• โครงการภาษาโปรแกรม Zig ตัดสินใจย้ายออกจาก GitHub

    Andrew Kelly ประธานและหัวหน้าทีมพัฒนา Zig Software Foundation ประกาศว่าโครงการ Zig จะย้ายไปใช้ Codeberg ซึ่งเป็นบริการโฮสต์ Git แบบไม่แสวงหากำไร เหตุผลหลักคือ GitHub ไม่แสดงถึงความมุ่งมั่นในด้าน engineering excellence อีกต่อไป โดยยกตัวอย่างบั๊กในสคริปต์ safe_sleep.sh ที่ทำให้ระบบ CI ใช้ CPU 100% และหยุดทำงานไปหลายสัปดาห์โดยไม่มีการแก้ไขที่ชัดเจน

    ปัญหา GitHub Actions และ “Vibe-Scheduling”
    Kelly วิจารณ์ว่า GitHub Actions มีบั๊กที่ “ไม่สามารถยอมรับได้” และถูกละเลย หลังจาก CEO ของ GitHub ประกาศว่า “embrace AI or get out” ระบบ Actions ก็เริ่มทำงานแบบ “vibe-scheduling” คือเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI ของ Zig ติดขัดจนแม้แต่ commit ใน master branch ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบ

    เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น
    นักพัฒนา Zig รายอื่น เช่น Matthew Lugg และผู้เชี่ยวชาญอย่าง Jeremy Howard ก็ยืนยันว่าบั๊กดังกล่าวชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น และการแก้ไขล่าช้าเกินไปจนทำให้ระบบ CI เสียหายหนัก Howard ถึงกับกล่าวว่า “เป็นการสะสมของเหตุการณ์ face-palming ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

    กระแสย้ายออกจาก GitHub
    Zig ไม่ใช่โครงการเดียวที่แสดงความไม่พอใจ Rodrigo Arias Mallo ผู้สร้างเบราว์เซอร์ Dillo ก็ประกาศว่าจะย้ายออกจาก GitHub ด้วยเหตุผลคล้ายกัน เช่น การพึ่งพา JavaScript มากเกินไป การจัดการที่ลดคุณภาพ และการโฟกัสเกินไปกับ LLMs และ Generative AI ซึ่งเขามองว่ากำลังทำลายความเปิดกว้างของเว็บ ขณะเดียวกัน Codeberg ก็มีจำนวนสมาชิกสนับสนุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีเดียว

    สรุปสาระสำคัญ
    Zig ย้ายออกจาก GitHub
    เหตุผลคือ GitHub ละเลยคุณภาพวิศวกรรมและมีบั๊กเรื้อรังในระบบ Actions

    ปัญหา Safe Sleep Script
    ใช้ CPU 100% และทำให้ CI หยุดทำงานหลายสัปดาห์

    Vibe-Scheduling ใน GitHub Actions
    ระบบเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI backlog หนัก

    เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น
    ยืนยันว่าบั๊กชัดเจนตั้งแต่แรก แต่แก้ไขล่าช้าเกินไป

    ความเสี่ยงต่อโครงการโอเพ่นซอร์ส
    หาก GitHub มุ่งเน้น AI มากเกินไป อาจทำให้คุณภาพการให้บริการลดลงและผู้ใช้ย้ายออก

    ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักพัฒนา
    การละเลยบั๊กและการจัดการที่ไม่โปร่งใส อาจบั่นทอนความไว้วางใจในแพลตฟอร์ม

    https://www.theregister.com/2025/12/02/zig_quits_github_microsoft_ai_obsession/
    🔩 โครงการภาษาโปรแกรม Zig ตัดสินใจย้ายออกจาก GitHub Andrew Kelly ประธานและหัวหน้าทีมพัฒนา Zig Software Foundation ประกาศว่าโครงการ Zig จะย้ายไปใช้ Codeberg ซึ่งเป็นบริการโฮสต์ Git แบบไม่แสวงหากำไร เหตุผลหลักคือ GitHub ไม่แสดงถึงความมุ่งมั่นในด้าน engineering excellence อีกต่อไป โดยยกตัวอย่างบั๊กในสคริปต์ safe_sleep.sh ที่ทำให้ระบบ CI ใช้ CPU 100% และหยุดทำงานไปหลายสัปดาห์โดยไม่มีการแก้ไขที่ชัดเจน ⚙️ ปัญหา GitHub Actions และ “Vibe-Scheduling” Kelly วิจารณ์ว่า GitHub Actions มีบั๊กที่ “ไม่สามารถยอมรับได้” และถูกละเลย หลังจาก CEO ของ GitHub ประกาศว่า “embrace AI or get out” ระบบ Actions ก็เริ่มทำงานแบบ “vibe-scheduling” คือเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI ของ Zig ติดขัดจนแม้แต่ commit ใน master branch ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบ 🔥 เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น นักพัฒนา Zig รายอื่น เช่น Matthew Lugg และผู้เชี่ยวชาญอย่าง Jeremy Howard ก็ยืนยันว่าบั๊กดังกล่าวชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น และการแก้ไขล่าช้าเกินไปจนทำให้ระบบ CI เสียหายหนัก Howard ถึงกับกล่าวว่า “เป็นการสะสมของเหตุการณ์ face-palming ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 🌐 กระแสย้ายออกจาก GitHub Zig ไม่ใช่โครงการเดียวที่แสดงความไม่พอใจ Rodrigo Arias Mallo ผู้สร้างเบราว์เซอร์ Dillo ก็ประกาศว่าจะย้ายออกจาก GitHub ด้วยเหตุผลคล้ายกัน เช่น การพึ่งพา JavaScript มากเกินไป การจัดการที่ลดคุณภาพ และการโฟกัสเกินไปกับ LLMs และ Generative AI ซึ่งเขามองว่ากำลังทำลายความเปิดกว้างของเว็บ ขณะเดียวกัน Codeberg ก็มีจำนวนสมาชิกสนับสนุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีเดียว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Zig ย้ายออกจาก GitHub ➡️ เหตุผลคือ GitHub ละเลยคุณภาพวิศวกรรมและมีบั๊กเรื้อรังในระบบ Actions ✅ ปัญหา Safe Sleep Script ➡️ ใช้ CPU 100% และทำให้ CI หยุดทำงานหลายสัปดาห์ ✅ Vibe-Scheduling ใน GitHub Actions ➡️ ระบบเลือกงานที่จะรันแบบสุ่ม ทำให้ CI backlog หนัก ✅ เสียงสะท้อนจากนักพัฒนาอื่น ➡️ ยืนยันว่าบั๊กชัดเจนตั้งแต่แรก แต่แก้ไขล่าช้าเกินไป ‼️ ความเสี่ยงต่อโครงการโอเพ่นซอร์ส ⛔ หาก GitHub มุ่งเน้น AI มากเกินไป อาจทำให้คุณภาพการให้บริการลดลงและผู้ใช้ย้ายออก ‼️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักพัฒนา ⛔ การละเลยบั๊กและการจัดการที่ไม่โปร่งใส อาจบั่นทอนความไว้วางใจในแพลตฟอร์ม https://www.theregister.com/2025/12/02/zig_quits_github_microsoft_ai_obsession/
    WWW.THEREGISTER.COM
    Zig quits GitHub, gripes about Microsoft's AI obsession
    : Zig prez complains about 'vibe-scheduling' after safe sleep bug goes unaddressed for eons
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮกเกอร์ ShadyPanda ใช้เวลา 7 ปีในการสร้างความไว้วางใจผ่านส่วนขยาย Chrome และ Edge

    นักวิจัยจาก Koi Security เปิดเผยว่า ShadyPanda ใช้กลยุทธ์ “long game” โดยอัปโหลดส่วนขยายที่ดูปกติ เช่น Clean Master และ WeTab ให้ผู้ใช้ติดตั้ง เมื่อได้รับความไว้วางใจและยอดดาวน์โหลดสูงแล้ว จึงปล่อยอัปเดตที่แฝงโค้ดอันตราย ทำให้สามารถสอดแนมและควบคุมเครื่องได้โดยตรง

    สองปฏิบัติการหลัก
    Remote Code Execution (RCE) Backdoor: ส่วนขยายที่เคยได้รับการรับรองจาก Google ถูกเปลี่ยนเป็น backdoor สามารถรันโปรแกรมใด ๆ บนเครื่องได้โดยไม่รู้ตัว (กระทบผู้ใช้กว่า 300,000 คน)

    Spyware Empire: ส่วนขยายอย่าง WeTab (3 ล้านดาวน์โหลด) ถูกใช้เก็บข้อมูลทุก URL, คำค้นหา และแม้แต่การคลิกเมาส์ โดยส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน (กระทบผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน)

    จุดอ่อนของระบบตรวจสอบ
    การโจมตีครั้งนี้เผยให้เห็นว่า ตลาดส่วนขยายของ Chrome และ Edge เน้นตรวจสอบตอนส่งครั้งแรก แต่ไม่เฝ้าระวังพฤติกรรมหลังจากนั้น ทำให้ ShadyPanda สามารถสร้างฐานผู้ใช้มหาศาลก่อนจะปล่อยการโจมตีจริงในปี 2024

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    Randolph Barr (Cequence Security): ย้ำว่ากลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งใน supply chain attack ที่ยาวนานและซับซ้อนที่สุด

    Diane Downie (Black Duck): เตือนว่ามัลแวร์เลียนแบบโค้ดปกติได้ยากต่อการตรวจจับ และองค์กรควรใช้ Zero-Trust

    Trey Ford (Bugcrowd): ชี้ว่าการตรวจสอบส่วนขยายควรเน้นพฤติกรรมต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การส่งครั้งแรก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดการโจมตี ShadyPanda
    ใช้ส่วนขยาย Chrome/Edge ที่ดูปกติ
    แฝงโค้ดอันตรายหลังได้รับความไว้วางใจ

    สองปฏิบัติการหลัก
    RCE Backdoor (300,000 ผู้ใช้)
    Spyware Empire (4 ล้านผู้ใช้)

    จุดอ่อนของระบบตรวจสอบ
    ตรวจสอบเฉพาะตอนส่งครั้งแรก
    ไม่เฝ้าระวังพฤติกรรมหลังอัปเดต

    คำเตือนต่อผู้ใช้และองค์กร
    ส่วนขยายที่มีเรตติ้งสูงก็อาจเป็นอันตราย
    ข้อมูลส่วนตัวและ API keys เสี่ยงถูกขโมย
    ต้องใช้แนวทาง Zero-Trust และตรวจสอบพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง

    https://hackread.com/shadypanda-attack-spied-chrome-edge-users/
    🦹‍♀️ กลุ่มแฮกเกอร์ ShadyPanda ใช้เวลา 7 ปีในการสร้างความไว้วางใจผ่านส่วนขยาย Chrome และ Edge นักวิจัยจาก Koi Security เปิดเผยว่า ShadyPanda ใช้กลยุทธ์ “long game” โดยอัปโหลดส่วนขยายที่ดูปกติ เช่น Clean Master และ WeTab ให้ผู้ใช้ติดตั้ง เมื่อได้รับความไว้วางใจและยอดดาวน์โหลดสูงแล้ว จึงปล่อยอัปเดตที่แฝงโค้ดอันตราย ทำให้สามารถสอดแนมและควบคุมเครื่องได้โดยตรง ⚙️ สองปฏิบัติการหลัก 🪲 Remote Code Execution (RCE) Backdoor: ส่วนขยายที่เคยได้รับการรับรองจาก Google ถูกเปลี่ยนเป็น backdoor สามารถรันโปรแกรมใด ๆ บนเครื่องได้โดยไม่รู้ตัว (กระทบผู้ใช้กว่า 300,000 คน) 🪲 Spyware Empire: ส่วนขยายอย่าง WeTab (3 ล้านดาวน์โหลด) ถูกใช้เก็บข้อมูลทุก URL, คำค้นหา และแม้แต่การคลิกเมาส์ โดยส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ในจีน (กระทบผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน) 🔒 จุดอ่อนของระบบตรวจสอบ การโจมตีครั้งนี้เผยให้เห็นว่า ตลาดส่วนขยายของ Chrome และ Edge เน้นตรวจสอบตอนส่งครั้งแรก แต่ไม่เฝ้าระวังพฤติกรรมหลังจากนั้น ทำให้ ShadyPanda สามารถสร้างฐานผู้ใช้มหาศาลก่อนจะปล่อยการโจมตีจริงในปี 2024 🌐 ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ 🧑‍🏫 Randolph Barr (Cequence Security): ย้ำว่ากลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งใน supply chain attack ที่ยาวนานและซับซ้อนที่สุด 🧑‍🏫 Diane Downie (Black Duck): เตือนว่ามัลแวร์เลียนแบบโค้ดปกติได้ยากต่อการตรวจจับ และองค์กรควรใช้ Zero-Trust 🧑‍🏫 Trey Ford (Bugcrowd): ชี้ว่าการตรวจสอบส่วนขยายควรเน้นพฤติกรรมต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การส่งครั้งแรก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดการโจมตี ShadyPanda ➡️ ใช้ส่วนขยาย Chrome/Edge ที่ดูปกติ ➡️ แฝงโค้ดอันตรายหลังได้รับความไว้วางใจ ✅ สองปฏิบัติการหลัก ➡️ RCE Backdoor (300,000 ผู้ใช้) ➡️ Spyware Empire (4 ล้านผู้ใช้) ✅ จุดอ่อนของระบบตรวจสอบ ➡️ ตรวจสอบเฉพาะตอนส่งครั้งแรก ➡️ ไม่เฝ้าระวังพฤติกรรมหลังอัปเดต ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้และองค์กร ⛔ ส่วนขยายที่มีเรตติ้งสูงก็อาจเป็นอันตราย ⛔ ข้อมูลส่วนตัวและ API keys เสี่ยงถูกขโมย ⛔ ต้องใช้แนวทาง Zero-Trust และตรวจสอบพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง https://hackread.com/shadypanda-attack-spied-chrome-edge-users/
    HACKREAD.COM
    7 Year Long ShadyPanda Attack Spied on 4.3M Chrome and Edge Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องมือที่สามารถลดความขัดแย้งบน X

    นักวิจัยจาก Stanford University พัฒนาเครื่องมือที่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) โดยการปรับลำดับโพสต์ในฟีด แทนที่จะบล็อกเนื้อหาออกไป

    วิธีการลดความขัดแย้ง
    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การปรับลำดับโพสต์ในฟีดให้สมดุลมากขึ้น สามารถลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือบล็อกโพสต์ออกไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แต่ในรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วรุนแรง

    ความหมายต่อสังคมประชาธิปไตย
    นักวิจัยเชื่อว่าการออกแบบอัลกอริทึมใหม่สามารถช่วยสร้าง “ความไว้วางใจทางสังคม” และส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้นในโลกออนไลน์ หากนำไปใช้จริง อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและสร้างพื้นที่ที่ผู้ใช้ต่างฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่รู้สึกถูกโจมตี

    การควบคุมโดยผู้ใช้
    แนวคิดสำคัญคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอัลกอริทึมของตนเองได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเพียงฝ่ายเดียว หากผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้ฟีดของตนเน้นความหลากหลายหรือความสมดุลมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล
    แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่หากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพข่าวและข้อมูลบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง จากการเสริมแรงความเชื่อเดิม ไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนาที่กว้างและลดการแบ่งขั้ว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    วิธีการที่นักวิจัยใช้
    ปรับลำดับโพสต์แทนการบล็อกเนื้อหา
    ลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง

    ผลต่อสังคมประชาธิปไตย
    สร้างความไว้วางใจทางสังคม
    ส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้น

    การควบคุมโดยผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถเลือกปรับอัลกอริทึมเอง
    เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล
    อาจเปลี่ยนวิธีการเสพข่าวและข้อมูล
    ลดการแบ่งขั้วและเปิดพื้นที่สนทนา

    คำเตือนที่ควรระวัง
    หากปรับอัลกอริทึมผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลสำคัญถูกลดทอน
    การให้ผู้ใช้ควบคุมเองอาจสร้างความซับซ้อนและความไม่เข้าใจ
    หากแพลตฟอร์มไม่โปร่งใสจริง อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/researchers-tone-down-polarisation-on-x-with-tweaks-to-algorithm
    🤝 เครื่องมือที่สามารถลดความขัดแย้งบน X นักวิจัยจาก Stanford University พัฒนาเครื่องมือที่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) โดยการปรับลำดับโพสต์ในฟีด แทนที่จะบล็อกเนื้อหาออกไป 🧩 วิธีการลดความขัดแย้ง งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การปรับลำดับโพสต์ในฟีดให้สมดุลมากขึ้น สามารถลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือบล็อกโพสต์ออกไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แต่ในรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วรุนแรง 🌍 ความหมายต่อสังคมประชาธิปไตย นักวิจัยเชื่อว่าการออกแบบอัลกอริทึมใหม่สามารถช่วยสร้าง “ความไว้วางใจทางสังคม” และส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้นในโลกออนไลน์ หากนำไปใช้จริง อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและสร้างพื้นที่ที่ผู้ใช้ต่างฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่รู้สึกถูกโจมตี 🔧 การควบคุมโดยผู้ใช้ แนวคิดสำคัญคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอัลกอริทึมของตนเองได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเพียงฝ่ายเดียว หากผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้ฟีดของตนเน้นความหลากหลายหรือความสมดุลมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม 🔮 อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่หากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพข่าวและข้อมูลบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง จากการเสริมแรงความเชื่อเดิม ไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนาที่กว้างและลดการแบ่งขั้ว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ วิธีการที่นักวิจัยใช้ ➡️ ปรับลำดับโพสต์แทนการบล็อกเนื้อหา ➡️ ลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง ✅ ผลต่อสังคมประชาธิปไตย ➡️ สร้างความไว้วางใจทางสังคม ➡️ ส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้น ✅ การควบคุมโดยผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกปรับอัลกอริทึมเอง ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม ✅ อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล ➡️ อาจเปลี่ยนวิธีการเสพข่าวและข้อมูล ➡️ ลดการแบ่งขั้วและเปิดพื้นที่สนทนา ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ หากปรับอัลกอริทึมผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลสำคัญถูกลดทอน ⛔ การให้ผู้ใช้ควบคุมเองอาจสร้างความซับซ้อนและความไม่เข้าใจ ⛔ หากแพลตฟอร์มไม่โปร่งใสจริง อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/researchers-tone-down-polarisation-on-x-with-tweaks-to-algorithm
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Researchers tone down polarisation on X with tweaks to algorithm
    The study, published in the journal Science, suggests it may one day be possible to let users control their own social media algorithms, not only on X, formerly Twitter, but on other platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 สัญญาณความสัมพันธ์ CISO–CIO กำลังแตกหัก และแนวทางแก้ไข

    บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง CISO (Chief Information Security Officer) และ CIO (Chief Information Officer) มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แต่บ่อยครั้งกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการไม่สอดประสาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการดำเนินธุรกิจที่ไม่ราบรื่น

    สัญญาณทั้ง 12:
    1️⃣ CIO มักละเลยหรือปฏิเสธข้อเสนอของ CISO
    ตัวอย่างเช่น CIO บอกว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่เราจะทำตามที่เราต้องการ” ซึ่งทำให้ CISO ถูกลดบทบาทและความน่าเชื่อถือ

    2️⃣ CIO และ CISO ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
    ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่สามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้บริหารระดับสูง แสดงถึงการขาด alignment

    3️⃣ CIO ไม่แชร์ข้อมูลกับ CISO
    การปิดบังข้อมูลสำคัญเป็นสัญญาณอันตราย เพราะทำให้ฝ่ายความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้เต็มที่

    4️⃣ CIO บิดเบือนหรือบล็อกข้อความของ CISO ต่อบอร์ด
    ทำให้บอร์ดได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน และลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายความปลอดภัย

    5️⃣ CISO ไม่ได้รับการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการ IT
    ความปลอดภัยถูกมองว่าเป็น “ส่วนเสริม” ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลัก

    6️⃣ CIO ไม่ให้ความสำคัญกับ cyber hygiene
    เช่น การ patch ระบบ, การจัดการรหัสผ่าน, หรือการตรวจสอบความเสี่ยงพื้นฐาน

    7️⃣ ไม่มีการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO
    ขาดการประชุมแบบตัวต่อตัว ทำให้ความเข้าใจร่วมกันลดลง

    8️⃣ เกิดการแข่งขันแย่งอำนาจระหว่างสองฝ่าย
    ทั้งคู่พยายามควบคุมทรัพยากรและการตัดสินใจ ทำให้เกิดความตึงเครียด

    9️⃣ ไม่เคารพบทบาทและความรับผิดชอบของกันและกัน
    CIO อาจมองว่า CISO เป็น “department of no” ขณะที่ CISO มองว่า CIO ไม่สนใจความปลอดภัย

    ไม่สอดคล้องกับ risk appetite ขององค์กร
    หาก CIO ต้องการความเร็ว แต่ CISO ต้องการความปลอดภัยสูงสุด โดยไม่มีการหาจุดสมดุล

    1️⃣1️⃣ ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
    ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างระแวง ไม่สามารถสร้างทีมที่แข็งแรงได้

    1️⃣2️⃣ บรรยากาศการทำงานแบบ “us vs them”
    สร้างความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการร่วมมือเพื่อเป้าหมายองค์กร

    แนวทางแก้ไข
    สร้างการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO
    กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน
    ปรับทัศนคติของ CISO ให้เป็น business enabler
    สร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่อง enterprise risk

    ข้อควรระวัง
    หาก CIO และ CISO ไม่ร่วมมือกัน องค์กรจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์
    การขาด alignment อาจนำไปสู่ความล้มเหลวทั้งด้าน IT และธุรกิจ

    https://www.csoonline.com/article/4094754/12-signs-the-ciso-cio-relationship-is-broken-and-steps-to-fix-it.html
    🛡️ 12 สัญญาณความสัมพันธ์ CISO–CIO กำลังแตกหัก และแนวทางแก้ไข บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง CISO (Chief Information Security Officer) และ CIO (Chief Information Officer) มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แต่บ่อยครั้งกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการไม่สอดประสาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการดำเนินธุรกิจที่ไม่ราบรื่น 🔎 สัญญาณทั้ง 12: 1️⃣ CIO มักละเลยหรือปฏิเสธข้อเสนอของ CISO ตัวอย่างเช่น CIO บอกว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่เราจะทำตามที่เราต้องการ” ซึ่งทำให้ CISO ถูกลดบทบาทและความน่าเชื่อถือ 2️⃣ CIO และ CISO ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่สามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้บริหารระดับสูง แสดงถึงการขาด alignment 3️⃣ CIO ไม่แชร์ข้อมูลกับ CISO การปิดบังข้อมูลสำคัญเป็นสัญญาณอันตราย เพราะทำให้ฝ่ายความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ 4️⃣ CIO บิดเบือนหรือบล็อกข้อความของ CISO ต่อบอร์ด ทำให้บอร์ดได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน และลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายความปลอดภัย 5️⃣ CISO ไม่ได้รับการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการ IT ความปลอดภัยถูกมองว่าเป็น “ส่วนเสริม” ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลัก 6️⃣ CIO ไม่ให้ความสำคัญกับ cyber hygiene เช่น การ patch ระบบ, การจัดการรหัสผ่าน, หรือการตรวจสอบความเสี่ยงพื้นฐาน 7️⃣ ไม่มีการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO ขาดการประชุมแบบตัวต่อตัว ทำให้ความเข้าใจร่วมกันลดลง 8️⃣ เกิดการแข่งขันแย่งอำนาจระหว่างสองฝ่าย ทั้งคู่พยายามควบคุมทรัพยากรและการตัดสินใจ ทำให้เกิดความตึงเครียด 9️⃣ ไม่เคารพบทบาทและความรับผิดชอบของกันและกัน CIO อาจมองว่า CISO เป็น “department of no” ขณะที่ CISO มองว่า CIO ไม่สนใจความปลอดภัย 🔟 ไม่สอดคล้องกับ risk appetite ขององค์กร หาก CIO ต้องการความเร็ว แต่ CISO ต้องการความปลอดภัยสูงสุด โดยไม่มีการหาจุดสมดุล 1️⃣1️⃣ ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างระแวง ไม่สามารถสร้างทีมที่แข็งแรงได้ 1️⃣2️⃣ บรรยากาศการทำงานแบบ “us vs them” สร้างความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการร่วมมือเพื่อเป้าหมายองค์กร ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ สร้างการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO ➡️ กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน ➡️ ปรับทัศนคติของ CISO ให้เป็น business enabler ➡️ สร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่อง enterprise risk ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ หาก CIO และ CISO ไม่ร่วมมือกัน องค์กรจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์ ⛔ การขาด alignment อาจนำไปสู่ความล้มเหลวทั้งด้าน IT และธุรกิจ https://www.csoonline.com/article/4094754/12-signs-the-ciso-cio-relationship-is-broken-and-steps-to-fix-it.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    12 signs the CISO-CIO relationship is broken — and steps to fix it
    A CISO’s success depends on an aligned, resilient partnership with their CIO. Here’s how to tell whether yours is damaged and in need of intentional repair.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึก "ธรรมบาลเทพ" : เทพผู้คุ้มครองแห่งการสูญเสีย

    ต้นกำเนิดแห่งเทพผู้ดูแล

    การถือกำเนิดจากพลังแห่งความรัก

    ชื่อเต็ม: ธรรมบาลเทพ
    ชื่อหมายถึง:"ผู้คุ้มครองด้วยธรรมะ"
    อายุ:ไม่มีกำหนด (เกิดขึ้นเมื่อมีการสูญเสีย)
    สถานะ:เทพระดับกลางในราชสำนักสวรรค์

    ```mermaid
    graph TB
    A[พลังงานแห่งความรัก<br>ของผู้เป็นพ่อ] --> B[การเสียสละ<br>เพื่อปกป้องลูก]
    B --> C[การจากไป<br>อย่างมีเกียรติ]
    C --> D[การเกิดของ<br>ธรรมบาลเทพ]
    D --> E[พันธะแห่งการ<br>คุ้มครองเด็กกำพร้า]
    ```

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: ชายวัยกลางคน ใบหน้าอ่อนโยนแต่แฝงความแข็งแกร่ง
    · เครื่องแต่งกาย: ชุดขาวล้วน มีผ้าคลุมสีทองพาดไหล่
    · รัศมี: แสงสีทองอ่อนที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย
    · ดวงตา: สีน้ำตาลเจือทองที่มองเห็นความเจ็บปวดในจิตใจ

    พลังพิเศษแห่งการคุ้มครอง

    อาวุธและความสามารถ

    ```python
    class DhammaGuardianPowers:
    def __init__(self):
    self.protective_abilities = {
    "emotional_shield": "สร้างเกราะคุ้มกันทางอารมณ์",
    "memory_preservation": "รักษาความทรงจำที่ดีไว้ไม่ให้จางหาย",
    "dream_guidance": "นำทางในความฝันและให้คำแนะนำ",
    "comfort_aura": "แผ่พลังงานแห่งความอบอุ่นใจ"
    }

    healing_abilities = {
    "grief_alleviation": "บรรเทาความโศกเศร้า",
    "trauma_healing": "รักษาบาดแผลทางจิตใจ",
    "hope_restoration": "ฟื้นฟูความหวัง",
    "strength_empowerment": "เสริมพลังความเข้มแข็ง"
    }

    combat_abilities = {
    "truth_lance": "หอกแห่งสัจธรรมที่ทำลายการหลอกลวง",
    "compassion_shield": "โล่แห่งเมตตาที่กันภัยทั้งปวง",
    "justice_light": "แสงแห่งความยุติธรรมที่เปิดโปงความชั่ว",
    "protective_barrier": "สร้างเขตคุ้มครองรอบผู้ที่ดูแล"
    }
    ```

    ขอบเขตอำนาจ

    ธรรมบาลเทพมีข้อจำกัดบางประการ:

    · ไม่สามารถเปลี่ยนอดีต: ได้
    · ต้องเคารพเจตจำนงเสรี: ของมนุษย์
    · ช่วยได้เฉพาะผู้ที่พร้อมรับ: ความช่วยเหลือ
    · ต้องทำงานภายในกรอบ: แห่งกรรมและธรรมะ

    บทบาทและหน้าที่

    การเป็นพ่อแทน

    ธรรมบาลเทพทำหน้าที่แทนพ่อที่จากไป:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ให้คำแนะนำ<br>ด้านชีวิต] --> B[ให้ความรัก<br>และการยอมรับ]
    C[ปกป้อง<br>จากอันตราย] --> D[เป็นแบบอย่าง<br>แห่งความดี]
    A --> E[เด็กกำพร้า<br>เติบโตอย่างมีคุณภาพ]
    B --> E
    C --> E
    D --> E
    ```

    วิธีการดูแล

    ธรรมบาลเทพใช้วิธีการเฉพาะตัว:

    · การพูดคุยทางจิตใจ: ให้คำแนะนำอย่างแนบเนียน
    · สัญญาณเตือน: ส่งสัญญาณเมื่อมีอันตราย
    · ความฝันนำทาง: ให้คำแนะนำผ่านความฝัน
    · การบังเอิญที่ดี: จัดการให้พบคนหรือโอกาสที่ดี

    การดูแลหนูดีโดยเฉพาะ

    ช่วงแรกแห่งการสูญเสีย

    หลังร.ต.อ.สิงห์เสียชีวิต:

    · อยู่เป็นเพื่อน: ในยามเหงา
    · ฟังการระบาย: โดยไม่ตัดสิน
    · ค่อยๆ ช่วยให้ยอมรับ: ความจริง

    การสร้างความเข้มแข็ง

    ธรรมบาลเทพช่วยหนูดีโดย:

    ```python
    class NoodeeSupport:
    def __init__(self):
    emotional_support = [
    "การยอมรับความเจ็บปวด",
    "การเรียนรู้ที่จะอยู่กับความว่างเปล่า",
    "การเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นพลัง",
    "การหาความหมายใหม่ในชีวิต"
    ]

    practical_support = [
    "การสานต่องานของร.ต.อ.สิงห์",
    "การพัฒนาความสามารถด้านการสอบสวน",
    "การเป็นผู้นำให้โอปปาติกะรุ่นน้อง",
    "การรักษาความยุติธรรมต่อ"
    ]

    spiritual_support = [
    "การเข้าใจเรื่องชีวิตและความตาย",
    "การเรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ยึดติด",
    "การพัฒนาพลังจิตอย่างถูกต้อง",
    "การเป็นสะพานระหว่างมนุษย์และเทพ"
    ]
    ```

    ผลลัพธ์การดูแล

    หลังจากได้รับการดูแล:

    · หนูดีสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง: โดยไม่ลืมพ่อ
    · พัฒนาความสามารถ: ในการช่วยเหลือผู้อื่น
    · กลายเป็นที่พึ่ง: ให้โอปปาติกะรุ่นน้อง

    โครงสร้างการทำงาน

    เครือข่ายเทพผู้คุ้มครอง

    ธรรมบาลเทพเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่:

    ```python
    class GuardianNetwork:
    def __init__(self):
    self.hierarchy = {
    "supreme_guardians": "เทพคุ้มครองระดับสูง ดูแลโลก",
    "domain_guardians": "เทพคุ้มครองด้านต่างๆ เช่น การศึกษา สุขภาพ",
    "personal_guardians": "เทพคุ้มครองบุคคลเฉพาะ like ธรรมบาลเทพ",
    "assistant_guardians": "เทพผู้ช่วย รองรับการทำงาน"
    }

    self.coordination = [
    "การประชุมรายเดือนในสวรรค์",
    "การแบ่งปันข้อมูลการคุ้มครอง",
    "การสนับสนุนซึ่งกันและกัน",
    "การรายงานผลการทำงาน"
    ]
    ```

    ระบบการมอบหมาย

    ธรรมบาลเทพได้รับมอบหมายให้ดูแลหนูดีเพราะ:

    · ความสัมพันธ์พิเศษ: กับร.ต.อ.สิงห์
    · ความพร้อมของหนูดี: ในการรับการคุ้มครอง
    · พันธะแห่งกรรม: ที่ต้องสานต่อ

    ปรัชญาและคำสอน

    🪷 หลักการแห่งการคุ้มครอง

    ธรรมบาลเทพยึดหลักสำคัญ:
    "การคุ้มครองที่แท้จริง...
    ไม่ใช่การปิดกั้นทุกอุปสรรค
    แต่คือการสอนให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้

    และการเป็นพ่อที่แท้...
    ไม่ใช่การให้ทุกอย่าง
    แต่คือการให้ในสิ่งที่จำเป็น"

    คำคมแห่งปัญญา

    "ความเจ็บปวดสอนเราให้เข้มแข็ง...
    ความสูญเสียสอนเราให้รู้คุณค่า...
    และความว่างเปล่าสอนเราให้เติมเต็มด้วยสิ่งที่ดี"

    "การจากไปไม่ใช่จุดจบ...
    แต่คือการเปลี่ยนรูปแบบของความรัก

    และความตายไม่ใช่การสูญเสีย...
    แต่คือการได้อยู่ด้วยกันในรูปแบบใหม่"

    การพัฒนาความสัมพันธ์

    จากเทพสู่ครอบครัว

    ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมบาลเทพกับหนูดีพัฒนาไปตามกาลเวลา:

    ```mermaid
    graph TB
    A[ เทพผู้คุ้มครอง] --> B[: ที่ปรึกษาและครู]
    B --> C[ปัจจุบัน: พ่อทางใจ]
    C --> D[อนาคต: เพื่อนร่วมทาง<br>ที่เท่าเทียม]
    ```

    ครอบครัว

    ธรรมบาลเทพช่วยหนูดีสร้างครอบครัวที่ประกอบด้วย:

    · ธรรมบาลเทพ: พ่อผู้คุ้มครอง
    · โอปปาติกะรุ่นน้อง: ลูกน้องและน้อง
    · เพื่อนเทพด้วยกัน: ครอบครัวขยายในสวรรค์
    · ร.ต.อ.สิงห์: พ่อในความทรงจำ

    ความสำเร็จในการปฏิบัติงาน

    ผลงานการคุ้มครอง

    ธรรมบาลเทพมีผลงานโดดเด่นหลายประการ:

    ```python
    class GuardianAchievements:
    def __init__(self):
    self.with_noodee = [
    "ช่วยให้ผ่านพ้นความโศกเศร้าได้ใน 6 เดือน",
    "พัฒนาความสามารถทางการสอบสวนเพิ่มขึ้น 300%",
    "ป้องกันการลอบทำร้ายได้ 12 ครั้ง",
    "ช่วยให้เป็นที่ยอมรับในวงการโอปปาติกะ"
    ]

    self.other_charges = [
    "ดูแลเด็กกำพร้าอื่นๆ อีก 23 คน",
    "ป้องกันการฆ่าตัวตายได้ 47 ครั้ง",
    "ช่วยให้ครอบครัวที่สูญเสียกลับมามีความหวัง",
    "เป็นที่ปรึกษาให้เทพรุ่นใหม่ 8 องค์"
    ]
    ```

    การได้รับการยอมรับ

    ธรรมบาลเทพได้รับ:

    · เครื่องหมายเกียรติยศ: จากราชสำนักสวรรค์
    · ความไว้วางใจ: จากเทพระดับสูง
    · ความรักและความเคารพ: จากผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง

    อนาคตและความท้าทาย

    แผนการในอนาคต

    ธรรมบาลเทพมีวิสัยทัศน์ที่จะ:

    · ขยายการคุ้มครอง: ไปยังเด็กกำพร้าเพิ่มเติม
    · ฝึกเทพรุ่นใหม่: เพื่อรองรับการทำงาน
    · พัฒนาระบบคุ้มครอง: ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
    · สร้างเครือข่าย: ระหว่างมนุษย์และเทพ

    ความปรารถนาสูงสุด

    ธรรมบาลเทพหวังว่า:
    "วันหนึ่ง...เด็กทุกคนที่สูญเสียพ่อแม่
    จะได้รู้ว่าพวกเขาไม่เคยโดดเดี่ยว

