• ดีเอสไอพบหลักฐานเด็ด! ขบวนการ “ฮั้วเลือก ส.ว.” 🚨 อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน โพยลับทำที่อยุธยา-ปทุมธานี-นครนายก

    📌 ดีเอสไอเปิดโปงขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พบหลักฐานโยงข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน จัดทำโพยลับที่อยุธยา ปทุมธานี นครนายก พร้อมแฉพฤติกรรมการกระทำที่ซับซ้อน มีหลักฐานชัดเจน!

    🔎 เปิดโปงขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. DSI ส่งเอกสารลับถึง กกต. กลายเป็นคดีใหญ่สะเทือนวงการเมือง เมื่อมีเอกสารลับระดับ "ด่วนที่สุด" หลุดออกมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ส่งถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเอกสารดังกล่าว ระบุถึงผลการพิจารณาสืบสวน ตามคำร้องที่เกี่ยวข้องกับกรณีฮั้วเลือก ส.ว.

    จากการสอบสวน DSI พบว่ามีมูลความผิดตามข้อกล่าวหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน โดยเป็นการกระทำเป็นขบวนการ วางแผนล่วงหน้า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมาก

    📌 สาระสำคัญของเอกสารลับ ดีเอสไอขอให้ กกต. พิจารณาว่า จะรับดำเนินคดีเองในส่วนใดบ้าง และให้ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 2568

    แต่จนถึงปัจจุบัน กกต. ยังไม่มีการตอบกลับ

    🚨 เผยขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. อั้งยี่ระดับชาติ วางแผนล่วงหน้า จากผลสอบสวน DSI มีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่จะเชื่อได้ว่า ขบวนการอั้งยี่นี้มีอยู่จริง และมีการฟอกเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการ โดยพบว่า มีการจัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เป็นจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดประกอบไปด้วย 7 คน

    📌 โพยฮั้วเลือก ส.ว. มีอะไรบ้าง?
    สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีรายชื่ออยู่ในโพย อีก 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการวางแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติโดยมิชอบ

    📌 ความผิดที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย
    - พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 977 (3)
    - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่)
    - พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

    💰 เป้าหมายของขบวนการนี้
    ขบวนการนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ การแทรกแซงการเลือก ส.ว. เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ส.ว. เริ่มต้น

    🔥 วิธีการดำเนินงาน ซับซ้อนแ ละเป็นองค์กรอาชญากรรม
    จากการสอบสวน DSI พบว่าขบวนการนี้ ดำเนินงานเป็นระบบ และมีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน

    🕵️‍♂️ ลักษณะการดำเนินงานของขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.
    ✅ มีโครงสร้างแบบองค์กรอาชญากรรม มีลำดับชั้น และการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ
    ✅ ฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณคะแนน เพื่อกำหนดผลลัพธ์ของการลงคะแนน ให้เป็นไปตามแผน
    ✅ จัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เพื่อกำหนดรายชื่อ ผู้ที่จะได้รับเลือกตามแผน
    ✅ เตรียมบุคคลที่เรียกว่า "พลีชีพ" ทำหน้าที่ลงคะแนนให้ตรงตามโพย
    ✅ วางแผนซับซ้อนและอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
    ✅ เชื่อมโยงกับบุคคล ที่ยังไม่สามารถระบุตัวได้ทั้งหมด

    📌 สถานที่จัดทำโพยฮั้ว
    ดีเอสไอพบว่า ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. จัดทำโพยใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่
    - พระนครศรีอยุธยา
    - ปทุมธานี
    - นครนายก

    💰 ค่าตอบแทน เงินหมุนเวียนในขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.
    ดีเอสไอพบว่าขบวนการนี้ มีการ จ่ายค่าตอบแทน ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ

    📌 อัตราค่าตอบแทน:
    🏛️ ระดับอำเภอ 5,000 บาท
    🏛️ ระดับจังหวัด 10,000 บาท
    🏛️ ระดับประเทศ 40,000 - 100,000 บาท

    📌 โบนัสพิเศษ:
    💰 100,000 บาท หากสามารถทำให้ผู้สมัคร ได้รับเลือกเกิน 120 คน
    💰 มัดจำล่วงหน้า 20,000 บาท และจ่ายส่วนที่เหลือหลัง กกต. รับรองผล

    🔎 DSI พบหลักฐานเด็ด! ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.
    📌 หลักฐานสำคัญที่พบ
    ✔️ ผลการเลือก ส.ว. ตรงกับโพยฮั้ว 100%
    ✔️ สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีชื่ออยู่ในโพย
    ✔️ 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง รวมทั้งหมด 140 คน ตรงตามโพย
    ✔️ พบ การแจกเสื้อสีเหลือง และการจัดรถตู้ไปรวมตัวที่เมืองทองธานี

    📢 DSI พร้อมเดินหน้าคดีพิเศษ
    📌 คดีฮั้วเลือก ส.ว. ครั้งนี้ถือเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ซับซ้อน มีขบวนการวางแผนที่ชัดเจน และมีบุคคลเกี่ยวข้องจำนวนมาก

    📌 ดีเอสไอได้ขอให้ กกต. ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 68 ว่าจะดำเนินการในส่วนใดบ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้รับคำตอบ

    ⚖️ ความคืบหน้าของคดีนี้จะเป็นอย่างไร? ใครอยู่เบื้องหลัง? และสุดท้ายจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องหรือไม่? ติดตามต่อไป! 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252327 ก.พ. 2568

    #ฮั้วเลือกสว #DSI #อั้งยี่ #ซ่องโจร #ฟอกเงิน #เลือกตั้ง #การเมืองไทย #คดีพิเศษ #ข่าวด่วน #ข่าวใหญ่
    ดีเอสไอพบหลักฐานเด็ด! ขบวนการ “ฮั้วเลือก ส.ว.” 🚨 อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน โพยลับทำที่อยุธยา-ปทุมธานี-นครนายก 📌 ดีเอสไอเปิดโปงขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พบหลักฐานโยงข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน จัดทำโพยลับที่อยุธยา ปทุมธานี นครนายก พร้อมแฉพฤติกรรมการกระทำที่ซับซ้อน มีหลักฐานชัดเจน! 🔎 เปิดโปงขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. DSI ส่งเอกสารลับถึง กกต. กลายเป็นคดีใหญ่สะเทือนวงการเมือง เมื่อมีเอกสารลับระดับ "ด่วนที่สุด" หลุดออกมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ส่งถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเอกสารดังกล่าว ระบุถึงผลการพิจารณาสืบสวน ตามคำร้องที่เกี่ยวข้องกับกรณีฮั้วเลือก ส.ว. จากการสอบสวน DSI พบว่ามีมูลความผิดตามข้อกล่าวหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน โดยเป็นการกระทำเป็นขบวนการ วางแผนล่วงหน้า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ มีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมาก 📌 สาระสำคัญของเอกสารลับ ดีเอสไอขอให้ กกต. พิจารณาว่า จะรับดำเนินคดีเองในส่วนใดบ้าง และให้ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 2568 แต่จนถึงปัจจุบัน กกต. ยังไม่มีการตอบกลับ 🚨 เผยขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. อั้งยี่ระดับชาติ วางแผนล่วงหน้า จากผลสอบสวน DSI มีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่จะเชื่อได้ว่า ขบวนการอั้งยี่นี้มีอยู่จริง และมีการฟอกเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการ โดยพบว่า มีการจัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เป็นจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดประกอบไปด้วย 7 คน 📌 โพยฮั้วเลือก ส.ว. มีอะไรบ้าง? สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีรายชื่ออยู่ในโพย อีก 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการวางแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติโดยมิชอบ 📌 ความผิดที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย - พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 977 (3) - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) - พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 💰 เป้าหมายของขบวนการนี้ ขบวนการนี้มีเป้าหมายชัดเจนคือ การแทรกแซงการเลือก ส.ว. เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ส.ว. เริ่มต้น 🔥 วิธีการดำเนินงาน ซับซ้อนแ ละเป็นองค์กรอาชญากรรม จากการสอบสวน DSI พบว่าขบวนการนี้ ดำเนินงานเป็นระบบ และมีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน 🕵️‍♂️ ลักษณะการดำเนินงานของขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. ✅ มีโครงสร้างแบบองค์กรอาชญากรรม มีลำดับชั้น และการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ ✅ ฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณคะแนน เพื่อกำหนดผลลัพธ์ของการลงคะแนน ให้เป็นไปตามแผน ✅ จัดทำโพยฮั้วเลือก ส.ว. เพื่อกำหนดรายชื่อ ผู้ที่จะได้รับเลือกตามแผน ✅ เตรียมบุคคลที่เรียกว่า "พลีชีพ" ทำหน้าที่ลงคะแนนให้ตรงตามโพย ✅ วางแผนซับซ้อนและอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ✅ เชื่อมโยงกับบุคคล ที่ยังไม่สามารถระบุตัวได้ทั้งหมด 📌 สถานที่จัดทำโพยฮั้ว ดีเอสไอพบว่า ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. จัดทำโพยใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ - พระนครศรีอยุธยา - ปทุมธานี - นครนายก 💰 ค่าตอบแทน เงินหมุนเวียนในขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. ดีเอสไอพบว่าขบวนการนี้ มีการ จ่ายค่าตอบแทน ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ 📌 อัตราค่าตอบแทน: 🏛️ ระดับอำเภอ 5,000 บาท 🏛️ ระดับจังหวัด 10,000 บาท 🏛️ ระดับประเทศ 40,000 - 100,000 บาท 📌 โบนัสพิเศษ: 💰 100,000 บาท หากสามารถทำให้ผู้สมัคร ได้รับเลือกเกิน 120 คน 💰 มัดจำล่วงหน้า 20,000 บาท และจ่ายส่วนที่เหลือหลัง กกต. รับรองผล 🔎 DSI พบหลักฐานเด็ด! ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว. 📌 หลักฐานสำคัญที่พบ ✔️ ผลการเลือก ส.ว. ตรงกับโพยฮั้ว 100% ✔️ สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือก 138 คน มีชื่ออยู่ในโพย ✔️ 2 คน อยู่ในลำดับสำรอง รวมทั้งหมด 140 คน ตรงตามโพย ✔️ พบ การแจกเสื้อสีเหลือง และการจัดรถตู้ไปรวมตัวที่เมืองทองธานี 📢 DSI พร้อมเดินหน้าคดีพิเศษ 📌 คดีฮั้วเลือก ส.ว. ครั้งนี้ถือเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ซับซ้อน มีขบวนการวางแผนที่ชัดเจน และมีบุคคลเกี่ยวข้องจำนวนมาก 📌 ดีเอสไอได้ขอให้ กกต. ตอบกลับภายในวันที่ 10 ก.พ. 68 ว่าจะดำเนินการในส่วนใดบ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้รับคำตอบ ⚖️ ความคืบหน้าของคดีนี้จะเป็นอย่างไร? ใครอยู่เบื้องหลัง? และสุดท้ายจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องหรือไม่? ติดตามต่อไป! 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252327 ก.พ. 2568 #ฮั้วเลือกสว #DSI #อั้งยี่ #ซ่องโจร #ฟอกเงิน #เลือกตั้ง #การเมืองไทย #คดีพิเศษ #ข่าวด่วน #ข่าวใหญ่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมายเหตุ Newskit : ไซเบอร์อรรถ ทำงานรับใช้ใคร?

    กรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ถือเป็นการใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติแล้วคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เพียงแค่ตำรวจท้องที่นำหมายเรียกไปติดที่หน้าบ้านเพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ถือว่ามากพอแล้ว

    เราอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำเสนอข่าวบางอย่างของสำนักข่าวแห่งนี้ และโดยหลักการแล้วการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบกระทั่งกับบุคคลในข่าวหรือใครก็ตาม ก็สามารถตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่การที่ตำรวจไซเบอร์ใช้ยุทธวิธี นำตำรวจนับสิบนายบุกบ้านแต่เช้าตรู่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเล็กๆ อยู่กันเพียงสามคนแม่ลูก และยังมีพ่อที่มีโรคประจำตัวพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่มีหลักฐานทางและข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มของสำนักข่าวแห่งนั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบกับคนจำนวนมาก ถือเป็นวิธีการที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่?

    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจไซเบอร์นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ที่สื่อมวลชนอาชญากรรมตั้งฉายาว่า "ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม" กระทำการเล่นใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 เคยนำกำลังจับกุมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่เผยแพร่ภาพตัดต่อนักการเมืองรายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามสมควร แต่การบุกบ้านผู้ประกาศข่าวแต่เช้า ว่ากันว่าทนายความของนักการเมืองรายเดียวกันแจ้งความก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ทำงานรับใช้ใคร นักการเมืองรายใดรายหนึ่งหรือไม่? ถือเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่?

