็กเกจที่เสนอเป็น DSL แต่ใช้คำว่า “Fiber Optic” เต็มไปหมด ➡️ ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเทคนิคอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไฟเบอร์แท้ ✅ การดำเนินคดีและคำตัดสิน ➡️ องค์กรผู้บริโภคเยอรมนีฟ้องร้องบริษัท ➡️ ศาล Koblenz ตัดสินว่าเป็นการหลอกลวง ➡️ แม้มีข้อมูลในรายละเอียด แต่ไม่ชัดเจนพอ ➡️ คำตัดสินยังไม่บังคับใช้ เพราะบริษัทยื่นอุทธรณ์ ➡️ ต้องรอการตัดสินจากศาลสูงก่อนจะมีผลจริง https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/isp-tricked-customers-about-fiber-optics-being-used-in-their-internet-service-german-court-rules-full-fiber-customers-found-to-have-last-mile-copper-connections
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • ต่อลมหายใจ ผู้ค้า-ผู้บริโภค : [Biz Talk]
    ‘คนละครึ่ง พลัส’ กระแสตอบรับดี ทั้งผู้ค้า,ประชาชน / ส.อ.ท. เตือนควบคุมไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาส ขึ้นราคาสินค้า&บริการเกินควร /แนะหลังจบโครงการ ควรต่อยอดกระตุ้นกำลังซื้อต่อเนื่อง ช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก กระจายเม็ดเงินลงชุมชน ถึงรากหญ้า ที่กำลังเจ็บหนัก เปรียบ ‘แค่วางมือเบาๆ บนบ่า น้ำตาก็ไหล’
    ต่อลมหายใจ ผู้ค้า-ผู้บริโภค : [Biz Talk] ‘คนละครึ่ง พลัส’ กระแสตอบรับดี ทั้งผู้ค้า,ประชาชน / ส.อ.ท. เตือนควบคุมไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาส ขึ้นราคาสินค้า&บริการเกินควร /แนะหลังจบโครงการ ควรต่อยอดกระตุ้นกำลังซื้อต่อเนื่อง ช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก กระจายเม็ดเงินลงชุมชน ถึงรากหญ้า ที่กำลังเจ็บหนัก เปรียบ ‘แค่วางมือเบาๆ บนบ่า น้ำตาก็ไหล’
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 0 Reviews
  • “BluSmart ล่มสลายสะท้อนวิกฤต EV มือสอง — เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคาเร็วที่สุดในโลก” — จากความหวังสู่ความเสี่ยง: ตลาด EV มือสองกำลังสั่นคลอนทั่วโลก

    บทความจาก Rest of World เปิดเผยว่า BluSmart บริษัทเรียกรถไฟฟ้าชั้นนำของอินเดียล้มละลายกลางปี 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาทางการเงิน และทิ้งไว้เบื้องหลังคือรถ EV หลายพันคันที่เคยมีมูลค่ากว่า $12,000 แต่กลับถูกขายทอดตลาดในราคาเพียง $3,000

    เหตุการณ์นี้สะท้อนวิกฤตที่ใหญ่กว่าคือ “การเสื่อมราคาของรถ EV มือสอง” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มรถเช่า, รถโลจิสติกส์ และฟลีทรถบริษัท ที่ต้องคำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ การเสื่อมราคาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของธุรกิจ

    ตัวอย่างเช่น Hertz บริษัทเช่ารถในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ Tesla 100,000 คันในปี 2021 ต้องขาดทุนกว่า $2.9 พันล้านในปี 2024 และขายรถ EV ที่ซื้อมาในราคาต่ำกว่าครึ่ง

    ปัญหาหลักคือ “ไม่มีใครรู้ว่ารถ EV มือสองควรมีมูลค่าเท่าไร” เพราะมูลค่าของรถผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานไม่แน่นอน ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมินจากระยะทางและการซ่อมบำรุง

    แม้ Tesla จะยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีนอย่าง BYD, Nio หรือ XPeng แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดที่ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่และการชาร์จ

    ในบางประเทศ เช่น จีน, นอร์เวย์ และคอสตาริกา ตลาด EV มือสองยังแข็งแรง เพราะผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากกว่า แต่ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ความสงสัยยังสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องขับรถไกลหรือมีสภาพอากาศสุดขั้ว

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่จากบริษัท Recurrent พบว่าแบตเตอรี่ EV เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี และรถที่ผลิตหลังปี 2016 มีอัตราการเปลี่ยนแบตต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อมือสอง

    BluSmart ล้มละลายกลางปี 2025 และขายรถ EV ในราคาต่ำกว่าทุน
    จาก $12,000 เหลือเพียง $3,000 ต่อคัน

    รถ EV มือสองเสื่อมราคามากกว่ารถน้ำมัน
    เช่น Tesla Model Y ปี 2023 เสื่อมถึง 42% ใน 2 ปี

    Hertz ขาดทุน $2.9 พันล้านจากการลงทุนในรถ EV
    ขายรถที่ซื้อมา $40,000 ในราคาต่ำกว่า $20,000

    มูลค่ารถ EV ผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่แน่นอน
    ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมิน

    Tesla ยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีน
    เช่น BYD, Nio, XPeng และ Omoda

    ตลาด EV มือสองแข็งแรงในประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี
    เช่น จีน, นอร์เวย์, คอสตาริกา

    ข้อมูลจาก Recurrent ชี้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี
    รถหลังปี 2016 มีอัตราเปลี่ยนแบตต่ำมาก

    โมเดล Battery-as-a-Service ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน
    ให้ผู้ประกอบการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น

