• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 18

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 18
    วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1945 เพียง 4 วัน นับแต่วันที่ญี่ปุ่นยอมสงบศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่น 14 คน ก็บินไปหาคณะทำงานของท่านนายพลแมค ที่เมืองมะนิลา เพื่อหารือเรื่องงานพิธีการสงบศึก ที่จักรพรรดิฮิโรโฮิโตจะต้องเป็นคนพูดสารภาพผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม แต่จริงๆ พวกญี่ปุ่นดูเหมือนจะไปทดสอบอุณหภูมิของฝ่ายอเมริกามากกว่า
    ท่านนายพลแมค นอนไข่วห้างอยู่ในที่พัก ปล่อยให้เด็กๆทั้ง 2 ฝ่าย ทดสอบอุณหภูมิกันเอง
    ฝ่ายญี่ปุ่นจับไต๋ได้ว่า ฝ่ายอเมริกันนั้น ดูเหมือนจะดีแต่ท่า พวกอเมริกาที่มาทำงาน แทบไม่มีใคร “รู้จัก” ญี่ปุ่นเอาเลย ขอข้าว ขอน้ำ เป็นภาษาญี่ปุ่นก็คงอดตาย แถมไม่มีทีท่าว่าอยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาอยากรีบทำงานให้จบๆ แล้วก็รีบกลับบ้านไปกินเนื้อสเต๊กใกล้สุก มากกว่ากินปลาดิบ
    หลังจากวัดอุณหภูมิอเมริกันได้ว่า อาการไข้ปลาดิบน่าจะสูงขึ้นทุกวัน รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น นายชิเกมิตสุ Shigemitsu ก็จัดทัพคณะทำงานฝ่ายญี่ปุ่นเสียใหม่ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับคณะทำงานของฝ่าย SCAP โดยมอบหมายให้มือขวาของเขา นาย คาเซะ โตชิคาซุ Kase Toshikazu ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Amherst ซึ่งมีชื่อเสียงมากของอเมริกา มาเป็นหัวหน้าผู้ประสานงานกับ SCAP
    นายคาเซะ ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัว ของรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นทุกคน มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 จริงๆแล้ว เขาสังกัดหน่วยสืบราชการลับของญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ประสานงานกับเบอร์ลินและมอสโคว์ พวกอเมริกันชอบเขามาก โดยเฉพาะ นายพล Bonner Fellers ถึงกับออกปากว่า …เขาเป็นเพื่อนรักของผมนะ และเขาใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากกว่าใครเลยล่ะ…
    ก่อนสงครามโลกจากขยายใหญ่ในปี ค.ศ.1941 นายคาเซะ ได้เป็นหัวหน้ากองอเมริกา ในกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นแทน นาย เทราซากิ ทาโระ (Terasaki Taro) และเช่นเดียวกับนายเทราซากิ นายคาเซะ ก็สนิทสนมดีกับ Joseph Grew ทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น ที่ใกล้ชิดกับ กลุ่มนักการเงินทั้งฝั่งอเมริกา และฝั่งญี่ปุ่น และรวมทั้ง Herbert Hoover
    คณะผู้ประสานงานกับ SCAP ที่นำโดยนายคาเซะ ทำให้การทำงานของฝ่ายอเมริกันง่ายขึ้น คำสั่งต่างๆ ของฝ่ายอเมริกัน จะส่งมาที่คณะนายคาเซะ ซึ่งทำหน้าที่แปล และแปลง ถ้าข้อความให้อเมริกา เขาก็เต็มรสซ้อสมะเขือเทศ ข้อความให้ญี่ปุ่น เขาก็เต็มวาซาบิ นายคาเซะทำหน้าที่ เป็นกันชน และคนแต่งรส ในการสื่อสารระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น รวมทั้ง ถ่วงเวลา หรือทำทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ของฝ่ายญี่ปุ่น
    ขณะเดียวกัน ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยข่าวกรองด้วย นายคาเซะ “รู้จัก” คนอเมริกันอย่างดี เขาเก็บข้อมูลของฝ่ายอเมริกาไว้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความลับระดับไหน คุณสมบัติเฉพาะ ข้อมูลละเอียดอ่อน ข้อขัดแย้ง หรือคู่แข่ง ของฝ่ายอเมริกัน เขามีหมด ทั้งหมดนี้ อเมริกา โดย (คิดว่า) ฝ่ายท่านนายพลแมค น่าจะไม่รู้ตัวเลย
    ฝ่ายท่านนายพลแมค นายพลเฟลเลอร์ ภายใต้การกำกับจากทางไกลของ Hoover ก็กำลังหาทาง “จัดการ” ให้ภาระกิจ ปฏิรูปญี่ปุ่น เดินหน้า ไปตามที่ War and Peace Studies วางนโยบาย และตามใบสั่ง
    ใบสั่งบอกว่า การปฏิรูปญี่ปุ่น แม้จะดีกับชาวญี่ปุ่น แต่ถ้าจับนักธุรกิจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ เจ้าพ่อใหญ่ต่างๆ ที่เป็นตัวเฟืองที่ทำให้ญี่ปุ่นเดินได้ เอามาดำเนินดคี และเอาเข้าคุกหมด แล้วเราจะใช้ใครโม่แป้ง ใครจะผลิตสินค้า ใครจะขายสินค้า ใครจะคุมกิจการที่เราจะตั้งขึ้น เราต้องมีมือ มีตีนนะ เราแค่เป็นเจ้าของ คนชี้นิ้วสั่ง เข้าใจไหม และที่สำคัญ เราจะลงทุนในธุรกิจของเรา จากเงินของเขา ที่เขาปล้นมาอีกต่อ นี่จะต้องให้อธิบายกันหมดหรือไง
    ฝ่ายปฏิบัติการ จึงต้องหาหนทาง ที่จะทำให้แผนตามใบสั่ง สำเร็จ ก็ไม่น่ายาก เงื่อนไขในการปฏิรูปข้อหนึ่ง กำหนด (เปิดทางไว้ให้แล้ว!) ว่า จักรพรรดิ ต้องมาสารภาพผิดที่พากองทัพเข้าสู่สงคราม
    แล้วขบวนการปล่อยข่าวขู่ว่า จักรพรรดิ ต้องรับผิด เพราะกองทัพ ทำในนามของจักรพรรดิทั้งนั้น แล้วถ้าผิด ราชวงศ์ก็จะต้องถูกยึดทรัพย์ เอามาชดใช้ค่าเสียหายในการทำสงคราม ข่าวปล่อยนี้ ทำเอาเครือข่ายนอกวังในวัง ต่างมือไม้สั่น วิ่งกันหัวหมุนชนกัน หาทางยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินจนวุ่นไปหมด
    ระหว่างที่ตัวนายพลแมค เอง ยังยืนเซ่อว่าจะเดินหน้าอย่างไร ทางวอชิงตันก็ส่งนาย George Atcheson ที่ปรึกษาใหญ่ของกระทรวงต่างประเทศ จากพรรครีพับลิกัน มาคอยดูการทำงาน ของ SCAPด้วย นายพลแมค ที่แอบตั้งความหวังอยู่ในใจ ที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดี อเมริกา ในปี ค.ศ.1948 เริ่มคิดมาก งานปฏิรูปญี่ปุ่นนี่ จะสร้างคะแนนบวก หรือลบให้เขา เขาต้องการคะแนนบวก และต้องการกระเป๋าหนุนหลัง และ Hoover อดีตประธานาธิบดี จากรีพับลิกัน น่าจะยังมีพวกพอที่สามารถ” จัดการ” หาทั้งสองอย่างให้เขาได้
    ขณะที่ขบวนการขู่จักรพรรดิ กำลังเดินหน้าไปอย่างดี ถึงขนาดมีข่าวว่า ราชวงศ์หลายคนรีบขายวัง ขายสมบัติ ให้เพื่อนเศรษฐีทำหน้าที่เป็นนอมินีถือแทน และมีการเตรียมบีบให้จักรพรรดิ สละบัลลังก์ให้น้องชาย ถ้าจักรพรรดิ ไม่ยอมรับผิดเรื่องสั่งทำสงคราม ฝ่ายทำงานของ SCAP ก็รวบรวมรายชื่อ แบบเหวี่ยงแห ได้ปลาตัวเล็ก ตัวใหญ่ ประมาณ สองแสนสองหมื่นชื่อ มีทั้ง ทหาร นักธุรกิจ นักการเมือง รัฐบาล ข้าราชการ เจ้าพ่อ ฯลฯ ครบถ้วน เพื่อมาสอบสวน และเอาเข้าคุกก่อนพิจารณาดำเนินคดี คราวนี้รายการวิ่งฝุ่นตลบ ก็เริ่มทยอยเกิดขึ้นในโตเกียว
    วอชิงตันคงเห็นฝุ่นตลบมากไป จึงให้นาย Joseph Keenan หัวหน้าฝ่ายการดำเนินคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสงคราม ตั้งคณะทำงาน Far Eastern Commission (FEC) คณะนี้ออกคำสั่งเรียกย่อๆ ว่า FEC-230 เพื่อสั่งให้ SCAP จัดการกับนักธุรกิจใหญ่ ที่ให้การสนับสนุนญี่ปุ่นในการทำสงคราม เฮ้ย จับปลาพวกนี้ก่อนโว้ย
    รายการ FEC นี่ต้องให้รางวัลคนคิด สุดยอดจริงๆ ปรากฏว่า ได้รับการประท้วง ทั้งจากฝั่งอเมริกาเอง นักธุรกิจใหญ่นายทุน ที่เป็นเจ้าหนี้ญี่ปุ่น ต่างด่ากันโขมง จับลูกหนี้ แล้วเจ้าหนี้ จะได้เงินคืนยังไงวะ โง่จริง และเจ้าหนี้ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวอลสตรีท เป็นเครือมอร์แกนเกือบทั้งนั้น เยี่ยมครับท่าน นี่มันเป็นหมากหลายชั้น กินกลายเด้ง ผมเชื่อแล้วว่าท่านชั่วได้เก่งจริงๆ
