• 🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷

    #รวมข่าวIT #20251216 #securityonline

    วิกฤติช่องโหว่ FortiGate SSO ถูกโจมตีจริง
    ช่วงนี้ผู้ดูแลระบบ Fortinet ต้องเผชิญกับสถานการณ์ร้อนแรง เมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการในระบบ FortiGate และเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถูกโจมตีจริงทันที แฮกเกอร์ใช้วิธีเจาะผ่านระบบ Single Sign-On (SSO) โดยส่งข้อความ SAML ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้สามารถล็อกอินเป็นผู้ดูแลได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาจะรีบขโมยการตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ออกไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักมีรหัสผ่านที่ถูกเข้ารหัสของผู้ใช้ VPN และบัญชีอื่น ๆ จุดอันตรายคือการตั้งค่า FortiCloud SSO ที่แม้จะถูกปิดไว้ในค่าเริ่มต้น แต่เมื่อผู้ดูแลลงทะเบียนอุปกรณ์ผ่าน GUI มันจะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติหากไม่ได้ปิดเอง ทำให้หลายระบบเสี่ยงทันที นักวิจัยแนะนำให้รีบอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดหรือปิดฟีเจอร์นี้ผ่าน CLI เพื่อป้องกันการโจมตี
    https://securityonline.info/critical-fortigate-sso-flaw-under-active-exploitation-attackers-bypass-auth-and-exfiltrate-configs

    Apple ยอม EU: iOS 26.3 ส่งต่อการแจ้งเตือนให้สมาร์ทวอชแบรนด์อื่น
    ใน iOS 26.3 เบต้า Apple เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Notification Forwarding ที่ให้ iPhone ส่งต่อการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์สวมใส่จากแบรนด์อื่นได้โดยตรง ไม่จำกัดแค่ Apple Watch อีกต่อไป ฟีเจอร์นี้เปิดใช้เฉพาะในสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Markets Act ที่บังคับให้ Apple เปิดโอกาสให้สมาร์ทวอชจากค่ายอื่นเข้าถึงฟังก์ชันที่เคยสงวนไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้แอปใดส่งการแจ้งเตือนออกไป และลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่เกิดจากการที่อุปกรณ์อื่นต้องเข้าถึงการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบครอบคลุม ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของ Apple เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษจาก EU
    https://securityonline.info/eu-compliance-ios-26-3-adds-notification-forwarding-to-third-party-wearables-bypassing-apple-watch

    Windows 10 อัปเดต KB5071546 ทำ MSMQ ใช้งานไม่ได้
    Microsoft ยืนยันแล้วว่าการติดตั้งอัปเดต KB5071546 บน Windows 10 ทำให้บริการ Microsoft Message Queuing (MSMQ) ล้มเหลว MSMQ เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรเพื่อจัดการข้อความระหว่างแอปพลิเคชัน หากมันหยุดทำงาน งานเบื้องหลังที่ต้องพึ่งพาคิวข้อความก็จะหยุดตามทันที ส่งผลให้เว็บไซต์หรือแอปที่รันบน IIS ไม่สามารถทำงานได้ สาเหตุคือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์จัดเก็บข้อความ ทำให้บัญชีที่ใช้ MSMQ ไม่มีสิทธิ์เพียงพอ แม้จะรีสตาร์ทหรือรีบูตเซิร์ฟเวอร์ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา ทางออกเดียวตอนนี้คือถอนการติดตั้งอัปเดตแล้วรอ Microsoft ปล่อยแพตช์แก้ไขในเดือนถัดไป
    https://securityonline.info/enterprise-alert-windows-10-update-kb5071546-breaks-msmq-service-with-insufficient-permissions

    ช่องโหว่ ScreenConnect เสี่ยงติดตั้งส่วนขยายไม่ปลอดภัย
    ConnectWise ออกแพตช์ใหม่สำหรับ ScreenConnect หลังพบช่องโหว่ CVE-2025-14265 ที่มีความรุนแรงสูงถึง 9.1 ช่องโหว่นี้อาจทำให้ผู้ที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลเข้าถึงข้อมูลการตั้งค่าหรือบังคับติดตั้งส่วนขยายที่ไม่น่าเชื่อถือได้ แม้จะไม่ใช่การเปิดช่องให้โจมตีจากภายนอกโดยตรง แต่หากบัญชีผู้ดูแลถูกเจาะก็อันตรายทันที แพตช์เวอร์ชัน 25.8 ได้เพิ่มการตรวจสอบความถูกต้องของส่วนขยายและเสริมความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ สำหรับผู้ใช้ระบบคลาวด์ไม่ต้องทำอะไรเพราะถูกแก้ไขแล้ว แต่ผู้ที่ติดตั้งเองในองค์กรต้องรีบอัปเดตด้วยตนเอง
    https://securityonline.info/critical-screenconnect-flaw-cvss-9-1-risks-config-exposure-untrusted-extension-installation

    OpenShift GitOps ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์จนยึดคลัสเตอร์ได้
    Red Hat OpenShift GitOps ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-13888 ที่ร้ายแรงมาก ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียงระดับ namespace admin สามารถใช้ ArgoCD Custom Resources เพื่อยกระดับสิทธิ์จนเข้าถึงทั้งคลัสเตอร์ได้ วิธีการคือการแก้ไขค่า sourceNamespaces ใน CR ให้ชี้ไปยัง namespace ที่มีสิทธิ์สูง เช่น default จากนั้นระบบจะสร้าง RoleBinding และ Role ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีรันงานที่มีสิทธิ์สูงสุดบน master node ได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดครองคลัสเตอร์ Kubernetes ได้โดยสมบูรณ์ ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดและจำกัดสิทธิ์การสร้าง ArgoCD CR ให้เฉพาะผู้ดูแลที่เชื่อถือได้
    https://securityonline.info/critical-openshift-gitops-flaw-risks-cluster-takeover-cve-2025-13888-via-privilege-escalation-to-root

    Phantom Stealer โจมตีการเงินรัสเซียผ่านไฟล์ ISO
    เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมาก แฮกเกอร์ใช้วิธีส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนเป็นการยืนยันการโอนเงินจากบริษัทการเงินจริงๆ เพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเปิดไฟล์แนบที่เป็นไฟล์ ISO เมื่อเปิดแล้วจะมีโปรแกรมแฝงที่ชื่อ Phantom Stealer ทำงานทันที มันสามารถขโมยข้อมูลได้หลายอย่าง ทั้งรหัสผ่านในเบราว์เซอร์ ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลกระเป๋าเงินดิจิทัล รวมถึงดักจับการพิมพ์คีย์บอร์ดทุกครั้งที่เหยื่อกด Phantom Stealer ยังมีระบบป้องกันตัวเองจากการตรวจสอบ ถ้ารู้ว่ากำลังถูกนักวิจัยจับตามันจะลบตัวเองทันที การโจมตีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ที่ใช้ไฟล์ ISO เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกัน ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลทางการเงินอย่างมาก
    https://securityonline.info/phantom-stealer-targets-russian-finance-with-iso-phishing-deploying-keyloggers-and-crypto-wallet-theft

    Frogblight มัลแวร์ Android ปลอมเป็นแอปภาครัฐในตุรกี
    มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ Frogblight ถูกค้นพบว่ากำลังแพร่ระบาดในตุรกี โดยมันปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชันของรัฐบาลที่ใช้ดูข้อมูลคดีความ ผู้ใช้จะได้รับ SMS หลอกว่ามีคดีความและต้องดาวน์โหลดแอปเพื่อดูรายละเอียด เมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลหลายอย่าง เช่น SMS รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง จากนั้นมันจะเปิดหน้าเว็บจริงของรัฐบาลเพื่อให้ผู้ใช้ตายใจ แต่เบื้องหลังมันจะดักข้อมูลการเข้าสู่ระบบธนาคารและส่งไปยังผู้โจมตี Frogblight ยังมีฟังก์ชันสอดแนมอื่นๆ เช่นเก็บข้อมูลแอปที่ติดตั้งและไฟล์ในเครื่อง นักวิจัยพบว่ามันถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอาจถูกนำไปใช้ในรูปแบบบริการให้เช่าแก่แฮกเกอร์รายอื่น ทำให้ภัยนี้มีโอกาสแพร่กระจายไปนอกตุรกีได้ในอนาคต
    https://securityonline.info/frogblight-android-banking-trojan-targets-turkey-via-fake-e-gov-smishing-and-webview

    ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าช่องโหว่เก่าใน macOS ที่เคยรายงานตั้งแต่ปี 2018 ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แม้ Apple จะพยายามอุดหลายครั้ง ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแอปที่ต้องใช้สิทธิ์ root โดยหากมีแอปปลอมถูกวางไว้ในโฟลเดอร์ Applications ก่อน แอปจริงจะถูกติดตั้งเข้าไปในโฟลเดอร์พิเศษชื่อ .localized ทำให้ระบบเข้าใจผิดและไปเรียกใช้แอปปลอมแทน ผลคือผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในสิทธิ์ root ได้ทันที ถือเป็นการเจาะระบบที่อันตรายมาก นักวิจัยย้ำว่าปัญหานี้ยังคงอยู่และต้องการการแก้ไขที่จริงจังจาก Apple เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต
    https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access

    มัลแวร์ NuGet แฝงตัว 5 ปี ขโมยกระเป๋าเงินคริปโต
    มีการค้นพบแพ็กเกจ NuGet ปลอมชื่อ Tracer.Fody.NLog ที่ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดตั้งแต่ปี 2020 และอยู่รอดมาได้กว่า 5 ปีโดยไม่ถูกตรวจจับ มันปลอมตัวเป็นเครื่องมือ .NET ที่ใช้บันทึก log แต่จริงๆ แล้วมีโค้ดแฝงที่ใช้เทคนิคพิเศษ เช่นการใช้ตัวอักษร Cyrillic ที่หน้าตาเหมือนตัวอักษร Latin เพื่อหลบการตรวจสอบ เมื่อถูกติดตั้ง มันจะค้นหาไฟล์กระเป๋าเงินดิจิทัล Stratis และขโมยรหัสผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ถือเป็นการโจมตี supply chain ที่อันตรายมาก เพราะนักพัฒนาที่เชื่อใจแพ็กเกจโอเพนซอร์สอาจถูกดักข้อมูลโดยไม่รู้ตัว
    https://securityonline.info/5-year-threat-malicious-nuget-package-used-homoglyphs-and-typosquatting-to-steal-crypto-wallets

    Intel เตรียมเข้าซื้อกิจการ SambaNova ในราคาลดฮวบ
    เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเดิมทีมีข่าวว่า Intel จะทุ่มเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง SambaNova แต่ล่าสุดกลับมีรายงานว่ามูลค่าดีลจริงอาจเหลือเพียง 1.6 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับการประเมินมูลค่าเดิมของบริษัทในปี 2021 ที่สูงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชิป AI ที่ NVIDIA ครองความเป็นใหญ่ SambaNova มีจุดแข็งด้านสถาปัตยกรรมที่เน้นการประมวลผลสำหรับโมเดลภาษาและการทำงานแบบครบวงจร ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ ซึ่งอาจช่วย Intel เติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดอยู่ แต่ความท้าทายใหญ่คือการผสานเทคโนโลยีนี้เข้ากับระบบของ Intel โดยไม่กระทบต่อผลิตภัณฑ์ Gaudi ที่มีอยู่แล้ว
    https://securityonline.info/intel-nears-sambanova-acquisition-at-1-6b-fire-sale-price-down-from-5b-valuation

    Claude AI ทำพลาด ลบข้อมูลทั้งเครื่อง Mac ของนักพัฒนา
    นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนต้องระวังการใช้เครื่องมือ AI มากขึ้น นักพัฒนารายหนึ่งใช้ Claude CLI เพื่อจัดการแพ็กเกจ แต่กลับเกิดความผิดพลาดจากคำสั่งที่มีเครื่องหมาย ~ ต่อท้าย ทำให้ระบบไปลบทั้งโฟลเดอร์ Home Directory ของเครื่อง Mac ผลคือข้อมูลสำคัญอย่าง Desktop, Documents, Downloads และ Keychains หายไปทั้งหมด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการให้ AI เข้าถึงระบบโดยตรง นักพัฒนาบางคนจึงเสนอให้ใช้ Docker เป็นตัวกลางเพื่อป้องกันไม่ให้ AI สามารถทำลายข้อมูลในเครื่องจริงได้
    https://securityonline.info/data-disaster-claude-ai-executes-rm-rf-and-wipes-developers-mac-home-directory

    SpaceX เตรียม IPO ปี 2026 หลังมูลค่าพุ่งถึง 800 พันล้านดอลลาร์
    SpaceX กำลังเดินหน้าสู่การเข้าตลาดหุ้น โดยมีการเริ่มคัดเลือกธนาคารเพื่อเป็นที่ปรึกษา IPO และมีการส่งบันทึกภายในยืนยันว่าบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในปี 2026 แม้ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอน แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือมูลค่าของบริษัทที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการขายหุ้นภายในล่าสุดตีมูลค่าถึง 800 พันล้านดอลลาร์ แรงหนุนสำคัญมาจากบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังส่งผลให้ Alphabet ซึ่งเคยลงทุนใน SpaceX ได้กำไรอย่างมหาศาลอีกด้วย
    https://securityonline.info/spacex-ipo-company-prepares-for-2026-listing-after-valuation-soars-to-800-billion

    Salt Typhoon กลุ่มแฮ็กเกอร์จากการแข่งขัน Cisco สู่การเจาะระบบโทรคมนาคมโลก
    เรื่องนี้เหมือนนิยาย แต่เกิดขึ้นจริง นักวิจัยพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อ Salt Typhoon มีจุดเริ่มต้นจากนักศึกษาที่เคยแข่งขัน Cisco Network Academy Cup ก่อนจะนำความรู้ไปใช้ในการเจาะระบบโทรคมนาคมกว่า 80 บริษัททั่วโลก พวกเขาสามารถดักฟังทั้งสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงเข้าถึงระบบที่ใช้สำหรับการดักฟังโดยกฎหมายเองด้วย เบื้องหลังคือสองบุคคลที่เคยเป็นคู่แข่งกันในสมัยเรียน แต่กลับร่วมมือกันสร้างเครือข่ายไซเบอร์ที่ทรงพลัง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่อาจถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้
    https://securityonline.info/from-cisco-student-rivalry-to-global-hackers-salt-typhoon-breaches-80-telecos-for-intelligence

    BlackForce เครื่องมือ Phishing-as-a-Service รุ่นใหม่ที่อันตราย
    BlackForce คือชุดเครื่องมือฟิชชิ่งที่ถูกขายใน Telegram ในราคาหลักร้อยยูโร แต่มีความสามารถสูงมาก มันสามารถหลอกขโมยรหัสผ่านและยังเจาะผ่านระบบยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) ได้ โดยใช้เทคนิค Man-in-the-Browser เพื่อดักจับรหัส OTP แบบเรียลไทม์ จุดที่ทำให้มันน่ากลัวคือการใช้โค้ด React และ React Router ที่ดูเหมือนของจริง ทำให้ยากต่อการตรวจจับ อีกทั้งยังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากเวอร์ชัน stateless ไปสู่ stateful ที่สามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้แม้รีเฟรชหน้าเว็บได้ ทำให้การโจมตีมีความต่อเนื่องและยากต่อการป้องกัน
    https://securityonline.info/blackforce-phaas-weaponizes-react-and-stateful-sessions-to-bypass-mfa-steal-credentials

    📌🔐🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🔐🩷📌 #รวมข่าวIT #20251216 #securityonline 🛡️ วิกฤติช่องโหว่ FortiGate SSO ถูกโจมตีจริง ช่วงนี้ผู้ดูแลระบบ Fortinet ต้องเผชิญกับสถานการณ์ร้อนแรง เมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการในระบบ FortiGate และเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถูกโจมตีจริงทันที แฮกเกอร์ใช้วิธีเจาะผ่านระบบ Single Sign-On (SSO) โดยส่งข้อความ SAML ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้สามารถล็อกอินเป็นผู้ดูแลได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาจะรีบขโมยการตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ออกไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักมีรหัสผ่านที่ถูกเข้ารหัสของผู้ใช้ VPN และบัญชีอื่น ๆ จุดอันตรายคือการตั้งค่า FortiCloud SSO ที่แม้จะถูกปิดไว้ในค่าเริ่มต้น แต่เมื่อผู้ดูแลลงทะเบียนอุปกรณ์ผ่าน GUI มันจะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติหากไม่ได้ปิดเอง ทำให้หลายระบบเสี่ยงทันที นักวิจัยแนะนำให้รีบอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดหรือปิดฟีเจอร์นี้ผ่าน CLI เพื่อป้องกันการโจมตี 🔗 https://securityonline.info/critical-fortigate-sso-flaw-under-active-exploitation-attackers-bypass-auth-and-exfiltrate-configs ⌚ Apple ยอม EU: iOS 26.3 ส่งต่อการแจ้งเตือนให้สมาร์ทวอชแบรนด์อื่น ใน iOS 26.3 เบต้า Apple เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Notification Forwarding ที่ให้ iPhone ส่งต่อการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์สวมใส่จากแบรนด์อื่นได้โดยตรง ไม่จำกัดแค่ Apple Watch อีกต่อไป ฟีเจอร์นี้เปิดใช้เฉพาะในสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Markets Act ที่บังคับให้ Apple เปิดโอกาสให้สมาร์ทวอชจากค่ายอื่นเข้าถึงฟังก์ชันที่เคยสงวนไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้แอปใดส่งการแจ้งเตือนออกไป และลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่เกิดจากการที่อุปกรณ์อื่นต้องเข้าถึงการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบครอบคลุม ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของ Apple เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษจาก EU 🔗 https://securityonline.info/eu-compliance-ios-26-3-adds-notification-forwarding-to-third-party-wearables-bypassing-apple-watch 💻 Windows 10 อัปเดต KB5071546 ทำ MSMQ ใช้งานไม่ได้ Microsoft ยืนยันแล้วว่าการติดตั้งอัปเดต KB5071546 บน Windows 10 ทำให้บริการ Microsoft Message Queuing (MSMQ) ล้มเหลว MSMQ เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรเพื่อจัดการข้อความระหว่างแอปพลิเคชัน หากมันหยุดทำงาน งานเบื้องหลังที่ต้องพึ่งพาคิวข้อความก็จะหยุดตามทันที ส่งผลให้เว็บไซต์หรือแอปที่รันบน IIS ไม่สามารถทำงานได้ สาเหตุคือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์จัดเก็บข้อความ ทำให้บัญชีที่ใช้ MSMQ ไม่มีสิทธิ์เพียงพอ แม้จะรีสตาร์ทหรือรีบูตเซิร์ฟเวอร์ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา ทางออกเดียวตอนนี้คือถอนการติดตั้งอัปเดตแล้วรอ Microsoft ปล่อยแพตช์แก้ไขในเดือนถัดไป 🔗 https://securityonline.info/enterprise-alert-windows-10-update-kb5071546-breaks-msmq-service-with-insufficient-permissions 🖥️ ช่องโหว่ ScreenConnect เสี่ยงติดตั้งส่วนขยายไม่ปลอดภัย ConnectWise ออกแพตช์ใหม่สำหรับ ScreenConnect หลังพบช่องโหว่ CVE-2025-14265 ที่มีความรุนแรงสูงถึง 9.1 ช่องโหว่นี้อาจทำให้ผู้ที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลเข้าถึงข้อมูลการตั้งค่าหรือบังคับติดตั้งส่วนขยายที่ไม่น่าเชื่อถือได้ แม้จะไม่ใช่การเปิดช่องให้โจมตีจากภายนอกโดยตรง แต่หากบัญชีผู้ดูแลถูกเจาะก็อันตรายทันที แพตช์เวอร์ชัน 25.8 ได้เพิ่มการตรวจสอบความถูกต้องของส่วนขยายและเสริมความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ สำหรับผู้ใช้ระบบคลาวด์ไม่ต้องทำอะไรเพราะถูกแก้ไขแล้ว แต่ผู้ที่ติดตั้งเองในองค์กรต้องรีบอัปเดตด้วยตนเอง 🔗 https://securityonline.info/critical-screenconnect-flaw-cvss-9-1-risks-config-exposure-untrusted-extension-installation ☸️ OpenShift GitOps ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์จนยึดคลัสเตอร์ได้ Red Hat OpenShift GitOps ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-13888 ที่ร้ายแรงมาก ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียงระดับ namespace admin สามารถใช้ ArgoCD Custom Resources เพื่อยกระดับสิทธิ์จนเข้าถึงทั้งคลัสเตอร์ได้ วิธีการคือการแก้ไขค่า sourceNamespaces ใน CR ให้ชี้ไปยัง namespace ที่มีสิทธิ์สูง เช่น default จากนั้นระบบจะสร้าง RoleBinding และ Role ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีรันงานที่มีสิทธิ์สูงสุดบน master node ได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดครองคลัสเตอร์ Kubernetes ได้โดยสมบูรณ์ ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดและจำกัดสิทธิ์การสร้าง ArgoCD CR ให้เฉพาะผู้ดูแลที่เชื่อถือได้ 🔗 https://securityonline.info/critical-openshift-gitops-flaw-risks-cluster-takeover-cve-2025-13888-via-privilege-escalation-to-root 🕵️‍♂️ Phantom Stealer โจมตีการเงินรัสเซียผ่านไฟล์ ISO เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมาก แฮกเกอร์ใช้วิธีส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนเป็นการยืนยันการโอนเงินจากบริษัทการเงินจริงๆ เพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเปิดไฟล์แนบที่เป็นไฟล์ ISO เมื่อเปิดแล้วจะมีโปรแกรมแฝงที่ชื่อ Phantom Stealer ทำงานทันที มันสามารถขโมยข้อมูลได้หลายอย่าง ทั้งรหัสผ่านในเบราว์เซอร์ ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลกระเป๋าเงินดิจิทัล รวมถึงดักจับการพิมพ์คีย์บอร์ดทุกครั้งที่เหยื่อกด Phantom Stealer ยังมีระบบป้องกันตัวเองจากการตรวจสอบ ถ้ารู้ว่ากำลังถูกนักวิจัยจับตามันจะลบตัวเองทันที การโจมตีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ที่ใช้ไฟล์ ISO เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกัน ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลทางการเงินอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/phantom-stealer-targets-russian-finance-with-iso-phishing-deploying-keyloggers-and-crypto-wallet-theft 📱 Frogblight มัลแวร์ Android ปลอมเป็นแอปภาครัฐในตุรกี มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ Frogblight ถูกค้นพบว่ากำลังแพร่ระบาดในตุรกี โดยมันปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชันของรัฐบาลที่ใช้ดูข้อมูลคดีความ ผู้ใช้จะได้รับ SMS หลอกว่ามีคดีความและต้องดาวน์โหลดแอปเพื่อดูรายละเอียด เมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลหลายอย่าง เช่น SMS รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง จากนั้นมันจะเปิดหน้าเว็บจริงของรัฐบาลเพื่อให้ผู้ใช้ตายใจ แต่เบื้องหลังมันจะดักข้อมูลการเข้าสู่ระบบธนาคารและส่งไปยังผู้โจมตี Frogblight ยังมีฟังก์ชันสอดแนมอื่นๆ เช่นเก็บข้อมูลแอปที่ติดตั้งและไฟล์ในเครื่อง นักวิจัยพบว่ามันถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอาจถูกนำไปใช้ในรูปแบบบริการให้เช่าแก่แฮกเกอร์รายอื่น ทำให้ภัยนี้มีโอกาสแพร่กระจายไปนอกตุรกีได้ในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/frogblight-android-banking-trojan-targets-turkey-via-fake-e-gov-smishing-and-webview 💻 ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าช่องโหว่เก่าใน macOS ที่เคยรายงานตั้งแต่ปี 2018 ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แม้ Apple จะพยายามอุดหลายครั้ง ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแอปที่ต้องใช้สิทธิ์ root โดยหากมีแอปปลอมถูกวางไว้ในโฟลเดอร์ Applications ก่อน แอปจริงจะถูกติดตั้งเข้าไปในโฟลเดอร์พิเศษชื่อ .localized ทำให้ระบบเข้าใจผิดและไปเรียกใช้แอปปลอมแทน ผลคือผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในสิทธิ์ root ได้ทันที ถือเป็นการเจาะระบบที่อันตรายมาก นักวิจัยย้ำว่าปัญหานี้ยังคงอยู่และต้องการการแก้ไขที่จริงจังจาก Apple เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access 🪙 มัลแวร์ NuGet แฝงตัว 5 ปี ขโมยกระเป๋าเงินคริปโต มีการค้นพบแพ็กเกจ NuGet ปลอมชื่อ Tracer.Fody.NLog ที่ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดตั้งแต่ปี 2020 และอยู่รอดมาได้กว่า 5 ปีโดยไม่ถูกตรวจจับ มันปลอมตัวเป็นเครื่องมือ .NET ที่ใช้บันทึก log แต่จริงๆ แล้วมีโค้ดแฝงที่ใช้เทคนิคพิเศษ เช่นการใช้ตัวอักษร Cyrillic ที่หน้าตาเหมือนตัวอักษร Latin เพื่อหลบการตรวจสอบ เมื่อถูกติดตั้ง มันจะค้นหาไฟล์กระเป๋าเงินดิจิทัล Stratis และขโมยรหัสผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ถือเป็นการโจมตี supply chain ที่อันตรายมาก เพราะนักพัฒนาที่เชื่อใจแพ็กเกจโอเพนซอร์สอาจถูกดักข้อมูลโดยไม่รู้ตัว 🔗 https://securityonline.info/5-year-threat-malicious-nuget-package-used-homoglyphs-and-typosquatting-to-steal-crypto-wallets 🖥️ Intel เตรียมเข้าซื้อกิจการ SambaNova ในราคาลดฮวบ เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเดิมทีมีข่าวว่า Intel จะทุ่มเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง SambaNova แต่ล่าสุดกลับมีรายงานว่ามูลค่าดีลจริงอาจเหลือเพียง 1.6 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับการประเมินมูลค่าเดิมของบริษัทในปี 2021 ที่สูงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชิป AI ที่ NVIDIA ครองความเป็นใหญ่ SambaNova มีจุดแข็งด้านสถาปัตยกรรมที่เน้นการประมวลผลสำหรับโมเดลภาษาและการทำงานแบบครบวงจร ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ ซึ่งอาจช่วย Intel เติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดอยู่ แต่ความท้าทายใหญ่คือการผสานเทคโนโลยีนี้เข้ากับระบบของ Intel โดยไม่กระทบต่อผลิตภัณฑ์ Gaudi ที่มีอยู่แล้ว 🔗 https://securityonline.info/intel-nears-sambanova-acquisition-at-1-6b-fire-sale-price-down-from-5b-valuation 💾 Claude AI ทำพลาด ลบข้อมูลทั้งเครื่อง Mac ของนักพัฒนา นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนต้องระวังการใช้เครื่องมือ AI มากขึ้น นักพัฒนารายหนึ่งใช้ Claude CLI เพื่อจัดการแพ็กเกจ แต่กลับเกิดความผิดพลาดจากคำสั่งที่มีเครื่องหมาย ~ ต่อท้าย ทำให้ระบบไปลบทั้งโฟลเดอร์ Home Directory ของเครื่อง Mac ผลคือข้อมูลสำคัญอย่าง Desktop, Documents, Downloads และ Keychains หายไปทั้งหมด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการให้ AI เข้าถึงระบบโดยตรง นักพัฒนาบางคนจึงเสนอให้ใช้ Docker เป็นตัวกลางเพื่อป้องกันไม่ให้ AI สามารถทำลายข้อมูลในเครื่องจริงได้ 🔗 https://securityonline.info/data-disaster-claude-ai-executes-rm-rf-and-wipes-developers-mac-home-directory 🚀 SpaceX เตรียม IPO ปี 2026 หลังมูลค่าพุ่งถึง 800 พันล้านดอลลาร์ SpaceX กำลังเดินหน้าสู่การเข้าตลาดหุ้น โดยมีการเริ่มคัดเลือกธนาคารเพื่อเป็นที่ปรึกษา IPO และมีการส่งบันทึกภายในยืนยันว่าบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในปี 2026 แม้ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอน แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือมูลค่าของบริษัทที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการขายหุ้นภายในล่าสุดตีมูลค่าถึง 800 พันล้านดอลลาร์ แรงหนุนสำคัญมาจากบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังส่งผลให้ Alphabet ซึ่งเคยลงทุนใน SpaceX ได้กำไรอย่างมหาศาลอีกด้วย 🔗 https://securityonline.info/spacex-ipo-company-prepares-for-2026-listing-after-valuation-soars-to-800-billion 🔐 Salt Typhoon กลุ่มแฮ็กเกอร์จากการแข่งขัน Cisco สู่การเจาะระบบโทรคมนาคมโลก เรื่องนี้เหมือนนิยาย แต่เกิดขึ้นจริง นักวิจัยพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อ Salt Typhoon มีจุดเริ่มต้นจากนักศึกษาที่เคยแข่งขัน Cisco Network Academy Cup ก่อนจะนำความรู้ไปใช้ในการเจาะระบบโทรคมนาคมกว่า 80 บริษัททั่วโลก พวกเขาสามารถดักฟังทั้งสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงเข้าถึงระบบที่ใช้สำหรับการดักฟังโดยกฎหมายเองด้วย เบื้องหลังคือสองบุคคลที่เคยเป็นคู่แข่งกันในสมัยเรียน แต่กลับร่วมมือกันสร้างเครือข่ายไซเบอร์ที่ทรงพลัง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่อาจถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ 🔗 https://securityonline.info/from-cisco-student-rivalry-to-global-hackers-salt-typhoon-breaches-80-telecos-for-intelligence 🎭 BlackForce เครื่องมือ Phishing-as-a-Service รุ่นใหม่ที่อันตราย BlackForce คือชุดเครื่องมือฟิชชิ่งที่ถูกขายใน Telegram ในราคาหลักร้อยยูโร แต่มีความสามารถสูงมาก มันสามารถหลอกขโมยรหัสผ่านและยังเจาะผ่านระบบยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) ได้ โดยใช้เทคนิค Man-in-the-Browser เพื่อดักจับรหัส OTP แบบเรียลไทม์ จุดที่ทำให้มันน่ากลัวคือการใช้โค้ด React และ React Router ที่ดูเหมือนของจริง ทำให้ยากต่อการตรวจจับ อีกทั้งยังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากเวอร์ชัน stateless ไปสู่ stateful ที่สามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้แม้รีเฟรชหน้าเว็บได้ ทำให้การโจมตีมีความต่อเนื่องและยากต่อการป้องกัน 🔗 https://securityonline.info/blackforce-phaas-weaponizes-react-and-stateful-sessions-to-bypass-mfa-steal-credentials
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical FortiGate SSO Flaw Under Active Exploitation: Attackers Bypass Auth and Exfiltrate Configs
    A critical FortiGate SSO flaw (CVSS 9.1) is under active exploitation, letting unauthenticated attackers bypass login via crafted SAML. The flaw is armed by default registration, risking config exfiltration. Patch immediately.
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar

    รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S
    เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า
    https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review

    มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร
    นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it

    ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA
    IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA
    https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function

    6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan

    Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่
    ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was

    Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era”
    Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน
    https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all

    EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035
    สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035

    ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI”
    ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย
    https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture

    สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ
    นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่
    https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know

    AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime”
    ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า
    https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it



    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar 🖥️ รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review 💻 มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it 🔌 ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA 🔗 https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function 🤖 6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan 🚗 Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่ ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was 🖌️ Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era” Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all 🚗 EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035 สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035 🤖 ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI” ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture 🛂 สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know ⚙️ AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime” ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it
    WWW.TECHRADAR.COM
    I tested the HHKB Professional Classic Type-S — a niche option for those prepared to learn a new keyboard layout to get Topre key mechanisms
    The HHKB Professional Classic Type-S is a radically deconstructed keyboard design that focuses on compact layout rather than easy adaptability.
    0 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • Portable Commodore 64: ความรักในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์

    นักออกแบบอุตสาหกรรม Kevin Noki ได้สร้างต้นแบบ Commodore 64 Laptop ที่ไม่เคยมีอยู่จริงในยุค 1980 โดยผสมผสานแรงบันดาลใจจาก Commodore 64 bread-bin และ Apple Lisa Portable พร้อมใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Raspberry Pi 5 และ VICE emulator เพื่อให้เครื่องทำงานได้จริง ถือเป็น “ประวัติศาสตร์ทางเลือก” ที่น่าทึ่งสำหรับแฟนคอมพิวเตอร์คลาสสิก

    ขั้นตอนการสร้าง
    ใช้ 3D design software ออกแบบตัวเครื่อง และพิมพ์ชิ้นส่วนกว่า 30 ชิ้นด้วย Bambu Lab P2S รวมเวลาพิมพ์กว่า 38 ชั่วโมง
    ตัวเครื่องถูกประกอบด้วย superglue และ metal pins ก่อนจะขัด, พ่นสี และตกแต่งด้วยโทนสี beige แบบดั้งเดิมของ C64
    คีย์บอร์ดถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด: พิมพ์ keycaps ด้วยหัวฉีด 0.2mm, ใช้ waterslide transfers สำหรับตัวอักษร และเคลือบด้วย acrylic lacquer เพื่อความทนทาน
    แผงวงจรคีย์บอร์ดผลิตโดย PCBWay พร้อมบัดกรีไดโอดกว่า 60 ตัว และใช้ Raspberry Pi Pico รันเฟิร์มแวร์ QMK เพื่อเชื่อมต่อกับ Pi 5

    ฟีเจอร์และฮาร์ดแวร์
    ใช้ Raspberry Pi 5 รัน VICE emulator แต่ยังรองรับการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์จริง เช่น 1541 floppy drive และ Datasette cassette ผ่านอะแดปเตอร์ที่สร้างเอง
    จอภาพขนาด 10 นิ้ว อัตราส่วน 4:3 พร้อม bezel หนาแบบยุค 80 และปรับความสว่าง/เสียงด้วยปุ่มหมุนด้านข้าง
    ระบบพลังงานใช้ UPS ราคาประมาณ 10 ดอลลาร์ พร้อมแบตเตอรี่ 18650 ที่เข้าถึงได้ผ่าน trapdoor ใต้เครื่อง
    น้ำหนักรวมประมาณ 4 กิโลกรัม (8 ปอนด์) และบูตเข้าสู่หน้าจอ BASIC ได้ภายใน 11 วินาที

    ประสบการณ์ใช้งาน
    สามารถโหลดเกมดั้งเดิมจาก floppy และ cassette ได้ เช่น Pac-Man
    รองรับ Competition Pro 9-pin joysticks โดยใช้ Python script แปลงสัญญาณ joystick เป็น key presses
    สำหรับการพกพา ผู้สร้างเลือกใช้ SD card ที่บรรจุเกมและแอปพลิเคชัน เพื่อความสะดวกมากกว่าอุปกรณ์จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การออกแบบและการสร้าง
    ใช้ 3D printing กว่า 30 ชิ้นและคีย์บอร์ด custom
    ผสมผสานดีไซน์ Commodore 64 และ Apple Lisa Portable

    ฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์
    Raspberry Pi 5 รัน VICE emulator พร้อมรองรับ floppy และ cassette
    จอ 10 นิ้ว 4:3, ระบบพลังงาน UPS + 18650

    ประสบการณ์ใช้งาน
    โหลดเกมดั้งเดิมได้จริง เช่น Pac-Man
    รองรับ joystick ผ่าน Python script

    คำเตือนและข้อจำกัด
    น้ำหนักเครื่องประมาณ 4 กิโลกรัม อาจไม่สะดวกต่อการพกพา
    แบตเตอรี่ยังไม่ถูกทดสอบเรื่องอายุการใช้งานแบบ untethered

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/this-scratch-built-period-correct-design-portable-commodore-64-is-a-love-letter-to-an-alternate-commodore-history-nokis-cleverly-designed-homage-to-the-era-merges-commodore-apple-and-raspberry-pi
    💻 Portable Commodore 64: ความรักในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ นักออกแบบอุตสาหกรรม Kevin Noki ได้สร้างต้นแบบ Commodore 64 Laptop ที่ไม่เคยมีอยู่จริงในยุค 1980 โดยผสมผสานแรงบันดาลใจจาก Commodore 64 bread-bin และ Apple Lisa Portable พร้อมใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Raspberry Pi 5 และ VICE emulator เพื่อให้เครื่องทำงานได้จริง ถือเป็น “ประวัติศาสตร์ทางเลือก” ที่น่าทึ่งสำหรับแฟนคอมพิวเตอร์คลาสสิก 🛠️ ขั้นตอนการสร้าง 💠 ใช้ 3D design software ออกแบบตัวเครื่อง และพิมพ์ชิ้นส่วนกว่า 30 ชิ้นด้วย Bambu Lab P2S รวมเวลาพิมพ์กว่า 38 ชั่วโมง 💠 ตัวเครื่องถูกประกอบด้วย superglue และ metal pins ก่อนจะขัด, พ่นสี และตกแต่งด้วยโทนสี beige แบบดั้งเดิมของ C64 💠 คีย์บอร์ดถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด: พิมพ์ keycaps ด้วยหัวฉีด 0.2mm, ใช้ waterslide transfers สำหรับตัวอักษร และเคลือบด้วย acrylic lacquer เพื่อความทนทาน 💠 แผงวงจรคีย์บอร์ดผลิตโดย PCBWay พร้อมบัดกรีไดโอดกว่า 60 ตัว และใช้ Raspberry Pi Pico รันเฟิร์มแวร์ QMK เพื่อเชื่อมต่อกับ Pi 5 ⚡ ฟีเจอร์และฮาร์ดแวร์ 💠 ใช้ Raspberry Pi 5 รัน VICE emulator แต่ยังรองรับการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์จริง เช่น 1541 floppy drive และ Datasette cassette ผ่านอะแดปเตอร์ที่สร้างเอง 💠 จอภาพขนาด 10 นิ้ว อัตราส่วน 4:3 พร้อม bezel หนาแบบยุค 80 และปรับความสว่าง/เสียงด้วยปุ่มหมุนด้านข้าง 💠 ระบบพลังงานใช้ UPS ราคาประมาณ 10 ดอลลาร์ พร้อมแบตเตอรี่ 18650 ที่เข้าถึงได้ผ่าน trapdoor ใต้เครื่อง 💠 น้ำหนักรวมประมาณ 4 กิโลกรัม (8 ปอนด์) และบูตเข้าสู่หน้าจอ BASIC ได้ภายใน 11 วินาที 🎮 ประสบการณ์ใช้งาน 💠 สามารถโหลดเกมดั้งเดิมจาก floppy และ cassette ได้ เช่น Pac-Man 💠 รองรับ Competition Pro 9-pin joysticks โดยใช้ Python script แปลงสัญญาณ joystick เป็น key presses 💠 สำหรับการพกพา ผู้สร้างเลือกใช้ SD card ที่บรรจุเกมและแอปพลิเคชัน เพื่อความสะดวกมากกว่าอุปกรณ์จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การออกแบบและการสร้าง ➡️ ใช้ 3D printing กว่า 30 ชิ้นและคีย์บอร์ด custom ➡️ ผสมผสานดีไซน์ Commodore 64 และ Apple Lisa Portable ✅ ฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ ➡️ Raspberry Pi 5 รัน VICE emulator พร้อมรองรับ floppy และ cassette ➡️ จอ 10 นิ้ว 4:3, ระบบพลังงาน UPS + 18650 ✅ ประสบการณ์ใช้งาน ➡️ โหลดเกมดั้งเดิมได้จริง เช่น Pac-Man ➡️ รองรับ joystick ผ่าน Python script ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ น้ำหนักเครื่องประมาณ 4 กิโลกรัม อาจไม่สะดวกต่อการพกพา ⛔ แบตเตอรี่ยังไม่ถูกทดสอบเรื่องอายุการใช้งานแบบ untethered https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/this-scratch-built-period-correct-design-portable-commodore-64-is-a-love-letter-to-an-alternate-commodore-history-nokis-cleverly-designed-homage-to-the-era-merges-commodore-apple-and-raspberry-pi
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • "NanoKVM พบไมโครโฟนซ่อน – ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ถูกเปิดเผย"

    NanoKVM อุปกรณ์ KVM switch ขนาดเล็กจากบริษัทจีน Sipeed ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ โดยมีฟังก์ชันครบทั้งการจำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และแม้แต่การเข้าถึง BIOS อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบว่าอุปกรณ์นี้มี ไมโครโฟนขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่ถูกระบุไว้ในเอกสารทางการ

    การตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนนี้สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านเครื่องมือที่ติดตั้งมาแล้ว เช่น amixer และ arecord ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถบันทึกเสียงหรือแม้แต่สตรีมเสียงแบบเรียลไทม์ได้ หากเข้าถึงอุปกรณ์ผ่าน SSH โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เคยถูกส่งมาพร้อมรหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ร้ายแรง

    นอกจากไมโครโฟนแล้ว NanoKVM ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การใช้ คีย์เข้ารหัสที่ hardcoded เหมือนกันทุกเครื่อง, การสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีน, การไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต และการติดตั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะระบบอย่าง tcpdump และ aircrack ไว้ในเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    แม้ผู้ผลิตจะพยายามแก้ไขบางส่วน เช่น การยกเลิกการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น แต่ปัญหาหลักยังคงอยู่ และการมีไมโครโฟนซ่อนโดยไม่แจ้งผู้ใช้ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมาก นักวิจัยแนะนำว่าผู้ใช้ควรพิจารณา แฟลชระบบปฏิบัติการใหม่ที่ปลอดภัยกว่า หรือแม้แต่ถอดไมโครโฟนออกทางกายภาพ หากต้องการใช้งานต่อ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟังก์ชันของ NanoKVM
    ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์
    จำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และเข้าถึง BIOS ได้
    ราคาถูกกว่า PiKVM หลายเท่า

    สิ่งที่ค้นพบเพิ่มเติม
    มีไมโครโฟนซ่อนอยู่ภายใน สามารถบันทึกเสียงได้
    ติดตั้งเครื่องมือเจาะระบบเช่น tcpdump และ aircrack

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นและคีย์เข้ารหัสที่เหมือนกันทุกเครื่อง
    ไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีนและเก็บคีย์ยืนยันแบบ plain text

    https://telefoncek.si/2025/02/2025-02-10-hidden-microphone-on-nanokvm/
    🎤 "NanoKVM พบไมโครโฟนซ่อน – ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่ถูกเปิดเผย" NanoKVM อุปกรณ์ KVM switch ขนาดเล็กจากบริษัทจีน Sipeed ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้ โดยมีฟังก์ชันครบทั้งการจำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และแม้แต่การเข้าถึง BIOS อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบว่าอุปกรณ์นี้มี ไมโครโฟนขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งไม่ถูกระบุไว้ในเอกสารทางการ การตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนนี้สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านเครื่องมือที่ติดตั้งมาแล้ว เช่น amixer และ arecord ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถบันทึกเสียงหรือแม้แต่สตรีมเสียงแบบเรียลไทม์ได้ หากเข้าถึงอุปกรณ์ผ่าน SSH โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เคยถูกส่งมาพร้อมรหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ร้ายแรง นอกจากไมโครโฟนแล้ว NanoKVM ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การใช้ คีย์เข้ารหัสที่ hardcoded เหมือนกันทุกเครื่อง, การสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีน, การไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต และการติดตั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับเจาะระบบอย่าง tcpdump และ aircrack ไว้ในเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด แม้ผู้ผลิตจะพยายามแก้ไขบางส่วน เช่น การยกเลิกการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น แต่ปัญหาหลักยังคงอยู่ และการมีไมโครโฟนซ่อนโดยไม่แจ้งผู้ใช้ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมาก นักวิจัยแนะนำว่าผู้ใช้ควรพิจารณา แฟลชระบบปฏิบัติการใหม่ที่ปลอดภัยกว่า หรือแม้แต่ถอดไมโครโฟนออกทางกายภาพ หากต้องการใช้งานต่อ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟังก์ชันของ NanoKVM ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกลผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ➡️ จำลองคีย์บอร์ด เมาส์ และเข้าถึง BIOS ได้ ➡️ ราคาถูกกว่า PiKVM หลายเท่า ✅ สิ่งที่ค้นพบเพิ่มเติม ➡️ มีไมโครโฟนซ่อนอยู่ภายใน สามารถบันทึกเสียงได้ ➡️ ติดตั้งเครื่องมือเจาะระบบเช่น tcpdump และ aircrack ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ ใช้รหัสผ่านเริ่มต้นและคีย์เข้ารหัสที่เหมือนกันทุกเครื่อง ⛔ ไม่มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์อัปเดต ⛔ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ในจีนและเก็บคีย์ยืนยันแบบ plain text https://telefoncek.si/2025/02/2025-02-10-hidden-microphone-on-nanokvm/
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90

    ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน

    ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก
    วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่

    สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่:
    ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด
    วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ
    อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด
    มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565)
    รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ
    อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557)
    ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก)
    สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย)

    วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533)

    วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น

    ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ
    ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก

    ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่
    ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564

    ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย
    เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก

    อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา

    การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว
    หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน

    ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์

    ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง

    สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย
    เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    🎵 เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90 🕺 🗺️ ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน 🌠 ✡️ ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่ 💎 สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่: 🙎‍♂️ ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด 🙎‍♂️ วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ 🙎‍♂️ อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด 🙎‍♂️ มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565) 🙎‍♂️ รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ 🙎‍♂️ อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557) 🙎‍♂️ ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก) 🙎‍♂️ สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย) 💿 วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533) 💎 วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น 🕺 ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก 🙎‍♂️ ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่ ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564 🎖️ ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก 🏆 อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา ☢️ การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์ 📝 🤍 ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง ℹ️ℹ️ สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย🏁 เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย ✨💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    0 Comments 0 Shares 417 Views 0 Reviews
  • TUXEDO Gemini 17 Gen4 โน้ตบุ๊ก Linux สเปกแรงระดับเดสก์ท็อป

    Gemini 17 Gen4 มาพร้อม Intel Core i9-14900HX ที่มี 24 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.8 GHz และแรมสูงสุด 96 GB รวมถึง SSD PCIe 4.0 ได้ถึง 8 TB ใช้การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti VRAM 12 GB GDDR7 ทำให้รองรับงานหนักทั้งการเรนเดอร์และเล่นเกมได้สบาย

    จอภาพและการใช้งาน
    หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียด 2560×1440 พิกเซล รีเฟรชเรตสูงถึง 240 Hz ครอบคลุมสี 100% DCI-P3 และ sRGB พร้อมคีย์บอร์ดไฟ RGB และทัชแพดขนาดใหญ่ เหมาะกับทั้งเกมเมอร์และสายทำงานที่ต้องการความแม่นยำและความลื่นไหล

    การเชื่อมต่อและระบบ
    รองรับ Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3, USB-A และ USB-C หลายพอร์ต รวมถึงแบตเตอรี่ 73 Wh ที่สามารถเปลี่ยนได้ ตัวเครื่องมาพร้อม TUXEDO OS (Ubuntu-based) หรือ Ubuntu 24.04 LTS ให้เลือก

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เปิดให้สั่งจองแล้วในราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD) สำหรับรุ่น RAM 16 GB และ SSD 1 TB โดยจะเริ่มจัดส่งช่วงปลายเดือนธันวาคม 2025

    สรุปสาระสำคัญ
    สเปกเครื่อง
    Intel Core i9-14900HX, 24 คอร์ 32 เธรด
    NVIDIA RTX 5070 Ti, RAM สูงสุด 96 GB, SSD สูงสุด 8 TB

    หน้าจอและการใช้งาน
    17.3 นิ้ว QHD, 240 Hz, 100% DCI-P3/sRGB
    คีย์บอร์ดไฟ RGB, ทัชแพดใหญ่

    การเชื่อมต่อ
    Wi-Fi 6E/7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3
    USB-A และ USB-C ครบครัน

    ระบบและราคา
    มาพร้อม TUXEDO OS หรือ Ubuntu 24.04 LTS
    ราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD)