    https://restofworld.org/2025/ev-depreciation-blusmart-collapse/
    🚗 “BluSmart ล่มสลายสะท้อนวิกฤต EV มือสอง — เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคาเร็วที่สุดในโลก” — จากความหวังสู่ความเสี่ยง: ตลาด EV มือสองกำลังสั่นคลอนทั่วโลก บทความจาก Rest of World เปิดเผยว่า BluSmart บริษัทเรียกรถไฟฟ้าชั้นนำของอินเดียล้มละลายกลางปี 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาทางการเงิน และทิ้งไว้เบื้องหลังคือรถ EV หลายพันคันที่เคยมีมูลค่ากว่า $12,000 แต่กลับถูกขายทอดตลาดในราคาเพียง $3,000 เหตุการณ์นี้สะท้อนวิกฤตที่ใหญ่กว่าคือ “การเสื่อมราคาของรถ EV มือสอง” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มรถเช่า, รถโลจิสติกส์ และฟลีทรถบริษัท ที่ต้องคำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ การเสื่อมราคาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Hertz บริษัทเช่ารถในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ Tesla 100,000 คันในปี 2021 ต้องขาดทุนกว่า $2.9 พันล้านในปี 2024 และขายรถ EV ที่ซื้อมาในราคาต่ำกว่าครึ่ง ปัญหาหลักคือ “ไม่มีใครรู้ว่ารถ EV มือสองควรมีมูลค่าเท่าไร” เพราะมูลค่าของรถผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานไม่แน่นอน ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมินจากระยะทางและการซ่อมบำรุง แม้ Tesla จะยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีนอย่าง BYD, Nio หรือ XPeng แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดที่ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่และการชาร์จ ในบางประเทศ เช่น จีน, นอร์เวย์ และคอสตาริกา ตลาด EV มือสองยังแข็งแรง เพราะผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากกว่า แต่ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ความสงสัยยังสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องขับรถไกลหรือมีสภาพอากาศสุดขั้ว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่จากบริษัท Recurrent พบว่าแบตเตอรี่ EV เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี และรถที่ผลิตหลังปี 2016 มีอัตราการเปลี่ยนแบตต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อมือสอง ✅ BluSmart ล้มละลายกลางปี 2025 และขายรถ EV ในราคาต่ำกว่าทุน ➡️ จาก $12,000 เหลือเพียง $3,000 ต่อคัน ✅ รถ EV มือสองเสื่อมราคามากกว่ารถน้ำมัน ➡️ เช่น Tesla Model Y ปี 2023 เสื่อมถึง 42% ใน 2 ปี ✅ Hertz ขาดทุน $2.9 พันล้านจากการลงทุนในรถ EV ➡️ ขายรถที่ซื้อมา $40,000 ในราคาต่ำกว่า $20,000 ✅ มูลค่ารถ EV ผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่แน่นอน ➡️ ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมิน ✅ Tesla ยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีน ➡️ เช่น BYD, Nio, XPeng และ Omoda ✅ ตลาด EV มือสองแข็งแรงในประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี ➡️ เช่น จีน, นอร์เวย์, คอสตาริกา ✅ ข้อมูลจาก Recurrent ชี้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี ➡️ รถหลังปี 2016 มีอัตราเปลี่ยนแบตต่ำมาก ✅ โมเดล Battery-as-a-Service ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน ➡️ ให้ผู้ประกอบการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น https://restofworld.org/2025/ev-depreciation-blusmart-collapse/
    RESTOFWORLD.ORG
    EVs are depreciating much faster than gas-powered cars
    Plummeting resale values are threatening to derail the world's transition to electric transportation.
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • “NES ครบรอบ 40 ปี: คุยกับ Frank Cifaldi ผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation” — เมื่อคอนโซลที่ช่วยกู้วิกฤตอุตสาหกรรม กลายเป็นรากฐานของเกมยุคใหม่

    ในโอกาสครบรอบ 40 ปีของ Nintendo Entertainment System (NES), Frank Cifaldi นักประวัติศาสตร์เกมและผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wccftech ถึงความสำคัญของ NES ที่ไม่เพียง “กู้” อุตสาหกรรมเกมจากวิกฤตปี 1983 แต่ยัง “ควบคุม” ทิศทางของมันในระยะยาว

    ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์:

    NES คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม: หลังจากวิกฤต Video Game Crash ปี 1983 ที่ทำให้ตลาดเกมล่มสลาย NES เปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมเกมคุณภาพสูงอย่าง Super Mario Bros. ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    “Nintendo” กลายเป็นคำพ้องกับ “วิดีโอเกม”: ด้วยความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เด็ก ๆ ในยุคนั้นมอง NES เป็นศูนย์กลางของความบันเทิง

    กลยุทธ์ควบคุมคุณภาพ: Nintendo ใช้ชิป “lock-out” เพื่อควบคุมเกมที่ออกบนแพลตฟอร์มของตน ป้องกันเกมคุณภาพต่ำแบบที่เคยเกิดกับ Atari ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน

    เบื้องหลังการเปิดตัว NES ที่ CES 1985: Cifaldi เปิดเผยว่า Nintendo เคยเกือบเปิดตัวระบบ AVS (Advanced Video System) ที่เน้นด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมากกว่าเกม หากเลือกเส้นทางนั้น อุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

    เกือบถูก Atari ซื้อกิจการ: มีความพยายามจาก Atari ที่จะซื้อ Nintendo ก่อนเปิดตัว NES แต่ดีลล่มไป และ Cifaldi ยอมรับว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม”

    ความท้าทายในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เกม: ปัญหาใหญ่คือ “ความตายของผู้รู้” และ “การย้ายบ้าน” ที่ทำให้เอกสารต้นฉบับหายไป Cifaldi เรียกร้องให้ผู้คนบริจาคสิ่งของเก่าแก่ให้กับมูลนิธิ

    เกมที่นิยมหรือมีอิทธิพลสูงสุดบน NES: Super Mario Bros. ทั้งสามภาคคือเกมที่ขายดีที่สุด ส่วนเกมจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles และ Top Gun ก็ขายดีเกินคาด

    มรดกของ NES: Cifaldi มองว่า NES เปลี่ยนเกมจาก “แฟชั่น” ให้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” และวางรากฐานให้กับแนวคิดการควบคุมแพลตฟอร์มที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้