    คณะทำงานของ SCAP ไม่สนใจ ไม่ฟังเสียงวอชิงตัน ไม่ฟังเสียงวอลสตรีท เดินหน้าจับหัวกะทิ ของสองแสนสองหมื่น เข้าคุก ซูกาโม ไม่มีตกหล่น ไม่มียกเว้น นักโทษอย่างนายคิชิ นาย ซาซากาวา นายโคดามะ …ก็เดิน เรียงแถวเซื่องๆ เข้าห้องขัง ไหน ไหน ใครว่า ทหารญี่ปุ่น ซามูไร ยากูซ่าโหดเหี้ยม เห็นเดินเข้าห้องขัง หุบปากเงียบกันหมด…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 18 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 18 วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1945 เพียง 4 วัน นับแต่วันที่ญี่ปุ่นยอมสงบศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่น 14 คน ก็บินไปหาคณะทำงานของท่านนายพลแมค ที่เมืองมะนิลา เพื่อหารือเรื่องงานพิธีการสงบศึก ที่จักรพรรดิฮิโรโฮิโตจะต้องเป็นคนพูดสารภาพผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม แต่จริงๆ พวกญี่ปุ่นดูเหมือนจะไปทดสอบอุณหภูมิของฝ่ายอเมริกามากกว่า ท่านนายพลแมค นอนไข่วห้างอยู่ในที่พัก ปล่อยให้เด็กๆทั้ง 2 ฝ่าย ทดสอบอุณหภูมิกันเอง ฝ่ายญี่ปุ่นจับไต๋ได้ว่า ฝ่ายอเมริกันนั้น ดูเหมือนจะดีแต่ท่า พวกอเมริกาที่มาทำงาน แทบไม่มีใคร “รู้จัก” ญี่ปุ่นเอาเลย ขอข้าว ขอน้ำ เป็นภาษาญี่ปุ่นก็คงอดตาย แถมไม่มีทีท่าว่าอยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาอยากรีบทำงานให้จบๆ แล้วก็รีบกลับบ้านไปกินเนื้อสเต๊กใกล้สุก มากกว่ากินปลาดิบ หลังจากวัดอุณหภูมิอเมริกันได้ว่า อาการไข้ปลาดิบน่าจะสูงขึ้นทุกวัน รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น นายชิเกมิตสุ Shigemitsu ก็จัดทัพคณะทำงานฝ่ายญี่ปุ่นเสียใหม่ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับคณะทำงานของฝ่าย SCAP โดยมอบหมายให้มือขวาของเขา นาย คาเซะ โตชิคาซุ Kase Toshikazu ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Amherst ซึ่งมีชื่อเสียงมากของอเมริกา มาเป็นหัวหน้าผู้ประสานงานกับ SCAP นายคาเซะ ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัว ของรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นทุกคน มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 จริงๆแล้ว เขาสังกัดหน่วยสืบราชการลับของญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ประสานงานกับเบอร์ลินและมอสโคว์ พวกอเมริกันชอบเขามาก โดยเฉพาะ นายพล Bonner Fellers ถึงกับออกปากว่า …เขาเป็นเพื่อนรักของผมนะ และเขาใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากกว่าใครเลยล่ะ… ก่อนสงครามโลกจากขยายใหญ่ในปี ค.ศ.1941 นายคาเซะ ได้เป็นหัวหน้ากองอเมริกา ในกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นแทน นาย เทราซากิ ทาโระ (Terasaki Taro) และเช่นเดียวกับนายเทราซากิ นายคาเซะ ก็สนิทสนมดีกับ Joseph Grew ทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น ที่ใกล้ชิดกับ กลุ่มนักการเงินทั้งฝั่งอเมริกา และฝั่งญี่ปุ่น และรวมทั้ง Herbert Hoover คณะผู้ประสานงานกับ SCAP ที่นำโดยนายคาเซะ ทำให้การทำงานของฝ่ายอเมริกันง่ายขึ้น คำสั่งต่างๆ ของฝ่ายอเมริกัน จะส่งมาที่คณะนายคาเซะ ซึ่งทำหน้าที่แปล และแปลง ถ้าข้อความให้อเมริกา เขาก็เต็มรสซ้อสมะเขือเทศ ข้อความให้ญี่ปุ่น เขาก็เต็มวาซาบิ นายคาเซะทำหน้าที่ เป็นกันชน และคนแต่งรส ในการสื่อสารระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น รวมทั้ง ถ่วงเวลา หรือทำทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ของฝ่ายญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยข่าวกรองด้วย นายคาเซะ “รู้จัก” คนอเมริกันอย่างดี เขาเก็บข้อมูลของฝ่ายอเมริกาไว้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความลับระดับไหน คุณสมบัติเฉพาะ ข้อมูลละเอียดอ่อน ข้อขัดแย้ง หรือคู่แข่ง ของฝ่ายอเมริกัน เขามีหมด ทั้งหมดนี้ อเมริกา โดย (คิดว่า) ฝ่ายท่านนายพลแมค น่าจะไม่รู้ตัวเลย ฝ่ายท่านนายพลแมค นายพลเฟลเลอร์ ภายใต้การกำกับจากทางไกลของ Hoover ก็กำลังหาทาง “จัดการ” ให้ภาระกิจ ปฏิรูปญี่ปุ่น เดินหน้า ไปตามที่ War and Peace Studies วางนโยบาย และตามใบสั่ง ใบสั่งบอกว่า การปฏิรูปญี่ปุ่น แม้จะดีกับชาวญี่ปุ่น แต่ถ้าจับนักธุรกิจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ เจ้าพ่อใหญ่ต่างๆ ที่เป็นตัวเฟืองที่ทำให้ญี่ปุ่นเดินได้ เอามาดำเนินดคี และเอาเข้าคุกหมด แล้วเราจะใช้ใครโม่แป้ง ใครจะผลิตสินค้า ใครจะขายสินค้า ใครจะคุมกิจการที่เราจะตั้งขึ้น เราต้องมีมือ มีตีนนะ เราแค่เป็นเจ้าของ คนชี้นิ้วสั่ง เข้าใจไหม และที่สำคัญ เราจะลงทุนในธุรกิจของเรา จากเงินของเขา ที่เขาปล้นมาอีกต่อ นี่จะต้องให้อธิบายกันหมดหรือไง ฝ่ายปฏิบัติการ จึงต้องหาหนทาง ที่จะทำให้แผนตามใบสั่ง สำเร็จ ก็ไม่น่ายาก เงื่อนไขในการปฏิรูปข้อหนึ่ง กำหนด (เปิดทางไว้ให้แล้ว!) ว่า จักรพรรดิ ต้องมาสารภาพผิดที่พากองทัพเข้าสู่สงคราม แล้วขบวนการปล่อยข่าวขู่ว่า จักรพรรดิ ต้องรับผิด เพราะกองทัพ ทำในนามของจักรพรรดิทั้งนั้น แล้วถ้าผิด ราชวงศ์ก็จะต้องถูกยึดทรัพย์ เอามาชดใช้ค่าเสียหายในการทำสงคราม ข่าวปล่อยนี้ ทำเอาเครือข่ายนอกวังในวัง ต่างมือไม้สั่น วิ่งกันหัวหมุนชนกัน หาทางยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินจนวุ่นไปหมด ระหว่างที่ตัวนายพลแมค เอง ยังยืนเซ่อว่าจะเดินหน้าอย่างไร ทางวอชิงตันก็ส่งนาย George Atcheson ที่ปรึกษาใหญ่ของกระทรวงต่างประเทศ จากพรรครีพับลิกัน มาคอยดูการทำงาน ของ SCAPด้วย นายพลแมค ที่แอบตั้งความหวังอยู่ในใจ ที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดี อเมริกา ในปี ค.ศ.1948 เริ่มคิดมาก งานปฏิรูปญี่ปุ่นนี่ จะสร้างคะแนนบวก หรือลบให้เขา เขาต้องการคะแนนบวก และต้องการกระเป๋าหนุนหลัง และ Hoover อดีตประธานาธิบดี จากรีพับลิกัน น่าจะยังมีพวกพอที่สามารถ” จัดการ” หาทั้งสองอย่างให้เขาได้ ขณะที่ขบวนการขู่จักรพรรดิ กำลังเดินหน้าไปอย่างดี ถึงขนาดมีข่าวว่า ราชวงศ์หลายคนรีบขายวัง ขายสมบัติ ให้เพื่อนเศรษฐีทำหน้าที่เป็นนอมินีถือแทน และมีการเตรียมบีบให้จักรพรรดิ สละบัลลังก์ให้น้องชาย ถ้าจักรพรรดิ ไม่ยอมรับผิดเรื่องสั่งทำสงคราม ฝ่ายทำงานของ SCAP ก็รวบรวมรายชื่อ แบบเหวี่ยงแห ได้ปลาตัวเล็ก ตัวใหญ่ ประมาณ สองแสนสองหมื่นชื่อ มีทั้ง ทหาร นักธุรกิจ นักการเมือง รัฐบาล ข้าราชการ เจ้าพ่อ ฯลฯ ครบถ้วน เพื่อมาสอบสวน และเอาเข้าคุกก่อนพิจารณาดำเนินคดี คราวนี้รายการวิ่งฝุ่นตลบ ก็เริ่มทยอยเกิดขึ้นในโตเกียว วอชิงตันคงเห็นฝุ่นตลบมากไป จึงให้นาย Joseph Keenan หัวหน้าฝ่ายการดำเนินคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับสงคราม ตั้งคณะทำงาน Far Eastern Commission (FEC) คณะนี้ออกคำสั่งเรียกย่อๆ ว่า FEC-230 เพื่อสั่งให้ SCAP จัดการกับนักธุรกิจใหญ่ ที่ให้การสนับสนุนญี่ปุ่นในการทำสงคราม เฮ้ย จับปลาพวกนี้ก่อนโว้ย รายการ FEC นี่ต้องให้รางวัลคนคิด สุดยอดจริงๆ ปรากฏว่า ได้รับการประท้วง ทั้งจากฝั่งอเมริกาเอง นักธุรกิจใหญ่นายทุน ที่เป็นเจ้าหนี้ญี่ปุ่น ต่างด่ากันโขมง จับลูกหนี้ แล้วเจ้าหนี้ จะได้เงินคืนยังไงวะ โง่จริง และเจ้าหนี้ หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวอลสตรีท เป็นเครือมอร์แกนเกือบทั้งนั้น เยี่ยมครับท่าน นี่มันเป็นหมากหลายชั้น กินกลายเด้ง ผมเชื่อแล้วว่าท่านชั่วได้เก่งจริงๆ คณะทำงานของ SCAP ไม่สนใจ ไม่ฟังเสียงวอชิงตัน ไม่ฟังเสียงวอลสตรีท เดินหน้าจับหัวกะทิ ของสองแสนสองหมื่น เข้าคุก ซูกาโม ไม่มีตกหล่น ไม่มียกเว้น นักโทษอย่างนายคิชิ นาย ซาซากาวา นายโคดามะ …ก็เดิน เรียงแถวเซื่องๆ เข้าห้องขัง ไหน ไหน ใครว่า ทหารญี่ปุ่น ซามูไร ยากูซ่าโหดเหี้ยม เห็นเดินเข้าห้องขัง หุบปากเงียบกันหมด… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 17

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 17
    อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ก่อนอเมริกาจะเข้าทำสงคราม ถังขยะความคิด Council on Foreign Relations (CFR) และกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ภายใต้การกำกับของ CFR ได้รวบรวมนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน ประมาณ 200 คน ระดมสมอง จัดทำโครงการ ที่เรียกว่า War and Peace Studies อย่างลับสุดยอด ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1940 โครงการนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการ และเงินทุนสนับสนุนทั้งหมด โดยมูลนิธืร้อกกี้เฟลเลอร์
    War and Peace Studies ได้วางแผนไว้เรียบร้อยว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก และกำหนดเส้นทางของอเมริกาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างชัดเจนว่า อเมริกาจะต้องเข้าครอบครอง และควบคุมบริเวณใดบ้างของโลกนี้ เพื่อสร้างความเจริญเติบโต แข็งแกร่ง ให้แก่เศรษฐกิจของอเมริกา บริเวณดังกล่าว รวมถึงลาตินอเมริกา ยุโรป อาณานิคมของจักรภพอังกฤษ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด War and Peace Studies เรียกบริเวณนี้ว่า ” Grand Area”
    โครงการ War and Peace Studies ยังบอกอีกว่า เราจะต้องได้เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเอาทรัพยากรในบริเวณนี้มาใช้เป็นวัตถุดิบ ให้ญี่ปุ่นทำอุตสาหกรรมผลิตสินค้า และส่งสินค้านั้นกลับไปขายในประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรที่เราไป (ปล้น) เอามานั่นแหละ ญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรม ที่มีต้นทุกถูกกว่าบ้านเรา โดยเราเป็นเจ้าของ
    และหลายปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้สงคราม หรืออาจจะก่อนที่ญี่ปุ่นเข้าสงครามด้วยซ้ำ อเมริกา (หรือ ร้อกกี้เฟลเลอร์ the great ) คิดไว้แล้วว่า เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม อเมริกาจะเป็นผู้ครอบครอง และควบคุมญี่ปุ่นหลังสงครามแต่ผู้เดียว
    และอเมริกาก็ทำได้ อเมริกาน่าจะวางแผนนี้นานอย่างน้อยตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 …
    นักล่าใบตองแห้งแน่จริงๆ วางแผนเป็นขั้นตอน ยาวนาน จนบัดนี้ก็ยังไม่หลุดแผน และยังไม่จบแผน…
    ในวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม อเมริกาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองญี่ปุ่นแต่ผู้เดียวตามแผน ต่างกับเยอรมัน ซึ่งเมื่อแพ้สงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ละชาติ ต่างก็พากันตั้งหน่วยทหารของตนเป็นรัฐบาล ปกครองเขตตนในเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นมีเขตปกครองเดียวคือ เขตของอเมริกา และอเมริกาใช้รัฐบาลญี่ปุ่นขณะนั้น ปกครองญี่ปุ่นภายใต้การกำกับดูแลของอเมริกา
    ประธานาธิบดีทรูแมนแต่งตั้งให้ นายพลแมคอาร์อาเธอร์ มาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร Supreme Commander Allied Power (SCAP) มาดูแลญี่ปุ่น โดยผู้ชนะสงครามรายอื่นเช่น นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ,รวมทั้ง นายพลเจียงไคเช็ค ของจีน และแม้แต่สตาลิน ของโซเวียต ก็ไม่ (กล้า) ขัดใจอเมริกา
    และในช่วง 6 ปี ที่ นายพลแมค ใช้อำนาจในฐานะ SCAP ปกครองชาวญี่ปุ่น 83 ล้านคน เขาไม่สนใจกับคณะกรรมมาธิการพันธมิตรอีก 11 ประเทศ Far Eastern Commission ที่ตั้งขึ้นมาภายหลัง ที่หวังจะมีส่วนร่วมในการ “ดูแล” ญี่ปุ่น แม้แต่น้อย คณะ 11ประเทศ กลายเป็นแค่ “ผู้ดู”
    นายพลแมค มาถึงญี่ปุ่น พร้อมกับภาระกิจใหญ่ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกา คือ มาทำการปฏิรูปญี่ปุ่น
    แต่ขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่น ในวอชิงตันเองก็ไม่ได้มีความเห็นไปทางเดียวกันนัก การเมืองฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้เดินหน้าปฏิรูปญี่ปุ่น แต่การเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้การปฏิรูปล่มกลางคัน ท่านนายพลแมคน่าจะปวดหัว
    การ”ปฏิรูป” ญี่ปุ่น ที่อเมริกาหวังจะให้ดำเนินการด่วน ภายใต้อำนาจ ของ SCAP
    เรื่องแรก คือ ญี่ปุ่น โดยจักรพรรดิ ต้องออกมารับผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลก
    เรื่องที่สอง คือ ปฏิรูปกองทัพญี่ปุ่น หรือจริงๆ ก็คือ ยกเลิก หรือลดกองกำลังญี่ปุ่นให้เหลือเพียงแค่หยิบมือ ตามมาด้วย
    เรื่องที่สาม คือ จับตัวพวกที่มีส่วนในการสนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร นักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน ฯลฯ มาดำเนินคดี
    เรื่องใหญ่ทั้งนั้น นายพลแมคจะรับไหวหรือ แต่นายพลแมค ไม่ได้มาคนเดียว เดี่ยวๆ เขามี Laurence ร้อกกี้เฟลเลอร์ หลานของร้อกกี้ the greatมาเป็นผู้ช่วย และยังมี นายพล Bonner Fellers ประกบติดตัว นายพลแมค มาด้วย
    นายพล Feller มีชื่อเสียงในกองทัพว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่ จริงๆ เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับญี่ปุ่น และแถมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ เขาเป็นพวกเคว้กเกอร์ เช่นเดียวกับเมียของทูต Grew และรอบตัวของจักรพรรดินี แม่ของจักรพรรดิฮืโรฮิโต และเนื่องจากเป็นเคว้กเกอร์ เขารู้จักกับ ชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน ที่พวกเคว้กเกอร์สนับสนุนให้ไปเรียนหนังสือต่อที่อเมริกา ตั้งแต่ระดับโรงเรียน จนถึงมหาวิทยาลัย ที่เป็นเครือข่ายของเคว้กเกอร์ที่อเมริกา เมื่อจบกลับมา หลายคนกลับมาเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น
    Feller ถูกประธานาธิบดี Herbert Hoover ส่งมาประจำกองทัพอเมริกา ที่ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1930 ต้นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะอยู่ญี่ปุ่น มากกว่าฟิลิปปินส์ และต่อมาเขากลายเป็นเชือกที่ Hoover ใช้ชักใย นายพลแมค ที่ปกครองญี่ปุ่น ตามอำนาจของ SCAP อ้อ Hoover ก็เป็นพวกเคว้กเกอร์ด้วยครับ
    แล้ว Hoover มาเกี่ยวอะไรกับ นายพลแมค และ SCAP
    Herbert Hoover เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ในช่วงปี ค.ศ.1929-1934 ช่วง Great Depression ของอเมริกา แม้ว่าจะมีคนมองว่า เขาอยู่ในพวกกลุ่มวอลสตรีท แต่เขากู้เศรษฐกิจอเมริกาไม่ขึ้น และแยกทางกันเดินกับพวกมอร์แกนในภายหลัง แต่ที่น่าสนใจ Hoover จริงๆแล้ว เรียนจบมาด้านแร่วิทยา และเป็นผู้ชำนาญเรื่องแร่ เขายุ่งอยู่กับธุรกิจเหมืองแร่ ไปทั่วจนถึงออสเตรเลีย และถึงจีน และในช่วงปี ค.ศ.1899 – 1900 ที่เกิดกบฏนักมวย เขาบังเอิญติดอยู่ที่จีนในช่วงนั้นพอดี ตัวเขาและเมียพูดภาษาจีนแมนดารินได้ดี เล่ากันว่า เมื่อกลับมาอเมริกา และต้องย้ายบ้านไปอยู่ทำเนียบขาว ท่านประธานาธิบดีกับท่านผู้หญิง จะส่งภาษาจีนกัน เวลาไม่อยากให้ใครรู้เรื่อง ว่านินทา หรือด่าใคร
    เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่ปีแรกๆ อเมริกาตั้งตัวเป็นกลาง แต่การรบในยุโรปกำลังสาหัส และชาวยุโรปรับบาปเคราะห์ ขาดทั้งอาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม ปี ค.ศ.1914 Hoover ซึ่งรวยจนพอจากการเจอแร่สาระพัดแห่ง จึงมาทำการกุศล ช่วยบริหารองค์กรชื่อ Committee for Relief in Belgium (CRB) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึงเดือนละประมาณ 11 ล้านเหรียญ ดูเหมือนในรายชื่อผู้ใจบุญรายใหญ่ของ CRB จะมีชื่อมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์อยู่ด้วย
    เสร็จจากช่วยคนเจอภัยสงคราม Hoover ก็ไปใจดีต่อที่รัสเซีย ในปี ค.ศ.1917 ซึ่งก็มีคนเจอภัยปฏิวัติ ช่วยคนไป มีเวลาก็สำรวจแร่ไป ในที่สุด นักธุรกิจใหญ่ๆอเมริกัน ก็เข้าไปขุดแร่ทำเหมืองในรัสเซียกันใหญ่ คงไม่ต้องบอกว่า มีชื่อใครบ้าง
    ปี ค.ศ.1927 เกิดน้ำท่วมใหญ่แถวแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่อยู่ ตอนนั้น Hoover เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ของอเมริกา เลยไปดูแลชาวบ้าน โดยระดมทั้งกองทหาร และกาชาดไปช่วย และด้วยเงินทุนจากมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เขาตั้งหน่วยอนามัยขึ้นในแถบที่น้ำท่วม และหน่วยอนามัยนี้ ได้ช่วยรักษา ชาวบ้านที่ติดเชื้อมาเลเรีย เชื้อไทฟอยด์ ท้องร่วง ฯลฯ และก็บังเอิญเป็นช่วงเดียวกับที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งไปตั้งหน่วยค้นคว้าทางแพทย์อยู่ในจีน ก็กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องเชื้อโรคสาระพัด และก็บังเอิญ เป็นช่วงเดียวกับ นายชิโร อิชิอิ Shiro Ishii แห่งหน่วย 731 ของญี่ปุ่น ก็ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งหน่วยทดลองการใช้อาวุธชีวภาพ และแบคทีเรียกับมนุษย์ และทดลองกับชาวจีน จนเจ็บป่วยทรมาน แสนสาหัส อยู่แถวทางเหนือของจีน
    เรื่องบังเอิญ มันแยะจริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 17 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 17 อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ก่อนอเมริกาจะเข้าทำสงคราม ถังขยะความคิด Council on Foreign Relations (CFR) และกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ภายใต้การกำกับของ CFR ได้รวบรวมนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน ประมาณ 200 คน ระดมสมอง จัดทำโครงการ ที่เรียกว่า War and Peace Studies อย่างลับสุดยอด ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1940 โครงการนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการ และเงินทุนสนับสนุนทั้งหมด โดยมูลนิธืร้อกกี้เฟลเลอร์ War and Peace Studies ได้วางแผนไว้เรียบร้อยว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก และกำหนดเส้นทางของอเมริกาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างชัดเจนว่า อเมริกาจะต้องเข้าครอบครอง และควบคุมบริเวณใดบ้างของโลกนี้ เพื่อสร้างความเจริญเติบโต แข็งแกร่ง ให้แก่เศรษฐกิจของอเมริกา บริเวณดังกล่าว รวมถึงลาตินอเมริกา ยุโรป อาณานิคมของจักรภพอังกฤษ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด War and Peace Studies เรียกบริเวณนี้ว่า ” Grand Area” โครงการ War and Peace Studies ยังบอกอีกว่า เราจะต้องได้เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเอาทรัพยากรในบริเวณนี้มาใช้เป็นวัตถุดิบ ให้ญี่ปุ่นทำอุตสาหกรรมผลิตสินค้า และส่งสินค้านั้นกลับไปขายในประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรที่เราไป (ปล้น) เอามานั่นแหละ ญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรม ที่มีต้นทุกถูกกว่าบ้านเรา โดยเราเป็นเจ้าของ และหลายปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้สงคราม หรืออาจจะก่อนที่ญี่ปุ่นเข้าสงครามด้วยซ้ำ อเมริกา (หรือ ร้อกกี้เฟลเลอร์ the great ) คิดไว้แล้วว่า เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม อเมริกาจะเป็นผู้ครอบครอง และควบคุมญี่ปุ่นหลังสงครามแต่ผู้เดียว และอเมริกาก็ทำได้ อเมริกาน่าจะวางแผนนี้นานอย่างน้อยตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 … นักล่าใบตองแห้งแน่จริงๆ วางแผนเป็นขั้นตอน ยาวนาน จนบัดนี้ก็ยังไม่หลุดแผน และยังไม่จบแผน… ในวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม อเมริกาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองญี่ปุ่นแต่ผู้เดียวตามแผน ต่างกับเยอรมัน ซึ่งเมื่อแพ้สงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ละชาติ ต่างก็พากันตั้งหน่วยทหารของตนเป็นรัฐบาล ปกครองเขตตนในเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นมีเขตปกครองเดียวคือ เขตของอเมริกา และอเมริกาใช้รัฐบาลญี่ปุ่นขณะนั้น ปกครองญี่ปุ่นภายใต้การกำกับดูแลของอเมริกา ประธานาธิบดีทรูแมนแต่งตั้งให้ นายพลแมคอาร์อาเธอร์ มาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร Supreme Commander Allied Power (SCAP) มาดูแลญี่ปุ่น โดยผู้ชนะสงครามรายอื่นเช่น นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ,รวมทั้ง นายพลเจียงไคเช็ค ของจีน และแม้แต่สตาลิน ของโซเวียต ก็ไม่ (กล้า) ขัดใจอเมริกา และในช่วง 6 ปี ที่ นายพลแมค ใช้อำนาจในฐานะ SCAP ปกครองชาวญี่ปุ่น 83 ล้านคน เขาไม่สนใจกับคณะกรรมมาธิการพันธมิตรอีก 11 ประเทศ Far Eastern Commission ที่ตั้งขึ้นมาภายหลัง ที่หวังจะมีส่วนร่วมในการ “ดูแล” ญี่ปุ่น แม้แต่น้อย คณะ 11ประเทศ กลายเป็นแค่ “ผู้ดู” นายพลแมค มาถึงญี่ปุ่น พร้อมกับภาระกิจใหญ่ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกา คือ มาทำการปฏิรูปญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่น ในวอชิงตันเองก็ไม่ได้มีความเห็นไปทางเดียวกันนัก การเมืองฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้เดินหน้าปฏิรูปญี่ปุ่น แต่การเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้การปฏิรูปล่มกลางคัน ท่านนายพลแมคน่าจะปวดหัว การ”ปฏิรูป” ญี่ปุ่น ที่อเมริกาหวังจะให้ดำเนินการด่วน ภายใต้อำนาจ ของ SCAP เรื่องแรก คือ ญี่ปุ่น โดยจักรพรรดิ ต้องออกมารับผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลก เรื่องที่สอง คือ ปฏิรูปกองทัพญี่ปุ่น หรือจริงๆ ก็คือ ยกเลิก หรือลดกองกำลังญี่ปุ่นให้เหลือเพียงแค่หยิบมือ ตามมาด้วย เรื่องที่สาม คือ จับตัวพวกที่มีส่วนในการสนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร นักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน ฯลฯ มาดำเนินคดี เรื่องใหญ่ทั้งนั้น นายพลแมคจะรับไหวหรือ แต่นายพลแมค ไม่ได้มาคนเดียว เดี่ยวๆ เขามี Laurence ร้อกกี้เฟลเลอร์ หลานของร้อกกี้ the greatมาเป็นผู้ช่วย และยังมี นายพล Bonner Fellers ประกบติดตัว นายพลแมค มาด้วย นายพล Feller มีชื่อเสียงในกองทัพว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่ จริงๆ เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับญี่ปุ่น และแถมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ เขาเป็นพวกเคว้กเกอร์ เช่นเดียวกับเมียของทูต Grew และรอบตัวของจักรพรรดินี แม่ของจักรพรรดิฮืโรฮิโต และเนื่องจากเป็นเคว้กเกอร์ เขารู้จักกับ ชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน ที่พวกเคว้กเกอร์สนับสนุนให้ไปเรียนหนังสือต่อที่อเมริกา ตั้งแต่ระดับโรงเรียน จนถึงมหาวิทยาลัย ที่เป็นเครือข่ายของเคว้กเกอร์ที่อเมริกา เมื่อจบกลับมา หลายคนกลับมาเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น Feller ถูกประธานาธิบดี Herbert Hoover ส่งมาประจำกองทัพอเมริกา ที่ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1930 ต้นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะอยู่ญี่ปุ่น มากกว่าฟิลิปปินส์ และต่อมาเขากลายเป็นเชือกที่ Hoover ใช้ชักใย นายพลแมค ที่ปกครองญี่ปุ่น ตามอำนาจของ SCAP อ้อ Hoover ก็เป็นพวกเคว้กเกอร์ด้วยครับ แล้ว Hoover มาเกี่ยวอะไรกับ นายพลแมค และ SCAP Herbert Hoover เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ในช่วงปี ค.ศ.1929-1934 ช่วง Great Depression ของอเมริกา แม้ว่าจะมีคนมองว่า เขาอยู่ในพวกกลุ่มวอลสตรีท แต่เขากู้เศรษฐกิจอเมริกาไม่ขึ้น และแยกทางกันเดินกับพวกมอร์แกนในภายหลัง แต่ที่น่าสนใจ Hoover จริงๆแล้ว เรียนจบมาด้านแร่วิทยา และเป็นผู้ชำนาญเรื่องแร่ เขายุ่งอยู่กับธุรกิจเหมืองแร่ ไปทั่วจนถึงออสเตรเลีย และถึงจีน และในช่วงปี ค.ศ.1899 – 1900 ที่เกิดกบฏนักมวย เขาบังเอิญติดอยู่ที่จีนในช่วงนั้นพอดี ตัวเขาและเมียพูดภาษาจีนแมนดารินได้ดี เล่ากันว่า เมื่อกลับมาอเมริกา และต้องย้ายบ้านไปอยู่ทำเนียบขาว ท่านประธานาธิบดีกับท่านผู้หญิง จะส่งภาษาจีนกัน เวลาไม่อยากให้ใครรู้เรื่อง ว่านินทา หรือด่าใคร เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่ปีแรกๆ อเมริกาตั้งตัวเป็นกลาง แต่การรบในยุโรปกำลังสาหัส และชาวยุโรปรับบาปเคราะห์ ขาดทั้งอาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม ปี ค.ศ.1914 Hoover ซึ่งรวยจนพอจากการเจอแร่สาระพัดแห่ง จึงมาทำการกุศล ช่วยบริหารองค์กรชื่อ Committee for Relief in Belgium (CRB) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึงเดือนละประมาณ 11 ล้านเหรียญ ดูเหมือนในรายชื่อผู้ใจบุญรายใหญ่ของ CRB จะมีชื่อมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์อยู่ด้วย เสร็จจากช่วยคนเจอภัยสงคราม Hoover ก็ไปใจดีต่อที่รัสเซีย ในปี ค.ศ.1917 ซึ่งก็มีคนเจอภัยปฏิวัติ ช่วยคนไป มีเวลาก็สำรวจแร่ไป ในที่สุด นักธุรกิจใหญ่ๆอเมริกัน ก็เข้าไปขุดแร่ทำเหมืองในรัสเซียกันใหญ่ คงไม่ต้องบอกว่า มีชื่อใครบ้าง ปี ค.ศ.1927 เกิดน้ำท่วมใหญ่แถวแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่อยู่ ตอนนั้น Hoover เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ของอเมริกา เลยไปดูแลชาวบ้าน โดยระดมทั้งกองทหาร และกาชาดไปช่วย และด้วยเงินทุนจากมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เขาตั้งหน่วยอนามัยขึ้นในแถบที่น้ำท่วม และหน่วยอนามัยนี้ ได้ช่วยรักษา ชาวบ้านที่ติดเชื้อมาเลเรีย เชื้อไทฟอยด์ ท้องร่วง ฯลฯ และก็บังเอิญเป็นช่วงเดียวกับที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งไปตั้งหน่วยค้นคว้าทางแพทย์อยู่ในจีน ก็กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องเชื้อโรคสาระพัด และก็บังเอิญ เป็นช่วงเดียวกับ นายชิโร อิชิอิ Shiro Ishii แห่งหน่วย 731 ของญี่ปุ่น ก็ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งหน่วยทดลองการใช้อาวุธชีวภาพ และแบคทีเรียกับมนุษย์ และทดลองกับชาวจีน จนเจ็บป่วยทรมาน แสนสาหัส อยู่แถวทางเหนือของจีน เรื่องบังเอิญ มันแยะจริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 9

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 9
    นักประวัติศาสตร์บอก ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากการชอบอยู่สันโดษ เป็นการชอบออกล่าเหยื่อ ตั้งแต่อเมริกาเอาเรือรบมาขู่เอา ไมตรี ในปี ค.ศ.1856 และทำให้ญี่ปุ่น เริ่มขบวนการปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration นักประวัติศาสตร์บอก เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อช่วงนั้น ใครที่แข็งแรง ก็อยากเป็นนักล่ากันทั้งนั้น แต่นิสัยก้าวร้าวที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1931 และกลายมาเป็นรุกรานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อปี ค.ศ.1937 นี่ล่ะ มันมาจากไหนกันแน่
    เมื่อญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศ บรรดามือที่ปั้นญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ แม้จะเห็นพ้องว่า ญี่ปุ่นต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่างตะวันตกอีกนั้น แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างต่างกัน และในที่สุดก็แบ่งความเห็นเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน
    ฝ่ายหนึ่งบอก เราต้องเป็นญี่ปุ่นแบบ ” rich country, prosperous people” ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนร่ำรวย
    อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ เราต้องเป็นญี่ปุ่น แบบ ” rich country, strong army” ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง”
    ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้แย้ง คัดค้าน และชิงอำนาจการปกครองประเทศกันมาตลอด ในช่วงแรก ฝ่ายแรกดูเหมือนจะมีคะแนนนำ และดูเหมือนเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่นมีพี่เลี้ยง หรือมือที่ชักใยชื่อ อังกฤษ เกือบทุกเส้นรุ้งเส้นแวงในญี่ปุ่น เห็นอังกฤษ เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า ไม่เวันแม้แต่ในวังจักรพรรดิ ที่รัศมีของนักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็แผดแสงแรงนัก ในสายตาของญี่ปุ่น อังกฤษเป็นผมทองตาน้ำข้าว ที่ไม่ว่าจะกระดิกอะไร มันแสดงถึงความเป็นศิวิไลย์ของมนุษยชาติไปเสียทุกเรื่อง ญี่ปุ่นที่กำลังอยากเท่าเทียมตะวันตก ก็มีแต่จะตามลอกเลียนแบบ ด้วยความเคารพเท่านั้นเอง
    เมื่อโชกุนแห่งโตกุกาวา Tokugawa คนสุดท้าย (ถูกซามูไรพาดคอให้) ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1867 บรรดานายพล และกองทัพ ของโชกุนก็สิ้นสภาพ แล้ววันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1868 กองทัพจาก 5 แคว้นของญี่ปุ่น สะสุมะ Satsuma, โตซะ Tosa, ฮิโรชิมา Hiroshima, อิชิเซ็น Echizen และ โอวาริ Owari ที่นำโดยกลุ่มบุคคล ที่ต้องการปฏิรูปญี่ปุ่น ก็เข้ามาล้อมวังของจักรพรรดิ และให้แต่พวกที่ต่อต้านโชกุน แต่สนับสนุนจักรพรรดิ ผ่านเข้าไปในวังได้เท่านั้น และพวกเขาก็เริ่มศักราชแห่งการปฏิรูป Meiji Restoration โดยการตั้งหนุ่มน้อยอายุเพียง 14 ปี ขึ้นเป็นจักรพรรดิมัตสุฮิโต Matsuhito
    2 เดือนต่อมา เซอร์ Harry Parke ที่อังกฤษส่งมาเป็นตัวแทน นั่งเรือด่วนใช้เวลาเดินทางมา 2 เดือน เพื่อมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งแกะออกจากกล่อง อังกฤษนับเป็นชาวต่างชาติประเทศแรก ที่สายตายาวไกล ลงทุนลงแรง เดินทางมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิคนใหม่ หลังจากนั้นฝรั่งเศสและดัชท์ก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะเสียเปรียบอังกฤษมากเกินไป
    หนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1869 อังกฤษ ก็ส่งเจ้าชาย Alfred, Duke of Edinburgh ในฐานะเป็นกัปตันเรือรบหลวงของ อังกฤษ Galatea มาเยี่ยมญี่ปุ่นอีก และในปี ค.ศ.1881 อังกฤษก็ส่งเจ้าชาย มาอีกชุด คราวนี่เจ้าชาย Albert Victor และ George มาพักที่วังของจักรพรรดิเองเลย อังกฤษเล่นโอ๋ญี่ปุ่นถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ญี่ปุ่นอ่อนเปียกอยู่ในมืออังกฤษได้อย่างไร ให้ทำอะไร ก็ต้องพร้อม
    อังกฤษไม่ได้มองเห็นหมากตัวสำคัญชื่อญี่ปุ่นแต่เพียงรายเดียวเท่านั้น รัสเซียก็มองเห็น และยังเห็นความหวานผิดปรกติของอังกฤษต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1891 มงกุฏราชกุมารรัสเซีย เจ้าชายนิโคลัส เลยต้องแวะมาเยี่ยมญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นประเทศสุดท้าย ของการท่องเอเซียของเจ้าชายครั้งนั้น ระหว่างเจ้าชายนั่งรถลากชมเมืองเกียวโต มีตำรวจญี่ปุ่นชักดาบขึ้นมาคารวะเจ้าชาย หลังจากนั้นก็เอาจ้วงแทง เฉียดคอมงกุฏราชกุมารรัสเซียอย่างฉิวเฉียด สงครามญี่ปุ่นกับรัสเซีย เกือบจะเริ่มเร็วกว่าที่วางแผนไว้ หลังจากนั้น เจ้าชายนิโคลัสก็เชิญจักรพรรดิมัตสุฮิโตไปเสวยกลางวันด้วยกัน บนเรือรบของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบตัว ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ต้องไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายการวัดใจรุ่นใหญ่ เล่นกันได้สมกับตำแหน่ง
    แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้ใจญี่ปุ่น อย่างที่อังกฤษได้ น้ำตาลรัสเซียถ้าจะหวานไม่พอ
    หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า รัสเซียตัดสินใจจะสร้างทางรถไฟ สายทรานส์ไซบีเรีย ญี่ปุ่นกลัวว่ารัสเซียกำลังมุ่งลงใต้มาเอาแหล่งน้ำจืดที่แมนจูเรียและเกาหลี ส่วนอังกฤษก็มองว่ารัสเซียกำลังขยายอำนาจลงมาทางใต้ ผ่านเกาหลี เพื่อจะมาแซะจีน แบบนี้ ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นจะปล่อยให้ทางรถไฟของรัสเซียเกิดขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นจะต้องยึดเกาหลีมาให้ได้เสียก่อน แล้วญี่ปุ่นก็บุกเกาหลีในปี ค.ศ.1895
    ผลการยึดเกาหลี ได้ทำให้พวกฝรั่งต่างมองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศส พากันประท้วงให้ญี่ปุ่นคืนแมนจูเรีย ญี่ปุ่นยังไม่แน่ใจในแรงหมัดของตัว เลยตกลงปล่อยมือ ที่คว้าแมนจูเรียออกไปก่อน
    เรื่องนี้ ทำให้อังกฤษหงุดหงิด เสียแผนที่วางไว้ จึงจับญี่ปุ่นมาทำสัญญาในปี ค.ศ.1902
    ทั้งเรื่องการรบชนะเกาหลี ตีจีนกระเจิง และทำให้อังกฤษมาทำสัญญากับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เริ่มมีคะแนนแซงหน้า ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ และนโยบายของญี่ปุ่นก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นผู้รักสันโดษไกลออกไปทุกที
    อันที่จริงในญี่ปุ่น ผู้ที่ไม่สนับสนุนให้ญี่ปุนสร้างกองทัพอย่างออกนอกหน้า คือ นายทากาฮาชิ โกเรกิโยะ Takahashi Korekiyo ถ้ายังจำกันได้ จากนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เขานั่นแหละ เป็นคนที่ต้องไปทำหน้าที่หาเงินกู้มาให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย และเป็นคนที่ “บังเอิญ” ไปนั่งข้าง Jacob Shiff คนจัดการหาเงินกู้ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย โลกก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่ทำไม หลายเรื่อง หลายคน มันมาชนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 9 นักประวัติศาสตร์บอก ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากการชอบอยู่สันโดษ เป็นการชอบออกล่าเหยื่อ ตั้งแต่อเมริกาเอาเรือรบมาขู่เอา ไมตรี ในปี ค.ศ.1856 และทำให้ญี่ปุ่น เริ่มขบวนการปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration นักประวัติศาสตร์บอก เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อช่วงนั้น ใครที่แข็งแรง ก็อยากเป็นนักล่ากันทั้งนั้น แต่นิสัยก้าวร้าวที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1931 และกลายมาเป็นรุกรานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อปี ค.ศ.1937 นี่ล่ะ มันมาจากไหนกันแน่ เมื่อญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศ บรรดามือที่ปั้นญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ แม้จะเห็นพ้องว่า ญี่ปุ่นต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่างตะวันตกอีกนั้น แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างต่างกัน และในที่สุดก็แบ่งความเห็นเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน ฝ่ายหนึ่งบอก เราต้องเป็นญี่ปุ่นแบบ ” rich country, prosperous people” ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนร่ำรวย อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ เราต้องเป็นญี่ปุ่น แบบ ” rich country, strong army” ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง” ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้แย้ง คัดค้าน และชิงอำนาจการปกครองประเทศกันมาตลอด ในช่วงแรก ฝ่ายแรกดูเหมือนจะมีคะแนนนำ และดูเหมือนเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่นมีพี่เลี้ยง หรือมือที่ชักใยชื่อ อังกฤษ เกือบทุกเส้นรุ้งเส้นแวงในญี่ปุ่น เห็นอังกฤษ เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า ไม่เวันแม้แต่ในวังจักรพรรดิ ที่รัศมีของนักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็แผดแสงแรงนัก ในสายตาของญี่ปุ่น อังกฤษเป็นผมทองตาน้ำข้าว ที่ไม่ว่าจะกระดิกอะไร มันแสดงถึงความเป็นศิวิไลย์ของมนุษยชาติไปเสียทุกเรื่อง ญี่ปุ่นที่กำลังอยากเท่าเทียมตะวันตก ก็มีแต่จะตามลอกเลียนแบบ ด้วยความเคารพเท่านั้นเอง เมื่อโชกุนแห่งโตกุกาวา Tokugawa คนสุดท้าย (ถูกซามูไรพาดคอให้) ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1867 บรรดานายพล และกองทัพ ของโชกุนก็สิ้นสภาพ แล้ววันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1868 กองทัพจาก 5 แคว้นของญี่ปุ่น สะสุมะ Satsuma, โตซะ Tosa, ฮิโรชิมา Hiroshima, อิชิเซ็น Echizen และ โอวาริ Owari ที่นำโดยกลุ่มบุคคล ที่ต้องการปฏิรูปญี่ปุ่น ก็เข้ามาล้อมวังของจักรพรรดิ และให้แต่พวกที่ต่อต้านโชกุน แต่สนับสนุนจักรพรรดิ ผ่านเข้าไปในวังได้เท่านั้น และพวกเขาก็เริ่มศักราชแห่งการปฏิรูป Meiji Restoration โดยการตั้งหนุ่มน้อยอายุเพียง 14 ปี ขึ้นเป็นจักรพรรดิมัตสุฮิโต Matsuhito 2 เดือนต่อมา เซอร์ Harry Parke ที่อังกฤษส่งมาเป็นตัวแทน นั่งเรือด่วนใช้เวลาเดินทางมา 2 เดือน เพื่อมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งแกะออกจากกล่อง อังกฤษนับเป็นชาวต่างชาติประเทศแรก ที่สายตายาวไกล ลงทุนลงแรง เดินทางมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิคนใหม่ หลังจากนั้นฝรั่งเศสและดัชท์ก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะเสียเปรียบอังกฤษมากเกินไป หนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1869 อังกฤษ ก็ส่งเจ้าชาย Alfred, Duke of Edinburgh ในฐานะเป็นกัปตันเรือรบหลวงของ อังกฤษ Galatea มาเยี่ยมญี่ปุ่นอีก และในปี ค.ศ.1881 อังกฤษก็ส่งเจ้าชาย มาอีกชุด คราวนี่เจ้าชาย Albert Victor และ George มาพักที่วังของจักรพรรดิเองเลย อังกฤษเล่นโอ๋ญี่ปุ่นถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ญี่ปุ่นอ่อนเปียกอยู่ในมืออังกฤษได้อย่างไร ให้ทำอะไร ก็ต้องพร้อม อังกฤษไม่ได้มองเห็นหมากตัวสำคัญชื่อญี่ปุ่นแต่เพียงรายเดียวเท่านั้น รัสเซียก็มองเห็น และยังเห็นความหวานผิดปรกติของอังกฤษต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1891 มงกุฏราชกุมารรัสเซีย เจ้าชายนิโคลัส เลยต้องแวะมาเยี่ยมญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นประเทศสุดท้าย ของการท่องเอเซียของเจ้าชายครั้งนั้น ระหว่างเจ้าชายนั่งรถลากชมเมืองเกียวโต มีตำรวจญี่ปุ่นชักดาบขึ้นมาคารวะเจ้าชาย หลังจากนั้นก็เอาจ้วงแทง เฉียดคอมงกุฏราชกุมารรัสเซียอย่างฉิวเฉียด สงครามญี่ปุ่นกับรัสเซีย เกือบจะเริ่มเร็วกว่าที่วางแผนไว้ หลังจากนั้น เจ้าชายนิโคลัสก็เชิญจักรพรรดิมัตสุฮิโตไปเสวยกลางวันด้วยกัน บนเรือรบของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบตัว ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ต้องไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายการวัดใจรุ่นใหญ่ เล่นกันได้สมกับตำแหน่ง แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้ใจญี่ปุ่น อย่างที่อังกฤษได้ น้ำตาลรัสเซียถ้าจะหวานไม่พอ หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า รัสเซียตัดสินใจจะสร้างทางรถไฟ สายทรานส์ไซบีเรีย ญี่ปุ่นกลัวว่ารัสเซียกำลังมุ่งลงใต้มาเอาแหล่งน้ำจืดที่แมนจูเรียและเกาหลี ส่วนอังกฤษก็มองว่ารัสเซียกำลังขยายอำนาจลงมาทางใต้ ผ่านเกาหลี เพื่อจะมาแซะจีน แบบนี้ ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นจะปล่อยให้ทางรถไฟของรัสเซียเกิดขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นจะต้องยึดเกาหลีมาให้ได้เสียก่อน แล้วญี่ปุ่นก็บุกเกาหลีในปี ค.ศ.1895 ผลการยึดเกาหลี ได้ทำให้พวกฝรั่งต่างมองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศส พากันประท้วงให้ญี่ปุ่นคืนแมนจูเรีย ญี่ปุ่นยังไม่แน่ใจในแรงหมัดของตัว เลยตกลงปล่อยมือ ที่คว้าแมนจูเรียออกไปก่อน เรื่องนี้ ทำให้อังกฤษหงุดหงิด เสียแผนที่วางไว้ จึงจับญี่ปุ่นมาทำสัญญาในปี ค.ศ.1902 ทั้งเรื่องการรบชนะเกาหลี ตีจีนกระเจิง และทำให้อังกฤษมาทำสัญญากับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เริ่มมีคะแนนแซงหน้า ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ และนโยบายของญี่ปุ่นก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นผู้รักสันโดษไกลออกไปทุกที อันที่จริงในญี่ปุ่น ผู้ที่ไม่สนับสนุนให้ญี่ปุนสร้างกองทัพอย่างออกนอกหน้า คือ นายทากาฮาชิ โกเรกิโยะ Takahashi Korekiyo ถ้ายังจำกันได้ จากนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เขานั่นแหละ เป็นคนที่ต้องไปทำหน้าที่หาเงินกู้มาให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย และเป็นคนที่ “บังเอิญ” ไปนั่งข้าง Jacob Shiff คนจัดการหาเงินกู้ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย โลกก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่ทำไม หลายเรื่อง หลายคน มันมาชนกันอย่างไม่น่าเชื่อ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 445 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1
    “ซามูไรแบกถาด ”

    ตอน 1

    เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น

    วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ

    Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน

    หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ

    การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ

    ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ
    แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน

    นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร

    มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ
    ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ

    นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา

    ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน

    ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี….

    อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1 “ซามูไรแบกถาด ” ตอน 1 เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี…. อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 757 มุมมอง 0 รีวิว
  • 158 ปี ยุคเมจิญี่ปุ่น เมื่อมกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ ขึ้นครองราชย์ ปฏิรูปประเทศเพียง 2 ทศวรรษ จากด้อยพัฒนา สู่ประเทศอุตสาหกรรม

    ย้อนกลับไปเมื่อ 158 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เมื่อ "มกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ" ขึ้นครองราชบัลลังก์ กลายเป็น "จักรพรรดิเมจิ" (Meiji Emperor) และนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่

    ในระยะเวลาเพียง 20 ปี ญี่ปุ่นสามารถเปลี่ยนแปลง จากรัฐศักดินาที่ล้าหลัง ไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ได้อย่างน่าทึ่ง!

    จากมกุฎราชกุมาร สู่ผู้นำจักรวรรดิญี่ปุ่น
    "มุตสึฮิโตะ" หรือที่รู้จักกันในพระนาม "จักรพรรดิเมจิ" (明治天皇, Meiji Tennō) เป็นจักรพรรดิ องค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2410 - 2455 (ค.ศ. 1867 - 1912) ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ที่สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

    ก่อนขึ้นครองราชย์ ญี่ปุ่นยังคงเป็นรัฐศักดินา ภายใต้การปกครอง ของโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) ซึ่งดำเนินนโยบาย "ซะโกกุ" (鎖国, Sakoku) หรือการปิดประเทศมากว่า 250 ปี ทำให้ญี่ปุ่นล้าหลัง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี

    แต่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ การปฏิรูปครั้งใหญ่ ได้เริ่มต้นขึ้น

    การล่มสลายของโชกุน และระบบซามูไร
    หลังจากที่จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ ถูกโค่นล้มในปี พ.ศ. 2411 โดยกองกำลัง ของกลุ่มแคว้นศักดินา ซัตสึมะ (Satsuma) และโชชู (Chōshū) ในสงครามโบชิน (Boshin War)

    การสิ้นสุดของโชกุน ส่งผลให้ระบบซามูไร ถูกยกเลิก ประชาชนทุกคน ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีชนชั้นสูง ที่ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือกว่าคนทั่วไปอีกต่อไป

    ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต สู่โตเกียว
    จักรพรรดิเมจิ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต มายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "โตเกียว" (Tokyo, 東京) กลายเป็นศูนย์กลาง อำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจของญี่ปุ่น

    ปฏิรูปประเทศปูทางสู่มหาอำนาจโลก
    ปฏิรูประบบการเมือง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่รัฐธรรมนูญ
    รัฐบาลเมจิประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญเมจิ" (Meiji Constitution) ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก รัฐธรรมนูญของเยอรมนี ทำให้ญี่ปุ่นมีระบบรัฐสภา (Diet, 国会) ที่ประกอบด้วย
    สภาขุนนาง (House of Peers)
    สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives)

    แต่ถึงแม้จะมีระบบรัฐสภา อำนาจสูงสุด ยังคงอยู่ที่จักรพรรดิ และขุนนางชั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากประชาธิปไตยตะวันตก

    ปฏิรูปเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม
    ก่อนการปฏิรูป ญี่ปุ่นพึ่งพาเกษตรกรรม และมีระบบศักดินา ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่หลังจากการปฏิรูป ประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของเอเชีย

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
    ยกเลิกระบบศักดินา นำที่ดินคืนจากไดเมียว (ขุนนางศักดินา) และจัดสรรให้เกษตรกร
    ก่อตั้งระบบธนาคารและเงินตรา ใช้เงินเยน (¥) เป็นสกุลเงินหลัก
    สร้างทางรถไฟ และระบบคมนาคม ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น
    ลงทุนในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็กกล้า สิ่งทอ และเรือเดินสมุทร

    ปฏิรูประบบการศึกษา สร้างชาติด้วยความรู้
    ในปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) รัฐบาลเมจิออกกฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ ให้เด็กทุกคน ต้องเรียนหนังสือ

    หลักสูตรการศึกษา
    วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแบบตะวันตก
    ลัทธิขงจื๊อ และความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ
    ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ

    ผลลัพธ์คือ ญี่ปุ่นมีประชากร ที่มีการศึกษาสูงสุดในเอเชีย ภายในเวลาไม่กี่สิบปี

    สงครามและชัยชนะ ที่เปลี่ยนชะตาญี่ปุ่น
    สงครามจีน-ญี่ปุ่น (Sino-Japanese War, 1894-1895)
    ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจีน และยึดครองไต้หวัน

    สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War, 1904-1905)
    ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศเอเชียชาติแรก ที่สามารถเอาชนะ มหาอำนาจยุโรปได้!

    20 ปี แห่งการเปลี่ยนแปลง สู่มหาอำนาจโลก
    จากรัฐศักดินา สู่รัฐอุตสาหกรรม
    จากระบบซามูไร สู่ระบบทหารสมัยใหม่
    จากประเทศปิดตัวเอง สู่ประเทศมหาอำนาจระดับโลก

    ยุคเมจิพิสูจน์ให้เห็นว่า "การเปลี่ยนแปลง" คือกุญแจสู่ความก้าวหน้า!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031455 ก.พ. 2568

    #MeijiEra #JapanHistory #จักรพรรดิเมจิ #ปฏิรูปญี่ปุ่น #ยุคเมจิ #ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น #MeijiRestoration #JapanEmpire #JapaneseIndustry #ModernizationJapan
    158 ปี ยุคเมจิญี่ปุ่น เมื่อมกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ ขึ้นครองราชย์ ปฏิรูปประเทศเพียง 2 ทศวรรษ จากด้อยพัฒนา สู่ประเทศอุตสาหกรรม 📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 158 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เมื่อ "มกุฎราชกุมารมุตสึฮิโตะ" ขึ้นครองราชบัลลังก์ กลายเป็น "จักรพรรดิเมจิ" (Meiji Emperor) และนำพาญี่ปุ่นเข้าสู่ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่ ในระยะเวลาเพียง 20 ปี ญี่ปุ่นสามารถเปลี่ยนแปลง จากรัฐศักดินาที่ล้าหลัง ไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ได้อย่างน่าทึ่ง! 📈✨ 👑 จากมกุฎราชกุมาร สู่ผู้นำจักรวรรดิญี่ปุ่น 👑 "มุตสึฮิโตะ" หรือที่รู้จักกันในพระนาม "จักรพรรดิเมจิ" (明治天皇, Meiji Tennō) เป็นจักรพรรดิ องค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2410 - 2455 (ค.ศ. 1867 - 1912) ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ที่สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ก่อนขึ้นครองราชย์ ญี่ปุ่นยังคงเป็นรัฐศักดินา ภายใต้การปกครอง ของโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) ซึ่งดำเนินนโยบาย "ซะโกกุ" (鎖国, Sakoku) หรือการปิดประเทศมากว่า 250 ปี ทำให้ญี่ปุ่นล้าหลัง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี แต่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ การปฏิรูปครั้งใหญ่ ได้เริ่มต้นขึ้น 🏗️⚙️ 🔻 การล่มสลายของโชกุน และระบบซามูไร ⚔️ หลังจากที่จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ ถูกโค่นล้มในปี พ.ศ. 2411 โดยกองกำลัง ของกลุ่มแคว้นศักดินา ซัตสึมะ (Satsuma) และโชชู (Chōshū) ในสงครามโบชิน (Boshin War) การสิ้นสุดของโชกุน ส่งผลให้ระบบซามูไร ถูกยกเลิก ประชาชนทุกคน ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีชนชั้นสูง ที่ได้รับอภิสิทธิ์ เหนือกว่าคนทั่วไปอีกต่อไป 📍 ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต สู่โตเกียว จักรพรรดิเมจิ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโต มายังเอโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "โตเกียว" (Tokyo, 東京) กลายเป็นศูนย์กลาง อำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจของญี่ปุ่น 🏛️ ปฏิรูปประเทศปูทางสู่มหาอำนาจโลก 📜 ปฏิรูประบบการเมือง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่รัฐธรรมนูญ รัฐบาลเมจิประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญเมจิ" (Meiji Constitution) ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก รัฐธรรมนูญของเยอรมนี ทำให้ญี่ปุ่นมีระบบรัฐสภา (Diet, 国会) ที่ประกอบด้วย ✅ สภาขุนนาง (House of Peers) ✅ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) แต่ถึงแม้จะมีระบบรัฐสภา อำนาจสูงสุด ยังคงอยู่ที่จักรพรรดิ และขุนนางชั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากประชาธิปไตยตะวันตก 🏭 ปฏิรูปเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ก่อนการปฏิรูป ญี่ปุ่นพึ่งพาเกษตรกรรม และมีระบบศักดินา ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่หลังจากการปฏิรูป ประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของเอเชีย 📌 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 🔹 ยกเลิกระบบศักดินา นำที่ดินคืนจากไดเมียว (ขุนนางศักดินา) และจัดสรรให้เกษตรกร 📜 🔹 ก่อตั้งระบบธนาคารและเงินตรา ใช้เงินเยน (¥) เป็นสกุลเงินหลัก 💴 🔹 สร้างทางรถไฟ และระบบคมนาคม ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น 🚄 🔹 ลงทุนในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็กกล้า สิ่งทอ และเรือเดินสมุทร 🏭 🎓 ปฏิรูประบบการศึกษา สร้างชาติด้วยความรู้ ในปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) รัฐบาลเมจิออกกฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ ให้เด็กทุกคน ต้องเรียนหนังสือ 👨‍🎓📚 หลักสูตรการศึกษา 📌 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามแบบตะวันตก 📌 ลัทธิขงจื๊อ และความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ 📌 ส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ผลลัพธ์คือ ญี่ปุ่นมีประชากร ที่มีการศึกษาสูงสุดในเอเชีย ภายในเวลาไม่กี่สิบปี ⚔️ สงครามและชัยชนะ ที่เปลี่ยนชะตาญี่ปุ่น ⚔️ สงครามจีน-ญี่ปุ่น (Sino-Japanese War, 1894-1895) ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะจีน และยึดครองไต้หวัน 🇹🇼 ⚔️ สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War, 1904-1905) ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศเอเชียชาติแรก ที่สามารถเอาชนะ มหาอำนาจยุโรปได้! 🇯🇵💥 🔚 20 ปี แห่งการเปลี่ยนแปลง สู่มหาอำนาจโลก ✅ จากรัฐศักดินา สู่รัฐอุตสาหกรรม ✅ จากระบบซามูไร สู่ระบบทหารสมัยใหม่ ✅ จากประเทศปิดตัวเอง สู่ประเทศมหาอำนาจระดับโลก ยุคเมจิพิสูจน์ให้เห็นว่า "การเปลี่ยนแปลง" คือกุญแจสู่ความก้าวหน้า! 🔑🚀 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031455 ก.พ. 2568 🔗 #MeijiEra #JapanHistory #จักรพรรดิเมจิ #ปฏิรูปญี่ปุ่น #ยุคเมจิ #ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น #MeijiRestoration #JapanEmpire #JapaneseIndustry #ModernizationJapan
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1560 มุมมอง 0 รีวิว