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไป
    น้ำหนักและขนาดอาจไม่เหมาะกับการพกพาบ่อย ๆ

    https://9to5linux.com/tuxedo-gemini-17-gen4-linux-laptop-nvidia-rtx-5070-ti-intel-core-i9-14900hx
    📰 TUXEDO Gemini 17 Gen4 โน้ตบุ๊ก Linux สเปกแรงระดับเดสก์ท็อป Gemini 17 Gen4 มาพร้อม Intel Core i9-14900HX ที่มี 24 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.8 GHz และแรมสูงสุด 96 GB รวมถึง SSD PCIe 4.0 ได้ถึง 8 TB ใช้การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti VRAM 12 GB GDDR7 ทำให้รองรับงานหนักทั้งการเรนเดอร์และเล่นเกมได้สบาย 🎮 จอภาพและการใช้งาน หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียด 2560×1440 พิกเซล รีเฟรชเรตสูงถึง 240 Hz ครอบคลุมสี 100% DCI-P3 และ sRGB พร้อมคีย์บอร์ดไฟ RGB และทัชแพดขนาดใหญ่ เหมาะกับทั้งเกมเมอร์และสายทำงานที่ต้องการความแม่นยำและความลื่นไหล 🌐 การเชื่อมต่อและระบบ รองรับ Wi-Fi 6E และ Wi-Fi 7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3, USB-A และ USB-C หลายพอร์ต รวมถึงแบตเตอรี่ 73 Wh ที่สามารถเปลี่ยนได้ ตัวเครื่องมาพร้อม TUXEDO OS (Ubuntu-based) หรือ Ubuntu 24.04 LTS ให้เลือก 💵 ราคาและการวางจำหน่าย เปิดให้สั่งจองแล้วในราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD) สำหรับรุ่น RAM 16 GB และ SSD 1 TB โดยจะเริ่มจัดส่งช่วงปลายเดือนธันวาคม 2025 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สเปกเครื่อง ➡️ Intel Core i9-14900HX, 24 คอร์ 32 เธรด ➡️ NVIDIA RTX 5070 Ti, RAM สูงสุด 96 GB, SSD สูงสุด 8 TB ✅ หน้าจอและการใช้งาน ➡️ 17.3 นิ้ว QHD, 240 Hz, 100% DCI-P3/sRGB ➡️ คีย์บอร์ดไฟ RGB, ทัชแพดใหญ่ ✅ การเชื่อมต่อ ➡️ Wi-Fi 6E/7, LAN 1 Gbps, Bluetooth 5.3 ➡️ USB-A และ USB-C ครบครัน ✅ ระบบและราคา ➡️ มาพร้อม TUXEDO OS หรือ Ubuntu 24.04 LTS ➡️ ราคาเริ่มต้น 1,805 ยูโร (~2,103 USD) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไป ⛔ น้ำหนักและขนาดอาจไม่เหมาะกับการพกพาบ่อย ๆ https://9to5linux.com/tuxedo-gemini-17-gen4-linux-laptop-nvidia-rtx-5070-ti-intel-core-i9-14900hx
    9TO5LINUX.COM
    TUXEDO Gemini 17 Gen4 Linux Laptop Launches with NVIDIA RTX 5070 Ti GPU - 9to5Linux
    TUXEDO Gemini 17 Gen4 Linux laptop launches with Intel Core i9-14900HX, NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti, up to 96 GB RAM, and up to 8TB storage.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • "Windows 11 Dark Mode กลายเป็น Flashbang – ผู้ใช้สะดุ้งตาแตก"

    Microsoft ปล่อย Windows 11 Preview Build KB5070311 โดยระบุว่าจะทำให้ Dark Mode ใน Explorer มีความสม่ำเสมอมากขึ้น ครอบคลุมทั้งหน้าต่าง copy/move/delete, progress bar, chart view และ dialog ยืนยัน แต่ผู้ใช้กลับพบว่าเมื่อเปิด Explorer หรือสลับไปยัง Home/Gallery หน้าจอกลับ แสดงแสงขาวจ้า ก่อนโหลดเนื้อหาจริง.

    บั๊กนี้สามารถถูกกระตุ้นได้หลายวิธี เช่น การสร้างแท็บใหม่, เปิด/ปิด Details pane, หรือเลือก “More Details” ระหว่างการ copy ไฟล์ ทำให้ผู้ใช้ที่ตั้งค่า Dark Mode ต้องเจอแสงแฟลชทุกครั้ง โดยวิธีแก้ชั่วคราวคือ ปิด Dark Mode ทั้งหมด.

    แม้จะมีบั๊ก แต่ Preview Build ยังมีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Full-Screen Experience สำหรับ handheld, ปากกา haptic ที่ตอบสนอง UI, การปรับแต่งคีย์บอร์ด backlit, และการแชร์ไฟล์หลายรายการพร้อมกัน รวมถึงการแก้บั๊กเกมที่เคยขึ้นข้อความ “unsupported graphics card detected”.

    ผู้ใช้บางคนมองว่าเป็นเรื่องตลก เพราะ Microsoft โฆษณาว่าจะทำให้ Dark Mode “consistent” แต่กลับสร้างเอฟเฟกต์ตรงข้าม ขณะที่นักรีวิวเรียกมันว่า “Flashbang bug” ซึ่งกลายเป็นมีมในชุมชน Windows.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Windows 11 Preview Build KB5070311 มีบั๊ก Dark Mode แสดงแสงขาวจ้า
    เกิดขึ้นเมื่อเปิด Explorer, สร้างแท็บใหม่, หรือเปิด Details pane
    วิธีแก้ชั่วคราวคือปิด Dark Mode
    Build ยังเพิ่มฟีเจอร์ Full-Screen Experience, haptic pen, multi-file sharing

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    Dark Mode เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ Windows เรียกร้องมากที่สุดตั้งแต่ปี 2019
    Microsoft มักใช้ Preview Build เพื่อทดสอบก่อนปล่อยจริง แต่บั๊กเช่นนี้เกิดบ่อย
    ชุมชน Windows มีประวัติการสร้างมีมจากบั๊ก UI เช่น “Blue Screen of Death”

    คำเตือนจากข่าว
    บั๊ก Flashbang อาจรบกวนผู้ใช้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมแสงน้อย
    Preview Build มีความเสี่ยง ไม่ควรติดตั้งบนเครื่องหลัก
    Microsoft ยังไม่มีแพตช์แก้ไขอย่างเป็นทางการ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/windows-11-update-designed-to-improve-dark-mode-greets-users-with-a-flashbang-preview-build-stuns-unsuspecting-eyeballs
    💡 "Windows 11 Dark Mode กลายเป็น Flashbang – ผู้ใช้สะดุ้งตาแตก" Microsoft ปล่อย Windows 11 Preview Build KB5070311 โดยระบุว่าจะทำให้ Dark Mode ใน Explorer มีความสม่ำเสมอมากขึ้น ครอบคลุมทั้งหน้าต่าง copy/move/delete, progress bar, chart view และ dialog ยืนยัน แต่ผู้ใช้กลับพบว่าเมื่อเปิด Explorer หรือสลับไปยัง Home/Gallery หน้าจอกลับ แสดงแสงขาวจ้า ก่อนโหลดเนื้อหาจริง. บั๊กนี้สามารถถูกกระตุ้นได้หลายวิธี เช่น การสร้างแท็บใหม่, เปิด/ปิด Details pane, หรือเลือก “More Details” ระหว่างการ copy ไฟล์ ทำให้ผู้ใช้ที่ตั้งค่า Dark Mode ต้องเจอแสงแฟลชทุกครั้ง โดยวิธีแก้ชั่วคราวคือ ปิด Dark Mode ทั้งหมด. แม้จะมีบั๊ก แต่ Preview Build ยังมีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Full-Screen Experience สำหรับ handheld, ปากกา haptic ที่ตอบสนอง UI, การปรับแต่งคีย์บอร์ด backlit, และการแชร์ไฟล์หลายรายการพร้อมกัน รวมถึงการแก้บั๊กเกมที่เคยขึ้นข้อความ “unsupported graphics card detected”. ผู้ใช้บางคนมองว่าเป็นเรื่องตลก เพราะ Microsoft โฆษณาว่าจะทำให้ Dark Mode “consistent” แต่กลับสร้างเอฟเฟกต์ตรงข้าม ขณะที่นักรีวิวเรียกมันว่า “Flashbang bug” ซึ่งกลายเป็นมีมในชุมชน Windows. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Windows 11 Preview Build KB5070311 มีบั๊ก Dark Mode แสดงแสงขาวจ้า ➡️ เกิดขึ้นเมื่อเปิด Explorer, สร้างแท็บใหม่, หรือเปิด Details pane ➡️ วิธีแก้ชั่วคราวคือปิด Dark Mode ➡️ Build ยังเพิ่มฟีเจอร์ Full-Screen Experience, haptic pen, multi-file sharing ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ Dark Mode เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ Windows เรียกร้องมากที่สุดตั้งแต่ปี 2019 ➡️ Microsoft มักใช้ Preview Build เพื่อทดสอบก่อนปล่อยจริง แต่บั๊กเช่นนี้เกิดบ่อย ➡️ ชุมชน Windows มีประวัติการสร้างมีมจากบั๊ก UI เช่น “Blue Screen of Death” ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ บั๊ก Flashbang อาจรบกวนผู้ใช้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมแสงน้อย ⛔ Preview Build มีความเสี่ยง ไม่ควรติดตั้งบนเครื่องหลัก ⛔ Microsoft ยังไม่มีแพตช์แก้ไขอย่างเป็นทางการ https://www.tomshardware.com/tech-industry/windows-11-update-designed-to-improve-dark-mode-greets-users-with-a-flashbang-preview-build-stuns-unsuspecting-eyeballs
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • Fedora ปรับโฉมระบบ Console ครั้งใหญ่

    Fedora 44 กำลังเปลี่ยนระบบ Kernel Console (fbcon) ที่ใช้มานานหลายสิบปี ไปเป็น kmscon ซึ่งทำงานใน Userspace เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความยืดหยุ่น โดย fbcon จะยังคงอยู่เป็นระบบสำรองในกรณีที่เกิดปัญหา

    Fedora เป็นดิสโทรที่มักนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ก่อนใคร ล่าสุด Fedora Engineering Steering Committee (FESCo) ได้อนุมัติให้เปลี่ยนจาก fbcon (framebuffer console) ที่ทำงานใน Kernel ไปใช้ kmscon (Kernel Mode Setting console) ที่ทำงานใน Userspace เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสามารถในการจัดการ

    เหตุผลที่ต้องเปลี่ยน
    fbcon ล้าสมัย และเคยถูกตัดฟีเจอร์สำคัญ เช่น การเลื่อนหน้าจอ (scrolling) เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย
    fbcon ยังพึ่งพา fbdev emulation ทั้งที่ GPU สมัยใหม่ใช้ DRM interface แล้ว ทำให้เกิดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็น
    การทำงานใน Kernel Space หมายความว่าหาก fbcon ล้มเหลว จะทำให้ระบบเกิด Kernel Panic และหยุดทำงานทั้งหมด

    สิ่งที่ผู้ใช้จะได้รับจาก kmscon
    การเลื่อนหน้าจอ (scrolling) กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
    รองรับ xkbcommon ทำให้การจัดการคีย์บอร์ดดีขึ้น เช่น layout หลายภาษา และ shortcut ที่ถูกต้อง
    รองรับ Unicode และการเปลี่ยนฟอนต์
    หาก kmscon มีปัญหา ระบบจะ fallback กลับไปใช้ fbcon โดยอัตโนมัติ

    ผลกระทบต่ออนาคต Linux
    หาก Fedora สามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น ดิสโทรอื่น ๆ อาจตามรอยในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ระบบ Linux โดยรวมมีความปลอดภัยและทันสมัยมากขึ้น โดยเป้าหมายระยะยาวคือการเลิกใช้ทั้ง fbcon และ fbdev emulation อย่างถาวร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Fedora 44 จะเปลี่ยนจาก fbcon ไปใช้ kmscon
    fbcon เคยถูกตัดฟีเจอร์ scrolling และพึ่งพา fbdev ที่ล้าสมัย
    kmscon รองรับ Unicode, ฟอนต์, และคีย์บอร์ดหลายภาษา
    หาก kmscon ล้มเหลว ระบบจะ fallback ไป fbcon

    คำเตือนจากข่าว
    fbcon ที่ทำงานใน Kernel Space เสี่ยงต่อ Kernel Panic หากเกิดข้อผิดพลาด
    หากผู้ใช้ไม่ปรับตัว อาจเจอความไม่เข้ากันกับระบบใหม่ในช่วงแรก
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ระบบยังคงเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัยเดิม

    https://itsfoss.com/news/fedora-replacing-kernel-console/
    📰 Fedora ปรับโฉมระบบ Console ครั้งใหญ่ Fedora 44 กำลังเปลี่ยนระบบ Kernel Console (fbcon) ที่ใช้มานานหลายสิบปี ไปเป็น kmscon ซึ่งทำงานใน Userspace เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความยืดหยุ่น โดย fbcon จะยังคงอยู่เป็นระบบสำรองในกรณีที่เกิดปัญหา Fedora เป็นดิสโทรที่มักนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ก่อนใคร ล่าสุด Fedora Engineering Steering Committee (FESCo) ได้อนุมัติให้เปลี่ยนจาก fbcon (framebuffer console) ที่ทำงานใน Kernel ไปใช้ kmscon (Kernel Mode Setting console) ที่ทำงานใน Userspace เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสามารถในการจัดการ 🔎 เหตุผลที่ต้องเปลี่ยน 💠 fbcon ล้าสมัย และเคยถูกตัดฟีเจอร์สำคัญ เช่น การเลื่อนหน้าจอ (scrolling) เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย 💠 fbcon ยังพึ่งพา fbdev emulation ทั้งที่ GPU สมัยใหม่ใช้ DRM interface แล้ว ทำให้เกิดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็น 💠 การทำงานใน Kernel Space หมายความว่าหาก fbcon ล้มเหลว จะทำให้ระบบเกิด Kernel Panic และหยุดทำงานทั้งหมด ⚙️ สิ่งที่ผู้ใช้จะได้รับจาก kmscon 💠 การเลื่อนหน้าจอ (scrolling) กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง 💠 รองรับ xkbcommon ทำให้การจัดการคีย์บอร์ดดีขึ้น เช่น layout หลายภาษา และ shortcut ที่ถูกต้อง 💠 รองรับ Unicode และการเปลี่ยนฟอนต์ 💠 หาก kmscon มีปัญหา ระบบจะ fallback กลับไปใช้ fbcon โดยอัตโนมัติ 🌍 ผลกระทบต่ออนาคต Linux หาก Fedora สามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น ดิสโทรอื่น ๆ อาจตามรอยในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ระบบ Linux โดยรวมมีความปลอดภัยและทันสมัยมากขึ้น โดยเป้าหมายระยะยาวคือการเลิกใช้ทั้ง fbcon และ fbdev emulation อย่างถาวร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Fedora 44 จะเปลี่ยนจาก fbcon ไปใช้ kmscon ➡️ fbcon เคยถูกตัดฟีเจอร์ scrolling และพึ่งพา fbdev ที่ล้าสมัย ➡️ kmscon รองรับ Unicode, ฟอนต์, และคีย์บอร์ดหลายภาษา ➡️ หาก kmscon ล้มเหลว ระบบจะ fallback ไป fbcon ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ fbcon ที่ทำงานใน Kernel Space เสี่ยงต่อ Kernel Panic หากเกิดข้อผิดพลาด ⛔ หากผู้ใช้ไม่ปรับตัว อาจเจอความไม่เข้ากันกับระบบใหม่ในช่วงแรก ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ระบบยังคงเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัยเดิม https://itsfoss.com/news/fedora-replacing-kernel-console/
    ITSFOSS.COM
    Fedora 44 is Replacing Decades-Old Kernel Console with Safer, Modern Alternative
    It is making a more secure userspace console the default while keeping the old one as a backup.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251201 #securityonline


    GeoServer พบช่องโหว่ร้ายแรง XXE (CVE-2025-58360)
    เรื่องนี้เป็นการเตือนครั้งใหญ่สำหรับผู้ดูแลระบบที่ใช้ GeoServer ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สด้านข้อมูลภูมิสารสนเทศ ช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน Web Map Service (WMS) ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง XML ที่ไม่ถูกกรองอย่างเหมาะสม ผลคือสามารถดึงไฟล์ลับจากเซิร์ฟเวอร์ ทำการ SSRF เพื่อเจาะระบบภายใน หรือแม้แต่ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้ทันที ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รีบอัปเดตไปยังเวอร์ชันล่าสุดเพื่อปิดช่องโหว่ ไม่เช่นนั้นระบบที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแผนที่อาจถูกเจาะได้ง่าย
    https://securityonline.info/high-severity-geoserver-flaw-cve-2025-58360-allows-unauthenticated-xxe-for-file-theft-and-ssrf

    TAG-150 ผู้ให้บริการ Malware-as-a-Service รายใหม่ ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อ
    กลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์หน้าใหม่ชื่อ TAG-150 โผล่ขึ้นมาในปี 2025 และสร้างความปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้เทคนิค ClickFix ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังทำขั้นตอนยืนยันหรืออัปเดตซอฟต์แวร์ แต่จริง ๆ แล้วคือการบังคับให้เหยื่อรันคำสั่ง PowerShell ที่เป็นมัลแวร์เอง หลังจากนั้นจะถูกติดตั้ง CastleLoader และ CastleRAT ซึ่งให้สิทธิ์ควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ ทั้งการดักคีย์บอร์ด จับภาพหน้าจอ และเปิดเชลล์ระยะไกล ถือเป็นการโจมตีที่เน้นหลอกเหยื่อให้ “แฮ็กตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว
    https://securityonline.info/new-maas-operator-tag-150-uses-clickfix-lure-and-custom-castleloader-to-compromise-469-us-devices

    แคมเปญ “Contagious Interview” ของเกาหลีเหนือ ปล่อยแพ็กเกจ npm กว่า 200 ตัว
    นักวิจัยพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ที่เชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าล่าผู้พัฒนาในสายบล็อกเชนและ Web3 พวกเขาใช้วิธีปลอมเป็นการสัมภาษณ์งาน โดยให้ผู้สมัครทำ “แบบทดสอบโค้ด” ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นแพ็กเกจ npm ที่ฝังมัลแวร์ OtterCookie รุ่นใหม่เข้าไป แพ็กเกจเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่าหมื่นครั้ง และสามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น seed phrase ของกระเป๋าเงินคริปโต รหัสผ่าน และไฟล์ลับต่าง ๆ ได้ทันที ถือเป็นการโจมตีที่ใช้กระบวนการสมัครงานเป็นเครื่องมือในการเจาะระบบ
    https://securityonline.info/north-koreas-contagious-interview-floods-npm-with-200-new-packages-using-fake-crypto-jobs-to-deploy-ottercookie-spyware

    ShadowV2 Mirai Botnet ทดสอบโจมตี IoT ระหว่าง AWS ล่มทั่วโลก
    ในช่วงที่ AWS เกิดการล่มครั้งใหญ่เมื่อเดือนตุลาคม กลุ่มผู้โจมตีใช้โอกาสนี้ปล่อย ShadowV2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของ Mirai botnet โดยมุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์ IoT เช่น เราเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่มีช่องโหว่ การโจมตีครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “การทดสอบ” มากกว่าการโจมตีเต็มรูปแบบ แต่ก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกได้แล้ว ShadowV2 ใช้เทคนิคเข้ารหัสเพื่อหลบการตรวจจับ และสามารถทำ DDoS ได้หลายรูปแบบ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า IoT ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญในโลกไซเบอร์
    https://securityonline.info/shadowv2-mirai-botnet-launched-coordinated-iot-test-attack-during-global-aws-outage

    Bloody Wolf APT ขยายการโจมตีสู่เอเชียกลาง ใช้ NetSupport RAT
    กลุ่ม APT ที่ชื่อ Bloody Wolf ซึ่งเคยโจมตีในรัสเซียและคาซัคสถาน ตอนนี้ขยายไปยังคีร์กีซสถานและอุซเบกิสถาน พวกเขาใช้วิธีส่งอีเมล spear-phishing ที่ปลอมเป็นเอกสารทางราชการ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์จะถูกนำไปดาวน์โหลด JAR ที่ฝังโค้ดอันตราย ซึ่งสุดท้ายติดตั้ง NetSupport RAT ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ปกติใช้ในการช่วยเหลือด้านไอที แต่ถูกนำมาใช้ควบคุมเครื่องเหยื่อแบบลับ ๆ ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก การใช้เครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมายมาทำการโจมตีเช่นนี้ เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการใช้งานจริงหรือการแฮ็ก
    https://securityonline.info/bloody-wolf-apt-expands-to-central-asia-deploys-netsupport-rat-via-custom-java-droppers-and-geo-fencing

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache bRPC (CVE-2025-59789)
    เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ที่อันตรายมากใน Apache bRPC ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์ก RPC ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับระบบประสิทธิภาพสูง เช่น การค้นหา การจัดเก็บ และแมชชีนเลิร์นนิง ช่องโหว่นี้เกิดจากการประมวลผล JSON ที่มีโครงสร้างซ้อนลึกเกินไป ทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำสแต็กจนล้นและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้ง่าย ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูล JSON ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ระบบ crash โดยเฉพาะ องค์กรที่เปิดรับทราฟฟิกจากเครือข่ายภายนอกจึงเสี่ยงสูง ทางทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 1.15.0 โดยเพิ่มการจำกัดความลึกของการ recursion ที่ค่าเริ่มต้น 100 เพื่อป้องกันการโจมตี แต่ก็อาจทำให้บางคำขอที่ถูกต้องถูกปฏิเสธไปด้วย
    https://securityonline.info/cve-2025-59789-critical-flaw-in-apache-brpc-framework-exposes-high-performance-systems-to-crash-risks

    Apple เตรียมใช้ Intel Foundry ผลิตชิป M-Series บนเทคโนโลยี 18A ปี 2027
    มีรายงานว่า Apple ได้ทำข้อตกลงลับกับ Intel เพื่อให้ผลิตชิป M-series รุ่นเริ่มต้นบนกระบวนการผลิต 18A โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากได้ในช่วงกลางปี 2027 นี่ถือเป็นการกลับมาของ Intel ในห่วงโซ่อุปทานของ Apple หลังจากที่ TSMC ครองบทบาทหลักมานาน ชิปที่ผลิตจะถูกใช้ใน MacBook Air และ iPad Pro ซึ่งมียอดขายรวมกว่า 20 ล้านเครื่องในปี 2025 การเคลื่อนไหวนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ Intel ในฐานะโรงงานผลิต แต่ยังไม่กระทบต่อรายได้ของ TSMC ในระยะสั้น
    https://securityonline.info/apple-eyes-intel-foundry-for-m-series-chips-on-18a-node-by-2027

    Windows 11 พบปัญหาไอคอนล็อกอินด้วยรหัสผ่านหายไปหลังอัปเดต
    ผู้ใช้ Windows 11 หลายคนเจอปัญหาหลังติดตั้งอัปเดตเดือนสิงหาคม 2025 หรือเวอร์ชันหลังจากนั้น โดยไอคอนสำหรับเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกสกรีน ทำให้ดูเหมือนว่ามีเพียงการเข้าสู่ระบบด้วย PIN เท่านั้นที่ใช้ได้ แม้จริง ๆ แล้วฟังก์ชันยังอยู่ แต่ผู้ใช้ต้องคลิกตรงพื้นที่ว่างที่ควรมีไอคอน ซึ่งสร้างความสับสนและยุ่งยาก Microsoft ยืนยันว่ากำลังแก้ไขและคาดว่าจะปล่อยแพตช์แก้ในอัปเดตถัดไป
    https://securityonline.info/windows-11-bug-makes-lock-screen-password-icon-vanish-after-update

    กลยุทธ์ AI ของ Google Pixel เน้นประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณา
    Google กำลังผลักดัน Pixel ให้เป็นสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นด้าน AI โดยเน้นการใช้งานที่จับต้องได้ เช่น ฟีเจอร์ “Auto Best Take” ที่ช่วยให้ทุกคนดูดีที่สุดในภาพถ่ายกลุ่ม Adrienne Lofton รองประธานฝ่ายการตลาดของ Pixel ชี้ว่าแม้ AI จะเป็นกระแส แต่ผู้ใช้ยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งที่เชื่อและที่สงสัย ดังนั้นกลยุทธ์ของ Google คือการทำให้ AI เป็นสิ่งที่ผู้ใช้เห็นคุณค่า ไม่ใช่แค่คำโฆษณา ทีมงานยังใช้ AI ภายในอย่าง Gemini Live และ Veo 3 เพื่อเร่งกระบวนการทำตลาดให้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 15 สัปดาห์
    https://securityonline.info/googles-pixel-ai-strategy-focusing-on-tangible-benefits-not-just-hype

    OpenAI ถูกท้าทายอย่างหนักจาก Gemini 3 ของ Google
    หลังจาก ChatGPT ครองตลาดมานาน ตอนนี้ OpenAI กำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่เมื่อ Google เปิดตัว Gemini 3 ที่ทำคะแนนเหนือ GPT-5 ในหลายการทดสอบ และมีผู้ใช้งานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 400 ล้านเป็น 650 ล้านรายต่อเดือน ความได้เปรียบของ Google คือการใช้ TPU ของตัวเองแทนการพึ่งพา NVIDIA ทำให้พัฒนาได้เร็วและต้นทุนต่ำลง ขณะที่ OpenAI ต้องลงทุนมหาศาลกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรักษาความเป็นผู้นำ สถานการณ์นี้ทำให้ตลาด AI กลับมาดุเดือดอีกครั้ง และอนาคตของ OpenAI ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
    https://securityonline.info/openai-under-siege-googles-gemini-3-surge-threatens-to-end-chatgpts-early-lead

    ฟีเจอร์ใหม่ Android Hotspot แชร์สัญญาณพร้อมกัน 2.4 GHz + 6 GHz
    Android กำลังเพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้สามารถแชร์ฮอตสปอตได้พร้อมกันทั้งย่านความถี่ 2.4 GHz และ 6 GHz ซึ่งช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์รุ่นเก่าและใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน การอัปเกรดนี้ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีหลายอุปกรณ์หลากหลายรุ่นต้องเชื่อมต่อพร้อมกัน ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ยุค Wi-Fi 6E
    https://securityonline.info/android-hotspot-upgrade-new-feature-allows-simultaneous-2-4-ghz-6-ghz-dual-band-sharing

    ปฏิบัติการ Hanoi Thief: ใช้ไฟล์ LNK/รูปภาพโจมตีด้วย LOTUSHARVEST Stealer
    แฮกเกอร์ได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า “Pseudo-Polyglot” โดยใช้ไฟล์ LNK หรือรูปภาพที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่จริง ๆ แล้วซ่อนโค้ดอันตรายไว้เพื่อโหลดมัลแวร์ LOTUSHARVEST Stealer ผ่าน DLL Sideloading การโจมตีนี้ทำให้ผู้ใช้ที่เปิดไฟล์ดังกล่าวเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัว เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหลอกลวงทางไซเบอร์
    https://securityonline.info/operation-hanoi-thief-hackers-use-pseudo-polyglot-lnk-image-to-deploy-lotusharvest-stealer-via-dll-sideloading

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Devolutions Server (CVE-2025-13757)
    มีการค้นพบช่องโหว่ SQL Injection ที่ร้ายแรงใน Devolutions Server ซึ่งทำให้ผู้โจมตีที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วสามารถดึงข้อมูลรหัสผ่านทั้งหมดออกมาได้ ช่องโหว่นี้ถือว่าอันตรายมากเพราะเปิดโอกาสให้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดของระบบ การโจมตีลักษณะนี้สามารถทำให้ทั้งองค์กรเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลและถูกบุกรุกอย่างหนัก ผู้ดูแลระบบจึงควรเร่งอัปเดตแพตช์แก้ไขทันที
    https://securityonline.info/critical-devolutions-server-flaw-cve-2025-13757-allows-authenticated-sql-injection-to-steal-all-passwords

    มัลแวร์ TangleCrypt Packer ซ่อน EDR Killer แต่พลาดจนแครชเอง
    นักวิจัยพบว่า TangleCrypt ซึ่งเป็นแพ็กเกอร์มัลแวร์รุ่นใหม่ ถูกออกแบบมาเพื่อซ่อนฟังก์ชัน EDR Killer ที่สามารถทำลายระบบตรวจจับภัยคุกคามได้ แต่เนื่องจากมีข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด ทำให้มัลแวร์นี้เกิดการแครชเองโดยไม่ตั้งใจ แม้จะเป็นภัยคุกคามที่น่ากังวล แต่ความผิดพลาดนี้ก็ทำให้การโจมตีไม่เสถียร และอาจเป็นจุดอ่อนที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถตรวจจับและป้องกันได้ง่ายขึ้น
    https://securityonline.info/new-tanglecrypt-packer-hides-edr-killer-but-coding-flaws-cause-ransomware-to-crash-unexpectedly

    กลยุทธ์ใหม่ของ Russian Tomiris APT ใช้ Telegram/Discord เป็นช่องทางสอดแนม
    กลุ่มแฮกเกอร์ Tomiris APT จากรัสเซียถูกพบว่าใช้วิธี “Polyglot” ในการแฝงตัว โดยเปลี่ยนแพลตฟอร์มสื่อสารยอดนิยมอย่าง Telegram และ Discord ให้กลายเป็นช่องทางควบคุมการสอดแนมทางการทูต เทคนิคนี้ทำให้การตรวจจับยากขึ้น เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติของผู้ใช้ทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วเป็นการซ่อนการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ควบคุมและเครื่องที่ถูกบุกรุก ถือเป็นการยกระดับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/russian-tomiris-apt-adopts-polyglot-strategy-hijacking-telegram-discord-as-covert-c2-for-diplomatic-spies
    📌🔐🟡 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟡🔐📌 #รวมข่าวIT #20251201 #securityonline 🛡️ GeoServer พบช่องโหว่ร้ายแรง XXE (CVE-2025-58360) เรื่องนี้เป็นการเตือนครั้งใหญ่สำหรับผู้ดูแลระบบที่ใช้ GeoServer ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สด้านข้อมูลภูมิสารสนเทศ ช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน Web Map Service (WMS) ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง XML ที่ไม่ถูกกรองอย่างเหมาะสม ผลคือสามารถดึงไฟล์ลับจากเซิร์ฟเวอร์ ทำการ SSRF เพื่อเจาะระบบภายใน หรือแม้แต่ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้ทันที ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รีบอัปเดตไปยังเวอร์ชันล่าสุดเพื่อปิดช่องโหว่ ไม่เช่นนั้นระบบที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแผนที่อาจถูกเจาะได้ง่าย 🔗 https://securityonline.info/high-severity-geoserver-flaw-cve-2025-58360-allows-unauthenticated-xxe-for-file-theft-and-ssrf 🕵️ TAG-150 ผู้ให้บริการ Malware-as-a-Service รายใหม่ ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อ กลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์หน้าใหม่ชื่อ TAG-150 โผล่ขึ้นมาในปี 2025 และสร้างความปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้เทคนิค ClickFix ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังทำขั้นตอนยืนยันหรืออัปเดตซอฟต์แวร์ แต่จริง ๆ แล้วคือการบังคับให้เหยื่อรันคำสั่ง PowerShell ที่เป็นมัลแวร์เอง หลังจากนั้นจะถูกติดตั้ง CastleLoader และ CastleRAT ซึ่งให้สิทธิ์ควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ ทั้งการดักคีย์บอร์ด จับภาพหน้าจอ และเปิดเชลล์ระยะไกล ถือเป็นการโจมตีที่เน้นหลอกเหยื่อให้ “แฮ็กตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว 🔗 https://securityonline.info/new-maas-operator-tag-150-uses-clickfix-lure-and-custom-castleloader-to-compromise-469-us-devices 💻 แคมเปญ “Contagious Interview” ของเกาหลีเหนือ ปล่อยแพ็กเกจ npm กว่า 200 ตัว นักวิจัยพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ที่เชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าล่าผู้พัฒนาในสายบล็อกเชนและ Web3 พวกเขาใช้วิธีปลอมเป็นการสัมภาษณ์งาน โดยให้ผู้สมัครทำ “แบบทดสอบโค้ด” ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นแพ็กเกจ npm ที่ฝังมัลแวร์ OtterCookie รุ่นใหม่เข้าไป แพ็กเกจเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่าหมื่นครั้ง และสามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น seed phrase ของกระเป๋าเงินคริปโต รหัสผ่าน และไฟล์ลับต่าง ๆ ได้ทันที ถือเป็นการโจมตีที่ใช้กระบวนการสมัครงานเป็นเครื่องมือในการเจาะระบบ 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-contagious-interview-floods-npm-with-200-new-packages-using-fake-crypto-jobs-to-deploy-ottercookie-spyware 🌐 ShadowV2 Mirai Botnet ทดสอบโจมตี IoT ระหว่าง AWS ล่มทั่วโลก ในช่วงที่ AWS เกิดการล่มครั้งใหญ่เมื่อเดือนตุลาคม กลุ่มผู้โจมตีใช้โอกาสนี้ปล่อย ShadowV2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของ Mirai botnet โดยมุ่งเป้าไปที่อุปกรณ์ IoT เช่น เราเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่มีช่องโหว่ การโจมตีครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “การทดสอบ” มากกว่าการโจมตีเต็มรูปแบบ แต่ก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกได้แล้ว ShadowV2 ใช้เทคนิคเข้ารหัสเพื่อหลบการตรวจจับ และสามารถทำ DDoS ได้หลายรูปแบบ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า IoT ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญในโลกไซเบอร์ 🔗 https://securityonline.info/shadowv2-mirai-botnet-launched-coordinated-iot-test-attack-during-global-aws-outage 🐺 Bloody Wolf APT ขยายการโจมตีสู่เอเชียกลาง ใช้ NetSupport RAT กลุ่ม APT ที่ชื่อ Bloody Wolf ซึ่งเคยโจมตีในรัสเซียและคาซัคสถาน ตอนนี้ขยายไปยังคีร์กีซสถานและอุซเบกิสถาน พวกเขาใช้วิธีส่งอีเมล spear-phishing ที่ปลอมเป็นเอกสารทางราชการ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์จะถูกนำไปดาวน์โหลด JAR ที่ฝังโค้ดอันตราย ซึ่งสุดท้ายติดตั้ง NetSupport RAT ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ปกติใช้ในการช่วยเหลือด้านไอที แต่ถูกนำมาใช้ควบคุมเครื่องเหยื่อแบบลับ ๆ ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก การใช้เครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมายมาทำการโจมตีเช่นนี้ เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการใช้งานจริงหรือการแฮ็ก 🔗 https://securityonline.info/bloody-wolf-apt-expands-to-central-asia-deploys-netsupport-rat-via-custom-java-droppers-and-geo-fencing 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache bRPC (CVE-2025-59789) เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ที่อันตรายมากใน Apache bRPC ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์ก RPC ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับระบบประสิทธิภาพสูง เช่น การค้นหา การจัดเก็บ และแมชชีนเลิร์นนิง ช่องโหว่นี้เกิดจากการประมวลผล JSON ที่มีโครงสร้างซ้อนลึกเกินไป ทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำสแต็กจนล้นและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้ง่าย ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูล JSON ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ระบบ crash โดยเฉพาะ องค์กรที่เปิดรับทราฟฟิกจากเครือข่ายภายนอกจึงเสี่ยงสูง ทางทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 1.15.0 โดยเพิ่มการจำกัดความลึกของการ recursion ที่ค่าเริ่มต้น 100 เพื่อป้องกันการโจมตี แต่ก็อาจทำให้บางคำขอที่ถูกต้องถูกปฏิเสธไปด้วย 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-59789-critical-flaw-in-apache-brpc-framework-exposes-high-performance-systems-to-crash-risks 💻 Apple เตรียมใช้ Intel Foundry ผลิตชิป M-Series บนเทคโนโลยี 18A ปี 2027 มีรายงานว่า Apple ได้ทำข้อตกลงลับกับ Intel เพื่อให้ผลิตชิป M-series รุ่นเริ่มต้นบนกระบวนการผลิต 18A โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากได้ในช่วงกลางปี 2027 นี่ถือเป็นการกลับมาของ Intel ในห่วงโซ่อุปทานของ Apple หลังจากที่ TSMC ครองบทบาทหลักมานาน ชิปที่ผลิตจะถูกใช้ใน MacBook Air และ iPad Pro ซึ่งมียอดขายรวมกว่า 20 ล้านเครื่องในปี 2025 การเคลื่อนไหวนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ Intel ในฐานะโรงงานผลิต แต่ยังไม่กระทบต่อรายได้ของ TSMC ในระยะสั้น 🔗 https://securityonline.info/apple-eyes-intel-foundry-for-m-series-chips-on-18a-node-by-2027 🖥️ Windows 11 พบปัญหาไอคอนล็อกอินด้วยรหัสผ่านหายไปหลังอัปเดต ผู้ใช้ Windows 11 หลายคนเจอปัญหาหลังติดตั้งอัปเดตเดือนสิงหาคม 2025 หรือเวอร์ชันหลังจากนั้น โดยไอคอนสำหรับเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกสกรีน ทำให้ดูเหมือนว่ามีเพียงการเข้าสู่ระบบด้วย PIN เท่านั้นที่ใช้ได้ แม้จริง ๆ แล้วฟังก์ชันยังอยู่ แต่ผู้ใช้ต้องคลิกตรงพื้นที่ว่างที่ควรมีไอคอน ซึ่งสร้างความสับสนและยุ่งยาก Microsoft ยืนยันว่ากำลังแก้ไขและคาดว่าจะปล่อยแพตช์แก้ในอัปเดตถัดไป 🔗 https://securityonline.info/windows-11-bug-makes-lock-screen-password-icon-vanish-after-update 📱 กลยุทธ์ AI ของ Google Pixel เน้นประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณา Google กำลังผลักดัน Pixel ให้เป็นสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นด้าน AI โดยเน้นการใช้งานที่จับต้องได้ เช่น ฟีเจอร์ “Auto Best Take” ที่ช่วยให้ทุกคนดูดีที่สุดในภาพถ่ายกลุ่ม Adrienne Lofton รองประธานฝ่ายการตลาดของ Pixel ชี้ว่าแม้ AI จะเป็นกระแส แต่ผู้ใช้ยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งที่เชื่อและที่สงสัย ดังนั้นกลยุทธ์ของ Google คือการทำให้ AI เป็นสิ่งที่ผู้ใช้เห็นคุณค่า ไม่ใช่แค่คำโฆษณา ทีมงานยังใช้ AI ภายในอย่าง Gemini Live และ Veo 3 เพื่อเร่งกระบวนการทำตลาดให้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 15 สัปดาห์ 🔗 https://securityonline.info/googles-pixel-ai-strategy-focusing-on-tangible-benefits-not-just-hype 🤖 OpenAI ถูกท้าทายอย่างหนักจาก Gemini 3 ของ Google หลังจาก ChatGPT ครองตลาดมานาน ตอนนี้ OpenAI กำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่เมื่อ Google เปิดตัว Gemini 3 ที่ทำคะแนนเหนือ GPT-5 ในหลายการทดสอบ และมีผู้ใช้งานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 400 ล้านเป็น 650 ล้านรายต่อเดือน ความได้เปรียบของ Google คือการใช้ TPU ของตัวเองแทนการพึ่งพา NVIDIA ทำให้พัฒนาได้เร็วและต้นทุนต่ำลง ขณะที่ OpenAI ต้องลงทุนมหาศาลกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรักษาความเป็นผู้นำ สถานการณ์นี้ทำให้ตลาด AI กลับมาดุเดือดอีกครั้ง และอนาคตของ OpenAI ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด 🔗 https://securityonline.info/openai-under-siege-googles-gemini-3-surge-threatens-to-end-chatgpts-early-lead 📶 ฟีเจอร์ใหม่ Android Hotspot แชร์สัญญาณพร้อมกัน 2.4 GHz + 6 GHz Android กำลังเพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้สามารถแชร์ฮอตสปอตได้พร้อมกันทั้งย่านความถี่ 2.4 GHz และ 6 GHz ซึ่งช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์รุ่นเก่าและใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน การอัปเกรดนี้ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีหลายอุปกรณ์หลากหลายรุ่นต้องเชื่อมต่อพร้อมกัน ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ยุค Wi-Fi 6E 🔗 https://securityonline.info/android-hotspot-upgrade-new-feature-allows-simultaneous-2-4-ghz-6-ghz-dual-band-sharing 🕵️‍♂️ ปฏิบัติการ Hanoi Thief: ใช้ไฟล์ LNK/รูปภาพโจมตีด้วย LOTUSHARVEST Stealer แฮกเกอร์ได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า “Pseudo-Polyglot” โดยใช้ไฟล์ LNK หรือรูปภาพที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่จริง ๆ แล้วซ่อนโค้ดอันตรายไว้เพื่อโหลดมัลแวร์ LOTUSHARVEST Stealer ผ่าน DLL Sideloading การโจมตีนี้ทำให้ผู้ใช้ที่เปิดไฟล์ดังกล่าวเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัว เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหลอกลวงทางไซเบอร์ 🔗 https://securityonline.info/operation-hanoi-thief-hackers-use-pseudo-polyglot-lnk-image-to-deploy-lotusharvest-stealer-via-dll-sideloading 🔐 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Devolutions Server (CVE-2025-13757) มีการค้นพบช่องโหว่ SQL Injection ที่ร้ายแรงใน Devolutions Server ซึ่งทำให้ผู้โจมตีที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วสามารถดึงข้อมูลรหัสผ่านทั้งหมดออกมาได้ ช่องโหว่นี้ถือว่าอันตรายมากเพราะเปิดโอกาสให้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดของระบบ การโจมตีลักษณะนี้สามารถทำให้ทั้งองค์กรเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลและถูกบุกรุกอย่างหนัก ผู้ดูแลระบบจึงควรเร่งอัปเดตแพตช์แก้ไขทันที 🔗 https://securityonline.info/critical-devolutions-server-flaw-cve-2025-13757-allows-authenticated-sql-injection-to-steal-all-passwords 💣 มัลแวร์ TangleCrypt Packer ซ่อน EDR Killer แต่พลาดจนแครชเอง นักวิจัยพบว่า TangleCrypt ซึ่งเป็นแพ็กเกอร์มัลแวร์รุ่นใหม่ ถูกออกแบบมาเพื่อซ่อนฟังก์ชัน EDR Killer ที่สามารถทำลายระบบตรวจจับภัยคุกคามได้ แต่เนื่องจากมีข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ด ทำให้มัลแวร์นี้เกิดการแครชเองโดยไม่ตั้งใจ แม้จะเป็นภัยคุกคามที่น่ากังวล แต่ความผิดพลาดนี้ก็ทำให้การโจมตีไม่เสถียร และอาจเป็นจุดอ่อนที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถตรวจจับและป้องกันได้ง่ายขึ้น 🔗 https://securityonline.info/new-tanglecrypt-packer-hides-edr-killer-but-coding-flaws-cause-ransomware-to-crash-unexpectedly 🌐 กลยุทธ์ใหม่ของ Russian Tomiris APT ใช้ Telegram/Discord เป็นช่องทางสอดแนม กลุ่มแฮกเกอร์ Tomiris APT จากรัสเซียถูกพบว่าใช้วิธี “Polyglot” ในการแฝงตัว โดยเปลี่ยนแพลตฟอร์มสื่อสารยอดนิยมอย่าง Telegram และ Discord ให้กลายเป็นช่องทางควบคุมการสอดแนมทางการทูต เทคนิคนี้ทำให้การตรวจจับยากขึ้น เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติของผู้ใช้ทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วเป็นการซ่อนการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ควบคุมและเครื่องที่ถูกบุกรุก ถือเป็นการยกระดับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/russian-tomiris-apt-adopts-polyglot-strategy-hijacking-telegram-discord-as-covert-c2-for-diplomatic-spies
    0 Comments 0 Shares 656 Views 0 Reviews
  • กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ TAG-150 ใช้เทคนิค ClickFix และ CastleLoader โจมตีอุปกรณ์ในสหรัฐฯ กว่า 469 เครื่อง

    รายงานล่าสุดเผยว่า TAG-150 ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Malware-as-a-Service (MaaS) ได้เริ่มกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2025 และสามารถโจมตีอุปกรณ์ในสหรัฐฯ ได้มากกว่า 469 เครื่องภายในเวลาไม่กี่เดือน กลุ่มนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนเพื่อรองรับการโจมตีในวงกว้าง โดยเน้นเป้าหมายไปที่ผู้ใช้งานทั่วไปในสหรัฐอเมริกา

    เทคนิค ClickFix: หลอกให้เหยื่อ “แฮกตัวเอง”
    TAG-150 ใช้เทคนิค ClickFix ซึ่งไม่เน้นการเจาะระบบด้วยช่องโหว่ แต่ใช้การหลอกล่อเหยื่อแทน โดยสร้างหน้าเว็บปลอมที่เลียนแบบบริการจริง เช่น Google Meet หรือหน้าการอัปเดตเบราว์เซอร์ เมื่อผู้ใช้คลิก “ขั้นตอนการยืนยัน” ปลอม ระบบจะคัดลอกคำสั่ง PowerShell อันตรายไปยังคลิปบอร์ด และผู้ใช้ถูกหลอกให้วางและรันคำสั่งนั้นเอง ทำให้มัลแวร์ถูกติดตั้งโดยตรง

    CastleLoader และ CastleRAT: เครื่องมือโจมตีแบบแยกชั้น
    เมื่อเหยื่อรันคำสั่ง มัลแวร์ CastleLoader จะถูกติดตั้งเป็นตัวโหลดหลัก โดยใช้เทคนิคการซ่อนโค้ดและการบีบอัดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ จากนั้นจะปล่อย CastleRAT ซึ่งเป็น payload หลักที่สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อได้เต็มรูปแบบ เช่น การบันทึกคีย์บอร์ด การจับภาพหน้าจอ และการเข้าถึง shell ระยะไกล

    PyNightShade: เวอร์ชันลับที่ตรวจจับยาก
    นอกจากนี้ TAG-150 ยังพัฒนา PyNightShade ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่เขียนด้วย Python และออกแบบมาให้ตรวจจับได้ยากมาก โดยมันจะสื่อสารกับบริการ geolocation จริงอย่าง ip-api[.]com เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของเหยื่อก่อนเริ่มโจมตีเต็มรูปแบบ ทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจสอบ

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    รายละเอียดการโจมตี TAG-150
    ใช้เทคนิค ClickFix หลอกผู้ใช้ให้รันคำสั่งเอง
    CastleLoader เป็นตัวโหลดหลัก ปล่อย CastleRAT ควบคุมเครื่อง
    PyNightShade RAT ตรวจจับได้ยากและใช้ geolocation จริง