    https://wccftech.com/nes-40th-anniversary-interview-with-video-game-history-foundation-founder-frank-cifald-the-console-that-saved-and-controlled-video-games/
    🎮 “NES ครบรอบ 40 ปี: คุยกับ Frank Cifaldi ผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation” — เมื่อคอนโซลที่ช่วยกู้วิกฤตอุตสาหกรรม กลายเป็นรากฐานของเกมยุคใหม่ ในโอกาสครบรอบ 40 ปีของ Nintendo Entertainment System (NES), Frank Cifaldi นักประวัติศาสตร์เกมและผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wccftech ถึงความสำคัญของ NES ที่ไม่เพียง “กู้” อุตสาหกรรมเกมจากวิกฤตปี 1983 แต่ยัง “ควบคุม” ทิศทางของมันในระยะยาว 🔑 ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์: 🎮 NES คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม: หลังจากวิกฤต Video Game Crash ปี 1983 ที่ทำให้ตลาดเกมล่มสลาย NES เปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมเกมคุณภาพสูงอย่าง Super Mario Bros. ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก 🎮 “Nintendo” กลายเป็นคำพ้องกับ “วิดีโอเกม”: ด้วยความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เด็ก ๆ ในยุคนั้นมอง NES เป็นศูนย์กลางของความบันเทิง 🎮 กลยุทธ์ควบคุมคุณภาพ: Nintendo ใช้ชิป “lock-out” เพื่อควบคุมเกมที่ออกบนแพลตฟอร์มของตน ป้องกันเกมคุณภาพต่ำแบบที่เคยเกิดกับ Atari ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน 🎮 เบื้องหลังการเปิดตัว NES ที่ CES 1985: Cifaldi เปิดเผยว่า Nintendo เคยเกือบเปิดตัวระบบ AVS (Advanced Video System) ที่เน้นด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมากกว่าเกม หากเลือกเส้นทางนั้น อุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 🎮 เกือบถูก Atari ซื้อกิจการ: มีความพยายามจาก Atari ที่จะซื้อ Nintendo ก่อนเปิดตัว NES แต่ดีลล่มไป และ Cifaldi ยอมรับว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม” 🎮 ความท้าทายในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เกม: ปัญหาใหญ่คือ “ความตายของผู้รู้” และ “การย้ายบ้าน” ที่ทำให้เอกสารต้นฉบับหายไป Cifaldi เรียกร้องให้ผู้คนบริจาคสิ่งของเก่าแก่ให้กับมูลนิธิ 🎮 เกมที่นิยมหรือมีอิทธิพลสูงสุดบน NES: Super Mario Bros. ทั้งสามภาคคือเกมที่ขายดีที่สุด ส่วนเกมจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles และ Top Gun ก็ขายดีเกินคาด 🎮 มรดกของ NES: Cifaldi มองว่า NES เปลี่ยนเกมจาก “แฟชั่น” ให้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” และวางรากฐานให้กับแนวคิดการควบคุมแพลตฟอร์มที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ https://wccftech.com/nes-40th-anniversary-interview-with-video-game-history-foundation-founder-frank-cifald-the-console-that-saved-and-controlled-video-games/
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • “AI กำลังกลืนกินโลกของฮาร์ดแวร์” — ประธาน ADATA เตือน: ความต้องการจากดาต้าเซ็นเตอร์อาจทำให้ผู้บริโภคขาดแคลน SSD, DRAM และฮาร์ดดิสก์

    Simon Chen ประธานบริษัท ADATA ผู้ผลิตหน่วยความจำและ SSD รายใหญ่ของโลก ออกมาเตือนว่า ความต้องการฮาร์ดแวร์จากดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้ AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจนอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนในตลาดผู้บริโภค

    Chen ระบุว่าในรอบ 30 ปีของเขาในอุตสาหกรรมนี้ ไม่เคยเห็นการขาดแคลน DRAM, NAND flash และฮาร์ดดิสก์พร้อมกันแบบนี้มาก่อน โดยผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง SK hynix, Samsung, Micron, Kioxia และ Western Digital กำลังขายสินค้าส่วนใหญ่ให้กับโครงการ AI ขนาดใหญ่

    ที่น่ากังวลคือ ลูกค้าบางรายหันไปใช้ SSD แทนฮาร์ดดิสก์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน ทำให้ความต้องการ NAND flash พุ่งสูงขึ้นไปอีก ADATA จึงต้องออกนโยบาย “ขายอย่างระมัดระวัง” และ “ให้ความสำคัญกับลูกค้าประจำ” เพื่อรักษาสมดุล

    Chen ยังเผยว่า สต็อกของซัพพลายเออร์ upstream เหลือเพียง 2–3 สัปดาห์ จากเดิมที่เคยมีสำรองไว้ 2–3 เดือน ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดของห่วงโซ่อุปทาน

    ในปี 2024 ADATA มีส่วนแบ่งตลาด SSD อยู่ที่ 11% และหน่วยความจำ 5% ซึ่งถือว่าไม่น้อยในระดับโลก โดยรายได้ของบริษัทพุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี และราคาชิป DRAM เพิ่มขึ้น 17.1% ส่วน SSD เพิ่มขึ้น 12.7% ในไตรมาสล่าสุด

    Chen เตือนว่า หากผู้บริโภคกำลังลังเลว่าจะซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่หรือไม่ ควรรีบตัดสินใจ เพราะความต้องการจาก AI อาจทำให้สินค้าขาดตลาดหรือราคาพุ่งในอนาคต