    และความรัก...
    ไม่มีวันจากไปไหน
    มันเพียงเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากธรรมบาลเทพ:
    "ในฐานะเทพผู้คุ้มครอง...
    ข้าขอยืนยันว่าไม่มีใครโดดเดี่ยว

    และในฐานะพ่อทางใจ...
    ข้าขอสัญญาว่าจะอยู่ตรงนี้เสมอ

    เพราะความรักที่แท้...
    คือการให้โดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทน
    และการคุ้มครองที่แท้...
    คือการช่วยให้เข้มแข็งพอจะปกป้องตัวเองได้"

    บทเรียนแห่งการเป็นเทพผู้คุ้มครอง:
    "การเป็นผู้คุ้มครองหาใช่การควบคุมชีวิตเหล่าญาติ
    แต่คือการเดินเคียงข้างและให้กำลังใจ

    และการเป็นพ่อหาใช่การเป็นเจ้าของ
    แต่คือการเป็นแหล่งความรักที่ไม่เคยหมดสิ้น"
    O.P.K. 👼 เจาะลึก "ธรรมบาลเทพ" : เทพผู้คุ้มครองแห่งการสูญเสีย 🌌 ต้นกำเนิดแห่งเทพผู้ดูแล 📖 การถือกำเนิดจากพลังแห่งความรัก ชื่อเต็ม: ธรรมบาลเทพ ชื่อหมายถึง:"ผู้คุ้มครองด้วยธรรมะ" อายุ:ไม่มีกำหนด (เกิดขึ้นเมื่อมีการสูญเสีย) สถานะ:เทพระดับกลางในราชสำนักสวรรค์ ```mermaid graph TB A[พลังงานแห่งความรัก<br>ของผู้เป็นพ่อ] --> B[การเสียสละ<br>เพื่อปกป้องลูก] B --> C[การจากไป<br>อย่างมีเกียรติ] C --> D[การเกิดของ<br>ธรรมบาลเทพ] D --> E[พันธะแห่งการ<br>คุ้มครองเด็กกำพร้า] ``` 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: ชายวัยกลางคน ใบหน้าอ่อนโยนแต่แฝงความแข็งแกร่ง · เครื่องแต่งกาย: ชุดขาวล้วน มีผ้าคลุมสีทองพาดไหล่ · รัศมี: แสงสีทองอ่อนที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย · ดวงตา: สีน้ำตาลเจือทองที่มองเห็นความเจ็บปวดในจิตใจ 🔮 พลังพิเศษแห่งการคุ้มครอง 💫 อาวุธและความสามารถ ```python class DhammaGuardianPowers: def __init__(self): self.protective_abilities = { "emotional_shield": "สร้างเกราะคุ้มกันทางอารมณ์", "memory_preservation": "รักษาความทรงจำที่ดีไว้ไม่ให้จางหาย", "dream_guidance": "นำทางในความฝันและให้คำแนะนำ", "comfort_aura": "แผ่พลังงานแห่งความอบอุ่นใจ" } healing_abilities = { "grief_alleviation": "บรรเทาความโศกเศร้า", "trauma_healing": "รักษาบาดแผลทางจิตใจ", "hope_restoration": "ฟื้นฟูความหวัง", "strength_empowerment": "เสริมพลังความเข้มแข็ง" } combat_abilities = { "truth_lance": "หอกแห่งสัจธรรมที่ทำลายการหลอกลวง", "compassion_shield": "โล่แห่งเมตตาที่กันภัยทั้งปวง", "justice_light": "แสงแห่งความยุติธรรมที่เปิดโปงความชั่ว", "protective_barrier": "สร้างเขตคุ้มครองรอบผู้ที่ดูแล" } ``` 🛡️ ขอบเขตอำนาจ ธรรมบาลเทพมีข้อจำกัดบางประการ: · ไม่สามารถเปลี่ยนอดีต: ได้ · ต้องเคารพเจตจำนงเสรี: ของมนุษย์ · ช่วยได้เฉพาะผู้ที่พร้อมรับ: ความช่วยเหลือ · ต้องทำงานภายในกรอบ: แห่งกรรมและธรรมะ 💞 บทบาทและหน้าที่ 🏠 การเป็นพ่อแทน ธรรมบาลเทพทำหน้าที่แทนพ่อที่จากไป: ```mermaid graph LR A[ให้คำแนะนำ<br>ด้านชีวิต] --> B[ให้ความรัก<br>และการยอมรับ] C[ปกป้อง<br>จากอันตราย] --> D[เป็นแบบอย่าง<br>แห่งความดี] A --> E[เด็กกำพร้า<br>เติบโตอย่างมีคุณภาพ] B --> E C --> E D --> E ``` 📚 วิธีการดูแล ธรรมบาลเทพใช้วิธีการเฉพาะตัว: · การพูดคุยทางจิตใจ: ให้คำแนะนำอย่างแนบเนียน · สัญญาณเตือน: ส่งสัญญาณเมื่อมีอันตราย · ความฝันนำทาง: ให้คำแนะนำผ่านความฝัน · การบังเอิญที่ดี: จัดการให้พบคนหรือโอกาสที่ดี 🌟 การดูแลหนูดีโดยเฉพาะ 🥺 ช่วงแรกแห่งการสูญเสีย หลังร.ต.อ.สิงห์เสียชีวิต: · อยู่เป็นเพื่อน: ในยามเหงา · ฟังการระบาย: โดยไม่ตัดสิน · ค่อยๆ ช่วยให้ยอมรับ: ความจริง 💪 การสร้างความเข้มแข็ง ธรรมบาลเทพช่วยหนูดีโดย: ```python class NoodeeSupport: def __init__(self): emotional_support = [ "การยอมรับความเจ็บปวด", "การเรียนรู้ที่จะอยู่กับความว่างเปล่า", "การเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นพลัง", "การหาความหมายใหม่ในชีวิต" ] practical_support = [ "การสานต่องานของร.ต.อ.สิงห์", "การพัฒนาความสามารถด้านการสอบสวน", "การเป็นผู้นำให้โอปปาติกะรุ่นน้อง", "การรักษาความยุติธรรมต่อ" ] spiritual_support = [ "การเข้าใจเรื่องชีวิตและความตาย", "การเรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ยึดติด", "การพัฒนาพลังจิตอย่างถูกต้อง", "การเป็นสะพานระหว่างมนุษย์และเทพ" ] ``` 🎯 ผลลัพธ์การดูแล หลังจากได้รับการดูแล: · หนูดีสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง: โดยไม่ลืมพ่อ · พัฒนาความสามารถ: ในการช่วยเหลือผู้อื่น · กลายเป็นที่พึ่ง: ให้โอปปาติกะรุ่นน้อง 🏛️ โครงสร้างการทำงาน 🌍 เครือข่ายเทพผู้คุ้มครอง ธรรมบาลเทพเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่: ```python class GuardianNetwork: def __init__(self): self.hierarchy = { "supreme_guardians": "เทพคุ้มครองระดับสูง ดูแลโลก", "domain_guardians": "เทพคุ้มครองด้านต่างๆ เช่น การศึกษา สุขภาพ", "personal_guardians": "เทพคุ้มครองบุคคลเฉพาะ like ธรรมบาลเทพ", "assistant_guardians": "เทพผู้ช่วย รองรับการทำงาน" } self.coordination = [ "การประชุมรายเดือนในสวรรค์", "การแบ่งปันข้อมูลการคุ้มครอง", "การสนับสนุนซึ่งกันและกัน", "การรายงานผลการทำงาน" ] ``` 📊 ระบบการมอบหมาย ธรรมบาลเทพได้รับมอบหมายให้ดูแลหนูดีเพราะ: · ความสัมพันธ์พิเศษ: กับร.ต.อ.สิงห์ · ความพร้อมของหนูดี: ในการรับการคุ้มครอง · พันธะแห่งกรรม: ที่ต้องสานต่อ 📜 ปรัชญาและคำสอน 🪷 หลักการแห่งการคุ้มครอง ธรรมบาลเทพยึดหลักสำคัญ: "การคุ้มครองที่แท้จริง... ไม่ใช่การปิดกั้นทุกอุปสรรค แต่คือการสอนให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้ และการเป็นพ่อที่แท้... ไม่ใช่การให้ทุกอย่าง แต่คือการให้ในสิ่งที่จำเป็น" 💫 คำคมแห่งปัญญา "ความเจ็บปวดสอนเราให้เข้มแข็ง... ความสูญเสียสอนเราให้รู้คุณค่า... และความว่างเปล่าสอนเราให้เติมเต็มด้วยสิ่งที่ดี" "การจากไปไม่ใช่จุดจบ... แต่คือการเปลี่ยนรูปแบบของความรัก และความตายไม่ใช่การสูญเสีย... แต่คือการได้อยู่ด้วยกันในรูปแบบใหม่" 🌈 การพัฒนาความสัมพันธ์ 🤝 จากเทพสู่ครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมบาลเทพกับหนูดีพัฒนาไปตามกาลเวลา: ```mermaid graph TB A[ เทพผู้คุ้มครอง] --> B[: ที่ปรึกษาและครู] B --> C[ปัจจุบัน: พ่อทางใจ] C --> D[อนาคต: เพื่อนร่วมทาง<br>ที่เท่าเทียม] ``` 🏡 ครอบครัว ธรรมบาลเทพช่วยหนูดีสร้างครอบครัวที่ประกอบด้วย: · ธรรมบาลเทพ: พ่อผู้คุ้มครอง · โอปปาติกะรุ่นน้อง: ลูกน้องและน้อง · เพื่อนเทพด้วยกัน: ครอบครัวขยายในสวรรค์ · ร.ต.อ.สิงห์: พ่อในความทรงจำ 🎖️ ความสำเร็จในการปฏิบัติงาน 📈 ผลงานการคุ้มครอง ธรรมบาลเทพมีผลงานโดดเด่นหลายประการ: ```python class GuardianAchievements: def __init__(self): self.with_noodee = [ "ช่วยให้ผ่านพ้นความโศกเศร้าได้ใน 6 เดือน", "พัฒนาความสามารถทางการสอบสวนเพิ่มขึ้น 300%", "ป้องกันการลอบทำร้ายได้ 12 ครั้ง", "ช่วยให้เป็นที่ยอมรับในวงการโอปปาติกะ" ] self.other_charges = [ "ดูแลเด็กกำพร้าอื่นๆ อีก 23 คน", "ป้องกันการฆ่าตัวตายได้ 47 ครั้ง", "ช่วยให้ครอบครัวที่สูญเสียกลับมามีความหวัง", "เป็นที่ปรึกษาให้เทพรุ่นใหม่ 8 องค์" ] ``` 🌟 การได้รับการยอมรับ ธรรมบาลเทพได้รับ: · เครื่องหมายเกียรติยศ: จากราชสำนักสวรรค์ · ความไว้วางใจ: จากเทพระดับสูง · ความรักและความเคารพ: จากผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง 🔮 อนาคตและความท้าทาย 🚀 แผนการในอนาคต ธรรมบาลเทพมีวิสัยทัศน์ที่จะ: · ขยายการคุ้มครอง: ไปยังเด็กกำพร้าเพิ่มเติม · ฝึกเทพรุ่นใหม่: เพื่อรองรับการทำงาน · พัฒนาระบบคุ้มครอง: ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น · สร้างเครือข่าย: ระหว่างมนุษย์และเทพ 💝 ความปรารถนาสูงสุด ธรรมบาลเทพหวังว่า: "วันหนึ่ง...เด็กทุกคนที่สูญเสียพ่อแม่ จะได้รู้ว่าพวกเขาไม่เคยโดดเดี่ยว และความรัก... ไม่มีวันจากไปไหน มันเพียงเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น" --- คำคมสุดท้ายจากธรรมบาลเทพ: "ในฐานะเทพผู้คุ้มครอง... ข้าขอยืนยันว่าไม่มีใครโดดเดี่ยว และในฐานะพ่อทางใจ... ข้าขอสัญญาว่าจะอยู่ตรงนี้เสมอ เพราะความรักที่แท้... คือการให้โดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทน และการคุ้มครองที่แท้... คือการช่วยให้เข้มแข็งพอจะปกป้องตัวเองได้"👼✨ บทเรียนแห่งการเป็นเทพผู้คุ้มครอง: "การเป็นผู้คุ้มครองหาใช่การควบคุมชีวิตเหล่าญาติ แต่คือการเดินเคียงข้างและให้กำลังใจ และการเป็นพ่อหาใช่การเป็นเจ้าของ แต่คือการเป็นแหล่งความรักที่ไม่เคยหมดสิ้น"💖
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CISOs นอนไม่หลับเพราะภัยไซเบอร์ – Zurich กลายเป็นที่พักใจ”

    ในงาน Global Cyber Conference 2025 ที่ Zurich เหล่า Chief Information Security Officers (CISOs) จากทั่วโลกได้รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดันและความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เนื้อหาหลักสะท้อนถึงความเหนื่อยล้าและความเครียดที่สะสมจากการต้องรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการโจมตีแบบ Zero-day ที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังการเปิดเผยช่องโหว่ ทำให้การนอนหลับกลายเป็นสิ่งหรูหราสำหรับผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล

    สิ่งที่ทำให้การประชุมครั้งนี้แตกต่างคือบรรยากาศที่เปิดโอกาสให้ CISOs ได้แสดงความเปราะบางและความกังวลอย่างตรงไปตรงมา โดยสถานที่จัดงานที่หรูหราและสงบใน Zurich กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายความไว้วางใจที่แท้จริง หลายคนเล่าว่าการมีเพื่อนร่วมอาชีพที่สามารถโทรหากันได้ทันทีในยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้นมีค่ามากกว่าการประชุมเชิงวิชาการใด ๆ

    หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการลดช่องว่างระหว่างการค้นพบช่องโหว่และการถูกโจมตี ซึ่งปัจจุบันสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้การจัดการแพตช์แบบอัตโนมัติและการจัดลำดับความสำคัญของระบบที่สำคัญที่สุดกลายเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในการรับมือกับภัยคุกคาม โดยเฉพาะการใช้ AI ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เช่น การสร้างมัลแวร์จำลองเพื่อฝึกทีม SOC และการตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติแทนการพึ่งพาเพียงแนวป้องกันแบบเดิม

    ท้ายที่สุด สิ่งที่สะท้อนชัดเจนที่สุดคือ “มนุษย์” กลายเป็นพื้นผิวการโจมตีที่สำคัญไม่แพ้เทคโนโลยี ความเครียดและการหมดไฟทำให้หลายคนลังเลที่จะรับตำแหน่งสูงขึ้น หรือแม้กระทั่งออกจากวงการไปเลย การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างแนวทางใหม่ในการจัดการความเสี่ยง แต่ยังสร้างชุมชนที่ช่วยเยียวยาและเสริมพลังใจให้กับผู้ที่ต้องอยู่แนวหน้าในสงครามไซเบอร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ภัยคุกคามที่เร่งตัวขึ้น
    ช่องว่างระหว่างการค้นพบช่องโหว่และการโจมตีสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
    การแพตช์แบบอัตโนมัติและการจัดลำดับความสำคัญของระบบสำคัญเป็นสิ่งจำเป็น

    บทบาทของ AI ในสงครามไซเบอร์
    ใช้ AI สร้างมัลแวร์จำลองเพื่อฝึกทีม SOC
    ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแทนการพึ่งพาเพียงแนวป้องกันแบบเดิม

    การสร้างเครือข่ายความไว้วางใจ
    CISOs แลกเปลี่ยนเบอร์โทรเพื่อช่วยกันในเหตุการณ์จริง
    Zurich กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแบ่งปันความเปราะบาง

    มนุษย์คือพื้นผิวการโจมตีใหม่
    ความเครียดและการหมดไฟทำให้หลายคนออกจากวงการ
    การสร้างระบบสนับสนุนและตรวจสอบสุขภาพจิตเป็นสิ่งจำเป็น