    เราคงไม่คาดหวังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแสดงท่าทีใดๆ เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็นนักข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ และเป็นความเคยชินที่ใครไม่ใช่พวกเดียวกันมักจะไม่นับรวมเป็นสื่อมวลชน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าวันหนึ่งตำรวจใช้วิธีการดำเนินคดีที่ไม่ปกติต่อสื่อมวลชน เฉกเช่นครั้งนี้ใช้กำลังนับสิบนายบุกไปที่บ้าน ยึดมือถือ เพียงเพื่อเรียกตัวไปเป็นพยาน คำถามที่ตามมากับสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากพอก็คือ เราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ?

    #Newskit
    หมายเหตุ Newskit : ไซเบอร์อรรถ ทำงานรับใช้ใคร? กรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ถือเป็นการใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติแล้วคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เพียงแค่ตำรวจท้องที่นำหมายเรียกไปติดที่หน้าบ้านเพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ถือว่ามากพอแล้ว เราอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำเสนอข่าวบางอย่างของสำนักข่าวแห่งนี้ และโดยหลักการแล้วการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบกระทั่งกับบุคคลในข่าวหรือใครก็ตาม ก็สามารถตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่การที่ตำรวจไซเบอร์ใช้ยุทธวิธี นำตำรวจนับสิบนายบุกบ้านแต่เช้าตรู่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเล็กๆ อยู่กันเพียงสามคนแม่ลูก และยังมีพ่อที่มีโรคประจำตัวพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่มีหลักฐานทางและข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มของสำนักข่าวแห่งนั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบกับคนจำนวนมาก ถือเป็นวิธีการที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่? ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจไซเบอร์นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ที่สื่อมวลชนอาชญากรรมตั้งฉายาว่า "ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม" กระทำการเล่นใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 เคยนำกำลังจับกุมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่เผยแพร่ภาพตัดต่อนักการเมืองรายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามสมควร แต่การบุกบ้านผู้ประกาศข่าวแต่เช้า ว่ากันว่าทนายความของนักการเมืองรายเดียวกันแจ้งความก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ทำงานรับใช้ใคร นักการเมืองรายใดรายหนึ่งหรือไม่? ถือเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่? เราคงไม่คาดหวังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแสดงท่าทีใดๆ เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็นนักข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ และเป็นความเคยชินที่ใครไม่ใช่พวกเดียวกันมักจะไม่นับรวมเป็นสื่อมวลชน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าวันหนึ่งตำรวจใช้วิธีการดำเนินคดีที่ไม่ปกติต่อสื่อมวลชน เฉกเช่นครั้งนี้ใช้กำลังนับสิบนายบุกไปที่บ้าน ยึดมือถือ เพียงเพื่อเรียกตัวไปเป็นพยาน คำถามที่ตามมากับสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากพอก็คือ เราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ? #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • ”ปู“เน่าตัวเดียว เหม็นทั้งประเทศ

    จีน-ไต้หวันประโคมข่าวใหญ่ ’สส.ฝ่ายค้านไทย‘ ข่มขืนนักท่องเที่ยวไต้หวัน ..เรื่องชั่วส่วนตัว กำลังกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทบการท่องเที่ยวที่ช่วยกันฟื้นฟู
    .
    พรรคไหนถือหางได้ถือไป แต่ไม่ใช่กับพรรครทสช. เราไม่ทน.. ขอให้ปูอัดออกไป ลาออกจากเอกสิทธิ์ สส.ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม ก่อนประเทศเสียหายกว่านี้
    .
    ผมเสนอให้สภามีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส ไม่ให้มีการใช้อิทธิพลพรรคใหญ่เข้าแทรกแซง ..พร้อมทั้งเยียวยาเหยื่อ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

    https://www.facebook.com/share/p/12C1wpCkBZw/
    ”ปู“เน่าตัวเดียว เหม็นทั้งประเทศ จีน-ไต้หวันประโคมข่าวใหญ่ ’สส.ฝ่ายค้านไทย‘ ข่มขืนนักท่องเที่ยวไต้หวัน ..เรื่องชั่วส่วนตัว กำลังกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทบการท่องเที่ยวที่ช่วยกันฟื้นฟู . พรรคไหนถือหางได้ถือไป แต่ไม่ใช่กับพรรครทสช. เราไม่ทน.. ขอให้ปูอัดออกไป ลาออกจากเอกสิทธิ์ สส.ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม ก่อนประเทศเสียหายกว่านี้ . ผมเสนอให้สภามีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส ไม่ให้มีการใช้อิทธิพลพรรคใหญ่เข้าแทรกแซง ..พร้อมทั้งเยียวยาเหยื่อ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ https://www.facebook.com/share/p/12C1wpCkBZw/
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.92 : อะไรคือ DeepSeek

    สองสามวันนี้มีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่งที่ดังไปทั่วโลกครับ นั่นคือ มีระบบเอไอชื่อ DeepSeek (ดีปซีค) ของจีนออกมาให้คนใช้ฟรีแล้วทำให้หุ้นบริษัทชิปใหญ่ๆอย่าง NVIDIA ร่วงกระจุยกระจาย

    ตอนแรกผมเห็นข่าวนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าเอไอชื่อ “ดีปซีค” นี้มันดีวิเศษอย่างไร เอไอที่ผมรู้จักก็มีแค่ “ChatGPT" ก็เลยไปค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังครับ

    ถ้าอ่านไม่เข้าใจก็ตัวใครตัวมันนะครับ 😉
    .
    .
    .
    คำถามแรกคือ ”เอไอโมเดล“ คืออะไร?

    ถ้าผมแปลศัพท์ตรงตัวว่า ”ปัญญาประดิษฐ์“ ก็คงเหมือนผมไม่ได้ตอบอะไร จึงขอตอบว่า เอไอเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่นักวิจัยเขาสร้างขึ้นมาเพื่อให้มันเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ครับ

    เปรียบเทียบง่ายๆก็คือ เอไอคือสมองของคนๆหนึ่ง ที่เราอยากให้เขารู้อะไร เราก็สอนหรือใส่ข้อมูลเข้าไปให้หัวเขา เช่น ถ้าอยากให้เขาแยกให้ออกระหว่างรูปภาพหมากับแมว เราก็ให้เขาดูรูปหมากับแมวเยอะๆจนเขาแยกหมาออกจากแมวได้

    ต่อมานักวิจัยก็ทดสอบเอไอว่าจะตอบถูกหรือตอบผิด แล้วก็แก้ไขกันไปเรื่อยจนมั่นใจว่าโอเคแล้วจึงปล่อยออกสู่ตลาด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเอไอยี่ห้อ ChatGPT ที่ออกมาให้เราใช้กันฟรีๆ

    คำถามต่อมา ”แล้วนักวิทยาศาสตร์เขาใช้คอมพิวเตอร์เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ได้ยังไง“

    คำตอบคือ ใช้หลักการเดียวกับการรับรู้ของร่างกายมนุษย์ครับ นั่นคือ เขาแบ่งขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นส่วนๆ

    เริ่มจาก ”ตามองเห็น“ ดวงตาเราก็แยกสิ่งที่เห็นก่อนว่า เห็นรูปภาพ หรือเห็นตัวหนังสือ

    ต่อมาก็เอาสิ่งที่เห็นไปแยกแยะต่อว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เช่น เราสั่งให้เอไอวาดรูปผู้หญิงสวยขึ้นมาหนึ่งรูป เจ้าเอไอก็จะไปดูข้อมูลจากฐานข้อมูลว่า

    ”ผู้หญิงสวยคืออะไร“
    ”อะไรคือความหมายของคำว่าสวย?“
    ”คนสั่งให้วาดเป็นคนชาติไหน?“
    ”นิยามคำว่าสวยของคนชาตินี้คืออะไร“
    “มิติสัดส่วนร่างกายที่ว่าสวยคืออะไร?“
    ”แสงเงาแบบไหนที่ช่วยทำให้สวย“

    และอื่นๆอีกมากมาย จนกระทั่งเอไอวาดรูปผู้หญิงสวยออกมาให้เราได้หนึ่งรูป
    .
    .
    .
    ดังนั้นอ่านมาถึงตอนนี้ เราๆท่านๆคงพอจะนึกออกอย่างหนึ่งว่า เอไอจะฉลาดเพียงไหนนั้น ประการหนึ่งขึ้นอยู่กับว่านักวิทยาศาสตร์เขาป้อนข้อมูลให้เอไอมากแค่ไหนและฝึกสอนทดสอบเจ้าเอไอมากแค่ไหนด้วย

    ยิ่งข้อมูลเยอะ ยิ่งฝึกและทดสอบเยอะ คุณภาพก็จะยิ่งดี

    ถ้านักวิทยาศาสตร์ใส่บทกวี บทกลอน บทเพลง เนื้อร้องและดนตรีเข้าไปให้มากๆ แล้วสอนเอไอไปว่าเพลงนี้เพราะหรือไม่เพราะด้วยเหตุอะไร เอไอก็จะสามารถเขียนเพลงที่เพราะๆออกมาได้ เพราะเอไอรู้ว่า “เพลงที่มนุษย์ว่าไพเราะนั้นเป็นแบบไหน”

    ซึ่งในตอนนี้ผมขอเล่าเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า นักวิทยาศาสตร์เขาพัฒนาให้เอไอสามารถสร้างข้อมูลเก๊หรือรูปภาพปลอมๆขึ้นมาได้ด้วย เพื่อเอามาทดสอบตัวเองว่าจะแยกแยะได้ไหมว่าอันนี้คือข้อมูลเก๊

    ระบบนี้เรียกว่า GAN (Generative Adversarial Network) คือ เอไอจะแบ่งสมองตัวเองเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกคือตัวสร้างข้อมูลปลอมขึ้นมา (Generator) ฝั่งที่สองคือฝั่งตำรวจที่ตรวจว่าข้อมูลนี้จริงหรือปลอม (Discriminator)

    หรือ ฝั่งแรกเขียนเพลงที่ไม่เพราะออกมา อีกฝ่ายทำหน้าที่เป็นคนฟังแล้วบอกว่าเพลงนี้เพราะหรือไม่เพราะ

    สองฝั่งนี้จะประลองกำลังสู้กันไปสู้กันมาเรื่อยๆ ยิ่งสู้กันนานเข้า ฝ่ายสร้างข้อมูลก็จะเก่งขึ้น ฝ่ายตรวจสอบก็เก่งขึ้นเช่นกัน และเขาทำกันยังงี้เป็นล้านๆครั้ง

    นี่แหละครับที่เขาเรียกว่า “เอไอสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง” หรือ Machine Learning
    .
    .
    .
    ทีนี้มาถึงว่า ”แล้วดีปซีคมันดีวิเศษเหนือกว่า ChatGPT อย่างไร?“

    ถ้าตอบในมุมผู้ใช้อย่างเราที่โหลดแอปมาใช้ฟรีๆนั้น คำตอบคือ ”แทบไม่แตกต่าง“ เพราะทั้งดีปซีคและ ChatGPT นั้นฟรีและดีทั้งคู่

    ความแตกต่างจะอยู่ในเลเวลของคนที่เขาอยากสร้างระบบเอไอขึ้นมาบ้าง หรือที่เรียกว่า ”ผู้พัฒนาเอไอ หรือ Developer“

    เพราะทั้งดีปซีคและChatGPT นั้นเขาได้สร้างสิ่งเดียวกันขึ้นมา คือ “สมองที่สามารถเรียนรู้อะไรก็ได้” ตามแต่ว่าผู้พัฒนาอยากจะให้สมองนี้เรียนรู้อะไร

    แต่สมองของดีปซีคนั้นราคาถูกกว่าสมองของ ChatGPT

    เพราะดีปซีคเขียนซอฟท์แวร์ให้กระบวนการเรียนรู้ของเอไอดีปซีคมีประสิทธิภาพกว่า จับประเด็นเรียนรู้ได้เร็วกว่าโดยใช้เทคนิคที่ดีกว่า

    ทำให้ระบบดีปซีคไม่ต้องใช้ชิปประมวลผลราคาแพงๆอย่างยี่ห้อ NVIDIA รุ่น A100 และ H100 GPU ที่ราคาเป็นหมื่นดอลล่าร์ซึ่ง ChatGPT นั้นใช้อยู่เป็นร้อยๆพันๆชิ้น อันทำให้ต้นทุนการพัฒนาเอไอยี่ห้อ ChatGPT นั้นแพงหลักร้อยล้านดอลล่าร์

    ในขณะที่ดีปซีคนั้นใช้งบพัฒนาแค่ 6 ล้านดอลล่าร์

    และที่สำคัญดีปซีคนั้นเขาบอกว่า โค้ดที่เขาเขียนขึ้นมาใช้ฝึกเอไอนั้น”แจกฟรี“ครับ ใครอยากใช้ก็เอาไปพัฒนาต่อได้เลย แค่ไปหาซื้อฮาร์ดแวร์มาแล้วก็เทรนเอไอเองได้เลย