    ข้อมูลในข่าว
    ADATA เตือนว่าความต้องการจาก AI datacenter กำลังทำให้เกิดภาวะขาดแคลนฮาร์ดแวร์
    DRAM, NAND flash และฮาร์ดดิสก์ขาดแคลนพร้อมกันเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
    ผู้ผลิตรายใหญ่ขายสินค้าส่วนใหญ่ให้กับโครงการ AI
    ลูกค้าหันมาใช้ SSD แทนฮาร์ดดิสก์ ทำให้ NAND flash ขาดแคลนเพิ่ม
    ADATA ใช้นโยบาย “ขายอย่างระมัดระวัง” และ “ให้ความสำคัญกับลูกค้าประจำ”
    สต็อกของซัพพลายเออร์เหลือเพียง 2–3 สัปดาห์
    ADATA มีส่วนแบ่งตลาด SSD 11% และหน่วยความจำ 5%
    รายได้บริษัทสูงสุดในรอบ 15 ปี
    ราคาชิป DRAM เพิ่มขึ้น 17.1% และ SSD เพิ่มขึ้น 12.7% ในไตรมาสล่าสุด
    Chen แนะนำให้ผู้บริโภครีบซื้ออุปกรณ์ก่อนราคาพุ่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/adata-chairman-says-ai-datacenters-are-gobbling-up-hard-drives-ssds-and-dram-alike-insatiable-upstream-demand-could-soon-lead-to-consumer-shortages
    💽 “AI กำลังกลืนกินโลกของฮาร์ดแวร์” — ประธาน ADATA เตือน: ความต้องการจากดาต้าเซ็นเตอร์อาจทำให้ผู้บริโภคขาดแคลน SSD, DRAM และฮาร์ดดิสก์ Simon Chen ประธานบริษัท ADATA ผู้ผลิตหน่วยความจำและ SSD รายใหญ่ของโลก ออกมาเตือนว่า ความต้องการฮาร์ดแวร์จากดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้ AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจนอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนในตลาดผู้บริโภค Chen ระบุว่าในรอบ 30 ปีของเขาในอุตสาหกรรมนี้ ไม่เคยเห็นการขาดแคลน DRAM, NAND flash และฮาร์ดดิสก์พร้อมกันแบบนี้มาก่อน โดยผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง SK hynix, Samsung, Micron, Kioxia และ Western Digital กำลังขายสินค้าส่วนใหญ่ให้กับโครงการ AI ขนาดใหญ่ ที่น่ากังวลคือ ลูกค้าบางรายหันไปใช้ SSD แทนฮาร์ดดิสก์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน ทำให้ความต้องการ NAND flash พุ่งสูงขึ้นไปอีก ADATA จึงต้องออกนโยบาย “ขายอย่างระมัดระวัง” และ “ให้ความสำคัญกับลูกค้าประจำ” เพื่อรักษาสมดุล Chen ยังเผยว่า สต็อกของซัพพลายเออร์ upstream เหลือเพียง 2–3 สัปดาห์ จากเดิมที่เคยมีสำรองไว้ 2–3 เดือน ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดของห่วงโซ่อุปทาน ในปี 2024 ADATA มีส่วนแบ่งตลาด SSD อยู่ที่ 11% และหน่วยความจำ 5% ซึ่งถือว่าไม่น้อยในระดับโลก โดยรายได้ของบริษัทพุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี และราคาชิป DRAM เพิ่มขึ้น 17.1% ส่วน SSD เพิ่มขึ้น 12.7% ในไตรมาสล่าสุด Chen เตือนว่า หากผู้บริโภคกำลังลังเลว่าจะซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่หรือไม่ ควรรีบตัดสินใจ เพราะความต้องการจาก AI อาจทำให้สินค้าขาดตลาดหรือราคาพุ่งในอนาคต ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ADATA เตือนว่าความต้องการจาก AI datacenter กำลังทำให้เกิดภาวะขาดแคลนฮาร์ดแวร์ ➡️ DRAM, NAND flash และฮาร์ดดิสก์ขาดแคลนพร้อมกันเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ➡️ ผู้ผลิตรายใหญ่ขายสินค้าส่วนใหญ่ให้กับโครงการ AI ➡️ ลูกค้าหันมาใช้ SSD แทนฮาร์ดดิสก์ ทำให้ NAND flash ขาดแคลนเพิ่ม ➡️ ADATA ใช้นโยบาย “ขายอย่างระมัดระวัง” และ “ให้ความสำคัญกับลูกค้าประจำ” ➡️ สต็อกของซัพพลายเออร์เหลือเพียง 2–3 สัปดาห์ ➡️ ADATA มีส่วนแบ่งตลาด SSD 11% และหน่วยความจำ 5% ➡️ รายได้บริษัทสูงสุดในรอบ 15 ปี ➡️ ราคาชิป DRAM เพิ่มขึ้น 17.1% และ SSD เพิ่มขึ้น 12.7% ในไตรมาสล่าสุด ➡️ Chen แนะนำให้ผู้บริโภครีบซื้ออุปกรณ์ก่อนราคาพุ่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/adata-chairman-says-ai-datacenters-are-gobbling-up-hard-drives-ssds-and-dram-alike-insatiable-upstream-demand-could-soon-lead-to-consumer-shortages
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • “MediaTek Dimensity 9500 สอนบทเรียนให้ Google” — เมื่อชิป SoC ราคาประหยัดกลับแซง Tensor G5 แบบไม่ไว้หน้า

    MediaTek สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการสมาร์ตโฟนด้วยชิป Dimensity 9500 ที่สามารถเอาชนะ Tensor G5 ของ Google ได้ในหลายการทดสอบ benchmark โดยใช้เทคโนโลยี ARM แบบทั่วไป ไม่ต้องพึ่งการออกแบบเฉพาะตัวเหมือนที่ Google ทำ

    Dimensity 9500 มาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์ที่ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุด โดยมีคอร์ Ultra ที่แรงถึง 4.21GHz และ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing และเล่นเกมได้ลื่นถึง 120fps ในขณะที่ Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU จาก Imagination ที่ไม่มี ray-tracing เลย

    ด้าน AI Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง แต่กลับมีปัญหาเรื่องความร้อนและ throttling เมื่อเจองานหนัก โดยเฉพาะใน Pixel 10 รุ่นพื้นฐานที่ไม่มี vapor chamber สำหรับระบายความร้อน

    ที่น่าตกใจคือราคาของ Dimensity 9500 อยู่ที่ประมาณ $180–$200 ในขณะที่ Google ตั้งเป้าราคาชิป Tensor G5 ไว้เพียง $65 แต่กลับขาย Pixel 10 ที่ใช้ชิปนี้ในราคาเท่ากับ iPhone 17 คือ $799 โดยไม่มีการลดราคาแม้จะรู้ว่าชิปมีข้อจำกัด

    บทความชี้ว่า Google ควรเรียนรู้จาก MediaTek ในการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องลดต้นทุนจนกระทบต่อคุณภาพ และไม่ควรตั้งราคาสินค้าระดับพรีเมียมหากประสิทธิภาพยังไม่ถึงระดับนั้น

    ข้อมูลในข่าว
    Dimensity 9500 เอาชนะ Tensor G5 ในหลายการทดสอบ benchmark
    ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุดและ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing
    Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU ที่ไม่มี ray-tracing
    Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง
    Pixel 10 รุ่นพื้นฐานไม่มี vapor chamber ทำให้เกิดความร้อนและ throttling
    Dimensity 9500 มีราคาประมาณ $180–$200 ส่วน Tensor G5 ตั้งเป้าไว้ที่ $65
    Pixel 10 ขายราคาเท่ากับ iPhone 17 โดยไม่มีการลดราคา

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การลดต้นทุนชิปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความร้อนของอุปกรณ์
    การตั้งราคาสูงโดยไม่รองรับประสิทธิภาพระดับพรีเมียม อาจทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ
    การไม่ใส่ vapor chamber ในรุ่นพื้นฐาน อาจทำให้เครื่องร้อนและประสิทธิภาพลดลง
    การใช้ GPU ที่ไม่มี ray-tracing อาจลดคุณภาพการเล่นเกมและกราฟิก