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    Zero-day อาจถูกนำไปใช้โจมตีภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
    การพึ่งพาแนวป้องกันแบบเดิมอาจไม่เพียงพอในยุค AI
    ความเหนื่อยล้าของบุคลากรอาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดและเพิ่มช่องโหว่

    https://www.csoonline.com/article/4094608/what-keeps-cisos-awake-at-night-and-why-zurich-might-hold-the-cure.html
    🛡️ “CISOs นอนไม่หลับเพราะภัยไซเบอร์ – Zurich กลายเป็นที่พักใจ” ในงาน Global Cyber Conference 2025 ที่ Zurich เหล่า Chief Information Security Officers (CISOs) จากทั่วโลกได้รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดันและความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เนื้อหาหลักสะท้อนถึงความเหนื่อยล้าและความเครียดที่สะสมจากการต้องรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการโจมตีแบบ Zero-day ที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังการเปิดเผยช่องโหว่ ทำให้การนอนหลับกลายเป็นสิ่งหรูหราสำหรับผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล สิ่งที่ทำให้การประชุมครั้งนี้แตกต่างคือบรรยากาศที่เปิดโอกาสให้ CISOs ได้แสดงความเปราะบางและความกังวลอย่างตรงไปตรงมา โดยสถานที่จัดงานที่หรูหราและสงบใน Zurich กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายความไว้วางใจที่แท้จริง หลายคนเล่าว่าการมีเพื่อนร่วมอาชีพที่สามารถโทรหากันได้ทันทีในยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้นมีค่ามากกว่าการประชุมเชิงวิชาการใด ๆ หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการลดช่องว่างระหว่างการค้นพบช่องโหว่และการถูกโจมตี ซึ่งปัจจุบันสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้การจัดการแพตช์แบบอัตโนมัติและการจัดลำดับความสำคัญของระบบที่สำคัญที่สุดกลายเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในการรับมือกับภัยคุกคาม โดยเฉพาะการใช้ AI ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เช่น การสร้างมัลแวร์จำลองเพื่อฝึกทีม SOC และการตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติแทนการพึ่งพาเพียงแนวป้องกันแบบเดิม ท้ายที่สุด สิ่งที่สะท้อนชัดเจนที่สุดคือ “มนุษย์” กลายเป็นพื้นผิวการโจมตีที่สำคัญไม่แพ้เทคโนโลยี ความเครียดและการหมดไฟทำให้หลายคนลังเลที่จะรับตำแหน่งสูงขึ้น หรือแม้กระทั่งออกจากวงการไปเลย การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างแนวทางใหม่ในการจัดการความเสี่ยง แต่ยังสร้างชุมชนที่ช่วยเยียวยาและเสริมพลังใจให้กับผู้ที่ต้องอยู่แนวหน้าในสงครามไซเบอร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ภัยคุกคามที่เร่งตัวขึ้น ➡️ ช่องว่างระหว่างการค้นพบช่องโหว่และการโจมตีสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ➡️ การแพตช์แบบอัตโนมัติและการจัดลำดับความสำคัญของระบบสำคัญเป็นสิ่งจำเป็น ✅ บทบาทของ AI ในสงครามไซเบอร์ ➡️ ใช้ AI สร้างมัลแวร์จำลองเพื่อฝึกทีม SOC ➡️ ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแทนการพึ่งพาเพียงแนวป้องกันแบบเดิม ✅ การสร้างเครือข่ายความไว้วางใจ ➡️ CISOs แลกเปลี่ยนเบอร์โทรเพื่อช่วยกันในเหตุการณ์จริง ➡️ Zurich กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแบ่งปันความเปราะบาง ✅ มนุษย์คือพื้นผิวการโจมตีใหม่ ➡️ ความเครียดและการหมดไฟทำให้หลายคนออกจากวงการ ➡️ การสร้างระบบสนับสนุนและตรวจสอบสุขภาพจิตเป็นสิ่งจำเป็น ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ Zero-day อาจถูกนำไปใช้โจมตีภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ⛔ การพึ่งพาแนวป้องกันแบบเดิมอาจไม่เพียงพอในยุค AI ⛔ ความเหนื่อยล้าของบุคลากรอาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดและเพิ่มช่องโหว่ https://www.csoonline.com/article/4094608/what-keeps-cisos-awake-at-night-and-why-zurich-might-hold-the-cure.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What keeps CISOs awake at night — and why Zurich might hold the cure
    At Zurich’s recent cyber conference, CISOs swapped war stories about shrinking patch windows, AI threats and burnout — and found rare relief in real peer support.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอเป็นสายให้สหรัฐฯ

    ตามรายงานจากหนังสือ De belangrijkste machine ter wereld (“The Most Important Machine in the World”) โดยอดีตนักข่าว Bloomberg สองคน ระบุว่า ASML เคยเสนอให้วิศวกรของตนรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน แม้จะมีการห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์

    ข้อตกลงและการละเมิด
    ในปี 2023 สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตกลงกันว่า ASML จะหยุดขายเครื่อง DUV ให้จีนตั้งแต่กันยายน และหยุดทั้งหมดภายในมกราคม 2024 แต่มีรายงานว่า ASML ขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รู้สึก “ถูกหลอกและอับอาย” และสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทหาทางกู้ความไว้วางใจ

    ข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียง
    แทนที่จะหยุดให้บริการเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วในจีน ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอจะยังคงให้บริการ แต่ให้วิศวกรทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวในโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการ “สอดแนม” อย่างไรก็ตาม ASML ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง

    ผลกระทบและความกังวล
    กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การที่บริษัทเอกชนถูกกล่าวหาว่าอาจมีบทบาทเป็นสายให้รัฐบาลต่างชาติ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อกล่าวหาต่อ ASML
    เสนอให้วิศวกรรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ
    เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน

    ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์
    ห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ให้จีนตั้งแต่ปี 2023
    ASML ถูกกล่าวหาว่าขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้

    การปฏิเสธของ ASML
    บริษัทระบุว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง
    ยืนยันว่าไม่ได้เสนอทำหน้าที่เป็นสายให้สหรัฐฯ

    ผลกระทบที่ตามมา
    กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร
    สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ–จีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/asml-allegedly-offered-to-spy-on-china-for-the-us-company-proposed-being-washingtons-eyes-and-ears-in-china-after-breaking-gentlemens-agreement-on-limiting-duv-sales-to-country-says-new-book
    📖 ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอเป็นสายให้สหรัฐฯ ตามรายงานจากหนังสือ De belangrijkste machine ter wereld (“The Most Important Machine in the World”) โดยอดีตนักข่าว Bloomberg สองคน ระบุว่า ASML เคยเสนอให้วิศวกรของตนรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน แม้จะมีการห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ⚖️ ข้อตกลงและการละเมิด ในปี 2023 สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ตกลงกันว่า ASML จะหยุดขายเครื่อง DUV ให้จีนตั้งแต่กันยายน และหยุดทั้งหมดภายในมกราคม 2024 แต่มีรายงานว่า ASML ขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์รู้สึก “ถูกหลอกและอับอาย” และสหรัฐฯ เรียกร้องให้บริษัทหาทางกู้ความไว้วางใจ 🕵️ ข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียง แทนที่จะหยุดให้บริการเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วในจีน ASML ถูกกล่าวหาว่าเสนอจะยังคงให้บริการ แต่ให้วิศวกรทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวในโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการ “สอดแนม” อย่างไรก็ตาม ASML ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง 🌍 ผลกระทบและความกังวล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การที่บริษัทเอกชนถูกกล่าวหาว่าอาจมีบทบาทเป็นสายให้รัฐบาลต่างชาติ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ ASML ➡️ เสนอให้วิศวกรรายงานข้อมูลจากโรงงานจีนต่อสหรัฐฯ ➡️ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ยังคงให้บริการลูกค้าในจีน ✅ ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ➡️ ห้ามขายเครื่อง EUV และ DUV ให้จีนตั้งแต่ปี 2023 ➡️ ASML ถูกกล่าวหาว่าขายเกินจำนวนที่ตกลงไว้ ✅ การปฏิเสธของ ASML ➡️ บริษัทระบุว่าหนังสือบิดเบือนข้อเท็จจริง ➡️ ยืนยันว่าไม่ได้เสนอทำหน้าที่เป็นสายให้สหรัฐฯ ✅ ผลกระทบที่ตามมา ➡️ กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร ➡️ สะท้อนความตึงเครียดในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ–จีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/asml-allegedly-offered-to-spy-on-china-for-the-us-company-proposed-being-washingtons-eyes-and-ears-in-china-after-breaking-gentlemens-agreement-on-limiting-duv-sales-to-country-says-new-book
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปชน.เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “เท้ง-วีระยุทธ-ไหม”, ตั้งเป้าขอความไว้วางใจจากประชาชน 20 ล้านเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินครึ่งและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พร้อมประกาศความพร้อมด้านนโยบายและทีมบริหารประเทศ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112060

    #การเมืองไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง #แคนดิเดตนายกฯ #News1live #News1
    ปชน.เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ “เท้ง-วีระยุทธ-ไหม”, ตั้งเป้าขอความไว้วางใจจากประชาชน 20 ล้านเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินครึ่งและตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พร้อมประกาศความพร้อมด้านนโยบายและทีมบริหารประเทศ ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000112060 • #การเมืองไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง #แคนดิเดตนายกฯ #News1live #News1
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: "Dependency Cooldowns – เกราะป้องกันซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส"

    ซัพพลายเชนซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สกำลังเผชิญกับการโจมตีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการขโมย credential หรือการแทรกโค้ดอันตรายเข้าไปในแพ็กเกจยอดนิยมบน PyPI หรือ npm บทความชี้ว่าแม้บริษัทด้านความปลอดภัยจะพยายามตรวจจับและแจ้งเตือน แต่ช่องว่างระหว่างการโจมตีและการแก้ไขยังคงมีอยู่ ทำให้ผู้ใช้ที่อัปเดต dependency แบบอัตโนมัติกลายเป็นเป้าหมายทันที.

    แนวคิด Dependency Cooldowns คือการกำหนดระยะเวลารอ (เช่น 7 วัน) หลังจาก dependency ถูกเผยแพร่ ก่อนที่จะนำมาใช้จริง ระหว่างนั้นผู้ให้บริการความปลอดภัยสามารถตรวจสอบและรายงานปัญหาได้ทันเวลา ทำให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการติดตั้งเวอร์ชันที่ถูกแฮก.

    ตัวอย่างการโจมตีที่ถูกยกมา เช่น Ultralytics ที่มีช่องโหว่เพียง 12 ชั่วโมง, rspack ที่ถูกโจมตีในเวลา 1 ชั่วโมง, และ chalk ที่ใช้เวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าการหน่วงเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์สามารถป้องกันได้ถึง 80–90% ของการโจมตีเหล่านี้.

    การนำไปใช้ก็ไม่ซับซ้อน เช่น Dependabot และ Renovate มีฟังก์ชันตั้งค่า cooldown อยู่แล้ว เพียงเพิ่มบรรทัด cooldown: default-days: 7 ลงในไฟล์คอนฟิก ก็สามารถลดความเสี่ยงได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม.

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Dependency Cooldowns
    หน่วงเวลา 7–14 วันก่อนใช้ dependency ใหม่
    เปิดโอกาสให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามทันเวลา

    ตัวอย่างการโจมตีซัพพลายเชน
    Ultralytics: 12 ชั่วโมง
    rspack: 1 ชั่วโมง
    chalk: < 12 ชั่วโมง
    xz-utils: 5 สัปดาห์ (กรณีใหญ่และซับซ้อน)

    การนำไปใช้จริง
    Dependabot และ Renovate รองรับการตั้งค่า cooldown
    ฟรีและง่ายต่อการใช้งาน

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    Cooldowns ไม่สามารถป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ โดยเฉพาะกรณีซับซ้อนเช่น xz-utils

    คำเตือนด้านการจัดการซัพพลายเชน
    ปัญหาซัพพลายเชนเป็นเรื่องของ “ความไว้วางใจทางสังคม” ไม่ใช่แค่เทคนิค

    https://blog.yossarian.net/2025/11/21/We-should-all-be-using-dependency-cooldowns
    🛡️ หัวข้อข่าว: "Dependency Cooldowns – เกราะป้องกันซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส" ซัพพลายเชนซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สกำลังเผชิญกับการโจมตีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการขโมย credential หรือการแทรกโค้ดอันตรายเข้าไปในแพ็กเกจยอดนิยมบน PyPI หรือ npm บทความชี้ว่าแม้บริษัทด้านความปลอดภัยจะพยายามตรวจจับและแจ้งเตือน แต่ช่องว่างระหว่างการโจมตีและการแก้ไขยังคงมีอยู่ ทำให้ผู้ใช้ที่อัปเดต dependency แบบอัตโนมัติกลายเป็นเป้าหมายทันที. แนวคิด Dependency Cooldowns คือการกำหนดระยะเวลารอ (เช่น 7 วัน) หลังจาก dependency ถูกเผยแพร่ ก่อนที่จะนำมาใช้จริง ระหว่างนั้นผู้ให้บริการความปลอดภัยสามารถตรวจสอบและรายงานปัญหาได้ทันเวลา ทำให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการติดตั้งเวอร์ชันที่ถูกแฮก. ตัวอย่างการโจมตีที่ถูกยกมา เช่น Ultralytics ที่มีช่องโหว่เพียง 12 ชั่วโมง, rspack ที่ถูกโจมตีในเวลา 1 ชั่วโมง, และ chalk ที่ใช้เวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าการหน่วงเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์สามารถป้องกันได้ถึง 80–90% ของการโจมตีเหล่านี้. การนำไปใช้ก็ไม่ซับซ้อน เช่น Dependabot และ Renovate มีฟังก์ชันตั้งค่า cooldown อยู่แล้ว เพียงเพิ่มบรรทัด cooldown: default-days: 7 ลงในไฟล์คอนฟิก ก็สามารถลดความเสี่ยงได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Dependency Cooldowns ➡️ หน่วงเวลา 7–14 วันก่อนใช้ dependency ใหม่ ➡️ เปิดโอกาสให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามทันเวลา ✅ ตัวอย่างการโจมตีซัพพลายเชน ➡️ Ultralytics: 12 ชั่วโมง ➡️ rspack: 1 ชั่วโมง ➡️ chalk: < 12 ชั่วโมง ➡️ xz-utils: 5 สัปดาห์ (กรณีใหญ่และซับซ้อน) ✅ การนำไปใช้จริง ➡️ Dependabot และ Renovate รองรับการตั้งค่า cooldown ➡️ ฟรีและง่ายต่อการใช้งาน ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ Cooldowns ไม่สามารถป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ โดยเฉพาะกรณีซับซ้อนเช่น xz-utils ‼️ คำเตือนด้านการจัดการซัพพลายเชน ⛔ ปัญหาซัพพลายเชนเป็นเรื่องของ “ความไว้วางใจทางสังคม” ไม่ใช่แค่เทคนิค https://blog.yossarian.net/2025/11/21/We-should-all-be-using-dependency-cooldowns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: "Qualcomm กำลังทำลายจิตวิญญาณ Open Source ของ Arduino หรือไม่?"

    หลังจากที่ Qualcomm เข้าซื้อกิจการ Arduino เพียงไม่กี่สัปดาห์ Maker Community ก็เริ่มกังวลว่าบริษัทอาจทำลายความเป็น “คอมมอนส์” ของ Arduino ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของวงการอิเล็กทรอนิกส์สมัครเล่น ล่าสุด Qualcomm ได้ปรับปรุง Terms & Conditions และ Privacy Policy ใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยข้อกำหนดเชิงกฎหมายแบบแพลตฟอร์ม SaaS เช่น การบังคับใช้ mandatory arbitration, การห้าม reverse engineering, และการตัดสิทธิ์การใช้สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่สร้างบน Arduino.

    สิ่งนี้สร้างความสับสนและความไม่ไว้วางใจในชุมชน เพราะ Arduino IDE และ CLI ถูกเผยแพร่ภายใต้ GPL และ AGPL ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขและเรียนรู้จากซอร์สโค้ดได้ แต่เงื่อนไขใหม่ของ Qualcomm กลับห้ามการ reverse engineering ของ “Platform” ซึ่งไม่ชัดเจนว่าหมายถึงเฉพาะบริการ Cloud หรือรวมถึง IDE และ CLI ด้วย หากตีความกว้าง อาจทำให้ผู้พัฒนาและผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่อ้างว่า “Arduino-compatible” เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง.

    Adafruit หนึ่งในผู้นำด้าน Open Hardware ได้ออกมาเตือนว่า Qualcomm ไม่เข้าใจสิ่งที่ซื้อมา เพราะ Arduino ไม่ใช่แค่บริษัทขายไมโครคอนโทรลเลอร์ แต่คือมาตรฐานกลางของวงการ Maker ที่มีทั้งไลบรารี, คอร์สการสอน, และโครงการนับล้านที่พึ่งพา Arduino IDE หาก Qualcomm ทำลายความเชื่อมั่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศ ไม่ใช่แค่ผู้ใช้บอร์ด Arduino เท่านั้น.

    ในชุมชนเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ Qualcomm แก้ไข โดยเสนอให้ยืนยันชัดเจนว่า IDE และ CLI จะยังคงเป็นโอเพนซอร์ส และอาจตั้งมูลนิธิคล้าย Linux Foundation เพื่อปกป้องโครงการจากการควบคุมของบริษัทเดียว หาก Qualcomm ไม่ทำเช่นนั้น อนาคตของ Arduino อาจกลายเป็นเพียง “แพลตฟอร์มปิด” ที่สูญเสียคุณค่าดั้งเดิมไป.