    ผลกระทบและเป้าหมาย
    โจมตีอุปกรณ์กว่า 469 เครื่องในสหรัฐฯ
    มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หน้าเว็บปลอมที่เลียนแบบบริการจริงอาจทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อ
    การคัดลอกและรันคำสั่งจากคลิปบอร์ดเป็นช่องทางติดมัลแวร์
    RAT สามารถควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล

    https://securityonline.info/new-maas-operator-tag-150-uses-clickfix-lure-and-custom-castleloader-to-compromise-469-us-devices/
    🕵️‍♀️ กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ TAG-150 ใช้เทคนิค ClickFix และ CastleLoader โจมตีอุปกรณ์ในสหรัฐฯ กว่า 469 เครื่อง รายงานล่าสุดเผยว่า TAG-150 ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Malware-as-a-Service (MaaS) ได้เริ่มกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2025 และสามารถโจมตีอุปกรณ์ในสหรัฐฯ ได้มากกว่า 469 เครื่องภายในเวลาไม่กี่เดือน กลุ่มนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนเพื่อรองรับการโจมตีในวงกว้าง โดยเน้นเป้าหมายไปที่ผู้ใช้งานทั่วไปในสหรัฐอเมริกา 💻 เทคนิค ClickFix: หลอกให้เหยื่อ “แฮกตัวเอง” TAG-150 ใช้เทคนิค ClickFix ซึ่งไม่เน้นการเจาะระบบด้วยช่องโหว่ แต่ใช้การหลอกล่อเหยื่อแทน โดยสร้างหน้าเว็บปลอมที่เลียนแบบบริการจริง เช่น Google Meet หรือหน้าการอัปเดตเบราว์เซอร์ เมื่อผู้ใช้คลิก “ขั้นตอนการยืนยัน” ปลอม ระบบจะคัดลอกคำสั่ง PowerShell อันตรายไปยังคลิปบอร์ด และผู้ใช้ถูกหลอกให้วางและรันคำสั่งนั้นเอง ทำให้มัลแวร์ถูกติดตั้งโดยตรง 🧩 CastleLoader และ CastleRAT: เครื่องมือโจมตีแบบแยกชั้น เมื่อเหยื่อรันคำสั่ง มัลแวร์ CastleLoader จะถูกติดตั้งเป็นตัวโหลดหลัก โดยใช้เทคนิคการซ่อนโค้ดและการบีบอัดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ จากนั้นจะปล่อย CastleRAT ซึ่งเป็น payload หลักที่สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อได้เต็มรูปแบบ เช่น การบันทึกคีย์บอร์ด การจับภาพหน้าจอ และการเข้าถึง shell ระยะไกล 🌐 PyNightShade: เวอร์ชันลับที่ตรวจจับยาก นอกจากนี้ TAG-150 ยังพัฒนา PyNightShade ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่เขียนด้วย Python และออกแบบมาให้ตรวจจับได้ยากมาก โดยมันจะสื่อสารกับบริการ geolocation จริงอย่าง ip-api[.]com เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของเหยื่อก่อนเริ่มโจมตีเต็มรูปแบบ ทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจสอบ 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ รายละเอียดการโจมตี TAG-150 ➡️ ใช้เทคนิค ClickFix หลอกผู้ใช้ให้รันคำสั่งเอง ➡️ CastleLoader เป็นตัวโหลดหลัก ปล่อย CastleRAT ควบคุมเครื่อง ➡️ PyNightShade RAT ตรวจจับได้ยากและใช้ geolocation จริง ✅ ผลกระทบและเป้าหมาย ➡️ โจมตีอุปกรณ์กว่า 469 เครื่องในสหรัฐฯ ➡️ มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หน้าเว็บปลอมที่เลียนแบบบริการจริงอาจทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อ ⛔ การคัดลอกและรันคำสั่งจากคลิปบอร์ดเป็นช่องทางติดมัลแวร์ ⛔ RAT สามารถควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล https://securityonline.info/new-maas-operator-tag-150-uses-clickfix-lure-and-custom-castleloader-to-compromise-469-us-devices/
    SECURITYONLINE.INFO
    New MaaS Operator TAG-150 Uses ClickFix Lure and Custom CastleLoader to Compromise 469 US Devices
    Darktrace exposed TAG-150, a new MaaS operator compromising 469+ US devices in months. The group uses ClickFix to trick victims into running malicious PowerShell that deploys the CastleLoader/CastleRAT backdoor.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกอิน

    ข่าวนี้เล่าถึงบั๊กจาก Windows Update ที่ทำให้ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกอิน แต่ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่ช่องว่างเพื่อใส่รหัสผ่านได้ตามปกติ

    Microsoft ยอมรับว่าการอัปเดต KB5064081 ใน Windows 11 Preview มีปัญหาที่ทำให้ ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าจอล็อกอิน แม้ปุ่มจะไม่แสดง แต่ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่ตำแหน่งเดิมเพื่อเปิดช่องกรอกรหัสผ่านได้ตามปกติ ปัญหานี้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่ม Windows Insider ที่ใช้เวอร์ชันทดลองเท่านั้น

    ผลกระทบและการแก้ไข
    แม้จะไม่ใช่ปัญหาด้านความปลอดภัย แต่บั๊กนี้สร้างความสับสนให้ผู้ใช้ที่ลืม PIN ของ Windows Hello และต้องการเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่าน Microsoft ระบุว่ากำลังทำงานเพื่อแก้ไขและจะปล่อยข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคต ปัญหาลักษณะนี้สะท้อนว่า การอัปเดต Windows อาจแก้บั๊กหนึ่ง แต่สร้างบั๊กใหม่ขึ้นมา

    สาระเพิ่มเติมจาก Internet
    ก่อนหน้านี้ Microsoft เคยปล่อยอัปเดตที่ทำให้ คีย์บอร์ดและเมาส์ไม่ทำงานใน Windows Recovery Environment และยังมีกรณีที่ Media Creation Tool เสียหาย ก่อนวันสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 นอกจากนี้ Nvidia ก็เคยต้องออก ไดรเวอร์ฉุกเฉิน หลังอัปเดต Windows 11 ทำให้เกมบางเกมประสิทธิภาพลดลงถึง 50% สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าผู้ใช้ควรระวังการอัปเดตที่ยังอยู่ในสถานะ Preview หรือเพิ่งปล่อยใหม่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ในข่าว
    Windows Update KB5064081 ทำให้ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกอิน
    ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่ช่องว่างเพื่อใส่รหัสผ่านได้ตามปกติ
    ปัญหานี้เกิดเฉพาะใน Windows Insider Preview

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    Microsoft เคยปล่อยอัปเดตที่ทำให้คีย์บอร์ดและเมาส์ไม่ทำงานใน Recovery Environment
    Media Creation Tool เคยเสียหายก่อน Windows 10 หมดอายุการสนับสนุน
    Nvidia เคยออกไดรเวอร์ฉุกเฉินหลังอัปเดต Windows 11 ทำให้เกมบางเกมประสิทธิภาพลดลง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows
    การอัปเดต Preview อาจมีบั๊กที่สร้างความสับสนหรือทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ
    ควรสำรองข้อมูลและตรวจสอบเวอร์ชันก่อนติดตั้งอัปเดตใหม่
    ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชัน Stable แทนการใช้ Preview เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-update-makes-sign-in-password-icon-invisible-microsoft-says-you-can-still-click-on-empty-space-to-enter-your-password
    🔐 ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกอิน ข่าวนี้เล่าถึงบั๊กจาก Windows Update ที่ทำให้ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกอิน แต่ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่ช่องว่างเพื่อใส่รหัสผ่านได้ตามปกติ Microsoft ยอมรับว่าการอัปเดต KB5064081 ใน Windows 11 Preview มีปัญหาที่ทำให้ ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าจอล็อกอิน แม้ปุ่มจะไม่แสดง แต่ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่ตำแหน่งเดิมเพื่อเปิดช่องกรอกรหัสผ่านได้ตามปกติ ปัญหานี้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่ม Windows Insider ที่ใช้เวอร์ชันทดลองเท่านั้น 🛠️ ผลกระทบและการแก้ไข แม้จะไม่ใช่ปัญหาด้านความปลอดภัย แต่บั๊กนี้สร้างความสับสนให้ผู้ใช้ที่ลืม PIN ของ Windows Hello และต้องการเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่าน Microsoft ระบุว่ากำลังทำงานเพื่อแก้ไขและจะปล่อยข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคต ปัญหาลักษณะนี้สะท้อนว่า การอัปเดต Windows อาจแก้บั๊กหนึ่ง แต่สร้างบั๊กใหม่ขึ้นมา 🌐 สาระเพิ่มเติมจาก Internet ก่อนหน้านี้ Microsoft เคยปล่อยอัปเดตที่ทำให้ คีย์บอร์ดและเมาส์ไม่ทำงานใน Windows Recovery Environment และยังมีกรณีที่ Media Creation Tool เสียหาย ก่อนวันสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 นอกจากนี้ Nvidia ก็เคยต้องออก ไดรเวอร์ฉุกเฉิน หลังอัปเดต Windows 11 ทำให้เกมบางเกมประสิทธิภาพลดลงถึง 50% สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าผู้ใช้ควรระวังการอัปเดตที่ยังอยู่ในสถานะ Preview หรือเพิ่งปล่อยใหม่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ในข่าว ➡️ Windows Update KB5064081 ทำให้ไอคอนรหัสผ่านหายไปจากหน้าล็อกอิน ➡️ ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่ช่องว่างเพื่อใส่รหัสผ่านได้ตามปกติ ➡️ ปัญหานี้เกิดเฉพาะใน Windows Insider Preview ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ Microsoft เคยปล่อยอัปเดตที่ทำให้คีย์บอร์ดและเมาส์ไม่ทำงานใน Recovery Environment ➡️ Media Creation Tool เคยเสียหายก่อน Windows 10 หมดอายุการสนับสนุน ➡️ Nvidia เคยออกไดรเวอร์ฉุกเฉินหลังอัปเดต Windows 11 ทำให้เกมบางเกมประสิทธิภาพลดลง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows ⛔ การอัปเดต Preview อาจมีบั๊กที่สร้างความสับสนหรือทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ ⛔ ควรสำรองข้อมูลและตรวจสอบเวอร์ชันก่อนติดตั้งอัปเดตใหม่ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชัน Stable แทนการใช้ Preview เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-update-makes-sign-in-password-icon-invisible-microsoft-says-you-can-still-click-on-empty-space-to-enter-your-password
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • Cherry: ตำนานสวิตช์คีย์บอร์ดในวิกฤติการเงิน

    Cherry ผู้ผลิตสวิตช์เชิงกลที่เป็นที่รักของนักเล่นคีย์บอร์ดทั่วโลก กำลังเผชิญวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ โดยหนี้สินของบริษัทสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ทำให้ผู้บริหารต้องพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน เช่น แผนก Peripherals (คีย์บอร์ดและเมาส์) หรือ Digital Health & Solutions เพื่อรักษาสภาพคล่อง.

    แม้จะมีข่าวการขายธุรกิจ แต่ สวิตช์ Cherry MX ที่เป็นหัวใจหลักของวงการคีย์บอร์ดยังคงอยู่ภายใต้แผนก Components ซึ่งจะไม่ถูกขายออกไปในตอนนี้ ทำให้แฟน ๆ ที่กังวลว่าสวิตช์จะหายไปจากตลาดยังคงสบายใจได้. อย่างไรก็ตาม Cherry สูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมไปมาก หลังสิทธิบัตร Cherry MX หมดอายุในปี 2014 เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh และ Outemu เข้ามาแย่งตลาดด้วยสวิตช์ที่มีลูกเล่นใหม่ ๆ เช่น โรงงานหล่อลื่น (factory-lubed) และ Hall-effect switches.

    สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หลังปี 2022 เมื่อยอดขายลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงที่เคยรุ่งเรืองในยุคโควิด-19 แม้รายได้รวมจะฟื้นตัวในปี 2023 แต่แผนก Digital Health และ Components กลับยังคงขาดทุน ทำให้ผู้บริหารต้องหาทางออกด้วยการขายบางธุรกิจและย้ายการผลิตสวิตช์จากเยอรมนีไปยังจีนและสโลวาเกียเพื่อลดต้นทุน.

    Cherry ยังพยายามเสริมสภาพคล่องด้วยการขายธุรกิจ Active Key (อุปกรณ์สุขอนามัย) ได้เงิน 21 ล้านยูโร พร้อมขอเงินสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ Argand Partners และจัดหาเงินกู้เพิ่มเติม 23 ล้านยูโร แต่ผู้บริหารยอมรับว่าการอยู่รอดในระยะยาวอาจต้องพึ่งการควบรวมกิจการหรือขายธุรกิจบางส่วนออกไป.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    วิกฤติการเงินของ Cherry
    หนี้สินสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สิน
    พิจารณาขายแผนก Peripherals หรือ Digital Health & Solutions

    สถานะของ Cherry MX
    อยู่ในแผนก Components จึงยังไม่ถูกขาย
    สิทธิบัตรหมดอายุปี 2014 เปิดทางคู่แข่ง

    การแข่งขันในตลาด
    คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh, Outemu พัฒนาสวิตช์ใหม่ ๆ
    บริษัทใหญ่เช่น Corsair, Logitech, Razer หันไปใช้สวิตช์จากคู่แข่ง

    มาตรการแก้ไข
    ย้ายการผลิตไปจีนและสโลวาเกีย
    ขาย Active Key ได้ 21 ล้านยูโร
    ได้เงินกู้เพิ่ม 23 ล้านยูโร และการสนับสนุนจาก Argand Partners

    ความเสี่ยงต่ออนาคต
    อาจต้องขายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอด
    การสูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมทำให้ยากต่อการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/iconic-mechanical-keyboard-switch-maker-cherry-is-in-deep-financial-trouble-the-company-is-considering-selling-its-peripherals-division-to-stay-afloat
    ⌨️ Cherry: ตำนานสวิตช์คีย์บอร์ดในวิกฤติการเงิน Cherry ผู้ผลิตสวิตช์เชิงกลที่เป็นที่รักของนักเล่นคีย์บอร์ดทั่วโลก กำลังเผชิญวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ โดยหนี้สินของบริษัทสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ทำให้ผู้บริหารต้องพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน เช่น แผนก Peripherals (คีย์บอร์ดและเมาส์) หรือ Digital Health & Solutions เพื่อรักษาสภาพคล่อง. แม้จะมีข่าวการขายธุรกิจ แต่ สวิตช์ Cherry MX ที่เป็นหัวใจหลักของวงการคีย์บอร์ดยังคงอยู่ภายใต้แผนก Components ซึ่งจะไม่ถูกขายออกไปในตอนนี้ ทำให้แฟน ๆ ที่กังวลว่าสวิตช์จะหายไปจากตลาดยังคงสบายใจได้. อย่างไรก็ตาม Cherry สูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมไปมาก หลังสิทธิบัตร Cherry MX หมดอายุในปี 2014 เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh และ Outemu เข้ามาแย่งตลาดด้วยสวิตช์ที่มีลูกเล่นใหม่ ๆ เช่น โรงงานหล่อลื่น (factory-lubed) และ Hall-effect switches. สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หลังปี 2022 เมื่อยอดขายลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงที่เคยรุ่งเรืองในยุคโควิด-19 แม้รายได้รวมจะฟื้นตัวในปี 2023 แต่แผนก Digital Health และ Components กลับยังคงขาดทุน ทำให้ผู้บริหารต้องหาทางออกด้วยการขายบางธุรกิจและย้ายการผลิตสวิตช์จากเยอรมนีไปยังจีนและสโลวาเกียเพื่อลดต้นทุน. Cherry ยังพยายามเสริมสภาพคล่องด้วยการขายธุรกิจ Active Key (อุปกรณ์สุขอนามัย) ได้เงิน 21 ล้านยูโร พร้อมขอเงินสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ Argand Partners และจัดหาเงินกู้เพิ่มเติม 23 ล้านยูโร แต่ผู้บริหารยอมรับว่าการอยู่รอดในระยะยาวอาจต้องพึ่งการควบรวมกิจการหรือขายธุรกิจบางส่วนออกไป. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ วิกฤติการเงินของ Cherry ➡️ หนี้สินสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สิน ➡️ พิจารณาขายแผนก Peripherals หรือ Digital Health & Solutions ✅ สถานะของ Cherry MX ➡️ อยู่ในแผนก Components จึงยังไม่ถูกขาย ➡️ สิทธิบัตรหมดอายุปี 2014 เปิดทางคู่แข่ง ✅ การแข่งขันในตลาด ➡️ คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh, Outemu พัฒนาสวิตช์ใหม่ ๆ ➡️ บริษัทใหญ่เช่น Corsair, Logitech, Razer หันไปใช้สวิตช์จากคู่แข่ง ✅ มาตรการแก้ไข ➡️ ย้ายการผลิตไปจีนและสโลวาเกีย ➡️ ขาย Active Key ได้ 21 ล้านยูโร ➡️ ได้เงินกู้เพิ่ม 23 ล้านยูโร และการสนับสนุนจาก Argand Partners ‼️ ความเสี่ยงต่ออนาคต ⛔ อาจต้องขายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอด ⛔ การสูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมทำให้ยากต่อการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/iconic-mechanical-keyboard-switch-maker-cherry-is-in-deep-financial-trouble-the-company-is-considering-selling-its-peripherals-division-to-stay-afloat
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • เกมเมอร์สุดแหวกแนว เล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ

    ในโลกของเกมเมอร์ที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ เรามักเห็นการเล่นเกมบนอุปกรณ์ที่ไม่คาดคิด ล่าสุด YouTuber ชื่อ Smilly ได้สร้างกระแสด้วยการเล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแทนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปกติ ภาพที่ได้ออกมาเป็นขาวดำคมจัด และอัปเดตช้ามากเพียง 0.5 เฟรมต่อวินาที ทำให้การเล่นเต็มไปด้วยความท้าทายและความขำขันในเวลาเดียวกัน

    แม้เครื่องพิมพ์จะสามารถพิมพ์ภาพออกมาได้รวดเร็ว แต่ปัญหาหลักคือการแสดงผลที่มีความคมชัดสูงจนทำให้รายละเอียดในเกมหายไปเกือบหมด ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการเพื่อเดาว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ เช่น การเปิดอินเวนทอรีที่กลายเป็นเพียงเงามัว ๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นไอเท็มใด

    การทดลองเช่นนี้สะท้อนวัฒนธรรมของเกมเมอร์ที่ชอบ “ผลักขอบเขต” ของเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงเพื่อความจำเป็น แต่เพื่อความสนุกและการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็ก ๆ ของชุดระบายความร้อน CPU หรือการทำให้ Doom รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ อย่างเครื่องตรวจครรภ์และคีย์บอร์ด

    นอกจากความบันเทิงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และการทดลองที่ไม่หยุดนิ่งในวงการเกมและเทคโนโลยี ซึ่งแม้จะไม่ใช่วิธีการเล่นที่สะดวก แต่ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมองเห็นว่าเกมสามารถถูกนำเสนอในรูปแบบที่ไม่จำกัดอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเล่นเกมบนเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ
    ภาพขาวดำคมจัด อัปเดตช้าเพียง 0.5 FPS
    ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการแทนการมองเห็น

    วัฒนธรรมการผลักขอบเขตของเกมเมอร์
    เคยมีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็กของชุดระบายความร้อน CPU
    Doom ถูกทำให้รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ เช่น เครื่องตรวจครรภ์

    ความคิดสร้างสรรค์และการทดลองในวงการเกม
    ไม่ได้มุ่งเน้นความสะดวก แต่เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างและสนุกสนาน

    ข้อจำกัดและความเสี่ยงในการเล่นเกมแบบนี้
    ภาพไม่ชัดเจน อาจทำให้เล่นไม่ได้จริง
    อุปกรณ์ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเล่นเกม อาจเสื่อมสภาพเร็ว

    https://www.tomshardware.com/video-games/crazed-gamer-plays-minecraft-using-a-receipt-printer-as-a-display-crippling-frames-per-second-not-even-the-biggest-drawback
    🖨️ เกมเมอร์สุดแหวกแนว เล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ ในโลกของเกมเมอร์ที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ เรามักเห็นการเล่นเกมบนอุปกรณ์ที่ไม่คาดคิด ล่าสุด YouTuber ชื่อ Smilly ได้สร้างกระแสด้วยการเล่น Minecraft ผ่านเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแทนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปกติ ภาพที่ได้ออกมาเป็นขาวดำคมจัด และอัปเดตช้ามากเพียง 0.5 เฟรมต่อวินาที ทำให้การเล่นเต็มไปด้วยความท้าทายและความขำขันในเวลาเดียวกัน แม้เครื่องพิมพ์จะสามารถพิมพ์ภาพออกมาได้รวดเร็ว แต่ปัญหาหลักคือการแสดงผลที่มีความคมชัดสูงจนทำให้รายละเอียดในเกมหายไปเกือบหมด ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการเพื่อเดาว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ เช่น การเปิดอินเวนทอรีที่กลายเป็นเพียงเงามัว ๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นไอเท็มใด การทดลองเช่นนี้สะท้อนวัฒนธรรมของเกมเมอร์ที่ชอบ “ผลักขอบเขต” ของเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงเพื่อความจำเป็น แต่เพื่อความสนุกและการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็ก ๆ ของชุดระบายความร้อน CPU หรือการทำให้ Doom รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ อย่างเครื่องตรวจครรภ์และคีย์บอร์ด นอกจากความบันเทิงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และการทดลองที่ไม่หยุดนิ่งในวงการเกมและเทคโนโลยี ซึ่งแม้จะไม่ใช่วิธีการเล่นที่สะดวก แต่ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมองเห็นว่าเกมสามารถถูกนำเสนอในรูปแบบที่ไม่จำกัดอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเล่นเกมบนเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ ➡️ ภาพขาวดำคมจัด อัปเดตช้าเพียง 0.5 FPS ➡️ ผู้เล่นต้องอาศัยเสียงและจินตนาการแทนการมองเห็น ✅ วัฒนธรรมการผลักขอบเขตของเกมเมอร์ ➡️ เคยมีการเล่น Battlefield 6 บนหน้าจอเล็กของชุดระบายความร้อน CPU ➡️ Doom ถูกทำให้รันบนอุปกรณ์แปลก ๆ เช่น เครื่องตรวจครรภ์ ✅ ความคิดสร้างสรรค์และการทดลองในวงการเกม ➡️ ไม่ได้มุ่งเน้นความสะดวก แต่เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างและสนุกสนาน ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยงในการเล่นเกมแบบนี้ ⛔ ภาพไม่ชัดเจน อาจทำให้เล่นไม่ได้จริง ⛔ อุปกรณ์ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเล่นเกม อาจเสื่อมสภาพเร็ว https://www.tomshardware.com/video-games/crazed-gamer-plays-minecraft-using-a-receipt-printer-as-a-display-crippling-frames-per-second-not-even-the-biggest-drawback
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • “Apple เตรียมแก้จุดอ่อนใหญ่ด้วย iOS 27 และอัปเดต Siri”

    รายงานล่าสุดเผยว่า iOS 27 จะเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาคุณภาพและเสถียรภาพ หลังจากผู้ใช้จำนวนมากบ่นว่า iOS 26 มีปัญหา เช่น เครื่องร้อนผิดปกติ แบตเตอรี่หมดเร็ว คีย์บอร์ดล้มเหลว และแอปเด้งบ่อย Apple จึงวางแผนให้ iOS 27 เป็นการอัปเดตเชิง “Snow Leopard” ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพมากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์派

    Siri และ AI Features
    หนึ่งในจุดอ่อนใหญ่ของ Apple คือการพัฒนา AI ที่ล่าช้าและไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รายงานระบุว่า Apple จะปล่อย อัปเดต Siri ครั้งใหญ่ ก่อน iOS 27 โดย Siri จะสามารถเชื่อมต่อและทำงานกับ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา AI-powered Health app และ AI search ร่วมกับ Google เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการวิเคราะห์และการค้นหา

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26
    แม้ iOS 26 จะถูกวิจารณ์เรื่องบั๊ก แต่ก็มีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ด้วยดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า Liquid Glass พร้อมฟีเจอร์อย่างปุ่มบันทึกการโทร การทำโพลในข้อความ และ “Visual Intelligence” ที่ให้ผู้ใช้ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ รวมถึงการแปลข้อความในตัว

    ผลกระทบต่ออนาคต Apple
    การมุ่งเน้นแก้ไขคุณภาพใน iOS 27 และการเสริม Siri ด้วย AI ถือเป็นการตอบโจทย์จุดอ่อนที่ Apple ถูกวิจารณ์มานาน หากทำได้สำเร็จ อาจช่วยให้ Apple กลับมาแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด AI ได้อย่างจริงจัง และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้มากขึ้นในระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    iOS 27 เน้นคุณภาพ
    แก้ปัญหาเครื่องร้อน แบตหมดเร็ว และแอปเด้ง
    แนวทางคล้าย Snow Leopard ที่เน้นเสถียรภาพ

    อัปเดต Siri และ AI
    Siri จะทำงานกับข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ได้ลึกขึ้น
    พัฒนา Health app และ AI search ร่วมกับ Google

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26
    ดีไซน์ Liquid Glass
    ปุ่มบันทึกการโทร, โพลในข้อความ, Visual Intelligence

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    หากแก้บั๊กไม่สำเร็จ อาจกระทบความเชื่อมั่นผู้ใช้
    การพัฒนา AI ยังตามหลังคู่แข่ง อาจเสียโอกาสทางตลาด