    https://wccftech.com/mediatek-dimensity-9500-shows-google-tensor-g5-the-way/
    📱 “MediaTek Dimensity 9500 สอนบทเรียนให้ Google” — เมื่อชิป SoC ราคาประหยัดกลับแซง Tensor G5 แบบไม่ไว้หน้า MediaTek สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการสมาร์ตโฟนด้วยชิป Dimensity 9500 ที่สามารถเอาชนะ Tensor G5 ของ Google ได้ในหลายการทดสอบ benchmark โดยใช้เทคโนโลยี ARM แบบทั่วไป ไม่ต้องพึ่งการออกแบบเฉพาะตัวเหมือนที่ Google ทำ Dimensity 9500 มาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์ที่ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุด โดยมีคอร์ Ultra ที่แรงถึง 4.21GHz และ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing และเล่นเกมได้ลื่นถึง 120fps ในขณะที่ Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU จาก Imagination ที่ไม่มี ray-tracing เลย ด้าน AI Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง แต่กลับมีปัญหาเรื่องความร้อนและ throttling เมื่อเจองานหนัก โดยเฉพาะใน Pixel 10 รุ่นพื้นฐานที่ไม่มี vapor chamber สำหรับระบายความร้อน ที่น่าตกใจคือราคาของ Dimensity 9500 อยู่ที่ประมาณ $180–$200 ในขณะที่ Google ตั้งเป้าราคาชิป Tensor G5 ไว้เพียง $65 แต่กลับขาย Pixel 10 ที่ใช้ชิปนี้ในราคาเท่ากับ iPhone 17 คือ $799 โดยไม่มีการลดราคาแม้จะรู้ว่าชิปมีข้อจำกัด บทความชี้ว่า Google ควรเรียนรู้จาก MediaTek ในการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องลดต้นทุนจนกระทบต่อคุณภาพ และไม่ควรตั้งราคาสินค้าระดับพรีเมียมหากประสิทธิภาพยังไม่ถึงระดับนั้น ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Dimensity 9500 เอาชนะ Tensor G5 ในหลายการทดสอบ benchmark ➡️ ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุดและ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing ➡️ Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU ที่ไม่มี ray-tracing ➡️ Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง ➡️ Pixel 10 รุ่นพื้นฐานไม่มี vapor chamber ทำให้เกิดความร้อนและ throttling ➡️ Dimensity 9500 มีราคาประมาณ $180–$200 ส่วน Tensor G5 ตั้งเป้าไว้ที่ $65 ➡️ Pixel 10 ขายราคาเท่ากับ iPhone 17 โดยไม่มีการลดราคา ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การลดต้นทุนชิปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความร้อนของอุปกรณ์ ⛔ การตั้งราคาสูงโดยไม่รองรับประสิทธิภาพระดับพรีเมียม อาจทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ ⛔ การไม่ใส่ vapor chamber ในรุ่นพื้นฐาน อาจทำให้เครื่องร้อนและประสิทธิภาพลดลง ⛔ การใช้ GPU ที่ไม่มี ray-tracing อาจลดคุณภาพการเล่นเกมและกราฟิก https://wccftech.com/mediatek-dimensity-9500-shows-google-tensor-g5-the-way/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Dimensity 9500 Shows Google's Tensor G5 The Way
    Google is charging Apple-level prices for the Tensor G5, a silicon that shows a proclivity for heating up and throttle.
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ"
    .
    มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา
    .
    นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต
    .
    เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
    .
    กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน
    .
    “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว
    .
    มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม
    .
    ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ
    .
    ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน
    .
    ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน
    .
    เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ
    .
    นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว
    .
    เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง
    .
    เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
    .
    เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน
    .
    ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ
    .
    มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย
    .
    การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว
    .
    จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน
    .
    แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ" . มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา . นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ . สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต . เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ . กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน . “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว . มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม . ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ . ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน . ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน . เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ . นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว . เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง . เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก . เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน . ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ . มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย . การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว . จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน . แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    0 Comments 0 Shares 628 Views 0 Reviews
  • ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล

    ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว
    https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด

    หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

    ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989 แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Data Exchange Platform Services Market Size, Industry Share
    Data Exchange Platform Services Market size is expected to reach USD 51.69 billion by 2034, growing at a CAGR of 17.91% during the forecast period 2025-2034.
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • “Snapdragon 8 Elite Gen 5 แพงขึ้น 27% — สมาร์ตโฟนเรือธงปี 2026 อาจต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายพันบาท”

    Qualcomm กำลังเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างมากจากการใช้เทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ในชิปเซ็ตรุ่นใหม่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ซึ่งถูกประเมินว่ามีราคาต่อหน่วยอยู่ระหว่าง $240 ถึง $280 เพิ่มขึ้นถึง 27% จากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Snapdragon 8 Elite ที่อยู่ที่ประมาณ $220

    การเปลี่ยนมาใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ TSMC ขึ้นราคาวาฟเฟอร์ 3nm N3P เป็น $27,000 ต่อแผ่น และมีแนวโน้มจะขึ้นอีกในอนาคต

    ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen 5 อาจต้องปรับราคาขายให้สูงขึ้น หรือเลือกลดฟีเจอร์บางอย่างเพื่อควบคุมต้นทุน โดยเฉพาะแบรนด์ที่สั่งผลิตในปริมาณน้อยจะได้รับส่วนลดน้อยกว่ารายใหญ่ เช่น Samsung ที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่า

    Qualcomm ยังเตรียมเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 6 ในปี 2026 ซึ่งจะใช้กระบวนการผลิต 2nm ของ TSMC ที่มีต้นทุนสูงกว่าเดิมอีก ทำให้ราคาชิปอาจทะลุ $300 หรือมากกว่านั้น และส่งผลให้สมาร์ตโฟนเรือธงในปี 2027 มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 มีราคาต่อหน่วย $240–$280
    เพิ่มขึ้น 27% จาก Snapdragon 8 Elite รุ่นก่อนหน้
    ใช้เทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ที่มีต้นทุนสูง
    วาฟเฟอร์ 3nm N3P มีราคาประมาณ $27,000 ต่อแผ่น
    ผู้ผลิตที่สั่งผลิตน้อยจะได้รับส่วนลดน้อยกว่ารายใหญ่
    Qualcomm เตรียมใช้ 2nm สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6
    ราคาชิป Gen 6 อาจทะลุ $300–$400 ต่อหน่วย
    Samsung อาจได้ส่วนลดมากกว่าคู่แข่งเพราะยอดผลิตสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป 3nm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก มีลูกค้าหลักคือ Apple, Qualcomm, MediaTek
    การขึ้นราคาวาฟเฟอร์เกิดจากต้นทุน R&D และเครื่อง EUV ที่แพงมาก
    การใช้ 2nm จะช่วยเพิ่ม density ของทรานซิสเตอร์และลดขนาดชิป
    สมาร์ตโฟนเรือธงในปี 2026–2027 อาจมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ราคาชิปที่สูงขึ้นอาจทำให้สมาร์ตโฟนเรือธงแพงเกินเอื้อมสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
    ผู้ผลิตอาจลดฟีเจอร์หรือคุณภาพวัสดุเพื่อควบคุมต้นทุน
    การพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียวทำให้ Qualcomm เสี่ยงต่อการขึ้นราคาแบบไม่มีทางเลือก
    การเปลี่ยนไปใช้ 2nm อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิตหาก yield ยังไม่เสถียร
    ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ที่คุ้มค่าเท่าที่ควร

    https://wccftech.com/snapdragon-8-elite-gen-5-price-per-unit-significantly-higher-than-snapdragon-8-elite/
    📱 “Snapdragon 8 Elite Gen 5 แพงขึ้น 27% — สมาร์ตโฟนเรือธงปี 2026 อาจต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายพันบาท” Qualcomm กำลังเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างมากจากการใช้เทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ในชิปเซ็ตรุ่นใหม่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ซึ่งถูกประเมินว่ามีราคาต่อหน่วยอยู่ระหว่าง $240 ถึง $280 เพิ่มขึ้นถึง 27% จากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Snapdragon 8 Elite ที่อยู่ที่ประมาณ $220 การเปลี่ยนมาใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ TSMC ขึ้นราคาวาฟเฟอร์ 3nm N3P เป็น $27,000 ต่อแผ่น และมีแนวโน้มจะขึ้นอีกในอนาคต ผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen 5 อาจต้องปรับราคาขายให้สูงขึ้น หรือเลือกลดฟีเจอร์บางอย่างเพื่อควบคุมต้นทุน โดยเฉพาะแบรนด์ที่สั่งผลิตในปริมาณน้อยจะได้รับส่วนลดน้อยกว่ารายใหญ่ เช่น Samsung ที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่า Qualcomm ยังเตรียมเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 6 ในปี 2026 ซึ่งจะใช้กระบวนการผลิต 2nm ของ TSMC ที่มีต้นทุนสูงกว่าเดิมอีก ทำให้ราคาชิปอาจทะลุ $300 หรือมากกว่านั้น และส่งผลให้สมาร์ตโฟนเรือธงในปี 2027 มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 มีราคาต่อหน่วย $240–$280 ➡️ เพิ่มขึ้น 27% จาก Snapdragon 8 Elite รุ่นก่อนหน้ ➡️ ใช้เทคโนโลยี 3nm N3P ของ TSMC ที่มีต้นทุนสูง ➡️ วาฟเฟอร์ 3nm N3P มีราคาประมาณ $27,000 ต่อแผ่น ➡️ ผู้ผลิตที่สั่งผลิตน้อยจะได้รับส่วนลดน้อยกว่ารายใหญ่ ➡️ Qualcomm เตรียมใช้ 2nm สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ➡️ ราคาชิป Gen 6 อาจทะลุ $300–$400 ต่อหน่วย ➡️ Samsung อาจได้ส่วนลดมากกว่าคู่แข่งเพราะยอดผลิตสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป 3nm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก มีลูกค้าหลักคือ Apple, Qualcomm, MediaTek ➡️ การขึ้นราคาวาฟเฟอร์เกิดจากต้นทุน R&D และเครื่อง EUV ที่แพงมาก ➡️ การใช้ 2nm จะช่วยเพิ่ม density ของทรานซิสเตอร์และลดขนาดชิป ➡️ สมาร์ตโฟนเรือธงในปี 2026–2027 อาจมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ราคาชิปที่สูงขึ้นอาจทำให้สมาร์ตโฟนเรือธงแพงเกินเอื้อมสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ⛔ ผู้ผลิตอาจลดฟีเจอร์หรือคุณภาพวัสดุเพื่อควบคุมต้นทุน ⛔ การพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียวทำให้ Qualcomm เสี่ยงต่อการขึ้นราคาแบบไม่มีทางเลือก ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ 2nm อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิตหาก yield ยังไม่เสถียร ⛔ ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ที่คุ้มค่าเท่าที่ควร https://wccftech.com/snapdragon-8-elite-gen-5-price-per-unit-significantly-higher-than-snapdragon-8-elite/
    WCCFTECH.COM
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 Price Per Unit Estimate Will Definitely Make You Question Your Upcoming Android Flagship Purchase
    Qualcomm’s Snapdragon 8 Elite Gen 5 is estimated to be more expensive than the Snapdragon 8 Elite, potentially increasing smartphone prices
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • “แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่ ให้ผู้ใช้กดปุ่มเดียว ‘Opt-Out’ จากการขายข้อมูล — เว็บเบราว์เซอร์ต้องปรับตัวก่อนปี 2027”

    เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมายใหม่ชื่อว่า “California Opt Me Out Act” ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมาย California Consumer Privacy Act (CCPA) ที่มีมาตั้งแต่ปี 2018 โดยเน้นให้ผู้บริโภคสามารถ “ยกเลิกการอนุญาตให้เว็บไซต์ขายหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว” ได้ง่ายขึ้นผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยตรง

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ต้องกดยืนยันการ opt-out ทีละเว็บไซต์ หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะที่รองรับฟีเจอร์นี้ เช่น Brave หรือใช้ส่วนขยาย (extension) เพิ่มเติม แต่กฎหมายใหม่จะบังคับให้เบราว์เซอร์ทุกตัวที่ใช้งานในแคลิฟอร์เนียต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่าย และส่งสัญญาณ opt-out preference signal (OOPS) ไปยังเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ

    เมื่อเปิดใช้งาน OOPS แล้ว เว็บไซต์จะต้องหยุดการขายหรือแชร์ข้อมูล เช่น ประวัติการเข้าชม, ตำแหน่ง, ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ยืนยันซ้ำในแต่ละเว็บไซต์

    กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2027 และถือเป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์ต้องรองรับการ opt-out แบบ universal ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์อย่างมาก

    นอกจากนี้ยังมีอีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกัน ได้แก่

    กฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องให้ผู้ใช้ยกเลิกบัญชีได้ง่าย และลบข้อมูลทั้งหมดทันที
    กฎหมายที่ปรับปรุงระบบลงทะเบียน data broker โดยให้ผู้ใช้รู้ว่าใครเก็บข้อมูลของตน และนำไปใช้อย่างไร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แคลิฟอร์เนียออกกฎหมาย “Opt Me Out Act” เพื่อให้ผู้ใช้ opt-out ได้ง่ายผ่านเบราว์เซอร์
    กฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่ายและส่งสัญญาณ OOPS
    เมื่อเปิดใช้งาน OOPS เว็บไซต์ต้องหยุดขายหรือแชร์ข้อมูลทันที
    กฎหมายมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2027
    เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์รองรับ opt-out แบบ universal
    ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้ง extension หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะอีกต่อไป
    อีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกันเกี่ยวกับการลบบัญชีโซเชียลและการเปิดเผยข้อมูลจาก data broker

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OOPS (Opt-Out Preference Signal) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย CCPA และ CPPA
    Brave และ Firefox เป็นเบราว์เซอร์ที่รองรับ OOPS มานานแล้ว
    Data broker คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อขายให้กับนักโฆษณา
    การ opt-out แบบ universal ช่วยลดความยุ่งยากในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว
    กฎหมายนี้อาจกระทบต่อรายได้ของเว็บไซต์ที่พึ่งพาโฆษณาแบบ personalized