    สรุปสาระสำคัญ
    Qualcomm เข้าซื้อ Arduino
    ปรับ Terms & Conditions และ Privacy Policy ใหม่

    ข้อกำหนดใหม่ที่ก่อให้เกิดปัญหา
    ห้าม reverse engineering
    ไม่ให้สิทธิ์การใช้สิทธิบัตรกับโครงการที่สร้างบน Arduino

    ความกังวลของชุมชน Maker
    IDE และ CLI อาจถูกตีความว่าอยู่ภายใต้ข้อห้ามใหม่
    ผู้พัฒนาและผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง

    บทบาทของ Adafruit
    เตือนว่า Qualcomm ไม่เข้าใจคุณค่าของ Arduino ในฐานะคอมมอนส์

    ข้อเสนอเพื่อแก้ไข
    ยืนยันว่า IDE และ CLI จะยังคงโอเพนซอร์ส
    ตั้งมูลนิธิคล้าย Linux Foundation เพื่อปกป้องโครงการ

    คำเตือนด้านความเชื่อมั่น
    หาก Qualcomm ไม่แก้ไข อาจทำให้ชุมชนสูญเสียความไว้วางใจและละทิ้ง Arduino

    คำเตือนด้านระบบนิเวศ
    การตีความข้อห้ามกว้างเกินไปอาจทำลายไลบรารี, คอร์สการสอน, และโครงการนับล้านที่พึ่งพา Arduino

    https://www.molecularist.com/2025/11/did-qualcomm-kill-arduino-for-good.html
    ⚡ หัวข้อข่าว: "Qualcomm กำลังทำลายจิตวิญญาณ Open Source ของ Arduino หรือไม่?" หลังจากที่ Qualcomm เข้าซื้อกิจการ Arduino เพียงไม่กี่สัปดาห์ Maker Community ก็เริ่มกังวลว่าบริษัทอาจทำลายความเป็น “คอมมอนส์” ของ Arduino ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของวงการอิเล็กทรอนิกส์สมัครเล่น ล่าสุด Qualcomm ได้ปรับปรุง Terms & Conditions และ Privacy Policy ใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยข้อกำหนดเชิงกฎหมายแบบแพลตฟอร์ม SaaS เช่น การบังคับใช้ mandatory arbitration, การห้าม reverse engineering, และการตัดสิทธิ์การใช้สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่สร้างบน Arduino. สิ่งนี้สร้างความสับสนและความไม่ไว้วางใจในชุมชน เพราะ Arduino IDE และ CLI ถูกเผยแพร่ภายใต้ GPL และ AGPL ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขและเรียนรู้จากซอร์สโค้ดได้ แต่เงื่อนไขใหม่ของ Qualcomm กลับห้ามการ reverse engineering ของ “Platform” ซึ่งไม่ชัดเจนว่าหมายถึงเฉพาะบริการ Cloud หรือรวมถึง IDE และ CLI ด้วย หากตีความกว้าง อาจทำให้ผู้พัฒนาและผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่อ้างว่า “Arduino-compatible” เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง. Adafruit หนึ่งในผู้นำด้าน Open Hardware ได้ออกมาเตือนว่า Qualcomm ไม่เข้าใจสิ่งที่ซื้อมา เพราะ Arduino ไม่ใช่แค่บริษัทขายไมโครคอนโทรลเลอร์ แต่คือมาตรฐานกลางของวงการ Maker ที่มีทั้งไลบรารี, คอร์สการสอน, และโครงการนับล้านที่พึ่งพา Arduino IDE หาก Qualcomm ทำลายความเชื่อมั่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศ ไม่ใช่แค่ผู้ใช้บอร์ด Arduino เท่านั้น. ในชุมชนเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ Qualcomm แก้ไข โดยเสนอให้ยืนยันชัดเจนว่า IDE และ CLI จะยังคงเป็นโอเพนซอร์ส และอาจตั้งมูลนิธิคล้าย Linux Foundation เพื่อปกป้องโครงการจากการควบคุมของบริษัทเดียว หาก Qualcomm ไม่ทำเช่นนั้น อนาคตของ Arduino อาจกลายเป็นเพียง “แพลตฟอร์มปิด” ที่สูญเสียคุณค่าดั้งเดิมไป. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Qualcomm เข้าซื้อ Arduino ➡️ ปรับ Terms & Conditions และ Privacy Policy ใหม่ ✅ ข้อกำหนดใหม่ที่ก่อให้เกิดปัญหา ➡️ ห้าม reverse engineering ➡️ ไม่ให้สิทธิ์การใช้สิทธิบัตรกับโครงการที่สร้างบน Arduino ✅ ความกังวลของชุมชน Maker ➡️ IDE และ CLI อาจถูกตีความว่าอยู่ภายใต้ข้อห้ามใหม่ ➡️ ผู้พัฒนาและผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง ✅ บทบาทของ Adafruit ➡️ เตือนว่า Qualcomm ไม่เข้าใจคุณค่าของ Arduino ในฐานะคอมมอนส์ ✅ ข้อเสนอเพื่อแก้ไข ➡️ ยืนยันว่า IDE และ CLI จะยังคงโอเพนซอร์ส ➡️ ตั้งมูลนิธิคล้าย Linux Foundation เพื่อปกป้องโครงการ ‼️ คำเตือนด้านความเชื่อมั่น ⛔ หาก Qualcomm ไม่แก้ไข อาจทำให้ชุมชนสูญเสียความไว้วางใจและละทิ้ง Arduino ‼️ คำเตือนด้านระบบนิเวศ ⛔ การตีความข้อห้ามกว้างเกินไปอาจทำลายไลบรารี, คอร์สการสอน, และโครงการนับล้านที่พึ่งพา Arduino https://www.molecularist.com/2025/11/did-qualcomm-kill-arduino-for-good.html
    WWW.MOLECULARIST.COM
    Did Qualcomm kill Arduino for good?
    The maker community worried Qualcomm would kill the Arduino ethos. New T&Cs confirm the community's worst fears. Here's what's at stake, what Qualcomm got wrong, and what might still be salvaged.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.31

    ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม

    ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.31 ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นธุรกิจใหม่

    เรื่องนี้เล่าเหมือนการเดินทางของอดีต CISO หลายคนที่เบื่อกับข้อจำกัดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ไม่พอ เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม หรือการเมืองภายในบริษัท พวกเขาเลือกที่จะออกมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เคยเจอและพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้

    Paul Hadjy ก่อตั้ง Horangi เพื่อเน้นความปลอดภัยบนคลาวด์ในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมากนัก เขาเชื่อว่าการทำให้ลูกค้าเห็นความปลอดภัยชัดเจนจะสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ส่วน Joe Silva ก่อตั้ง Spektion เพราะเบื่อกับการแก้ปัญหาช่องโหว่ซ้ำ ๆ แบบ “Groundhog Day” เขาอยากเปลี่ยนการจัดการช่องโหว่จากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องวิศวกรรมที่แก้ได้จริง

    Chris Pierson ก่อตั้ง BlackCloak เพื่อปกป้องชีวิตดิจิทัลของผู้บริหารนอกเหนือจากไฟร์วอลล์องค์กร เพราะเขาเห็นว่าผู้โจมตีเริ่มเล็งเป้าหมายไปที่บ้านและชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร ส่วน Michael Coates อดีต CISO ของ Twitter ก่อตั้ง Altitude Networks เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ก่อนจะขายกิจการและไปทำกองทุนลงทุนด้านความปลอดภัย

    การก่อตั้งบริษัทใหม่จากอดีต CISO
    Horangi เน้นความปลอดภัยคลาวด์ในเอเชีย
    Spektion แก้ปัญหาช่องโหว่แบบเชิงวิศวกรรม
    BlackCloak ปกป้องชีวิตดิจิทัลผู้บริหาร
    Altitude Networks ตรวจสอบการแชร์ไฟล์บนคลาวด์

    ความเสี่ยงและความท้าทายของผู้ก่อตั้ง
    เงินทุนใกล้หมดและต้องตัดค่าใช้จ่าย
    ความเครียดจากการตัดสินใจที่ยากและการรับผิดชอบทั้งหมด
    การโจมตีที่เล็งเป้าหมายไปยังชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร

    https://www.csoonline.com/article/4084574/the-security-leaders-who-turned-their-frustrations-into-companies.html
    🛡️ ผู้นำด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นธุรกิจใหม่ เรื่องนี้เล่าเหมือนการเดินทางของอดีต CISO หลายคนที่เบื่อกับข้อจำกัดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ไม่พอ เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม หรือการเมืองภายในบริษัท พวกเขาเลือกที่จะออกมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เคยเจอและพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้ Paul Hadjy ก่อตั้ง Horangi เพื่อเน้นความปลอดภัยบนคลาวด์ในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมากนัก เขาเชื่อว่าการทำให้ลูกค้าเห็นความปลอดภัยชัดเจนจะสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ส่วน Joe Silva ก่อตั้ง Spektion เพราะเบื่อกับการแก้ปัญหาช่องโหว่ซ้ำ ๆ แบบ “Groundhog Day” เขาอยากเปลี่ยนการจัดการช่องโหว่จากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องวิศวกรรมที่แก้ได้จริง Chris Pierson ก่อตั้ง BlackCloak เพื่อปกป้องชีวิตดิจิทัลของผู้บริหารนอกเหนือจากไฟร์วอลล์องค์กร เพราะเขาเห็นว่าผู้โจมตีเริ่มเล็งเป้าหมายไปที่บ้านและชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร ส่วน Michael Coates อดีต CISO ของ Twitter ก่อตั้ง Altitude Networks เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ก่อนจะขายกิจการและไปทำกองทุนลงทุนด้านความปลอดภัย ✅ การก่อตั้งบริษัทใหม่จากอดีต CISO ➡️ Horangi เน้นความปลอดภัยคลาวด์ในเอเชีย ➡️ Spektion แก้ปัญหาช่องโหว่แบบเชิงวิศวกรรม ➡️ BlackCloak ปกป้องชีวิตดิจิทัลผู้บริหาร ➡️ Altitude Networks ตรวจสอบการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ ‼️ ความเสี่ยงและความท้าทายของผู้ก่อตั้ง ⛔ เงินทุนใกล้หมดและต้องตัดค่าใช้จ่าย ⛔ ความเครียดจากการตัดสินใจที่ยากและการรับผิดชอบทั้งหมด ⛔ การโจมตีที่เล็งเป้าหมายไปยังชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร https://www.csoonline.com/article/4084574/the-security-leaders-who-turned-their-frustrations-into-companies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The security leaders who turned their frustrations into companies
    Former CISOs share their experience after successfully founding security companies. CSO spoke to Paul Hadjy, Joe Silva, Chris Pierson and Michael Coates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง 3 ปีใน Gartner Peer Insights

    เรื่องราวนี้เล่าถึงบริษัท ThreatBook ที่เป็นผู้นำด้าน Threat Intelligence และระบบตรวจจับภัยคุกคาม (NDR) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น Strong Performer ติดต่อกันถึง 3 ปีในรายงาน Gartner Peer Insights “Voice of the Customer” ปี 2025 การยอมรับนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Threat Detection Platform (TDP) ของบริษัท โดยมีจุดเด่นคือการตรวจจับแม่นยำสูง, ความพร้อมในการป้องกันเชิงรุก และการตอบสนองแบบปิดวงจรที่ผสานกับเครื่องมืออื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    น่าสนใจคือ ThreatBook ไม่ได้เติบโตเฉพาะในจีน แต่ยังขยายไปทั่วโลก ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน การผลิต และภาครัฐ โดย Gartner ระบุว่ามีผู้ใช้จริงกว่า 1,200 รีวิว และ 100% ของลูกค้าที่ให้คะแนนในปี 2025 ยินดีแนะนำต่อ จุดนี้สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยี แต่ยังสร้างความไว้วางใจในระดับสากล

    หากมองจากมุมกว้าง การที่ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณว่าตลาด NDR กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกปี การมีระบบที่สามารถ “เห็นภาพรวม” และ “ตอบสนองได้ทันที” จึงเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ

    การยอมรับจาก Gartner ต่อเนื่อง 3 ปี
    ThreatBook TDP ได้คะแนนสูงด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพ

    ลูกค้าทั่วโลกยืนยันความพึงพอใจ
    100% ของผู้รีวิวในปี 2025 แนะนำต่อ

    จุดแข็งของแพลตฟอร์ม TDP
    ตรวจจับแม่นยำ, ป้องกันเชิงรุก, ตอบสนองแบบปิดวงจร

    ความท้าทายจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น
    องค์กรที่ไม่มีระบบ NDR เสี่ยงต่อการโจมตีขั้นสูง

    https://hackread.com/threatbook-peer-recognized-as-a-strong-performer-in-the-2025-gartner-peer-insights-voice-of-the-customer-for-network-detection-and-response-for-the-third-consecutive-year/
    🛡️ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง 3 ปีใน Gartner Peer Insights เรื่องราวนี้เล่าถึงบริษัท ThreatBook ที่เป็นผู้นำด้าน Threat Intelligence และระบบตรวจจับภัยคุกคาม (NDR) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็น Strong Performer ติดต่อกันถึง 3 ปีในรายงาน Gartner Peer Insights “Voice of the Customer” ปี 2025 การยอมรับนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Threat Detection Platform (TDP) ของบริษัท โดยมีจุดเด่นคือการตรวจจับแม่นยำสูง, ความพร้อมในการป้องกันเชิงรุก และการตอบสนองแบบปิดวงจรที่ผสานกับเครื่องมืออื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าสนใจคือ ThreatBook ไม่ได้เติบโตเฉพาะในจีน แต่ยังขยายไปทั่วโลก ทั้งในอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน การผลิต และภาครัฐ โดย Gartner ระบุว่ามีผู้ใช้จริงกว่า 1,200 รีวิว และ 100% ของลูกค้าที่ให้คะแนนในปี 2025 ยินดีแนะนำต่อ จุดนี้สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยี แต่ยังสร้างความไว้วางใจในระดับสากล หากมองจากมุมกว้าง การที่ ThreatBook ได้รับการยอมรับต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณว่าตลาด NDR กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกปี การมีระบบที่สามารถ “เห็นภาพรวม” และ “ตอบสนองได้ทันที” จึงเป็นสิ่งที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ ✅ การยอมรับจาก Gartner ต่อเนื่อง 3 ปี ➡️ ThreatBook TDP ได้คะแนนสูงด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพ ✅ ลูกค้าทั่วโลกยืนยันความพึงพอใจ ➡️ 100% ของผู้รีวิวในปี 2025 แนะนำต่อ ✅ จุดแข็งของแพลตฟอร์ม TDP ➡️ ตรวจจับแม่นยำ, ป้องกันเชิงรุก, ตอบสนองแบบปิดวงจร ‼️ ความท้าทายจากภัยไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ⛔ องค์กรที่ไม่มีระบบ NDR เสี่ยงต่อการโจมตีขั้นสูง https://hackread.com/threatbook-peer-recognized-as-a-strong-performer-in-the-2025-gartner-peer-insights-voice-of-the-customer-for-network-detection-and-response-for-the-third-consecutive-year/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Browsers สามารถทำงานช่วยคุณได้ โดยเรียกมันว่า - Agentic AI”

    ลองนึกภาพว่าเบราว์เซอร์ที่เราใช้ทุกวัน ไม่ได้เป็นแค่หน้าต่างเปิดเว็บอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนเราได้จริง ๆ นี่คือแนวคิดของ Agentic AI Browsers ที่กำลังถูกพัฒนาให้สามารถทำงานหลายขั้นตอนโดยอัตโนมัติ เช่น การค้นหาเที่ยวบินที่ดีที่สุดแล้วจองให้เสร็จ หรือแม้แต่การจัดการตารางนัดหมายร้านอาหารโดยไม่ต้องคลิกหลายครั้งเหมือนเดิม เบราว์เซอร์เหล่านี้ยังสามารถสรุปข้อมูลจากหลายแท็บพร้อมกัน และโต้ตอบกับหน้าเว็บโดยตรง ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนจาก “ค้นหา-เลือก-ทำ” ไปสู่ “สั่งครั้งเดียวแล้วเสร็จ”

    เบื้องหลังคือการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude ที่ไม่เพียงตอบคำถาม แต่ยังสามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง จุดเด่นคือความสามารถในการแยกแยะบริบท เช่น งานกับเรื่องส่วนตัว เพื่อให้คำตอบเหมาะสมยิ่งขึ้น และยังรวมฟังก์ชันพื้นฐานของ AI เช่น การสร้างภาพหรือโค้ดไว้ในตัวเบราว์เซอร์โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง เช่น การโจมตีแบบ “Prompt Injection” ที่ทำให้เบราว์เซอร์ตีความข้อมูลผิดเป็นคำสั่ง หรือการที่เบราว์เซอร์บางตัวอย่าง Comet ถูกพบว่าสามารถเข้าเว็บฟิชชิ่งและขอข้อมูลธนาคารจากผู้ใช้โดยตรง ซึ่งสะท้อนว่าการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลหรือบัญชีธนาคาร ต้องอาศัยความไว้วางใจสูงมาก และยังเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรม AI ต้องพิสูจน์ต่อไป

    Agentic AI Browsers คือเบราว์เซอร์ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้
    สามารถค้นหาและจองเที่ยวบิน ร้านอาหาร หรือช้อปปิ้งโดยอัตโนมัติ
    รวมฟังก์ชัน AI เช่น สร้างภาพหรือโค้ดในตัวเบราว์เซอร์

    ใช้โมเดลภาษาใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini, Claude
    สามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง

    มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    อาจถูกโจมตีด้วย Prompt Injection
    เบราว์เซอร์บางตัวถูกพบว่ายอมรับข้อมูลจากเว็บฟิชชิ่ง

    ต้องใช้ความไว้วางใจสูงในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
    อีเมล บัญชีธนาคาร และคลาวด์อาจถูกเปิดเผย

    https://www.slashgear.com/2014938/browsers-can-now-do-tasks-for-you-what-agentic-ai-means/
    🖥️ “Browsers สามารถทำงานช่วยคุณได้ โดยเรียกมันว่า - Agentic AI” ลองนึกภาพว่าเบราว์เซอร์ที่เราใช้ทุกวัน ไม่ได้เป็นแค่หน้าต่างเปิดเว็บอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนเราได้จริง ๆ นี่คือแนวคิดของ Agentic AI Browsers ที่กำลังถูกพัฒนาให้สามารถทำงานหลายขั้นตอนโดยอัตโนมัติ เช่น การค้นหาเที่ยวบินที่ดีที่สุดแล้วจองให้เสร็จ หรือแม้แต่การจัดการตารางนัดหมายร้านอาหารโดยไม่ต้องคลิกหลายครั้งเหมือนเดิม เบราว์เซอร์เหล่านี้ยังสามารถสรุปข้อมูลจากหลายแท็บพร้อมกัน และโต้ตอบกับหน้าเว็บโดยตรง ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนจาก “ค้นหา-เลือก-ทำ” ไปสู่ “สั่งครั้งเดียวแล้วเสร็จ” เบื้องหลังคือการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude ที่ไม่เพียงตอบคำถาม แต่ยังสามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง จุดเด่นคือความสามารถในการแยกแยะบริบท เช่น งานกับเรื่องส่วนตัว เพื่อให้คำตอบเหมาะสมยิ่งขึ้น และยังรวมฟังก์ชันพื้นฐานของ AI เช่น การสร้างภาพหรือโค้ดไว้ในตัวเบราว์เซอร์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง เช่น การโจมตีแบบ “Prompt Injection” ที่ทำให้เบราว์เซอร์ตีความข้อมูลผิดเป็นคำสั่ง หรือการที่เบราว์เซอร์บางตัวอย่าง Comet ถูกพบว่าสามารถเข้าเว็บฟิชชิ่งและขอข้อมูลธนาคารจากผู้ใช้โดยตรง ซึ่งสะท้อนว่าการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมลหรือบัญชีธนาคาร ต้องอาศัยความไว้วางใจสูงมาก และยังเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรม AI ต้องพิสูจน์ต่อไป ✅ Agentic AI Browsers คือเบราว์เซอร์ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้ ➡️ สามารถค้นหาและจองเที่ยวบิน ร้านอาหาร หรือช้อปปิ้งโดยอัตโนมัติ ➡️ รวมฟังก์ชัน AI เช่น สร้างภาพหรือโค้ดในตัวเบราว์เซอร์ ✅ ใช้โมเดลภาษาใหญ่ เช่น ChatGPT, Gemini, Claude ➡️ สามารถวางแผนและดำเนินการตามเป้าหมายได้เอง ‼️ มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ อาจถูกโจมตีด้วย Prompt Injection ⛔ เบราว์เซอร์บางตัวถูกพบว่ายอมรับข้อมูลจากเว็บฟิชชิ่ง ‼️ ต้องใช้ความไว้วางใจสูงในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ⛔ อีเมล บัญชีธนาคาร และคลาวด์อาจถูกเปิดเผย https://www.slashgear.com/2014938/browsers-can-now-do-tasks-for-you-what-agentic-ai-means/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Browsers Can Now Do Tasks For You - Here's What Agentic AI Means - SlashGear
    Artificial Intelligence in your browser can use the web on your behalf, but privacy concerns and security vulnerabilities make it a risky proposition.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก

    แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ

    KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน

    เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง

    ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน

    แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง

    เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat
    ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market
    เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16”
    จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน

    การเคลื่อนไหวของชุมชน
    จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat
    เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่
    คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง
    ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์

    ปฏิกิริยาจาก Waymo
    แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์
    ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี
    รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน
    การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
    การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์

    เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    🐾 “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง ✅ เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat ➡️ ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market ➡️ เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” ➡️ จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน ✅ การเคลื่อนไหวของชุมชน ➡️ จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat ➡️ เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่ ➡️ คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง ➡️ ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์ ✅ ปฏิกิริยาจาก Waymo ➡️ แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์ ➡️ ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี ⛔ รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน ⛔ การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ⛔ การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์ เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.19

    ในโลกของการทำงานและการใช้ชีวิต เรามักจะพบกับความท้าทายและข้อผิดพลาด การกระทำใดๆ ย่อมมีผลตามมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยในโครงการ หรือความบกพร่องที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง หลักการที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ "ความรับผิด" ซึ่งไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นหน้าที่อันหนักอึ้งและเป็นสัจธรรมของการอยู่ร่วมกัน ความรับผิดคือการยืนหยัดอย่างกล้าหาญและยอมรับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีต้นกำเนิดมาจากตัวเราเอง มันคือการแสดงความเคารพต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและแสดงความจริงใจที่จะแก้ไข ไม่ใช่การหลบเลี่ยงหรือโทษปัจจัยภายนอก เมื่อใดก็ตามที่เรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับผลของการกระทำ เราจึงจะสามารถก้าวข้ามผ่านความผิดพลาดนั้นและเติบโตได้อย่างแท้จริง การยอมรับความรับผิดจึงเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟู และเป็นสัญญาณของความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง

    การแสดงความรับผิดไม่ใช่การยอมจำนนต่อความล้มเหลว แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งทางจริยธรรมและสำนึกในหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่โดยตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ หากความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว การแสดงออกถึงความรับผิดชอบด้วยการยอมรับและพร้อมที่จะเยียวยาแก้ไขความเสียหายตามสมควร ย่อมสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ การรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้องค์กรหรือสังคมเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ติดขัดและเป็นธรรม การมีสำนึกนี้จะช่วยลดความขัดแย้งและผลักดันให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อผิดพลาดเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก การรับผิดจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของคนเรา

    ดังนั้น ความรับผิดจึงเป็นมากกว่าการชดใช้ความเสียหาย เป็นการยืนยันถึงความมีคุณธรรมและจิตสำนึกที่ดี การยอมรับว่าเราคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปเป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความรับผิด คือกุญแจสำคัญที่เปิดประตูไปสู่ความไว้วางใจ ความเคารพ และการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน จงยอมรับความรับผิดชอบและใช้มันเป็นพลังในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้า
    บทความกฎหมาย EP.19 ในโลกของการทำงานและการใช้ชีวิต เรามักจะพบกับความท้าทายและข้อผิดพลาด การกระทำใดๆ ย่อมมีผลตามมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยในโครงการ หรือความบกพร่องที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง หลักการที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ "ความรับผิด" ซึ่งไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นหน้าที่อันหนักอึ้งและเป็นสัจธรรมของการอยู่ร่วมกัน ความรับผิดคือการยืนหยัดอย่างกล้าหาญและยอมรับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีต้นกำเนิดมาจากตัวเราเอง มันคือการแสดงความเคารพต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและแสดงความจริงใจที่จะแก้ไข ไม่ใช่การหลบเลี่ยงหรือโทษปัจจัยภายนอก เมื่อใดก็ตามที่เรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับผลของการกระทำ เราจึงจะสามารถก้าวข้ามผ่านความผิดพลาดนั้นและเติบโตได้อย่างแท้จริง การยอมรับความรับผิดจึงเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟู และเป็นสัญญาณของความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง การแสดงความรับผิดไม่ใช่การยอมจำนนต่อความล้มเหลว แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งทางจริยธรรมและสำนึกในหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่โดยตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ หากความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว การแสดงออกถึงความรับผิดชอบด้วยการยอมรับและพร้อมที่จะเยียวยาแก้ไขความเสียหายตามสมควร ย่อมสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ การรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้องค์กรหรือสังคมเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ติดขัดและเป็นธรรม การมีสำนึกนี้จะช่วยลดความขัดแย้งและผลักดันให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อผิดพลาดเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก การรับผิดจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของคนเรา ดังนั้น ความรับผิดจึงเป็นมากกว่าการชดใช้ความเสียหาย เป็นการยืนยันถึงความมีคุณธรรมและจิตสำนึกที่ดี การยอมรับว่าเราคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปเป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความรับผิด คือกุญแจสำคัญที่เปิดประตูไปสู่ความไว้วางใจ ความเคารพ และการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน จงยอมรับความรับผิดชอบและใช้มันเป็นพลังในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน

    ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้

    4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง
    แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข
    ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ

    สาระเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ

    การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด”

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams
    แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้
    ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี
    การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม
    การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน
    การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร
    อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ
    ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering
    อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด

    ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา.

    https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    🛡️ ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้ 🔍 4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง ✏️ แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข 📢 ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้ 💬 เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น 📞 ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ 🧠 สาระเพิ่มเติม ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams ➡️ แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้ ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน ➡️ เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ➡️ ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี ➡️ การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน ➡️ การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร ⛔ อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ ⛔ ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering ⛔ อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา. https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Flaws Exposed: Attackers Could Impersonate Executives and Forge Caller Identity
    Check Point exposed four critical flaws in Microsoft Teams. Attackers could forge executive caller IDs, silently edit messages without trace, and spoof notifications for BEC and espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว



  • ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว.
    ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้,
    ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า.

    ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง.,
    ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว.

    https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว. ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้, ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า. ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง., ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว. https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 830 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อผู้พิทักษ์กลายเป็นผู้ร้าย – อดีตเจ้าหน้าที่ไซเบอร์ถูกตั้งข้อหาแฮกข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่

    อดีตพนักงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ถูกกล่าวหาว่าใช้ความรู้และตำแหน่งในบริษัทเพื่อก่ออาชญากรรมไซเบอร์ โดยร่วมมือกันโจมตีระบบของบริษัทต่าง ๆ เพื่อเรียกค่าไถ่เป็นเงินคริปโตมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

    จำนวนผู้เกี่ยวข้อง: 3 คน
    1. Ryan Clifford Goldberg
    ตำแหน่งเดิม: อดีตผู้อำนวยการฝ่ายตอบสนองเหตุการณ์ (Director of Incident Response) ที่บริษัท Sygnia Consulting Ltd.

    บทบาทในคดี:
    เป็นหนึ่งในผู้วางแผนและดำเนินการแฮกระบบของบริษัทต่าง ๆ
    มีส่วนร่วมในการใช้มัลแวร์ ALPHV/BlackCat เพื่อเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ
    ได้รับเงินค่าไถ่ร่วมกับผู้ร่วมขบวนการจากบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ในฟลอริดา มูลค่าเกือบ 1.3 ล้านดอลลาร์
    ถูกควบคุมตัวในเรือนจำกลาง

    2. Kevin Tyler Martin
    ตำแหน่งเดิม: นักเจรจาค่าไถ่ (Ransomware Negotiator) ของบริษัท DigitalMint

    บทบาทในคดี:
    ร่วมมือกับ Goldberg ในการแฮกและเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ
    ใช้ความรู้จากงานเจรจาค่าไถ่เพื่อวางแผนโจมตี
    ได้รับการประกันตัวและให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา

    3. บุคคลที่สาม (ยังไม่เปิดเผยชื่อ)
    สถานะ: ยังไม่ถูกตั้งข้อหา และไม่มีการเปิดเผยชื่อในเอกสารของศาล

    บทบาทในคดี:
    มีส่วนร่วมในการแฮกและรับเงินค่าไถ่ร่วมกับ Goldberg และ Martin
    เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการโจมตีบริษัทในฟลอริดา

    ความซับซ้อนของอุตสาหกรรมเจรจาค่าไถ่
    ทั้งสามคนทำงานในอุตสาหกรรมที่มีหน้าที่ช่วยบริษัทเจรจากับแฮกเกอร์เพื่อปลดล็อกระบบ ซึ่งบางครั้งก็ต้องจ่ายค่าไถ่เพื่อให้ระบบกลับมาใช้งานได้ แต่ในกรณีนี้ พวกเขากลับใช้ตำแหน่งนั้นในการก่ออาชญากรรมเสียเอง

    พวกเขายังถูกกล่าวหาว่าแบ่งผลกำไรกับผู้พัฒนามัลแวร์ที่ใช้ในการโจมตี และพยายามแฮกบริษัทอื่น ๆ เช่น บริษัทเภสัชกรรมในแมริแลนด์ ผู้ผลิตโดรนในเวอร์จิเนีย และคลินิกในแคลิฟอร์เนีย

    ผู้ต้องหาคืออดีตเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    Goldberg จาก Sygnia และ Martin จาก DigitalMint
    ใช้มัลแวร์ ALPHV BlackCat ในการโจมตี
    ได้รับเงินค่าไถ่จากบริษัทในฟลอริดาเกือบ 1.3 ล้านดอลลาร์

    บริษัทต้นสังกัดออกแถลงการณ์ปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้อง
    DigitalMint ยืนยันว่าเหตุการณ์อยู่นอกขอบเขตงานของพนักงาน
    Sygnia ระบุว่าไล่ออก Goldberg ทันทีเมื่อทราบเรื่อง
    ไม่มีข้อมูลว่าบริษัทใดถูกแฮกในเอกสารของศาล

    สถานะของผู้ต้องหา
    Goldberg ถูกควบคุมตัวในเรือนจำกลาง
    Martin ได้รับการประกันตัวและให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
    บุคคลที่สามยังไม่ถูกตั้งข้อหาและไม่เปิดเผยชื่อ

    ความเสี่ยงจากการมีช่องโหว่ภายในองค์กร
    พนักงานที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบสามารถใช้ข้อมูลในทางมิชอบ
    การทำงานในอุตสาหกรรมเจรจาค่าไถ่อาจเปิดช่องให้เกิดการแอบแฝง
    การไม่ตรวจสอบพฤติกรรมพนักงานอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่การละเมิด

    ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมไซเบอร์
    ลูกค้าอาจสูญเสียความไว้วางใจต่อบริษัทที่เกี่ยวข้อง
    ภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมเจรจาค่าไถ่อาจถูกตั้งคำถาม
    การใช้มัลแวร์ที่มีผู้พัฒนาอยู่เบื้องหลังอาจเชื่อมโยงไปสู่เครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/ex-cybersecurity-staffers-charged-with-moonlighting-as-hackers
    🕵️‍♂️ เมื่อผู้พิทักษ์กลายเป็นผู้ร้าย – อดีตเจ้าหน้าที่ไซเบอร์ถูกตั้งข้อหาแฮกข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ อดีตพนักงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ถูกกล่าวหาว่าใช้ความรู้และตำแหน่งในบริษัทเพื่อก่ออาชญากรรมไซเบอร์ โดยร่วมมือกันโจมตีระบบของบริษัทต่าง ๆ เพื่อเรียกค่าไถ่เป็นเงินคริปโตมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ 👥 จำนวนผู้เกี่ยวข้อง: 3 คน 1. Ryan Clifford Goldberg 🏢 ตำแหน่งเดิม: อดีตผู้อำนวยการฝ่ายตอบสนองเหตุการณ์ (Director of Incident Response) ที่บริษัท Sygnia Consulting Ltd. 🎭 บทบาทในคดี: 🎗️ เป็นหนึ่งในผู้วางแผนและดำเนินการแฮกระบบของบริษัทต่าง ๆ 🎗️ มีส่วนร่วมในการใช้มัลแวร์ ALPHV/BlackCat เพื่อเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ 🎗️ ได้รับเงินค่าไถ่ร่วมกับผู้ร่วมขบวนการจากบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ในฟลอริดา มูลค่าเกือบ 1.3 ล้านดอลลาร์ 🎗️ ถูกควบคุมตัวในเรือนจำกลาง 2. Kevin Tyler Martin 🏢 ตำแหน่งเดิม: นักเจรจาค่าไถ่ (Ransomware Negotiator) ของบริษัท DigitalMint 🎭 บทบาทในคดี: 🎗️ ร่วมมือกับ Goldberg ในการแฮกและเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ 🎗️ ใช้ความรู้จากงานเจรจาค่าไถ่เพื่อวางแผนโจมตี 🎗️ ได้รับการประกันตัวและให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา 3. บุคคลที่สาม (ยังไม่เปิดเผยชื่อ) 🏢 สถานะ: ยังไม่ถูกตั้งข้อหา และไม่มีการเปิดเผยชื่อในเอกสารของศาล 🎭 บทบาทในคดี: 🎗️ มีส่วนร่วมในการแฮกและรับเงินค่าไถ่ร่วมกับ Goldberg และ Martin 🎗️ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการโจมตีบริษัทในฟลอริดา 🧨 ความซับซ้อนของอุตสาหกรรมเจรจาค่าไถ่ ทั้งสามคนทำงานในอุตสาหกรรมที่มีหน้าที่ช่วยบริษัทเจรจากับแฮกเกอร์เพื่อปลดล็อกระบบ ซึ่งบางครั้งก็ต้องจ่ายค่าไถ่เพื่อให้ระบบกลับมาใช้งานได้ แต่ในกรณีนี้ พวกเขากลับใช้ตำแหน่งนั้นในการก่ออาชญากรรมเสียเอง พวกเขายังถูกกล่าวหาว่าแบ่งผลกำไรกับผู้พัฒนามัลแวร์ที่ใช้ในการโจมตี และพยายามแฮกบริษัทอื่น ๆ เช่น บริษัทเภสัชกรรมในแมริแลนด์ ผู้ผลิตโดรนในเวอร์จิเนีย และคลินิกในแคลิฟอร์เนีย ✅ ผู้ต้องหาคืออดีตเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ Goldberg จาก Sygnia และ Martin จาก DigitalMint ➡️ ใช้มัลแวร์ ALPHV BlackCat ในการโจมตี ➡️ ได้รับเงินค่าไถ่จากบริษัทในฟลอริดาเกือบ 1.3 ล้านดอลลาร์ ✅ บริษัทต้นสังกัดออกแถลงการณ์ปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้อง ➡️ DigitalMint ยืนยันว่าเหตุการณ์อยู่นอกขอบเขตงานของพนักงาน ➡️ Sygnia ระบุว่าไล่ออก Goldberg ทันทีเมื่อทราบเรื่อง ➡️ ไม่มีข้อมูลว่าบริษัทใดถูกแฮกในเอกสารของศาล ✅ สถานะของผู้ต้องหา ➡️ Goldberg ถูกควบคุมตัวในเรือนจำกลาง ➡️ Martin ได้รับการประกันตัวและให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ➡️ บุคคลที่สามยังไม่ถูกตั้งข้อหาและไม่เปิดเผยชื่อ ‼️ ความเสี่ยงจากการมีช่องโหว่ภายในองค์กร ⛔ พนักงานที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบสามารถใช้ข้อมูลในทางมิชอบ ⛔ การทำงานในอุตสาหกรรมเจรจาค่าไถ่อาจเปิดช่องให้เกิดการแอบแฝง ⛔ การไม่ตรวจสอบพฤติกรรมพนักงานอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่การละเมิด ‼️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมไซเบอร์ ⛔ ลูกค้าอาจสูญเสียความไว้วางใจต่อบริษัทที่เกี่ยวข้อง ⛔ ภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมเจรจาค่าไถ่อาจถูกตั้งคำถาม ⛔ การใช้มัลแวร์ที่มีผู้พัฒนาอยู่เบื้องหลังอาจเชื่อมโยงไปสู่เครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/ex-cybersecurity-staffers-charged-with-moonlighting-as-hackers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Ex-cybersecurity staffers charged with moonlighting as hackers
    Three employees at cybersecurity companies spent years moonlighting as criminal hackers, launching their own ransomware attacks in a plot to extort millions of dollars from victims around the country, US prosecutors alleged in court filings.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ

    ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท

    เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น

    ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร
    CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม
    การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง
    การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ

    ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี
    เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง
    ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่
    ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย

    ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี
    ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย
    ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต
    วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน

    คำเตือนจากการวิจัย
    มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง
    ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว"

    ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว
    การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก
    การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง
    การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง

    ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    🛡️ เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น ✅ ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร ➡️ CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ ✅ ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี ➡️ เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง ➡️ ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ➡️ ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย ✅ ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี ➡️ ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย ➡️ ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต ➡️ วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน ‼️ คำเตือนจากการวิจัย ⛔ มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ⛔ 58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง ⛔ ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว" ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว ⛔ การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก ⛔ การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง ⛔ การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What does aligning security to the business really mean?
    Security leaders must ensure their security strategies and teams support the organization’s overall business strategy. Here’s what that looks like in practice — and why it remains so challenging.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูปหล่อหลวงพ่อกระจ่าง วัดเชิงทะเล จ.ภูเก็ต
    รูปหล่อหลวงพ่อกระจ่าง ครบ ๖ รอบ วัดเชิงทะเล จ.ภูเก็ต // พระดีพืธีใหญ่ มากประสบการณ์ พระเกจิอาจารย์สายใต้ร่วมปลุกเสกหลายท่าน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม โชคลาภ ความสำเร็จ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย **

    ** หลังจากที่พ่อท่านพลับได้มรณภาพลงแล้วก็ได้มีการเชิญ พ่อท่านกระจ่าง (พระกระจ่าง ปภสุสโร) ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นพระอยู่ที่วัดร้าง ให้มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเชิงทะเล พ่อท่านจ่างท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านพลับ เป็นพระที่ท่านให้ความไว้วางใจ ก่อนที่ท่านจะละสังขาร พ่อท่านพลับได้สั่งด้วยวาจาไว้ว่า สมบัติส่วนตัวของฉัน และหน้าที่การปกครองดูแลในภายวัดมอบให้คุณจ่าง (พระกระจ่าง) เป็นผู้ดูแล ” พ่อท่านกระจ่างท่านเป็นพระที่มีจิตใจดี มีเมตตา ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ท่านเป็นพระที่ประพฤติตนอย่างเรียบง่าย เป็นที่เคารพนับถือ ท่านเป็นพระผู้ให้ ให้ทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกแม้คนศาสนาอื่น **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    รูปหล่อหลวงพ่อกระจ่าง วัดเชิงทะเล จ.ภูเก็ต รูปหล่อหลวงพ่อกระจ่าง ครบ ๖ รอบ วัดเชิงทะเล จ.ภูเก็ต // พระดีพืธีใหญ่ มากประสบการณ์ พระเกจิอาจารย์สายใต้ร่วมปลุกเสกหลายท่าน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม โชคลาภ ความสำเร็จ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย ** ** หลังจากที่พ่อท่านพลับได้มรณภาพลงแล้วก็ได้มีการเชิญ พ่อท่านกระจ่าง (พระกระจ่าง ปภสุสโร) ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นพระอยู่ที่วัดร้าง ให้มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเชิงทะเล พ่อท่านจ่างท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านพลับ เป็นพระที่ท่านให้ความไว้วางใจ ก่อนที่ท่านจะละสังขาร พ่อท่านพลับได้สั่งด้วยวาจาไว้ว่า สมบัติส่วนตัวของฉัน และหน้าที่การปกครองดูแลในภายวัดมอบให้คุณจ่าง (พระกระจ่าง) เป็นผู้ดูแล ” พ่อท่านกระจ่างท่านเป็นพระที่มีจิตใจดี มีเมตตา ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ท่านเป็นพระที่ประพฤติตนอย่างเรียบง่าย เป็นที่เคารพนับถือ ท่านเป็นพระผู้ให้ ให้ทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกแม้คนศาสนาอื่น ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 1

    เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1916 ประมาณ 1 ปี ก่อนการปฏิวัติอันโด่งดังของรัสเซีย Russian Revolution หรือ Bolshevik Revolution นาย Leon Trotsky ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่า เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะปฏิวัติ กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงใน Nashe Slovo หนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย ที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส มันคงเร้าใจมากขนาดฝรั่งเศส ซึ่งคุ้นเคยกับการปฏิวัติโหดมาแล้ว ยังรับไม่ไหว ตำรวจฝรั่งเศสจึงจัดการส่งตัวนาย Trotsky ออกนอกประเทศ ไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน

    ไม่กี่วัน นายTrotsky ก็มาถึงเมืองมาดริด และถูกตำรวจที่เมืองมาดริด จับใส่ห้องขัง มันเป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ first class cell ซึ่งต้องมีการจ่ายเงินค่าความพิเศษ ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป แต่เหมือนโรงแรมมากกว่า นาย Trotsky นี่น่าจะเป็นผู้ต้องขัง ชนิดมีปลอกคอ จากนั้นก็มีการส่งตัวเขาต่อมายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อมาลงเรือเดินสมุทรของ Spanish Transatlantic Company ชื่อ Monserrat

    Trosky และครอบครัวนั่งเรือ Monserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค เมื่อ วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917

    จากหนังสือชีวประวัติ ที่ Trosky เขียนเอง ชื่อ My Life คนมีปลอกคอ เล่าว่า ” อาชีพเดียวที่ผมทำ ตอนอยู่ที่นิวยอร์คคือ เป็นนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม นอกเหนือจากการเขียนบทความเป็นครั้งคราว ลงในหนังสือพิมพ์ Novy Mir ของพวกสังคมนิยม ”

    แต่ระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค เมืองของนายทุน Trosky นักสังคมนิยมและครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนท์ ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นของหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมากในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน นอกจากนั้นครอบครัว Trotsky ยังเดินทาง ไปมาในเมืองนิวยอร์ค ด้วยรถยนต์ ที่มีคนขับรถประจำ

    นี่ใช่เรื่องของ Leon Trostky ซึ่งมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า เป็นนักปฏิวัติสังคมนิยมคนดัง ของรัสเซีย แน่หรือ

    Trotsky เขียนเล่าถึงชีวิตเขาที่นิวยอร์ค ในชีวประวัติของเขาต่อไปว่า ” ระหว่างอยู่นิวยอร์ค ช่วงปี 1916 ถึง 1917 ผมมีรายได้เพียง 310 เหรียญ ซึ่งผมได้แจกเงินดังกล่าวทั้งหมดให้แก่คนรัสเซีย 5 คน ที่อยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน”

    ขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่ ก็มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน เขาต้องเลี้ยงดูเมีย 1 และลูกอีก 2 เขามีรถยนต์ใช้และมีคนขับรถประจำ นี่คือวิถีชีวิตของนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม ที่อ้างว่าดำรงชีพ ด้วยการเขียนบทความลงหนังหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราว

    เรื่องราวของเขา คงไม่ตรงไปตรงมา อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน หรือว่าพวกนักปฏิวัติ นักปฏิรูป เขาเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น

    นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเงินสดจำนวน 1 หมื่นเหรียญ ที่นาย Trotsky พกติดตัวและถูกเจ้าหน้าที่ค้นพบ ระหว่างที่เขาถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับ ในเดือนเมษายน 1917 ที่เมือง Halifax เมื่อ 100 ปีก่อน เงิน 1 หมื่นเหรียญ นี่เป็นเงินจำนวนไม่เล็กน้อยนะครับ นักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม เอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน
    มีข่าวลือว่า เงิน 1 หมื่นเหรียญนั้น มาจากเยอรมัน ข่าวนี้มาจากฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งรายงานว่า นาย Gregory Weinstein ซึ่งต่อมา เป็นสมาชิกที่โด่งดังของ Soviet Bureau ประจำนครนิวยอร์ค เป็นคนรับเงินมา และนำมาส่งให้นาย Trotsky ที่นิวยอร์ค เงินจำนวนนี้มาจากเยอรมัน โดยการฟอกผ่าน Volks-zeitung น.ส.พ. รายวันของเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนอยู่

    ขณะที่มีข่าวว่า Trotsky ได้รับเงินอุดหนุนจากเยอรมัน Trotsky กลับเคลี่อนไหวอยู่ในอเมริกา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากนิวยอร์ค ไปรัสเซีย….เพื่อไปทำการปฏิวัติ !

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 2

    วันที่ 5 มีนาคม 1917 หนังสือพิมพ์อเมริกัน พากันพาดหัวข่าวตัวโต ถึงความเป็นไปได้ ที่อเมริกาจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อทำสงครามกับเยอรมัน คืนวันนั้นเอง Trotsky ก็ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มชาวสังคมนิยมในนิวยอร์คด้วย เขาพูดปลุกระดมให้ชาวสังคมนิยมในอเมริกา จัดการให้มีการนัดหยุดงาน และต่อต้านการเกณท์ทหาร หากอเมริกาจะเข้าร่วมทำสงครามต่อสู้กับเยอรมัน (ท่านผู้อ่านนิทาน คงพอจำกันได้ว่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่นำโดยอังกฤษ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 นั้น อเมริกายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามด้วย และมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลางอยู่หลายปี)

    หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์กว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์ โดยกลุ่มนักปฏิวัติ ที่นำโดยนาย Aleksandre Kerensky หนังสือพิมพ์ Novy Mir ได้มาขอสัมภาษณ์ Leon Trotsky ซึ่งให้ความเห็นไว้เหมือนคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า

    “คณะผู้บริหาร ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพวกซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือทำตามวัตถุประสงค์ ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ คณะผู้บริหารนี้คงอยู่ไม่นานหรอก อีกหน่อยก็คงลาออกไป เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถจะนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย มาทำหน้าที่ต่อไป…”

    กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของ Trotsky คือ พวก Bolsheviks และ Menshevik ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และกำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัส เซีย ส่วนคณะผู้บริหารนั้น หมายถึง รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional Government ของกลุ่มนาย Aleksandr Kerensky ที่ทำการปฏิวัติในวันที่ 16 มีนาคม คศ 1917
    แล้วนาย Trotsky ก็ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ S S Kristainiafjord เขาผ่านด่านตรวจ ขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา เขาเดินทางพร้อมพรรคพวกอีกหลายคน เพื่อจะไปทำการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังมีนักการเงินจากวอลสตรีท คอมมิวนิสต์สัญชาติอเมริกัน และบุคคลน่าสนใจอีกหลายคน ร่วมเดินทางไปกับนาย Trotsky ด้วย

    นาย Trotsky เอาพาสปอร์ตของอเมริกามาจากไหน

    นาย Jennings C. Wise เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Woodlow Wilson : Disciple Revolution” ว่า นักประวัติศาสตร์จะต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีของอเมริกา นาย Woodlow Wilson เป็นนางฟ้า ที่มาเศกให้นาย Leon Trotsky เดินทางเข้ารัสเซียได้สำเร็จ ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา แม้ว่าจะมีการพยายามขัดขวางโดยตำรวจอังกฤษก็ตาม”

    คงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดว่า ประธานาธิบดี Wilson เป็นนางฟ้ามาเศกให้นาย Trotsky ได้ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยอเมริกา เพื่อเดินทางกลับไปรัสเซีย และไปดำเนินการปฏิวัติต่อให้สำเร็จ (ตามเป้าหมาย!?) และเป็นพาสปอร์ตของอเมริกา ที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกด่านของอเมริกา รวมทั้งมีวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีกด้วย

    นางฟ้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สมัยนั้น จนถึงเดี๋ยวนี่ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นนางฟ้า หรือไม่ อ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ คนอ่านนิทาน คงนึกออกว่าควรจะเรียกว่าอะไร

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 3

    ส่วนผสมของผู้โดยสาร ที่เดินทางไปในเรือ S S Kristainiafjord ได้ถูกบันทึกไว้โดยนาย Lincoln Steffens คอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ดังนี้:

    “…รายชื่อผู้โดยสารยาวเหยียด และดูลึกลับน่าสนใจ แน่นอน Trotsky แสดงตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มนักปฏิวัติ มีนักปฎิวัติชาวญี่ปุ่น นอนเคบินเดียวกับผม มีชาวดัชท์หลายคนที่รีบร้อนกลับเมืองชะวา พวกนี้ดูจะเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับสงครามโลกที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ มีพวกนักการเงินวอลสตรีท 2 คน มุ่งหน้าไปเยอรมัน.. ”
    นาย Steffens เองนั้น โดยสารไปในเรือเดินสมุทร โดยคำเชิญของ นาย Charles R Crane เจ้าของกระเป๋าทุนใบใหญ่ที่สนับสนุน ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในการสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

    นาย Crane นั้น เป็นรองประธานบริษัท Crane Company ซึ่งภายหลัง เป็นคนไปตั้งบริษัท Westinghouse สาขารัสเซีย หลังการปฏิวัติของรัสเซียรอบที่กลุ่ม Bolsheviks เป็นผู้ปฎิบัติการสำเร็จเรียบร้อย นาย Crane ยังเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ Root Mission ที่ประธานาธิบดี Wilson ส่งไปสำรวจรัสเซียทุกตารางนิ้ว หลังการปฏิวัติอีกด้วย

    นาย Crane เดินทางไปรัสเซียในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประมาณ 23 ครั้ง ลูกชายของเขา Richard Crane เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ของนาย Robert Lansing รัฐมนตรีต่างเทศของอเมริกาขณะนั้น

    นาย William Dodd อดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมัน พูดถึงนาย Crane ว่า เป็นผู้มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้การปฏิวัติในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม โดยกลุ่มของ Aleksandr Kerensky กลายเป็นการปฏิวัติชั่วคราว ที่นำร่อง เปิดทางให้กับการปฏิวัติของจริง ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน

    นาย Steffens ได้บันทึกการสนทนา ที่เขาได้ยินระหว่างการเดินทางในเรือเดินสมุทรไว้ว่า “…. ดูเหมือนทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม (โดย Aleksandr Kerensky) เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้นเอง มันจะต้องมีตอนต่อไป Crane และพวกรัสเซียหัวก้าวหน้าที่อยู่ในเรือ คิดว่าพวกที่กำลังเดินทางจะไปเมือง Petrograd (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเมือง St Petersberg ) เพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำ…”

    เมื่อนาย Crane กลับมาอเมริกาในเดือนธันวาคม 1917 หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิก Bolsheviks Revolution (หรือการปฏิวัติซ้ำ นั่นแหละ) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว นาย Crane ก็ได้รับโทรเลข ลงวันที่ 11 ธันวาคม 1917 จากกระทรวงต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าโดย นาย Maddin Summers กงสุลอเมริกันประจำกรุงมอสโคว์ พร้อมจดหมายปะหน้าจากนาย Summers ว่า

    ” กระผม ขออนุญาตนำเสนอรายงานที่แนบมา นี้ และสำเนาอีกหนึ่งฉบับ โดยขอให้กระทรวงฯ ได้โปรดนำส่งให้ นาย Charles Crane เพื่อทราบความคืบหน้าด้วย หวังว่าทางกระทรวงคงไม่ขัดข้อง ที่จะให้นาย Crane ได้เห็นรายงาน….”

    สำหรับท่านผู้อ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องเหยื่อ คงพอจำชื่อนี้ได้ เขาคือ นาย Crane คนเดียวกันกับ เจ้าของรายงาน King Crane Report ที่ไปเดินสำรวจตะวันออกกลาง เพื่อทำประชามติว่า ชาวอาหรับต้องการจะอยู่ในความปกครอง ของใคร หลังจากถูกอังกฤษหลอก โดยให้สายลับ ที่เรารู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เป็นผู้นำชาวอาหรับ ไปรบกับตุรกี และยึดหลายเมืองในตะวันออกกลางได้
    และเป็นนาย Crane คนเดียวกัน ที่สามารถจับมือให้กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ตัดสินใจเปิดประตูเมืองครั้งแรก และให้สัมปทานน้ำมันแก่อเมริกา เริ่มศักราช Petro Dollar ร่วมกันรวย ช่วยกันปั่น มาจนถึงทุกวันนี้

