• ก.ล.ต. ส่งอัยการฟ้อง 13 ราย ปั่นหุ้น 22/08/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ก.ล.ต. #ปั่นหุ้น #นักลงทุน
    ก.ล.ต. ส่งอัยการฟ้อง 13 ราย ปั่นหุ้น 22/08/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ก.ล.ต. #ปั่นหุ้น #นักลงทุน
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 0 Reviews
  • เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย

    ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต

    โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

    นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ

    เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025

    นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet
    ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox
    หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว
    นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน
    จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท
    ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ
    เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน
    ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว
    รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน
    รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com
    Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ
    ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ
    มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    🎙️ TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025 นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet ➡️ ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว ➡️ นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน ➡️ จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท ➡️ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ ➡️ เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ➡️ ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว ➡️ รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ➡️ รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว ➡️ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com ➡️ Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ ➡️ ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ ➡️ มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย

    การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า

    รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์

    แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2%
    หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel
    หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10%
    Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป
    โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก
    SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel
    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025
    Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle
    Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank
    BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว
    การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel
    ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว
    Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    💬 Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์ แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2% ➡️ หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ➡️ หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10% ➡️ Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป ➡️ โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก ➡️ SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel ➡️ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025 ➡️ Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle ➡️ Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank ➡️ BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel ➡️ ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel in talks with large investors for equity boost at discount, CNBC reports
    (Reuters) -Intel is in talks with other large investors to receive an equity infusion at a discounted price, CNBC reported on Wednesday, just days after the chipmaker got a $2 billion capital injection from SoftBank Group.
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • อ่อนแรงทั่วโลก! 20/08/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #เศรษฐกิจ
    อ่อนแรงทั่วโลก! 20/08/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #เศรษฐกิจ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าใหม่: อินเดียเตรียมแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริง – เมื่อความสนุกกลายเป็นภัยเงียบ

    ลองนึกภาพว่าคุณเล่นเกมแฟนตาซีคริกเก็ตบนมือถือ จ่ายเงินแค่ 10 เซ็นต์เพื่อสร้างทีม แล้วลุ้นเงินรางวัลหลักหมื่นรูปี ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม? แต่สำหรับรัฐบาลอินเดีย นี่คือปัญหาที่กำลังลุกลาม

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมาย “Promotion and Regulation of Online Gaming Act” ที่จะห้ามเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่อิงจากทักษะหรือโชค โดยให้เหตุผลว่าเกมเหล่านี้ส่งผลเสียทั้งด้านจิตใจและการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย

    เกมเหล่านี้มักใช้เทคนิคการออกแบบที่กระตุ้นให้เล่นซ้ำ เช่น อัลกอริธึมที่สร้างความรู้สึกใกล้ชนะ หรือการแจกรางวัลแบบสุ่ม ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นติดเกมและเสียเงินจำนวนมาก บางกรณีถึงขั้นเกิดเหตุสลด เช่น การฆ่าตัวตายหลังจากสูญเงินไปกับเกม

    อุตสาหกรรมเกมเงินจริงในอินเดียมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้าน และคาดว่าจะโตถึง $3.6 พันล้านภายในปี 2029 โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Dream11 และ Mobile Premier League ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ

    ร่างกฎหมายยังระบุโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด ₹10 ล้าน สำหรับผู้ให้บริการเกมเงินจริง และแม้แต่คนดังที่โฆษณาเกมเหล่านี้ก็อาจถูกลงโทษเช่นกัน

    ข้อมูลในข่าว
    รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมายแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด
    ร่างกฎหมายชื่อ Promotion and Regulation of Online Gaming Act 2025
    ห้ามโฆษณาเกมเงินจริง และห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมเกี่ยวข้อง
    ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ ₹10 ล้าน
    คนดังที่โฆษณาเกมเงินจริงอาจถูกปรับ ₹5 ล้าน หรือจำคุก 2 ปี
    อุตสาหกรรมเกมเงินจริงมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้านในปี 2024
    Dream11 มีมูลค่าบริษัท $8 พันล้าน ส่วน Mobile Premier League อยู่ที่ $2.5 พันล้าน
    เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงช่วงการแข่งขัน IPL
    กระทรวง IT ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามร่างกฎหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมเงินจริงมักใช้เทคนิค “near win” และ “variable rewards” เพื่อกระตุ้นให้เล่นต่อ
    การติดเกมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางการเงิน
    อินเดียเคยเก็บภาษีเกมออนไลน์ 28% ตั้งแต่ปี 2023 และอาจเพิ่มเป็น 40%
    รัฐบาลอินเดียเคยบล็อกเว็บไซต์พนันกว่า 1,400 แห่งระหว่างปี 2022–2025
    การควบคุมเกมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทาย เพราะบางแพลตฟอร์มตั้งเซิร์ฟเวอร์นอกประเทศ
    หลายประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ก็มีมาตรการควบคุมเกมเงินจริงอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/india-plans-to-ban-online-games-played-with-money-citing-addiction-risks
    🎯 เรื่องเล่าใหม่: อินเดียเตรียมแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริง – เมื่อความสนุกกลายเป็นภัยเงียบ ลองนึกภาพว่าคุณเล่นเกมแฟนตาซีคริกเก็ตบนมือถือ จ่ายเงินแค่ 10 เซ็นต์เพื่อสร้างทีม แล้วลุ้นเงินรางวัลหลักหมื่นรูปี ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม? แต่สำหรับรัฐบาลอินเดีย นี่คือปัญหาที่กำลังลุกลาม ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมาย “Promotion and Regulation of Online Gaming Act” ที่จะห้ามเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่อิงจากทักษะหรือโชค โดยให้เหตุผลว่าเกมเหล่านี้ส่งผลเสียทั้งด้านจิตใจและการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย เกมเหล่านี้มักใช้เทคนิคการออกแบบที่กระตุ้นให้เล่นซ้ำ เช่น อัลกอริธึมที่สร้างความรู้สึกใกล้ชนะ หรือการแจกรางวัลแบบสุ่ม ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นติดเกมและเสียเงินจำนวนมาก บางกรณีถึงขั้นเกิดเหตุสลด เช่น การฆ่าตัวตายหลังจากสูญเงินไปกับเกม อุตสาหกรรมเกมเงินจริงในอินเดียมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้าน และคาดว่าจะโตถึง $3.6 พันล้านภายในปี 2029 โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Dream11 และ Mobile Premier League ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ร่างกฎหมายยังระบุโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด ₹10 ล้าน สำหรับผู้ให้บริการเกมเงินจริง และแม้แต่คนดังที่โฆษณาเกมเหล่านี้ก็อาจถูกลงโทษเช่นกัน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมายแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ➡️ ร่างกฎหมายชื่อ Promotion and Regulation of Online Gaming Act 2025 ➡️ ห้ามโฆษณาเกมเงินจริง และห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมเกี่ยวข้อง ➡️ ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ ₹10 ล้าน ➡️ คนดังที่โฆษณาเกมเงินจริงอาจถูกปรับ ₹5 ล้าน หรือจำคุก 2 ปี ➡️ อุตสาหกรรมเกมเงินจริงมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้านในปี 2024 ➡️ Dream11 มีมูลค่าบริษัท $8 พันล้าน ส่วน Mobile Premier League อยู่ที่ $2.5 พันล้าน ➡️ เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงช่วงการแข่งขัน IPL ➡️ กระทรวง IT ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามร่างกฎหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมเงินจริงมักใช้เทคนิค “near win” และ “variable rewards” เพื่อกระตุ้นให้เล่นต่อ ➡️ การติดเกมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางการเงิน ➡️ อินเดียเคยเก็บภาษีเกมออนไลน์ 28% ตั้งแต่ปี 2023 และอาจเพิ่มเป็น 40% ➡️ รัฐบาลอินเดียเคยบล็อกเว็บไซต์พนันกว่า 1,400 แห่งระหว่างปี 2022–2025 ➡️ การควบคุมเกมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทาย เพราะบางแพลตฟอร์มตั้งเซิร์ฟเวอร์นอกประเทศ ➡️ หลายประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ก็มีมาตรการควบคุมเกมเงินจริงอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/india-plans-to-ban-online-games-played-with-money-citing-addiction-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    India plans to ban online games played with money, citing addiction risks
    NEW DELHI (Reuters) -India's government plans to ban online games played with money, a proposed bill showed on Tuesday, in what would be a heavy blow for an industry that has attracted billions of dollars of foreign investment.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • ยังไปไม่ถึงดวงดาว 1300 จุด 19/08/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #การเมือง #เศรษฐกิจ
    ยังไปไม่ถึงดวงดาว 1300 จุด 19/08/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #การเมือง #เศรษฐกิจ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 0 Reviews
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เทใจ 'พรรคเล็ก'!!! "ซูเปอร์โพล" ชี้ภาคธุรกิจหมดหวังพรรคใหญ่! เกิน 70% มองขัดแย้ง-ขาดเอกภาพ อยากเห็นการเมืองเปลี่ยนแปลง
    https://www.thai-tai.tv/news/20979/
    .
    #ซูเปอร์โพล #นักธุรกิจนักลงทุน #พรรคปวงชนไทย #การเมืองใหม่ #ข่าวการเมือง #ไทยไท

    เทใจ 'พรรคเล็ก'!!! "ซูเปอร์โพล" ชี้ภาคธุรกิจหมดหวังพรรคใหญ่! เกิน 70% มองขัดแย้ง-ขาดเอกภาพ อยากเห็นการเมืองเปลี่ยนแปลง https://www.thai-tai.tv/news/20979/ . #ซูเปอร์โพล #นักธุรกิจนักลงทุน #พรรคปวงชนไทย #การเมืองใหม่ #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • กับดัก AI ที่นักลงทุนต้องระวัง
    กับดัก AI ที่นักลงทุนต้องระวัง
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 0 Reviews
  • ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 2