    คำเตือนและข้อจำกัด
    กฎหมายมีผลปี 2027 ผู้ใช้ยังต้องใช้ extension หรือเบราว์เซอร์เฉพาะจนกว่าจะถึงวันนั้น
    เบราว์เซอร์ที่ไม่ปรับตัวอาจถูกห้ามใช้งานในแคลิฟอร์เนีย
    เว็บไซต์ที่ไม่รองรับ OOPS อาจละเมิดกฎหมายและถูกลงโทษ
    ผู้ใช้บางรายอาจไม่รู้ว่าต้องเปิดใช้งาน OOPS ด้วยตนเอง
    การ opt-out อาจทำให้เว็บไซต์บางแห่งแสดงเนื้อหาหรือโฆษณาไม่ตรงความสนใจ

    https://therecord.media/california-signs-law-opt-out-browsers
    🛑 “แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่ ให้ผู้ใช้กดปุ่มเดียว ‘Opt-Out’ จากการขายข้อมูล — เว็บเบราว์เซอร์ต้องปรับตัวก่อนปี 2027” เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ลงนามในกฎหมายใหม่ชื่อว่า “California Opt Me Out Act” ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมาย California Consumer Privacy Act (CCPA) ที่มีมาตั้งแต่ปี 2018 โดยเน้นให้ผู้บริโภคสามารถ “ยกเลิกการอนุญาตให้เว็บไซต์ขายหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว” ได้ง่ายขึ้นผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยตรง ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ต้องกดยืนยันการ opt-out ทีละเว็บไซต์ หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะที่รองรับฟีเจอร์นี้ เช่น Brave หรือใช้ส่วนขยาย (extension) เพิ่มเติม แต่กฎหมายใหม่จะบังคับให้เบราว์เซอร์ทุกตัวที่ใช้งานในแคลิฟอร์เนียต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่าย และส่งสัญญาณ opt-out preference signal (OOPS) ไปยังเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ เมื่อเปิดใช้งาน OOPS แล้ว เว็บไซต์จะต้องหยุดการขายหรือแชร์ข้อมูล เช่น ประวัติการเข้าชม, ตำแหน่ง, ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ยืนยันซ้ำในแต่ละเว็บไซต์ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2027 และถือเป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์ต้องรองรับการ opt-out แบบ universal ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีอีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกัน ได้แก่ 🔰 กฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องให้ผู้ใช้ยกเลิกบัญชีได้ง่าย และลบข้อมูลทั้งหมดทันที 🔰 กฎหมายที่ปรับปรุงระบบลงทะเบียน data broker โดยให้ผู้ใช้รู้ว่าใครเก็บข้อมูลของตน และนำไปใช้อย่างไร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แคลิฟอร์เนียออกกฎหมาย “Opt Me Out Act” เพื่อให้ผู้ใช้ opt-out ได้ง่ายผ่านเบราว์เซอร์ ➡️ กฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องมีปุ่ม opt-out ที่หาเจอง่ายและส่งสัญญาณ OOPS ➡️ เมื่อเปิดใช้งาน OOPS เว็บไซต์ต้องหยุดขายหรือแชร์ข้อมูลทันที ➡️ กฎหมายมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2027 ➡️ เป็นกฎหมายแรกในสหรัฐฯ ที่บังคับให้เบราว์เซอร์รองรับ opt-out แบบ universal ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้ง extension หรือใช้เบราว์เซอร์เฉพาะอีกต่อไป ➡️ อีกสองกฎหมายที่ลงนามพร้อมกันเกี่ยวกับการลบบัญชีโซเชียลและการเปิดเผยข้อมูลจาก data broker ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OOPS (Opt-Out Preference Signal) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย CCPA และ CPPA ➡️ Brave และ Firefox เป็นเบราว์เซอร์ที่รองรับ OOPS มานานแล้ว ➡️ Data broker คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อขายให้กับนักโฆษณา ➡️ การ opt-out แบบ universal ช่วยลดความยุ่งยากในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว ➡️ กฎหมายนี้อาจกระทบต่อรายได้ของเว็บไซต์ที่พึ่งพาโฆษณาแบบ personalized ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ กฎหมายมีผลปี 2027 ผู้ใช้ยังต้องใช้ extension หรือเบราว์เซอร์เฉพาะจนกว่าจะถึงวันนั้น ⛔ เบราว์เซอร์ที่ไม่ปรับตัวอาจถูกห้ามใช้งานในแคลิฟอร์เนีย ⛔ เว็บไซต์ที่ไม่รองรับ OOPS อาจละเมิดกฎหมายและถูกลงโทษ ⛔ ผู้ใช้บางรายอาจไม่รู้ว่าต้องเปิดใช้งาน OOPS ด้วยตนเอง ⛔ การ opt-out อาจทำให้เว็บไซต์บางแห่งแสดงเนื้อหาหรือโฆษณาไม่ตรงความสนใจ https://therecord.media/california-signs-law-opt-out-browsers
    THERECORD.MEDIA
    California enacts law giving consumers ability to universally opt out of data sharing
    The California Consumer Privacy Act, signed in 2018, gave Californians the right to send opt-out signals, but major browsers have not had to make opt-outs simple to use.
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • “MediaTek แจ้งเตือนช่องโหว่ร้ายแรงในชิป Wi-Fi และ GNSS — เสี่ยงถูกโจมตีจากระยะไกลผ่านคลื่นสัญญาณ”

    MediaTek ได้ออกประกาศ Product Security Bulletin ประจำเดือนตุลาคม 2025 โดยเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูงและระดับกลางหลายรายการที่ส่งผลกระทบต่อชิปเซ็ต Wi-Fi (WLAN) และ GNSS (Global Navigation Satellite System) ที่ใช้ในอุปกรณ์ผู้บริโภคและ IoT ทั่วโลก

    ในส่วนของชิป Wi-Fi พบช่องโหว่ buffer overflow, heap overflow และ stack overflow หลายรายการ เช่น CVE-2025-20712, CVE-2025-20709, CVE-2025-20710 และ CVE-2025-20718 ซึ่งเกิดจากการตรวจสอบขอบเขตข้อมูลไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ และอาจนำไปสู่การรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือทำให้ระบบล่มได้

    ชิปที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ MT6890, MT7915, MT7916, MT7981, MT7986 และรุ่นใหม่อย่าง MT7990–MT7993 รวมถึงชิปรุ่นเก่าอย่าง MT7603 และ MT7622 ซึ่งยังคงใช้งานในอุปกรณ์หลายประเภท