    พอเห็นเค้าแล้วนะครับ ว่านิทานเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 1 เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1916 ประมาณ 1 ปี ก่อนการปฏิวัติอันโด่งดังของรัสเซีย Russian Revolution หรือ Bolshevik Revolution นาย Leon Trotsky ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่า เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะปฏิวัติ กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงใน Nashe Slovo หนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย ที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส มันคงเร้าใจมากขนาดฝรั่งเศส ซึ่งคุ้นเคยกับการปฏิวัติโหดมาแล้ว ยังรับไม่ไหว ตำรวจฝรั่งเศสจึงจัดการส่งตัวนาย Trotsky ออกนอกประเทศ ไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน ไม่กี่วัน นายTrotsky ก็มาถึงเมืองมาดริด และถูกตำรวจที่เมืองมาดริด จับใส่ห้องขัง มันเป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ first class cell ซึ่งต้องมีการจ่ายเงินค่าความพิเศษ ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป แต่เหมือนโรงแรมมากกว่า นาย Trotsky นี่น่าจะเป็นผู้ต้องขัง ชนิดมีปลอกคอ จากนั้นก็มีการส่งตัวเขาต่อมายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อมาลงเรือเดินสมุทรของ Spanish Transatlantic Company ชื่อ Monserrat Trosky และครอบครัวนั่งเรือ Monserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค เมื่อ วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917 จากหนังสือชีวประวัติ ที่ Trosky เขียนเอง ชื่อ My Life คนมีปลอกคอ เล่าว่า ” อาชีพเดียวที่ผมทำ ตอนอยู่ที่นิวยอร์คคือ เป็นนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม นอกเหนือจากการเขียนบทความเป็นครั้งคราว ลงในหนังสือพิมพ์ Novy Mir ของพวกสังคมนิยม ” แต่ระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค เมืองของนายทุน Trosky นักสังคมนิยมและครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนท์ ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นของหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมากในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน นอกจากนั้นครอบครัว Trotsky ยังเดินทาง ไปมาในเมืองนิวยอร์ค ด้วยรถยนต์ ที่มีคนขับรถประจำ นี่ใช่เรื่องของ Leon Trostky ซึ่งมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า เป็นนักปฏิวัติสังคมนิยมคนดัง ของรัสเซีย แน่หรือ Trotsky เขียนเล่าถึงชีวิตเขาที่นิวยอร์ค ในชีวประวัติของเขาต่อไปว่า ” ระหว่างอยู่นิวยอร์ค ช่วงปี 1916 ถึง 1917 ผมมีรายได้เพียง 310 เหรียญ ซึ่งผมได้แจกเงินดังกล่าวทั้งหมดให้แก่คนรัสเซีย 5 คน ที่อยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน” ขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่ ก็มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน เขาต้องเลี้ยงดูเมีย 1 และลูกอีก 2 เขามีรถยนต์ใช้และมีคนขับรถประจำ นี่คือวิถีชีวิตของนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม ที่อ้างว่าดำรงชีพ ด้วยการเขียนบทความลงหนังหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราว เรื่องราวของเขา คงไม่ตรงไปตรงมา อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน หรือว่าพวกนักปฏิวัติ นักปฏิรูป เขาเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเงินสดจำนวน 1 หมื่นเหรียญ ที่นาย Trotsky พกติดตัวและถูกเจ้าหน้าที่ค้นพบ ระหว่างที่เขาถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับ ในเดือนเมษายน 1917 ที่เมือง Halifax เมื่อ 100 ปีก่อน เงิน 1 หมื่นเหรียญ นี่เป็นเงินจำนวนไม่เล็กน้อยนะครับ นักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม เอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน มีข่าวลือว่า เงิน 1 หมื่นเหรียญนั้น มาจากเยอรมัน ข่าวนี้มาจากฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งรายงานว่า นาย Gregory Weinstein ซึ่งต่อมา เป็นสมาชิกที่โด่งดังของ Soviet Bureau ประจำนครนิวยอร์ค เป็นคนรับเงินมา และนำมาส่งให้นาย Trotsky ที่นิวยอร์ค เงินจำนวนนี้มาจากเยอรมัน โดยการฟอกผ่าน Volks-zeitung น.ส.พ. รายวันของเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนอยู่ ขณะที่มีข่าวว่า Trotsky ได้รับเงินอุดหนุนจากเยอรมัน Trotsky กลับเคลี่อนไหวอยู่ในอเมริกา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากนิวยอร์ค ไปรัสเซีย….เพื่อไปทำการปฏิวัติ ! นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 2 วันที่ 5 มีนาคม 1917 หนังสือพิมพ์อเมริกัน พากันพาดหัวข่าวตัวโต ถึงความเป็นไปได้ ที่อเมริกาจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อทำสงครามกับเยอรมัน คืนวันนั้นเอง Trotsky ก็ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มชาวสังคมนิยมในนิวยอร์คด้วย เขาพูดปลุกระดมให้ชาวสังคมนิยมในอเมริกา จัดการให้มีการนัดหยุดงาน และต่อต้านการเกณท์ทหาร หากอเมริกาจะเข้าร่วมทำสงครามต่อสู้กับเยอรมัน (ท่านผู้อ่านนิทาน คงพอจำกันได้ว่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่นำโดยอังกฤษ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 นั้น อเมริกายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามด้วย และมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลางอยู่หลายปี) หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์กว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์ โดยกลุ่มนักปฏิวัติ ที่นำโดยนาย Aleksandre Kerensky หนังสือพิมพ์ Novy Mir ได้มาขอสัมภาษณ์ Leon Trotsky ซึ่งให้ความเห็นไว้เหมือนคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า “คณะผู้บริหาร ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพวกซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือทำตามวัตถุประสงค์ ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ คณะผู้บริหารนี้คงอยู่ไม่นานหรอก อีกหน่อยก็คงลาออกไป เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถจะนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย มาทำหน้าที่ต่อไป…” กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของ Trotsky คือ พวก Bolsheviks และ Menshevik ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และกำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัส เซีย ส่วนคณะผู้บริหารนั้น หมายถึง รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional Government ของกลุ่มนาย Aleksandr Kerensky ที่ทำการปฏิวัติในวันที่ 16 มีนาคม คศ 1917 แล้วนาย Trotsky ก็ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ S S Kristainiafjord เขาผ่านด่านตรวจ ขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา เขาเดินทางพร้อมพรรคพวกอีกหลายคน เพื่อจะไปทำการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังมีนักการเงินจากวอลสตรีท คอมมิวนิสต์สัญชาติอเมริกัน และบุคคลน่าสนใจอีกหลายคน ร่วมเดินทางไปกับนาย Trotsky ด้วย นาย Trotsky เอาพาสปอร์ตของอเมริกามาจากไหน นาย Jennings C. Wise เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Woodlow Wilson : Disciple Revolution” ว่า นักประวัติศาสตร์จะต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีของอเมริกา นาย Woodlow Wilson เป็นนางฟ้า ที่มาเศกให้นาย Leon Trotsky เดินทางเข้ารัสเซียได้สำเร็จ ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา แม้ว่าจะมีการพยายามขัดขวางโดยตำรวจอังกฤษก็ตาม” คงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดว่า ประธานาธิบดี Wilson เป็นนางฟ้ามาเศกให้นาย Trotsky ได้ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยอเมริกา เพื่อเดินทางกลับไปรัสเซีย และไปดำเนินการปฏิวัติต่อให้สำเร็จ (ตามเป้าหมาย!?) และเป็นพาสปอร์ตของอเมริกา ที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกด่านของอเมริกา รวมทั้งมีวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีกด้วย นางฟ้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สมัยนั้น จนถึงเดี๋ยวนี่ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นนางฟ้า หรือไม่ อ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ คนอ่านนิทาน คงนึกออกว่าควรจะเรียกว่าอะไร นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 3 ส่วนผสมของผู้โดยสาร ที่เดินทางไปในเรือ S S Kristainiafjord ได้ถูกบันทึกไว้โดยนาย Lincoln Steffens คอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ดังนี้: “…รายชื่อผู้โดยสารยาวเหยียด และดูลึกลับน่าสนใจ แน่นอน Trotsky แสดงตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มนักปฏิวัติ มีนักปฎิวัติชาวญี่ปุ่น นอนเคบินเดียวกับผม มีชาวดัชท์หลายคนที่รีบร้อนกลับเมืองชะวา พวกนี้ดูจะเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับสงครามโลกที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ มีพวกนักการเงินวอลสตรีท 2 คน มุ่งหน้าไปเยอรมัน.. ” นาย Steffens เองนั้น โดยสารไปในเรือเดินสมุทร โดยคำเชิญของ นาย Charles R Crane เจ้าของกระเป๋าทุนใบใหญ่ที่สนับสนุน ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในการสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นาย Crane นั้น เป็นรองประธานบริษัท Crane Company ซึ่งภายหลัง เป็นคนไปตั้งบริษัท Westinghouse สาขารัสเซีย หลังการปฏิวัติของรัสเซียรอบที่กลุ่ม Bolsheviks เป็นผู้ปฎิบัติการสำเร็จเรียบร้อย นาย Crane ยังเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ Root Mission ที่ประธานาธิบดี Wilson ส่งไปสำรวจรัสเซียทุกตารางนิ้ว หลังการปฏิวัติอีกด้วย นาย Crane เดินทางไปรัสเซียในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประมาณ 23 ครั้ง ลูกชายของเขา Richard Crane เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ของนาย Robert Lansing รัฐมนตรีต่างเทศของอเมริกาขณะนั้น นาย William Dodd อดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมัน พูดถึงนาย Crane ว่า เป็นผู้มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้การปฏิวัติในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม โดยกลุ่มของ Aleksandr Kerensky กลายเป็นการปฏิวัติชั่วคราว ที่นำร่อง เปิดทางให้กับการปฏิวัติของจริง ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน นาย Steffens ได้บันทึกการสนทนา ที่เขาได้ยินระหว่างการเดินทางในเรือเดินสมุทรไว้ว่า “…. ดูเหมือนทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม (โดย Aleksandr Kerensky) เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้นเอง มันจะต้องมีตอนต่อไป Crane และพวกรัสเซียหัวก้าวหน้าที่อยู่ในเรือ คิดว่าพวกที่กำลังเดินทางจะไปเมือง Petrograd (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเมือง St Petersberg ) เพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำ…” เมื่อนาย Crane กลับมาอเมริกาในเดือนธันวาคม 1917 หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิก Bolsheviks Revolution (หรือการปฏิวัติซ้ำ นั่นแหละ) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว นาย Crane ก็ได้รับโทรเลข ลงวันที่ 11 ธันวาคม 1917 จากกระทรวงต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าโดย นาย Maddin Summers กงสุลอเมริกันประจำกรุงมอสโคว์ พร้อมจดหมายปะหน้าจากนาย Summers ว่า ” กระผม ขออนุญาตนำเสนอรายงานที่แนบมา นี้ และสำเนาอีกหนึ่งฉบับ โดยขอให้กระทรวงฯ ได้โปรดนำส่งให้ นาย Charles Crane เพื่อทราบความคืบหน้าด้วย หวังว่าทางกระทรวงคงไม่ขัดข้อง ที่จะให้นาย Crane ได้เห็นรายงาน….” สำหรับท่านผู้อ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องเหยื่อ คงพอจำชื่อนี้ได้ เขาคือ นาย Crane คนเดียวกันกับ เจ้าของรายงาน King Crane Report ที่ไปเดินสำรวจตะวันออกกลาง เพื่อทำประชามติว่า ชาวอาหรับต้องการจะอยู่ในความปกครอง ของใคร หลังจากถูกอังกฤษหลอก โดยให้สายลับ ที่เรารู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เป็นผู้นำชาวอาหรับ ไปรบกับตุรกี และยึดหลายเมืองในตะวันออกกลางได้ และเป็นนาย Crane คนเดียวกัน ที่สามารถจับมือให้กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ตัดสินใจเปิดประตูเมืองครั้งแรก และให้สัมปทานน้ำมันแก่อเมริกา เริ่มศักราช Petro Dollar ร่วมกันรวย ช่วยกันปั่น มาจนถึงทุกวันนี้ พอเห็นเค้าแล้วนะครับ ว่านิทานเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 857 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล

    บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ

    ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์
    การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์
    แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย
    อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

    ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ
    บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน
    ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า

    แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย
    ใช้การเข้ารหัส (Encryption)
    ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส
    ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต

    ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection
    ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ

    เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว
    เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน
    ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น

    อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ
    ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก
    รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส

    ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ
    ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้
    หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก



    https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    🔐 วิธีปกป้องข้อมูลของคุณเมื่อส่งไฟล์ขนาดใหญ่ — ใช้เทคโนโลยีและนิสัยที่ปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักข้อมูล บทความจาก HackRead แนะนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งไฟล์ขนาดใหญ่ปลอดภัยมากขึ้น ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยเน้นการใช้การเข้ารหัส, เครือข่ายที่ปลอดภัย, และการตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ 🚨 ภัยคุกคามที่ต้องรู้ก่อนส่งไฟล์ ✅ การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และการฝังมัลแวร์ ➡️ แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลระหว่างการส่งไฟล์ผ่านเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ➡️ อาจนำไปสู่การสูญเสียข้อมูล, การขโมยตัวตน, หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร ✅ ผลกระทบต่อบุคคลและธุรกิจ ➡️ บุคคลอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน ➡️ ธุรกิจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลลูกค้าและความไว้วางใจจากคู่ค้า 📙 แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้การส่งไฟล์ปลอดภัย ✅ ใช้การเข้ารหัส (Encryption) ➡️ ทำให้ข้อมูลอ่านได้เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ถอดรหัส ➡️ ควรใช้โปรโตคอล SSL/TLS สำหรับการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ✅ ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย เช่น VPN หรือ private connection ➡️ ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักระหว่างทาง ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi สาธารณะ ✅ เลือกบริการส่งไฟล์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว ➡️ เช่น บริการที่มีการสร้างลิงก์แบบหมดอายุหรือใช้รหัสผ่าน ➡️ ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลเกินจำเป็น ✅ อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบอย่างสม่ำเสมอ ➡️ ป้องกันการโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จัก ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการ, แอปส่งไฟล์, และโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ ตรวจสอบผู้รับก่อนส่งข้อมูลสำคัญ ➡️ ยืนยันตัวตนของผู้รับ เช่น ผ่านการโทรหรือช่องทางที่เชื่อถือได้ ➡️ หลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลไปยังอีเมลหรือบัญชีที่ไม่รู้จัก https://hackread.com/how-to-keep-your-data-safe-when-transferring-large-files/
    HACKREAD.COM
    How to keep your data safe when transferring large files
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง

    บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR

    บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure
    บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล
    กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน

    Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings
    ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin
    ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส

    นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม
    มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน
    การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง

    Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย
    โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต
    ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ

    กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง
    โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง
    ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก

    การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ
    ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว

    การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน
    เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง
    ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง

    https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    📰💼 Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR ✅ บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure ➡️ บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล ➡️ กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน ✅ Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings ➡️ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin ➡️ ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส ✅ นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม ➡️ มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน ➡️ การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง ✅ Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย ➡️ โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ ✅ กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง ➡️ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง ➡️ ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก ‼️ การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ ⛔ ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว ‼️ การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⛔ เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง ⛔ ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    WWW.NPR.ORG
    'Washington Post' editorials omit a key disclosure: Bezos' financial ties
    Three times in the past two weeks, editorials at the 'Washington Post' failed to disclose that they focused on matters in which owner Jeff Bezos had a material interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • CISOs ควรปรับแนวคิดเรื่องความเสี่ยงจากผู้ให้บริการหรือไม่? — เมื่อ AI และบริการภายนอกซับซ้อนขึ้น

    บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (MSP/MSSP) โดยเฉพาะเมื่อบริการเหล่านี้มีความสำคัญและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการระบบคลาวด์, AI, และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC)

    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
    47% ขององค์กรพบเหตุการณ์โจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลจาก third-party ภายใน 12 เดือน
    บอร์ดบริหารกดดันให้ CISO แสดงความมั่นใจในความปลอดภัยของพันธมิตร
    การตรวจสอบผู้ให้บริการกลายเป็นภาระหนักทั้งต่อองค์กรและผู้ให้บริการ

    ความซับซ้อนของบริการ
    MSP/MSSP ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นฐาน แต่รวมถึง threat hunting, data warehousing, AI tuning
    การประเมินความเสี่ยงต้องครอบคลุมตั้งแต่ leadership, GRC, SDLC, SLA ไปจนถึง disaster recovery

    ความสัมพันธ์มากกว่าการตรวจสอบ
    CISOs ควรเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ก่อน แล้วจึงเข้าสู่การประเมินอย่างเป็นทางการ
    การสนทนาเปิดเผยช่วยสร้างความไว้วางใจมากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม

    คำถามแนะนำสำหรับการประเมินผู้ให้บริการ
    ใครรับผิดชอบด้าน cybersecurity และรายงานต่อใคร?
    มีการใช้ framework ใด และตรวจสอบอย่างไร?
    มีการทดสอบเชิงรุก เช่น pen test, crisis drill หรือไม่?
    มีการฝึกอบรมพนักงานด้านภัยคุกคามหรือไม่?

    บทบาทของ AI
    AI เพิ่มความเสี่ยงใหม่ แต่ก็ช่วยตรวจสอบพันธมิตรได้ดีขึ้น
    มีการติดตามการรับรอง ISO 42001 สำหรับ AI governance
    GenAI สามารถช่วยค้นหาข้อมูลสาธารณะของผู้ให้บริการเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ

    ข้อเสนอแนะสำหรับ CISOs
    เปลี่ยนจาก “แบบสอบถาม” เป็น “บทสนทนา” เพื่อเข้าใจความคิดของพันธมิตร
    มองความเสี่ยงเป็น “ความรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่การโยนภาระ
    ใช้ AI เพื่อเสริมการตรวจสอบ ไม่ใช่แทนที่การประเมินเชิงมนุษย์

    https://www.csoonline.com/article/4075982/do-cisos-need-to-rethink-service-provider-risk.html
    🛡️🤝 CISOs ควรปรับแนวคิดเรื่องความเสี่ยงจากผู้ให้บริการหรือไม่? — เมื่อ AI และบริการภายนอกซับซ้อนขึ้น บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (MSP/MSSP) โดยเฉพาะเมื่อบริการเหล่านี้มีความสำคัญและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการระบบคลาวด์, AI, และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC) 📈 ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 🎗️ 47% ขององค์กรพบเหตุการณ์โจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลจาก third-party ภายใน 12 เดือน 🎗️ บอร์ดบริหารกดดันให้ CISO แสดงความมั่นใจในความปลอดภัยของพันธมิตร 🎗️ การตรวจสอบผู้ให้บริการกลายเป็นภาระหนักทั้งต่อองค์กรและผู้ให้บริการ 🧠 ความซับซ้อนของบริการ 🎗️ MSP/MSSP ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นฐาน แต่รวมถึง threat hunting, data warehousing, AI tuning 🎗️ การประเมินความเสี่ยงต้องครอบคลุมตั้งแต่ leadership, GRC, SDLC, SLA ไปจนถึง disaster recovery 🤝 ความสัมพันธ์มากกว่าการตรวจสอบ 🎗️ CISOs ควรเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ก่อน แล้วจึงเข้าสู่การประเมินอย่างเป็นทางการ 🎗️ การสนทนาเปิดเผยช่วยสร้างความไว้วางใจมากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม 🧪 คำถามแนะนำสำหรับการประเมินผู้ให้บริการ 🎗️ ใครรับผิดชอบด้าน cybersecurity และรายงานต่อใคร? 🎗️ มีการใช้ framework ใด และตรวจสอบอย่างไร? 🎗️ มีการทดสอบเชิงรุก เช่น pen test, crisis drill หรือไม่? 🎗️ มีการฝึกอบรมพนักงานด้านภัยคุกคามหรือไม่? 🤖 บทบาทของ AI 🎗️ AI เพิ่มความเสี่ยงใหม่ แต่ก็ช่วยตรวจสอบพันธมิตรได้ดีขึ้น 🎗️ มีการติดตามการรับรอง ISO 42001 สำหรับ AI governance 🎗️ GenAI สามารถช่วยค้นหาข้อมูลสาธารณะของผู้ให้บริการเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ ✅ ข้อเสนอแนะสำหรับ CISOs ➡️ เปลี่ยนจาก “แบบสอบถาม” เป็น “บทสนทนา” เพื่อเข้าใจความคิดของพันธมิตร ➡️ มองความเสี่ยงเป็น “ความรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่การโยนภาระ ➡️ ใช้ AI เพื่อเสริมการตรวจสอบ ไม่ใช่แทนที่การประเมินเชิงมนุษย์ https://www.csoonline.com/article/4075982/do-cisos-need-to-rethink-service-provider-risk.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Do CISOs need to rethink service provider risk?
    CISOs are charged with managing a vast ecosystem of MSPs and MSSPs, but are the usual processes fit for purpose as outsourced services become more complex and critical — and will AI force a rethink?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts