• แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 11

    เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย

    อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด

    ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์

    แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน

    อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ

    กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น

    สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา
    ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า

    เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา

    รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย

    ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป

    เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน…

    สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 11 เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์ แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน… สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI สร้างพอดแคสต์ได้เป็นพันรายการ – อุตสาหกรรมเสียงกำลังสั่นคลอน”

    ลองจินตนาการว่าโลกของพอดแคสต์ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจริงจากคนจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงสังเคราะห์จาก AI ที่สามารถผลิตรายการได้เป็นร้อยเป็นพันในเวลาไม่กี่นาที

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 เมื่อ Google เปิดตัว “Audio Overview” ระบบสร้างพอดแคสต์จากเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้มนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว และตามมาด้วยคลื่นของสตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft ที่กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว

    ผลลัพธ์คือการผลิตพอดแคสต์แบบ “mass-produced” ที่มีโฮสต์เสมือนจริง พูดได้หลายภาษา ปรับอารมณ์เสียงได้ และสามารถสร้างเนื้อหาตามความต้องการของผู้ฟังได้ทันที

    แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้น มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ที่ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ฟังและโฆษณาแบบดั้งเดิม หลายรายการกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วและต้นทุนต่ำของ AI ได้

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้รสนิยมของผู้ฟังอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การหลั่งไหลของพอดแคสต์จาก AI จะส่งผลกระทบต่อ “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ในมุมที่กว้างขึ้น นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับคำถามว่า “อะไรคือความจริง” และ “ใครคือผู้เล่าเรื่องที่แท้จริง”

    การเกิดขึ้นของพอดแคสต์จาก AI
    Google เปิดตัว Audio Overview สร้างพอดแคสต์จากเอกสารโดยไม่ใช้มนุษย์
    สตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft เข้าร่วมตลาดอย่างรวดเร็ว
    พอดแคสต์สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาสั้น ด้วยต้นทุนต่ำ

    ความสามารถของพอดแคสต์ AI
    ใช้โฮสต์เสมือนจริงที่ปรับอารมณ์เสียงได้
    รองรับหลายภาษาและสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้ฟัง
    สร้างเนื้อหาแบบออนดีมานด์จากข้อมูลที่มีอยู่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ
    รายการอิสระที่พึ่งพาผู้ฟังและโฆษณากำลังถูกแย่งพื้นที่
    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอาจลดลง
    ความหลากหลายของเนื้อหาอาจถูกแทนที่ด้วยสูตรสำเร็จจาก AI

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การผลิตจำนวนมากอาจทำลาย “ศิลปะของการเล่าเรื่อง”
    ความจริงและความเป็นมนุษย์ในเนื้อหาอาจถูกลดทอน
    อุตสาหกรรมสื่อกำลังเผชิญกับคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ

    คำเตือนต่ออนาคตของพอดแคสต์
    พอดแคสต์จาก AI อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีความจริงจากเนื้อหาสังเคราะห์
    ผู้สร้างเนื้อหาจริงอาจถูกลดบทบาทหรือหายไปจากตลาด
    ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองอาจถูกกลืนด้วยอัลกอริธึม
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาขาดความลึกและความรู้สึก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/mass-produced-ai-podcasts-disrupt-a-fragile-industry
    🎙️ “เมื่อ AI สร้างพอดแคสต์ได้เป็นพันรายการ – อุตสาหกรรมเสียงกำลังสั่นคลอน” ลองจินตนาการว่าโลกของพอดแคสต์ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจริงจากคนจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงสังเคราะห์จาก AI ที่สามารถผลิตรายการได้เป็นร้อยเป็นพันในเวลาไม่กี่นาที นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 เมื่อ Google เปิดตัว “Audio Overview” ระบบสร้างพอดแคสต์จากเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้มนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว และตามมาด้วยคลื่นของสตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft ที่กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือการผลิตพอดแคสต์แบบ “mass-produced” ที่มีโฮสต์เสมือนจริง พูดได้หลายภาษา ปรับอารมณ์เสียงได้ และสามารถสร้างเนื้อหาตามความต้องการของผู้ฟังได้ทันที แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้น มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ที่ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ฟังและโฆษณาแบบดั้งเดิม หลายรายการกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วและต้นทุนต่ำของ AI ได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้รสนิยมของผู้ฟังอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การหลั่งไหลของพอดแคสต์จาก AI จะส่งผลกระทบต่อ “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในมุมที่กว้างขึ้น นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับคำถามว่า “อะไรคือความจริง” และ “ใครคือผู้เล่าเรื่องที่แท้จริง” ✅ การเกิดขึ้นของพอดแคสต์จาก AI ➡️ Google เปิดตัว Audio Overview สร้างพอดแคสต์จากเอกสารโดยไม่ใช้มนุษย์ ➡️ สตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft เข้าร่วมตลาดอย่างรวดเร็ว ➡️ พอดแคสต์สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาสั้น ด้วยต้นทุนต่ำ ✅ ความสามารถของพอดแคสต์ AI ➡️ ใช้โฮสต์เสมือนจริงที่ปรับอารมณ์เสียงได้ ➡️ รองรับหลายภาษาและสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้ฟัง ➡️ สร้างเนื้อหาแบบออนดีมานด์จากข้อมูลที่มีอยู่ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ➡️ รายการอิสระที่พึ่งพาผู้ฟังและโฆษณากำลังถูกแย่งพื้นที่ ➡️ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอาจลดลง ➡️ ความหลากหลายของเนื้อหาอาจถูกแทนที่ด้วยสูตรสำเร็จจาก AI ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การผลิตจำนวนมากอาจทำลาย “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” ➡️ ความจริงและความเป็นมนุษย์ในเนื้อหาอาจถูกลดทอน ➡️ อุตสาหกรรมสื่อกำลังเผชิญกับคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของพอดแคสต์ ⛔ พอดแคสต์จาก AI อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีความจริงจากเนื้อหาสังเคราะห์ ⛔ ผู้สร้างเนื้อหาจริงอาจถูกลดบทบาทหรือหายไปจากตลาด ⛔ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองอาจถูกกลืนด้วยอัลกอริธึม ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาขาดความลึกและความรู้สึก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/mass-produced-ai-podcasts-disrupt-a-fragile-industry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Mass-produced AI podcasts disrupt a fragile industry
    Artificial intelligence now makes it possible to mass-produce podcasts with completely virtual hosts, a development that is disrupting an industry still finding its footing and operating on a fragile business model.
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน)

    บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust

    ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง

    จุดอ่อนของ CIA Triad
    โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล
    ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI
    ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว”

    ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว
    Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience”
    Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
    การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์

    โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model
    Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience
    Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance
    Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้
    โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์

    ประโยชน์ของ 3C Model
    ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR
    ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน
    เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad
    ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้
    เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน
    อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง
    การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม

    https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    🧠 “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน” ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน) บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง ✅ จุดอ่อนของ CIA Triad ➡️ โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล ➡️ ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI ➡️ ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว” ✅ ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว ➡️ Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience” ➡️ Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ➡️ การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ ✅ โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model ➡️ Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience ➡️ Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance ➡️ Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ➡️ โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์ ✅ ประโยชน์ของ 3C Model ➡️ ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR ➡️ ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน ➡️ เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad ⛔ ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน ⛔ อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง ⛔ การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CIA triad is dead — stop using a Cold War relic to fight 21st century threats
    CISOs stuck on CIA must accept reality: The world has shifted, and our cybersecurity models must shift, too. We need a model that is layered, contextual, and built for survival.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก”

    ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน

    Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak”

    แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน

    พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน

    ระบบ Guardrails ของ OpenAI
    เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI
    ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา
    มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย

    ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ
    นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก
    เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน
    มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัย
    ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย
    องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี

    คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI
    ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง
    ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก
    ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    ความเสี่ยงในอนาคต
    หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร

    https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    📰 “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก” ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak” แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน ✅ ระบบ Guardrails ของ OpenAI ➡️ เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI ➡️ ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา ➡️ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย ✅ ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ ➡️ นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก ➡️ เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน ➡️ มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ ✅ ผลกระทบต่อความปลอดภัย ➡️ ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย ➡️ องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI ⛔ ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง ⛔ ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก ⛔ ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงในอนาคต ⛔ หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    HACKREAD.COM
    OpenAI’s Guardrails Can Be Bypassed by Simple Prompt Injection Attack
    Follow us on Blue Sky, Mastodon Twitter, Facebook and LinkedIn @Hackread
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • "TSMC ครองตลาดโรงงานผลิตชิปทั่วโลกทะลุ 71% – คู่แข่งแทบไม่มีที่ยืน"

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องเลือกโรงงานผลิตชิปสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของคุณในปี 2025 คุณจะเลือกใคร? คำตอบแทบจะชัดเจน: TSMC จากไต้หวัน ซึ่งตอนนี้ครองตลาดโรงงานผลิตชิป (foundry) ทั่วโลกไปแล้วกว่า 71% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025

    การเติบโตของ TSMC ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการลงทุนในเทคโนโลยีระดับสูง เช่น กระบวนการผลิต 3nm และ 5nm ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายใหญ่ เช่น Apple, NVIDIA, AMD และ Qualcomm โดยเฉพาะในยุคที่ AI และการประมวลผลขั้นสูง (HPC) กำลังเฟื่องฟู

    รายได้ของ TSMC ในไตรมาสนี้พุ่งขึ้นถึง $30.24 พันล้าน เพิ่มขึ้น 18.5% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่คู่แข่งอย่าง Samsung มีส่วนแบ่งเพียง 7.3% และ SMIC จากจีนอยู่ที่ 5.1% เท่านั้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ TSMC ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยี แต่ยังมีความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งยังตามไม่ทัน แม้จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่การเปลี่ยนโรงงานผลิตชิปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องปรับทั้งซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และกระบวนการผลิตทั้งหมด

    TSMC ครองตลาดโรงงานผลิตชิปทั่วโลก
    มีส่วนแบ่งตลาดถึง 71% ในไตรมาส 2 ปี 2025
    รายได้สูงถึง $30.24 พันล้าน เพิ่มขึ้น 18.5% จากไตรมาสก่อน

    เทคโนโลยีระดับสูงคือหัวใจของความสำเร็จ
    ใช้กระบวนการผลิต 3nm และ 5nm ที่ทันสมัย
    รองรับความต้องการของ AI และ HPC อย่างเต็มที่

    ลูกค้ารายใหญ่ไว้วางใจ TSMC
    Apple, NVIDIA, AMD และ Qualcomm เป็นลูกค้าหลัก
    ความเชื่อมั่นในคุณภาพและความเสถียรของการผลิต

    คู่แข่งยังตามไม่ทัน
    Samsung มีส่วนแบ่งเพียง 7.3% และ SMIC อยู่ที่ 5.1%
    ปัญหาด้านเทคโนโลยีและการผลิตยังเป็นอุปสรรค

    คำเตือนสำหรับผู้เล่นรายอื่นในตลาด
    การแข่งขันกับ TSMC ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนมหาศาล
    การเปลี่ยนโรงงานผลิตชิปมีความเสี่ยงสูงและต้นทุนแฝง
    หากไม่มีเทคโนโลยีระดับสูงและความไว้วางใจจากลูกค้า อาจถูกเบียดออกจากตลาด

    ในโลกของการผลิตชิปที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว TSMC ไม่ได้แค่เป็นผู้นำ แต่กำลังกลายเป็น "มาตรฐานกลาง" ที่ทุกคนต้องเทียบเคียง และถ้าคุณเป็นผู้ผลิตที่ยังไม่ใช้บริการ TSMC ก็อาจต้องถามตัวเองว่า “คุณพร้อมจะเสี่ยงแค่ไหน?”

    https://wccftech.com/tsmc-dominates-global-foundry-market-with-a-jaw-dropping-share/
    🏭 "TSMC ครองตลาดโรงงานผลิตชิปทั่วโลกทะลุ 71% – คู่แข่งแทบไม่มีที่ยืน" ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องเลือกโรงงานผลิตชิปสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของคุณในปี 2025 คุณจะเลือกใคร? คำตอบแทบจะชัดเจน: TSMC จากไต้หวัน ซึ่งตอนนี้ครองตลาดโรงงานผลิตชิป (foundry) ทั่วโลกไปแล้วกว่า 71% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 การเติบโตของ TSMC ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากการลงทุนในเทคโนโลยีระดับสูง เช่น กระบวนการผลิต 3nm และ 5nm ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายใหญ่ เช่น Apple, NVIDIA, AMD และ Qualcomm โดยเฉพาะในยุคที่ AI และการประมวลผลขั้นสูง (HPC) กำลังเฟื่องฟู รายได้ของ TSMC ในไตรมาสนี้พุ่งขึ้นถึง $30.24 พันล้าน เพิ่มขึ้น 18.5% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่คู่แข่งอย่าง Samsung มีส่วนแบ่งเพียง 7.3% และ SMIC จากจีนอยู่ที่ 5.1% เท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ TSMC ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยี แต่ยังมีความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งยังตามไม่ทัน แม้จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่การเปลี่ยนโรงงานผลิตชิปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องปรับทั้งซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และกระบวนการผลิตทั้งหมด ✅ TSMC ครองตลาดโรงงานผลิตชิปทั่วโลก ➡️ มีส่วนแบ่งตลาดถึง 71% ในไตรมาส 2 ปี 2025 ➡️ รายได้สูงถึง $30.24 พันล้าน เพิ่มขึ้น 18.5% จากไตรมาสก่อน ✅ เทคโนโลยีระดับสูงคือหัวใจของความสำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 3nm และ 5nm ที่ทันสมัย ➡️ รองรับความต้องการของ AI และ HPC อย่างเต็มที่ ✅ ลูกค้ารายใหญ่ไว้วางใจ TSMC ➡️ Apple, NVIDIA, AMD และ Qualcomm เป็นลูกค้าหลัก ➡️ ความเชื่อมั่นในคุณภาพและความเสถียรของการผลิต ✅ คู่แข่งยังตามไม่ทัน ➡️ Samsung มีส่วนแบ่งเพียง 7.3% และ SMIC อยู่ที่ 5.1% ➡️ ปัญหาด้านเทคโนโลยีและการผลิตยังเป็นอุปสรรค ‼️ คำเตือนสำหรับผู้เล่นรายอื่นในตลาด ⛔ การแข่งขันกับ TSMC ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนมหาศาล ⛔ การเปลี่ยนโรงงานผลิตชิปมีความเสี่ยงสูงและต้นทุนแฝง ⛔ หากไม่มีเทคโนโลยีระดับสูงและความไว้วางใจจากลูกค้า อาจถูกเบียดออกจากตลาด ในโลกของการผลิตชิปที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว TSMC ไม่ได้แค่เป็นผู้นำ แต่กำลังกลายเป็น "มาตรฐานกลาง" ที่ทุกคนต้องเทียบเคียง และถ้าคุณเป็นผู้ผลิตที่ยังไม่ใช้บริการ TSMC ก็อาจต้องถามตัวเองว่า “คุณพร้อมจะเสี่ยงแค่ไหน?” https://wccftech.com/tsmc-dominates-global-foundry-market-with-a-jaw-dropping-share/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Dominates Global Foundry Market With a 'Jaw-Dropping' 71% Share, Leaving Rivals Little Room to Compete
    TSMC's market share in the foundry business shows that the Taiwan giant has created a 'monopoly' over the markets.
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • "Dimensity 9500: ชิปเรือธงราคาประหยัดที่แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ต้องพิจารณา"

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android ที่ต้องเลือกชิปประมวลผลสำหรับรุ่นใหม่ในปี 2025 คุณมีตัวเลือกหลักสองตัว — Snapdragon 8 Elite Gen 5 จาก Qualcomm และ Dimensity 9500 จาก MediaTek ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm N3P เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอย่างมาก

    Dimensity 9500 เปิดราคามาเพียง $180–$200 ต่อหน่วย ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 พุ่งไปถึง $280 นั่นหมายความว่า MediaTek เสนอราคาถูกกว่าถึง 55% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร

    แต่ราคาที่ถูกนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดบางอย่าง Dimensity 9500 ยังคงใช้ดีไซน์ CPU และ GPU จาก ARM ซึ่งช่วยลดต้นทุน แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพด้อยกว่าคู่แข่งที่ใช้คอร์แบบ custom เช่น Oryon ของ Qualcomm ที่พัฒนาเองภายในบริษัท

    จากการทดสอบ Geekbench 6 พบว่า Dimensity 9500 มีคะแนน multi-core ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Apple A19 Pro แถมยังใช้พลังงานมากกว่า ทำให้เกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนัก ๆ อย่างที่เห็นใน OnePlus 15 ที่ใช้ชิปนี้

    นอกจากนี้ Qualcomm ยังลงทุนซื้อบริษัท Nuvia มูลค่า $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคอร์แบบ custom แข่งกับ Apple ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีภายในเป็นกลยุทธ์สำคัญในตลาดชิปสมาร์ตโฟนระดับสูง

    Dimensity 9500 ถูกกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างมาก
    ราคาต่อหน่วยอยู่ที่ $180–$200 เทียบกับ $280 ของ Snapdragon
    ถูกกว่าถึง 55% ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต Android

    MediaTek ใช้ดีไซน์จาก ARM เพื่อลดต้นทุน
    ไม่พัฒนาคอร์เองแบบ Qualcomm ที่ใช้ Oryon cores
    ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและผลิต

    ประสิทธิภาพของ Dimensity 9500 ต่ำกว่าคู่แข่ง
    คะแนน multi-core ต่ำที่สุดในกลุ่มชิปเรือธง
    ใช้พลังงานสูงและเกิดความร้อนมากในสมาร์ตโฟน

    Qualcomm ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีภายใน
    ซื้อบริษัท Nuvia เพื่อสร้างคอร์ custom แข่งกับ Apple
    เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแตกต่าง

    คำเตือนสำหรับผู้ผลิตที่เลือก Dimensity 9500
    แม้ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานหนัก
    ความร้อนสูงอาจส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอายุการใช้งานของเครื่อง
    การพึ่งพา ARM อาจทำให้ MediaTek เสียเปรียบในระยะยาว

    ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Dimensity 9500 อาจช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ถ้าคุณเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและการเล่นเกมแบบจัดเต็ม Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน.

    https://wccftech.com/dimensity-9500-more-than-50-percent-cheaper-than-the-snapdragon-8-elite-gen-5/
    📱 "Dimensity 9500: ชิปเรือธงราคาประหยัดที่แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ต้องพิจารณา" ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android ที่ต้องเลือกชิปประมวลผลสำหรับรุ่นใหม่ในปี 2025 คุณมีตัวเลือกหลักสองตัว — Snapdragon 8 Elite Gen 5 จาก Qualcomm และ Dimensity 9500 จาก MediaTek ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm N3P เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอย่างมาก Dimensity 9500 เปิดราคามาเพียง $180–$200 ต่อหน่วย ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 พุ่งไปถึง $280 นั่นหมายความว่า MediaTek เสนอราคาถูกกว่าถึง 55% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร แต่ราคาที่ถูกนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดบางอย่าง Dimensity 9500 ยังคงใช้ดีไซน์ CPU และ GPU จาก ARM ซึ่งช่วยลดต้นทุน แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพด้อยกว่าคู่แข่งที่ใช้คอร์แบบ custom เช่น Oryon ของ Qualcomm ที่พัฒนาเองภายในบริษัท จากการทดสอบ Geekbench 6 พบว่า Dimensity 9500 มีคะแนน multi-core ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Apple A19 Pro แถมยังใช้พลังงานมากกว่า ทำให้เกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนัก ๆ อย่างที่เห็นใน OnePlus 15 ที่ใช้ชิปนี้ นอกจากนี้ Qualcomm ยังลงทุนซื้อบริษัท Nuvia มูลค่า $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคอร์แบบ custom แข่งกับ Apple ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีภายในเป็นกลยุทธ์สำคัญในตลาดชิปสมาร์ตโฟนระดับสูง ✅ Dimensity 9500 ถูกกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างมาก ➡️ ราคาต่อหน่วยอยู่ที่ $180–$200 เทียบกับ $280 ของ Snapdragon ➡️ ถูกกว่าถึง 55% ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต Android ✅ MediaTek ใช้ดีไซน์จาก ARM เพื่อลดต้นทุน ➡️ ไม่พัฒนาคอร์เองแบบ Qualcomm ที่ใช้ Oryon cores ➡️ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและผลิต ✅ ประสิทธิภาพของ Dimensity 9500 ต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ คะแนน multi-core ต่ำที่สุดในกลุ่มชิปเรือธง ➡️ ใช้พลังงานสูงและเกิดความร้อนมากในสมาร์ตโฟน ✅ Qualcomm ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีภายใน ➡️ ซื้อบริษัท Nuvia เพื่อสร้างคอร์ custom แข่งกับ Apple ➡️ เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแตกต่าง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ผลิตที่เลือก Dimensity 9500 ⛔ แม้ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานหนัก ⛔ ความร้อนสูงอาจส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอายุการใช้งานของเครื่อง ⛔ การพึ่งพา ARM อาจทำให้ MediaTek เสียเปรียบในระยะยาว ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Dimensity 9500 อาจช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ถ้าคุณเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและการเล่นเกมแบบจัดเต็ม Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน. https://wccftech.com/dimensity-9500-more-than-50-percent-cheaper-than-the-snapdragon-8-elite-gen-5/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500 Is Estimated To Be More Than 50% Cheaper Than The Snapdragon 8 Elite Gen 5, Despite Using The Same 3nm N3P Process
    The estimated price of the Dimensity 9500 has come forth, since it is cheaper than the Snapdragon 8 Elite Gen 5, it will be preferred by Android phone makers
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • “REFRAG — งานวิจัยแรกของ Meta Superintelligence ที่พลิกโฉม RAG ให้เร็วขึ้น 30 เท่า”

    ลองจินตนาการว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถตอบคำถามจากฐานข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30 เท่า โดยไม่ต้องเสียความแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่ Meta Superintelligence (MSI) นำเสนอในงานวิจัยแรกของพวกเขา “REFRAG” ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง

    แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ค้นมาให้ LLM ประมวลผล REFRAG ใช้เทคนิคใหม่ที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็น “chunk embeddings” ซึ่งเป็นเวกเตอร์ที่ LLM เข้าใจได้โดยตรง และใช้ policy network ที่ฝึกด้วย reinforcement learning เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token เต็มรูปแบบภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ

    ผลลัพธ์คือ ลดการใช้ KV cache และ attention cost ได้อย่างมาก ทำให้ latency ต่ำลงและ throughput สูงขึ้น โดยยังคงความแม่นยำของผลลัพธ์ไว้ได้

    จุดเด่นของ REFRAG

    ปรับปรุงกระบวนการ RAG โดยใช้ chunk embeddings แทน token เต็ม
    ใช้ policy network เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token
    ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ลดความแม่นยำ

    วิธีการทำงาน
    เอกสารถูกแบ่งเป็น chunk (~128 token) และแปลงเป็น embeddings
    embeddings ถูกส่งเข้า LLM โดยตรง พร้อมกับบาง chunk ที่ถูกขยายเป็น token
    policy network ตัดสินใจเลือก chunk ที่ควรขยาย โดยใช้ RL objective

    ผลกระทบเชิงธุรกิจ
    ลดต้นทุน inference และเพิ่มความเร็วตอบกลับ
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ใช้ RAG เช่น customer support, summarization, vertical agents
    เพิ่มจำนวน query ต่อ GPU และลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RAG คือการใช้การค้นคืนข้อมูลร่วมกับการสร้างข้อความจาก LLM
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ใน Wireguard และบางระบบ AI
    RL (Reinforcement Learning) ช่วยให้ policy network ตัดสินใจได้ดีขึ้นภายใต้ข้อจำกัด

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ต้องฝึก encoder และ projection ให้ LLM เข้าใจ embeddings
    การฝึก policy network ด้วย RL เพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนา
    การบีบอัดมากเกินไปอาจลดคุณภาพของผลลัพธ์
    embeddings ที่ precompute เหมาะกับข้อมูลคงที่ ไม่เหมาะกับข้อมูลที่เปลี่ยนบ่อย
    งานบางประเภท เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ อาจต้องใช้ token เต็มเพื่อความแม่นยำ

    https://paddedinputs.substack.com/p/meta-superintelligences-surprising
    🧪 “REFRAG — งานวิจัยแรกของ Meta Superintelligence ที่พลิกโฉม RAG ให้เร็วขึ้น 30 เท่า” ลองจินตนาการว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถตอบคำถามจากฐานข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30 เท่า โดยไม่ต้องเสียความแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่ Meta Superintelligence (MSI) นำเสนอในงานวิจัยแรกของพวกเขา “REFRAG” ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ค้นมาให้ LLM ประมวลผล REFRAG ใช้เทคนิคใหม่ที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็น “chunk embeddings” ซึ่งเป็นเวกเตอร์ที่ LLM เข้าใจได้โดยตรง และใช้ policy network ที่ฝึกด้วย reinforcement learning เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token เต็มรูปแบบภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ผลลัพธ์คือ ลดการใช้ KV cache และ attention cost ได้อย่างมาก ทำให้ latency ต่ำลงและ throughput สูงขึ้น โดยยังคงความแม่นยำของผลลัพธ์ไว้ได้ ✅ จุดเด่นของ REFRAG ➡️ ปรับปรุงกระบวนการ RAG โดยใช้ chunk embeddings แทน token เต็ม ➡️ ใช้ policy network เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token ➡️ ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ลดความแม่นยำ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ เอกสารถูกแบ่งเป็น chunk (~128 token) และแปลงเป็น embeddings ➡️ embeddings ถูกส่งเข้า LLM โดยตรง พร้อมกับบาง chunk ที่ถูกขยายเป็น token ➡️ policy network ตัดสินใจเลือก chunk ที่ควรขยาย โดยใช้ RL objective ✅ ผลกระทบเชิงธุรกิจ ➡️ ลดต้นทุน inference และเพิ่มความเร็วตอบกลับ ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ใช้ RAG เช่น customer support, summarization, vertical agents ➡️ เพิ่มจำนวน query ต่อ GPU และลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RAG คือการใช้การค้นคืนข้อมูลร่วมกับการสร้างข้อความจาก LLM ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ใน Wireguard และบางระบบ AI ➡️ RL (Reinforcement Learning) ช่วยให้ policy network ตัดสินใจได้ดีขึ้นภายใต้ข้อจำกัด ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ต้องฝึก encoder และ projection ให้ LLM เข้าใจ embeddings ⛔ การฝึก policy network ด้วย RL เพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนา ⛔ การบีบอัดมากเกินไปอาจลดคุณภาพของผลลัพธ์ ⛔ embeddings ที่ precompute เหมาะกับข้อมูลคงที่ ไม่เหมาะกับข้อมูลที่เปลี่ยนบ่อย ⛔ งานบางประเภท เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ อาจต้องใช้ token เต็มเพื่อความแม่นยำ https://paddedinputs.substack.com/p/meta-superintelligences-surprising
    PADDEDINPUTS.SUBSTACK.COM
    Meta Superintelligence’s surprising first paper
    Long awaited first paper from Meta Superintelligence Labs is not a model layer innovation. What does this mean?
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • “Pebble กลับมาอีกครั้ง! เปิดตัว Appstore ใหม่ พร้อมนาฬิการุ่นล่าสุดและเครื่องมือพัฒนาอัจฉริยะ”

    ลองจินตนาการว่าแบรนด์นาฬิกาอัจฉริยะที่เคยเป็นขวัญใจนักพัฒนาเมื่อสิบปีก่อน กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมกับการเปิดตัว Pebble Appstore ใหม่ที่เต็มไปด้วยแอปเก่าและใหม่จากชุมชนผู้พัฒนา และนาฬิการุ่นล่าสุด Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการสนับสนุนจาก Rebble กลุ่มผู้รักษาไฟ Pebble ให้ลุกโชนต่อเนื่องตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา

    Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้ประกาศข่าวดีนี้ผ่านบล็อกส่วนตัว โดยเล่าถึงความคืบหน้าในการผลิตนาฬิการุ่นใหม่ การพัฒนา Appstore และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา รวมถึงความร่วมมือกับ Rebble ที่ช่วยให้ PebbleOS กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโลกโอเพนซอร์ส

    นอกจากนั้นยังมีการเปิดตัว SDK ที่อัปเดตใหม่ รองรับ Python 3 และ Cloud IDE ที่ให้คุณสร้างแอปได้ในเบราว์เซอร์ภายใน 2 นาที พร้อมฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสร้างแอปอัตโนมัติ และแผนการพัฒนา SDK ที่จะรองรับเซ็นเซอร์ใหม่ๆ เช่น บารอมิเตอร์ ทัชสกรีน และลำโพง

    แม้จะมีความล่าช้าในการผลิตและข้อจำกัดบางประการ เช่น แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานได้เต็มที่ แต่ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาก็ยังคงตื่นเต้นและพร้อมกลับมาสร้างสิ่งใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มนี้อีกครั้ง

    สรุปเนื้อหาจากข่าว
    การกลับมาของ Pebble Appstore
    เปิดตัวใหม่บนเว็บไซต์ apps.rePebble.com
    รวมแอปเก่าและใหม่กว่า 2,000 แอป และ 10,000 หน้าปัดนาฬิกา
    เพิ่มฟีเจอร์แนะนำแอปคล้ายกัน และแชร์ลิงก์ผ่านโซเชียล

    ความร่วมมือกับ Rebble
    Rebble เป็นพันธมิตรหลักในการเปิด Appstore ใหม่
    ให้บริการ backend และ dev portal โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก
    Core Devices สนับสนุนเงินทุนให้ Rebble โดยตรง

    การผลิตนาฬิการุ่นใหม่
    Pebble 2 Duo สีขาวผลิตแล้ว 2,960 เรือนในเดือนกันยายน
    Pebble Time 2 อยู่ในขั้นตอน DVT และคาดว่าจะผลิตจริงปลายธันวาคม
    รองรับการขยายหน้าจอแอปเก่าให้เต็มจอ PT2

    เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา
    SDK อัปเดตจาก Python 2 เป็น Python 3
    Cloud IDE สร้างแอปในเบราว์เซอร์ได้ภายใน 2 นาที
    รองรับการสร้างแอปด้วย AI ผ่านคำสั่ง pebble new-project --ai
    รองรับการทดสอบบน emulator รุ่นใหม่
    แผนพัฒนา SDK รวมถึง API ใหม่และ JS SDK จาก Moddable

    ความเห็นจากชุมชน
    นักพัฒนาเก่ากลับมาสร้างแอปใหม่อีกครั้ง
    ผู้ใช้ตื่นเต้นกับการกลับมาของ Pebble และการสนับสนุนจาก Rebble
    มีข้อเสนอแนะให้เพิ่มระบบตรวจสอบแอปที่ยังใช้งานได้

    คำเตือนและข้อจำกัด
    แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานเนื่องจาก API ที่ล้าสมัยหรือหน้าตั้งค่าที่เสีย
    การผลิต Pebble Time 2 ล่าช้ากว่ากำหนด อาจส่งผลต่อการจัดส่ง
    แอปที่สร้างด้วย AI อาจมีคุณภาพไม่เสถียร หากผู้สร้างไม่มีความรู้ในการแก้ไข
    แอปมือถือใหม่ยังไม่เปิดซอร์ส ทำให้บางผู้ใช้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    https://ericmigi.com/blog/re-introducing-the-pebble-appstore
    ⌚ “Pebble กลับมาอีกครั้ง! เปิดตัว Appstore ใหม่ พร้อมนาฬิการุ่นล่าสุดและเครื่องมือพัฒนาอัจฉริยะ” ลองจินตนาการว่าแบรนด์นาฬิกาอัจฉริยะที่เคยเป็นขวัญใจนักพัฒนาเมื่อสิบปีก่อน กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมกับการเปิดตัว Pebble Appstore ใหม่ที่เต็มไปด้วยแอปเก่าและใหม่จากชุมชนผู้พัฒนา และนาฬิการุ่นล่าสุด Pebble 2 Duo และ Pebble Time 2 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการสนับสนุนจาก Rebble กลุ่มผู้รักษาไฟ Pebble ให้ลุกโชนต่อเนื่องตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้ประกาศข่าวดีนี้ผ่านบล็อกส่วนตัว โดยเล่าถึงความคืบหน้าในการผลิตนาฬิการุ่นใหม่ การพัฒนา Appstore และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา รวมถึงความร่วมมือกับ Rebble ที่ช่วยให้ PebbleOS กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในโลกโอเพนซอร์ส นอกจากนั้นยังมีการเปิดตัว SDK ที่อัปเดตใหม่ รองรับ Python 3 และ Cloud IDE ที่ให้คุณสร้างแอปได้ในเบราว์เซอร์ภายใน 2 นาที พร้อมฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสร้างแอปอัตโนมัติ และแผนการพัฒนา SDK ที่จะรองรับเซ็นเซอร์ใหม่ๆ เช่น บารอมิเตอร์ ทัชสกรีน และลำโพง แม้จะมีความล่าช้าในการผลิตและข้อจำกัดบางประการ เช่น แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานได้เต็มที่ แต่ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาก็ยังคงตื่นเต้นและพร้อมกลับมาสร้างสิ่งใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มนี้อีกครั้ง สรุปเนื้อหาจากข่าว ✅ การกลับมาของ Pebble Appstore ➡️ เปิดตัวใหม่บนเว็บไซต์ apps.rePebble.com ➡️ รวมแอปเก่าและใหม่กว่า 2,000 แอป และ 10,000 หน้าปัดนาฬิกา ➡️ เพิ่มฟีเจอร์แนะนำแอปคล้ายกัน และแชร์ลิงก์ผ่านโซเชียล ✅ ความร่วมมือกับ Rebble ➡️ Rebble เป็นพันธมิตรหลักในการเปิด Appstore ใหม่ ➡️ ให้บริการ backend และ dev portal โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ➡️ Core Devices สนับสนุนเงินทุนให้ Rebble โดยตรง ✅ การผลิตนาฬิการุ่นใหม่ ➡️ Pebble 2 Duo สีขาวผลิตแล้ว 2,960 เรือนในเดือนกันยายน ➡️ Pebble Time 2 อยู่ในขั้นตอน DVT และคาดว่าจะผลิตจริงปลายธันวาคม ➡️ รองรับการขยายหน้าจอแอปเก่าให้เต็มจอ PT2 ✅ เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ➡️ SDK อัปเดตจาก Python 2 เป็น Python 3 ➡️ Cloud IDE สร้างแอปในเบราว์เซอร์ได้ภายใน 2 นาที ➡️ รองรับการสร้างแอปด้วย AI ผ่านคำสั่ง pebble new-project --ai ➡️ รองรับการทดสอบบน emulator รุ่นใหม่ ➡️ แผนพัฒนา SDK รวมถึง API ใหม่และ JS SDK จาก Moddable ✅ ความเห็นจากชุมชน ➡️ นักพัฒนาเก่ากลับมาสร้างแอปใหม่อีกครั้ง ➡️ ผู้ใช้ตื่นเต้นกับการกลับมาของ Pebble และการสนับสนุนจาก Rebble ➡️ มีข้อเสนอแนะให้เพิ่มระบบตรวจสอบแอปที่ยังใช้งานได้ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ แอปเก่าบางตัวอาจไม่ทำงานเนื่องจาก API ที่ล้าสมัยหรือหน้าตั้งค่าที่เสีย ⛔ การผลิต Pebble Time 2 ล่าช้ากว่ากำหนด อาจส่งผลต่อการจัดส่ง ⛔ แอปที่สร้างด้วย AI อาจมีคุณภาพไม่เสถียร หากผู้สร้างไม่มีความรู้ในการแก้ไข ⛔ แอปมือถือใหม่ยังไม่เปิดซอร์ส ทำให้บางผู้ใช้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว https://ericmigi.com/blog/re-introducing-the-pebble-appstore
    ERICMIGI.COM
    (re)Introducing the Pebble Appstore
    (re)Introducing the Pebble Appstore
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: เยอรมนีเดินหน้าสู่อิสรภาพดิจิทัล! รัฐ Schleswig-Holstein เปลี่ยนอีเมลภาครัฐทั้งหมดเป็นโอเพ่นซอร์ส

    ลองจินตนาการว่าระบบอีเมลของหน่วยงานรัฐทั้งหมดในประเทศหนึ่ง ถูกเปลี่ยนจาก Microsoft Exchange และ Outlook มาใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สอย่าง Open-Xchange และ Thunderbird — นี่ไม่ใช่แค่ความฝันของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในรัฐ Schleswig-Holstein ของเยอรมนี!

    เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 รัฐ Schleswig-Holstein ได้ประกาศความสำเร็จในการย้ายระบบอีเมลของหน่วยงานรัฐกว่า 30,000 คน ไปใช้ระบบโอเพ่นซอร์สอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการย้ายข้อมูลกว่า 100 ล้านรายการ ทั้งอีเมลและปฏิทิน จากระบบเดิมของ Microsoft ไปยังระบบใหม่ที่ปลอดภัยและเปิดกว้างมากขึ้น

    แม้การเปลี่ยนผ่านจะใช้เวลาถึง 6 เดือน และมีอุปสรรค เช่น การหยุดชะงักของระบบและความล่าช้าในการรับส่งอีเมล แต่รัฐก็สามารถฝ่าฟันและดำเนินการได้สำเร็จ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “อธิปไตยทางดิจิทัล” และลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ

    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์โอเพ่นซอร์สที่รัฐ Schleswig-Holstein วางแผนไว้หลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ได้เปลี่ยนจาก Microsoft Office มาใช้ LibreOffice เป็นซอฟต์แวร์สำนักงานหลักของรัฐ

    รัฐยังประกาศชัดว่าโครงการนี้ไม่มีแบบอย่างที่ใกล้เคียงในโลก และพวกเขาพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ให้กับประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการเดินตามเส้นทางเดียวกัน

    นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจ:
    Open-Xchange เป็นระบบอีเมลเซิร์ฟเวอร์แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในยุโรป
    Thunderbird เป็นไคลเอนต์อีเมลที่พัฒนาโดย Mozilla ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและรองรับหลายแพลตฟอร์ม
    การเปลี่ยนระบบอีเมลในระดับรัฐเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความเสถียร และการฝึกอบรมบุคลากร

    สรุปเนื้อหาข่าวและข้อมูลเสริม
    รัฐ Schleswig-Holstein เปลี่ยนระบบอีเมลภาครัฐเป็นโอเพ่นซอร์ส
    ย้ายจาก Microsoft Exchange และ Outlook ไปใช้ Open-Xchange และ Thunderbird
    ครอบคลุมหน่วยงานรัฐกว่า 30,000 คน และข้อมูลกว่า 100 ล้านรายการ

    ระยะเวลาและความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน
    ใช้เวลานานถึง 6 เดือนในการดำเนินการ
    พบปัญหาการหยุดชะงักและความล่าช้าในการรับส่งอีเมล

    เป้าหมายของโครงการ
    สร้างอธิปไตยทางดิจิทัล ลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์โอเพ่นซอร์สที่วางแผนไว้หลายปี

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    รัฐได้เปลี่ยนมาใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office แล้ว
    มีแนวโน้มจะเปลี่ยนระบบอื่น ๆ ไปสู่โอเพ่นซอร์สในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Open-Xchange รองรับการทำงานร่วมกับระบบอื่นและมีความปลอดภัยสูง
    Thunderbird มีระบบป้องกันสแปมและเข้ารหัสอีเมล
    การเปลี่ยนระบบในระดับรัฐต้องมีการวางแผนด้านความปลอดภัยและการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น

    คำเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบขนาดใหญ่
    อาจเกิดความล่าช้าและหยุดชะงักของบริการในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    ต้องเตรียมแผนสำรองและการสื่อสารกับประชาชนอย่างชัดเจน
    บุคลากรต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อใช้งานระบบใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

    นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของโลกโอเพ่นซอร์ส ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลก็สามารถเลือกเส้นทางที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นอิสระได้เช่นกันครับ

    https://news.itsfoss.com/schleswig-holstein-email-system-migration/
    📰 หัวข้อข่าว: เยอรมนีเดินหน้าสู่อิสรภาพดิจิทัล! รัฐ Schleswig-Holstein เปลี่ยนอีเมลภาครัฐทั้งหมดเป็นโอเพ่นซอร์ส ลองจินตนาการว่าระบบอีเมลของหน่วยงานรัฐทั้งหมดในประเทศหนึ่ง ถูกเปลี่ยนจาก Microsoft Exchange และ Outlook มาใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สอย่าง Open-Xchange และ Thunderbird — นี่ไม่ใช่แค่ความฝันของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในรัฐ Schleswig-Holstein ของเยอรมนี! เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 รัฐ Schleswig-Holstein ได้ประกาศความสำเร็จในการย้ายระบบอีเมลของหน่วยงานรัฐกว่า 30,000 คน ไปใช้ระบบโอเพ่นซอร์สอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการย้ายข้อมูลกว่า 100 ล้านรายการ ทั้งอีเมลและปฏิทิน จากระบบเดิมของ Microsoft ไปยังระบบใหม่ที่ปลอดภัยและเปิดกว้างมากขึ้น แม้การเปลี่ยนผ่านจะใช้เวลาถึง 6 เดือน และมีอุปสรรค เช่น การหยุดชะงักของระบบและความล่าช้าในการรับส่งอีเมล แต่รัฐก็สามารถฝ่าฟันและดำเนินการได้สำเร็จ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “อธิปไตยทางดิจิทัล” และลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์โอเพ่นซอร์สที่รัฐ Schleswig-Holstein วางแผนไว้หลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ได้เปลี่ยนจาก Microsoft Office มาใช้ LibreOffice เป็นซอฟต์แวร์สำนักงานหลักของรัฐ รัฐยังประกาศชัดว่าโครงการนี้ไม่มีแบบอย่างที่ใกล้เคียงในโลก และพวกเขาพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ให้กับประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการเดินตามเส้นทางเดียวกัน นอกเหนือจากข่าวนี้ ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจ: ⭐ Open-Xchange เป็นระบบอีเมลเซิร์ฟเวอร์แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในยุโรป ⭐ Thunderbird เป็นไคลเอนต์อีเมลที่พัฒนาโดย Mozilla ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและรองรับหลายแพลตฟอร์ม ⭐ การเปลี่ยนระบบอีเมลในระดับรัฐเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความเสถียร และการฝึกอบรมบุคลากร 📌 สรุปเนื้อหาข่าวและข้อมูลเสริม ✅ รัฐ Schleswig-Holstein เปลี่ยนระบบอีเมลภาครัฐเป็นโอเพ่นซอร์ส ➡️ ย้ายจาก Microsoft Exchange และ Outlook ไปใช้ Open-Xchange และ Thunderbird ➡️ ครอบคลุมหน่วยงานรัฐกว่า 30,000 คน และข้อมูลกว่า 100 ล้านรายการ ✅ ระยะเวลาและความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน ➡️ ใช้เวลานานถึง 6 เดือนในการดำเนินการ ➡️ พบปัญหาการหยุดชะงักและความล่าช้าในการรับส่งอีเมล ✅ เป้าหมายของโครงการ ➡️ สร้างอธิปไตยทางดิจิทัล ลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์โอเพ่นซอร์สที่วางแผนไว้หลายปี ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ รัฐได้เปลี่ยนมาใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office แล้ว ➡️ มีแนวโน้มจะเปลี่ยนระบบอื่น ๆ ไปสู่โอเพ่นซอร์สในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Open-Xchange รองรับการทำงานร่วมกับระบบอื่นและมีความปลอดภัยสูง ➡️ Thunderbird มีระบบป้องกันสแปมและเข้ารหัสอีเมล ➡️ การเปลี่ยนระบบในระดับรัฐต้องมีการวางแผนด้านความปลอดภัยและการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบขนาดใหญ่ ⛔ อาจเกิดความล่าช้าและหยุดชะงักของบริการในช่วงเปลี่ยนผ่าน ⛔ ต้องเตรียมแผนสำรองและการสื่อสารกับประชาชนอย่างชัดเจน ⛔ บุคลากรต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อใช้งานระบบใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของโลกโอเพ่นซอร์ส ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลก็สามารถเลือกเส้นทางที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นอิสระได้เช่นกันครับ https://news.itsfoss.com/schleswig-holstein-email-system-migration/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Good News! Germany's Schleswig-Holstein Completes Massive Migration to Open Source Email Systems
    German state achieves digital sovereignty by ditching Microsoft for open source solutions.
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews


  • #พรบการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือคาร์บอนเครติดคือภัยพิบัติคนไทยเรา หรือมุกแอบแฝงควบคุมคาร์บอนให้ต่ำลง เป้าหมายควบคุมประชาชนในประเทศนั้นทั้งหมดให้เป็นทาสขี้ข้าโดยเบ็ดเสร็จของอีลิทไซออนิสต์deep state อะเจนด้า30ที่ต้องการ,

    #รัฐบาลสามารถควบคุมCBDCเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์เชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้า

    #รัฐบาลสามารถควบคุมปริมาณคาร์บอนของคุณ

    #รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงิน

    #รัฐบาลสามารถควบคุมระบบเครดิตทางสังคมของ

    #รัฐบาลสามารถควบคุมโปรแกรมCBDCให้หยุดเงินของคุณได้ทั้งหมด


    จีนคือตัวพ่อเผด็จการจะยึดโลกควบคุมมนุษย์ อีลิทไซออนิสต์deep stateโลกมันทิ้งอเมริกาย้ายมาใช้งานจีนแล้ว.,เหมือนทิ้งอังกฤษปอนด์ ไปหาอเมริกาดอลล่าร์เพื่อควบคุมโลก ในโลกยุคใหม่ที่เราเห็นกันชัดๆที่ผ่านๆมา,ตอนนี้กำลังจะเขียนบริบทโลกใหม่อีกแล้ว ยูโรปทางตัน อเมริกาก็ทางตัน ,จีนคือตัวเลือก ,ทิ้งดอลล่าร์ใช้หยวนนั้นเองในโลกทางการเงิน,แต่ความจริงระบบคอมมิวนิสต์ต่างหากที่เหมาะสมกับสไตล์อีลิทมัน,อังกฤษและอเมริกามันลองใช้แล้วล้มเหลว จึงจะใช้ระบบเผด็จการแทนในการทดสอบครั้งนี้ในยุคใหม่นี้ มันจึงถ่ายทอดเทคโนโลยีย้ายโอนมาอัดมาใส่ที่จีน,คนจีนคือห้องทดลองผิวโลกขนาดใหญ่ของมันที่ผ่านๆมา.,ทางเลือกมีแค่คนจีนดีๆจะลุกขึ้นสู้ร่วมต่อต้านระบบเผด็จการปลดปล่อยตนเองทั้งประเทศจีนเท่านั้น.,หรืออเมริกายิงขีปนาวุธถล่มจีนปลดปล่อยชาวจีนเท่านั้น,โดยอเมริกาก็ปลดปล่อยตนเองจากอีลิทเองด้วยซึ่งถูกกดขี่มานานเช่นกัน.
    ..ในสภาฯไทยเรา นายกฯอนุทินประกาศชัดเจนเหมือนมุ่งเน้นเจตนารมณ์ตามคำสั่งอีลิทเด่นมาก,ซึ่งจริงๆไม่ต้องอ่านหรือเขียนอย่างเป็นทางการก็ได้,รวมเอาพรบ.สภาพอากาศมายื่นพื้นช่วยค้ำให้อีลิทด้วย รับไม้ต่อชัดเจนไม่ว่าจะเปลี่ยนใครมาเป็นนายกฯ เหมือนไม่แตะบ่อปิโตรเลี่ยน บ่อน้ำมันไทยเลยนั้นล่ะ ถ้าประกาศว่าจะยกเลิกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่เคยผ่านสภาสส.สว.อันขัดต่อความมั่นคงทางอธิปไตยของชาติด้านพลังงานของรัฐธรรมนูญแม่บทเรา ถ้าประกาศแบบนี้จะดีมาก ยกเลิกเลย,แต่ไม่แตะเลย,วิกฤติเศรษฐกิจไทยแค่ลดราคาน้ำมันลงเหลือ1-2บาทแบบอิหร่าน เราจะผ่านพ้นทันทีทั้งประเทศ เสมือนยึดแดนดินคืนจากเขมรที่เสาหมุด1:1 ทั้ง73-74เสาเขตแดนตั้งเป็นฐานเดิมเรื่องเขตแดนก็จบแล้ว,mouใดๆถือว่าโมฆะหมด,เรามีนายกฯที่ไม่มีฝีมือ ไม่กล้าหาญจริงแต่นั้น,,นายกฯกล้าหาญคือโมฆะสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมด ยึดดินแดนไทยคืนจากเขมร,สร้างรั้วลวดหนามตลอดแนวพรมแดนไทยกับเขมร,ปิดด่านไทยเขมรไม่มีกำหนดจนกว่าเขมรจะหมดสิ้นสภาพสถานะมาเป็นภัยร้ายแรงคุกคามกับไทยได้อีกพร้อมคว่ำบาตรเขมรทุกๆช่องทางทั้งหมดด้วย,กรณีโจรใต้เราก็สร้างรั้วลวดหนามถาวรตลอดแนวพรมแดนกว่า600กม.ด้วยเช่นกัน.,นี้คือพื้นฐานจริงที่นายกฯประเทศต้องทำทันทีในยุคนี้ ปลดปล่อยประเทศไทย กอบกู้ชาติไทยคืนจากการผูกขาดทรัพยากรชาติไทยจากต่างชาติทั้งหมด,เมื่อนายกฯในอดีตชั่วเลว นายกฯปัจจุบันไม่จำเป็นต้องคงสิ่งชั่วเลวที่มันร่วมกันทำไว้,เพราะอำนาจนายกฯอยู่ในมือตนแล้วในปัจจุบัน,เรามีผู้นำผู้ปกครองทันหมากอีลิทย่อมต่อกรหรือชนะได้แน่เช่นกัน.,ผ่านพ้นภัยอันตรายลักษณะผีบ้าที่คอมมิวนิสต์จีนทำกับประชาชนพลเมืองมันด้วย.

    [...CBDC ของจีนเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์ที่จำเป็น ซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้าอันกว้างขวาง

    ประชาชนสามารถชำระค่าสิ่งของได้อย่าง "สะดวก" โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยนอกจากใบหน้า

    แต่สิ่งนี้ยังทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงินของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์

    ลองนึกภาพผู้หญิงคนนี้ต้องการซื้อโคล่า แต่ในเดือนนี้เธอได้เกินปริมาณคาร์บอนที่อนุญาตไว้แล้ว สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้ปฏิเสธธุรกรรมโดยอัลกอริทึมได้

    หรือจินตนาการว่าเธอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทางโซเชียลมีเดีย และพบว่าตัวเองถูกขึ้นบัญชีดำโดยระบบเครดิตทางสังคมของจีน สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้หยุดเงินทุนของเธอได้ทั้งหมด

    อย่าพลาด: ฝันร้ายดิสโทเปียนี้กำลังจะเกิดขึ้นในโลกตะวันตก หากเรายอมให้รัฐบาลหลอกให้เรายอมรับ ID ดิจิทัลและ CBDC ]
    #พรบการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือคาร์บอนเครติดคือภัยพิบัติคนไทยเรา หรือมุกแอบแฝงควบคุมคาร์บอนให้ต่ำลง เป้าหมายควบคุมประชาชนในประเทศนั้นทั้งหมดให้เป็นทาสขี้ข้าโดยเบ็ดเสร็จของอีลิทไซออนิสต์deep state อะเจนด้า30ที่ต้องการ, #รัฐบาลสามารถควบคุมCBDCเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์เชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้า #รัฐบาลสามารถควบคุมปริมาณคาร์บอนของคุณ #รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงิน #รัฐบาลสามารถควบคุมระบบเครดิตทางสังคมของ #รัฐบาลสามารถควบคุมโปรแกรมCBDCให้หยุดเงินของคุณได้ทั้งหมด จีนคือตัวพ่อเผด็จการจะยึดโลกควบคุมมนุษย์ อีลิทไซออนิสต์deep stateโลกมันทิ้งอเมริกาย้ายมาใช้งานจีนแล้ว.,เหมือนทิ้งอังกฤษปอนด์ ไปหาอเมริกาดอลล่าร์เพื่อควบคุมโลก ในโลกยุคใหม่ที่เราเห็นกันชัดๆที่ผ่านๆมา,ตอนนี้กำลังจะเขียนบริบทโลกใหม่อีกแล้ว ยูโรปทางตัน อเมริกาก็ทางตัน ,จีนคือตัวเลือก ,ทิ้งดอลล่าร์ใช้หยวนนั้นเองในโลกทางการเงิน,แต่ความจริงระบบคอมมิวนิสต์ต่างหากที่เหมาะสมกับสไตล์อีลิทมัน,อังกฤษและอเมริกามันลองใช้แล้วล้มเหลว จึงจะใช้ระบบเผด็จการแทนในการทดสอบครั้งนี้ในยุคใหม่นี้ มันจึงถ่ายทอดเทคโนโลยีย้ายโอนมาอัดมาใส่ที่จีน,คนจีนคือห้องทดลองผิวโลกขนาดใหญ่ของมันที่ผ่านๆมา.,ทางเลือกมีแค่คนจีนดีๆจะลุกขึ้นสู้ร่วมต่อต้านระบบเผด็จการปลดปล่อยตนเองทั้งประเทศจีนเท่านั้น.,หรืออเมริกายิงขีปนาวุธถล่มจีนปลดปล่อยชาวจีนเท่านั้น,โดยอเมริกาก็ปลดปล่อยตนเองจากอีลิทเองด้วยซึ่งถูกกดขี่มานานเช่นกัน. ..ในสภาฯไทยเรา นายกฯอนุทินประกาศชัดเจนเหมือนมุ่งเน้นเจตนารมณ์ตามคำสั่งอีลิทเด่นมาก,ซึ่งจริงๆไม่ต้องอ่านหรือเขียนอย่างเป็นทางการก็ได้,รวมเอาพรบ.สภาพอากาศมายื่นพื้นช่วยค้ำให้อีลิทด้วย รับไม้ต่อชัดเจนไม่ว่าจะเปลี่ยนใครมาเป็นนายกฯ เหมือนไม่แตะบ่อปิโตรเลี่ยน บ่อน้ำมันไทยเลยนั้นล่ะ ถ้าประกาศว่าจะยกเลิกสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่เคยผ่านสภาสส.สว.อันขัดต่อความมั่นคงทางอธิปไตยของชาติด้านพลังงานของรัฐธรรมนูญแม่บทเรา ถ้าประกาศแบบนี้จะดีมาก ยกเลิกเลย,แต่ไม่แตะเลย,วิกฤติเศรษฐกิจไทยแค่ลดราคาน้ำมันลงเหลือ1-2บาทแบบอิหร่าน เราจะผ่านพ้นทันทีทั้งประเทศ เสมือนยึดแดนดินคืนจากเขมรที่เสาหมุด1:1 ทั้ง73-74เสาเขตแดนตั้งเป็นฐานเดิมเรื่องเขตแดนก็จบแล้ว,mouใดๆถือว่าโมฆะหมด,เรามีนายกฯที่ไม่มีฝีมือ ไม่กล้าหาญจริงแต่นั้น,,นายกฯกล้าหาญคือโมฆะสัมปทานบ่อน้ำมันทั้งหมด ยึดดินแดนไทยคืนจากเขมร,สร้างรั้วลวดหนามตลอดแนวพรมแดนไทยกับเขมร,ปิดด่านไทยเขมรไม่มีกำหนดจนกว่าเขมรจะหมดสิ้นสภาพสถานะมาเป็นภัยร้ายแรงคุกคามกับไทยได้อีกพร้อมคว่ำบาตรเขมรทุกๆช่องทางทั้งหมดด้วย,กรณีโจรใต้เราก็สร้างรั้วลวดหนามถาวรตลอดแนวพรมแดนกว่า600กม.ด้วยเช่นกัน.,นี้คือพื้นฐานจริงที่นายกฯประเทศต้องทำทันทีในยุคนี้ ปลดปล่อยประเทศไทย กอบกู้ชาติไทยคืนจากการผูกขาดทรัพยากรชาติไทยจากต่างชาติทั้งหมด,เมื่อนายกฯในอดีตชั่วเลว นายกฯปัจจุบันไม่จำเป็นต้องคงสิ่งชั่วเลวที่มันร่วมกันทำไว้,เพราะอำนาจนายกฯอยู่ในมือตนแล้วในปัจจุบัน,เรามีผู้นำผู้ปกครองทันหมากอีลิทย่อมต่อกรหรือชนะได้แน่เช่นกัน.,ผ่านพ้นภัยอันตรายลักษณะผีบ้าที่คอมมิวนิสต์จีนทำกับประชาชนพลเมืองมันด้วย. [...CBDC ของจีนเชื่อมต่อกับรหัสดิจิทัลไบโอเมตริกซ์ที่จำเป็น ซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้าอันกว้างขวาง ประชาชนสามารถชำระค่าสิ่งของได้อย่าง "สะดวก" โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยนอกจากใบหน้า แต่สิ่งนี้ยังทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงินของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ ลองนึกภาพผู้หญิงคนนี้ต้องการซื้อโคล่า แต่ในเดือนนี้เธอได้เกินปริมาณคาร์บอนที่อนุญาตไว้แล้ว สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้ปฏิเสธธุรกรรมโดยอัลกอริทึมได้ หรือจินตนาการว่าเธอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทางโซเชียลมีเดีย และพบว่าตัวเองถูกขึ้นบัญชีดำโดยระบบเครดิตทางสังคมของจีน สามารถตั้งโปรแกรม CBDC ให้หยุดเงินทุนของเธอได้ทั้งหมด อย่าพลาด: ฝันร้ายดิสโทเปียนี้กำลังจะเกิดขึ้นในโลกตะวันตก หากเรายอมให้รัฐบาลหลอกให้เรายอมรับ ID ดิจิทัลและ CBDC ]
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • “10 ยานพาหนะไซไฟในตำนานจากหนังและซีรีส์ — จาก Millennium Falcon ถึง Optimus Prime”

    โลกภาพยนตร์ไซไฟไม่เพียงแต่พาเราท่องไปในอวกาศหรืออนาคตอันไกลโพ้น แต่ยังสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคและจินตนาการของผู้ชมทั่วโลก บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 10 ยานพาหนะไซไฟที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละคันไม่เพียงมีดีไซน์ล้ำยุค แต่ยังมีเรื่องราวและเทคโนโลยีที่ทำให้แฟน ๆ จดจำไม่ลืม

    ยานพาหนะไซไฟในตำนาน
    Millennium Falcon — ยาน Corellian freighter ที่เร็วเกินกว่าความเร็วแสง
    KITT — รถ AI จาก Knight Rider ที่พูดได้ ขับเองได้ และวิเคราะห์อาชญากรรม
    Batmobile — เวอร์ชัน 1989 มี afterburner, bomb dispenser และระบบป้องกัน
    DeLorean — รถย้อนเวลาใน Back to the Future ที่บินได้และใช้ขยะเป็นพลังงาน
    Light Cycles — มอเตอร์ไซค์ดิจิทัลจาก Tron ที่ทิ้งแสงไว้เบื้องหลัง
    USS Enterprise — ยานสำรวจอวกาศจาก Star Trek ที่มี warp drive และ Holodeck
    TARDIS — กล่องโทรศัพท์ที่ใหญ่กว่าภายในจาก Doctor Who
    Spinners — รถบินจาก Blade Runner ที่หมุนตัวได้และบินแนวดิ่ง
    Optimus Prime — หุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกจาก Transformers
    V8 Interceptor — รถกล้ามจาก Mad Max ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกหลังหายนะ

    https://www.slashgear.com/1679666/most-iconic-sci-fi-vehicles-movies-tv/
    🚀 “10 ยานพาหนะไซไฟในตำนานจากหนังและซีรีส์ — จาก Millennium Falcon ถึง Optimus Prime” โลกภาพยนตร์ไซไฟไม่เพียงแต่พาเราท่องไปในอวกาศหรืออนาคตอันไกลโพ้น แต่ยังสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคและจินตนาการของผู้ชมทั่วโลก บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 10 ยานพาหนะไซไฟที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละคันไม่เพียงมีดีไซน์ล้ำยุค แต่ยังมีเรื่องราวและเทคโนโลยีที่ทำให้แฟน ๆ จดจำไม่ลืม ✅ ยานพาหนะไซไฟในตำนาน ➡️ Millennium Falcon — ยาน Corellian freighter ที่เร็วเกินกว่าความเร็วแสง ➡️ KITT — รถ AI จาก Knight Rider ที่พูดได้ ขับเองได้ และวิเคราะห์อาชญากรรม ➡️ Batmobile — เวอร์ชัน 1989 มี afterburner, bomb dispenser และระบบป้องกัน ➡️ DeLorean — รถย้อนเวลาใน Back to the Future ที่บินได้และใช้ขยะเป็นพลังงาน ➡️ Light Cycles — มอเตอร์ไซค์ดิจิทัลจาก Tron ที่ทิ้งแสงไว้เบื้องหลัง ➡️ USS Enterprise — ยานสำรวจอวกาศจาก Star Trek ที่มี warp drive และ Holodeck ➡️ TARDIS — กล่องโทรศัพท์ที่ใหญ่กว่าภายในจาก Doctor Who ➡️ Spinners — รถบินจาก Blade Runner ที่หมุนตัวได้และบินแนวดิ่ง ➡️ Optimus Prime — หุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกจาก Transformers ➡️ V8 Interceptor — รถกล้ามจาก Mad Max ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกหลังหายนะ https://www.slashgear.com/1679666/most-iconic-sci-fi-vehicles-movies-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    10 Of The Most Iconic Sci-Fi Vehicles In Movies And TV - SlashGear
    Sci-Fi movies and TV have born so many examples of future-like technology, some of which that's led to real inventions. These are the most iconic examples.
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • หลวงปู่เทพโลกอุดรพิมพ์ยืนสมาธิ กรุวังหน้า
    หลวงปู่เทพโลกอุดร พิมพ์ยืนสมาธิ เนื้อผงพุทธคุณสีแดง (ผิวสะอาด พระสวยมาก)​ กรุวังหน้า //อธิษฐาน​จิตโดยหลวงปู่เทพ​โลก​อุดร​ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี เลื่อนยศ มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรีและป้องกันคุณไสยและภูตผีปีศาจ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >>

    ** หลวงปู่​เทพ​โลก​อุดร พิมพ์​ยืนสมาธิ​ กรุวังหน้า สร้างโดยโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    หลวงปู่เทพโลกอุดรพิมพ์ยืนสมาธิ กรุวังหน้า หลวงปู่เทพโลกอุดร พิมพ์ยืนสมาธิ เนื้อผงพุทธคุณสีแดง (ผิวสะอาด พระสวยมาก)​ กรุวังหน้า //อธิษฐาน​จิตโดยหลวงปู่เทพ​โลก​อุดร​ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี เลื่อนยศ มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรีและป้องกันคุณไสยและภูตผีปีศาจ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >> ** หลวงปู่​เทพ​โลก​อุดร พิมพ์​ยืนสมาธิ​ กรุวังหน้า สร้างโดยโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • “Chrysalis: ยานอวกาศยาว 36 ไมล์ที่จะพามนุษย์สู่ดาวอื่น — แต่ไม่มีวันกลับบ้าน”

    ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ — นั่นคือแนวคิดของ “Chrysalis” ยานอวกาศขนาดมหึมายาว 36 ไมล์ที่ออกแบบมาเพื่อพามนุษย์ 2,400 คนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาว Proxima Centauri b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4.25 ปีแสง หรือประมาณ 25 ล้านล้านไมล์

    Chrysalis ไม่ใช่แค่ยานอวกาศ แต่เป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่มีโครงสร้างแบบ nested layers คล้ายตุ๊กตารัสเซีย โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ — ชั้นในสุดเป็นฟาร์มและระบบชีวภาพจำลองของโลก เช่น ป่าร้อนและป่าเย็น ถัดออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวน ห้องสมุด และบ้านที่พิมพ์ด้วย 3D ส่วนชั้นนอกสุดเป็นโกดังเก็บทรัพยากรและอุปกรณ์ ซึ่งอาจควบคุมโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด

    เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีแรงโน้มถ่วง ยานจะหมุนช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี “Cosmos Dome” เป็นจุดชมวิวจักรวาลในสภาพไร้น้ำหนัก

    การเดินทางจะกินเวลาราว 400 ปี — หมายความว่าผู้โดยสารรุ่นแรกจะไม่มีวันเห็นจุดหมายปลายทาง ลูกหลานของพวกเขาจะเกิด เติบโต และตายบนยานนี้ โดยมีระบบการจัดการประชากรอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดช่วงอายุในการมีบุตรไว้ที่ 28–31 ปี และอนุญาตให้มีลูกได้ไม่เกินสองคน

    เพื่อเตรียมความพร้อม ทีมออกแบบเสนอให้ผู้โดยสารรุ่นแรกใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกาเป็นเวลา 70–80 ปี เพื่อฝึกความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและรุนแรง ก่อนขึ้นยานจริง

    แม้ Chrysalis จะยังเป็นแนวคิดในโครงการประกวด Project Hyperion แต่ก็ถือเป็นแบบจำลองที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้เทคโนโลยีที่ใกล้ความเป็นจริง เช่น nuclear fusion drive, ระบบ AI ร่วมบริหาร และโครงสร้างแบบ closed-loop ecosystem

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrysalis เป็นยานอวกาศแนวคิดที่ยาว 36 ไมล์ ออกแบบเพื่อเดินทางไปยัง Proxima Centauri b
    รองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,400 คน บนการเดินทางที่กินเวลาราว 400 ปี
    โครงสร้างแบบ concentric layers มีฟาร์ม, พื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม และโกดัง
    ใช้การหมุนเพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี Cosmos Dome เป็นจุดชมวิวจักรวาล
    ระบบประชากรจำกัดช่วงอายุในการมีบุตร และจำนวนลูกต่อคน
    เตรียมผู้โดยสารรุ่นแรกด้วยการใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกา 70–80 ปี
    ใช้ nuclear fusion drive เป็นแหล่งพลังงานและแรงขับเคลื่อน
    มีระบบบริหารร่วมระหว่างมนุษย์และ AI เพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคม
    เป็นแนวคิดที่ชนะการประกวด Project Hyperion Design Competition

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proxima Centauri b เป็นดาวเคราะห์ที่อาจมีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย
    Nuclear fusion drive ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Direct Fusion Drive ที่ใช้ helium-3 และ deuterium
    การสร้างยานขนาด 2.4 พันล้านตันต้องใช้จุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์
    การใช้ชีวิตแบบ multigenerational บนยานต้องมีระบบการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน
    โครงการนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการออกแบบระบบปิดสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

    https://www.slashgear.com/1979060/chrysalis-spacecraft-concept-details/
    🚀 “Chrysalis: ยานอวกาศยาว 36 ไมล์ที่จะพามนุษย์สู่ดาวอื่น — แต่ไม่มีวันกลับบ้าน” ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ — นั่นคือแนวคิดของ “Chrysalis” ยานอวกาศขนาดมหึมายาว 36 ไมล์ที่ออกแบบมาเพื่อพามนุษย์ 2,400 คนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาว Proxima Centauri b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4.25 ปีแสง หรือประมาณ 25 ล้านล้านไมล์ Chrysalis ไม่ใช่แค่ยานอวกาศ แต่เป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่มีโครงสร้างแบบ nested layers คล้ายตุ๊กตารัสเซีย โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ — ชั้นในสุดเป็นฟาร์มและระบบชีวภาพจำลองของโลก เช่น ป่าร้อนและป่าเย็น ถัดออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น สวน ห้องสมุด และบ้านที่พิมพ์ด้วย 3D ส่วนชั้นนอกสุดเป็นโกดังเก็บทรัพยากรและอุปกรณ์ ซึ่งอาจควบคุมโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีแรงโน้มถ่วง ยานจะหมุนช้า ๆ เพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี “Cosmos Dome” เป็นจุดชมวิวจักรวาลในสภาพไร้น้ำหนัก การเดินทางจะกินเวลาราว 400 ปี — หมายความว่าผู้โดยสารรุ่นแรกจะไม่มีวันเห็นจุดหมายปลายทาง ลูกหลานของพวกเขาจะเกิด เติบโต และตายบนยานนี้ โดยมีระบบการจัดการประชากรอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดช่วงอายุในการมีบุตรไว้ที่ 28–31 ปี และอนุญาตให้มีลูกได้ไม่เกินสองคน เพื่อเตรียมความพร้อม ทีมออกแบบเสนอให้ผู้โดยสารรุ่นแรกใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกาเป็นเวลา 70–80 ปี เพื่อฝึกความอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและรุนแรง ก่อนขึ้นยานจริง แม้ Chrysalis จะยังเป็นแนวคิดในโครงการประกวด Project Hyperion แต่ก็ถือเป็นแบบจำลองที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้เทคโนโลยีที่ใกล้ความเป็นจริง เช่น nuclear fusion drive, ระบบ AI ร่วมบริหาร และโครงสร้างแบบ closed-loop ecosystem ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrysalis เป็นยานอวกาศแนวคิดที่ยาว 36 ไมล์ ออกแบบเพื่อเดินทางไปยัง Proxima Centauri b ➡️ รองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,400 คน บนการเดินทางที่กินเวลาราว 400 ปี ➡️ โครงสร้างแบบ concentric layers มีฟาร์ม, พื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม และโกดัง ➡️ ใช้การหมุนเพื่อสร้างแรงโน้มถ่วงเทียม และมี Cosmos Dome เป็นจุดชมวิวจักรวาล ➡️ ระบบประชากรจำกัดช่วงอายุในการมีบุตร และจำนวนลูกต่อคน ➡️ เตรียมผู้โดยสารรุ่นแรกด้วยการใช้ชีวิตในแอนตาร์กติกา 70–80 ปี ➡️ ใช้ nuclear fusion drive เป็นแหล่งพลังงานและแรงขับเคลื่อน ➡️ มีระบบบริหารร่วมระหว่างมนุษย์และ AI เพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคม ➡️ เป็นแนวคิดที่ชนะการประกวด Project Hyperion Design Competition ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proxima Centauri b เป็นดาวเคราะห์ที่อาจมีสภาพเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย ➡️ Nuclear fusion drive ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Direct Fusion Drive ที่ใช้ helium-3 และ deuterium ➡️ การสร้างยานขนาด 2.4 พันล้านตันต้องใช้จุดสมดุลแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ➡️ การใช้ชีวิตแบบ multigenerational บนยานต้องมีระบบการศึกษาและสังคมที่ยั่งยืน ➡️ โครงการนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการออกแบบระบบปิดสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว https://www.slashgear.com/1979060/chrysalis-spacecraft-concept-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This 36-Mile Spacecraft Would Take Humanity To The Stars – With No Way Back - SlashGear
    While it's unlikely to come to fruition, designs for the 2.4-billion-ton Chrysalis could see humanity embark on a four-century journey to a new star.
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • พระพิมพ์พนมมือหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า
    พระพิมพ์พนมมือหลวงปู่เทพโลกอุดร เนื้อว่านไพลดำเหล็กไหล กรุวังหน้า //อธิษฐาน​จิตโดยหลวงปู่เทพ​โลก​อุดร​ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี เลื่อนยศ มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรีและป้องกันคุณไสยและภูตผีปีศาจ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >>

    ** พระพิมพ์พนมมือหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า สร้างโดยโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    พระพิมพ์พนมมือหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า พระพิมพ์พนมมือหลวงปู่เทพโลกอุดร เนื้อว่านไพลดำเหล็กไหล กรุวังหน้า //อธิษฐาน​จิตโดยหลวงปู่เทพ​โลก​อุดร​ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี เลื่อนยศ มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรีและป้องกันคุณไสยและภูตผีปีศาจ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >> ** พระพิมพ์พนมมือหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า สร้างโดยโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • “อินเทอร์เน็ตใหญ่แค่ไหน? — เมื่อข้อมูลทะลุ 181 Zettabytes และโลกต้องจ่ายด้วยพลังงานและน้ำมหาศาล”

    ลองจินตนาการว่าในเวลาเพียงหนึ่งนาทีของอินเทอร์เน็ต มีการสตรีม Netflix กว่าล้านชั่วโมง อัปโหลดวิดีโอ YouTube หลายพันชั่วโมง และโพสต์ภาพบน Instagram นับไม่ถ้วน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวินาที

    ข้อมูลทั่วโลกในปี 2024 มีปริมาณถึง 149 Zettabytes และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 181 Zettabytesภายในสิ้นปี 20252 โดยบางการคาดการณ์อาจอยู่ที่ 175 ZB แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซึ่ง Zettabyte หนึ่งเท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes — ขนาดที่สมองมนุษย์แทบจินตนาการไม่ออก

    แต่การวัด “ขนาดของอินเทอร์เน็ต” ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณข้อมูล เพราะยังมีข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Google หรือ search engine เช่น ฐานข้อมูลส่วนตัว แอปพลิเคชัน และเครือข่ายปิด ซึ่งเรียกรวมกันว่า “Deep Web” และยังมี “Dark Web” ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกกว่านั้นอีก

    ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นทุกวันกว่า 402 ล้าน Terabytes จากโพสต์โซเชียลมีเดีย วิดีโอ อุปกรณ์ IoT รถยนต์อัจฉริยะ และระบบคลาวด์ แม้แต่ CERN ก็ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์อนุภาค ซึ่งเทียบได้กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

    แต่เบื้องหลังโลกดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือผลกระทบทางกายภาพที่ไม่อาจมองข้าม — ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกใช้ไฟฟ้าราว 2% ของทั้งโลก และบางแห่งใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน แม้บางบริษัทจะเริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการขยายตัวของข้อมูลที่ไม่มีวันหยุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปริมาณข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่ 181 Zettabytes
    หนึ่ง Zettabyte เท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes
    ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นกว่า 402 ล้าน Terabytes ต่อวัน
    CERN ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์

    ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง
    Deep Web และ Dark Web ไม่สามารถเข้าถึงผ่าน search engine
    แอปพลิเคชันและเครือข่ายปิดมีข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ไม่ถูกนับรวม
    ขนาดของอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถวัดได้แน่นอน

    ผลกระทบทางกายภาพจากข้อมูล
    ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าราว 2% ของโลก
    บางศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน
    Amazon เริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” เพื่อช่วยลดผลกระทบ
    Cloud storage ช่วยแบ่งเบาภาระจากศูนย์ข้อมูล แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IDC คาดว่าปริมาณข้อมูลจะเพิ่มเป็น 394 Zettabytes ภายในปี 2028
    การเติบโตของ AI และ IoT เป็นตัวเร่งให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    การวัดขนาดอินเทอร์เน็ตต้องพิจารณา 5V: Volume, Variety, Velocity, Value, Veracity
    การใช้ข้อมูลเพื่อการวิจัย การตลาด และ AI มีประโยชน์มหาศาล แต่ต้องแลกด้วยทรัพยากร

    https://www.slashgear.com/1970107/how-big-is-the-internet-data-size/
    🌐 “อินเทอร์เน็ตใหญ่แค่ไหน? — เมื่อข้อมูลทะลุ 181 Zettabytes และโลกต้องจ่ายด้วยพลังงานและน้ำมหาศาล” ลองจินตนาการว่าในเวลาเพียงหนึ่งนาทีของอินเทอร์เน็ต มีการสตรีม Netflix กว่าล้านชั่วโมง อัปโหลดวิดีโอ YouTube หลายพันชั่วโมง และโพสต์ภาพบน Instagram นับไม่ถ้วน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวินาที ข้อมูลทั่วโลกในปี 2024 มีปริมาณถึง 149 Zettabytes และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 181 Zettabytesภายในสิ้นปี 20252 โดยบางการคาดการณ์อาจอยู่ที่ 175 ZB แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซึ่ง Zettabyte หนึ่งเท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes — ขนาดที่สมองมนุษย์แทบจินตนาการไม่ออก แต่การวัด “ขนาดของอินเทอร์เน็ต” ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณข้อมูล เพราะยังมีข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Google หรือ search engine เช่น ฐานข้อมูลส่วนตัว แอปพลิเคชัน และเครือข่ายปิด ซึ่งเรียกรวมกันว่า “Deep Web” และยังมี “Dark Web” ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกกว่านั้นอีก ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นทุกวันกว่า 402 ล้าน Terabytes จากโพสต์โซเชียลมีเดีย วิดีโอ อุปกรณ์ IoT รถยนต์อัจฉริยะ และระบบคลาวด์ แม้แต่ CERN ก็ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์อนุภาค ซึ่งเทียบได้กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แต่เบื้องหลังโลกดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือผลกระทบทางกายภาพที่ไม่อาจมองข้าม — ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกใช้ไฟฟ้าราว 2% ของทั้งโลก และบางแห่งใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน แม้บางบริษัทจะเริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการขยายตัวของข้อมูลที่ไม่มีวันหยุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปริมาณข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่ 181 Zettabytes ➡️ หนึ่ง Zettabyte เท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes ➡️ ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นกว่า 402 ล้าน Terabytes ต่อวัน ➡️ CERN ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์ ✅ ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง ➡️ Deep Web และ Dark Web ไม่สามารถเข้าถึงผ่าน search engine ➡️ แอปพลิเคชันและเครือข่ายปิดมีข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ไม่ถูกนับรวม ➡️ ขนาดของอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถวัดได้แน่นอน ✅ ผลกระทบทางกายภาพจากข้อมูล ➡️ ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าราว 2% ของโลก ➡️ บางศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน ➡️ Amazon เริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” เพื่อช่วยลดผลกระทบ ➡️ Cloud storage ช่วยแบ่งเบาภาระจากศูนย์ข้อมูล แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IDC คาดว่าปริมาณข้อมูลจะเพิ่มเป็น 394 Zettabytes ภายในปี 2028 ➡️ การเติบโตของ AI และ IoT เป็นตัวเร่งให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ การวัดขนาดอินเทอร์เน็ตต้องพิจารณา 5V: Volume, Variety, Velocity, Value, Veracity ➡️ การใช้ข้อมูลเพื่อการวิจัย การตลาด และ AI มีประโยชน์มหาศาล แต่ต้องแลกด้วยทรัพยากร https://www.slashgear.com/1970107/how-big-is-the-internet-data-size/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Big Is The Internet? Here's How Much Data Is On It - SlashGear
    We may use the internet every day, but we take the massive resource for granted. How much data is actually on the internet and how is it quantified?
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • “5 รถต้นแบบสุดล้ำจาก Honda ที่ไม่เคยได้ผลิตจริง — เมื่อจินตนาการล้ำหน้าเกินกว่าความเป็นจริงจะตามทัน”

    Honda เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ไม่เคยหยุดฝัน โดยเฉพาะในโลกของ “รถต้นแบบ” หรือ Concept Cars ที่มักถูกสร้างขึ้นเพื่อโชว์วิสัยทัศน์แห่งอนาคต แม้หลายรุ่นจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์จริง เช่น Honda Urban EV แต่ก็มีอีกหลายคันที่ยังคงอยู่แค่บนเวทีโชว์และในความทรงจำของแฟน ๆ เท่านั้น

    บทความนี้พาเราย้อนดู 5 รถต้นแบบจาก Honda ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์ เทคโนโลยี และแนวคิด แต่ไม่เคยได้ผลิตจริง:

    1️⃣ Honda Spocket (1999) — รถลูกผสมระหว่างสปอร์ต, พิคอัพ และเปิดประทุน ที่สามารถเปลี่ยนจาก 4 ที่นั่งเป็น 2 ที่นั่งได้ มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฮบริด และกล้องแทนกระจกข้าง พร้อม HUD บนกระจกหน้า

    2️⃣ Honda Puyo (2007) — รถที่ออกแบบด้วยแนวคิด “ความนุ่มนวล” ตัวถังเรืองแสงทำจากวัสดุเจลนุ่มเพื่อความปลอดภัยและความเป็นมิตร ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และควบคุมด้วยจอยสติ๊กแทนพวงมาลัย

    3️⃣ Honda Kiwami (2003) — ซีดานพลังงานไฮโดรเจนที่ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากสวนญี่ปุ่น ใช้โครงสร้างแบบ skateboard chassis เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใน พร้อมระบบ ultracapacitor และเซลล์เชื้อเพลิง

    4️⃣ Honda Project 2&4 (2015) — รถแข่งขนาดเล็กที่ผสมผสาน DNA ของมอเตอร์ไซค์และรถ F1 ใช้เครื่องยนต์ V4 จาก RC213V ให้แรงม้ากว่า 212 ตัว แต่มีที่นั่งแบบ “ลอยตัว” ซึ่งอาจไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย

    5️⃣ Honda Fuya-Jo (1999) — รถสำหรับสายปาร์ตี้โดยเฉพาะ ออกแบบให้สามารถยืน เต้น และเล่นดนตรีได้ภายใน มีเบาะแบบเก้าอี้สูงและแดชบอร์ดที่เหมือนโต๊ะมิกซ์ของดีเจ

    แม้รถเหล่านี้จะไม่ถูกผลิตจริง แต่ก็สะท้อนถึงความกล้าคิด กล้าทดลอง และความตั้งใจของ Honda ที่จะผลักดันขอบเขตของการออกแบบและเทคโนโลยียานยนต์ให้ก้าวไปข้างหน้า

    รถต้นแบบมักไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เช่น ที่นั่งลอยตัวของ Project 2&4
    วัสดุเจลของ Puyo อาจไม่เหมาะกับการผลิตจริงและมีปัญหาเรื่องความทนทาน
    ระบบพลังงานไฮโดรเจนยังขาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติมเชื้อเพลิง
    รถที่ออกแบบเพื่อความบันเทิง เช่น Fuya-Jo อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงบนถนน
    ต้นทุนการผลิตและความต้องการตลาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รถเหล่านี้ไม่ถูกผลิต

    https://www.slashgear.com/1422341/futuristic-honda-concept-cars-never-made-production/
    🚗 “5 รถต้นแบบสุดล้ำจาก Honda ที่ไม่เคยได้ผลิตจริง — เมื่อจินตนาการล้ำหน้าเกินกว่าความเป็นจริงจะตามทัน” Honda เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ไม่เคยหยุดฝัน โดยเฉพาะในโลกของ “รถต้นแบบ” หรือ Concept Cars ที่มักถูกสร้างขึ้นเพื่อโชว์วิสัยทัศน์แห่งอนาคต แม้หลายรุ่นจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์จริง เช่น Honda Urban EV แต่ก็มีอีกหลายคันที่ยังคงอยู่แค่บนเวทีโชว์และในความทรงจำของแฟน ๆ เท่านั้น บทความนี้พาเราย้อนดู 5 รถต้นแบบจาก Honda ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์ เทคโนโลยี และแนวคิด แต่ไม่เคยได้ผลิตจริง: 1️⃣ Honda Spocket (1999) — รถลูกผสมระหว่างสปอร์ต, พิคอัพ และเปิดประทุน ที่สามารถเปลี่ยนจาก 4 ที่นั่งเป็น 2 ที่นั่งได้ มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฮบริด และกล้องแทนกระจกข้าง พร้อม HUD บนกระจกหน้า 2️⃣ Honda Puyo (2007) — รถที่ออกแบบด้วยแนวคิด “ความนุ่มนวล” ตัวถังเรืองแสงทำจากวัสดุเจลนุ่มเพื่อความปลอดภัยและความเป็นมิตร ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และควบคุมด้วยจอยสติ๊กแทนพวงมาลัย 3️⃣ Honda Kiwami (2003) — ซีดานพลังงานไฮโดรเจนที่ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากสวนญี่ปุ่น ใช้โครงสร้างแบบ skateboard chassis เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใน พร้อมระบบ ultracapacitor และเซลล์เชื้อเพลิง 4️⃣ Honda Project 2&4 (2015) — รถแข่งขนาดเล็กที่ผสมผสาน DNA ของมอเตอร์ไซค์และรถ F1 ใช้เครื่องยนต์ V4 จาก RC213V ให้แรงม้ากว่า 212 ตัว แต่มีที่นั่งแบบ “ลอยตัว” ซึ่งอาจไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย 5️⃣ Honda Fuya-Jo (1999) — รถสำหรับสายปาร์ตี้โดยเฉพาะ ออกแบบให้สามารถยืน เต้น และเล่นดนตรีได้ภายใน มีเบาะแบบเก้าอี้สูงและแดชบอร์ดที่เหมือนโต๊ะมิกซ์ของดีเจ แม้รถเหล่านี้จะไม่ถูกผลิตจริง แต่ก็สะท้อนถึงความกล้าคิด กล้าทดลอง และความตั้งใจของ Honda ที่จะผลักดันขอบเขตของการออกแบบและเทคโนโลยียานยนต์ให้ก้าวไปข้างหน้า ⛔ รถต้นแบบมักไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เช่น ที่นั่งลอยตัวของ Project 2&4 ⛔ วัสดุเจลของ Puyo อาจไม่เหมาะกับการผลิตจริงและมีปัญหาเรื่องความทนทาน ⛔ ระบบพลังงานไฮโดรเจนยังขาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติมเชื้อเพลิง ⛔ รถที่ออกแบบเพื่อความบันเทิง เช่น Fuya-Jo อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงบนถนน ⛔ ต้นทุนการผลิตและความต้องการตลาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รถเหล่านี้ไม่ถูกผลิต https://www.slashgear.com/1422341/futuristic-honda-concept-cars-never-made-production/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Futuristic Honda Concept Cars That Never Made Production - SlashGear
    While some Honda concept cars have made their way into production, others haven't gone beyond showcase floors. These five were the most futuristic.
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • เก่งแต่กับประเทศเล็กๆ!

    สิ่งที่เกิดขึ้นในเปอร์โตริโกนั้นใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้มาก...
    ดูเหมือนว่าสหรัฐจะโกหกโลกอีกครั้ง โดยเตรียมการจะโค่นล้มประธานาธิบดีมาดูโร แห่งเวเนซุเอลา มากกว่าข้ออ้างเรื่องปราบปรามยาเสพติด?!?

    กองกำลังทางอากาศ กองทัพเรือ และกองทัพบก ของสหรัฐระดมกำลังพลมหาศาลเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการที่อ้างว่าเพื่อปราบกลุ่มก่อการร้ายยาเสพติดของเวเนซุเอลา!!

    ฐานทัพเรือรูสเวลต์โรดส์ (Roosevelt Roads Naval Station) ในเมืองเซอิบา (Ceiba) ประเทศเปอร์โตริโก กลายเป็นฐานปฏิบัติการหลักสำหรับเครื่องบินขับไล่และหน่วยสนับสนุนในการต่อต้านมาดูโร!!

    ฝูงบินเครื่องบินขับไล่ F-35 ออกเดินทางจากรัฐแอริโซนา มุ่งหน้าสู่เปอร์โตริโก เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการของสหรัฐฯ

    เครื่องบินลำเลียง C-17A ก็เดินทางมาถึงเพื่อขนถ่ายยุทโธปกรณ์ที่สนับสนุนการรุกรานที่กำลังจะมาถึง

    คาดว่าจะมีเครื่องบินขับไล่ F-35 จำนวน 10 ลำเข้าร่วมภารกิจนี้
    เก่งแต่กับประเทศเล็กๆ! สิ่งที่เกิดขึ้นในเปอร์โตริโกนั้นใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้มาก... ดูเหมือนว่าสหรัฐจะโกหกโลกอีกครั้ง โดยเตรียมการจะโค่นล้มประธานาธิบดีมาดูโร แห่งเวเนซุเอลา มากกว่าข้ออ้างเรื่องปราบปรามยาเสพติด?!? กองกำลังทางอากาศ กองทัพเรือ และกองทัพบก ของสหรัฐระดมกำลังพลมหาศาลเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการที่อ้างว่าเพื่อปราบกลุ่มก่อการร้ายยาเสพติดของเวเนซุเอลา!! ฐานทัพเรือรูสเวลต์โรดส์ (Roosevelt Roads Naval Station) ในเมืองเซอิบา (Ceiba) ประเทศเปอร์โตริโก กลายเป็นฐานปฏิบัติการหลักสำหรับเครื่องบินขับไล่และหน่วยสนับสนุนในการต่อต้านมาดูโร!! ฝูงบินเครื่องบินขับไล่ F-35 ออกเดินทางจากรัฐแอริโซนา มุ่งหน้าสู่เปอร์โตริโก เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการของสหรัฐฯ เครื่องบินลำเลียง C-17A ก็เดินทางมาถึงเพื่อขนถ่ายยุทโธปกรณ์ที่สนับสนุนการรุกรานที่กำลังจะมาถึง คาดว่าจะมีเครื่องบินขับไล่ F-35 จำนวน 10 ลำเข้าร่วมภารกิจนี้
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
  • “Neuralink ผ่าน 2,000 วันใช้งานจริง! ผู้ป่วยควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยความคิด — ก้าวใหม่ของเทคโนโลยีเชื่อมสมองกับเครื่องจักร”

    ลองจินตนาการว่าคุณสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้ด้วยความคิด โดยไม่ต้องขยับมือหรือพูดออกมา — นั่นคือสิ่งที่ Neuralink บริษัทของ Elon Musk กำลังทำให้เป็นจริง และล่าสุดได้ประกาศว่า มีผู้ป่วย 12 คนทั่วโลกที่ใช้อุปกรณ์ฝังสมองของบริษัทมาแล้วรวมกันกว่า 2,000 วัน หรือกว่า 15,000 ชั่วโมง

    หนึ่งในผู้ใช้ที่โด่งดังที่สุดคือ Noland Arbaugh ผู้ที่เป็นอัมพาตจากอุบัติเหตุทางน้ำในปี 2016 และได้รับการฝังชิป Neuralink ในปี 2024 หลังจากนั้นเขาสามารถเล่นวิดีโอเกม เรียนภาษา และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว

    การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Neuralink เริ่มการทดลองทางคลินิกนอกสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก โดยฝังชิปให้ผู้ป่วยอัมพาต 2 คนในแคนาดาเมื่อปลายเดือนสิงหาคมและต้นกันยายน 2025 ที่โรงพยาบาล Toronto Western Hospital ภายใต้โครงการ CAN-PRIME ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด

    ผู้ป่วยทั้งสองสามารถควบคุมเคอร์เซอร์บนหน้าจอได้ภายในไม่กี่นาทีหลังการผ่าตัด โดยใช้สัญญาณจากสมองที่ถูกถอดรหัสผ่าน AI และแปลงเป็นการเคลื่อนไหวบนหน้าจอ — เป็นการข้ามขั้นตอนการเคลื่อนไหวทางกายภาพโดยสิ้นเชิง

    นอกจากแคนาดา Neuralink ยังได้รับอนุมัติจากหน่วยงานในสหราชอาณาจักรเพื่อเริ่มการทดลองทางคลินิก GB-PRIME ซึ่งจะศึกษาการใช้งานชิปในผู้ป่วยอัมพาตเช่นกัน โดยมีเป้าหมายระยะยาวในการฟื้นฟูการพูด การมองเห็น และความสามารถในการสื่อสารของผู้ป่วย

    ความคืบหน้าของ Neuralink
    มีผู้ใช้ 12 คนทั่วโลก ใช้งานรวมกันกว่า 2,000 วัน และ 15,335 ชั่วโมง
    ผู้ใช้รายแรก Noland Arbaugh สามารถเล่นเกมและเรียนภาษาได้ด้วยความคิด
    การใช้งานจริงเริ่มตั้งแต่ปี 2024 หลังได้รับอนุมัติจาก FDA

    การทดลองทางคลินิกในแคนาดา
    ฝังชิปให้ผู้ป่วยอัมพาต 2 คนที่ Toronto Western Hospital
    ผู้ป่วยสามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้ภายในไม่กี่นาทีหลังผ่าตัด
    ใช้ AI ถอดรหัสสัญญาณสมองและแปลงเป็นการเคลื่อนไหว
    โครงการ CAN-PRIME มุ่งเน้นความปลอดภัยและความสามารถในการใช้งานจริง

    การขยายตัวระดับโลก
    ได้รับอนุมัติจากสหราชอาณาจักรเพื่อเริ่มโครงการ GB-PRIME
    เป้าหมายคือการฟื้นฟูการสื่อสาร การมองเห็น และการเคลื่อนไหว
    มีแผนลดต้นทุนการฝังชิปให้เหลือเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ในอนาคต
    ใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดเฉพาะทางในการฝังอุปกรณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้ป่วยในแคนาดาอายุประมาณ 30 ปี มีอาการอัมพาตจากการบาดเจ็บไขสันหลัง
    อุปกรณ์ฝังในสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว (motor cortex)
    บริษัทอื่นเช่น Synchron ก็พัฒนาเทคโนโลยี BCI เช่นกัน
    ผู้ป่วยรายแรกเคยมีปัญหาชิปหลุดหลังผ่าตัด แต่กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

    https://wccftech.com/elon-musks-brain-chip-firm-neuralink-says-its-12-patients-have-used-chips-for-2000-days/
    🧠 “Neuralink ผ่าน 2,000 วันใช้งานจริง! ผู้ป่วยควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยความคิด — ก้าวใหม่ของเทคโนโลยีเชื่อมสมองกับเครื่องจักร” ลองจินตนาการว่าคุณสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้ด้วยความคิด โดยไม่ต้องขยับมือหรือพูดออกมา — นั่นคือสิ่งที่ Neuralink บริษัทของ Elon Musk กำลังทำให้เป็นจริง และล่าสุดได้ประกาศว่า มีผู้ป่วย 12 คนทั่วโลกที่ใช้อุปกรณ์ฝังสมองของบริษัทมาแล้วรวมกันกว่า 2,000 วัน หรือกว่า 15,000 ชั่วโมง หนึ่งในผู้ใช้ที่โด่งดังที่สุดคือ Noland Arbaugh ผู้ที่เป็นอัมพาตจากอุบัติเหตุทางน้ำในปี 2016 และได้รับการฝังชิป Neuralink ในปี 2024 หลังจากนั้นเขาสามารถเล่นวิดีโอเกม เรียนภาษา และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Neuralink เริ่มการทดลองทางคลินิกนอกสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก โดยฝังชิปให้ผู้ป่วยอัมพาต 2 คนในแคนาดาเมื่อปลายเดือนสิงหาคมและต้นกันยายน 2025 ที่โรงพยาบาล Toronto Western Hospital ภายใต้โครงการ CAN-PRIME ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด ผู้ป่วยทั้งสองสามารถควบคุมเคอร์เซอร์บนหน้าจอได้ภายในไม่กี่นาทีหลังการผ่าตัด โดยใช้สัญญาณจากสมองที่ถูกถอดรหัสผ่าน AI และแปลงเป็นการเคลื่อนไหวบนหน้าจอ — เป็นการข้ามขั้นตอนการเคลื่อนไหวทางกายภาพโดยสิ้นเชิง นอกจากแคนาดา Neuralink ยังได้รับอนุมัติจากหน่วยงานในสหราชอาณาจักรเพื่อเริ่มการทดลองทางคลินิก GB-PRIME ซึ่งจะศึกษาการใช้งานชิปในผู้ป่วยอัมพาตเช่นกัน โดยมีเป้าหมายระยะยาวในการฟื้นฟูการพูด การมองเห็น และความสามารถในการสื่อสารของผู้ป่วย ✅ ความคืบหน้าของ Neuralink ➡️ มีผู้ใช้ 12 คนทั่วโลก ใช้งานรวมกันกว่า 2,000 วัน และ 15,335 ชั่วโมง ➡️ ผู้ใช้รายแรก Noland Arbaugh สามารถเล่นเกมและเรียนภาษาได้ด้วยความคิด ➡️ การใช้งานจริงเริ่มตั้งแต่ปี 2024 หลังได้รับอนุมัติจาก FDA ✅ การทดลองทางคลินิกในแคนาดา ➡️ ฝังชิปให้ผู้ป่วยอัมพาต 2 คนที่ Toronto Western Hospital ➡️ ผู้ป่วยสามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้ภายในไม่กี่นาทีหลังผ่าตัด ➡️ ใช้ AI ถอดรหัสสัญญาณสมองและแปลงเป็นการเคลื่อนไหว ➡️ โครงการ CAN-PRIME มุ่งเน้นความปลอดภัยและความสามารถในการใช้งานจริง ✅ การขยายตัวระดับโลก ➡️ ได้รับอนุมัติจากสหราชอาณาจักรเพื่อเริ่มโครงการ GB-PRIME ➡️ เป้าหมายคือการฟื้นฟูการสื่อสาร การมองเห็น และการเคลื่อนไหว ➡️ มีแผนลดต้นทุนการฝังชิปให้เหลือเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ในอนาคต ➡️ ใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดเฉพาะทางในการฝังอุปกรณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้ป่วยในแคนาดาอายุประมาณ 30 ปี มีอาการอัมพาตจากการบาดเจ็บไขสันหลัง ➡️ อุปกรณ์ฝังในสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว (motor cortex) ➡️ บริษัทอื่นเช่น Synchron ก็พัฒนาเทคโนโลยี BCI เช่นกัน ➡️ ผู้ป่วยรายแรกเคยมีปัญหาชิปหลุดหลังผ่าตัด แต่กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง https://wccftech.com/elon-musks-brain-chip-firm-neuralink-says-its-12-patients-have-used-chips-for-2000-days/
    WCCFTECH.COM
    Elon Musk's Brain Chip Firm Neuralink Says Its 12 Patients Have Used Chips For 2,000 Days!
    Neuralink announces 12 patients using its Brain Computer Interfaces, with 15,335 hours of cumulative usage.
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • “เลเซอร์เชื่อมเครื่องบินกับดาวเทียมสำเร็จ! General Atomics และ Kepler สร้างระบบสื่อสารอากาศสู่อวกาศที่เร็วกว่า 1 Gbps — เตรียมพลิกโฉมการสื่อสารทางทหารและพาณิชย์”

    ลองจินตนาการว่าเครื่องบินที่บินอยู่กลางฟ้า สามารถส่งข้อมูลไปยังดาวเทียมในวงโคจรได้ทันที ด้วยความเร็วระดับกิกะบิต — ไม่ใช่ผ่านคลื่นวิทยุแบบเดิม แต่ผ่านลำแสงเลเซอร์ที่แม่นยำและปลอดภัยกว่า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการทดสอบล่าสุดโดย General Atomics Electromagnetic Systems (GA-EMS) ร่วมกับ Kepler Communications

    การทดสอบนี้ใช้เครื่องบิน De Havilland DHC-6 Twin Otter ที่ติดตั้ง Optical Communication Terminal (OCT) ขนาด 12 นิ้ว ซึ่งยิงเลเซอร์พลังงาน 10 วัตต์ไปยังดาวเทียม Kepler ที่โคจรในระดับต่ำ (LEO) โดยสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 2.5 Gbps และมีระยะทำการถึง 3,417 ไมล์ แม้ในการทดสอบจริงจะใช้ระยะสั้นกว่านั้น แต่ก็สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 1 Gbps อย่างเสถียร

    ความสำเร็จนี้ถือเป็น “ครั้งแรกของโลก” ที่สามารถเชื่อมโยงการสื่อสารแบบสองทางระหว่างเครื่องบินที่เคลื่อนที่กับดาวเทียมในอวกาศได้ผ่านเลเซอร์ โดยระบบสามารถทำงานได้ครบทุกขั้นตอน: การชี้เป้า, การจับสัญญาณ, การติดตาม และการล็อกเป้าหมาย ก่อนจะส่งข้อมูลแบบ uplink และ downlink ได้สำเร็จ

    สิ่งที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ OCT นี้ถูกออกแบบให้รองรับมาตรฐานเปิดของ Space Development Agency (SDA) ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ — เป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายสื่อสารแบบกระจายตัวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับภารกิจทางทหารและเชิงพาณิชย์

    ในอนาคต GA-EMS เตรียมส่ง OCT รุ่นใหม่ขึ้นไปกับยาน GA-75 ในปี 2026 เพื่อทดสอบกับดาวเทียม Tranche-1 ซึ่งจะเป็นการขยายขีดความสามารถของการสื่อสารอากาศสู่อวกาศให้ครอบคลุมมากขึ้น

    ข้อมูลจากการทดสอบเลเซอร์สื่อสารอากาศสู่อวกาศ
    ใช้เครื่องบิน DHC-6 Twin Otter ติดตั้ง Optical Communication Terminal (OCT)
    เชื่อมต่อกับดาวเทียม Kepler ที่โคจรในระดับต่ำ (LEO)
    ใช้เลเซอร์พลังงาน 10 วัตต์ ส่งข้อมูลได้สูงสุด 2.5 Gbps
    ระยะทำการสูงสุด 3,417 ไมล์ (5,500 กม.)
    ความเร็วในการส่งข้อมูลจริงในการทดสอบคือ 1 Gbps

    ความสำเร็จของระบบ OCT
    ทำงานครบทุกขั้นตอน: ชี้เป้า, จับสัญญาณ, ติดตาม, ล็อกเป้าหมาย
    ส่งข้อมูลแบบสองทาง (uplink/downlink) ได้สำเร็จ
    รองรับมาตรฐาน SDA Tranche-0 สำหรับการสื่อสารแบบเปิด
    พิสูจน์ว่าอุปกรณ์จากหลายผู้ผลิตสามารถทำงานร่วมกันได้

    ความร่วมมือระหว่าง GA-EMS และ Kepler
    GA-EMS พัฒนา OCT สำหรับภารกิจทางทหารและพาณิชย์
    Kepler มีดาวเทียมที่รองรับ SDA และเคยทดสอบการสื่อสารกับสถานีภาคพื้น
    การร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายสื่อสารหลายโดเมน

    แผนในอนาคต
    GA-EMS เตรียมส่ง OCT รุ่นใหม่ขึ้นไปกับยาน GA-75 ในปี 2026
    ทดสอบกับดาวเทียม Tranche-1 เพื่อขยายขีดความสามารถ
    SDA มีแผนสร้างเครือข่ายดาวเทียมหลายร้อยดวงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NASA เคยทดสอบระบบเลเซอร์ใน Deep Space Optical Communications
    Google เคยพัฒนาโครงการ Taara สำหรับเลเซอร์สื่อสารภาคพื้น
    การสื่อสารด้วยเลเซอร์มีความปลอดภัยสูงและไม่ต้องใช้คลื่นวิทยุ
    เหมาะกับภารกิจที่ต้องการความเร็วและความมั่นคงของข้อมูล เช่น การทหาร, การบิน, และการสำรวจอวกาศ

    https://www.tomshardware.com/networking/worlds-first-laser-communication-link-between-a-plane-and-satellite-ran-at-1-gbps-10-watt-laser-which-has-a-3-417-mile-range-and-2-5-gbps-max-data-rate
    🔴 “เลเซอร์เชื่อมเครื่องบินกับดาวเทียมสำเร็จ! General Atomics และ Kepler สร้างระบบสื่อสารอากาศสู่อวกาศที่เร็วกว่า 1 Gbps — เตรียมพลิกโฉมการสื่อสารทางทหารและพาณิชย์” ลองจินตนาการว่าเครื่องบินที่บินอยู่กลางฟ้า สามารถส่งข้อมูลไปยังดาวเทียมในวงโคจรได้ทันที ด้วยความเร็วระดับกิกะบิต — ไม่ใช่ผ่านคลื่นวิทยุแบบเดิม แต่ผ่านลำแสงเลเซอร์ที่แม่นยำและปลอดภัยกว่า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการทดสอบล่าสุดโดย General Atomics Electromagnetic Systems (GA-EMS) ร่วมกับ Kepler Communications การทดสอบนี้ใช้เครื่องบิน De Havilland DHC-6 Twin Otter ที่ติดตั้ง Optical Communication Terminal (OCT) ขนาด 12 นิ้ว ซึ่งยิงเลเซอร์พลังงาน 10 วัตต์ไปยังดาวเทียม Kepler ที่โคจรในระดับต่ำ (LEO) โดยสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 2.5 Gbps และมีระยะทำการถึง 3,417 ไมล์ แม้ในการทดสอบจริงจะใช้ระยะสั้นกว่านั้น แต่ก็สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 1 Gbps อย่างเสถียร ความสำเร็จนี้ถือเป็น “ครั้งแรกของโลก” ที่สามารถเชื่อมโยงการสื่อสารแบบสองทางระหว่างเครื่องบินที่เคลื่อนที่กับดาวเทียมในอวกาศได้ผ่านเลเซอร์ โดยระบบสามารถทำงานได้ครบทุกขั้นตอน: การชี้เป้า, การจับสัญญาณ, การติดตาม และการล็อกเป้าหมาย ก่อนจะส่งข้อมูลแบบ uplink และ downlink ได้สำเร็จ สิ่งที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ OCT นี้ถูกออกแบบให้รองรับมาตรฐานเปิดของ Space Development Agency (SDA) ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ — เป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายสื่อสารแบบกระจายตัวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับภารกิจทางทหารและเชิงพาณิชย์ ในอนาคต GA-EMS เตรียมส่ง OCT รุ่นใหม่ขึ้นไปกับยาน GA-75 ในปี 2026 เพื่อทดสอบกับดาวเทียม Tranche-1 ซึ่งจะเป็นการขยายขีดความสามารถของการสื่อสารอากาศสู่อวกาศให้ครอบคลุมมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากการทดสอบเลเซอร์สื่อสารอากาศสู่อวกาศ ➡️ ใช้เครื่องบิน DHC-6 Twin Otter ติดตั้ง Optical Communication Terminal (OCT) ➡️ เชื่อมต่อกับดาวเทียม Kepler ที่โคจรในระดับต่ำ (LEO) ➡️ ใช้เลเซอร์พลังงาน 10 วัตต์ ส่งข้อมูลได้สูงสุด 2.5 Gbps ➡️ ระยะทำการสูงสุด 3,417 ไมล์ (5,500 กม.) ➡️ ความเร็วในการส่งข้อมูลจริงในการทดสอบคือ 1 Gbps ✅ ความสำเร็จของระบบ OCT ➡️ ทำงานครบทุกขั้นตอน: ชี้เป้า, จับสัญญาณ, ติดตาม, ล็อกเป้าหมาย ➡️ ส่งข้อมูลแบบสองทาง (uplink/downlink) ได้สำเร็จ ➡️ รองรับมาตรฐาน SDA Tranche-0 สำหรับการสื่อสารแบบเปิด ➡️ พิสูจน์ว่าอุปกรณ์จากหลายผู้ผลิตสามารถทำงานร่วมกันได้ ✅ ความร่วมมือระหว่าง GA-EMS และ Kepler ➡️ GA-EMS พัฒนา OCT สำหรับภารกิจทางทหารและพาณิชย์ ➡️ Kepler มีดาวเทียมที่รองรับ SDA และเคยทดสอบการสื่อสารกับสถานีภาคพื้น ➡️ การร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายสื่อสารหลายโดเมน ✅ แผนในอนาคต ➡️ GA-EMS เตรียมส่ง OCT รุ่นใหม่ขึ้นไปกับยาน GA-75 ในปี 2026 ➡️ ทดสอบกับดาวเทียม Tranche-1 เพื่อขยายขีดความสามารถ ➡️ SDA มีแผนสร้างเครือข่ายดาวเทียมหลายร้อยดวงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NASA เคยทดสอบระบบเลเซอร์ใน Deep Space Optical Communications ➡️ Google เคยพัฒนาโครงการ Taara สำหรับเลเซอร์สื่อสารภาคพื้น ➡️ การสื่อสารด้วยเลเซอร์มีความปลอดภัยสูงและไม่ต้องใช้คลื่นวิทยุ ➡️ เหมาะกับภารกิจที่ต้องการความเร็วและความมั่นคงของข้อมูล เช่น การทหาร, การบิน, และการสำรวจอวกาศ https://www.tomshardware.com/networking/worlds-first-laser-communication-link-between-a-plane-and-satellite-ran-at-1-gbps-10-watt-laser-which-has-a-3-417-mile-range-and-2-5-gbps-max-data-rate
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • “Alterego เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ ‘ใกล้เคียงโทรจิต’ พิมพ์ด้วยความคิด คุยเงียบๆ ได้ และแปลภาษาแบบไร้เสียง — ก้าวใหม่ของการสื่อสารมนุษย์กับ AI”

    ถ้าคุณเคยฝันถึงการสื่อสารแบบไม่ต้องพูด ไม่ต้องพิมพ์ แค่ “คิด” แล้วคำพูดก็ปรากฏ — ตอนนี้มันไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป เพราะสตาร์ทอัพชื่อ Alterego ได้เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ที่อ้างว่าเป็น “wearable ใกล้เคียงโทรจิตตัวแรกของโลก” ที่สามารถพิมพ์ข้อความด้วยความคิด ควบคุมอุปกรณ์แบบไร้มือ และสื่อสารกับคนอื่นแบบเงียบๆ ได้

    อุปกรณ์นี้พัฒนาโดย Arnav Kapur จาก MIT Media Lab และ Max Newlon จาก Harvard Innovation Labs โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Silent Sense” ซึ่งไม่ใช่การอ่านความคิดโดยตรง แต่เป็นการตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อที่สมองส่งไปยังระบบพูด ก่อนที่เราจะเปล่งเสียงออกมา — ทำให้สามารถแปลงความตั้งใจเป็นคำสั่งหรือข้อความได้ทันที

    ในวิดีโอสาธิต Kapur ใช้อุปกรณ์นี้พิมพ์ข้อความโดยไม่แตะคีย์บอร์ด ตั้งเตือนในมือถือ และถามคำถามเกี่ยวกับภาพที่เห็นผ่านกล้องขนาดเล็กในตัวอุปกรณ์ จากนั้นเขาสื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้ร่วมก่อตั้งผ่าน bone-conduction audio โดยไม่มีเสียงใดๆ ออกมา

    ที่น่าทึ่งคือการแปลภาษาแบบไร้เสียง — Kapur พูดภาษาอังกฤษ แล้วผู้ร่วมสนทนาที่พูดภาษาจีนเข้าใจทันทีผ่านระบบแปลในตัว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการพูด เช่น ALS หรือผู้พิการทางเสียง

    แม้จะดูเหมือนหลุดมาจากนิยายไซไฟ แต่ Alterego ยืนยันว่าอุปกรณ์นี้ไม่อ่านความคิดลึกๆ และไม่มีการเก็บข้อมูลสมองโดยตรง ต่างจากเทคโนโลยีฝังชิปอย่าง Neuralink หรือ EMG แบบสายรัดข้อมือของ Meta — โดยเน้นความปลอดภัยและการควบคุมจากผู้ใช้เป็นหลัก

    ความสามารถของอุปกรณ์ Alterego
    พิมพ์ข้อความด้วยความคิดโดยไม่ต้องใช้คีย์บอร์ด
    สื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้อื่นผ่าน bone-conduction audio
    ควบคุมอุปกรณ์และแอปพลิเคชันแบบไร้มือ
    ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแบบไร้เสียง
    ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวผ่านกล้องในตัว
    แปลภาษาแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพูดออกเสียง
    ช่วยฟื้นฟูการพูดสำหรับผู้มีปัญหาด้านเสียงหรือระบบประสาท

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    ใช้การตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อจากใบหน้าและลำคอ
    ไม่ใช่การอ่านคลื่นสมองหรือ EEG
    ส่งข้อมูลผ่าน bone-conduction กลับไปยังผู้ใช้
    พัฒนาโดยทีมจาก MIT และ Harvard Innovation Labs

    การใช้งานจริงในวิดีโอสาธิต
    พิมพ์ข้อความ ตั้งเตือน และถามคำถามจากภาพ
    สื่อสารแบบเงียบกับผู้ร่วมก่อตั้ง
    แปลภาษาอังกฤษ–จีนแบบไร้เสียง
    ใช้กล้องในตัวเพื่อเข้าใจสิ่งแวดล้อม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยีนี้เคยถูกนำเสนอใน TED ปี 2019
    เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องฝังชิปหรือใช้สายรัดกล้ามเนื้อ
    เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่เสียงดัง เช่น โรงงานหรือสนามบิน
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการสื่อสารมนุษย์กับ AI ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/alterego-demoes-worlds-first-near-telepathic-wearable-that-enables-typing-at-the-speed-of-thought-other-abilities-device-said-to-enable-silent-communication-with-others-control-devices-hands-free-and-restore-speech-for-impaired
    🧠 “Alterego เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ ‘ใกล้เคียงโทรจิต’ พิมพ์ด้วยความคิด คุยเงียบๆ ได้ และแปลภาษาแบบไร้เสียง — ก้าวใหม่ของการสื่อสารมนุษย์กับ AI” ถ้าคุณเคยฝันถึงการสื่อสารแบบไม่ต้องพูด ไม่ต้องพิมพ์ แค่ “คิด” แล้วคำพูดก็ปรากฏ — ตอนนี้มันไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป เพราะสตาร์ทอัพชื่อ Alterego ได้เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ที่อ้างว่าเป็น “wearable ใกล้เคียงโทรจิตตัวแรกของโลก” ที่สามารถพิมพ์ข้อความด้วยความคิด ควบคุมอุปกรณ์แบบไร้มือ และสื่อสารกับคนอื่นแบบเงียบๆ ได้ อุปกรณ์นี้พัฒนาโดย Arnav Kapur จาก MIT Media Lab และ Max Newlon จาก Harvard Innovation Labs โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Silent Sense” ซึ่งไม่ใช่การอ่านความคิดโดยตรง แต่เป็นการตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อที่สมองส่งไปยังระบบพูด ก่อนที่เราจะเปล่งเสียงออกมา — ทำให้สามารถแปลงความตั้งใจเป็นคำสั่งหรือข้อความได้ทันที ในวิดีโอสาธิต Kapur ใช้อุปกรณ์นี้พิมพ์ข้อความโดยไม่แตะคีย์บอร์ด ตั้งเตือนในมือถือ และถามคำถามเกี่ยวกับภาพที่เห็นผ่านกล้องขนาดเล็กในตัวอุปกรณ์ จากนั้นเขาสื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้ร่วมก่อตั้งผ่าน bone-conduction audio โดยไม่มีเสียงใดๆ ออกมา ที่น่าทึ่งคือการแปลภาษาแบบไร้เสียง — Kapur พูดภาษาอังกฤษ แล้วผู้ร่วมสนทนาที่พูดภาษาจีนเข้าใจทันทีผ่านระบบแปลในตัว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการพูด เช่น ALS หรือผู้พิการทางเสียง แม้จะดูเหมือนหลุดมาจากนิยายไซไฟ แต่ Alterego ยืนยันว่าอุปกรณ์นี้ไม่อ่านความคิดลึกๆ และไม่มีการเก็บข้อมูลสมองโดยตรง ต่างจากเทคโนโลยีฝังชิปอย่าง Neuralink หรือ EMG แบบสายรัดข้อมือของ Meta — โดยเน้นความปลอดภัยและการควบคุมจากผู้ใช้เป็นหลัก ✅ ความสามารถของอุปกรณ์ Alterego ➡️ พิมพ์ข้อความด้วยความคิดโดยไม่ต้องใช้คีย์บอร์ด ➡️ สื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้อื่นผ่าน bone-conduction audio ➡️ ควบคุมอุปกรณ์และแอปพลิเคชันแบบไร้มือ ➡️ ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแบบไร้เสียง ➡️ ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวผ่านกล้องในตัว ➡️ แปลภาษาแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพูดออกเสียง ➡️ ช่วยฟื้นฟูการพูดสำหรับผู้มีปัญหาด้านเสียงหรือระบบประสาท ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ ใช้การตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อจากใบหน้าและลำคอ ➡️ ไม่ใช่การอ่านคลื่นสมองหรือ EEG ➡️ ส่งข้อมูลผ่าน bone-conduction กลับไปยังผู้ใช้ ➡️ พัฒนาโดยทีมจาก MIT และ Harvard Innovation Labs ✅ การใช้งานจริงในวิดีโอสาธิต ➡️ พิมพ์ข้อความ ตั้งเตือน และถามคำถามจากภาพ ➡️ สื่อสารแบบเงียบกับผู้ร่วมก่อตั้ง ➡️ แปลภาษาอังกฤษ–จีนแบบไร้เสียง ➡️ ใช้กล้องในตัวเพื่อเข้าใจสิ่งแวดล้อม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยีนี้เคยถูกนำเสนอใน TED ปี 2019 ➡️ เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องฝังชิปหรือใช้สายรัดกล้ามเนื้อ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่เสียงดัง เช่น โรงงานหรือสนามบิน ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการสื่อสารมนุษย์กับ AI ในอนาคต https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/alterego-demoes-worlds-first-near-telepathic-wearable-that-enables-typing-at-the-speed-of-thought-other-abilities-device-said-to-enable-silent-communication-with-others-control-devices-hands-free-and-restore-speech-for-impaired
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • “นิวเม็กซิโกประกาศใช้ ‘Universal Child Care’ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ — ดูแลเด็กทุกคนฟรี ไม่จำกัดรายได้!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อแม่ในรัฐนิวเม็กซิโก ที่ต้องจ่ายค่าเนอร์สเซอรี่หรือศูนย์ดูแลเด็กเดือนละหลายร้อยดอลลาร์ — แล้ววันหนึ่งรัฐประกาศว่า “ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กฟรี โดยไม่ต้องสนใจรายได้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา

    ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ร่วมกับกรมการศึกษาปฐมวัยของรัฐ (ECECD) ประกาศว่า นิวเม็กซิโกจะเป็นรัฐแรกที่ให้บริการดูแลเด็กแบบ “ฟรีถ้วนหน้า” โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ และยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับครอบครัวทั้งหมด

    นโยบายนี้ต่อยอดจากความพยายามตั้งแต่ปี 2019 ที่รัฐเริ่มขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 400% ของระดับความยากจนของรัฐบาลกลาง และตอนนี้จะครอบคลุมทุกครอบครัวโดยไม่จำกัดรายได้ — คิดเป็นการประหยัดเฉลี่ยปีละ $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคน

    นอกจากการให้สิทธิ์ฟรี รัฐยังลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้าน เพื่อสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก และขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 พร้อมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ดูแลเด็ก โดยกำหนดขั้นต่ำ $18 ต่อชั่วโมง และให้สิทธิพิเศษกับศูนย์ที่เปิดบริการ 10 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

    เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนบุคลากรอีก 5,000 คนทั่วรัฐ เพื่อรองรับระบบถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างระบบที่ยั่งยืนสำหรับเด็กเล็ก ครอบครัว และเศรษฐกิจของรัฐในระยะยาว

    การประกาศใช้นโยบาย Universal Child Care
    เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025
    ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ในการรับสิทธิ์
    ยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับทุกครอบครัว
    ประหยัดเฉลี่ย $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี

    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
    กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้านสำหรับสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก
    ขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027
    เน้นการขยายบริการสำหรับเด็กเล็ก, ครอบครัวยากจน และเด็กพิเศษ

    การสนับสนุนผู้ให้บริการ
    เพิ่มอัตราการจ่ายให้สะท้อนต้นทุนจริง
    ศูนย์ที่จ่ายขั้นต่ำ $18/ชม. และเปิดบริการ 10 ชม./วัน จะได้รับอัตราส่งเสริม
    เปิดแคมเปญทั่วรัฐเพื่อรับสมัครผู้ให้บริการแบบบ้าน (home providers)

    ผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจ
    ครอบครัวมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น
    มีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกและเลือกศูนย์ที่มีคุณภาพ
    ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน
    สร้างผลลัพธ์ที่ดีในด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และความเป็นอยู่ของเด็ก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Save the Children Action Network ยกย่องนโยบายนี้ว่าเป็นต้นแบบระดับชาติ
    นโยบายนี้ต่อยอดจากการตั้งกองทุน Early Childhood Trust Fund และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
    นักวิชาการชี้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงในระยะยาว
    นิวเม็กซิโกเคยเป็นผู้นำด้าน universal preschool และการปรับค่าจ้างครูเด็กเล็ก

    https://www.governor.state.nm.us/2025/09/08/new-mexico-is-first-state-in-nation-to-offer-universal-child-care/
    👶 “นิวเม็กซิโกประกาศใช้ ‘Universal Child Care’ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ — ดูแลเด็กทุกคนฟรี ไม่จำกัดรายได้!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อแม่ในรัฐนิวเม็กซิโก ที่ต้องจ่ายค่าเนอร์สเซอรี่หรือศูนย์ดูแลเด็กเดือนละหลายร้อยดอลลาร์ — แล้ววันหนึ่งรัฐประกาศว่า “ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กฟรี โดยไม่ต้องสนใจรายได้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ร่วมกับกรมการศึกษาปฐมวัยของรัฐ (ECECD) ประกาศว่า นิวเม็กซิโกจะเป็นรัฐแรกที่ให้บริการดูแลเด็กแบบ “ฟรีถ้วนหน้า” โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ และยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับครอบครัวทั้งหมด นโยบายนี้ต่อยอดจากความพยายามตั้งแต่ปี 2019 ที่รัฐเริ่มขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 400% ของระดับความยากจนของรัฐบาลกลาง และตอนนี้จะครอบคลุมทุกครอบครัวโดยไม่จำกัดรายได้ — คิดเป็นการประหยัดเฉลี่ยปีละ $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคน นอกจากการให้สิทธิ์ฟรี รัฐยังลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้าน เพื่อสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก และขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 พร้อมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ดูแลเด็ก โดยกำหนดขั้นต่ำ $18 ต่อชั่วโมง และให้สิทธิพิเศษกับศูนย์ที่เปิดบริการ 10 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนบุคลากรอีก 5,000 คนทั่วรัฐ เพื่อรองรับระบบถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างระบบที่ยั่งยืนสำหรับเด็กเล็ก ครอบครัว และเศรษฐกิจของรัฐในระยะยาว ✅ การประกาศใช้นโยบาย Universal Child Care ➡️ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ในการรับสิทธิ์ ➡️ ยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับทุกครอบครัว ➡️ ประหยัดเฉลี่ย $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี ✅ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้านสำหรับสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก ➡️ ขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 ➡️ เน้นการขยายบริการสำหรับเด็กเล็ก, ครอบครัวยากจน และเด็กพิเศษ ✅ การสนับสนุนผู้ให้บริการ ➡️ เพิ่มอัตราการจ่ายให้สะท้อนต้นทุนจริง ➡️ ศูนย์ที่จ่ายขั้นต่ำ $18/ชม. และเปิดบริการ 10 ชม./วัน จะได้รับอัตราส่งเสริม ➡️ เปิดแคมเปญทั่วรัฐเพื่อรับสมัครผู้ให้บริการแบบบ้าน (home providers) ✅ ผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจ ➡️ ครอบครัวมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ➡️ มีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกและเลือกศูนย์ที่มีคุณภาพ ➡️ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน ➡️ สร้างผลลัพธ์ที่ดีในด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และความเป็นอยู่ของเด็ก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Save the Children Action Network ยกย่องนโยบายนี้ว่าเป็นต้นแบบระดับชาติ ➡️ นโยบายนี้ต่อยอดจากการตั้งกองทุน Early Childhood Trust Fund และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ➡️ นักวิชาการชี้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงในระยะยาว ➡️ นิวเม็กซิโกเคยเป็นผู้นำด้าน universal preschool และการปรับค่าจ้างครูเด็กเล็ก https://www.governor.state.nm.us/2025/09/08/new-mexico-is-first-state-in-nation-to-offer-universal-child-care/
    WWW.GOVERNOR.STATE.NM.US
    New Mexico is first state in nation to offer universal child care - Office of the Governor - Michelle Lujan Grisham
    [et_pb_section fb_built=”1″ fullwidth=”on” _builder_version=”3.19.5″ background_image=”https://www.governor.state.nm.us/wp-content/uploads/2018/12/press-release.jpg” global_module=”236″ saved_tabs=”all” locked=”off” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][et_pb_fullwidth_header title=”PRESS RELEASES” _builder_version=”4.16″ title_font=”|||on|||||” title_font_size=”50px” use_background_color_gradient=”on” background_color_gradient_direction=”90deg” background_color_gradient_stops=”#141a3d 16%|rgba(20,26,61,0) 100%” background_color_gradient_overlays_image=”on” background_color_gradient_start=”#141a3d” background_color_gradient_start_position=”16%” background_color_gradient_end=”rgba(20,26,61,0)” background_image=”https://www.governor.state.nm.us/wp-content/uploads/2018/12/press-release.jpg” custom_margin=”|0px||0px||true” custom_padding=”|0px||0px||true” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][/et_pb_fullwidth_header][/et_pb_section][et_pb_section fb_built=”1″ _builder_version=”4.17.4″ width=”100%” custom_margin=”0px|0px|0px|0px|true|true” custom_padding=”0px|0px|0px|0px|true|true” global_module=”200″ locked=”on” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][et_pb_row use_custom_gutter=”on” gutter_width=”1″ module_class=” et_pb_row_fullwidth” _builder_version=”4.16″ width=”100%” width_tablet=”100%” width_phone=”” width_last_edited=”on|desktop” max_width=”100%” max_width_tablet=”100%” max_width_phone=”” max_width_last_edited=”on|desktop” custom_margin=”0px|0px|0px|0px|true|true” custom_padding=”0px||0px|0px” make_fullwidth=”on” locked=”on” […]
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • “ICE ใช้ ‘Stingray’ ดักสัญญาณมือถือกลางเมือง! เครื่องมือลับที่ตามหาผู้ต้องสงสัย แต่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนรอบข้าง”

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเดินอยู่ในเมือง แล้วมือถือของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ดูเหมือนเป็นของผู้ให้บริการ…แต่จริงๆ แล้วมันคือเครื่องดักสัญญาณที่รัฐบาลใช้ติดตามผู้ต้องสงสัย — นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐฯ เมื่อ ICE (สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร) กลับมาใช้เทคโนโลยี “Stingray” หรือ cell-site simulator อีกครั้งในการตามหาผู้หลบหนีจากการเนรเทศ

    Stingray คืออุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ เพื่อหลอกให้โทรศัพท์ของเป้าหมายเชื่อมต่อเข้ามา เมื่อเชื่อมต่อแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์นั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ปัญหาคือ…โทรศัพท์ของคนทั่วไปที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็อาจถูกดักข้อมูลไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

    ในกรณีล่าสุด ICE ได้ขอหมายค้นเพื่อใช้ Stingray ติดตามผู้ต้องสงสัยในเมือง Orem รัฐ Utah ซึ่งเคยถูกสั่งเนรเทศในปี 2023 แต่ยังคงอยู่ในประเทศ และมีประวัติหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา รวมถึงพัวพันกับแก๊งอาชญากรรม

    แม้จะมีการขอหมายค้นเพื่อระบุตำแหน่งเบื้องต้นจากผู้ให้บริการมือถือ แต่ข้อมูลที่ได้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 30 บล็อก ทำให้ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยยังไม่แน่ชัดว่าผู้ต้องสงสัยถูกจับได้หรือไม่

    ที่น่าจับตามองคือ ICE ได้ซื้อ “รถดักสัญญาณมือถือ” มูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และยังมีสัญญากับบริษัทผู้ผลิต Stingray อย่าง Harris Corporation มูลค่าสูงถึง 4.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลปัจจุบัน

    การใช้งาน Stingray โดย ICE
    Stingray เป็นอุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ
    เมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อ เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งได้
    ใช้ในการติดตามผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีจากการเนรเทศ
    ล่าสุดใช้ในเมือง Orem, Utah เพื่อตามหาผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม

    ข้อมูลจากหมายค้นและการติดตาม
    ผู้ต้องสงสัยเคยหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา
    มีประวัติเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรม
    การติดตามเบื้องต้นครอบคลุมพื้นที่ 30 บล็อก
    ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำ

    การลงทุนด้านเทคโนโลยีของ ICE
    ซื้อรถดักสัญญาณมือถือมูลค่า $1 ล้านในเดือนพฤษภาคม
    มีสัญญากับ Harris Corporation มูลค่า $4.4 ล้าน
    สัญญาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2024–2025
    แสดงถึงการผลักดันการใช้เทคโนโลยีติดตามแบบเคลื่อนที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Stingray เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในยุครัฐบาลก่อนหน้า
    อุปกรณ์นี้สามารถดักข้อมูลจากโทรศัพท์ใกล้เคียงโดยไม่เลือกเป้าหมาย
    ใช้เทคนิค IMSI-catcher เพื่อดึงข้อมูลหมายเลขอุปกรณ์
    สามารถบังคับให้โทรศัพท์ลดระดับความปลอดภัยของการเชื่อมต่อ

    https://www.forbes.com/sites/the-wiretap/2025/09/09/how-ice-is-using-fake-cell-towers-to-spy-on-peoples-phones/
    📡 “ICE ใช้ ‘Stingray’ ดักสัญญาณมือถือกลางเมือง! เครื่องมือลับที่ตามหาผู้ต้องสงสัย แต่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนรอบข้าง” ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเดินอยู่ในเมือง แล้วมือถือของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ดูเหมือนเป็นของผู้ให้บริการ…แต่จริงๆ แล้วมันคือเครื่องดักสัญญาณที่รัฐบาลใช้ติดตามผู้ต้องสงสัย — นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐฯ เมื่อ ICE (สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร) กลับมาใช้เทคโนโลยี “Stingray” หรือ cell-site simulator อีกครั้งในการตามหาผู้หลบหนีจากการเนรเทศ Stingray คืออุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ เพื่อหลอกให้โทรศัพท์ของเป้าหมายเชื่อมต่อเข้ามา เมื่อเชื่อมต่อแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์นั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ปัญหาคือ…โทรศัพท์ของคนทั่วไปที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็อาจถูกดักข้อมูลไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ในกรณีล่าสุด ICE ได้ขอหมายค้นเพื่อใช้ Stingray ติดตามผู้ต้องสงสัยในเมือง Orem รัฐ Utah ซึ่งเคยถูกสั่งเนรเทศในปี 2023 แต่ยังคงอยู่ในประเทศ และมีประวัติหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา รวมถึงพัวพันกับแก๊งอาชญากรรม แม้จะมีการขอหมายค้นเพื่อระบุตำแหน่งเบื้องต้นจากผู้ให้บริการมือถือ แต่ข้อมูลที่ได้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 30 บล็อก ทำให้ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยยังไม่แน่ชัดว่าผู้ต้องสงสัยถูกจับได้หรือไม่ ที่น่าจับตามองคือ ICE ได้ซื้อ “รถดักสัญญาณมือถือ” มูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และยังมีสัญญากับบริษัทผู้ผลิต Stingray อย่าง Harris Corporation มูลค่าสูงถึง 4.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลปัจจุบัน ✅ การใช้งาน Stingray โดย ICE ➡️ Stingray เป็นอุปกรณ์ที่ปลอมตัวเป็นเสาสัญญาณมือถือ ➡️ เมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อ เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งได้ ➡️ ใช้ในการติดตามผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีจากการเนรเทศ ➡️ ล่าสุดใช้ในเมือง Orem, Utah เพื่อตามหาผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม ✅ ข้อมูลจากหมายค้นและการติดตาม ➡️ ผู้ต้องสงสัยเคยหลบหนีจากเรือนจำในเวเนซุเอลา ➡️ มีประวัติเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรม ➡️ การติดตามเบื้องต้นครอบคลุมพื้นที่ 30 บล็อก ➡️ ต้องใช้ Stingray เพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำ ✅ การลงทุนด้านเทคโนโลยีของ ICE ➡️ ซื้อรถดักสัญญาณมือถือมูลค่า $1 ล้านในเดือนพฤษภาคม ➡️ มีสัญญากับ Harris Corporation มูลค่า $4.4 ล้าน ➡️ สัญญาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2024–2025 ➡️ แสดงถึงการผลักดันการใช้เทคโนโลยีติดตามแบบเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Stingray เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในยุครัฐบาลก่อนหน้า ➡️ อุปกรณ์นี้สามารถดักข้อมูลจากโทรศัพท์ใกล้เคียงโดยไม่เลือกเป้าหมาย ➡️ ใช้เทคนิค IMSI-catcher เพื่อดึงข้อมูลหมายเลขอุปกรณ์ ➡️ สามารถบังคับให้โทรศัพท์ลดระดับความปลอดภัยของการเชื่อมต่อ https://www.forbes.com/sites/the-wiretap/2025/09/09/how-ice-is-using-fake-cell-towers-to-spy-on-peoples-phones/
    WWW.FORBES.COM
    How ICE Is Using Fake Cell Towers To Spy On People’s Phones
    ICE is using a controversial spy tool to locate smartphones, court records show.
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
  • “ควอนตัมคอมพิวติ้งอาจปลดล็อก Bitcoin มูลค่า 879 พันล้านดอลลาร์! กระเป๋าเงินที่ถูกลืมอาจกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งอนาคต”

    ลองจินตนาการว่า Bitcoin ที่คุณเคยได้ยินว่าหายไปแล้ว — เพราะเจ้าของลืมรหัส หรือเสียชีวิตโดยไม่มีใครเข้าถึงได้ — วันหนึ่งกลับถูกปลดล็อกขึ้นมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งที่ทรงพลังพอจะเจาะระบบเข้ารหัส AES ได้สำเร็จ…นั่นคือสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มพูดถึงในปี 2025

    จุดเริ่มต้นของความกังวลนี้มาจากความก้าวหน้าของชิปควอนตัม “Willow” จาก Google ที่สามารถทำงานบางอย่างได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที — เทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาถึง 10^25 ปีในการทำงานเดียวกัน แม้ Willow จะมีเพียง 105 qubits แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้กำลังเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ตามการวิเคราะห์ของ Ronan Manly จาก Sound Money Report มี Bitcoin จำนวนมหาศาลระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย — คิดเป็น 11% ถึง 37% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมดในระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลืมรหัส หรือเจ้าของเสียชีวิตโดยไม่มีการถ่ายทอดข้อมูล

    หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบ AES ได้จริงในอนาคต กระเป๋าเงินเหล่านี้อาจถูกปลดล็อก และ Bitcoin มูลค่ารวมกว่า 879 พันล้านดอลลาร์ (ตามราคาปัจจุบันที่ ~$112,000 ต่อเหรียญ) อาจถูกนำออกมาใช้ — ซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดการเทขายครั้งใหญ่ และเข้าสู่ภาวะขาลงโดยไม่ต้องมีปัจจัยอื่นใดเลย

    แม้ผู้ใช้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าเงินที่ปลอดภัยต่อควอนตัมแล้ว แต่กระเป๋าเงินที่ถูกลืมและไม่มีเจ้าของจะยังคงเสี่ยงต่อการถูกเจาะในอนาคต หากไม่มีการอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบเข้ารหัส

    ความก้าวหน้าของควอนตัมคอมพิวติ้ง
    Google Willow chip ทำงานบางอย่างได้ใน 5 นาที เทียบกับ 10^25 ปีของซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    Willow มี 105 qubits และสามารถลดข้อผิดพลาดเมื่อเพิ่มจำนวน qubits
    เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจาก Elon Musk และ Sam Altman

    ความเสี่ยงต่อ Bitcoin
    Bitcoin ใช้การเข้ารหัส AES และ elliptic curve cryptography (ECC)
    หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะ AES ได้ จะสามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินที่ถูกลืม
    คาดว่ามี Bitcoin ระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่อยู่ในกระเป๋าเงินนิ่ง
    มูลค่ารวมของ Bitcoin ที่อาจถูกปลดล็อกสูงถึง $879 พันล้าน

    กระเป๋าเงินนิ่ง (Dormant Wallets)
    เกิดจากการลืมรหัส, การเสียชีวิต, หรือการเก็บไว้โดยไม่มีการเคลื่อนไหว
    ส่วนใหญ่ไม่สามารถอัปเกรดระบบเข้ารหัสได้
    อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักของการเจาะระบบในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ECC และ SHA-256 ยังปลอดภัยกว่า RSA แต่ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักวิจัยควอนตัม
    Quantum-safe wallets กำลังถูกพัฒนา เช่น lattice-based cryptography
    นักพัฒนา Bitcoin เริ่มเตรียมแผนรับมือ “Q-Day” หรือวันที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบได้จริง

    https://wccftech.com/quantum-computing-could-leave-a-shocking-879-billion-of-bitcoin-up-for-grabs-heres-how/
    💥 “ควอนตัมคอมพิวติ้งอาจปลดล็อก Bitcoin มูลค่า 879 พันล้านดอลลาร์! กระเป๋าเงินที่ถูกลืมอาจกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งอนาคต” ลองจินตนาการว่า Bitcoin ที่คุณเคยได้ยินว่าหายไปแล้ว — เพราะเจ้าของลืมรหัส หรือเสียชีวิตโดยไม่มีใครเข้าถึงได้ — วันหนึ่งกลับถูกปลดล็อกขึ้นมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งที่ทรงพลังพอจะเจาะระบบเข้ารหัส AES ได้สำเร็จ…นั่นคือสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มพูดถึงในปี 2025 จุดเริ่มต้นของความกังวลนี้มาจากความก้าวหน้าของชิปควอนตัม “Willow” จาก Google ที่สามารถทำงานบางอย่างได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที — เทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาถึง 10^25 ปีในการทำงานเดียวกัน แม้ Willow จะมีเพียง 105 qubits แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้กำลังเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามการวิเคราะห์ของ Ronan Manly จาก Sound Money Report มี Bitcoin จำนวนมหาศาลระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย — คิดเป็น 11% ถึง 37% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมดในระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลืมรหัส หรือเจ้าของเสียชีวิตโดยไม่มีการถ่ายทอดข้อมูล หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบ AES ได้จริงในอนาคต กระเป๋าเงินเหล่านี้อาจถูกปลดล็อก และ Bitcoin มูลค่ารวมกว่า 879 พันล้านดอลลาร์ (ตามราคาปัจจุบันที่ ~$112,000 ต่อเหรียญ) อาจถูกนำออกมาใช้ — ซึ่งอาจทำให้ตลาดเกิดการเทขายครั้งใหญ่ และเข้าสู่ภาวะขาลงโดยไม่ต้องมีปัจจัยอื่นใดเลย แม้ผู้ใช้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าเงินที่ปลอดภัยต่อควอนตัมแล้ว แต่กระเป๋าเงินที่ถูกลืมและไม่มีเจ้าของจะยังคงเสี่ยงต่อการถูกเจาะในอนาคต หากไม่มีการอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบเข้ารหัส ✅ ความก้าวหน้าของควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ Google Willow chip ทำงานบางอย่างได้ใน 5 นาที เทียบกับ 10^25 ปีของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ Willow มี 105 qubits และสามารถลดข้อผิดพลาดเมื่อเพิ่มจำนวน qubits ➡️ เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจาก Elon Musk และ Sam Altman ✅ ความเสี่ยงต่อ Bitcoin ➡️ Bitcoin ใช้การเข้ารหัส AES และ elliptic curve cryptography (ECC) ➡️ หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะ AES ได้ จะสามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินที่ถูกลืม ➡️ คาดว่ามี Bitcoin ระหว่าง 2.3 ถึง 7.8 ล้าน BTC ที่อยู่ในกระเป๋าเงินนิ่ง ➡️ มูลค่ารวมของ Bitcoin ที่อาจถูกปลดล็อกสูงถึง $879 พันล้าน ✅ กระเป๋าเงินนิ่ง (Dormant Wallets) ➡️ เกิดจากการลืมรหัส, การเสียชีวิต, หรือการเก็บไว้โดยไม่มีการเคลื่อนไหว ➡️ ส่วนใหญ่ไม่สามารถอัปเกรดระบบเข้ารหัสได้ ➡️ อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักของการเจาะระบบในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ECC และ SHA-256 ยังปลอดภัยกว่า RSA แต่ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักวิจัยควอนตัม ➡️ Quantum-safe wallets กำลังถูกพัฒนา เช่น lattice-based cryptography ➡️ นักพัฒนา Bitcoin เริ่มเตรียมแผนรับมือ “Q-Day” หรือวันที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถเจาะระบบได้จริง https://wccftech.com/quantum-computing-could-leave-a-shocking-879-billion-of-bitcoin-up-for-grabs-heres-how/
    WCCFTECH.COM
    Quantum Computing Could Leave A Shocking $879 Billion Of Bitcoin Up For Grabs - Here's How!
    A large proportion of Bitcoin's circulating supply is currently sitting in dormant wallets that are susceptible to quantum computing hacks.
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • “XCENA MX1: ชิปพันธุ์ใหม่ที่รวม RISC-V หลายพันคอร์ไว้ในหน่วยความจำ — เปลี่ยนโฉมเซิร์ฟเวอร์ด้วย CXL 3.2 และ SSD tiering!”

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังรันงาน AI ขนาดใหญ่ หรือ query ฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ที่กินแรมมหาศาล แล้วพบว่า bottleneck ไม่ได้อยู่ที่ CPU หรือ GPU — แต่อยู่ที่การเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลกับหน่วยความจำ นั่นคือปัญหาที่ XCENA MX1 เข้ามาแก้แบบตรงจุด

    ในงาน FMS 2025 (Future of Memory and Storage) บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ชื่อ XCENA ได้เปิดตัว MX1 Computational Memory ซึ่งเป็นชิปที่รวม “หลายพันคอร์ RISC-V” ไว้ในหน่วยความจำโดยตรง พร้อมรองรับมาตรฐาน PCIe Gen6 และ Compute Express Link (CXL) 3.2

    แนวคิดคือ “near-data processing” — ย้ายการประมวลผลมาอยู่ใกล้กับ DRAM เพื่อลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่าง CPU กับ RAM ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาลในงานที่ใช้ข้อมูลหนัก เช่น AI inference, in-memory analytics และฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    MX1 ยังรองรับการขยายหน่วยความจำด้วย SSD แบบ tiered storage ที่สามารถเพิ่มความจุได้ถึงระดับ petabyte พร้อมฟีเจอร์ด้านการบีบอัดข้อมูลและความเสถียร ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุในเวลาเดียวกัน

    XCENA เตรียมเปิดตัวสองรุ่นคือ MX1P ในปลายปีนี้ และ MX1S ในปี 2026 โดยรุ่นหลังจะมี dual PCIe Gen6 x8 links และฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับงานระดับ data center ขนาดใหญ่ ทั้งสองรุ่นจะใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดธ์และความยืดหยุ่นของ CXL 3.2 อย่างเต็มที่

    การเปิดตัว MX1 Computational Memory
    เปิดตัวในงาน FMS 2025 โดยบริษัท XCENA จากเกาหลีใต้
    ใช้ PCIe Gen6 และ CXL 3.2 เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ
    รวมหลายพันคอร์ RISC-V ไว้ในหน่วยความจำโดยตรง

    แนวคิด near-data processing
    ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่าง CPU กับ RAM
    เพิ่มประสิทธิภาพในงาน AI, analytics และฐานข้อมูล
    ช่วยลด latency และเพิ่ม throughput ในระบบเซิร์ฟเวอร์

    การขยายหน่วยความจำด้วย SSD tiering
    รองรับการขยายความจุถึงระดับ petabyte
    มีระบบบีบอัดข้อมูลและฟีเจอร์ด้าน reliability
    ใช้ SSD เป็น tier รองเพื่อเพิ่มความจุโดยไม่ลดความเร็ว

    แผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์
    MX1P จะเปิดตัวปลายปี 2025 พร้อมตัวอย่างสำหรับพันธมิตร
    MX1S จะเปิดตัวในปี 2026 พร้อม dual PCIe Gen6 x8 links
    ทั้งสองรุ่นรองรับ CXL 3.2 เต็มรูปแบบ

    การสนับสนุนสำหรับนักพัฒนา
    มี SDK พร้อมไดรเวอร์, runtime libraries และเครื่องมือสำหรับ deployment
    รองรับแอปพลิเคชันตั้งแต่ AI inference ถึง in-memory analytics
    ออกแบบให้ใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมมาตรฐาน

    รางวัลและการยอมรับ
    ได้รับรางวัล “Most Innovative Memory Technology” ในงาน FMS 2025
    เคยได้รับรางวัล “Most Innovative Startup” ในปี 2024
    ได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญด้าน storage ว่าเป็นแนวทางใหม่ที่เปลี่ยนเกม

    https://www.techradar.com/pro/a-chip-with-thousands-of-cores-could-change-the-way-servers-are-designed-bringing-compute-nearer-to-ram-thanks-to-cxl-is-a-lightbulb-moment
    🧠 “XCENA MX1: ชิปพันธุ์ใหม่ที่รวม RISC-V หลายพันคอร์ไว้ในหน่วยความจำ — เปลี่ยนโฉมเซิร์ฟเวอร์ด้วย CXL 3.2 และ SSD tiering!” ลองจินตนาการว่าคุณกำลังรันงาน AI ขนาดใหญ่ หรือ query ฐานข้อมูลแบบเวกเตอร์ที่กินแรมมหาศาล แล้วพบว่า bottleneck ไม่ได้อยู่ที่ CPU หรือ GPU — แต่อยู่ที่การเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลกับหน่วยความจำ นั่นคือปัญหาที่ XCENA MX1 เข้ามาแก้แบบตรงจุด ในงาน FMS 2025 (Future of Memory and Storage) บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ชื่อ XCENA ได้เปิดตัว MX1 Computational Memory ซึ่งเป็นชิปที่รวม “หลายพันคอร์ RISC-V” ไว้ในหน่วยความจำโดยตรง พร้อมรองรับมาตรฐาน PCIe Gen6 และ Compute Express Link (CXL) 3.2 แนวคิดคือ “near-data processing” — ย้ายการประมวลผลมาอยู่ใกล้กับ DRAM เพื่อลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่าง CPU กับ RAM ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาลในงานที่ใช้ข้อมูลหนัก เช่น AI inference, in-memory analytics และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ MX1 ยังรองรับการขยายหน่วยความจำด้วย SSD แบบ tiered storage ที่สามารถเพิ่มความจุได้ถึงระดับ petabyte พร้อมฟีเจอร์ด้านการบีบอัดข้อมูลและความเสถียร ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุในเวลาเดียวกัน XCENA เตรียมเปิดตัวสองรุ่นคือ MX1P ในปลายปีนี้ และ MX1S ในปี 2026 โดยรุ่นหลังจะมี dual PCIe Gen6 x8 links และฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับงานระดับ data center ขนาดใหญ่ ทั้งสองรุ่นจะใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดธ์และความยืดหยุ่นของ CXL 3.2 อย่างเต็มที่ ✅ การเปิดตัว MX1 Computational Memory ➡️ เปิดตัวในงาน FMS 2025 โดยบริษัท XCENA จากเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ PCIe Gen6 และ CXL 3.2 เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ ➡️ รวมหลายพันคอร์ RISC-V ไว้ในหน่วยความจำโดยตรง ✅ แนวคิด near-data processing ➡️ ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่าง CPU กับ RAM ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพในงาน AI, analytics และฐานข้อมูล ➡️ ช่วยลด latency และเพิ่ม throughput ในระบบเซิร์ฟเวอร์ ✅ การขยายหน่วยความจำด้วย SSD tiering ➡️ รองรับการขยายความจุถึงระดับ petabyte ➡️ มีระบบบีบอัดข้อมูลและฟีเจอร์ด้าน reliability ➡️ ใช้ SSD เป็น tier รองเพื่อเพิ่มความจุโดยไม่ลดความเร็ว ✅ แผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ➡️ MX1P จะเปิดตัวปลายปี 2025 พร้อมตัวอย่างสำหรับพันธมิตร ➡️ MX1S จะเปิดตัวในปี 2026 พร้อม dual PCIe Gen6 x8 links ➡️ ทั้งสองรุ่นรองรับ CXL 3.2 เต็มรูปแบบ ✅ การสนับสนุนสำหรับนักพัฒนา ➡️ มี SDK พร้อมไดรเวอร์, runtime libraries และเครื่องมือสำหรับ deployment ➡️ รองรับแอปพลิเคชันตั้งแต่ AI inference ถึง in-memory analytics ➡️ ออกแบบให้ใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมมาตรฐาน ✅ รางวัลและการยอมรับ ➡️ ได้รับรางวัล “Most Innovative Memory Technology” ในงาน FMS 2025 ➡️ เคยได้รับรางวัล “Most Innovative Startup” ในปี 2024 ➡️ ได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญด้าน storage ว่าเป็นแนวทางใหม่ที่เปลี่ยนเกม https://www.techradar.com/pro/a-chip-with-thousands-of-cores-could-change-the-way-servers-are-designed-bringing-compute-nearer-to-ram-thanks-to-cxl-is-a-lightbulb-moment
    0 Comments 0 Shares 292 Views 0 Reviews
  • “Microsoft จับมือวงการนิวเคลียร์! เตรียมใช้ Small Modular Reactors และพลังงานฟิวชันป้อนศูนย์ข้อมูล AI ยุคใหม่”

    ลองจินตนาการว่าคุณคือผู้บริหารฝ่ายพลังงานของ Microsoft แล้วพบว่าศูนย์ข้อมูลของบริษัทกำลังใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จากการรันโมเดล AI ขนาดมหึมา เช่น GPT-5 หรือ Copilot — แม้จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนอย่างลมและแสงอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังไม่พอสำหรับการทำงานแบบ 24/7 ที่ไม่สะดุด

    นั่นคือเหตุผลที่ Microsoft ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ World Nuclear Association (WNA) ซึ่งถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกรายแรกที่เข้าร่วมองค์กรนี้อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในรูปแบบใหม่ เช่น Small Modular Reactors (SMRs) และฟิวชันพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลก

    Microsoft มองว่า SMRs เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ และมีขนาดเล็กพอที่จะติดตั้งใกล้ศูนย์ข้อมูลได้โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีแผนร่วมมือกับบริษัทฟิวชันอย่าง Helion เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในระยะยาว

    หนึ่งในโครงการสำคัญคือการฟื้นฟูโรงไฟฟ้า Crane Clean Energy Center ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโรงงาน Three Mile Island Unit 1 โดย Microsoft ได้ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้าแบบระยะยาว 20 ปี กับ Constellation Energy เพื่อให้มั่นใจว่าศูนย์ข้อมูลจะมีไฟฟ้าใช้แบบไม่สะดุด

    แม้จะมีความหวังสูง แต่การพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น ต้นทุนสูง ความล่าช้าในการก่อสร้าง และข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ ซึ่ง Microsoft จะเข้าไปมีบทบาทในการผลักดันให้เกิดการปรับปรุงด้านการออกใบอนุญาตและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

    การเข้าร่วม World Nuclear Association ของ Microsoft
    เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกรายแรกที่เข้าร่วม WNA อย่างเป็นทางการ
    มุ่งเน้นการใช้ Small Modular Reactors และพลังงานฟิวชัน
    สะท้อนความตั้งใจในการลดคาร์บอนและรองรับความต้องการไฟฟ้าจาก AI

    โครงการพลังงานนิวเคลียร์ของ Microsoft
    ลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้า 20 ปี กับ Constellation Energy เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้า Crane
    ร่วมมือกับ Helion เพื่อพัฒนาพลังงานฟิวชันเชิงพาณิชย์
    วางแผนใช้ SMRs เป็นโครงสร้างพื้นฐานใกล้ศูนย์ข้อมูล

    บริบทของอุตสาหกรรมพลังงาน
    ความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษหน้า
    พลังงานหมุนเวียนยังไม่สามารถให้กำลังไฟฟ้าแบบต่อเนื่องได้
    พลังงานนิวเคลียร์มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าแบบ base-load ที่มั่นคง

    บทบาทของ Microsoft ใน WNA
    เข้าร่วมกลุ่มทำงานด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูง
    ผลักดันการออกใบอนุญาตที่รวดเร็วและห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น
    ทีม Energy Technology นำโดย Dr. Melissa Lott จะเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์

    คำเตือนจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานนิวเคลียร์
    การพัฒนา SMRs และฟิวชันยังอยู่ในช่วงต้น — อาจใช้เวลาหลายปี
    ต้นทุนการก่อสร้างและการบำรุงรักษายังสูงเมื่อเทียบกับพลังงานหมุนเวียน
    ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการอาจกระทบต่อแผนพลังงานของ Microsoft
    การต่อต้านจากภาคประชาชนและการเมืองอาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัว
    หากเทคโนโลยีไม่สามารถใช้งานได้จริงตามเป้า อาจส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานของบริษัท

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-joins-world-nuclear-association-as-it-doubles-down-on-small-modular-reactors-and-fusion-energy
    ⚛️ “Microsoft จับมือวงการนิวเคลียร์! เตรียมใช้ Small Modular Reactors และพลังงานฟิวชันป้อนศูนย์ข้อมูล AI ยุคใหม่” ลองจินตนาการว่าคุณคือผู้บริหารฝ่ายพลังงานของ Microsoft แล้วพบว่าศูนย์ข้อมูลของบริษัทกำลังใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จากการรันโมเดล AI ขนาดมหึมา เช่น GPT-5 หรือ Copilot — แม้จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนอย่างลมและแสงอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังไม่พอสำหรับการทำงานแบบ 24/7 ที่ไม่สะดุด นั่นคือเหตุผลที่ Microsoft ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ World Nuclear Association (WNA) ซึ่งถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกรายแรกที่เข้าร่วมองค์กรนี้อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในรูปแบบใหม่ เช่น Small Modular Reactors (SMRs) และฟิวชันพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลก Microsoft มองว่า SMRs เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ และมีขนาดเล็กพอที่จะติดตั้งใกล้ศูนย์ข้อมูลได้โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีแผนร่วมมือกับบริษัทฟิวชันอย่าง Helion เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในระยะยาว หนึ่งในโครงการสำคัญคือการฟื้นฟูโรงไฟฟ้า Crane Clean Energy Center ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโรงงาน Three Mile Island Unit 1 โดย Microsoft ได้ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้าแบบระยะยาว 20 ปี กับ Constellation Energy เพื่อให้มั่นใจว่าศูนย์ข้อมูลจะมีไฟฟ้าใช้แบบไม่สะดุด แม้จะมีความหวังสูง แต่การพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น ต้นทุนสูง ความล่าช้าในการก่อสร้าง และข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ ซึ่ง Microsoft จะเข้าไปมีบทบาทในการผลักดันให้เกิดการปรับปรุงด้านการออกใบอนุญาตและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน ✅ การเข้าร่วม World Nuclear Association ของ Microsoft ➡️ เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกรายแรกที่เข้าร่วม WNA อย่างเป็นทางการ ➡️ มุ่งเน้นการใช้ Small Modular Reactors และพลังงานฟิวชัน ➡️ สะท้อนความตั้งใจในการลดคาร์บอนและรองรับความต้องการไฟฟ้าจาก AI ✅ โครงการพลังงานนิวเคลียร์ของ Microsoft ➡️ ลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้า 20 ปี กับ Constellation Energy เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้า Crane ➡️ ร่วมมือกับ Helion เพื่อพัฒนาพลังงานฟิวชันเชิงพาณิชย์ ➡️ วางแผนใช้ SMRs เป็นโครงสร้างพื้นฐานใกล้ศูนย์ข้อมูล ✅ บริบทของอุตสาหกรรมพลังงาน ➡️ ความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษหน้า ➡️ พลังงานหมุนเวียนยังไม่สามารถให้กำลังไฟฟ้าแบบต่อเนื่องได้ ➡️ พลังงานนิวเคลียร์มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าแบบ base-load ที่มั่นคง ✅ บทบาทของ Microsoft ใน WNA ➡️ เข้าร่วมกลุ่มทำงานด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูง ➡️ ผลักดันการออกใบอนุญาตที่รวดเร็วและห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น ➡️ ทีม Energy Technology นำโดย Dr. Melissa Lott จะเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานนิวเคลียร์ ⛔ การพัฒนา SMRs และฟิวชันยังอยู่ในช่วงต้น — อาจใช้เวลาหลายปี ⛔ ต้นทุนการก่อสร้างและการบำรุงรักษายังสูงเมื่อเทียบกับพลังงานหมุนเวียน ⛔ ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการอาจกระทบต่อแผนพลังงานของ Microsoft ⛔ การต่อต้านจากภาคประชาชนและการเมืองอาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัว ⛔ หากเทคโนโลยีไม่สามารถใช้งานได้จริงตามเป้า อาจส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานของบริษัท https://www.techradar.com/pro/microsoft-joins-world-nuclear-association-as-it-doubles-down-on-small-modular-reactors-and-fusion-energy
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
More Results