    ในส่วนของ GNSS และ image sensor ก็พบช่องโหว่ระดับกลาง เช่น CVE-2025-20722 และ CVE-2025-20723 ที่เกิดจาก integer overflow และ out-of-bounds write ในการจัดการข้อมูลพิกัดและการแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งอาจทำให้ระบบอ่านข้อมูลผิดพลาดหรือถูกโจมตีผ่านข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยเจตนา

    MediaTek ระบุว่าได้แจ้งผู้ผลิตอุปกรณ์ (OEM) ล่วงหน้าก่อนเผยแพร่ประกาศนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ได้รับการอัปเดต firmware ล่าสุดจากผู้ผลิตแล้ว เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MediaTek ออกประกาศแจ้งเตือนช่องโหว่ในชิป Wi-Fi และ GNSS ประจำเดือนตุลาคม 2025
    ช่องโหว่ระดับสูงใน Wi-Fi ได้แก่ buffer overflow, heap overflow และ stack overflow
    CVE-2025-20712, CVE-2025-20709, CVE-2025-20710, CVE-2025-20718 เป็นช่องโหว่หลัก
    ชิปที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ MT6890, MT7915, MT7916, MT7981, MT7986, MT7990–MT7993
    ช่องโหว่ GNSS ได้แก่ CVE-2025-20722 และ CVE-2025-20723 เกิดจาก integer overflow
    ช่องโหว่ใน image sensor ได้แก่ CVE-2025-20721 ส่งผลต่อ MT6886, MT6899, MT8195, MT8793
    MediaTek แจ้ง OEM ล่วงหน้าและแนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้ง firmware ล่าสุด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่ buffer overflow เป็นหนึ่งในวิธีโจมตีที่ใช้กันมากที่สุดในระบบ embedded
    GNSS เป็นระบบที่ใช้ในสมาร์ตโฟนและรถยนต์สำหรับระบุตำแหน่ง
    การโจมตีผ่าน Wi-Fi สามารถทำได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องเข้าถึงตัวอุปกรณ์
    การอัปเดต firmware เป็นวิธีหลักในการป้องกันช่องโหว่ในอุปกรณ์ IoT
    CVSS v3.1 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการประเมินความรุนแรงของช่องโหว่

    https://securityonline.info/mediatek-issues-october-2025-security-bulletin-addressing-multiple-high-severity-vulnerabilities-across-wi-fi-and-gnss-chipsets/
    📡 “MediaTek แจ้งเตือนช่องโหว่ร้ายแรงในชิป Wi-Fi และ GNSS — เสี่ยงถูกโจมตีจากระยะไกลผ่านคลื่นสัญญาณ” MediaTek ได้ออกประกาศ Product Security Bulletin ประจำเดือนตุลาคม 2025 โดยเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูงและระดับกลางหลายรายการที่ส่งผลกระทบต่อชิปเซ็ต Wi-Fi (WLAN) และ GNSS (Global Navigation Satellite System) ที่ใช้ในอุปกรณ์ผู้บริโภคและ IoT ทั่วโลก ในส่วนของชิป Wi-Fi พบช่องโหว่ buffer overflow, heap overflow และ stack overflow หลายรายการ เช่น CVE-2025-20712, CVE-2025-20709, CVE-2025-20710 และ CVE-2025-20718 ซึ่งเกิดจากการตรวจสอบขอบเขตข้อมูลไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ และอาจนำไปสู่การรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือทำให้ระบบล่มได้ ชิปที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ MT6890, MT7915, MT7916, MT7981, MT7986 และรุ่นใหม่อย่าง MT7990–MT7993 รวมถึงชิปรุ่นเก่าอย่าง MT7603 และ MT7622 ซึ่งยังคงใช้งานในอุปกรณ์หลายประเภท ในส่วนของ GNSS และ image sensor ก็พบช่องโหว่ระดับกลาง เช่น CVE-2025-20722 และ CVE-2025-20723 ที่เกิดจาก integer overflow และ out-of-bounds write ในการจัดการข้อมูลพิกัดและการแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งอาจทำให้ระบบอ่านข้อมูลผิดพลาดหรือถูกโจมตีผ่านข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยเจตนา MediaTek ระบุว่าได้แจ้งผู้ผลิตอุปกรณ์ (OEM) ล่วงหน้าก่อนเผยแพร่ประกาศนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ได้รับการอัปเดต firmware ล่าสุดจากผู้ผลิตแล้ว เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MediaTek ออกประกาศแจ้งเตือนช่องโหว่ในชิป Wi-Fi และ GNSS ประจำเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ช่องโหว่ระดับสูงใน Wi-Fi ได้แก่ buffer overflow, heap overflow และ stack overflow ➡️ CVE-2025-20712, CVE-2025-20709, CVE-2025-20710, CVE-2025-20718 เป็นช่องโหว่หลัก ➡️ ชิปที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ MT6890, MT7915, MT7916, MT7981, MT7986, MT7990–MT7993 ➡️ ช่องโหว่ GNSS ได้แก่ CVE-2025-20722 และ CVE-2025-20723 เกิดจาก integer overflow ➡️ ช่องโหว่ใน image sensor ได้แก่ CVE-2025-20721 ส่งผลต่อ MT6886, MT6899, MT8195, MT8793 ➡️ MediaTek แจ้ง OEM ล่วงหน้าและแนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้ง firmware ล่าสุด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่ buffer overflow เป็นหนึ่งในวิธีโจมตีที่ใช้กันมากที่สุดในระบบ embedded ➡️ GNSS เป็นระบบที่ใช้ในสมาร์ตโฟนและรถยนต์สำหรับระบุตำแหน่ง ➡️ การโจมตีผ่าน Wi-Fi สามารถทำได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องเข้าถึงตัวอุปกรณ์ ➡️ การอัปเดต firmware เป็นวิธีหลักในการป้องกันช่องโหว่ในอุปกรณ์ IoT ➡️ CVSS v3.1 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการประเมินความรุนแรงของช่องโหว่ https://securityonline.info/mediatek-issues-october-2025-security-bulletin-addressing-multiple-high-severity-vulnerabilities-across-wi-fi-and-gnss-chipsets/
    SECURITYONLINE.INFO
    MediaTek Issues October 2025 Security Bulletin Addressing Multiple High-Severity Vulnerabilities Across Wi-Fi and GNSS Chipsets
    MediaTek's October Security Bulletin discloses multiple High-severity flaws in its WLAN and GNSS chipsets, including buffer and stack overflows that risk RCE via memory corruption.
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
More Results