    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (2)
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกอ้างว่า จีนได้นำไข่มุกงามแต่ละเม็ด มาร้อยเรียงกันเอาไว้สวมใส่
    ติดตัว ไม่มีขาย ไม่มีแบ่ง เช่น
    – บังคลาเทศ : จีนกำลังสร้างสัมพันธ์กับรัฐบาล และมีข้อตกลงที่จะเอี่ยวใช้ท่าเรือ
    ที่จิตตะกอง
    – พม่า : จีนสร้างสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับกองทัพ จนพม่าหลวมตัว ให้จีนสร้างฐานทัพเรือและเครื่องตรวจจับ อีเลคโทรนิกส์ เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวทางเรือแถวอ่าวเบงกอล และบริเวณช่องแคบมะละกา นี่ยังไม่นับเงินช่วยเหลือทางทหาร อีกหลายพันล้านเหรียญ ที่จีนควักกระเป๋าให้แบบไม่เสียดาย
    – เขมร : จีนทำสัญญา ให้ความร่วมมือทางทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ เมื่อปี 2003
    รวมทั้งรวมฝึกซ้อมรบด้วยกัน เขมรเองก็ให้ความร่วมมือจีน ในการสร้างทางรถไฟ
    จากทางใต้ของจีน มาสู่ทะเล
    – ไทย : จีนเสนอเงินให้ไทย จำนวน 20,00 ล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการสร้างคลองเป็นทางเดินเรือบริเวณคอคอดกระ ซึ่งจะทำให้เรือบรรทุกสินค้าทั้งหลาย ไม่ต้องเสียเวลา
    ไปวิ่งผ่านช่องแคบมะละกา โครงการนี้ถ้าเกิด จะทำให้จีนเพิ่มอิทธิพล และควบคุม
    ภูมิภาคนี้ได้
    แบบนี้อเมริกาย่อมไม่ยอมอยู่เฉยกับการเตรียมตัว สวมสร้อยมุกของจีน
    คุณเอามุกมาร้อยได้ เราก็กระชากให้ขาดได้เช่นกัน จีนไปทางไหน อเมริกาก็จะตามไปประกบ แบบแกะไม่ออกเลยล่ะ
    ยุทธการกระชากสร้อยจึงเริ่มขึ้นอย่างเงียบๆ แต่เอาจริง
    มุกเม็ดงาม เม็ดใหม่เพิ่งนำออกสู่ตลาด น่าขะโมยที่สุด คือพม่า
    พม่าปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการทหาร กว่า 40 ปี อเมริกาบอกไม่เป็นประชาธิปไตย ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษกิจพม่า มาตั้งแต่ปี 2003
    ทำเอาประชาชนชาวพม่าจนแล้วจนอีก ต้องส่งแม่บ้านพม่าเป็นสินค้าออกสำคัญ
    แล้วไง วันดี คืนดี ปี 2012 คุณนายคลินตัน ก็บุกเข้าพม่าพร้อมกับบอกว่า พร้อมที่จะทบทวน
    เรื่อง การคว่ำบาตร แต่หลังฉากเขาลือกันว่า น่าจะเกี่ยวกับข่าวที่ว่า จีนกำลังก่อสร้างท่อส่งน้ำมันและก๊าซ จากมณทลยูนนาน (ยูนนาน อีก แล้ว!)
    มาตามเส้นทางถนนเก่าของพม่า ข้ามไปอินเดีย บังคลาเทศ ออกไปยังอ่าวเบงกอล
    หลังจากนั้นรัฐบาลพม่า เริ่มการเจรจาการค้ากับโลกตะวันตก
    ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการเจรจา ปล่อยตัวคุณน้าอองซาน ซึ่งอเมริกาทั้งอุ้มทั้งชู
    ให้ มีสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน กับการที่คุณนายคลินตัน ทำท่าใจดี ว่าจะพิจารณาการผ่อนคลาย การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และนำนักลงทุนมาช่วยเพิ่มการลงทุน การผลิตในพม่า
    ฟังดูสวยหรู แต่สคริปต์มันโบราณไปหน่อยไหมคุณนาย แบบนี้ สมันน้อย ไทยแลนด์ฟังมา 50 ปีแล้ว 555

    คนเล่านิทาน
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 2 ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (2) ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกอ้างว่า จีนได้นำไข่มุกงามแต่ละเม็ด มาร้อยเรียงกันเอาไว้สวมใส่ ติดตัว ไม่มีขาย ไม่มีแบ่ง เช่น – บังคลาเทศ : จีนกำลังสร้างสัมพันธ์กับรัฐบาล และมีข้อตกลงที่จะเอี่ยวใช้ท่าเรือ ที่จิตตะกอง – พม่า : จีนสร้างสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับกองทัพ จนพม่าหลวมตัว ให้จีนสร้างฐานทัพเรือและเครื่องตรวจจับ อีเลคโทรนิกส์ เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวทางเรือแถวอ่าวเบงกอล และบริเวณช่องแคบมะละกา นี่ยังไม่นับเงินช่วยเหลือทางทหาร อีกหลายพันล้านเหรียญ ที่จีนควักกระเป๋าให้แบบไม่เสียดาย – เขมร : จีนทำสัญญา ให้ความร่วมมือทางทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ เมื่อปี 2003 รวมทั้งรวมฝึกซ้อมรบด้วยกัน เขมรเองก็ให้ความร่วมมือจีน ในการสร้างทางรถไฟ จากทางใต้ของจีน มาสู่ทะเล – ไทย : จีนเสนอเงินให้ไทย จำนวน 20,00 ล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการสร้างคลองเป็นทางเดินเรือบริเวณคอคอดกระ ซึ่งจะทำให้เรือบรรทุกสินค้าทั้งหลาย ไม่ต้องเสียเวลา ไปวิ่งผ่านช่องแคบมะละกา โครงการนี้ถ้าเกิด จะทำให้จีนเพิ่มอิทธิพล และควบคุม ภูมิภาคนี้ได้ แบบนี้อเมริกาย่อมไม่ยอมอยู่เฉยกับการเตรียมตัว สวมสร้อยมุกของจีน คุณเอามุกมาร้อยได้ เราก็กระชากให้ขาดได้เช่นกัน จีนไปทางไหน อเมริกาก็จะตามไปประกบ แบบแกะไม่ออกเลยล่ะ ยุทธการกระชากสร้อยจึงเริ่มขึ้นอย่างเงียบๆ แต่เอาจริง มุกเม็ดงาม เม็ดใหม่เพิ่งนำออกสู่ตลาด น่าขะโมยที่สุด คือพม่า พม่าปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการทหาร กว่า 40 ปี อเมริกาบอกไม่เป็นประชาธิปไตย ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษกิจพม่า มาตั้งแต่ปี 2003 ทำเอาประชาชนชาวพม่าจนแล้วจนอีก ต้องส่งแม่บ้านพม่าเป็นสินค้าออกสำคัญ แล้วไง วันดี คืนดี ปี 2012 คุณนายคลินตัน ก็บุกเข้าพม่าพร้อมกับบอกว่า พร้อมที่จะทบทวน เรื่อง การคว่ำบาตร แต่หลังฉากเขาลือกันว่า น่าจะเกี่ยวกับข่าวที่ว่า จีนกำลังก่อสร้างท่อส่งน้ำมันและก๊าซ จากมณทลยูนนาน (ยูนนาน อีก แล้ว!) มาตามเส้นทางถนนเก่าของพม่า ข้ามไปอินเดีย บังคลาเทศ ออกไปยังอ่าวเบงกอล หลังจากนั้นรัฐบาลพม่า เริ่มการเจรจาการค้ากับโลกตะวันตก ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการเจรจา ปล่อยตัวคุณน้าอองซาน ซึ่งอเมริกาทั้งอุ้มทั้งชู ให้ มีสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน กับการที่คุณนายคลินตัน ทำท่าใจดี ว่าจะพิจารณาการผ่อนคลาย การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และนำนักลงทุนมาช่วยเพิ่มการลงทุน การผลิตในพม่า ฟังดูสวยหรู แต่สคริปต์มันโบราณไปหน่อยไหมคุณนาย แบบนี้ สมันน้อย ไทยแลนด์ฟังมา 50 ปีแล้ว 555 คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • หมดข่าวดี!! 15/08/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน
    หมดข่าวดี!! 15/08/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 350 Views 0 0 Reviews
  • สินค้ามาเลเซียรอเสียบ บุกตลาดกัมพูชาแทนที่สินค้าไทย

    เหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยกับชาวเขมร ถึงขั้นบอยคอตสินค้าไทยและธุรกิจไทยในกัมพูชา กลายเป็นโอกาสทองของชาติอื่นเฉกเช่นมาเลเซีย นายริคกี้ ยอว์ ประธานสมาคมธุรกิจมาเลเซีย-กัมพูชา (MCBA) เรียกร้องให้ภาคเอกชนมาเลเซียแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ในกัมพูชา ด้วยการประเมินตลาดกัมพูชาโดยเร็ว และเสนอสินค้าทางเลือกเชิงรุกเพื่อเติมช่องว่างในตลาด หลังสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยหยุดชะงัก เพราะได้รับผลกระทบจากการขนส่ง ทำให้กัมพูชากำลังประสบปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์อาหาร และวัตถุดิบอุตสาหกรรมบางประเภท

    ทั้งนี้ มาเลเซียมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในแง่ของคุณภาพ ราคา และเสถียรภาพในการจัดหาสินค้า ในสถานการณ์เช่นนี้นักลงทุนไทยบางรายอาจเลือกถอนตัวออกจากตลาดกัมพูชา ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมาเลเซียเข้าสู่ตลาด แม้จะมีความขัดแย้งแต่ปัจจัยพื้นฐานตลาดของกัมพูชายังคงแข็งแกร่ง และมีศักยภาพเติบโตแนวโน้มดี ผู้ประกอบการมาเลเซียที่มีห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง และความสามารถในการตอบสนองที่รวดเร็ว อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะคว้าโอกาสนี้ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดระดับภูมิภาค

    ก่อนหน้านี้ คณะผู้แทนการค้าของมาเลเซียที่นำโดย MCBA และภาคเอกชน เดินทางมาเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 26-29 มิ.ย. เพื่อส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชา อำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจในกัมพูชาได้สำรวจโอกาสการลงทุนในมาเลเซีย และสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ พร้อมกันนี้กัมพูชายังสนับสนุนให้นักลงทุนมาเลเซียพิจารณาตั้งโรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ของกัมพูชา หรือจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะ

    ในปี 2567 การค้าทวิภาคีกัมพูชา-มาเลเซียมีมูลค่า 3,600 ล้านริงกิต (860 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) น้อยกว่าประเทศไทย ที่มีมูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท (5,396 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยไทยส่งออก 141,846 ล้านบาท นำเข้า 32,684 ล้านบาท และเวียดนามที่มีมูลค่าการค้ารวม 10,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับสามรองจากจีนและสหรัฐอเมริกา ล่าสุด เวียดนามและกัมพูชาลงนามข้อตกลงใหม่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า ให้แรงจูงใจทางภาษีสำหรับสินค้าสำคัญหลายรายการ มากกว่าความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ATIGA)

    ก่อนหน้านี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เตรียมหารือทางการลาวเพื่อหาทางลดค่าใช้จ่าย หลังผู้ประกอบการไทยเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าทางประเทศลาวก่อนไปยังกัมพูชาหลังด่านไทย-กัมพูชาปิดลง

    #Newskit
    สินค้ามาเลเซียรอเสียบ บุกตลาดกัมพูชาแทนที่สินค้าไทย เหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยกับชาวเขมร ถึงขั้นบอยคอตสินค้าไทยและธุรกิจไทยในกัมพูชา กลายเป็นโอกาสทองของชาติอื่นเฉกเช่นมาเลเซีย นายริคกี้ ยอว์ ประธานสมาคมธุรกิจมาเลเซีย-กัมพูชา (MCBA) เรียกร้องให้ภาคเอกชนมาเลเซียแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ในกัมพูชา ด้วยการประเมินตลาดกัมพูชาโดยเร็ว และเสนอสินค้าทางเลือกเชิงรุกเพื่อเติมช่องว่างในตลาด หลังสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยหยุดชะงัก เพราะได้รับผลกระทบจากการขนส่ง ทำให้กัมพูชากำลังประสบปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์อาหาร และวัตถุดิบอุตสาหกรรมบางประเภท ทั้งนี้ มาเลเซียมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในแง่ของคุณภาพ ราคา และเสถียรภาพในการจัดหาสินค้า ในสถานการณ์เช่นนี้นักลงทุนไทยบางรายอาจเลือกถอนตัวออกจากตลาดกัมพูชา ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการมาเลเซียเข้าสู่ตลาด แม้จะมีความขัดแย้งแต่ปัจจัยพื้นฐานตลาดของกัมพูชายังคงแข็งแกร่ง และมีศักยภาพเติบโตแนวโน้มดี ผู้ประกอบการมาเลเซียที่มีห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง และความสามารถในการตอบสนองที่รวดเร็ว อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะคว้าโอกาสนี้ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดระดับภูมิภาค ก่อนหน้านี้ คณะผู้แทนการค้าของมาเลเซียที่นำโดย MCBA และภาคเอกชน เดินทางมาเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 26-29 มิ.ย. เพื่อส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชา อำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจในกัมพูชาได้สำรวจโอกาสการลงทุนในมาเลเซีย และสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ พร้อมกันนี้กัมพูชายังสนับสนุนให้นักลงทุนมาเลเซียพิจารณาตั้งโรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ของกัมพูชา หรือจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะ ในปี 2567 การค้าทวิภาคีกัมพูชา-มาเลเซียมีมูลค่า 3,600 ล้านริงกิต (860 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) น้อยกว่าประเทศไทย ที่มีมูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท (5,396 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยไทยส่งออก 141,846 ล้านบาท นำเข้า 32,684 ล้านบาท และเวียดนามที่มีมูลค่าการค้ารวม 10,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับสามรองจากจีนและสหรัฐอเมริกา ล่าสุด เวียดนามและกัมพูชาลงนามข้อตกลงใหม่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า ให้แรงจูงใจทางภาษีสำหรับสินค้าสำคัญหลายรายการ มากกว่าความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ATIGA) ก่อนหน้านี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เตรียมหารือทางการลาวเพื่อหาทางลดค่าใช้จ่าย หลังผู้ประกอบการไทยเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าทางประเทศลาวก่อนไปยังกัมพูชาหลังด่านไทย-กัมพูชาปิดลง #Newskit
    0 Comments 1 Shares 362 Views 0 Reviews
  • วีรกรรมเทพๆยังมีอีกเยอะ,กูรูออกมาแฉมากๆเลย,แบบนำเข้าโรญิงยา นำเข้ามุสลิมก่อการร้ายต่างแดนอีก,แผน20ปียึดประเทศโดยมุสลิมต่างแดนแทนมุสลิมไทยมาตุภูมิเดิมออกลูกออกหลานกลืนกินเงียบๆผ่านสถานบันการศึกษาทั่วประเทศ,มุสลิมไทยเราแต่เดิมอยู่ร่วมกันสงบสุข แต่มุสลิมโดยciaนำเข้ากลับก่อปัญหามากมายหมายยึดประเทศไทยของจริงแทรกแซงแทรกซึมถึงระดับนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ว่าเป็นคณะหมู่มากร่วมสั่งการหรืออ้างเนียนๆว่าที่ปรึกษาล่ะ,วาดะไปทั่วเลอะเทอะทั่วประเทศขยายสถานี้ก็บสะสมอาวุธก็ด้วย,แบบเรียนเด็กๆไทยผสมตีเนียนแทรกมุสลิมไปด้วย,เอามันส์เด็ก6-7ขวบไม่มีความผิด,ละทิ้งศาสนามุสลิมคือละทิ้งพระเจ้ามันตามไล่ฆ่าไม่บาป,คนต่างศาสนาฆ่าทิ้งไม่บาปต่อพระเจ้ามัน.,ยุครุ่งเรืองของมุสลิมciaก็ยุคท่านนี้ล่ะ จนซาอุฯชอบใจได้สัมปทานบ่อน้ำมันในอ่าวไทยไปสดๆร้อนๆแถมโปรโมตว่าซาอุฯจะลงทุนสร้างคลังแสงน้ำมันขนาดใหญ่ประจำอาเชียนที่ภาคใต้ตามน้ำยุทธศาสตร์แลนด์บริดจ์หรือโหนกระแสจุดแลนด์บริดจ์ในยุคลุงนี้เอง นัยยะไม่ทิ้งคลองคอดกระด้วย,ส่งต่อให้นายกฯไม่ซื่อสัตย์ถวายพานยกสิทธิพื้นที่ทำกินบริเวณนี้ให้blackrockในนามนักลงทุน1ล้านล้านเหรียญหรือบาทโน้นอเมริกามรึงแดกเต็มที่เลยก็ว่า,แดกบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศเสร็จแดกแลนด์บริดจ์คลองคอดกระด้วยในอนาคต,มายึดพังงาคุมงานสร้างคุ้มครองพื้นที่ทำแดกทำตังกูเต็มที่กูอเมริกาจะปล้นที่ทำกินไทยมรึงจะทำอะไรกูอเมริกาตัดทางสายไหมจีนด้วย ตัดทางขนส่งทางเรือสาระพัดของจีนด้วยโดยเฉพาะเรื่องพลังงานของจีนในรูปแบบต่างๆเช่นน้ำมัน.

    ยุคหน้ากากปีศาจอสูรอำมหิตฉีดตายสารพิษเข้าคนไทยคนละอย่างน้อย2เข็มขึ้นไปสำเร็จก็ยุคลุงนะจ๊ะ เตรียมตัวลดประชากรไปพร้อมๆกันค่ะ,มีโรคมีภัยเต็มประเทศไทย,คือสรุปเหี้ยพวกนี้เดอะแก๊งทำลายชาติไทยเหมือนกัน,พระมหากษัตริย์ไทยเราคือหนทางเดียว,ทหารพระราชาเราคือหนทางเดียว,ทหารไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจริงๆ,สู่ยุคการกวาดล้างกำจัดทิ้งเดอะแก๊งลักษณะนี้กันอย่างจริงจัง.



    https://youtube.com/shorts/6bFdfHVYvjY?si=zm809ttM94hCr16J
    วีรกรรมเทพๆยังมีอีกเยอะ,กูรูออกมาแฉมากๆเลย,แบบนำเข้าโรญิงยา นำเข้ามุสลิมก่อการร้ายต่างแดนอีก,แผน20ปียึดประเทศโดยมุสลิมต่างแดนแทนมุสลิมไทยมาตุภูมิเดิมออกลูกออกหลานกลืนกินเงียบๆผ่านสถานบันการศึกษาทั่วประเทศ,มุสลิมไทยเราแต่เดิมอยู่ร่วมกันสงบสุข แต่มุสลิมโดยciaนำเข้ากลับก่อปัญหามากมายหมายยึดประเทศไทยของจริงแทรกแซงแทรกซึมถึงระดับนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ว่าเป็นคณะหมู่มากร่วมสั่งการหรืออ้างเนียนๆว่าที่ปรึกษาล่ะ,วาดะไปทั่วเลอะเทอะทั่วประเทศขยายสถานี้ก็บสะสมอาวุธก็ด้วย,แบบเรียนเด็กๆไทยผสมตีเนียนแทรกมุสลิมไปด้วย,เอามันส์เด็ก6-7ขวบไม่มีความผิด,ละทิ้งศาสนามุสลิมคือละทิ้งพระเจ้ามันตามไล่ฆ่าไม่บาป,คนต่างศาสนาฆ่าทิ้งไม่บาปต่อพระเจ้ามัน.,ยุครุ่งเรืองของมุสลิมciaก็ยุคท่านนี้ล่ะ จนซาอุฯชอบใจได้สัมปทานบ่อน้ำมันในอ่าวไทยไปสดๆร้อนๆแถมโปรโมตว่าซาอุฯจะลงทุนสร้างคลังแสงน้ำมันขนาดใหญ่ประจำอาเชียนที่ภาคใต้ตามน้ำยุทธศาสตร์แลนด์บริดจ์หรือโหนกระแสจุดแลนด์บริดจ์ในยุคลุงนี้เอง นัยยะไม่ทิ้งคลองคอดกระด้วย,ส่งต่อให้นายกฯไม่ซื่อสัตย์ถวายพานยกสิทธิพื้นที่ทำกินบริเวณนี้ให้blackrockในนามนักลงทุน1ล้านล้านเหรียญหรือบาทโน้นอเมริกามรึงแดกเต็มที่เลยก็ว่า,แดกบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศเสร็จแดกแลนด์บริดจ์คลองคอดกระด้วยในอนาคต,มายึดพังงาคุมงานสร้างคุ้มครองพื้นที่ทำแดกทำตังกูเต็มที่กูอเมริกาจะปล้นที่ทำกินไทยมรึงจะทำอะไรกูอเมริกาตัดทางสายไหมจีนด้วย ตัดทางขนส่งทางเรือสาระพัดของจีนด้วยโดยเฉพาะเรื่องพลังงานของจีนในรูปแบบต่างๆเช่นน้ำมัน. ยุคหน้ากากปีศาจอสูรอำมหิตฉีดตายสารพิษเข้าคนไทยคนละอย่างน้อย2เข็มขึ้นไปสำเร็จก็ยุคลุงนะจ๊ะ เตรียมตัวลดประชากรไปพร้อมๆกันค่ะ,มีโรคมีภัยเต็มประเทศไทย,คือสรุปเหี้ยพวกนี้เดอะแก๊งทำลายชาติไทยเหมือนกัน,พระมหากษัตริย์ไทยเราคือหนทางเดียว,ทหารพระราชาเราคือหนทางเดียว,ทหารไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจริงๆ,สู่ยุคการกวาดล้างกำจัดทิ้งเดอะแก๊งลักษณะนี้กันอย่างจริงจัง. https://youtube.com/shorts/6bFdfHVYvjY?si=zm809ttM94hCr16J
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • แม่ทัพภาคที่1 กำลังงานเข้าของจริงหากเป็นปฏิปักษ์เองต่อดินแดนอธิปไตยชาติไทยตน,แม่ทัพภาคที่2 แสดงฝีมือ แบบมือถึงเต็มที่แล้ว อย่างสุดกำลังภาค2,หากแม่ทัพภาค1 สถานะตรงข้าม อันตรายมาก ส่อเจตนาให้ประเทศชาติตนสูญเสียดินแดนไทยตาม1:50,000เลย,ท่านต้องแสดงความชัดเจนออกมาจริงๆ,ภาค1ด้านตะวันออก สำคัญมากหากสมยอมหรือสงวนท่าทีต่อศัตรูภัยคุกคามอธิปไตยตน ท่านงานงอกแน่นอน,วงการทหารมันบัดสบจริงๆนะ,ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่เช่นกันด้วย,เรา..จะไม่สามารถไปถึงกองทัพระดับกองทัพอวกาศสากลได้เลยถ้าเป็นแบบนี้,เรา..ต้องตั้งเป้าหมายว่าเรา..ประเทศไทยจะไม่แพ้ชาติใดในโลกในการเป็นผู้นำด้านกองทัพยานบินอวกาศระดับโลกในอนาคต,นี้ลงคลองชัดๆ ภาค2เชิดชูเกียรติทหารไทยทั้งประเทศ ภาค1ยึดคืนพื้นที่จากเขมร ไม่สำเร็จจริงอย่างคุณวีระว่ามานี้ ย่อมอนาถบัดสบมาก,หนองจานและอื่นๆยังไม่สามารถยึดคืนได้จะมีแม่ทัพภาค1ไปทำไม.,เสมือนเขมรสามารถบุกรุกรานเข้ามาโจมตีฝั่งไทยอย่างง่ายสบายได้นะสิ,เขมรขนกำลังมากมายไปเต็มแนวรบภูมิเขือ แสดงว่าแนวรบภาค1ย่อมบุกยึดคืนได้ง่ายดายกว่าอีสานใต้อีก หากทำไม่ได้แสดงว่าสมยอมเขมรหวาดกลัวเขมร กลัวกระทบธุรกิจเถื่อนๆในฝั่งตรงข้ามหากปะทะขึ้นมา,จึงพยายามให้เงียบสงบที่สุดไร้เสียงปืนเพื่อไม่ไปรบกวนนักลงทุนฝั่งเขมร รบกวนการนอนการเล่นคาสิโนทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเขมรหากยิงกันเดี๋ยวถูกกดดันจากประชาชนฝั่งไทยให้ทิ้งระเบิดใส่บ่อนคาสิโนเขมร,แหล่งหม้อข้าวหม้อเงินฮุนเซน ห้ามมีการยิงเด็ดขาด ยิงๆก็ยิงพอเป็นพิธีบนเกาะแทน ,นัยยะนี้อันตรายมาก,นายพลทรยศมีมากเกินไปจริงๆ,รัฐบาลใหม่ต้องบริหารงานและจัดสรรงบประมาณใหม่ดูแลภาคสายทหารทั่วไทยอย่างจริงใจจริงจัง จริงๆชั่วเลวกำจัดออก ดีงามเชิดชูเกียรติปกป้องค้ำไว้,นวัตกรรมและพัฒนาการบุคลากรทหารต้องยืนหนึ่งด้วย,ทหารที่เสียชีวิต พิการบาดเจ็บ ครอบครัวลูกเมียทหารพ่อแม่ทหารที่เสียชีวิตคือภาวะของรัฐบาลตลอดไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่สมัย อัตราค่าครองชีพจริงต้องผันแปรตรงด้วย,มิใช่ได้100บาทในอดีต30-40ปี ยังจ่าย100บาทอยู่เลี้ยงชีพทหารพิการแบบนั่น,และกำจัดทหารนอกแถวนายพลเลวผู้บังคับบัญชาชั่วแบบปล่อยเขมรรุกรานลุกล้ำดินแดนไทยยึดครองทำกิจกรรมประจำชีพบนแผ่นดินไทยกว่าสิบปีแบบนี้ใช้ไม่ได้,จนความจริงเปิดเผยชัดจากการยึดพื้นที่คืนของแม่ทัพภาค2และทหารทุกๆนายที่ร่วมสมรภูมิพื้นที่สงครามนั้น.




    https://youtube.com/live/Q4x2C8hrkEA?si=C7UJUlRnfYlneq1q
    แม่ทัพภาคที่1 กำลังงานเข้าของจริงหากเป็นปฏิปักษ์เองต่อดินแดนอธิปไตยชาติไทยตน,แม่ทัพภาคที่2 แสดงฝีมือ แบบมือถึงเต็มที่แล้ว อย่างสุดกำลังภาค2,หากแม่ทัพภาค1 สถานะตรงข้าม อันตรายมาก ส่อเจตนาให้ประเทศชาติตนสูญเสียดินแดนไทยตาม1:50,000เลย,ท่านต้องแสดงความชัดเจนออกมาจริงๆ,ภาค1ด้านตะวันออก สำคัญมากหากสมยอมหรือสงวนท่าทีต่อศัตรูภัยคุกคามอธิปไตยตน ท่านงานงอกแน่นอน,วงการทหารมันบัดสบจริงๆนะ,ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่เช่นกันด้วย,เรา..จะไม่สามารถไปถึงกองทัพระดับกองทัพอวกาศสากลได้เลยถ้าเป็นแบบนี้,เรา..ต้องตั้งเป้าหมายว่าเรา..ประเทศไทยจะไม่แพ้ชาติใดในโลกในการเป็นผู้นำด้านกองทัพยานบินอวกาศระดับโลกในอนาคต,นี้ลงคลองชัดๆ ภาค2เชิดชูเกียรติทหารไทยทั้งประเทศ ภาค1ยึดคืนพื้นที่จากเขมร ไม่สำเร็จจริงอย่างคุณวีระว่ามานี้ ย่อมอนาถบัดสบมาก,หนองจานและอื่นๆยังไม่สามารถยึดคืนได้จะมีแม่ทัพภาค1ไปทำไม.,เสมือนเขมรสามารถบุกรุกรานเข้ามาโจมตีฝั่งไทยอย่างง่ายสบายได้นะสิ,เขมรขนกำลังมากมายไปเต็มแนวรบภูมิเขือ แสดงว่าแนวรบภาค1ย่อมบุกยึดคืนได้ง่ายดายกว่าอีสานใต้อีก หากทำไม่ได้แสดงว่าสมยอมเขมรหวาดกลัวเขมร กลัวกระทบธุรกิจเถื่อนๆในฝั่งตรงข้ามหากปะทะขึ้นมา,จึงพยายามให้เงียบสงบที่สุดไร้เสียงปืนเพื่อไม่ไปรบกวนนักลงทุนฝั่งเขมร รบกวนการนอนการเล่นคาสิโนทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเขมรหากยิงกันเดี๋ยวถูกกดดันจากประชาชนฝั่งไทยให้ทิ้งระเบิดใส่บ่อนคาสิโนเขมร,แหล่งหม้อข้าวหม้อเงินฮุนเซน ห้ามมีการยิงเด็ดขาด ยิงๆก็ยิงพอเป็นพิธีบนเกาะแทน ,นัยยะนี้อันตรายมาก,นายพลทรยศมีมากเกินไปจริงๆ,รัฐบาลใหม่ต้องบริหารงานและจัดสรรงบประมาณใหม่ดูแลภาคสายทหารทั่วไทยอย่างจริงใจจริงจัง จริงๆชั่วเลวกำจัดออก ดีงามเชิดชูเกียรติปกป้องค้ำไว้,นวัตกรรมและพัฒนาการบุคลากรทหารต้องยืนหนึ่งด้วย,ทหารที่เสียชีวิต พิการบาดเจ็บ ครอบครัวลูกเมียทหารพ่อแม่ทหารที่เสียชีวิตคือภาวะของรัฐบาลตลอดไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่สมัย อัตราค่าครองชีพจริงต้องผันแปรตรงด้วย,มิใช่ได้100บาทในอดีต30-40ปี ยังจ่าย100บาทอยู่เลี้ยงชีพทหารพิการแบบนั่น,และกำจัดทหารนอกแถวนายพลเลวผู้บังคับบัญชาชั่วแบบปล่อยเขมรรุกรานลุกล้ำดินแดนไทยยึดครองทำกิจกรรมประจำชีพบนแผ่นดินไทยกว่าสิบปีแบบนี้ใช้ไม่ได้,จนความจริงเปิดเผยชัดจากการยึดพื้นที่คืนของแม่ทัพภาค2และทหารทุกๆนายที่ร่วมสมรภูมิพื้นที่สงครามนั้น. https://youtube.com/live/Q4x2C8hrkEA?si=C7UJUlRnfYlneq1q
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: Do Kwon เตรียมรับสารภาพในคดีฉ้อโกงมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์

    Do Kwon ผู้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs และผู้พัฒนาเหรียญ TerraUSD (UST) และ Luna ซึ่งเคยเป็นดาวรุ่งในโลกคริปโต กำลังจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเขาเตรียมรับสารภาพในคดีฉ้อโกงที่เกิดจากการล่มสลายของระบบ stablecoin ที่เขาสร้างขึ้นในปี 2022 ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนทั่วโลกกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์

    ก่อนหน้านี้ Kwon เคยปฏิเสธข้อกล่าวหา 9 กระทง รวมถึงการฉ้อโกงหลักทรัพย์ ฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์ ฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสาร และสมคบคิดฟอกเงิน แต่ล่าสุดศาลแขวงแมนฮัตตันได้รับแจ้งว่าเขาอาจเปลี่ยนคำให้การเป็น “รับสารภาพ” โดยมีการนัดไต่สวนในวันที่ 12 สิงหาคม 2025

    การรับสารภาพครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการพิจารณาคดีที่อาจนำไปสู่โทษจำคุกสูงสุดถึง 100 ปี และอาจรวมถึงการยอมรับความผิดอย่างเป็นทางการต่อหน้าศาล

    เบื้องหลังของคดีนี้คือการล่มสลายของ TerraUSD ซึ่งเป็น stablecoin แบบอัลกอริธึมที่ไม่ได้มีสินทรัพย์ค้ำประกันจริง ทำให้ระบบพังทลายเมื่อเกิดความผันผวน ส่งผลให้ Luna ซึ่งเป็นเหรียญคู่ขนานสูญมูลค่าอย่างรวดเร็ว และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

    Kwon ถูกจับในมอนเตเนโกรเมื่อปี 2023 ขณะพยายามเดินทางด้วยหนังสือเดินทางปลอม และถูกส่งตัวกลับมายังสหรัฐฯ เพื่อรับการพิจารณาคดี

    Do Kwon เตรียมเปลี่ยนคำให้การเป็น “รับสารภาพ” ในคดีฉ้อโกง
    ศาลนัดไต่สวนวันที่ 12 สิงหาคม 2025 ที่แมนฮัตตัน

    เขาเคยปฏิเสธข้อกล่าวหา 9 กระทง รวมถึงฉ้อโกงและฟอกเงิน
    หากถูกตัดสินผิดทุกข้อหา อาจถูกจำคุกสูงสุด 100 ปี

    คดีเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของ TerraUSD และ Luna ในปี 2022
    สร้างความเสียหายกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์

    TerraUSD เป็น stablecoin แบบอัลกอริธึมที่ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน
    ระบบพังเมื่อเกิดความผันผวน ทำให้ Luna สูญมูลค่า

    Kwon ถูกจับในมอนเตเนโกรและส่งตัวกลับสหรัฐฯ
    หลังพยายามเดินทางด้วยหนังสือเดินทางปลอม

    Terraform และ Kwon ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางแพ่งในปี 2024
    ต้องจ่ายค่าปรับและชดใช้กว่า 4.47 พันล้านดอลลาร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/12/crypto-exec-do-kwon-charged-with-fraud-expected-to-plead-guilty-
    💸⚖️ เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: Do Kwon เตรียมรับสารภาพในคดีฉ้อโกงมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ Do Kwon ผู้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs และผู้พัฒนาเหรียญ TerraUSD (UST) และ Luna ซึ่งเคยเป็นดาวรุ่งในโลกคริปโต กำลังจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเขาเตรียมรับสารภาพในคดีฉ้อโกงที่เกิดจากการล่มสลายของระบบ stablecoin ที่เขาสร้างขึ้นในปี 2022 ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนทั่วโลกกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ Kwon เคยปฏิเสธข้อกล่าวหา 9 กระทง รวมถึงการฉ้อโกงหลักทรัพย์ ฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์ ฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสาร และสมคบคิดฟอกเงิน แต่ล่าสุดศาลแขวงแมนฮัตตันได้รับแจ้งว่าเขาอาจเปลี่ยนคำให้การเป็น “รับสารภาพ” โดยมีการนัดไต่สวนในวันที่ 12 สิงหาคม 2025 การรับสารภาพครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการพิจารณาคดีที่อาจนำไปสู่โทษจำคุกสูงสุดถึง 100 ปี และอาจรวมถึงการยอมรับความผิดอย่างเป็นทางการต่อหน้าศาล เบื้องหลังของคดีนี้คือการล่มสลายของ TerraUSD ซึ่งเป็น stablecoin แบบอัลกอริธึมที่ไม่ได้มีสินทรัพย์ค้ำประกันจริง ทำให้ระบบพังทลายเมื่อเกิดความผันผวน ส่งผลให้ Luna ซึ่งเป็นเหรียญคู่ขนานสูญมูลค่าอย่างรวดเร็ว และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง Kwon ถูกจับในมอนเตเนโกรเมื่อปี 2023 ขณะพยายามเดินทางด้วยหนังสือเดินทางปลอม และถูกส่งตัวกลับมายังสหรัฐฯ เพื่อรับการพิจารณาคดี ✅ Do Kwon เตรียมเปลี่ยนคำให้การเป็น “รับสารภาพ” ในคดีฉ้อโกง ➡️ ศาลนัดไต่สวนวันที่ 12 สิงหาคม 2025 ที่แมนฮัตตัน ✅ เขาเคยปฏิเสธข้อกล่าวหา 9 กระทง รวมถึงฉ้อโกงและฟอกเงิน ➡️ หากถูกตัดสินผิดทุกข้อหา อาจถูกจำคุกสูงสุด 100 ปี ✅ คดีเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของ TerraUSD และ Luna ในปี 2022 ➡️ สร้างความเสียหายกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ ✅ TerraUSD เป็น stablecoin แบบอัลกอริธึมที่ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ➡️ ระบบพังเมื่อเกิดความผันผวน ทำให้ Luna สูญมูลค่า ✅ Kwon ถูกจับในมอนเตเนโกรและส่งตัวกลับสหรัฐฯ ➡️ หลังพยายามเดินทางด้วยหนังสือเดินทางปลอม ✅ Terraform และ Kwon ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางแพ่งในปี 2024 ➡️ ต้องจ่ายค่าปรับและชดใช้กว่า 4.47 พันล้านดอลลาร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/12/crypto-exec-do-kwon-charged-with-fraud-expected-to-plead-guilty-
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Crypto exec Do Kwon, charged with fraud, expected to plead guilty
    NEW YORK (Reuters) -Do Kwon, the South Korean cryptocurrency entrepreneur facing U.S. fraud charges over two digital currencies that lost an estimated $40 billion in 2022, is expected to enter a guilty plea, court records showed on Monday.
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI

    หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ

    Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference

    นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ

    อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้

    Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler
    อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่

    CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน
    ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด

    Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI
    ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร

    รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028
    ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา

    Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ
    เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก

    ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้
    ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI

    ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI
    เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference

    Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว
    ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน

    Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018
    แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน

    Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026
    เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    🧠🏭 เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้ ✅ Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler ➡️ อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่ ✅ CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด ✅ Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI ➡️ ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร ✅ รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ➡️ ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา ✅ Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ ➡️ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก ✅ ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้ ➡️ ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI ➡️ เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference ✅ Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว ➡️ ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน ✅ Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018 ➡️ แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน ✅ Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026 ➡️ เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • วิถีการปกครองของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่จริงๆกฎหมายมากมายที่ถูกเขียนอย่างอยุติธรรมกดขี่ประชาชนต้องฉีกทิ้งหมดทันทีแล้วเขียนใหม่ในวิถีปกครองแห่งคนดีมิใช่คนชั่วเขียนแบบนักการเมืองปัจจุบันเขียนนี้ที่สมคบคิดกับต่างชาติเลวชั่วเขียนทำลายทำร้ายประเทศไทยคนไทยเสียมากกว่า เด่นชัดคือกฎหมายปล้นบ่อน้ำมันเรา mou43/44ที่เห็นใจชัดๆที่กอด1:200,000ไว้.
    ..ยุคสมัยใหม่อันตรายมาก aiมาเกี่ยวในทุกๆชีวิตคนไทยแล้ว,นายกฯผู้นำต้องไม่กากขี้ขลาดกระจอกไร้ฝีมือ,มีคุณสมบัติซื่อสัตย์ต่อชาติไทยตนและประชาชนตนเอง,เต็มที่ในการดูแลประชาชนพัฒนาคนไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกและคือประเทศทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งทางดีและทางชั่วเลวแบบอเมริกาที่กระทำคุกคามรุกรานหมายอยากได้พังงาเราแบบนั้น.แล้วไร้ฝีมือตั้งรับและรุก ตลอดสมยอมเขมรสาระพัดด้วย เปิดมุกปูทางเขมรให้โอกาสเขมร จัดให้เขมรตลอดที่อังเคิลต้องการ.
    ..ไทยต้องพัฒนาคนพัฒนาตนสามารถผลิตอาวุธป้องกันตนเองได้แล้ว,ตลอดต้องชัดเจนว่าใครคือมิตรคือศัตรูจริงๆ สามัคคีกันจริงทั้งภายในไทยเราเองมิใช่ให้นักการเมืองสร้างความแตกแยกภายในแบบนี้และอันตรายต่ออธิปไตยตนเองด้วย,ระบบปกครองแบบสส.สว.ศาลตุลาการเราและระบบราชการเรามีปัญหาพร้อมสอบตกจริงๆ,ปัญหาทั้งหมดเกิดจากคนภาคการเมืองและคนภาคราชการไม่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินไทยตนและประชาชนเราทั้งประเทศ.
    ..ระบบปกครองเราล้มเหลวด้านไม่เด็ดขาดประหารชีวิตนักการเมืองที่เป็นภัยต่อประเทศชาติจริงและคนของราชการด้วยเช่นกันที่ใฝ่ไปทางชั่วเลวร่วมกับนักการเมืองร่วมกับพ่อค้านักลงทุนนักธุรกิจกิจการไม่ซื่อต่างๆด้วย.



    https://youtube.com/watch?v=5ElNQsZt6tk&si=Rvjl3gnzriiTzsAB
    วิถีการปกครองของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่จริงๆกฎหมายมากมายที่ถูกเขียนอย่างอยุติธรรมกดขี่ประชาชนต้องฉีกทิ้งหมดทันทีแล้วเขียนใหม่ในวิถีปกครองแห่งคนดีมิใช่คนชั่วเขียนแบบนักการเมืองปัจจุบันเขียนนี้ที่สมคบคิดกับต่างชาติเลวชั่วเขียนทำลายทำร้ายประเทศไทยคนไทยเสียมากกว่า เด่นชัดคือกฎหมายปล้นบ่อน้ำมันเรา mou43/44ที่เห็นใจชัดๆที่กอด1:200,000ไว้. ..ยุคสมัยใหม่อันตรายมาก aiมาเกี่ยวในทุกๆชีวิตคนไทยแล้ว,นายกฯผู้นำต้องไม่กากขี้ขลาดกระจอกไร้ฝีมือ,มีคุณสมบัติซื่อสัตย์ต่อชาติไทยตนและประชาชนตนเอง,เต็มที่ในการดูแลประชาชนพัฒนาคนไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกและคือประเทศทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งทางดีและทางชั่วเลวแบบอเมริกาที่กระทำคุกคามรุกรานหมายอยากได้พังงาเราแบบนั้น.แล้วไร้ฝีมือตั้งรับและรุก ตลอดสมยอมเขมรสาระพัดด้วย เปิดมุกปูทางเขมรให้โอกาสเขมร จัดให้เขมรตลอดที่อังเคิลต้องการ. ..ไทยต้องพัฒนาคนพัฒนาตนสามารถผลิตอาวุธป้องกันตนเองได้แล้ว,ตลอดต้องชัดเจนว่าใครคือมิตรคือศัตรูจริงๆ สามัคคีกันจริงทั้งภายในไทยเราเองมิใช่ให้นักการเมืองสร้างความแตกแยกภายในแบบนี้และอันตรายต่ออธิปไตยตนเองด้วย,ระบบปกครองแบบสส.สว.ศาลตุลาการเราและระบบราชการเรามีปัญหาพร้อมสอบตกจริงๆ,ปัญหาทั้งหมดเกิดจากคนภาคการเมืองและคนภาคราชการไม่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินไทยตนและประชาชนเราทั้งประเทศ. ..ระบบปกครองเราล้มเหลวด้านไม่เด็ดขาดประหารชีวิตนักการเมืองที่เป็นภัยต่อประเทศชาติจริงและคนของราชการด้วยเช่นกันที่ใฝ่ไปทางชั่วเลวร่วมกับนักการเมืองร่วมกับพ่อค้านักลงทุนนักธุรกิจกิจการไม่ซื่อต่างๆด้วย. https://youtube.com/watch?v=5ElNQsZt6tk&si=Rvjl3gnzriiTzsAB
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • เรื่องนี้ลุงเห็นด้วยกับพี่ตั๊มป์

    เรื่องเล่าจากโลกการเมืองและเทคโนโลยี: เมื่อทรัมป์เรียกร้องให้ซีอีโอ Intel ลาออก เพราะ “ขัดแย้งผลประโยชน์” กับจีน

    ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ของ Intel ลาออกทันที โดยกล่าวว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์อย่างรุนแรง” เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง รวมถึงบางแห่งที่มีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน

    คำเรียกร้องนี้เกิดขึ้นหลังจากวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการบริหารของ Intel เพื่อสอบถามว่า Tan ได้ขายหุ้นหรือถอนตัวจากบริษัทจีนที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานในสหรัฐ

    Tan ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 เคยเป็นซีอีโอของ Cadence Design Systems ซึ่งเพิ่งถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออก โดยขายเทคโนโลยีให้กับมหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์ว่า “บริษัทและ Tan มุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐ” และยังคงลงทุนในโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น โรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์

    ทรัมป์เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ลาออกทันที
    ระบุว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์” จากความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีน

    วุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายสอบถามคณะกรรมการ Intel
    ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนของ Tan ในบริษัทจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพ

    Cadence Design Systems ซึ่ง Tan เคยเป็นซีอีโอ ถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์
    จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออกไปยังมหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์
    เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐ เช่น ในรัฐโอไฮโอและแอริโซนา

    Intel ออกแถลงการณ์ยืนยันความมุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติ
    ระบุว่า Tan และบริษัทมีเป้าหมายสอดคล้องกับนโยบาย America First

    หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์
    สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนในผู้นำองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/trump-calls-for-intel-ceo-to-resign-claims-lip-bu-tan-is-conflicted
    เรื่องนี้ลุงเห็นด้วยกับพี่ตั๊มป์ 🇺🇸💼 เรื่องเล่าจากโลกการเมืองและเทคโนโลยี: เมื่อทรัมป์เรียกร้องให้ซีอีโอ Intel ลาออก เพราะ “ขัดแย้งผลประโยชน์” กับจีน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ของ Intel ลาออกทันที โดยกล่าวว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์อย่างรุนแรง” เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง รวมถึงบางแห่งที่มีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน คำเรียกร้องนี้เกิดขึ้นหลังจากวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการบริหารของ Intel เพื่อสอบถามว่า Tan ได้ขายหุ้นหรือถอนตัวจากบริษัทจีนที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานในสหรัฐ Tan ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 เคยเป็นซีอีโอของ Cadence Design Systems ซึ่งเพิ่งถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออก โดยขายเทคโนโลยีให้กับมหาวิทยาลัยทหารของจีน Intel ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์ว่า “บริษัทและ Tan มุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐ” และยังคงลงทุนในโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น โรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์ ✅ ทรัมป์เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ลาออกทันที ➡️ ระบุว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์” จากความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีน ✅ วุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายสอบถามคณะกรรมการ Intel ➡️ ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนของ Tan ในบริษัทจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพ ✅ Cadence Design Systems ซึ่ง Tan เคยเป็นซีอีโอ ถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์ ➡️ จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออกไปยังมหาวิทยาลัยทหารของจีน ✅ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐ เช่น ในรัฐโอไฮโอและแอริโซนา ✅ Intel ออกแถลงการณ์ยืนยันความมุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติ ➡️ ระบุว่า Tan และบริษัทมีเป้าหมายสอดคล้องกับนโยบาย America First ✅ หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์ ➡️ สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนในผู้นำองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/trump-calls-for-intel-ceo-to-resign-claims-lip-bu-tan-is-conflicted
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Trump calls for Intel CEO to resign — claims Lip-Bu Tan is 'conflicted' (Update)
    The Truth Social post comes as a senator scrutinizes Tan's ties to Chinese tech firms.
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: Oxmiq Labs กับภารกิจพลิกโฉม GPU ด้วย RISC-V และซอฟต์แวร์ที่ไม่ผูกกับฮาร์ดแวร์

    Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ Intel, AMD และ Apple ได้เปิดตัวสตาร์ทอัพใหม่ชื่อ Oxmiq Labs ที่ Silicon Valley โดยมีเป้าหมายชัดเจน: สร้าง GPU ที่ไม่จำเป็นต้องผลิตฮาร์ดแวร์เอง แต่เน้นการพัฒนา IP และซอฟต์แวร์ที่สามารถนำไปใช้กับฮาร์ดแวร์ใดก็ได้

    Oxmiq ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V เป็นแกนหลักของ GPU IP ที่ชื่อว่า OxCore ซึ่งรวม scalar, vector และ tensor compute engines เข้าไว้ในระบบ modular ที่สามารถปรับแต่งได้ตาม workload ตั้งแต่ edge device ไปจนถึง data center

    นอกจากฮาร์ดแวร์ IP แล้ว Oxmiq ยังมีซอฟต์แวร์ที่ทรงพลัง เช่น OXCapsule ที่ช่วยจัดการ workload และทำให้แอปพลิเคชันสามารถรันบน CPU, GPU หรือ accelerator โดยไม่ต้องแก้โค้ด และ OXPython ที่สามารถรันโค้ด Python CUDA บนฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ Nvidia ได้ทันที

    Oxmiq ยังร่วมมือกับ Tenstorrent เพื่อเปิดตัว OXPython บนแพลตฟอร์ม Wormhole และ Blackhole และได้รับเงินลงทุนเบื้องต้น $20 ล้านจาก MediaTek และนักลงทุนรายอื่น โดยไม่ต้องพึ่งการผลิตชิปจริงหรือใช้เครื่องมือ EDA ที่มีต้นทุนสูง

    Oxmiq Labs ก่อตั้งโดย Raja Koduri เพื่อพลิกโฉม GPU ด้วย RISC-V
    เน้นการพัฒนา IP และซอฟต์แวร์ ไม่ผลิตฮาร์ดแวร์เอง

    OxCore เป็น GPU IP ที่รวม scalar, vector และ tensor engines
    รองรับงาน AI, graphics และ multimodal workloads

    OxQuilt เป็นระบบประกอบ SoC แบบ chiplet
    ลูกค้าสามารถเลือกโมดูล compute, memory และ interconnect ได้ตามต้องการ

    OXCapsule เป็น runtime ที่จัดการ workload และ abstraction
    ทำให้แอปสามารถรันบนฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องแก้โค้ด

    OXPython แปลงโค้ด Python CUDA ให้รันบน non-Nvidia hardware
    เปิดทางให้ใช้โค้ดเดิมกับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ทันที

    ได้รับเงินลงทุน $20 ล้านจาก MediaTek และนักลงทุนอื่น
    สะท้อนความเชื่อมั่นในโมเดลธุรกิจแบบ IP licensing

    Oxmiq ไม่พัฒนา GPU สำหรับผู้บริโภคโดยตรง
    ไม่รวมฟีเจอร์เช่น texture units, ray tracing หรือ HDMI output

    โมเดล IP-as-a-Service ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาชิปได้ถึง 90%
    ไม่ต้องลงทุนในโรงงานหรือกระบวนการ tape-out

    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมเปิดที่กำลังเติบโตในงาน AI และ embedded
    มีความยืดหยุ่นสูงและไม่ผูกกับ vendor รายใด

    Tenstorrent เป็นผู้ผลิต accelerator ที่เน้นงาน AI โดยเฉพาะ
    การร่วมมือกับ Oxmiq ช่วยขยาย ecosystem ให้รองรับ CUDA workloads

    Capsule เป็นระบบ container ที่ช่วยจัดการ GPU cluster
    ใช้เทคโนโลยีจาก Endgame ของ Intel มาปรับให้เหมาะกับ compute workload

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/legendary-gpu-architect-raja-koduris-new-startup-leverages-risc-v-and-targets-cuda-workloads-oxmiq-labs-supports-running-python-based-cuda-applications-unmodified-on-non-nvidia-hardware
    🧠⚙️ เรื่องเล่าจากวงการชิป: Oxmiq Labs กับภารกิจพลิกโฉม GPU ด้วย RISC-V และซอฟต์แวร์ที่ไม่ผูกกับฮาร์ดแวร์ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ Intel, AMD และ Apple ได้เปิดตัวสตาร์ทอัพใหม่ชื่อ Oxmiq Labs ที่ Silicon Valley โดยมีเป้าหมายชัดเจน: สร้าง GPU ที่ไม่จำเป็นต้องผลิตฮาร์ดแวร์เอง แต่เน้นการพัฒนา IP และซอฟต์แวร์ที่สามารถนำไปใช้กับฮาร์ดแวร์ใดก็ได้ Oxmiq ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V เป็นแกนหลักของ GPU IP ที่ชื่อว่า OxCore ซึ่งรวม scalar, vector และ tensor compute engines เข้าไว้ในระบบ modular ที่สามารถปรับแต่งได้ตาม workload ตั้งแต่ edge device ไปจนถึง data center นอกจากฮาร์ดแวร์ IP แล้ว Oxmiq ยังมีซอฟต์แวร์ที่ทรงพลัง เช่น OXCapsule ที่ช่วยจัดการ workload และทำให้แอปพลิเคชันสามารถรันบน CPU, GPU หรือ accelerator โดยไม่ต้องแก้โค้ด และ OXPython ที่สามารถรันโค้ด Python CUDA บนฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ Nvidia ได้ทันที Oxmiq ยังร่วมมือกับ Tenstorrent เพื่อเปิดตัว OXPython บนแพลตฟอร์ม Wormhole และ Blackhole และได้รับเงินลงทุนเบื้องต้น $20 ล้านจาก MediaTek และนักลงทุนรายอื่น โดยไม่ต้องพึ่งการผลิตชิปจริงหรือใช้เครื่องมือ EDA ที่มีต้นทุนสูง ✅ Oxmiq Labs ก่อตั้งโดย Raja Koduri เพื่อพลิกโฉม GPU ด้วย RISC-V ➡️ เน้นการพัฒนา IP และซอฟต์แวร์ ไม่ผลิตฮาร์ดแวร์เอง ✅ OxCore เป็น GPU IP ที่รวม scalar, vector และ tensor engines ➡️ รองรับงาน AI, graphics และ multimodal workloads ✅ OxQuilt เป็นระบบประกอบ SoC แบบ chiplet ➡️ ลูกค้าสามารถเลือกโมดูล compute, memory และ interconnect ได้ตามต้องการ ✅ OXCapsule เป็น runtime ที่จัดการ workload และ abstraction ➡️ ทำให้แอปสามารถรันบนฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องแก้โค้ด ✅ OXPython แปลงโค้ด Python CUDA ให้รันบน non-Nvidia hardware ➡️ เปิดทางให้ใช้โค้ดเดิมกับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ทันที ✅ ได้รับเงินลงทุน $20 ล้านจาก MediaTek และนักลงทุนอื่น ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในโมเดลธุรกิจแบบ IP licensing ✅ Oxmiq ไม่พัฒนา GPU สำหรับผู้บริโภคโดยตรง ➡️ ไม่รวมฟีเจอร์เช่น texture units, ray tracing หรือ HDMI output ✅ โมเดล IP-as-a-Service ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาชิปได้ถึง 90% ➡️ ไม่ต้องลงทุนในโรงงานหรือกระบวนการ tape-out ✅ RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมเปิดที่กำลังเติบโตในงาน AI และ embedded ➡️ มีความยืดหยุ่นสูงและไม่ผูกกับ vendor รายใด ✅ Tenstorrent เป็นผู้ผลิต accelerator ที่เน้นงาน AI โดยเฉพาะ ➡️ การร่วมมือกับ Oxmiq ช่วยขยาย ecosystem ให้รองรับ CUDA workloads ✅ Capsule เป็นระบบ container ที่ช่วยจัดการ GPU cluster ➡️ ใช้เทคโนโลยีจาก Endgame ของ Intel มาปรับให้เหมาะกับ compute workload https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/legendary-gpu-architect-raja-koduris-new-startup-leverages-risc-v-and-targets-cuda-workloads-oxmiq-labs-supports-running-python-based-cuda-applications-unmodified-on-non-nvidia-hardware
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • จีนบุกอินโดฯ-มาเลย์ฯ-ไทย ดันธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น

    เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ประกาศแต่งตั้งธนาคารตัวแทนในการให้บริการธุรกรรม (Appointed Cross Currency Dealer หรือ ACCD) เพิ่มเติม 18 แห่ง เพื่อดำเนินงานกรอบการทำธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency Transaction Framework หรือ LCTF) ระหว่างสามประเทศ โดยเครือข่าย ACCD ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มการเข้าถึงตลาดสกุลเงินท้องถิ่น และเพิ่มตัวเลือกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย

    เป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตใหม่ในครั้งนี้ พบว่ามีกลุ่มธนาคารแห่งประเทศจีน (BOC) ได้รับอนุญาต ACCD ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศจีน (มาเลเซีย) เบอร์ฮาด, ธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด สาขาจาการ์ตา และธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีงานบริการธุรกรรมเงินสกุลหยวนหลากหลายรูปแบบ เท่ากับเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนจีนที่ลงทุนใน 3 ประเทศ สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งข้อดีก็คือ หากผู้นำเข้าสินค้าเลือกชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่หากผู้ส่งออกสินค้าเลือกรับชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะได้รับเงินมากกว่า เมื่อเทียบกับใช้สกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)

    ปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ของไทยที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินริงกิตและเงินบาท (MYR-THB) ทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไทย ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ฯ (HSBC) สาขากรุงเทพ ธนาคารยูโอบี และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ส่วนธนาคารของมาเลเซียมีทั้งหมด 14 แห่ง ขณะที่ธนาคารของอินโดนีเซียที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินรูเปียห์และเงินบาท (IDR-THB) มีทั้งหมด 14 แห่ง

    ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพ เปิดให้บริการการค้าระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินริงกิตมาเลเซีย (MYR) สำหรับลูกค้านิติบุคคล ร่วมกับบางกอก แบงก์ เบอร์ฮาด (Bangkok Bank Berhad) กรุงกัวลาลัมเปอร์ และสาขารวม 5 แห่งในมาเลเซีย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีคู่ค้าในมาเลเซีย ประกอบด้วย บริการด้านการค้าสกุลเงินมาเลเซียริงกิต บริการด้านสินเชื่อเพื่อการค้า บริการโอนเงินและรับเงินโอนระหว่างประเทศ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริการให้ทำสัญญาซื้อ/ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และบริการเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินมาเลเซียริงกิต เป็นต้น

    #Newskit
    จีนบุกอินโดฯ-มาเลย์ฯ-ไทย ดันธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ประกาศแต่งตั้งธนาคารตัวแทนในการให้บริการธุรกรรม (Appointed Cross Currency Dealer หรือ ACCD) เพิ่มเติม 18 แห่ง เพื่อดำเนินงานกรอบการทำธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency Transaction Framework หรือ LCTF) ระหว่างสามประเทศ โดยเครือข่าย ACCD ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มการเข้าถึงตลาดสกุลเงินท้องถิ่น และเพิ่มตัวเลือกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตใหม่ในครั้งนี้ พบว่ามีกลุ่มธนาคารแห่งประเทศจีน (BOC) ได้รับอนุญาต ACCD ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศจีน (มาเลเซีย) เบอร์ฮาด, ธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด สาขาจาการ์ตา และธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีงานบริการธุรกรรมเงินสกุลหยวนหลากหลายรูปแบบ เท่ากับเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนจีนที่ลงทุนใน 3 ประเทศ สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งข้อดีก็คือ หากผู้นำเข้าสินค้าเลือกชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่หากผู้ส่งออกสินค้าเลือกรับชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะได้รับเงินมากกว่า เมื่อเทียบกับใช้สกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ของไทยที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินริงกิตและเงินบาท (MYR-THB) ทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไทย ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ฯ (HSBC) สาขากรุงเทพ ธนาคารยูโอบี และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ส่วนธนาคารของมาเลเซียมีทั้งหมด 14 แห่ง ขณะที่ธนาคารของอินโดนีเซียที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินรูเปียห์และเงินบาท (IDR-THB) มีทั้งหมด 14 แห่ง ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพ เปิดให้บริการการค้าระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินริงกิตมาเลเซีย (MYR) สำหรับลูกค้านิติบุคคล ร่วมกับบางกอก แบงก์ เบอร์ฮาด (Bangkok Bank Berhad) กรุงกัวลาลัมเปอร์ และสาขารวม 5 แห่งในมาเลเซีย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีคู่ค้าในมาเลเซีย ประกอบด้วย บริการด้านการค้าสกุลเงินมาเลเซียริงกิต บริการด้านสินเชื่อเพื่อการค้า บริการโอนเงินและรับเงินโอนระหว่างประเทศ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริการให้ทำสัญญาซื้อ/ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และบริการเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินมาเลเซียริงกิต เป็นต้น #Newskit
    0 Comments 0 Shares 381 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์

    ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป

    แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้

    ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม

    นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ

    บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย

    แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน

    Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024
    มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools

    ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน
    ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด

    ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก
    เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation

    การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล
    Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี

    การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป
    พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions

    Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ
    เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings

    แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection
    Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi

    ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
    คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต

    Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง
    แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง

    End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย
    ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering

    การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที
    ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack

    https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
    🛡️💸 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์ ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้ ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน ✅ Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024 ➡️ มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools ✅ ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน ➡️ ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด ✅ ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก ➡️ เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation ✅ การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล ➡️ Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี ✅ การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป ➡️ พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions ✅ Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ ➡️ เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection ➡️ Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi ✅ ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ➡️ คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต ✅ Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง ➡️ แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง ✅ End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย ➡️ ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering ✅ การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที ➡️ ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
    HACKREAD.COM
    Navigating Cybersecurity Risks in Crypto-Backed Lending
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: AMD ลุกขึ้นท้าชน NVIDIA ด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิปแรง

    ย้อนกลับไปในปี 2022 เมื่อ ChatGPT จุดกระแส AI ให้ลุกเป็นไฟ NVIDIA ก็กลายเป็นเจ้าตลาดทันที เพราะมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ขณะที่ AMD ยังอยู่กับ CPU และ GPU แบบเดิม จนกระทั่งปี 2023 Lisa Su ซีอีโอของ AMD ประกาศเปลี่ยนทิศทางบริษัทเข้าสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว

    แต่การไล่ตามไม่ง่าย เพราะ NVIDIA ไม่ได้ขายแค่ชิป แต่ขาย “ระบบนิเวศ” ที่ผูกขาดด้วย CUDA และเครื่องมือพัฒนาแบบ proprietary ทำให้ Big Tech อย่าง Microsoft, Meta และ OpenAI ติดสัญญาและไม่กล้าเปลี่ยนฝั่งง่ายๆ

    AMD จึงต้องสร้างทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่ชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB มากกว่า H100 ของ NVIDIA ถึงเท่าตัว ไปจนถึงการเปิดตัว Helios rack-scale AI server ที่ใช้ EPYC Venice CPU และเตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 พร้อมหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอีก 50%

    แม้ MI300X จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 ในงาน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ แต่ยังแพ้ใน batch ขนาดกลาง และราคาต่อชั่วโมงก็สูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณรวมแล้ว AMD กลับคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี

    AMD ยังพยายามสร้างซอฟต์แวร์ ecosystem ของตัวเอง และเริ่มได้รับความสนใจจาก Big Tech ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือก เช่น Microsoft และ OpenAI ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีของ AMD ในบางส่วน

    AMD เปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ตลาด AI ตั้งแต่ปี 2023
    หลังจากกระแส ChatGPT ทำให้ AI กลายเป็นเทรนด์หลัก

    เปิดตัวชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB และใช้สถาปัตยกรรม CDNA 3
    มีประสิทธิภาพสูงใน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่

    เตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 และมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50%
    พร้อมเปิดตัว Helios rack-scale server สำหรับองค์กร

    AMD เริ่มได้รับความสนใจจาก Microsoft, Meta และ OpenAI
    ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความพร้อมในการจัดส่ง

    MI300X มีราคาต่อชั่วโมงสูงกว่า H100 เล็กน้อย แต่คุ้มค่ากว่าในบางงาน
    โดยเฉพาะงานที่ใช้ batch ขนาดเล็กหรือใหญ่

    AMD คาดการณ์ตลาดชิป AI ปีนี้มีมูลค่า $45 พันล้าน
    ตั้งเป้ายอดขายชิป AI ที่ $2 พันล้านในปี 2024

    MI300X สามารถรันโมเดล Mixtral 7x8B ได้บน GPU เดียว
    ขณะที่ H100 ต้องใช้ tensor parallelism บนสอง GPU

    AMD พัฒนา ecosystem แบบเปิดเพื่อแข่งกับ CUDA ของ NVIDIA
    เน้นความยืดหยุ่นและลดการผูกขาด

    NVIDIA ยังครองตลาดด้วย ecosystem ที่ผูกขาดและครอบคลุม
    ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ AMD

    AMD ยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสื่อเทคโนโลยี
    ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับในตลาด

    การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของชิป
    แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    https://wccftech.com/is-amd-the-next-major-threat-to-nvidias-long-standing-ai-dominance/
    🚀🧠 เรื่องเล่าจากสนาม AI: AMD ลุกขึ้นท้าชน NVIDIA ด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิปแรง ย้อนกลับไปในปี 2022 เมื่อ ChatGPT จุดกระแส AI ให้ลุกเป็นไฟ NVIDIA ก็กลายเป็นเจ้าตลาดทันที เพราะมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ขณะที่ AMD ยังอยู่กับ CPU และ GPU แบบเดิม จนกระทั่งปี 2023 Lisa Su ซีอีโอของ AMD ประกาศเปลี่ยนทิศทางบริษัทเข้าสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว แต่การไล่ตามไม่ง่าย เพราะ NVIDIA ไม่ได้ขายแค่ชิป แต่ขาย “ระบบนิเวศ” ที่ผูกขาดด้วย CUDA และเครื่องมือพัฒนาแบบ proprietary ทำให้ Big Tech อย่าง Microsoft, Meta และ OpenAI ติดสัญญาและไม่กล้าเปลี่ยนฝั่งง่ายๆ AMD จึงต้องสร้างทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่ชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB มากกว่า H100 ของ NVIDIA ถึงเท่าตัว ไปจนถึงการเปิดตัว Helios rack-scale AI server ที่ใช้ EPYC Venice CPU และเตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 พร้อมหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอีก 50% แม้ MI300X จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 ในงาน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ แต่ยังแพ้ใน batch ขนาดกลาง และราคาต่อชั่วโมงก็สูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณรวมแล้ว AMD กลับคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี AMD ยังพยายามสร้างซอฟต์แวร์ ecosystem ของตัวเอง และเริ่มได้รับความสนใจจาก Big Tech ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือก เช่น Microsoft และ OpenAI ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีของ AMD ในบางส่วน ✅ AMD เปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ตลาด AI ตั้งแต่ปี 2023 ➡️ หลังจากกระแส ChatGPT ทำให้ AI กลายเป็นเทรนด์หลัก ✅ เปิดตัวชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB และใช้สถาปัตยกรรม CDNA 3 ➡️ มีประสิทธิภาพสูงใน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ ✅ เตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 และมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50% ➡️ พร้อมเปิดตัว Helios rack-scale server สำหรับองค์กร ✅ AMD เริ่มได้รับความสนใจจาก Microsoft, Meta และ OpenAI ➡️ ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความพร้อมในการจัดส่ง ✅ MI300X มีราคาต่อชั่วโมงสูงกว่า H100 เล็กน้อย แต่คุ้มค่ากว่าในบางงาน ➡️ โดยเฉพาะงานที่ใช้ batch ขนาดเล็กหรือใหญ่ ✅ AMD คาดการณ์ตลาดชิป AI ปีนี้มีมูลค่า $45 พันล้าน ➡️ ตั้งเป้ายอดขายชิป AI ที่ $2 พันล้านในปี 2024 ✅ MI300X สามารถรันโมเดล Mixtral 7x8B ได้บน GPU เดียว ➡️ ขณะที่ H100 ต้องใช้ tensor parallelism บนสอง GPU ✅ AMD พัฒนา ecosystem แบบเปิดเพื่อแข่งกับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ เน้นความยืดหยุ่นและลดการผูกขาด ‼️ NVIDIA ยังครองตลาดด้วย ecosystem ที่ผูกขาดและครอบคลุม ⛔ ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ AMD ‼️ AMD ยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสื่อเทคโนโลยี ⛔ ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับในตลาด ‼️ การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของชิป ⛔ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ https://wccftech.com/is-amd-the-next-major-threat-to-nvidias-long-standing-ai-dominance/
    WCCFTECH.COM
    Is AMD the Next Major Threat to NVIDIA's Long-Standing AI Dominance? A Deep Dive into How the Firm's Recent Strategies Might Put It in a Much More Competitive Position
    Here's an analysis of how AMD's recent AI moves are shaping the company for a better future, rivaling NVIDIA more dominantly.
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ChatGPT แตะ 700 ล้านผู้ใช้ต่อสัปดาห์—ก่อนเปิดตัว GPT-5 ที่ “คิดก่อนตอบ”

    OpenAI ประกาศว่า ChatGPT กำลังจะถึงจุดสูงสุดใหม่ที่ 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม และมากกว่า 4 เท่าจากปีที่แล้ว ความนิยมนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว GPT-5 ซึ่งจะรวมโมเดลสาย o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน โดยมีความสามารถใหม่คือ “คิดก่อนตอบ” หรือการเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลนานขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกซึ้งกว่า

    GPT-5 จะเปิดให้ใช้งานในทุก tier ของ ChatGPT โดยผู้ใช้ทั่วไปจะได้ใช้เวอร์ชันพื้นฐานแบบไม่จำกัด ส่วนผู้ใช้ Plus และ Pro จะสามารถเข้าถึงระดับความฉลาดที่สูงขึ้นตามลำดับ

    นอกจากนี้ OpenAI ยังเตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่อีกมากในเดือนถัดไป โดยได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $8.3 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, Andreessen Horowitz และ Fidelity เพื่อรองรับต้นทุนการพัฒนาและขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    ChatGPT กำลังจะถึง 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปีที่แล้ว
    เพิ่มจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม 2025
    สะท้อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน

    GPT-5 จะรวมโมเดล o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน
    มีความสามารถ “คิดก่อนตอบ” เพื่อให้คำตอบลึกซึ้งขึ้น
    เป็นการเปลี่ยนแนวทางการออกแบบโมเดลจากเดิมที่เน้นความเร็ว

    ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้ GPT-5 ได้แบบไม่จำกัดในระดับพื้นฐาน
    Plus tier จะได้ใช้ GPT-5 ที่ฉลาดขึ้น
    Pro tier ($200/เดือน) จะได้ใช้ GPT-5 ในระดับสูงสุด

    OpenAI มีผู้ใช้แบบธุรกิจถึง 5 ล้านราย เพิ่มจาก 3 ล้านในเดือนมิถุนายน
    สะท้อนการนำ AI ไปใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย
    รวมถึงภาคการศึกษาและการสร้างสรรค์เนื้อหา

    รายได้ประจำต่อปี (ARR) ของ OpenAI พุ่งถึง $13 พันล้าน และคาดว่าจะเกิน $20 พันล้านภายในสิ้นปี
    ได้รับเงินลงทุนใหม่ $8.3 พันล้านจากนักลงทุนชั้นนำ
    เป็นส่วนหนึ่งของรอบการระดมทุน $40 พันล้านที่นำโดย SoftBank

    OpenAI เตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนถัดไป
    เลื่อนจากเดือนก่อนเพื่อทดสอบความปลอดภัยเพิ่มเติม
    เน้นการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงสูงก่อนเปิดใช้งาน

    “คิดก่อนตอบ” คือแนวคิดใหม่ใน AI ที่ให้โมเดลเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลมากขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกกว่า
    คล้ายกับการ “หยุดคิด” ก่อนพูดของมนุษย์
    ช่วยให้คำตอบมีความละเอียดและมีบริบทมากขึ้น

    การเติบโตของ ChatGPT สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลก
    จากเครื่องมือทดลองกลายเป็นส่วนหนึ่งของ workflow จริง
    ใช้ในงานเขียน, การเรียน, การวิเคราะห์ และการสื่อสาร

    การเปิดโมเดลแบบ open-weight เป็นแนวทางที่หลายบริษัท AI เริ่มนำมาใช้ เช่น Meta และ Mistral
    ช่วยให้ชุมชนวิจัยสามารถพัฒนาและตรวจสอบได้
    แต่ต้องมีการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด

    https://www.neowin.net/news/openai-chatgpt-on-track-to-reach-700m-weekly-active-users-ahead-of-gpt-5-launch/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ChatGPT แตะ 700 ล้านผู้ใช้ต่อสัปดาห์—ก่อนเปิดตัว GPT-5 ที่ “คิดก่อนตอบ” OpenAI ประกาศว่า ChatGPT กำลังจะถึงจุดสูงสุดใหม่ที่ 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม และมากกว่า 4 เท่าจากปีที่แล้ว ความนิยมนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว GPT-5 ซึ่งจะรวมโมเดลสาย o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน โดยมีความสามารถใหม่คือ “คิดก่อนตอบ” หรือการเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลนานขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกซึ้งกว่า GPT-5 จะเปิดให้ใช้งานในทุก tier ของ ChatGPT โดยผู้ใช้ทั่วไปจะได้ใช้เวอร์ชันพื้นฐานแบบไม่จำกัด ส่วนผู้ใช้ Plus และ Pro จะสามารถเข้าถึงระดับความฉลาดที่สูงขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ OpenAI ยังเตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่อีกมากในเดือนถัดไป โดยได้รับเงินลงทุนเพิ่มอีก $8.3 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, Andreessen Horowitz และ Fidelity เพื่อรองรับต้นทุนการพัฒนาและขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ChatGPT กำลังจะถึง 700 ล้านผู้ใช้งานต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปีที่แล้ว ➡️ เพิ่มจาก 500 ล้านในเดือนมีนาคม 2025 ➡️ สะท้อนการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน ✅ GPT-5 จะรวมโมเดล o-series และ GPT-series เข้าด้วยกัน ➡️ มีความสามารถ “คิดก่อนตอบ” เพื่อให้คำตอบลึกซึ้งขึ้น ➡️ เป็นการเปลี่ยนแนวทางการออกแบบโมเดลจากเดิมที่เน้นความเร็ว ✅ ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้ GPT-5 ได้แบบไม่จำกัดในระดับพื้นฐาน ➡️ Plus tier จะได้ใช้ GPT-5 ที่ฉลาดขึ้น ➡️ Pro tier ($200/เดือน) จะได้ใช้ GPT-5 ในระดับสูงสุด ✅ OpenAI มีผู้ใช้แบบธุรกิจถึง 5 ล้านราย เพิ่มจาก 3 ล้านในเดือนมิถุนายน ➡️ สะท้อนการนำ AI ไปใช้ในองค์กรอย่างแพร่หลาย ➡️ รวมถึงภาคการศึกษาและการสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ รายได้ประจำต่อปี (ARR) ของ OpenAI พุ่งถึง $13 พันล้าน และคาดว่าจะเกิน $20 พันล้านภายในสิ้นปี ➡️ ได้รับเงินลงทุนใหม่ $8.3 พันล้านจากนักลงทุนชั้นนำ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของรอบการระดมทุน $40 พันล้านที่นำโดย SoftBank ✅ OpenAI เตรียมเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight และผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนถัดไป ➡️ เลื่อนจากเดือนก่อนเพื่อทดสอบความปลอดภัยเพิ่มเติม ➡️ เน้นการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงสูงก่อนเปิดใช้งาน ✅ “คิดก่อนตอบ” คือแนวคิดใหม่ใน AI ที่ให้โมเดลเลือกว่าจะใช้เวลาประมวลผลมากขึ้นเพื่อให้ได้คำตอบที่ลึกกว่า ➡️ คล้ายกับการ “หยุดคิด” ก่อนพูดของมนุษย์ ➡️ ช่วยให้คำตอบมีความละเอียดและมีบริบทมากขึ้น ✅ การเติบโตของ ChatGPT สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ทั่วโลก ➡️ จากเครื่องมือทดลองกลายเป็นส่วนหนึ่งของ workflow จริง ➡️ ใช้ในงานเขียน, การเรียน, การวิเคราะห์ และการสื่อสาร ✅ การเปิดโมเดลแบบ open-weight เป็นแนวทางที่หลายบริษัท AI เริ่มนำมาใช้ เช่น Meta และ Mistral ➡️ ช่วยให้ชุมชนวิจัยสามารถพัฒนาและตรวจสอบได้ ➡️ แต่ต้องมีการควบคุมเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด https://www.neowin.net/news/openai-chatgpt-on-track-to-reach-700m-weekly-active-users-ahead-of-gpt-5-launch/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI: ChatGPT on track to reach 700M weekly active users ahead of GPT-5 launch
    OpenAI's ChatGPT is set to hit a new milestone of 700 million weekly active users, marking significant growth from last year.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย

    ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่

    แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง

    Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

    Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites

    แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ
    ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90%
    ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง

    Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว
    เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel
    เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง

    เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032
    ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว
    ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้

    Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance”
    ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา
    ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง

    AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที
    ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล

    AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
    ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น
    เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

    แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว
    ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน

    AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70%
    ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์
    ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร

    การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่
    เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB
    อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม

    การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก
    ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์
    AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ

    การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย
    ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด
    อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ

    การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง
    ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน
    ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ✅ Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance ➡️ นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures ➡️ มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites ✅ แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ ➡️ ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง ✅ Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว ➡️ เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel ➡️ เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง ✅ เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032 ➡️ ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว ➡️ ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้ ✅ Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance” ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง ✅ AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที ➡️ ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล ✅ AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ➡️ ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร ✅ แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน ✅ AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70% ➡️ ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร ‼️ การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่ ⛔ เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB ⛔ อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม ‼️ การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก ⛔ ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ⛔ AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ ‼️ การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย ⛔ ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด ⛔ อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ ‼️ การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง ⛔ ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน ⛔ ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    HACKREAD.COM
    Comp AI secures $2.6M pre-seed to disrupt SOC 2 market
    San Francisco, California, 1st August 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
More Results