    ผลกระทบระยะยาว
    Apple ต้องพิสูจน์ว่า AI ของตนมีคุณภาพจริง
    ความสำเร็จของ iOS 27 จะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของแบรนด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/29/apples-next-ios-updates-will-address-one-of-the-companys-biggest-weaknesses
    📰 “Apple เตรียมแก้จุดอ่อนใหญ่ด้วย iOS 27 และอัปเดต Siri” รายงานล่าสุดเผยว่า iOS 27 จะเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาคุณภาพและเสถียรภาพ หลังจากผู้ใช้จำนวนมากบ่นว่า iOS 26 มีปัญหา เช่น เครื่องร้อนผิดปกติ แบตเตอรี่หมดเร็ว คีย์บอร์ดล้มเหลว และแอปเด้งบ่อย Apple จึงวางแผนให้ iOS 27 เป็นการอัปเดตเชิง “Snow Leopard” ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพมากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์派 🤖 Siri และ AI Features หนึ่งในจุดอ่อนใหญ่ของ Apple คือการพัฒนา AI ที่ล่าช้าและไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รายงานระบุว่า Apple จะปล่อย อัปเดต Siri ครั้งใหญ่ ก่อน iOS 27 โดย Siri จะสามารถเชื่อมต่อและทำงานกับ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา AI-powered Health app และ AI search ร่วมกับ Google เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการวิเคราะห์และการค้นหา 🎨 ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 แม้ iOS 26 จะถูกวิจารณ์เรื่องบั๊ก แต่ก็มีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ด้วยดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า Liquid Glass พร้อมฟีเจอร์อย่างปุ่มบันทึกการโทร การทำโพลในข้อความ และ “Visual Intelligence” ที่ให้ผู้ใช้ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ รวมถึงการแปลข้อความในตัว 🌍 ผลกระทบต่ออนาคต Apple การมุ่งเน้นแก้ไขคุณภาพใน iOS 27 และการเสริม Siri ด้วย AI ถือเป็นการตอบโจทย์จุดอ่อนที่ Apple ถูกวิจารณ์มานาน หากทำได้สำเร็จ อาจช่วยให้ Apple กลับมาแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด AI ได้อย่างจริงจัง และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้มากขึ้นในระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ iOS 27 เน้นคุณภาพ ➡️ แก้ปัญหาเครื่องร้อน แบตหมดเร็ว และแอปเด้ง ➡️ แนวทางคล้าย Snow Leopard ที่เน้นเสถียรภาพ ✅ อัปเดต Siri และ AI ➡️ Siri จะทำงานกับข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ได้ลึกขึ้น ➡️ พัฒนา Health app และ AI search ร่วมกับ Google ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ➡️ ดีไซน์ Liquid Glass ➡️ ปุ่มบันทึกการโทร, โพลในข้อความ, Visual Intelligence ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง ⛔ หากแก้บั๊กไม่สำเร็จ อาจกระทบความเชื่อมั่นผู้ใช้ ⛔ การพัฒนา AI ยังตามหลังคู่แข่ง อาจเสียโอกาสทางตลาด ‼️ ผลกระทบระยะยาว ⛔ Apple ต้องพิสูจน์ว่า AI ของตนมีคุณภาพจริง ⛔ ความสำเร็จของ iOS 27 จะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของแบรนด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/29/apples-next-ios-updates-will-address-one-of-the-companys-biggest-weaknesses
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple’s next iOS updates will address one of the company’s biggest weaknesses
    iPhone users can look forward to bug fixes and some badly needed improvements to Siri and AI, according to a new report.
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • Google เตรียมเปิดตัว Universal Clipboard บน Android และ Chromebook

    Google วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ ซิงก์คลิปบอร์ดแบบเนทีฟ ระหว่างอุปกรณ์ Android และ Chromebook โดยอาจทำงานผ่าน Google Play Services ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถคัดลอกข้อความหรือข้อมูลจากมือถือ แล้วนำไปวางบน Chromebook ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาแอปเสริม เช่น SwiftKey หรือ Microsoft Phone Link

    ความเป็นมาของข้อจำกัดด้าน Clipboard บน Android
    ตั้งแต่ Android 10 เป็นต้นมา Google ได้จำกัดการเข้าถึงคลิปบอร์ดเพื่อป้องกันการเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยอนุญาตเฉพาะคีย์บอร์ดเริ่มต้นและแอปที่ใช้งานอยู่เท่านั้นที่จะอ่านข้อมูลได้ ต่อมาใน Android 13 มีการเพิ่มระบบล้างประวัติคลิปบอร์ดอัตโนมัติภายใน 1 ชั่วโมง และแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของผู้ใช้

    การเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มที่สะดวกขึ้น
    ก่อนหน้านี้ Google ได้เปิดตัว Quick Share ที่สามารถทำงานร่วมกับ AirDrop ของ Apple ทำให้การส่งไฟล์ระหว่าง Android และ iOS สะดวกขึ้น การเพิ่ม Universal Clipboard จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้ Android ecosystem มีประสบการณ์ใกล้เคียงกับ Apple ecosystem ที่มีการซิงก์คลิปบอร์ดและแท็บ Safari ข้ามอุปกรณ์

    แนวโน้มการใช้งานและผลกระทบ
    หากฟีเจอร์นี้เปิดตัวจริง จะช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ต่อเนื่องมากขึ้น เช่น คัดลอกข้อความจากมือถือไปวางในเอกสารบน Chromebook หรือแชร์รหัส OTP ได้สะดวกขึ้น แต่ก็ต้องจับตาด้าน ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ว่าจะมีมาตรการป้องกันการโจมตีหรือการดักจับข้อมูลอย่างไร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Google พัฒนา Universal Clipboard สำหรับ Android และ Chromebook
    ใช้งานผ่าน Google Play Services เพื่อซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์

    ข้อจำกัดเดิมของ Android Clipboard
    เข้าถึงได้เฉพาะคีย์บอร์ดหลักและแอปที่ใช้งานอยู่, ล้างข้อมูลอัตโนมัติใน 1 ชั่วโมง

    การเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มที่ดีขึ้น
    Quick Share ทำงานร่วมกับ AirDrop, Universal Clipboard จะเพิ่มความสะดวกอีกขั้น

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    หากไม่มีมาตรการเข้มงวด อาจถูกใช้เพื่อดักจับข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านหรือ OTP

    https://securityonline.info/android-getting-native-universal-clipboard-seamless-sync-coming-to-phones-chromebooks/
    📱 Google เตรียมเปิดตัว Universal Clipboard บน Android และ Chromebook Google วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ ซิงก์คลิปบอร์ดแบบเนทีฟ ระหว่างอุปกรณ์ Android และ Chromebook โดยอาจทำงานผ่าน Google Play Services ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถคัดลอกข้อความหรือข้อมูลจากมือถือ แล้วนำไปวางบน Chromebook ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาแอปเสริม เช่น SwiftKey หรือ Microsoft Phone Link 🔒 ความเป็นมาของข้อจำกัดด้าน Clipboard บน Android ตั้งแต่ Android 10 เป็นต้นมา Google ได้จำกัดการเข้าถึงคลิปบอร์ดเพื่อป้องกันการเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยอนุญาตเฉพาะคีย์บอร์ดเริ่มต้นและแอปที่ใช้งานอยู่เท่านั้นที่จะอ่านข้อมูลได้ ต่อมาใน Android 13 มีการเพิ่มระบบล้างประวัติคลิปบอร์ดอัตโนมัติภายใน 1 ชั่วโมง และแจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของผู้ใช้ ⚡ การเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มที่สะดวกขึ้น ก่อนหน้านี้ Google ได้เปิดตัว Quick Share ที่สามารถทำงานร่วมกับ AirDrop ของ Apple ทำให้การส่งไฟล์ระหว่าง Android และ iOS สะดวกขึ้น การเพิ่ม Universal Clipboard จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้ Android ecosystem มีประสบการณ์ใกล้เคียงกับ Apple ecosystem ที่มีการซิงก์คลิปบอร์ดและแท็บ Safari ข้ามอุปกรณ์ 🤖 แนวโน้มการใช้งานและผลกระทบ หากฟีเจอร์นี้เปิดตัวจริง จะช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ต่อเนื่องมากขึ้น เช่น คัดลอกข้อความจากมือถือไปวางในเอกสารบน Chromebook หรือแชร์รหัส OTP ได้สะดวกขึ้น แต่ก็ต้องจับตาด้าน ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ว่าจะมีมาตรการป้องกันการโจมตีหรือการดักจับข้อมูลอย่างไร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Google พัฒนา Universal Clipboard สำหรับ Android และ Chromebook ➡️ ใช้งานผ่าน Google Play Services เพื่อซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ✅ ข้อจำกัดเดิมของ Android Clipboard ➡️ เข้าถึงได้เฉพาะคีย์บอร์ดหลักและแอปที่ใช้งานอยู่, ล้างข้อมูลอัตโนมัติใน 1 ชั่วโมง ✅ การเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มที่ดีขึ้น ➡️ Quick Share ทำงานร่วมกับ AirDrop, Universal Clipboard จะเพิ่มความสะดวกอีกขั้น ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ⛔ หากไม่มีมาตรการเข้มงวด อาจถูกใช้เพื่อดักจับข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านหรือ OTP https://securityonline.info/android-getting-native-universal-clipboard-seamless-sync-coming-to-phones-chromebooks/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Getting Native Universal Clipboard: Seamless Sync Coming to Phones & Chromebooks
    Google is preparing a native Universal Clipboard feature for Android and Chromebooks to allow seamless copy-paste across devices, expected to debut in Android 17.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • พอร์ต USB-C ของ Samsung ทำได้มากกว่าชาร์จแบต

    สมาร์ทโฟน Samsung รุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะซีรีส์กลางถึงเรือธง มาพร้อม USB-C port ที่ไม่ได้มีไว้แค่ชาร์จไฟ แต่ยังสามารถทำงานได้หลากหลาย ทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม การถ่ายโอนข้อมูล และแม้กระทั่งการแปลงร่างเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมผ่าน Samsung DeX

    การถ่ายโอนและจัดเก็บข้อมูล
    เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอื่น เพื่อถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่าการส่งผ่าน Wi-Fi หรือ Bluetooth
    เชื่อมต่อ External Storage เช่น Flash Drive หรือ External HDD/SSD ผ่าน USB-C adapter เพื่อสำรองหรือย้ายไฟล์ได้ทันที
    รองรับการจัดการไฟล์ผ่านแอป File Manager ทั้งของ Samsung และ third-party

    การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริม
    Ethernet Adapter: ใช้สาย LAN เชื่อมต่อกับ USB-C เพื่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรกว่า Wi-Fi
    USB-C to HDMI: ส่งภาพไปยังจอภายนอกหรือทีวีได้ทันที เหมาะสำหรับการประชุมหรือดูหนังกับครอบครัว
    อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น Thermal Camera, Portable Monitor หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับเครื่องมือวัดต่าง ๆ

    เปลี่ยนมือถือเป็นคอมพิวเตอร์ด้วย DeX
    Samsung DeX ช่วยให้สมาร์ทโฟนกลายเป็น Desktop-like Interface เมื่อเชื่อมต่อกับจอและอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ดและเมาส์ เหมาะสำหรับงานเอกสาร การแก้ไขรูปภาพ หรือการใช้งานเว็บที่ต้องการอินเทอร์เฟซแบบ PC โดยไม่ต้องพกโน้ตบุ๊ก

    สรุปสาระสำคัญ
    การถ่ายโอนข้อมูล
    เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอื่น
    รองรับ External Storage ผ่าน USB-C

    การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริม
    ใช้ Ethernet Adapter เพื่ออินเทอร์เน็ตเสถียร
    ส่งภาพผ่าน HDMI ไปยังจอภายนอก
    รองรับอุปกรณ์เสริมหลากหลาย

    Samsung DeX
    เปลี่ยนมือถือเป็น Desktop Interface
    ใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดและเมาส์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ต้องใช้สาย/อุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน USB-C
    การเชื่อมต่อบางอย่างอาจไม่รองรับในรุ่นราคาประหยัด
    การใช้พอร์ต USB-C ต่อเนื่องอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้น

    https://www.slashgear.com/2030826/your-samsung-phone-usb-port-isnt-just-for-charging-heres-what-it-can-do/
    🔌 พอร์ต USB-C ของ Samsung ทำได้มากกว่าชาร์จแบต สมาร์ทโฟน Samsung รุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะซีรีส์กลางถึงเรือธง มาพร้อม USB-C port ที่ไม่ได้มีไว้แค่ชาร์จไฟ แต่ยังสามารถทำงานได้หลากหลาย ทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม การถ่ายโอนข้อมูล และแม้กระทั่งการแปลงร่างเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมผ่าน Samsung DeX 📂 การถ่ายโอนและจัดเก็บข้อมูล 💠 เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอื่น เพื่อถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่าการส่งผ่าน Wi-Fi หรือ Bluetooth 💠 เชื่อมต่อ External Storage เช่น Flash Drive หรือ External HDD/SSD ผ่าน USB-C adapter เพื่อสำรองหรือย้ายไฟล์ได้ทันที 💠 รองรับการจัดการไฟล์ผ่านแอป File Manager ทั้งของ Samsung และ third-party 🌐 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริม 💠 Ethernet Adapter: ใช้สาย LAN เชื่อมต่อกับ USB-C เพื่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรกว่า Wi-Fi 💠 USB-C to HDMI: ส่งภาพไปยังจอภายนอกหรือทีวีได้ทันที เหมาะสำหรับการประชุมหรือดูหนังกับครอบครัว 💠 อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น Thermal Camera, Portable Monitor หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับเครื่องมือวัดต่าง ๆ 💻 เปลี่ยนมือถือเป็นคอมพิวเตอร์ด้วย DeX Samsung DeX ช่วยให้สมาร์ทโฟนกลายเป็น Desktop-like Interface เมื่อเชื่อมต่อกับจอและอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ดและเมาส์ เหมาะสำหรับงานเอกสาร การแก้ไขรูปภาพ หรือการใช้งานเว็บที่ต้องการอินเทอร์เฟซแบบ PC โดยไม่ต้องพกโน้ตบุ๊ก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การถ่ายโอนข้อมูล ➡️ เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนอื่น ➡️ รองรับ External Storage ผ่าน USB-C ✅ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริม ➡️ ใช้ Ethernet Adapter เพื่ออินเทอร์เน็ตเสถียร ➡️ ส่งภาพผ่าน HDMI ไปยังจอภายนอก ➡️ รองรับอุปกรณ์เสริมหลากหลาย ✅ Samsung DeX ➡️ เปลี่ยนมือถือเป็น Desktop Interface ➡️ ใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดและเมาส์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ต้องใช้สาย/อุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน USB-C ⛔ การเชื่อมต่อบางอย่างอาจไม่รองรับในรุ่นราคาประหยัด ⛔ การใช้พอร์ต USB-C ต่อเนื่องอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้น https://www.slashgear.com/2030826/your-samsung-phone-usb-port-isnt-just-for-charging-heres-what-it-can-do/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Your Samsung Phone's USB Port Isn't Just For Charging — Here's What Else It Can Do - SlashGear
    If you rely on your Samsung phone, its USB-C port can quietly level up your setup. Learn how it handles files, screens, and faster connections.
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • Raspberry Pi Imager 2.0 เปิดตัวพร้อม UI ใหม่และระบบตรวจจับอุปกรณ์

    Raspberry Pi Project ได้ปล่อย Raspberry Pi Imager 2.0 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเครื่องมือสร้างสื่อบูตสำหรับ Raspberry Pi โดยมาพร้อม UI แบบใหม่ในรูปแบบ Wizard ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบปฏิบัติการได้ง่ายขึ้น และเพิ่มฟีเจอร์ device detection ที่สามารถตรวจสอบรุ่นของ Raspberry Pi ที่เชื่อมต่ออยู่ได้โดยอัตโนมัติ

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
    Wizard Interface: ผู้ใช้จะถูกนำทางผ่านขั้นตอนการเลือก OS และการตั้งค่าต่าง ๆ อย่างเป็นลำดับ ทำให้การปรับแต่งง่ายขึ้น
    Device Detection: Imager สามารถตรวจสอบรุ่นของ Raspberry Pi ที่เชื่อมต่อ และแนะนำการตั้งค่าที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
    Cloud-Init & Raspberry Pi Connect: รองรับการตั้งค่า cloud-init และการเชื่อมต่อกับ Raspberry Pi Connect ได้ทันที
    Accessibility Improvements: เพิ่มการรองรับการใช้งานโดยไม่ต้องใช้เมาส์ และปรับปรุงการนำทางด้วยคีย์บอร์ด
    Diskpart Utility (Windows): เพิ่มการรองรับ Diskpart สำหรับการล้างดิสก์บน Windows
    การจัดการ Drive และ Error Handling ที่ดีขึ้น

    การปรับปรุงด้านเทคนิค
    นอกจาก UI ใหม่แล้ว Imager 2.0 ยังมีการ refactor dependencies และ drive formatting เพื่อเพิ่มความเสถียร รวมถึงการปรับปรุง SSH configuration handling, timezone management, และ automatic OS list refresh ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกและติดตั้งระบบปฏิบัติการได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านการแสดงผล เช่น สีใหม่, ปุ่ม Reset ใน Options, native file dialog และการแก้ไขบั๊กจำนวนมากที่ผู้ใช้รายงานจากเวอร์ชันก่อนหน้า

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Raspberry Pi Imager 2.0
    UI แบบ Wizard ใช้งานง่าย
    ระบบตรวจจับอุปกรณ์อัตโนมัติ
    รองรับ cloud-init และ Raspberry Pi Connect

    การปรับปรุงด้านเทคนิค
    Refactor dependencies และ drive formatting
    ปรับปรุง SSH configuration และ timezone management
    เพิ่ม Diskpart utility สำหรับ Windows

    การใช้งานที่สะดวกขึ้น
    Accessibility improvements รองรับการใช้งานด้วยคีย์บอร์ด
    ปรับปรุงการจัดการ drive และ error handling
    ปรับปรุง UI เช่น สีใหม่และ native file dialog

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    AppImage bundle ต้องรันด้วยสิทธิ์ root
    หากไม่อัปเดต อาจพลาดการแก้ไขบั๊กและการปรับปรุงความปลอดภัย
    ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ UI เดิมอาจต้องปรับตัวกับ wizard interface ใหม่

    https://9to5linux.com/raspberry-pi-imager-2-0-released-with-revamped-ui-and-device-detection
    🖥️ Raspberry Pi Imager 2.0 เปิดตัวพร้อม UI ใหม่และระบบตรวจจับอุปกรณ์ Raspberry Pi Project ได้ปล่อย Raspberry Pi Imager 2.0 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเครื่องมือสร้างสื่อบูตสำหรับ Raspberry Pi โดยมาพร้อม UI แบบใหม่ในรูปแบบ Wizard ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบปฏิบัติการได้ง่ายขึ้น และเพิ่มฟีเจอร์ device detection ที่สามารถตรวจสอบรุ่นของ Raspberry Pi ที่เชื่อมต่ออยู่ได้โดยอัตโนมัติ 🎨 ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น 💠 Wizard Interface: ผู้ใช้จะถูกนำทางผ่านขั้นตอนการเลือก OS และการตั้งค่าต่าง ๆ อย่างเป็นลำดับ ทำให้การปรับแต่งง่ายขึ้น 💠 Device Detection: Imager สามารถตรวจสอบรุ่นของ Raspberry Pi ที่เชื่อมต่อ และแนะนำการตั้งค่าที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ 💠 Cloud-Init & Raspberry Pi Connect: รองรับการตั้งค่า cloud-init และการเชื่อมต่อกับ Raspberry Pi Connect ได้ทันที 💠 Accessibility Improvements: เพิ่มการรองรับการใช้งานโดยไม่ต้องใช้เมาส์ และปรับปรุงการนำทางด้วยคีย์บอร์ด 💠 Diskpart Utility (Windows): เพิ่มการรองรับ Diskpart สำหรับการล้างดิสก์บน Windows 💠 การจัดการ Drive และ Error Handling ที่ดีขึ้น ⚙️ การปรับปรุงด้านเทคนิค นอกจาก UI ใหม่แล้ว Imager 2.0 ยังมีการ refactor dependencies และ drive formatting เพื่อเพิ่มความเสถียร รวมถึงการปรับปรุง SSH configuration handling, timezone management, และ automatic OS list refresh ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกและติดตั้งระบบปฏิบัติการได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านการแสดงผล เช่น สีใหม่, ปุ่ม Reset ใน Options, native file dialog และการแก้ไขบั๊กจำนวนมากที่ผู้ใช้รายงานจากเวอร์ชันก่อนหน้า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Raspberry Pi Imager 2.0 ➡️ UI แบบ Wizard ใช้งานง่าย ➡️ ระบบตรวจจับอุปกรณ์อัตโนมัติ ➡️ รองรับ cloud-init และ Raspberry Pi Connect ✅ การปรับปรุงด้านเทคนิค ➡️ Refactor dependencies และ drive formatting ➡️ ปรับปรุง SSH configuration และ timezone management ➡️ เพิ่ม Diskpart utility สำหรับ Windows ✅ การใช้งานที่สะดวกขึ้น ➡️ Accessibility improvements รองรับการใช้งานด้วยคีย์บอร์ด ➡️ ปรับปรุงการจัดการ drive และ error handling ➡️ ปรับปรุง UI เช่น สีใหม่และ native file dialog ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ AppImage bundle ต้องรันด้วยสิทธิ์ root ⛔ หากไม่อัปเดต อาจพลาดการแก้ไขบั๊กและการปรับปรุงความปลอดภัย ⛔ ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ UI เดิมอาจต้องปรับตัวกับ wizard interface ใหม่ https://9to5linux.com/raspberry-pi-imager-2-0-released-with-revamped-ui-and-device-detection
    9TO5LINUX.COM
    Raspberry Pi Imager 2.0 Released with Revamped UI and Device Detection - 9to5Linux
    Raspberry Pi Imager 2.0 is now available for download with a new wizard UI, device detection, accessibility improvements, and more.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • เรนโบว์ (Rainbow) – วงดนตรีป๊อปร็อกแห่งตำนาน กับความลับของเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)"

    วงเรนโบว์ ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980s โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2528 ในฐานะวงดนตรีป๊อปร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทย ภายใต้สังกัด อาร์.เอส. โปรโมชั่น (RS Promotion) ซึ่งเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น วงนี้เกิดขึ้นจากการแยกตัวของสมาชิกบางส่วนจากวงอินทนิล (Inthanin) ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของค่าย RS ที่ยุบวงไปก่อนหน้านี้ สมาชิกผู้ก่อตั้งหลัก ได้แก่ พีระพงษ์ พลชนะ (ต้อม), เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) และธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ (อุ๋น) ที่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีในสไตล์ใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบจากดนตรีสตริงคอมโบแบบเก่ากับป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกวัยและทุกกลุ่มสังคม

    สมาชิกหลักของวงเรนโบว์มีความสามารถรอบด้าน ทั้งด้านการร้อง การเล่นดนตรี และการแต่งเพลง โดยประกอบด้วย:
    ต้อม (พีระพงษ์ พลชนะ): นักร้องนำและมือกีตาร์ ผู้มีเสียงร้องหวานซึ้ง แหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ และได้รับฉายา "นักร้องเขี้ยวเสน่ห์" จากรูปลักษณ์และสไตล์การร้องที่ดึงดูดแฟนเพลง เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2507 และเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนวงมาตลอด
    อุ๋น (ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์): มือคีย์บอร์ดและร้องนำ สนับสนุนการร้องหลักและช่วยสร้างซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย
    อ๊อด (ทวี ศรีประดิษฐ์): หัวหน้าวงและมือกลอง ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัย 42 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 และมีบทบาทสำคัญในการแต่งเพลงและผลิตอัลบั้ม

    นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมในภายหลัง เช่น สุชาติ จันทร์ต้น (อี๊ด) มือเบส และ อัมพร ชาวเวียง (พร) มือกีตาร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวง ส่วนสมาชิกอดีตอย่าง เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) ก็มีส่วนในการก่อตั้งแต่แรกเริ่ม วงเรนโบว์ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสมผสานแนวเพลงที่ลงตัวระหว่างซาวด์แบบสตริงคอมโบยุคเก่ากับดนตรีป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกกลุ่ม และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีสตริงชื่อดังที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงชาวไทยในยุค 80-90

    จากข้อมูลประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย วงเรนโบว์เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ที่เล่นในคลับและงานแสดง แต่ด้วยพรสวรรค์และการสนับสนุนจาก RS ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม.

    ยุคทองของเพลง Original และ Cover
    ผลงานของเรนโบว์โดดเด่นอย่างมากด้วยเพลงฮิตที่ขับร้องโดยต้อม พีระพงษ์ โดยเฉพาะเพลงในอัลบั้มแรกๆ ซึ่งถือเป็นเพลงต้นฉบับ (Original) ที่กลายเป็นลายเซ็นของวง เช่น "ความในใจ" และ "ยังหวัง" คือเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ ที่ยังคงถูกเปิดฟังจนถึงปัจจุบัน เช่น "อยากให้รู้ใจ", "อย่าหวั่นใจ", "ด้วยดวงใจ", และ "ข้ามเวลา" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง

    กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เรนโบว์ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งคือการนำเพลงเก่าของไทยและเพลงต่างประเทศมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่ได้อย่างไพเราะและร่วมสมัย โดยเฉพาะอัลบั้มชุด "ข้ามเวลา" และเพลงในอัลบั้มหลักที่นำทำนองจากญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น วงเรนโบว์ออกอัลบั้มรวมกว่า 10 ชุดตลอดช่วงยุคทอง โดย discography หลักๆ ได้แก่:

    ความในใจ (พ.ศ. 2529): อัลบั้มสร้างชื่อที่รวมเพลงฮิตอย่าง "ความในใจ" และ "เลิกง้อ (พอกันที)"
    ข้ามเวลา (พ.ศ. 2530): อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่
    ยังหวัง (พ.ศ. 2531): รวมเพลงบัลลาดที่ได้รับความนิยมสูง
    RS Classic - เรนโบว์ (รีมาสเตอร์ในปี พ.ศ. 2556): รวมเพลงฮิตตลอดกาล

    ยุคทองของวงยังรวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตและรายการทีวีมากมาย เช่น การปรากฏตัวในรายการ "Song of Fame เพลงคู่สยาม" ของ Thai PBS ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งพวกเขาได้ถ่ายทอดเพลงดังผ่านเสียงร้องร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคอนเสิร์ตการกุศลอย่าง "Rainbow The Concert" ที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกผู้ล่วงลับและช่วยเหลือสังคม.

    เจาะลึกเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" – เพลงดังจากอัลบั้ม "ความในใจ"
    เพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" คือหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรจุในอัลบั้มสร้างชื่อ "ความในใจ" (พ.ศ. 2529) เพลงนี้โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่บาดใจเกี่ยวกับการตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวจากความรักที่เจ็บปวด โดยมี ชมพู ฟรุตตี้ (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือที่มาของทำนองเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและเข้าใจผิดกันมานานหลายสิบปี

    ไขปริศนาทำนองเพลงญี่ปุ่น
    คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทำนองเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" มาจากเพลงเปิดของอนิเมะดัง "Touch (ทัช ยอดรักนักกีฬา)" เนื่องจากความดังของอนิเมะในไทยและสไตล์ดนตรีที่ใกล้เคียงกัน ความจริงคือ พลงนี้มีที่มาจากเพลงญี่ปุ่นชื่อ "背中ごしにセンチメンタル (Senaka Goshi ni Sentimental)" ( https://www.youtube.com/watch?v=KejzDx1EjKA ) ซึ่งแปลว่า "Sentimental Over the Shoulder" หรือความรู้สึกเศร้าที่มองจากด้านหลัง เป็นเพลงเปิด (Opening Theme) ของแอนิเมชันแนวไซไฟเรื่อง Megazone 23 (พ.ศ. 2528) ขับร้องโดย มิยาซาโตะ คุมิ (Kumi Miyasato) นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นที่อายุเพียง 14 ปีตอนบันทึกเสียงเพลงนี้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เสียงใสและสดใส

    🟰 สาเหตุของความเข้าใจผิด: ผู้สร้างสรรค์คนเดียวกัน
    ความสับสนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งเพลง "Senaka Goshi ni Sentimental" (ต้นฉบับของ "เลิกง้อ") และเพลง "Touch" (เพลงเปิดของอนิเมะ Touch) ถูกแต่งทำนองโดยนักแต่งเพลงคนเดียวกัน คือ คุณฮิโรอากิ เซริซาว่า (Hiroaki Serizawa) ทำให้สไตล์การสร้างทำนองเพลงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนแฟนเพลงในไทยมักจำสลับกัน นอกจากนี้ เพลงต้นฉบับยังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์และถูกนำไปใช้ในสื่ออื่นๆ เช่น YouTube และ Music Platforms ซึ่งยืนยันความนิยมที่ยาวนานของเพลงนี้ในญี่ปุ่นและไทย เพลง "เลิกง้อ" เองก็ถูกรีมาสเตอร์ในอัลบั้ม RS Classic ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ฟังในคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น.

    มรดกที่ยังคงอยู่และอิทธิพลต่อวงการเพลงไทย
    แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ วงเรนโบว์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในวงดนตรีสำคัญที่สร้างมาตรฐานให้กับวงการเพลงไทย เพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Original หรือ Cover ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกสรรและสร้างสรรค์ดนตรีที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" ก็ยังคงเป็นเครื่องยืนยันความอมตะของวงดนตรีแห่งตำนานวงนี้

    หลังจากยุคทอง วงเรนโบว์เคยหยุดพักไปช่วงหนึ่ง แต่มีการ reunion ในช่วงปี 2000s โดยสมาชิกหลักอย่างต้อมและอุ๋นยังคงอยู่ เช่น การแสดงในคอนเสิร์ตและรายการทีวีล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 การเสียชีวิตของอ๊อดในปี 2548 ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สมาชิกที่เหลือยังคงสานต่อมรดกด้วยการออกอัลบั้มรวมฮิตและคอนเสิร์ตระลึกถึง อิทธิพลของวงยังเห็นได้จากศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเพลงไป cover เช่น ในรายการ Song of Fame ซึ่งผสมผสานเพลงเก่ากับเสียงร้องสมัยใหม่

    นอกจากนี้ วงเรนโบว์ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมดนตรีไทย-ญี่ปุ่น โดยการนำเพลงญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่วงอื่นๆ นำไปใช้ตาม จนถึงปัจจุบัน เพลงของพวกเขายังถูกเปิดในสถานีวิทยุ สตรีมมิงแพลตฟอร์ม และงานสังสรรค์ต่างๆ สะท้อนถึงความอมตะที่แท้จริง.

    วงเรนโบว์ไม่เพียงแต่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลังในการผสมผสานดนตรีข้ามวัฒนธรรม ทำให้วงการเพลงไทยมีความหลากหลายมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้.

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=9GBRiUhpT2E
    🌈 เรนโบว์ (Rainbow) – วงดนตรีป๊อปร็อกแห่งตำนาน กับความลับของเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" วงเรนโบว์ 🌈 ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980s โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2528 ในฐานะวงดนตรีป๊อปร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทย ภายใต้สังกัด อาร์.เอส. โปรโมชั่น (RS Promotion) ซึ่งเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น วงนี้เกิดขึ้นจากการแยกตัวของสมาชิกบางส่วนจากวงอินทนิล (Inthanin) ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของค่าย RS ที่ยุบวงไปก่อนหน้านี้ สมาชิกผู้ก่อตั้งหลัก ได้แก่ พีระพงษ์ พลชนะ (ต้อม), เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) และธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ (อุ๋น) ที่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีในสไตล์ใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบจากดนตรีสตริงคอมโบแบบเก่ากับป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกวัยและทุกกลุ่มสังคม 👥 สมาชิกหลักของวงเรนโบว์มีความสามารถรอบด้าน ทั้งด้านการร้อง การเล่นดนตรี และการแต่งเพลง โดยประกอบด้วย: 💠 ต้อม (พีระพงษ์ พลชนะ): นักร้องนำและมือกีตาร์ ผู้มีเสียงร้องหวานซึ้ง แหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ และได้รับฉายา "นักร้องเขี้ยวเสน่ห์" จากรูปลักษณ์และสไตล์การร้องที่ดึงดูดแฟนเพลง เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2507 และเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนวงมาตลอด 💠 อุ๋น (ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์): มือคีย์บอร์ดและร้องนำ สนับสนุนการร้องหลักและช่วยสร้างซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย 💠 อ๊อด (ทวี ศรีประดิษฐ์): หัวหน้าวงและมือกลอง ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัย 42 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 และมีบทบาทสำคัญในการแต่งเพลงและผลิตอัลบั้ม นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมในภายหลัง เช่น สุชาติ จันทร์ต้น (อี๊ด) มือเบส และ อัมพร ชาวเวียง (พร) มือกีตาร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวง ส่วนสมาชิกอดีตอย่าง เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) ก็มีส่วนในการก่อตั้งแต่แรกเริ่ม วงเรนโบว์ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสมผสานแนวเพลงที่ลงตัวระหว่างซาวด์แบบสตริงคอมโบยุคเก่ากับดนตรีป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกกลุ่ม และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีสตริงชื่อดังที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงชาวไทยในยุค 80-90 จากข้อมูลประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย วงเรนโบว์เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ที่เล่นในคลับและงานแสดง แต่ด้วยพรสวรรค์และการสนับสนุนจาก RS ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม. 🎵 ยุคทองของเพลง Original และ Cover ผลงานของเรนโบว์โดดเด่นอย่างมากด้วยเพลงฮิตที่ขับร้องโดยต้อม พีระพงษ์ โดยเฉพาะเพลงในอัลบั้มแรกๆ ซึ่งถือเป็นเพลงต้นฉบับ (Original) ที่กลายเป็นลายเซ็นของวง เช่น "ความในใจ" และ "ยังหวัง" คือเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ ที่ยังคงถูกเปิดฟังจนถึงปัจจุบัน เช่น "อยากให้รู้ใจ", "อย่าหวั่นใจ", "ด้วยดวงใจ", และ "ข้ามเวลา" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เรนโบว์ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งคือการนำเพลงเก่าของไทยและเพลงต่างประเทศมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่ได้อย่างไพเราะและร่วมสมัย โดยเฉพาะอัลบั้มชุด "ข้ามเวลา" และเพลงในอัลบั้มหลักที่นำทำนองจากญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น วงเรนโบว์ออกอัลบั้มรวมกว่า 10 ชุดตลอดช่วงยุคทอง โดย discography หลักๆ ได้แก่: 🎤 ความในใจ (พ.ศ. 2529): อัลบั้มสร้างชื่อที่รวมเพลงฮิตอย่าง "ความในใจ" และ "เลิกง้อ (พอกันที)" 🎤 ข้ามเวลา (พ.ศ. 2530): อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่ 🎤 ยังหวัง (พ.ศ. 2531): รวมเพลงบัลลาดที่ได้รับความนิยมสูง 🎤 RS Classic - เรนโบว์ (รีมาสเตอร์ในปี พ.ศ. 2556): รวมเพลงฮิตตลอดกาล ยุคทองของวงยังรวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตและรายการทีวีมากมาย เช่น การปรากฏตัวในรายการ "Song of Fame เพลงคู่สยาม" ของ Thai PBS ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งพวกเขาได้ถ่ายทอดเพลงดังผ่านเสียงร้องร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคอนเสิร์ตการกุศลอย่าง "Rainbow The Concert" ที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกผู้ล่วงลับและช่วยเหลือสังคม. 💖 เจาะลึกเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" – เพลงดังจากอัลบั้ม "ความในใจ" เพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" คือหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรจุในอัลบั้มสร้างชื่อ "ความในใจ" (พ.ศ. 2529) เพลงนี้โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่บาดใจเกี่ยวกับการตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวจากความรักที่เจ็บปวด โดยมี ชมพู ฟรุตตี้ (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือที่มาของทำนองเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและเข้าใจผิดกันมานานหลายสิบปี 🔎 ไขปริศนาทำนองเพลงญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทำนองเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" มาจากเพลงเปิดของอนิเมะดัง "Touch (ทัช ยอดรักนักกีฬา)" เนื่องจากความดังของอนิเมะในไทยและสไตล์ดนตรีที่ใกล้เคียงกัน ความจริงคือ พลงนี้มีที่มาจากเพลงญี่ปุ่นชื่อ "背中ごしにセンチメンタル (Senaka Goshi ni Sentimental)" ( https://www.youtube.com/watch?v=KejzDx1EjKA ) ซึ่งแปลว่า "Sentimental Over the Shoulder" หรือความรู้สึกเศร้าที่มองจากด้านหลัง เป็นเพลงเปิด (Opening Theme) ของแอนิเมชันแนวไซไฟเรื่อง Megazone 23 (พ.ศ. 2528) ขับร้องโดย มิยาซาโตะ คุมิ (Kumi Miyasato) นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นที่อายุเพียง 14 ปีตอนบันทึกเสียงเพลงนี้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เสียงใสและสดใส 🟰 สาเหตุของความเข้าใจผิด: ผู้สร้างสรรค์คนเดียวกัน ความสับสนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งเพลง "Senaka Goshi ni Sentimental" (ต้นฉบับของ "เลิกง้อ") และเพลง "Touch" (เพลงเปิดของอนิเมะ Touch) ถูกแต่งทำนองโดยนักแต่งเพลงคนเดียวกัน คือ คุณฮิโรอากิ เซริซาว่า (Hiroaki Serizawa) ทำให้สไตล์การสร้างทำนองเพลงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนแฟนเพลงในไทยมักจำสลับกัน นอกจากนี้ เพลงต้นฉบับยังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์และถูกนำไปใช้ในสื่ออื่นๆ เช่น YouTube และ Music Platforms ซึ่งยืนยันความนิยมที่ยาวนานของเพลงนี้ในญี่ปุ่นและไทย เพลง "เลิกง้อ" เองก็ถูกรีมาสเตอร์ในอัลบั้ม RS Classic ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ฟังในคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น. 🌟 มรดกที่ยังคงอยู่และอิทธิพลต่อวงการเพลงไทย แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ วงเรนโบว์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในวงดนตรีสำคัญที่สร้างมาตรฐานให้กับวงการเพลงไทย เพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Original หรือ Cover ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกสรรและสร้างสรรค์ดนตรีที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" ก็ยังคงเป็นเครื่องยืนยันความอมตะของวงดนตรีแห่งตำนานวงนี้ หลังจากยุคทอง วงเรนโบว์เคยหยุดพักไปช่วงหนึ่ง แต่มีการ reunion ในช่วงปี 2000s โดยสมาชิกหลักอย่างต้อมและอุ๋นยังคงอยู่ เช่น การแสดงในคอนเสิร์ตและรายการทีวีล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 การเสียชีวิตของอ๊อดในปี 2548 ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สมาชิกที่เหลือยังคงสานต่อมรดกด้วยการออกอัลบั้มรวมฮิตและคอนเสิร์ตระลึกถึง อิทธิพลของวงยังเห็นได้จากศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเพลงไป cover เช่น ในรายการ Song of Fame ซึ่งผสมผสานเพลงเก่ากับเสียงร้องสมัยใหม่ นอกจากนี้ วงเรนโบว์ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมดนตรีไทย-ญี่ปุ่น โดยการนำเพลงญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่วงอื่นๆ นำไปใช้ตาม จนถึงปัจจุบัน เพลงของพวกเขายังถูกเปิดในสถานีวิทยุ สตรีมมิงแพลตฟอร์ม และงานสังสรรค์ต่างๆ สะท้อนถึงความอมตะที่แท้จริง. วงเรนโบว์ไม่เพียงแต่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลังในการผสมผสานดนตรีข้ามวัฒนธรรม ทำให้วงการเพลงไทยมีความหลากหลายมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้. #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=9GBRiUhpT2E
    0 Comments 0 Shares 619 Views 0 Reviews
  • Nvidia ปล่อย Hotfix Driver ฉุกเฉิน

    Nvidia ได้ออก GeForce Hotfix Display Driver 581.94 เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจาก Microsoft ปล่อยอัปเดต KB5066835 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 และ 24H2 ซึ่งทำให้เกมบางเกมมี FPS ลดลงอย่างชัดเจน การอัปเดตนี้ถือเป็นการแก้ไขเร่งด่วน เนื่องจากผู้ใช้จำนวนมากรายงานว่าประสบปัญหาการเล่นเกมไม่ลื่นไหล

    ผลกระทบต่อเกมและผู้ใช้
    ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกมยอดนิยมอย่าง Assassin’s Creed: Shadows และ CS2 มีอาการกระตุกและ FPS ลดลง ผู้ใช้บางรายยังพบว่า Windows Update ทำให้ระบบ Recovery Environment ไม่สามารถใช้คีย์บอร์ดหรือเมาส์ได้ รวมถึงบางเครื่องถูกบังคับให้เข้าหน้า BitLocker Recovery โดยไม่คาดคิด ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้ใช้ที่ไม่มีคีย์รีคอฟเวอรี

    Microsoft Update ที่ถูกเรียกว่า “Cursed Update”
    อัปเดต KB5066835 ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน “Cursed Update” เพราะนอกจากจะกระทบต่อเกมแล้ว ยังทำให้ระบบ localhost (HTTP.sys) ใช้งานไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อผู้พัฒนาและองค์กรที่ต้องใช้ IIS ในการทดสอบระบบ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบางเครื่องถูกบังคับลด Refresh Rate ลงเหลือ 60Hz พร้อมการกะพริบหน้าจอโดยไม่ทราบสาเหตุ

    แนวทางแก้ไขและสิ่งที่ควรทำ
    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบควรรีบดาวน์โหลดและติดตั้ง Hotfix Driver 581.94 จากเว็บไซต์ Nvidia เพื่อแก้ไขปัญหา FPS และความเสถียรของเกม แม้ว่า Microsoft จะยังไม่ประกาศยอมรับปัญหานี้อย่างเป็นทางการ แต่การอัปเดตไดรเวอร์ถือเป็นวิธีแก้ไขที่ได้ผลในทันที อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรระวังว่า Hotfix เป็นเวอร์ชันเบต้าและอาจยังมีบั๊กอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การออก Hotfix Driver ของ Nvidia
    GeForce Hotfix Display Driver 581.94 แก้ปัญหา FPS ลดลงหลังอัปเดต Windows 11 KB5066835

    ผลกระทบต่อเกมและระบบ
    เกม Assassin’s Creed: Shadows และ CS2 มี FPS ลดลง
    ระบบ Recovery Environment ไม่รองรับคีย์บอร์ด/เมาส์
    BitLocker Recovery ถูกเรียกใช้งานโดยไม่ตั้งใจ

    Microsoft Update ที่มีปัญหา
    KB5066835 ทำให้ localhost (HTTP.sys) ใช้งานไม่ได้
    หน้าจอถูกบังคับลด Refresh Rate เหลือ 60Hz

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต Hotfix อาจยังคงเจอ FPS ลดลงและระบบไม่เสถียร
    ผู้ใช้ที่ไม่มีคีย์ BitLocker Recovery อาจต้องล้างข้อมูลทั้งเครื่อง
    Hotfix เป็นเวอร์ชันเบต้า อาจยังมีบั๊กอื่นที่ไม่ได้แก้ไข

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/nvidia-releases-emergency-driver-update-for-windows-11-25h2-and-24h2-fixes-reduced-gaming-performance-driven-by-botched-windows-updates
    🖥️ Nvidia ปล่อย Hotfix Driver ฉุกเฉิน Nvidia ได้ออก GeForce Hotfix Display Driver 581.94 เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจาก Microsoft ปล่อยอัปเดต KB5066835 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 และ 24H2 ซึ่งทำให้เกมบางเกมมี FPS ลดลงอย่างชัดเจน การอัปเดตนี้ถือเป็นการแก้ไขเร่งด่วน เนื่องจากผู้ใช้จำนวนมากรายงานว่าประสบปัญหาการเล่นเกมไม่ลื่นไหล 🎮 ผลกระทบต่อเกมและผู้ใช้ ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกมยอดนิยมอย่าง Assassin’s Creed: Shadows และ CS2 มีอาการกระตุกและ FPS ลดลง ผู้ใช้บางรายยังพบว่า Windows Update ทำให้ระบบ Recovery Environment ไม่สามารถใช้คีย์บอร์ดหรือเมาส์ได้ รวมถึงบางเครื่องถูกบังคับให้เข้าหน้า BitLocker Recovery โดยไม่คาดคิด ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้ใช้ที่ไม่มีคีย์รีคอฟเวอรี ⚠️ Microsoft Update ที่ถูกเรียกว่า “Cursed Update” อัปเดต KB5066835 ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน “Cursed Update” เพราะนอกจากจะกระทบต่อเกมแล้ว ยังทำให้ระบบ localhost (HTTP.sys) ใช้งานไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อผู้พัฒนาและองค์กรที่ต้องใช้ IIS ในการทดสอบระบบ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบางเครื่องถูกบังคับลด Refresh Rate ลงเหลือ 60Hz พร้อมการกะพริบหน้าจอโดยไม่ทราบสาเหตุ 🔧 แนวทางแก้ไขและสิ่งที่ควรทำ ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบควรรีบดาวน์โหลดและติดตั้ง Hotfix Driver 581.94 จากเว็บไซต์ Nvidia เพื่อแก้ไขปัญหา FPS และความเสถียรของเกม แม้ว่า Microsoft จะยังไม่ประกาศยอมรับปัญหานี้อย่างเป็นทางการ แต่การอัปเดตไดรเวอร์ถือเป็นวิธีแก้ไขที่ได้ผลในทันที อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรระวังว่า Hotfix เป็นเวอร์ชันเบต้าและอาจยังมีบั๊กอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การออก Hotfix Driver ของ Nvidia ➡️ GeForce Hotfix Display Driver 581.94 แก้ปัญหา FPS ลดลงหลังอัปเดต Windows 11 KB5066835 ✅ ผลกระทบต่อเกมและระบบ ➡️ เกม Assassin’s Creed: Shadows และ CS2 มี FPS ลดลง ➡️ ระบบ Recovery Environment ไม่รองรับคีย์บอร์ด/เมาส์ ➡️ BitLocker Recovery ถูกเรียกใช้งานโดยไม่ตั้งใจ ✅ Microsoft Update ที่มีปัญหา ➡️ KB5066835 ทำให้ localhost (HTTP.sys) ใช้งานไม่ได้ ➡️ หน้าจอถูกบังคับลด Refresh Rate เหลือ 60Hz ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต Hotfix อาจยังคงเจอ FPS ลดลงและระบบไม่เสถียร ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่มีคีย์ BitLocker Recovery อาจต้องล้างข้อมูลทั้งเครื่อง ⛔ Hotfix เป็นเวอร์ชันเบต้า อาจยังมีบั๊กอื่นที่ไม่ได้แก้ไข https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/nvidia-releases-emergency-driver-update-for-windows-11-25h2-and-24h2-fixes-reduced-gaming-performance-driven-by-botched-windows-updates
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก

    LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า

    การเชื่อมต่อและพลังงาน
    จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์
    LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น

    ราคาและการเปรียบเทียบ
    LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A)
    ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว

    พาเนล IPS Black
    คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป

    การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5
    รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W

    ฟีเจอร์สำหรับ Mac
    Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด

    ราคาเปิดตัว $1,999
    ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K

    ข้อควรระวังด้านราคา
    แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อจำกัดของพาเนล
    ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ

    https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    🖥️ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า ⚡ การเชื่อมต่อและพลังงาน จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows 🎨 ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์ LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น 💰 ราคาและการเปรียบเทียบ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A) ➡️ ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว ✅ พาเนล IPS Black ➡️ คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป ✅ การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5 ➡️ รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W ✅ ฟีเจอร์สำหรับ Mac ➡️ Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด ✅ ราคาเปิดตัว $1,999 ➡️ ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K ‼️ ข้อควรระวังด้านราคา ⛔ แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ‼️ ข้อจำกัดของพาเนล ⛔ ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • คีย์บอร์ดทางเลือกสำหรับ Android แทน Gboard

    แม้ว่า Gboard ของ Google จะเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Android ด้วยฟีเจอร์ครบครัน เช่น การพิมพ์ด้วยเสียง, การค้นหาในตัว, และการรองรับหลายภาษา แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่มองหาทางเลือกอื่น เนื่องจากกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว หรืออยากได้คีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า

    หนึ่งในทางเลือกยอดนิยมคือ Microsoft SwiftKey ที่มีระบบ AI คาดเดาคำได้แม่นยำ และรองรับการพิมพ์แบบลากนิ้ว (swipe typing) อีกทั้งยังซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้ ส่วน Fleksy โดดเด่นด้วยความเร็วและระบบ gesture ที่ช่วยให้การพิมพ์สะดวกขึ้น พร้อมธีมหลากหลายสำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งหน้าตา

    สำหรับผู้ใช้ที่เน้นความเป็นส่วนตัว OpenBoard และ Simple Keyboard เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นโอเพ่นซอร์ส ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว และทำงานได้เบาไม่กินทรัพยากรเครื่อง ขณะที่ Grammarly Keyboard เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดภาษาอังกฤษอย่างละเอียด

    การเลือกคีย์บอร์ดจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ บางคนอาจเน้นความเร็วและการปรับแต่ง บางคนอาจให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว หรือฟีเจอร์เฉพาะทาง เช่น การตรวจสอบภาษา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ทางเลือกยอดนิยมแทน Gboard
    Microsoft SwiftKey – เด่นเรื่อง AI คาดเดาคำและการพิมพ์แบบลากนิ้ว
    Fleksy – เน้นความเร็วและ gesture
    Grammarly Keyboard – ตรวจสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

    คีย์บอร์ดโอเพ่นซอร์สเพื่อความเป็นส่วนตัว
    OpenBoard – ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว
    Simple Keyboard – เบาและใช้งานง่าย

    เหตุผลที่ผู้ใช้เลือกทางเลือกอื่น
    กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวจาก Google
    ต้องการคีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า
    อยากได้ฟีเจอร์เฉพาะ เช่น ตรวจสอบภาษา

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    คีย์บอร์ดบางตัวอาจไม่รองรับหลายภาษาเท่ากับ Gboard
    ฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การค้นหาในตัว อาจไม่มีในคีย์บอร์ดทางเลือก
    แอปจากนักพัฒนารายเล็กอาจไม่ได้รับการอัปเดตบ่อย

    https://www.slashgear.com/2024575/android-gboard-keyboard-alternatives/
    ⌨️ คีย์บอร์ดทางเลือกสำหรับ Android แทน Gboard แม้ว่า Gboard ของ Google จะเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Android ด้วยฟีเจอร์ครบครัน เช่น การพิมพ์ด้วยเสียง, การค้นหาในตัว, และการรองรับหลายภาษา แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่มองหาทางเลือกอื่น เนื่องจากกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว หรืออยากได้คีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า หนึ่งในทางเลือกยอดนิยมคือ Microsoft SwiftKey ที่มีระบบ AI คาดเดาคำได้แม่นยำ และรองรับการพิมพ์แบบลากนิ้ว (swipe typing) อีกทั้งยังซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้ ส่วน Fleksy โดดเด่นด้วยความเร็วและระบบ gesture ที่ช่วยให้การพิมพ์สะดวกขึ้น พร้อมธีมหลากหลายสำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งหน้าตา สำหรับผู้ใช้ที่เน้นความเป็นส่วนตัว OpenBoard และ Simple Keyboard เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นโอเพ่นซอร์ส ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว และทำงานได้เบาไม่กินทรัพยากรเครื่อง ขณะที่ Grammarly Keyboard เหมาะกับผู้ที่ต้องการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดภาษาอังกฤษอย่างละเอียด การเลือกคีย์บอร์ดจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ บางคนอาจเน้นความเร็วและการปรับแต่ง บางคนอาจให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว หรือฟีเจอร์เฉพาะทาง เช่น การตรวจสอบภาษา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ทางเลือกยอดนิยมแทน Gboard ➡️ Microsoft SwiftKey – เด่นเรื่อง AI คาดเดาคำและการพิมพ์แบบลากนิ้ว ➡️ Fleksy – เน้นความเร็วและ gesture ➡️ Grammarly Keyboard – ตรวจสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ✅ คีย์บอร์ดโอเพ่นซอร์สเพื่อความเป็นส่วนตัว ➡️ OpenBoard – ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว ➡️ Simple Keyboard – เบาและใช้งานง่าย ✅ เหตุผลที่ผู้ใช้เลือกทางเลือกอื่น ➡️ กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวจาก Google ➡️ ต้องการคีย์บอร์ดที่เบาและเร็วกว่า ➡️ อยากได้ฟีเจอร์เฉพาะ เช่น ตรวจสอบภาษา ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ คีย์บอร์ดบางตัวอาจไม่รองรับหลายภาษาเท่ากับ Gboard ⛔ ฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การค้นหาในตัว อาจไม่มีในคีย์บอร์ดทางเลือก ⛔ แอปจากนักพัฒนารายเล็กอาจไม่ได้รับการอัปเดตบ่อย https://www.slashgear.com/2024575/android-gboard-keyboard-alternatives/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Android Keyboard Alternatives Put Google's Gboard To Shame - SlashGear
    Google's default Android keyboard, Gboard, isn't the only option users have. Let's take a look at some alternatives that have features Gboard is sorely missing.
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • KDE Slimbook VII เปิดตัวฉลอง 8 ปี Slimbook x KDE

    Slimbook ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux จับมือกับโครงการ KDE เปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ KDE Slimbook VII เพื่อฉลองความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 8 ปี รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ KDE Plasma โดยเฉพาะ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสวยงาม

    ตัวเครื่องใช้วัสดุ อลูมิเนียมพรีเมียมสี Slate-Blue พร้อมหน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA (2560×1600) ที่มีอัตราส่วน 16:10, ความสว่าง 400 nits และรีเฟรชเรตสูงถึง 165 Hz ทำให้เหมาะทั้งงานกราฟิกและการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา และระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่

    ด้านสเปกภายใน โน้ตบุ๊ครุ่นนี้ใช้ AMD Ryzen AI 9 365 พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon 880M รองรับ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB และ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ถือว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊ค Linux ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้

    Slimbook ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา €70 ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ €1,029 (ประมาณ $1,187 USD) เพื่อฉลองการเปิดตัวและครบรอบ 8 ปีของความร่วมมือกับ KDE

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว KDE Slimbook VII
    ฉลองครบรอบ 8 ปีความร่วมมือ Slimbook และ KDE
    โน้ตบุ๊ค Linux ที่ออกแบบมาเพื่อ KDE Plasma โดยเฉพาะ

    สเปกและดีไซน์
    ตัวเครื่องอลูมิเนียมสี Slate-Blue
    หน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA, 165 Hz, 100% sRGB
    คีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา

    ประสิทธิภาพภายใน
    AMD Ryzen AI 9 365 + Radeon 880M
    RAM DDR5 สูงสุด 128 GB
    SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB

    ราคาและโปรโมชั่น
    ลดราคา €70
    ราคาเริ่มต้น €1,029 (≈ $1,187 USD)

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป
    อาจหาซื้อยากในบางประเทศ เนื่องจากจำกัดช่องทางจำหน่าย
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบ

    https://9to5linux.com/slimbook-and-kde-celebrate-8th-anniversary-with-kde-slimbook-vii-laptop
    💻 KDE Slimbook VII เปิดตัวฉลอง 8 ปี Slimbook x KDE Slimbook ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux จับมือกับโครงการ KDE เปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ KDE Slimbook VII เพื่อฉลองความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 8 ปี รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ KDE Plasma โดยเฉพาะ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความสวยงาม ตัวเครื่องใช้วัสดุ อลูมิเนียมพรีเมียมสี Slate-Blue พร้อมหน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA (2560×1600) ที่มีอัตราส่วน 16:10, ความสว่าง 400 nits และรีเฟรชเรตสูงถึง 165 Hz ทำให้เหมาะทั้งงานกราฟิกและการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา และระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ ด้านสเปกภายใน โน้ตบุ๊ครุ่นนี้ใช้ AMD Ryzen AI 9 365 พร้อมการ์ดจอ AMD Radeon 880M รองรับ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB และ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ถือว่าเป็นหนึ่งในโน้ตบุ๊ค Linux ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ Slimbook ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา €70 ทำให้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ €1,029 (ประมาณ $1,187 USD) เพื่อฉลองการเปิดตัวและครบรอบ 8 ปีของความร่วมมือกับ KDE 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว KDE Slimbook VII ➡️ ฉลองครบรอบ 8 ปีความร่วมมือ Slimbook และ KDE ➡️ โน้ตบุ๊ค Linux ที่ออกแบบมาเพื่อ KDE Plasma โดยเฉพาะ ✅ สเปกและดีไซน์ ➡️ ตัวเครื่องอลูมิเนียมสี Slate-Blue ➡️ หน้าจอ 16 นิ้ว WQXGA, 165 Hz, 100% sRGB ➡️ คีย์บอร์ดไฟ Backlit รองรับหลายภาษา ✅ ประสิทธิภาพภายใน ➡️ AMD Ryzen AI 9 365 + Radeon 880M ➡️ RAM DDR5 สูงสุด 128 GB ➡️ SSD NVMe PCIe 4.0 สูงสุด 8 TB ✅ ราคาและโปรโมชั่น ➡️ ลดราคา €70 ➡️ ราคาเริ่มต้น €1,029 (≈ $1,187 USD) ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ ราคาสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป ⛔ อาจหาซื้อยากในบางประเทศ เนื่องจากจำกัดช่องทางจำหน่าย ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้ระบบ https://9to5linux.com/slimbook-and-kde-celebrate-8th-anniversary-with-kde-slimbook-vii-laptop
    9TO5LINUX.COM
    Slimbook and KDE Celebrate 8th Anniversary with KDE Slimbook VII Linux Laptop - 9to5Linux
    KDE Slimbook VII Linux laptop launches with an AMD Ryzen AI 9 365 CPU, integrated AMD Radeon 880M graphics, and up to 128 GB RAM.
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • Logitech ถูกแฮกข้อมูล 1.8TB ผ่านช่องโหว่ Zero-Day

    Logitech ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟัง ได้ยื่นรายงานต่อ SEC ว่าถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยมีการขโมยข้อมูลกว่า 1.8 เทราไบต์ จากระบบภายในผ่านช่องโหว่ zero-day ของแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม แม้บริษัทจะยืนยันว่า ไม่มีข้อมูลสำคัญอย่างบัตรเครดิตหรือเลขบัตรประชาชนรั่วไหล แต่ก็มีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ที่อาจถูกเข้าถึงได้

    แฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงกับกลุ่ม Clop ซึ่งมีประวัติการโจมตีองค์กรใหญ่ ๆ ทั่วโลก โดยใช้วิธีเจาะระบบ Oracle E-Business Suite ที่หลายบริษัทใช้จัดการข้อมูลภายใน แม้ Logitech จะไม่ได้ระบุชื่อกลุ่มอย่างเป็นทางการ แต่หลักฐานชี้ไปในทิศทางเดียวกัน

    หลังจากตรวจพบการโจมตี Logitech ได้รีบทำการ แพตช์ช่องโหว่และปิดการเข้าถึงทันที พร้อมร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้บริษัทระดับโลกที่มีมาตรการเข้มงวดก็ยังเสี่ยงต่อการโจมตีจากช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน

    สิ่งที่น่ากังวลคือ การโจมตีลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบต่อ คู่ค้าและลูกค้าของ Logitech ที่ข้อมูลบางส่วนถูกเข้าถึงไปแล้ว และยังสะท้อนถึงความท้าทายของอุตสาหกรรมไอทีที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Logitech ถูกแฮกข้อมูล 1.8TB
    ผ่านช่องโหว่ zero-day ในซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม

    ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวรั่วไหล
    แต่มีข้อมูลลูกค้าและซัพพลายเออร์บางส่วนที่อาจถูกเข้าถึง

    บริษัทรีบแพตช์ช่องโหว่และสอบสวนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ
    เพื่อปิดการเข้าถึงและลดผลกระทบ

    กลุ่ม Clop ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตี
    มีประวัติการโจมตีองค์กรใหญ่ทั่วโลกผ่าน Oracle E-Business Suite

    ความเสี่ยงต่อคู่ค้าและลูกค้า Logitech
    ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ปลอดภัย

    ภัยคุกคามจากช่องโหว่ zero-day ยังคงรุนแรง
    แม้บริษัทใหญ่ที่มีมาตรการเข้มงวดก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hackers-steal-1-8tb-of-data-from-pc-peripheral-vendor-logitech-firm-says-zero-day-vulnerability-to-blame-no-sensitive-information-stolen
    🔐 Logitech ถูกแฮกข้อมูล 1.8TB ผ่านช่องโหว่ Zero-Day Logitech ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟัง ได้ยื่นรายงานต่อ SEC ว่าถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยมีการขโมยข้อมูลกว่า 1.8 เทราไบต์ จากระบบภายในผ่านช่องโหว่ zero-day ของแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม แม้บริษัทจะยืนยันว่า ไม่มีข้อมูลสำคัญอย่างบัตรเครดิตหรือเลขบัตรประชาชนรั่วไหล แต่ก็มีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ที่อาจถูกเข้าถึงได้ แฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงกับกลุ่ม Clop ซึ่งมีประวัติการโจมตีองค์กรใหญ่ ๆ ทั่วโลก โดยใช้วิธีเจาะระบบ Oracle E-Business Suite ที่หลายบริษัทใช้จัดการข้อมูลภายใน แม้ Logitech จะไม่ได้ระบุชื่อกลุ่มอย่างเป็นทางการ แต่หลักฐานชี้ไปในทิศทางเดียวกัน หลังจากตรวจพบการโจมตี Logitech ได้รีบทำการ แพตช์ช่องโหว่และปิดการเข้าถึงทันที พร้อมร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้บริษัทระดับโลกที่มีมาตรการเข้มงวดก็ยังเสี่ยงต่อการโจมตีจากช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน สิ่งที่น่ากังวลคือ การโจมตีลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบต่อ คู่ค้าและลูกค้าของ Logitech ที่ข้อมูลบางส่วนถูกเข้าถึงไปแล้ว และยังสะท้อนถึงความท้าทายของอุตสาหกรรมไอทีที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Logitech ถูกแฮกข้อมูล 1.8TB ➡️ ผ่านช่องโหว่ zero-day ในซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม ✅ ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวรั่วไหล ➡️ แต่มีข้อมูลลูกค้าและซัพพลายเออร์บางส่วนที่อาจถูกเข้าถึง ✅ บริษัทรีบแพตช์ช่องโหว่และสอบสวนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ➡️ เพื่อปิดการเข้าถึงและลดผลกระทบ ✅ กลุ่ม Clop ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตี ➡️ มีประวัติการโจมตีองค์กรใหญ่ทั่วโลกผ่าน Oracle E-Business Suite ‼️ ความเสี่ยงต่อคู่ค้าและลูกค้า Logitech ⛔ ข้อมูลที่ถูกเข้าถึงอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ปลอดภัย ‼️ ภัยคุกคามจากช่องโหว่ zero-day ยังคงรุนแรง ⛔ แม้บริษัทใหญ่ที่มีมาตรการเข้มงวดก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด https://www.tomshardware.com/tech-industry/hackers-steal-1-8tb-of-data-from-pc-peripheral-vendor-logitech-firm-says-zero-day-vulnerability-to-blame-no-sensitive-information-stolen
    0 Comments 0 Shares 292 Views 0 Reviews
  • Tiny386 Emulator – คอมพิวเตอร์ยุค 90 บนบอร์ดจิ๋ว

    มีโปรแกรมเมอร์ชาวจีนชื่อ He Chunhui ที่สร้างโปรเจกต์สุดแปลกชื่อ Tiny386 โดยใช้บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32-S3 ราคาประมาณ 25–30 ดอลลาร์ มาทำให้มันสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ i386 ได้เต็มรูปแบบ แม้จะเป็นบอร์ดเล็ก ๆ แต่สามารถบูต Windows 95 และ Linux ได้จริง รวมถึงเกมในตำนานอย่าง Doom ก็ยังเล่นได้! สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้หยุดแค่ CPU แต่ยังพอร์ตอุปกรณ์เสริมอย่าง VGA, IDE Controller และ Sound Blaster 16 เข้าไปด้วย ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์จำลองที่สมบูรณ์แบบ

    แม้ว่า ESP32-S3 จะไม่แรงเท่า Raspberry Pi แต่การเขียนโค้ดกว่า 6,000 บรรทัดด้วยภาษา C99 ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือการส่งสัญญาณคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่าน Wi-Fi เพราะบอร์ดไม่มีพอร์ตจริง ๆ ให้เสียบอุปกรณ์ นี่คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความหลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ Tiny386 ไม่ได้หยุดแค่การจำลอง i386 แต่ยังเพิ่มคำสั่งของ 486 และ Pentium เพื่อให้สามารถบูต Linux รุ่นใหม่ ๆ ได้ด้วย ถือเป็นการเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถทดลองผ่าน WebAssembly หรือดูตัวอย่างใน YouTube ได้อีกด้วย

    Tiny386 จำลอง i386 บนบอร์ด ESP32-S3
    สามารถบูต Windows 95, Linux และเล่น Doom ได้

    ใช้โค้ดกว่า 6,000 บรรทัดในภาษา C99
    เพิ่มคำสั่ง 486 และ Pentium เพื่อรองรับ OS รุ่นใหม่

    ข้อจำกัดด้านพลังประมวลผลของ ESP32-S3
    ไม่สามารถแทนที่เครื่อง PC จริงได้ และยังมีฟีเจอร์ที่ขาดไปบางส่วน

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/tiny386-emulator-turns-an-esp-s3-microcontroller-into-a-full-i386-pc-tiny-virtual-machine-can-boot-windows-95-and-linux
    🖥️ Tiny386 Emulator – คอมพิวเตอร์ยุค 90 บนบอร์ดจิ๋ว มีโปรแกรมเมอร์ชาวจีนชื่อ He Chunhui ที่สร้างโปรเจกต์สุดแปลกชื่อ Tiny386 โดยใช้บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32-S3 ราคาประมาณ 25–30 ดอลลาร์ มาทำให้มันสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ i386 ได้เต็มรูปแบบ แม้จะเป็นบอร์ดเล็ก ๆ แต่สามารถบูต Windows 95 และ Linux ได้จริง รวมถึงเกมในตำนานอย่าง Doom ก็ยังเล่นได้! สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้หยุดแค่ CPU แต่ยังพอร์ตอุปกรณ์เสริมอย่าง VGA, IDE Controller และ Sound Blaster 16 เข้าไปด้วย ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์จำลองที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่า ESP32-S3 จะไม่แรงเท่า Raspberry Pi แต่การเขียนโค้ดกว่า 6,000 บรรทัดด้วยภาษา C99 ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือการส่งสัญญาณคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่าน Wi-Fi เพราะบอร์ดไม่มีพอร์ตจริง ๆ ให้เสียบอุปกรณ์ นี่คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความหลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ Tiny386 ไม่ได้หยุดแค่การจำลอง i386 แต่ยังเพิ่มคำสั่งของ 486 และ Pentium เพื่อให้สามารถบูต Linux รุ่นใหม่ ๆ ได้ด้วย ถือเป็นการเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถทดลองผ่าน WebAssembly หรือดูตัวอย่างใน YouTube ได้อีกด้วย ✅ Tiny386 จำลอง i386 บนบอร์ด ESP32-S3 ➡️ สามารถบูต Windows 95, Linux และเล่น Doom ได้ ✅ ใช้โค้ดกว่า 6,000 บรรทัดในภาษา C99 ➡️ เพิ่มคำสั่ง 486 และ Pentium เพื่อรองรับ OS รุ่นใหม่ ‼️ ข้อจำกัดด้านพลังประมวลผลของ ESP32-S3 ⛔ ไม่สามารถแทนที่เครื่อง PC จริงได้ และยังมีฟีเจอร์ที่ขาดไปบางส่วน https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/tiny386-emulator-turns-an-esp-s3-microcontroller-into-a-full-i386-pc-tiny-virtual-machine-can-boot-windows-95-and-linux
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์”

    ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น!

    เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS

    สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก

    ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน

    นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013

    จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable
    เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982
    เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย
    ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz
    RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB
    จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว
    รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร
    ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ
    ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน)

    กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS
    ไม่ใช้โค้ด IBM เลย
    หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์
    ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก
    สร้างรายได้ $111 ล้าน
    จุดประกายยุค PC Clone
    IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984

    ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
    Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002
    แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013
    เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น
    น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง
    หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
    การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง
    การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    🖥️ “Compaq Portable จุดเริ่มต้นของยุค PC Clone ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์” ลองจินตนาการย้อนกลับไปในปี 1982… โลกคอมพิวเตอร์ยังถูกครอบครองโดย IBM อย่างเบ็ดเสร็จ แต่แล้วบริษัทหน้าใหม่ชื่อ Compaq ก็เปิดตัว “Compaq Portable” คอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้แบบ 100% โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น! เครื่องนี้หนักถึง 28 ปอนด์ (ประมาณ 12.7 กิโลกรัม) แต่ถือว่า “พกพาได้” ในยุคนั้น เพราะมันรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว—จอภาพ, คีย์บอร์ด, ดิสก์ไดรฟ์ และพอร์ตเชื่อมต่อ พร้อมระบบปฏิบัติการ Compaq DOS ที่เป็นเวอร์ชันพิเศษของ MS-DOS สิ่งที่ทำให้ Compaq โดดเด่นคือการ “reverse-engineer” BIOS ของ IBM โดยไม่ใช้โค้ดต้นฉบับเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถือเป็นการหลบหลีกข้อกฎหมายอย่างชาญฉลาด และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่น ๆ ทำตาม จนเกิดยุค “PC Clone” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกและหลากหลายแพร่หลายไปทั่วโลก 📈 ในปีแรก Compaq ขายได้ถึง 53,000 เครื่อง สร้างรายได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของธุรกิจอเมริกันในขณะนั้น และ IBM เองก็ต้องออกเครื่องพกพาของตัวเองในปีถัดมาเพื่อแข่งขัน นอกจากนั้น Compaq ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ HP จะเข้าซื้อกิจการในปี 2002 และยุติแบรนด์ Compaq ในปี 2013 ✅ จุดเริ่มต้นของ Compaq Portable ➡️ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1982 ➡️ เป็น IBM PC Clone เครื่องแรกที่ถูกกฎหมาย ➡️ ใช้ Intel 8088 ความเร็ว 4.77 MHz ➡️ RAM เริ่มต้น 128KB ขยายได้ถึง 640KB ➡️ จอภาพขนาด 9 นิ้วแบบเขียวขาว ➡️ รองรับกราฟิก CGA และแสดงผล 80x25 ตัวอักษร ➡️ ใช้ Compaq DOS ซึ่งเป็น MS-DOS เวอร์ชันพิเศษ ➡️ ราคาเปิดตัว $2,995 (~$9,500 ปัจจุบัน) ✅ กลยุทธ์ reverse-engineering BIOS ➡️ ไม่ใช้โค้ด IBM เลย ➡️ หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ทำให้สามารถโฆษณาว่า “100% compatible” ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ขายได้ 53,000 เครื่องในปีแรก ➡️ สร้างรายได้ $111 ล้าน ➡️ จุดประกายยุค PC Clone ➡️ IBM ต้องออกเครื่องพกพาแข่งในปี 1984 ✅ ความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ➡️ Compaq ถูก HP ซื้อกิจการในปี 2002 ➡️ แบรนด์ Compaq ถูกยุติในปี 2013 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม DIY คอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีในยุคนั้น ⛔ น้ำหนักเครื่องถึง 28 ปอนด์—ไม่เหมาะกับการพกพาจริง ⛔ หน่วยความจำและกราฟิกจำกัดมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ⛔ การ reverse-engineering BIOS แม้ถูกกฎหมาย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง ⛔ การแข่งขันกับ IBM ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/this-week-in-1982-compaq-announced-the-first-true-ibm-pc-clone-it-was-a-portable-too-as-long-as-you-were-comfortable-lugging-28-pounds
    0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews
More Results