    ซึ่งทำให้ต้นทุนของผู้พัฒนาเอไอนั้นถูกลงมหาศาล ไม่ต้องเขียนโค้ดสร้างระบบเอไอขึ้นมาใหม่และไม่ต้องไปซื้อชิปแพงๆของ NVIDIA มาใช้แล้ว ใช้แต่เพียงชิปราคาประหยัดก็ได้

    เป็นเหตุให้หุ้น NVIDIA ซึ่งขายชิปแพงๆและครองตลาดนี้มานานร่วงเป็นแสนล้านดอลล่าร์

    อันเป็นที่มาของข่าวว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” ซึ่งหมายถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของอเมริกา คือ กูเกิ้ล, เทสล่า, แอมะซอน, ไมโครซอฟท์, แอปเปิ้ล, เมต้า (เฟซบุ๊ค) และ NVIDIA ร่วงกระจุยกระจาย

    แค่เพียงเพราะจีนส่งเอไอดีปซีคซึ่งดีกว่า ถูกกว่า และฟรีออกมาในตลาด

    บางสำนักข่าวในอเมริกาเองถึงกับบอกว่า ดีปซีคนี้ออกมาทำลายตลาด (Disrupt) เอไอของอเมริกาแบบโป้งเดียวจอด

    จีนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ขอปรบมือให้

    …และผมขอปรบมือให้คุณผู้อ่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ด้วยครับ หวังว่าผมอธิบายแล้วท่านจะอ่านเข้าใจนะครับ…

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.92 : อะไรคือ DeepSeek สองสามวันนี้มีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่งที่ดังไปทั่วโลกครับ นั่นคือ มีระบบเอไอชื่อ DeepSeek (ดีปซีค) ของจีนออกมาให้คนใช้ฟรีแล้วทำให้หุ้นบริษัทชิปใหญ่ๆอย่าง NVIDIA ร่วงกระจุยกระจาย ตอนแรกผมเห็นข่าวนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าเอไอชื่อ “ดีปซีค” นี้มันดีวิเศษอย่างไร เอไอที่ผมรู้จักก็มีแค่ “ChatGPT" ก็เลยไปค้นคว้าหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังครับ ถ้าอ่านไม่เข้าใจก็ตัวใครตัวมันนะครับ 😉 . . . คำถามแรกคือ ”เอไอโมเดล“ คืออะไร? ถ้าผมแปลศัพท์ตรงตัวว่า ”ปัญญาประดิษฐ์“ ก็คงเหมือนผมไม่ได้ตอบอะไร จึงขอตอบว่า เอไอเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่นักวิจัยเขาสร้างขึ้นมาเพื่อให้มันเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ครับ เปรียบเทียบง่ายๆก็คือ เอไอคือสมองของคนๆหนึ่ง ที่เราอยากให้เขารู้อะไร เราก็สอนหรือใส่ข้อมูลเข้าไปให้หัวเขา เช่น ถ้าอยากให้เขาแยกให้ออกระหว่างรูปภาพหมากับแมว เราก็ให้เขาดูรูปหมากับแมวเยอะๆจนเขาแยกหมาออกจากแมวได้ ต่อมานักวิจัยก็ทดสอบเอไอว่าจะตอบถูกหรือตอบผิด แล้วก็แก้ไขกันไปเรื่อยจนมั่นใจว่าโอเคแล้วจึงปล่อยออกสู่ตลาด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเอไอยี่ห้อ ChatGPT ที่ออกมาให้เราใช้กันฟรีๆ คำถามต่อมา ”แล้วนักวิทยาศาสตร์เขาใช้คอมพิวเตอร์เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ได้ยังไง“ คำตอบคือ ใช้หลักการเดียวกับการรับรู้ของร่างกายมนุษย์ครับ นั่นคือ เขาแบ่งขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นส่วนๆ เริ่มจาก ”ตามองเห็น“ ดวงตาเราก็แยกสิ่งที่เห็นก่อนว่า เห็นรูปภาพ หรือเห็นตัวหนังสือ ต่อมาก็เอาสิ่งที่เห็นไปแยกแยะต่อว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เช่น เราสั่งให้เอไอวาดรูปผู้หญิงสวยขึ้นมาหนึ่งรูป เจ้าเอไอก็จะไปดูข้อมูลจากฐานข้อมูลว่า ”ผู้หญิงสวยคืออะไร“ ”อะไรคือความหมายของคำว่าสวย?“ ”คนสั่งให้วาดเป็นคนชาติไหน?“ ”นิยามคำว่าสวยของคนชาตินี้คืออะไร“ “มิติสัดส่วนร่างกายที่ว่าสวยคืออะไร?“ ”แสงเงาแบบไหนที่ช่วยทำให้สวย“ และอื่นๆอีกมากมาย จนกระทั่งเอไอวาดรูปผู้หญิงสวยออกมาให้เราได้หนึ่งรูป . . . ดังนั้นอ่านมาถึงตอนนี้ เราๆท่านๆคงพอจะนึกออกอย่างหนึ่งว่า เอไอจะฉลาดเพียงไหนนั้น ประการหนึ่งขึ้นอยู่กับว่านักวิทยาศาสตร์เขาป้อนข้อมูลให้เอไอมากแค่ไหนและฝึกสอนทดสอบเจ้าเอไอมากแค่ไหนด้วย ยิ่งข้อมูลเยอะ ยิ่งฝึกและทดสอบเยอะ คุณภาพก็จะยิ่งดี ถ้านักวิทยาศาสตร์ใส่บทกวี บทกลอน บทเพลง เนื้อร้องและดนตรีเข้าไปให้มากๆ แล้วสอนเอไอไปว่าเพลงนี้เพราะหรือไม่เพราะด้วยเหตุอะไร เอไอก็จะสามารถเขียนเพลงที่เพราะๆออกมาได้ เพราะเอไอรู้ว่า “เพลงที่มนุษย์ว่าไพเราะนั้นเป็นแบบไหน” ซึ่งในตอนนี้ผมขอเล่าเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า นักวิทยาศาสตร์เขาพัฒนาให้เอไอสามารถสร้างข้อมูลเก๊หรือรูปภาพปลอมๆขึ้นมาได้ด้วย เพื่อเอามาทดสอบตัวเองว่าจะแยกแยะได้ไหมว่าอันนี้คือข้อมูลเก๊ ระบบนี้เรียกว่า GAN (Generative Adversarial Network) คือ เอไอจะแบ่งสมองตัวเองเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกคือตัวสร้างข้อมูลปลอมขึ้นมา (Generator) ฝั่งที่สองคือฝั่งตำรวจที่ตรวจว่าข้อมูลนี้จริงหรือปลอม (Discriminator) หรือ ฝั่งแรกเขียนเพลงที่ไม่เพราะออกมา อีกฝ่ายทำหน้าที่เป็นคนฟังแล้วบอกว่าเพลงนี้เพราะหรือไม่เพราะ สองฝั่งนี้จะประลองกำลังสู้กันไปสู้กันมาเรื่อยๆ ยิ่งสู้กันนานเข้า ฝ่ายสร้างข้อมูลก็จะเก่งขึ้น ฝ่ายตรวจสอบก็เก่งขึ้นเช่นกัน และเขาทำกันยังงี้เป็นล้านๆครั้ง นี่แหละครับที่เขาเรียกว่า “เอไอสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง” หรือ Machine Learning . . . ทีนี้มาถึงว่า ”แล้วดีปซีคมันดีวิเศษเหนือกว่า ChatGPT อย่างไร?“ ถ้าตอบในมุมผู้ใช้อย่างเราที่โหลดแอปมาใช้ฟรีๆนั้น คำตอบคือ ”แทบไม่แตกต่าง“ เพราะทั้งดีปซีคและ ChatGPT นั้นฟรีและดีทั้งคู่ ความแตกต่างจะอยู่ในเลเวลของคนที่เขาอยากสร้างระบบเอไอขึ้นมาบ้าง หรือที่เรียกว่า ”ผู้พัฒนาเอไอ หรือ Developer“ เพราะทั้งดีปซีคและChatGPT นั้นเขาได้สร้างสิ่งเดียวกันขึ้นมา คือ “สมองที่สามารถเรียนรู้อะไรก็ได้” ตามแต่ว่าผู้พัฒนาอยากจะให้สมองนี้เรียนรู้อะไร แต่สมองของดีปซีคนั้นราคาถูกกว่าสมองของ ChatGPT เพราะดีปซีคเขียนซอฟท์แวร์ให้กระบวนการเรียนรู้ของเอไอดีปซีคมีประสิทธิภาพกว่า จับประเด็นเรียนรู้ได้เร็วกว่าโดยใช้เทคนิคที่ดีกว่า ทำให้ระบบดีปซีคไม่ต้องใช้ชิปประมวลผลราคาแพงๆอย่างยี่ห้อ NVIDIA รุ่น A100 และ H100 GPU ที่ราคาเป็นหมื่นดอลล่าร์ซึ่ง ChatGPT นั้นใช้อยู่เป็นร้อยๆพันๆชิ้น อันทำให้ต้นทุนการพัฒนาเอไอยี่ห้อ ChatGPT นั้นแพงหลักร้อยล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ดีปซีคนั้นใช้งบพัฒนาแค่ 6 ล้านดอลล่าร์ และที่สำคัญดีปซีคนั้นเขาบอกว่า โค้ดที่เขาเขียนขึ้นมาใช้ฝึกเอไอนั้น”แจกฟรี“ครับ ใครอยากใช้ก็เอาไปพัฒนาต่อได้เลย แค่ไปหาซื้อฮาร์ดแวร์มาแล้วก็เทรนเอไอเองได้เลย ซึ่งทำให้ต้นทุนของผู้พัฒนาเอไอนั้นถูกลงมหาศาล ไม่ต้องเขียนโค้ดสร้างระบบเอไอขึ้นมาใหม่และไม่ต้องไปซื้อชิปแพงๆของ NVIDIA มาใช้แล้ว ใช้แต่เพียงชิปราคาประหยัดก็ได้ เป็นเหตุให้หุ้น NVIDIA ซึ่งขายชิปแพงๆและครองตลาดนี้มานานร่วงเป็นแสนล้านดอลล่าร์ อันเป็นที่มาของข่าวว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” ซึ่งหมายถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของอเมริกา คือ กูเกิ้ล, เทสล่า, แอมะซอน, ไมโครซอฟท์, แอปเปิ้ล, เมต้า (เฟซบุ๊ค) และ NVIDIA ร่วงกระจุยกระจาย แค่เพียงเพราะจีนส่งเอไอดีปซีคซึ่งดีกว่า ถูกกว่า และฟรีออกมาในตลาด บางสำนักข่าวในอเมริกาเองถึงกับบอกว่า ดีปซีคนี้ออกมาทำลายตลาด (Disrupt) เอไอของอเมริกาแบบโป้งเดียวจอด จีนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ขอปรบมือให้ …และผมขอปรบมือให้คุณผู้อ่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ด้วยครับ หวังว่าผมอธิบายแล้วท่านจะอ่านเข้าใจนะครับ… นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥ข่าวการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เอาอเมริกาออกจาก องค์การอนามัยโลก นั้นเป็นข่าวใหญ่มาก แต่แปลกไหมที่ 👩‍⚕️หมอไทย ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้กัน
    จะพูดได้อย่างไรละ ก็สาเหตุสำคัญของการออกจาก WHO ของทรัมป์ คือ เพราะว่า WHO ล้มเหลว ไม่ใช่สิ WHO คือ สาเหตุที่ทำให้มีคนตายจากโควิดมากมาย

    👨‍⚕️หมอทั้งหลาย จึง พยายามปฏิเสธ ความจริง เพราะรู้ว่า ไม่มีอะไรให้พิงหลังล่ะ แต่ก่อนเอะอะอะไร ก็ท่องคาถา ว่า พ่อ WHO เขาบอกมา ต้องเชื่อเขา ไม่ต้องคิดเอง รร แพทย์ ไม่ได้สอนให้ คิด!!!

    🍌ตอนนี้เลย เงียบกริ๊บ ไม่มีใคร จาก สธ จาก แพทยสภา จากราชวิทยาลัยแพทย์ จาก รร แพทย์ ที่ออกมาให้ข่าวเรื่องนี้เลย

    💥สำนักข่าวใหญ่ๆ ไม่สนใจทำข่าวนี้หรือ??⁉️

    https://youtu.be/5K17nwA14E4
    💥ข่าวการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เอาอเมริกาออกจาก องค์การอนามัยโลก นั้นเป็นข่าวใหญ่มาก แต่แปลกไหมที่ 👩‍⚕️หมอไทย ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้กัน จะพูดได้อย่างไรละ ก็สาเหตุสำคัญของการออกจาก WHO ของทรัมป์ คือ เพราะว่า WHO ล้มเหลว ไม่ใช่สิ WHO คือ สาเหตุที่ทำให้มีคนตายจากโควิดมากมาย 👨‍⚕️หมอทั้งหลาย จึง พยายามปฏิเสธ ความจริง เพราะรู้ว่า ไม่มีอะไรให้พิงหลังล่ะ แต่ก่อนเอะอะอะไร ก็ท่องคาถา ว่า พ่อ WHO เขาบอกมา ต้องเชื่อเขา ไม่ต้องคิดเอง รร แพทย์ ไม่ได้สอนให้ คิด!!! 🍌ตอนนี้เลย เงียบกริ๊บ ไม่มีใคร จาก สธ จาก แพทยสภา จากราชวิทยาลัยแพทย์ จาก รร แพทย์ ที่ออกมาให้ข่าวเรื่องนี้เลย 💥สำนักข่าวใหญ่ๆ ไม่สนใจทำข่าวนี้หรือ??⁉️ https://youtu.be/5K17nwA14E4
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ม.ค.2568-นายสมหมาย ภาษี อดีตรมว.การคลัง และอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง“ธุรกิจสีเทาในไทยทำไมจึงเบ่งบาน” ระบุว่า คนไทยทุกวันนี้ต่างก็เคยได้ยินเรื่องธุรกิจสีเทาในประเทศเราจนชาชินกันแล้ว และส่วนใหญ่ก็เข้าใจในความหมายว่าเป็นการทำธุรกิจในประเทศไทยโดยชาวต่างชาติที่ไม่ถูกต้องตรงไปตรงมา และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับประเทศของเราอีกด้วย

    ท่านผู้อ่านคงจะได้ยินข่าวใหญ่ของธุรกิจสีเทาขนาดใหญ่ของคนจีนในภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่สุดของประเทศเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 มีทั้งธุรกิจขายเครื่องประดับล้ำค่าให้นักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่ซากของอาคารขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราเหมือนราชวังย่อมๆให้เห็นอยู่ 2 แห่ง ท่านคงจำได้ว่าช่วงนั้นมีทัวร์ศูนย์เหรียญเข้ามาดำเนินการอยู่ในภูเก็ต และเมืองท่องเที่ยวอื่นอย่างดาษดื่น

    เมื่อใดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศหนึ่งประเทศใดเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยมากในที่ใด พวกธุรกิจสีเทาก็จะเกิดขึ้นในเมืองนั้น นอกจากจีนแล้ว เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องธุรกิจสีเทาของชาวรัสเซียในพัทยากันอย่างคุ้นหู ในช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเข้ามาที่ภูเก็ตมากก็ได้ข่าวว่าแถวหาดป่าตอง ก็มีพื้นที่บางแห่งถูกเรียกว่า “Little Moscow” ไปแล้ว

    จริงๆแล้วธุรกิจสีเทาในประเทศไทย ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะ 2 เมืองท่องเที่ยวหลักนี้เท่านั้น เมืองอื่นๆก็มี ส่วนชาวต่างชาติที่มาประกอบธุรกิจสีเทาในไทยก็ไม่ใช่มีแค่ชาวจีนและชาวรัสเซีย แต่ยังมีชนชาติจากยุโรปก็ไม่ใช่น้อย เร็วๆนี้อาจจะเห็นพวกจากแอฟริกาบ้างก็ได้

    ถ้าจะมีคำถามว่าทำไมธุรกิจสีเทาในไทยจึงมีมากดาษดื่นมากกว่าประเทศอื่น คำตอบมีชัดเจนครับ

    ประการแรก คนไทยเราเองจำนวนมากที่ประกอบธุรกิจแบบสีเทาให้ต่างชาติเขาเห็น หรือไม่ก็เข้าไปร่วมทุนกับต่างชาติที่ประกอบธุรกิจสีเทา

    ประการที่สอง เพราะในเมืองไทยมีกฎหมายควบคุมไม่รัดกุม และข้าราชการก็ไม่ได้ใส่ใจดูแลให้เป็นไปตามตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้สักอย่าง บางรัฐบาลถึงกับจะออกกฎหมายมาก่อให้เกิดธุรกิจสีเทาโดยตรงก็มี

    ผมต้องขออภัยที่จำเป็นต้องออกความเห็นเรื่อง “โครงการสถานบันเทิงครบวงจร” หรือ “Entertainment Complex” ที่กำลังออกตัวกันอย่างเต็มที่ในขณะนี้ ว่ามันเป็นโครงการที่จะเป็นอันตรายอย่างสุดจะพรรณนาในการเปิดทางให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอย่างแน่นอน และยังหมิ่นเหม่ต่อการเพิ่มแรงกดดันให้กับปัญหาสังคมที่ย่ำแย่ของไทยเกิดความเลวร้ายทับถมตามมาแบบไม่คุ้มค่าอีกมาก และเมื่อฟังให้ชัดก็ได้เห็นความน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก เพราะที่จัดไว้ในที่ดินผืนใหญ่ของการรถไฟไม่ใช่โครงการสถานบันเทิงครบวงจรแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะมีอีก 4-5 แห่งคล้ายกันในท้องที่ของนักการเมืองบ้านใหญ่ทั้งหลาย นี่มันอะไรกัน เอาแต่มาปั้นตัวเลข GDP ว่าจะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้โดยสำนักงานของรัฐไหนก็ไม่รู้

    ผมถามตัวเองว่านี่นักการเมืองและข้าราชการไทยเขาเพ้อฝันไปหรือไง หรือว่ามีการเสพกัญชากันมากเกินไปแล้ว เพราะถ้าจะคิดทำให้ดีแบบต่างประเทศที่เขาทำกัน เช่น ที่สิงคโปร์ก็มีเพียง “เดอะ แซนด์(The Sand)” เท่านั้น และมีข้อกำหนดไม่ให้ชาวสิงคโปร์ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเข้าไปในบ่อนโดยเด็ดขาด โดยรัฐบาลเขาจะคุมอย่างเข้มงวดมาก ที่ประเทศจีนอันใหญ่โตมีที่เกาะมาเก๊าเท่านั้น ซึ่งธุรกิจนี้นายทุนใหญ่เจ้าของบ่อนทั้งที่สิงคโปร์ มาเก๊า และลาสเวกัส ชื่อ Mr. Anderson เป็นเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้สนับสนุนพรรค Republican ซึ่งได้เสียชีวิตตอนอายุ 70 ปลายๆไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว

    ของไทยที่จะตั้งในหัวเมืองสำคัญ 4-5 แห่ง ถือว่าเป็นโมเดลที่แปลกเป็นพิเศษในโลก บ่อนคาสิโนนั้นใครๆก็รู้ว่าเป็นธุรกิจสีเทา โกงกันก็ได้ ฟอกเงินก็ได้ แลกเปลี่ยนเงินสกุลไหนอย่างไรก็ได้ แต่รายรับรายจ่ายที่จะทำบัญชีให้ถูกต้องไม่ได้ ใหญ่อย่างไรก็ตามสำนักงานบัญชีระดับท็อป 4 ของโลกคงไม่รับเป็นผู้สอบบัญชีให้ แล้วรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการไปกำกับดูแลให้อยู่กับร่องกับรอยได้อย่างไรกัน

    หรือว่ารัฐบาลนี้จะสนับสนุนให้ธุรกิจสีเทาในประเทศเบ่งบานกันอย่างจริงจังในยุคนี้

    ก็โปรดเขียนเป็นนโยบายไว้ให้ชัดๆเลยได้ไหมครับ ลูกๆหลานๆไทยจะได้รู้ว่าใครเป็นคนคิดทำ

    https://www.thaipost.net/hi-light/725742/#
    20 ม.ค.2568-นายสมหมาย ภาษี อดีตรมว.การคลัง และอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง“ธุรกิจสีเทาในไทยทำไมจึงเบ่งบาน” ระบุว่า คนไทยทุกวันนี้ต่างก็เคยได้ยินเรื่องธุรกิจสีเทาในประเทศเราจนชาชินกันแล้ว และส่วนใหญ่ก็เข้าใจในความหมายว่าเป็นการทำธุรกิจในประเทศไทยโดยชาวต่างชาติที่ไม่ถูกต้องตรงไปตรงมา และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับประเทศของเราอีกด้วย ท่านผู้อ่านคงจะได้ยินข่าวใหญ่ของธุรกิจสีเทาขนาดใหญ่ของคนจีนในภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่สุดของประเทศเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 มีทั้งธุรกิจขายเครื่องประดับล้ำค่าให้นักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่ซากของอาคารขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราเหมือนราชวังย่อมๆให้เห็นอยู่ 2 แห่ง ท่านคงจำได้ว่าช่วงนั้นมีทัวร์ศูนย์เหรียญเข้ามาดำเนินการอยู่ในภูเก็ต และเมืองท่องเที่ยวอื่นอย่างดาษดื่น เมื่อใดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศหนึ่งประเทศใดเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยมากในที่ใด พวกธุรกิจสีเทาก็จะเกิดขึ้นในเมืองนั้น นอกจากจีนแล้ว เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องธุรกิจสีเทาของชาวรัสเซียในพัทยากันอย่างคุ้นหู ในช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเข้ามาที่ภูเก็ตมากก็ได้ข่าวว่าแถวหาดป่าตอง ก็มีพื้นที่บางแห่งถูกเรียกว่า “Little Moscow” ไปแล้ว จริงๆแล้วธุรกิจสีเทาในประเทศไทย ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะ 2 เมืองท่องเที่ยวหลักนี้เท่านั้น เมืองอื่นๆก็มี ส่วนชาวต่างชาติที่มาประกอบธุรกิจสีเทาในไทยก็ไม่ใช่มีแค่ชาวจีนและชาวรัสเซีย แต่ยังมีชนชาติจากยุโรปก็ไม่ใช่น้อย เร็วๆนี้อาจจะเห็นพวกจากแอฟริกาบ้างก็ได้ ถ้าจะมีคำถามว่าทำไมธุรกิจสีเทาในไทยจึงมีมากดาษดื่นมากกว่าประเทศอื่น คำตอบมีชัดเจนครับ ประการแรก คนไทยเราเองจำนวนมากที่ประกอบธุรกิจแบบสีเทาให้ต่างชาติเขาเห็น หรือไม่ก็เข้าไปร่วมทุนกับต่างชาติที่ประกอบธุรกิจสีเทา ประการที่สอง เพราะในเมืองไทยมีกฎหมายควบคุมไม่รัดกุม และข้าราชการก็ไม่ได้ใส่ใจดูแลให้เป็นไปตามตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้สักอย่าง บางรัฐบาลถึงกับจะออกกฎหมายมาก่อให้เกิดธุรกิจสีเทาโดยตรงก็มี ผมต้องขออภัยที่จำเป็นต้องออกความเห็นเรื่อง “โครงการสถานบันเทิงครบวงจร” หรือ “Entertainment Complex” ที่กำลังออกตัวกันอย่างเต็มที่ในขณะนี้ ว่ามันเป็นโครงการที่จะเป็นอันตรายอย่างสุดจะพรรณนาในการเปิดทางให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอย่างแน่นอน และยังหมิ่นเหม่ต่อการเพิ่มแรงกดดันให้กับปัญหาสังคมที่ย่ำแย่ของไทยเกิดความเลวร้ายทับถมตามมาแบบไม่คุ้มค่าอีกมาก และเมื่อฟังให้ชัดก็ได้เห็นความน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก เพราะที่จัดไว้ในที่ดินผืนใหญ่ของการรถไฟไม่ใช่โครงการสถานบันเทิงครบวงจรแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะมีอีก 4-5 แห่งคล้ายกันในท้องที่ของนักการเมืองบ้านใหญ่ทั้งหลาย นี่มันอะไรกัน เอาแต่มาปั้นตัวเลข GDP ว่าจะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้โดยสำนักงานของรัฐไหนก็ไม่รู้ ผมถามตัวเองว่านี่นักการเมืองและข้าราชการไทยเขาเพ้อฝันไปหรือไง หรือว่ามีการเสพกัญชากันมากเกินไปแล้ว เพราะถ้าจะคิดทำให้ดีแบบต่างประเทศที่เขาทำกัน เช่น ที่สิงคโปร์ก็มีเพียง “เดอะ แซนด์(The Sand)” เท่านั้น และมีข้อกำหนดไม่ให้ชาวสิงคโปร์ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเข้าไปในบ่อนโดยเด็ดขาด โดยรัฐบาลเขาจะคุมอย่างเข้มงวดมาก ที่ประเทศจีนอันใหญ่โตมีที่เกาะมาเก๊าเท่านั้น ซึ่งธุรกิจนี้นายทุนใหญ่เจ้าของบ่อนทั้งที่สิงคโปร์ มาเก๊า และลาสเวกัส ชื่อ Mr. Anderson เป็นเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้สนับสนุนพรรค Republican ซึ่งได้เสียชีวิตตอนอายุ 70 ปลายๆไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ของไทยที่จะตั้งในหัวเมืองสำคัญ 4-5 แห่ง ถือว่าเป็นโมเดลที่แปลกเป็นพิเศษในโลก บ่อนคาสิโนนั้นใครๆก็รู้ว่าเป็นธุรกิจสีเทา โกงกันก็ได้ ฟอกเงินก็ได้ แลกเปลี่ยนเงินสกุลไหนอย่างไรก็ได้ แต่รายรับรายจ่ายที่จะทำบัญชีให้ถูกต้องไม่ได้ ใหญ่อย่างไรก็ตามสำนักงานบัญชีระดับท็อป 4 ของโลกคงไม่รับเป็นผู้สอบบัญชีให้ แล้วรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการไปกำกับดูแลให้อยู่กับร่องกับรอยได้อย่างไรกัน หรือว่ารัฐบาลนี้จะสนับสนุนให้ธุรกิจสีเทาในประเทศเบ่งบานกันอย่างจริงจังในยุคนี้ ก็โปรดเขียนเป็นนโยบายไว้ให้ชัดๆเลยได้ไหมครับ ลูกๆหลานๆไทยจะได้รู้ว่าใครเป็นคนคิดทำ https://www.thaipost.net/hi-light/725742/#
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับการแฮ็กข้อมูลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ! เมื่อไม่นานมานี้ มีแฮ็กเกอร์จากจีนที่สามารถเจาะเข้าระบบของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานหลายคน ที่น่าตกใจคือ พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลของ Janet Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ได้ด้วย

    แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์กว่า 400 เครื่อง และไฟล์ที่ไม่เป็นความลับกว่า 3,000 ไฟล์ ซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร การบังคับใช้กฎหมาย และกิจการระหว่างประเทศ แม้ว่าระบบที่เป็นความลับจะไม่ถูกเจาะ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก

    การโจมตีครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่รู้จักกันในชื่อ Silk Typhoon (UNC5221) ซึ่งพวกเขาใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ของ BeyondTrust เพื่อเข้าถึงระบบ กระทรวงการคลังได้ค้นพบการเจาะระบบนี้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม หลังจากที่ BeyondTrust รายงานการถูกโจมตี

    การโจมตีนี้เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มแฮ็กเกอร์จีนที่มุ่งเป้าไปยังหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ก็มีการเจาะเข้าบัญชีอีเมลของ Gina Raimondo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ Nicholas Burns เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinese-hackers-infiltrated-us-treasury-secretarys-pc-attackers-had-access-to-over-400-pcs
    มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับการแฮ็กข้อมูลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ! เมื่อไม่นานมานี้ มีแฮ็กเกอร์จากจีนที่สามารถเจาะเข้าระบบของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานหลายคน ที่น่าตกใจคือ พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลของ Janet Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ได้ด้วย แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์กว่า 400 เครื่อง และไฟล์ที่ไม่เป็นความลับกว่า 3,000 ไฟล์ ซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร การบังคับใช้กฎหมาย และกิจการระหว่างประเทศ แม้ว่าระบบที่เป็นความลับจะไม่ถูกเจาะ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก การโจมตีครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่รู้จักกันในชื่อ Silk Typhoon (UNC5221) ซึ่งพวกเขาใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ของ BeyondTrust เพื่อเข้าถึงระบบ กระทรวงการคลังได้ค้นพบการเจาะระบบนี้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม หลังจากที่ BeyondTrust รายงานการถูกโจมตี การโจมตีนี้เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มแฮ็กเกอร์จีนที่มุ่งเป้าไปยังหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ก็มีการเจาะเข้าบัญชีอีเมลของ Gina Raimondo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ Nicholas Burns เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinese-hackers-infiltrated-us-treasury-secretarys-pc-attackers-had-access-to-over-400-pcs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่อยู่ครับ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ได้ยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทชิปในสิงคโปร์หลังจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าวได้ส่งผลิตภัณฑ์ไปยัง Huawei บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน

    รายงานนี้มาจาก South China Morning Post ซึ่งอ้างอิงจากแหล่งข่าวสามแห่งที่ระบุว่าชิปของ TSMC ถูกพบในโปรเซสเซอร์ AI ของ Huawei ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบและการดำเนินการของ TSMC ต่อบริษัท PowerAIR

    การคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่อ Huawei ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถจัดหาชิปขั้นสูงที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีของสหรัฐได้ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติที่อาจถูกใช้เพื่อทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐ แม้จะมีการคว่ำบาตร แต่มีรายงานหลายฉบับที่ชี้ให้เห็นว่าชิปขั้นสูงของ TSMC ยังคงถูกส่งไปยัง Huawei

    PowerAIR ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กในสิงคโปร์ ได้รับการตรวจสอบจาก TSMC หลังจากพบว่าชิปของ TSMC ถูกใช้ในโปรเซสเซอร์ AI ของ Huawei การคว่ำบาตรของสหรัฐที่เข้มงวดขึ้นในยุคของประธานาธิบดี Biden ทำให้ Huawei ต้องพึ่งพาวิธีการหลายอย่างในการจัดหาชิปขั้นสูงและเทคโนโลยีการผลิตชิป

    Huawei ไม่สามารถเข้าถึงชิปขั้นสูงที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของสหรัฐได้ ทำให้บริษัทต้องพึ่งพา Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ของจีนในการจัดหาชิป SMIC เองก็ถูกคว่ำบาตรจากการจัดหาอุปกรณ์ล่าสุด ทำให้ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนเช่นการทำหลายลวดลายเพื่อผลิตชิปขั้นสูง ซึ่งลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์และเพิ่มต้นทุนการผลิต ข้อจำกัดที่ป้องกันไม่ให้ SMIC ของจีนจัดหาเครื่องจักร EUV ทำให้ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนในการผลิตชิปล่าสุด ซึ่งลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์และเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้ SMIC อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับผู้ผลิตชิปรายอื่น

    รายงานในเดือนพฤศจิกายนจาก Financial Times ระบุว่า TSMC ชี้แจงว่าชิปที่พบในโปรเซสเซอร์ Ascend 910B ของ Huawei ถูกส่งก่อนที่การคว่ำบาตรของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Huawei ได้เพิ่มความพยายามในการดึงดูดวิศวกรของ TSMC โดยเสนอเงินเดือนสามเท่าและสิทธิประโยชน์อื่นๆ

    https://wccf.tech/1fsp9
    ข่าวใหญ่อยู่ครับ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ได้ยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทชิปในสิงคโปร์หลังจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าวได้ส่งผลิตภัณฑ์ไปยัง Huawei บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน รายงานนี้มาจาก South China Morning Post ซึ่งอ้างอิงจากแหล่งข่าวสามแห่งที่ระบุว่าชิปของ TSMC ถูกพบในโปรเซสเซอร์ AI ของ Huawei ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบและการดำเนินการของ TSMC ต่อบริษัท PowerAIR การคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่อ Huawei ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถจัดหาชิปขั้นสูงที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีของสหรัฐได้ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติที่อาจถูกใช้เพื่อทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐ แม้จะมีการคว่ำบาตร แต่มีรายงานหลายฉบับที่ชี้ให้เห็นว่าชิปขั้นสูงของ TSMC ยังคงถูกส่งไปยัง Huawei PowerAIR ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กในสิงคโปร์ ได้รับการตรวจสอบจาก TSMC หลังจากพบว่าชิปของ TSMC ถูกใช้ในโปรเซสเซอร์ AI ของ Huawei การคว่ำบาตรของสหรัฐที่เข้มงวดขึ้นในยุคของประธานาธิบดี Biden ทำให้ Huawei ต้องพึ่งพาวิธีการหลายอย่างในการจัดหาชิปขั้นสูงและเทคโนโลยีการผลิตชิป Huawei ไม่สามารถเข้าถึงชิปขั้นสูงที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของสหรัฐได้ ทำให้บริษัทต้องพึ่งพา Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ของจีนในการจัดหาชิป SMIC เองก็ถูกคว่ำบาตรจากการจัดหาอุปกรณ์ล่าสุด ทำให้ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนเช่นการทำหลายลวดลายเพื่อผลิตชิปขั้นสูง ซึ่งลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์และเพิ่มต้นทุนการผลิต ข้อจำกัดที่ป้องกันไม่ให้ SMIC ของจีนจัดหาเครื่องจักร EUV ทำให้ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนในการผลิตชิปล่าสุด ซึ่งลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์และเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้ SMIC อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับผู้ผลิตชิปรายอื่น รายงานในเดือนพฤศจิกายนจาก Financial Times ระบุว่า TSMC ชี้แจงว่าชิปที่พบในโปรเซสเซอร์ Ascend 910B ของ Huawei ถูกส่งก่อนที่การคว่ำบาตรของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Huawei ได้เพิ่มความพยายามในการดึงดูดวิศวกรของ TSMC โดยเสนอเงินเดือนสามเท่าและสิทธิประโยชน์อื่นๆ https://wccf.tech/1fsp9
    WCCF.TECH
    TSMC Cuts Ties With Another Firm For Supplying Huawei With AI Chips - Report
    The Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) has cut off ties with another firm over supplying chips to Huawei.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ยินเหมือนอิป้าจะลั่นว่ามีข่าวใหญ่ สัปดาห์หน้าพี่คิงส์ก็มีนะ ไม่รู้ข่าวไหนใหญ่กว่ากัน โย่ว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ได้ยินเหมือนอิป้าจะลั่นว่ามีข่าวใหญ่ สัปดาห์หน้าพี่คิงส์ก็มีนะ ไม่รู้ข่าวไหนใหญ่กว่ากัน โย่ว #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 ข่าวใหญ่ของโลก ปี2024 : คนเคาะข่าว 26-12-67
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว
    10 ข่าวใหญ่ของโลก ปี2024 : คนเคาะข่าว 26-12-67 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 480 มุมมอง 14 1 รีวิว
  • ลุงบ้านป่า เก้าอี้ร้อน หวานใจถูกตรวจสอบเส้นเงิน
    คนบ้านป่าคงร้อนรุ่มใจยิ่งนัก หลังทําท่าว่ากล่องดวงใจคนสําคัญ กําลังจะโดนฝ่ายตรงข้ามการเมืองไล่ทุบหนักเพราะจากเดิมเป็นแค่กระแสข่าวว่าทางตํารวจ ดีเอฟไอ ปปง จะดําเนินคดีหวานใจ บิ๊กเนมการเมืองอดีตรองนายกรัฐมนตรีเพราะพบเส้นทางการเงินหวานใจคนดังกล่าว ไปพันกับธุรกิจ ธุรกรรมการทํารีสอร์ทหรูในไร่แห่งหนึ่งที่สระบุรี
    ที่เคยถูกตรวจสอบพบว่าบุกรุกที่ สปก โดยเป็นข่าวมาได้หลายสัปดาห์แล้วแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้กลับมาร้อนแรงขึ้นทันทีหลังบิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ยอมรับว่าตอนนี้ตํารวจได้ร่วมกับปปช ปปทและธนดล สุวรรณฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร สืบสวนทางลึกเพื่อขยายผลกรณีก่อนหน้านี้ เข้าตรวจสอบรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง จังหวัดสระบุรี บุกรุกครอบครองที่ สปก โดยไม่ชอบ ต่อมามีการขยายผลพบเส้นการเงิน ผู้บริหารรีสอร์ท โยงถึงบุคคลใกล้ชิดของผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองพรรคหนึ่งประมาณ 10ล้านบาทเชื่อมโยงหวานใจบิ๊กเนมคนดังกล่าว
    โดยเส้นทางเงินเกิดขึ้นในช่วงพรรคการเมืองของผู้ใหญ่คนดังกล่าวกําลังมีอํานาจอันเป็นท่าทีของบิ๊กเต่า ที่สอดประสานเล่นคีย์โน้ตเดียวกับธนดล สุวรรณฤทธิ์ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรตั้งแต่ยุคร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่าเป็นรัฐมนตรีเกษตร
    ธนดลออกมาระบุว่ามีการขยายผลการตรวจสอบรีสอร์ทดังกล่าวพบว่าเรื่องนี้มีหวานใจอดีตรองนายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยพร้อม บอกให้จับตาเดือนธันวาคมนี้จะมีข่าวใหญ่อ้างว่าตรวจสอบแล้วพบเส้นทางการเงิน ที่ถูกโอนจากบริษัทของนักธุรกิจผู้บริหารรีสอร์ทเข้าบัญชีของหญิงคนสนิท 5 ครั้งในวันเดียวกัน ครั้งละ 2,000,000รวม เป็นเงิน 10,000,000 โอนมาเป็นเงินติดล้อเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ จับอาการทั้งธนดล เด็กปั้นธรรมนัสที่แตกหักบ้านป่ารอยต่อแล้วเลือกอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตรที่ ส่งธนดล เดินหน้าตรวจสอบหวานใจบิ๊กเนมการเมืองคนดังกล่าว
    แวดวงการเมืองรู้กันดีว่าใครคือ หวานใจบิ๊กการเมืองคนดังกล่าว แค่ไปแกะรอยข่าวคําให้สัมภาษณ์ของ ดร นฤมล รัฐมนตรีเกษตร ที่สื่อถามถึงเรื่องการตรวจสอบการรุกที่ สปก ที่สระบุรี โดยสื่อเอ่ยชื่อ พล อ ประวิตร วงษ์สุวรรณอย่างน้อย 2 รอบปรากฏว่าด็อกเตอร์นฤมล อดีตคนพลังประชารัฐที่เข้าออกบ้านป่ารอยต่อแบบไม่ต้องจองคิวนัด แม้จะอ้ําๆอึงๆที่เจอคําถามเอ่ยชื่อถึงอดีตบอสการเมืองของตัวเองแบบตรงตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพียงแต่ออกตัวตีกรรเชียงชิ่งว่ายังไม่ได้รับรายงานโดยไม่ได้ปฏิเสธหลังสื่อ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ลุงบ้านป่า เก้าอี้ร้อน หวานใจถูกตรวจสอบเส้นเงิน คนบ้านป่าคงร้อนรุ่มใจยิ่งนัก หลังทําท่าว่ากล่องดวงใจคนสําคัญ กําลังจะโดนฝ่ายตรงข้ามการเมืองไล่ทุบหนักเพราะจากเดิมเป็นแค่กระแสข่าวว่าทางตํารวจ ดีเอฟไอ ปปง จะดําเนินคดีหวานใจ บิ๊กเนมการเมืองอดีตรองนายกรัฐมนตรีเพราะพบเส้นทางการเงินหวานใจคนดังกล่าว ไปพันกับธุรกิจ ธุรกรรมการทํารีสอร์ทหรูในไร่แห่งหนึ่งที่สระบุรี ที่เคยถูกตรวจสอบพบว่าบุกรุกที่ สปก โดยเป็นข่าวมาได้หลายสัปดาห์แล้วแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้กลับมาร้อนแรงขึ้นทันทีหลังบิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ยอมรับว่าตอนนี้ตํารวจได้ร่วมกับปปช ปปทและธนดล สุวรรณฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร สืบสวนทางลึกเพื่อขยายผลกรณีก่อนหน้านี้ เข้าตรวจสอบรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง จังหวัดสระบุรี บุกรุกครอบครองที่ สปก โดยไม่ชอบ ต่อมามีการขยายผลพบเส้นการเงิน ผู้บริหารรีสอร์ท โยงถึงบุคคลใกล้ชิดของผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองพรรคหนึ่งประมาณ 10ล้านบาทเชื่อมโยงหวานใจบิ๊กเนมคนดังกล่าว โดยเส้นทางเงินเกิดขึ้นในช่วงพรรคการเมืองของผู้ใหญ่คนดังกล่าวกําลังมีอํานาจอันเป็นท่าทีของบิ๊กเต่า ที่สอดประสานเล่นคีย์โน้ตเดียวกับธนดล สุวรรณฤทธิ์ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรตั้งแต่ยุคร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่าเป็นรัฐมนตรีเกษตร ธนดลออกมาระบุว่ามีการขยายผลการตรวจสอบรีสอร์ทดังกล่าวพบว่าเรื่องนี้มีหวานใจอดีตรองนายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยพร้อม บอกให้จับตาเดือนธันวาคมนี้จะมีข่าวใหญ่อ้างว่าตรวจสอบแล้วพบเส้นทางการเงิน ที่ถูกโอนจากบริษัทของนักธุรกิจผู้บริหารรีสอร์ทเข้าบัญชีของหญิงคนสนิท 5 ครั้งในวันเดียวกัน ครั้งละ 2,000,000รวม เป็นเงิน 10,000,000 โอนมาเป็นเงินติดล้อเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ จับอาการทั้งธนดล เด็กปั้นธรรมนัสที่แตกหักบ้านป่ารอยต่อแล้วเลือกอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตรที่ ส่งธนดล เดินหน้าตรวจสอบหวานใจบิ๊กเนมการเมืองคนดังกล่าว แวดวงการเมืองรู้กันดีว่าใครคือ หวานใจบิ๊กการเมืองคนดังกล่าว แค่ไปแกะรอยข่าวคําให้สัมภาษณ์ของ ดร นฤมล รัฐมนตรีเกษตร ที่สื่อถามถึงเรื่องการตรวจสอบการรุกที่ สปก ที่สระบุรี โดยสื่อเอ่ยชื่อ พล อ ประวิตร วงษ์สุวรรณอย่างน้อย 2 รอบปรากฏว่าด็อกเตอร์นฤมล อดีตคนพลังประชารัฐที่เข้าออกบ้านป่ารอยต่อแบบไม่ต้องจองคิวนัด แม้จะอ้ําๆอึงๆที่เจอคําถามเอ่ยชื่อถึงอดีตบอสการเมืองของตัวเองแบบตรงตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพียงแต่ออกตัวตีกรรเชียงชิ่งว่ายังไม่ได้รับรายงานโดยไม่ได้ปฏิเสธหลังสื่อ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 864 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่จริง ๆ ครับ !!!
    Pat Gelsinger ซีอีโอของ Intel ได้ประกาศเกษียณอายุและ "ลาออก" จากตำแหน่งทันที
    Intel ได้แต่งตั้ง David Zinsner และ Michelle Johnston Holthaus เป็นซีอีโอร่วมชั่วคราวในขณะที่บอร์ดบริหารเริ่มค้นหาซีอีโอคนใหม่ มีการคาดการณ์ว่า Gelsinger อาจถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ไม่ดีของบริษัทในตลาดหุ้น

    Gelsinger ใช้เวลามากกว่า 40 ปีที่ Intel และกลับมาเป็นซีอีโอในปี 2021 หลังจากดำรงตำแหน่งซีอีโอของ VMware. ในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่ง Intel ได้เผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการลดต้นทุนอย่างรุนแรงและการปลดพนักงานมากกว่า 15%

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างใหม่ของ Intel เพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเดียวแล้วไปจ้างบริษัทอื่นผลิตให้ครับ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-pat-gelsinger-retires-effective-immediately-also-steps-down-from-bod-two-co-ceos-step-in
    ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่จริง ๆ ครับ !!! Pat Gelsinger ซีอีโอของ Intel ได้ประกาศเกษียณอายุและ "ลาออก" จากตำแหน่งทันที Intel ได้แต่งตั้ง David Zinsner และ Michelle Johnston Holthaus เป็นซีอีโอร่วมชั่วคราวในขณะที่บอร์ดบริหารเริ่มค้นหาซีอีโอคนใหม่ มีการคาดการณ์ว่า Gelsinger อาจถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ไม่ดีของบริษัทในตลาดหุ้น Gelsinger ใช้เวลามากกว่า 40 ปีที่ Intel และกลับมาเป็นซีอีโอในปี 2021 หลังจากดำรงตำแหน่งซีอีโอของ VMware. ในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่ง Intel ได้เผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการลดต้นทุนอย่างรุนแรงและการปลดพนักงานมากกว่า 15% การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างใหม่ของ Intel เพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเดียวแล้วไปจ้างบริษัทอื่นผลิตให้ครับ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-pat-gelsinger-retires-effective-immediately-also-steps-down-from-bod-two-co-ceos-step-in
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่ของตะวันออกกลาง!
    ผู้บัญชาการทหารของซาอุดีอาระเบีย มีกำหนดเดินทางเยือนอิหร่านในวันนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางทหาร และอาจรวมถึงการซ้อมรบร่วมในอนาคต

    ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านพยายามปรับระดับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆสร้างความกังวลให้กับรัฐบาลของไบเดนมาตลอด
    ข่าวใหญ่ของตะวันออกกลาง! ผู้บัญชาการทหารของซาอุดีอาระเบีย มีกำหนดเดินทางเยือนอิหร่านในวันนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางทหาร และอาจรวมถึงการซ้อมรบร่วมในอนาคต ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านพยายามปรับระดับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆสร้างความกังวลให้กับรัฐบาลของไบเดนมาตลอด
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า

    “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล

    หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท

    คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ

    ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร"

    สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี

    2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน)

    ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

    ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก

    ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ

    นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้

    สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก"

    สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า

    - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5%
    - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด

    ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น

    และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น

    ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด

    ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก"

    นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ

    ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร

    รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่"

    ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น"

    ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565)

    โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว

    ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร

    อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์"

    เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

    ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น

    ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก

    นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย

    ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท)

    ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท

    จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว

    แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ

    สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์

    ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง

    นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้

    หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565)

    พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง"

    อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย

    วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ

    พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย"

    หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน

    เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571

    และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้

    เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ

    คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ

    ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่?

    นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท

    ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย

    ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ

    อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท"

    แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน"

    การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป

    และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

    จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท

    คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า

    "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์"

    เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย

    ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น

    คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้

    - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต

    - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5%

    แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ

    และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง

    ------------------------

    นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป"

    เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว

    เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้

    กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป

    พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก

    สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง

    แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง

    สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก

    เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย

    ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้”
    ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร" สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี 2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้ สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก" สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5% - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก" นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่" ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น" ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565) โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท) ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์ ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565) พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง" อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย" หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571 และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้ เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่? นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท" แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน" การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์" เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้ - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5% แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง ------------------------ นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป" เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้ กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้” ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1101 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร?

    เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้
    “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน
    .
    ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า
    .
    ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ
    .
    ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป
    .
    ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์
    .
    เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน
    .
    โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย
    .
    ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม'
    .
    ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift
    .
    ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี
    .
    จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที
    .
    บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้
    .
    และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น
    .
    ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน
    .
    แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม
    .
    นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก
    .
    แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง)
    .
    ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
    .
    ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“

    ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร? เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน . ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า . ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ . ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป . ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ . เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน . โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย . ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม' . ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift . ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี . จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที . บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้ . และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น . ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน . แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม . นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก . แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง) . ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง . ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“ ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 831 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่วันนี้ คิงส์ฯโดนโจรวบแล้ว โดยเอไอทัพเมกา เช็ดดดดดด
    อ๊อสก้าต้องเข้าแล้ว
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ข่าวใหญ่วันนี้ คิงส์ฯโดนโจรวบแล้ว โดยเอไอทัพเมกา เช็ดดดดดด อ๊อสก้าต้องเข้าแล้ว #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 779 มุมมอง 0 รีวิว
  • เค้าก็ไม่เคยบอกใครนะ ว่าพี่ปูเขาเป็นสุภาพบุรุษนักบุญ……
    แต่คนที่จะเอาชนะกับกลุ่มมารที่ทึ้งแทะประเทศ……มันก็มีบทโหด……และ ไม่ใช่โหดเฉยๆ แต่โคตรโหดเลยจ้าาาาา
    นี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำจิ้มนะจ๊ะ…

    ตอนสิบเจ็ด…..…ฆาตกรรมข้ามแดนที่เรียงเป็นซีรี่ย์……เป็นเรื่องตะวันตกเขาว่าเขารับไม่ได้………!!

    ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่องของ Aleksandr Litvinenko ที่โดนยาพิษไปแล้ว จะเอามาแปะให้ข้างล่าง แต่……เขายังเป็นอะไรที่มีโอกาสสั่งเสีย และมีเวลาเขียนจดหมายอาฆาตแค้นถึงปูติน
    ก่อนที่จะลาลับไปจากโลกนี้
    แต่ก่อนหน้านั้นหกอาทิตย์ ……คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกระพริบตา คือ Anna Politkovskaya **วัย 48 นักข่าว นักเคลื่อนไหว
    นักเขียน ที่มีสัญชาติอเมริกัน (เชื้อชาติรัสเซีย)
    ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปูตินมาโดยตลอด เธอถือว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากสถานทูตอเมริกัน จึงกล้าเขียนวิจารณ์ทั้งสื่อใน และ นอกประเทศ
    งานหลักของเธอคือ การจิกกัดในเรื่องของสงครามที่เชเชน
    โดยจะทำรายงานสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ว่า ใครได้ถูกเก็บไปบ้าง และติเตียนปูตินที่เอา Ramzan Kadyrov จิ๊กโก๋บ้าดีเดือด มาเป็นผู้ว่าการรัฐ ที่เธอเปรียบเปรย และดูถูก ว่า ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท กระหายเลือด และ โง่.……!!ว
    วันที่ 7 ตุลาคม 2006 ที่เธอกำลังขึ้นลิฟท์ที่พัก……มือปืนได้บุกเข้ายิงเธอสี่นัด และวางปืนไว้ข้างๆร่างของเธอ เป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นการจ้างวาน…

    เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจกลางกรุงมอสโคว์ เหยื่อเป็นนักข่าว เป็นผู้หญิง และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
    แน่นอนว่า…..ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ปูตินพียงคนเดียว
    และไม่มีใครออกมาให้ข่าวอะไรเพื่อที่จะเคลียร์ตัวเอง
    จนสามวันถัดไปที่เป็นวันฝังร่างที่มีผู้คนไปร่วมงานนับพัน
    ที่ปูตินเดินทางไปที่ Dresden ในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาดาม Angela Merkel ที่มาแทน Gerhard Schroeder
    ในการพบกัน แองเจลาได้พยายามที่จะถามคุ้ยถึงเรื่องฆาตกรรม แต่ปูตินพูดเรียบๆว่า
    “มันเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก..แต่การที่หล่อนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย เขียนข้อความที่ต่อต้านมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลอะไรกับรัฐบาลเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปทำการที่ทำให้เกิดผลเสีย……คนที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมนี้ คือกลุ่มที่มีความตั้งใจจะให้เราเป็นแพะ……”
    เขาพูดต่อว่า…
    “เรามีศัตรูที่ฝังตัวอยู่ในและนอกรัสเซียมากมาย ที่พร้อมที่จะสาดโคลนให้เราเสียชื่อเสียงตลอดเวลา”
    นั่นเขาหมายถึง Litvinenko ที่ไปตั้งแก๊งค์รวมกลุ่มกับ Boris Berezovsky ที่ลอนดอน

    ~~สาวให้ลึกเข้าไปอีกนิดนะคะ Litvinenko (จะเรียกว่า Lit) กับ Anna อยู่ในขบวนการเดียวกัน เธอได้บินไปเยี่ยมเขาถึงในลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลของสงครามเชเชน……เพราะ Lit ได้เจาะในเรื่องการที่เหล่าผู้นำฝ่ายกบฏถูกตามเก็บไปทีละคนสองคน จนเป็นการจบสิ้นขบวนการขัดแย้ง
    เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวัน หลังจากการจากไปของแอนนาเพียงหกอาทิตย์
    ทั้งสองคดีนี้……จับคนร้ายได้ทั้งขบวนการ ติดคุกกันไปคนบะหลายปี แต่จับตัวผู้บงการไม่ได้
    และ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นอดีต FSB
    ส่วนจดหมายอาฆาตแค้นที่ Lit เขียนถึงปูติน………
    เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากแสดงความเสียใจ……เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำอย่างเดียวกันกับการฆาตกรรมของแอนนา

    แต่เนื่องจากกระแสข่าวที่ได้ถูกจุดขึ้นมา สื่อตะวันตกจึงได้ใช้กระแสนี้ ขุดเอาการตายอย่างน่าสงสัยของคนหลายๆคนในอดีตขึ้นมาด้วย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ FSB เพราะ Boris Berezovsky อดีตเจ้าพ่อสื่อตั้งตัวเป็นศัตรูที่เปิดหน้าชกกับปูติน……แบบข้ามทวีป……ลอนดอน-มอสโคว์

    ปูตินเหลือเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกเพียงปีเศษ เพราะการเลือกตั้งจะมีในปี 2008 เขาจึงหันมาสนใจที่จะเร่งมือทำทุกอย่างให้เสร็จตามแผน ส่วนเรื่องที่จะหาใครมาเป็นแคนดิเดต
    คนต่อไป.…เขายังไม่คิด
    สิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ คือ การที่จะเอารัสเซียไปเป็นเจ้าภาพในกีฬาฤดูหนาวของโอลิมปิก 2014 เพราะตั้งแต่ ปี 1980 ที่โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก (ฤดูร้อน) ที่มอสโคว์แล้ว
    จากนั้นมา…ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะการแซงชั่น (สงครามอาฟกานิสถาน) และ มาตรฐานไม่ผ่าน
    ปูตินบินไปกัวเตมาลา ในเดือนกรกฎาคม 2007
    สำหรับการประชุมนอกรอบเกี่ยวกับการขอเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว กับ International Olympic Committee เพราะเขาเห็นว่าถึงเวลาที่รัสเซียจะต้องอวดโฉมให้กับชาวโลกได้เห็นว่า………รัสเซียไม่ใช่ประเทศหลังเขาอย่างแต่ก่อน
    อีกทั้งปูตินเอง เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้รัสเซียได้เป็นเจ้าภาพของโอลิมปิกให้ได้
    เพราะเขารู้จัก Sochi ดี….และเห็นว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศที่จะจัดแข่งสกีได้ไม่แพ้ที่ไหนในโลก
    เขาเรียกประชุมเหล่า CEO ทั้งหลาย เพื่อที่จะทุ่มทุนสร้าง Ski Resort แบบมาตรฐานโลก……เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า…!!
    ทุกคนขานรับ….

    การประชุมที่กัวเตมาลาครั้งต่อมา ที่จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้
    ข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ และ ต้องได้มาตรฐานสูงสุด
    ที่จะมีการโหวตสองครั้ง ครั้งแรก คือการคัดเลือกเข้ารอบ
    ครั้งที่สอง คือการตัดสิน

    รอบแรกของการคัดเลือก ผ่านเข้ามาสามประเทศ คือ ออสเตรีย, เกาหลีใต้……และรัสเซีย ที่เกาหลีใต้เฉือนรัสเซียสี่คะแนน ส่วนออสเตรียมารั้งท้าย
    ปูตินรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน……

    ในการประชุมตัดสินรอบต่อไป……ที่เหลือระหว่างเกาหลีใต้กับรัสเซีย
    เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน……
    ทุกคนตกตะลึง……ไม่เชื่อหู…คือ เขา present โครงการที่ทันสมัย และความสวยงามของ Sochi เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ตบท้ายด้วยการสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส
    และทันทีที่กล่าวเสร็จ……เขาไม่อยู่รอฟังการตัดสิน บินกลับมอสโคว์ทันที
    เพราะ ปูตินไม่อยากอยู่สู้หน้าใคร ถ้าหากว่า รัสเซียหลุดไปจากโผ เพราะเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักทั้งสมองและจิตใจ…
    และไม่อยากเผชิญกับใบหน้าที่ยิ้มเยาะของพวกตะวันตก……

    เจ้าหน้าที่ที่กัวเตมาลาได้โทรหาเขาในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เพื่อแสดงความยินดีที่ Sochi ได้รับเลือกในการที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาฤดูหนาว
    ปูตินดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบโทรศัพท์ไปขอบคุณประธานและคณะกรรมการทันที

    ทันทีที่เครื่องบินได้แตะพื้นดินรัสเซีย เขาพบว่าประชาชนทุกคนมีรอยยิ้มอย่างแจ่มใสบนใบหน้า ทุกคนดีใจกับเกียรติภูมิของรัสเซียที่เขาได้นำกลับมาอีกครั้ง
    กระแสความนิยมของปูตินได้พุ่งถึงขีดสุด………

    นั่นเป็นการยืนยันกับประชาชนอย่างหนักแน่นว่า………รัสเซียกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เค้าก็ไม่เคยบอกใครนะ ว่าพี่ปูเขาเป็นสุภาพบุรุษนักบุญ…… แต่คนที่จะเอาชนะกับกลุ่มมารที่ทึ้งแทะประเทศ……มันก็มีบทโหด……และ ไม่ใช่โหดเฉยๆ แต่โคตรโหดเลยจ้าาาาา นี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำจิ้มนะจ๊ะ… ตอนสิบเจ็ด…..…ฆาตกรรมข้ามแดนที่เรียงเป็นซีรี่ย์……เป็นเรื่องตะวันตกเขาว่าเขารับไม่ได้………!! ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่องของ Aleksandr Litvinenko ที่โดนยาพิษไปแล้ว จะเอามาแปะให้ข้างล่าง แต่……เขายังเป็นอะไรที่มีโอกาสสั่งเสีย และมีเวลาเขียนจดหมายอาฆาตแค้นถึงปูติน ก่อนที่จะลาลับไปจากโลกนี้ แต่ก่อนหน้านั้นหกอาทิตย์ ……คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกระพริบตา คือ Anna Politkovskaya **วัย 48 นักข่าว นักเคลื่อนไหว นักเขียน ที่มีสัญชาติอเมริกัน (เชื้อชาติรัสเซีย) ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปูตินมาโดยตลอด เธอถือว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากสถานทูตอเมริกัน จึงกล้าเขียนวิจารณ์ทั้งสื่อใน และ นอกประเทศ งานหลักของเธอคือ การจิกกัดในเรื่องของสงครามที่เชเชน โดยจะทำรายงานสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ว่า ใครได้ถูกเก็บไปบ้าง และติเตียนปูตินที่เอา Ramzan Kadyrov จิ๊กโก๋บ้าดีเดือด มาเป็นผู้ว่าการรัฐ ที่เธอเปรียบเปรย และดูถูก ว่า ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท กระหายเลือด และ โง่.……!!ว วันที่ 7 ตุลาคม 2006 ที่เธอกำลังขึ้นลิฟท์ที่พัก……มือปืนได้บุกเข้ายิงเธอสี่นัด และวางปืนไว้ข้างๆร่างของเธอ เป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นการจ้างวาน… เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจกลางกรุงมอสโคว์ เหยื่อเป็นนักข่าว เป็นผู้หญิง และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แน่นอนว่า…..ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ปูตินพียงคนเดียว และไม่มีใครออกมาให้ข่าวอะไรเพื่อที่จะเคลียร์ตัวเอง จนสามวันถัดไปที่เป็นวันฝังร่างที่มีผู้คนไปร่วมงานนับพัน ที่ปูตินเดินทางไปที่ Dresden ในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาดาม Angela Merkel ที่มาแทน Gerhard Schroeder ในการพบกัน แองเจลาได้พยายามที่จะถามคุ้ยถึงเรื่องฆาตกรรม แต่ปูตินพูดเรียบๆว่า “มันเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก..แต่การที่หล่อนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย เขียนข้อความที่ต่อต้านมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลอะไรกับรัฐบาลเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปทำการที่ทำให้เกิดผลเสีย……คนที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมนี้ คือกลุ่มที่มีความตั้งใจจะให้เราเป็นแพะ……” เขาพูดต่อว่า… “เรามีศัตรูที่ฝังตัวอยู่ในและนอกรัสเซียมากมาย ที่พร้อมที่จะสาดโคลนให้เราเสียชื่อเสียงตลอดเวลา” นั่นเขาหมายถึง Litvinenko ที่ไปตั้งแก๊งค์รวมกลุ่มกับ Boris Berezovsky ที่ลอนดอน ~~สาวให้ลึกเข้าไปอีกนิดนะคะ Litvinenko (จะเรียกว่า Lit) กับ Anna อยู่ในขบวนการเดียวกัน เธอได้บินไปเยี่ยมเขาถึงในลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลของสงครามเชเชน……เพราะ Lit ได้เจาะในเรื่องการที่เหล่าผู้นำฝ่ายกบฏถูกตามเก็บไปทีละคนสองคน จนเป็นการจบสิ้นขบวนการขัดแย้ง เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวัน หลังจากการจากไปของแอนนาเพียงหกอาทิตย์ ทั้งสองคดีนี้……จับคนร้ายได้ทั้งขบวนการ ติดคุกกันไปคนบะหลายปี แต่จับตัวผู้บงการไม่ได้ และ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นอดีต FSB ส่วนจดหมายอาฆาตแค้นที่ Lit เขียนถึงปูติน……… เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากแสดงความเสียใจ……เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำอย่างเดียวกันกับการฆาตกรรมของแอนนา แต่เนื่องจากกระแสข่าวที่ได้ถูกจุดขึ้นมา สื่อตะวันตกจึงได้ใช้กระแสนี้ ขุดเอาการตายอย่างน่าสงสัยของคนหลายๆคนในอดีตขึ้นมาด้วย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ FSB เพราะ Boris Berezovsky อดีตเจ้าพ่อสื่อตั้งตัวเป็นศัตรูที่เปิดหน้าชกกับปูติน……แบบข้ามทวีป……ลอนดอน-มอสโคว์ ปูตินเหลือเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกเพียงปีเศษ เพราะการเลือกตั้งจะมีในปี 2008 เขาจึงหันมาสนใจที่จะเร่งมือทำทุกอย่างให้เสร็จตามแผน ส่วนเรื่องที่จะหาใครมาเป็นแคนดิเดต คนต่อไป.…เขายังไม่คิด สิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ คือ การที่จะเอารัสเซียไปเป็นเจ้าภาพในกีฬาฤดูหนาวของโอลิมปิก 2014 เพราะตั้งแต่ ปี 1980 ที่โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก (ฤดูร้อน) ที่มอสโคว์แล้ว จากนั้นมา…ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะการแซงชั่น (สงครามอาฟกานิสถาน) และ มาตรฐานไม่ผ่าน ปูตินบินไปกัวเตมาลา ในเดือนกรกฎาคม 2007 สำหรับการประชุมนอกรอบเกี่ยวกับการขอเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว กับ International Olympic Committee เพราะเขาเห็นว่าถึงเวลาที่รัสเซียจะต้องอวดโฉมให้กับชาวโลกได้เห็นว่า………รัสเซียไม่ใช่ประเทศหลังเขาอย่างแต่ก่อน อีกทั้งปูตินเอง เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้รัสเซียได้เป็นเจ้าภาพของโอลิมปิกให้ได้ เพราะเขารู้จัก Sochi ดี….และเห็นว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศที่จะจัดแข่งสกีได้ไม่แพ้ที่ไหนในโลก เขาเรียกประชุมเหล่า CEO ทั้งหลาย เพื่อที่จะทุ่มทุนสร้าง Ski Resort แบบมาตรฐานโลก……เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า…!! ทุกคนขานรับ…. การประชุมที่กัวเตมาลาครั้งต่อมา ที่จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ และ ต้องได้มาตรฐานสูงสุด ที่จะมีการโหวตสองครั้ง ครั้งแรก คือการคัดเลือกเข้ารอบ ครั้งที่สอง คือการตัดสิน รอบแรกของการคัดเลือก ผ่านเข้ามาสามประเทศ คือ ออสเตรีย, เกาหลีใต้……และรัสเซีย ที่เกาหลีใต้เฉือนรัสเซียสี่คะแนน ส่วนออสเตรียมารั้งท้าย ปูตินรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…… ในการประชุมตัดสินรอบต่อไป……ที่เหลือระหว่างเกาหลีใต้กับรัสเซีย เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน…… ทุกคนตกตะลึง……ไม่เชื่อหู…คือ เขา present โครงการที่ทันสมัย และความสวยงามของ Sochi เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ตบท้ายด้วยการสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส และทันทีที่กล่าวเสร็จ……เขาไม่อยู่รอฟังการตัดสิน บินกลับมอสโคว์ทันที เพราะ ปูตินไม่อยากอยู่สู้หน้าใคร ถ้าหากว่า รัสเซียหลุดไปจากโผ เพราะเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักทั้งสมองและจิตใจ… และไม่อยากเผชิญกับใบหน้าที่ยิ้มเยาะของพวกตะวันตก…… เจ้าหน้าที่ที่กัวเตมาลาได้โทรหาเขาในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เพื่อแสดงความยินดีที่ Sochi ได้รับเลือกในการที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาฤดูหนาว ปูตินดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบโทรศัพท์ไปขอบคุณประธานและคณะกรรมการทันที ทันทีที่เครื่องบินได้แตะพื้นดินรัสเซีย เขาพบว่าประชาชนทุกคนมีรอยยิ้มอย่างแจ่มใสบนใบหน้า ทุกคนดีใจกับเกียรติภูมิของรัสเซียที่เขาได้นำกลับมาอีกครั้ง กระแสความนิยมของปูตินได้พุ่งถึงขีดสุด……… นั่นเป็นการยืนยันกับประชาชนอย่างหนักแน่นว่า………รัสเซียกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง………!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • #EP2
    เอากันตามตรง ถ้าขายแบบตรงๆ กำไรน้อย..ส่วนที่กำไรชัดเจน คือ 2 สิ่ง คือ ส่วนต่างเปอร์เซ็นต์ทอง กับส่วนต่างของค่าแรงช่างขึ้นงาน (สมมุติจ้างช่างชิ้นละ 200 ก็เก็บ 4-600 เป็นต้น งานตลับแพงกว่านี้ 1500-3000)
    ก็เหมือนร้านขายทองรูปพรรณ ถ้าขายปกติอย่างเดียว กำไรแค่ค่ากำเน็จ และอาจกำไรราคาทองที่เปลี่ยนแปลง ..(แต่อันนี้มันไม่ยั่งยืน สมมุติคุณมี Stock 3 กิโล คุณก็กำไรแค่ 3 กิโลนั้น ..แล้วไงต่อ คุณก็ต้องไปหามาใหม่ 3 กิโล ในราคาตลาด...เพื่อมาขาย ทำธุรกิจต่อ..หรือจะกำไรแล้วเลิกเลย .ก็คงไม่ใช่
    ส่วนที่กำไรจริงๆคือ รับซื้อทองเก่า รับจำนำแล้วขาดส่ง ระยะหลังมีระบบออมทอง มีคนเอาเงินมาฝากไว้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย..
    วันนี้ข่าวใหญ่ เรื่องซื้อทองในเฟส หรือ Tiktok ไม่ทราบ แล้วเอาไปขาย สรุปขายไม่ได้...อยากบอกว่า ด้วยความที่ผู้เขียนสนิทกับเศรษญีชาวจีนท่านนึง เทคโนโลยีเคลือบทองคำแบบนี้ มีมา 15 ปีแล้ว พร้อมใบ certificate ครบ การันตี Gold 99.9 .(ผู้เขียนได้มา 15 ปีก่อน เป็นแบงค์ Us dollars ทองคำ (แต่ทำโดยจีน)
    ...ออกตัวก่อน ส่วนตัวไม่ได้อ่าน ว่าใครขาย ใครซื้อ และไม่ทราบด้วย และมันไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงไม่ได้สนใจ . ,
    ..แต่บอกได้อย่างนึง ถ้าขายเป็นทองแท้ แต่เขาพิสูจน์แล้วไม่ใช่ทองคำ และถ้ามีผู้เสียหายจำนวนมาก ก็โดนคดี ฉัอโกงประชาชน เต็มๆ......ถ้าเคลียร์ได้ก็ดี คดีนี้ แรง....ถ้าความเสียหายมาก บางทีศาลไม่ให้ประกัน...สู้ไปติดไปกันมาเยอะแล้ว คดีนี้...
    พรก อภัยโทษมาในวาระสำคัญ ก็มักไม่ cover คดีแบบนี้ ส่วนใหญ่มักติดยาว..
    #ไม่โลภไม่โดน# #ท่องไว้#
    #EP2 เอากันตามตรง ถ้าขายแบบตรงๆ กำไรน้อย..ส่วนที่กำไรชัดเจน คือ 2 สิ่ง คือ ส่วนต่างเปอร์เซ็นต์ทอง กับส่วนต่างของค่าแรงช่างขึ้นงาน (สมมุติจ้างช่างชิ้นละ 200 ก็เก็บ 4-600 เป็นต้น งานตลับแพงกว่านี้ 1500-3000) ก็เหมือนร้านขายทองรูปพรรณ ถ้าขายปกติอย่างเดียว กำไรแค่ค่ากำเน็จ และอาจกำไรราคาทองที่เปลี่ยนแปลง ..(แต่อันนี้มันไม่ยั่งยืน สมมุติคุณมี Stock 3 กิโล คุณก็กำไรแค่ 3 กิโลนั้น ..แล้วไงต่อ คุณก็ต้องไปหามาใหม่ 3 กิโล ในราคาตลาด...เพื่อมาขาย ทำธุรกิจต่อ..หรือจะกำไรแล้วเลิกเลย .ก็คงไม่ใช่ ส่วนที่กำไรจริงๆคือ รับซื้อทองเก่า รับจำนำแล้วขาดส่ง ระยะหลังมีระบบออมทอง มีคนเอาเงินมาฝากไว้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย.. วันนี้ข่าวใหญ่ เรื่องซื้อทองในเฟส หรือ Tiktok ไม่ทราบ แล้วเอาไปขาย สรุปขายไม่ได้...อยากบอกว่า ด้วยความที่ผู้เขียนสนิทกับเศรษญีชาวจีนท่านนึง เทคโนโลยีเคลือบทองคำแบบนี้ มีมา 15 ปีแล้ว พร้อมใบ certificate ครบ การันตี Gold 99.9 .(ผู้เขียนได้มา 15 ปีก่อน เป็นแบงค์ Us dollars ทองคำ (แต่ทำโดยจีน) ...ออกตัวก่อน ส่วนตัวไม่ได้อ่าน ว่าใครขาย ใครซื้อ และไม่ทราบด้วย และมันไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงไม่ได้สนใจ . , ..แต่บอกได้อย่างนึง ถ้าขายเป็นทองแท้ แต่เขาพิสูจน์แล้วไม่ใช่ทองคำ และถ้ามีผู้เสียหายจำนวนมาก ก็โดนคดี ฉัอโกงประชาชน เต็มๆ......ถ้าเคลียร์ได้ก็ดี คดีนี้ แรง....ถ้าความเสียหายมาก บางทีศาลไม่ให้ประกัน...สู้ไปติดไปกันมาเยอะแล้ว คดีนี้... พรก อภัยโทษมาในวาระสำคัญ ก็มักไม่ cover คดีแบบนี้ ส่วนใหญ่มักติดยาว.. #ไม่โลภไม่โดน# #ท่องไว้#
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 560 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!!

    ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!!

    ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ
    Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……”
    นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ……

    การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก
    ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร?
    สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน
    เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ
    เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน)
    คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง……

    การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท”
    (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น
    เขาคือนายทหารนอกประจำการ

    ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!!

    วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง
    เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้……
    แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้
    เขาจึงบอกว่า
    “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
    สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!!

    งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง
    แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน)
    ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย
    แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ……

    วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today
    ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power)
    เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา

    เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB
    หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!!

    แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
    เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์……
    เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา

    เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ
    ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…)
    เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้

    สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ
    ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก…
    แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส..
    แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
    แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต
    มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ
    ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว

    วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า
    “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……”

    วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991
    เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
    การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา
    ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!!
    แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB
    (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น)
    หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน……

    ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน
    มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB
    ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร
    ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย…
    แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง
    ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้
    ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา……

    สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน
    ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย
    ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ
    แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!!

    วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
    ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ
    พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……)
    ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า
    “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……”
    ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ”

    เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร
    ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ……

    ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง
    และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า
    Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้
    หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส
    ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย

    วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน……
    ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน
    และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!!

    แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน
    ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000
    นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
    รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย
    ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง
    แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย……
    เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล
    คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา……
    เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ
    และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
    ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ)

    วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย……
    เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น…

    ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!!

    Wiwanda W. Vichit
    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!! ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!! ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……” นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ…… การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร? สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน) คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง…… การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท” (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น เขาคือนายทหารนอกประจำการ ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!! วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้…… แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้ เขาจึงบอกว่า “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!! งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน) ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ…… วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power) เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!! แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์…… เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…) เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก… แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส.. แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……” วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991 เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!! แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น) หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน…… ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย… แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้ ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา…… สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!! วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……) ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……” ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ” เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้ ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ…… ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้ หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน…… ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!! แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000 นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย…… เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา…… เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ) วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย…… เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น… ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1120 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปล่อยตัว เจสสิก้า วองโซ ทันฑ์บนคดีกาแฟไซยาไนด์

    ข่าวใหญ่ในอินโดนีเซียเวลานี้ คือ ผู้ต้องขังคดีฆาตกรรม เจสสิก้า วองโซ (Jessica Wongso) นักออกแบบกราฟิก ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 หลังกรมราชทัณฑ์อินโดนีเซียประเมินว่าเป็นผู้คุมขังที่มีความประพฤติดี จึงได้รับการผ่อนผันการลงโทษ โดยได้รับโทษรวม 58 เดือน 30 วัน หรือประมาณ 4 ปี 11 เดือน

    เจสสิก้าได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำปอนดกบัมบู เมืองจาการ์ตาตะวันออก โดยมี อ็อตโต้ ฮาซิบวน (Otto Hasibuan) ทนายความเป็นผู้มารับ โดยได้ทักทายกับกองทัพสื่อมวลชน และกล่าวว่า ตนหิว อยากกินซูชิและเครื่องดื่มเย็นๆ

    โฆษกกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมของอินโดนีเซีย เดดดี้ เอ็ดวาร์ เอกา ซาปูตรา (Deddy Eduar Eka Saputra) ระบุว่า ระหว่างที่ถูกคุมขัง เจสสิก้าได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ดีตามระบบคะแนนของผู้ต้องขัง จึงได้รับโทษทัณฑ์บน ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2575 แต่ระหว่างนั้นจะต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นประจำ

    เจสสิก้าถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม หลังจากเพื่อนสนิท วายัน มิร์นา ซาลิอิน (Wayan Mirna Salihin) ดื่มกาแฟเวียดนามเย็น ระหว่างพบกับเพื่อนๆ ที่ร้านโอลิเวอร์คาเฟ่ ภายในศูนย์การค้าแกรนด์อินโดนีเซีย กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ก่อนที่มิร์นาจะมีอาการชักและหมดสติ เสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล

    คดีนี้ตำรวจระบุว่า พบสารไซยาไนด์ในกาแฟที่มิร์นาดื่ม และเจสสิก้าตกเป็นผู้ต้องสงสัย กระทั่งถูกตำรวจควบคุมตัวเจสสิก้าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 20 ปี และส่งตัวไปยังเรือนจำ แม้ฝ่ายของเจสสิก้าจะยื่นคำอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นสูงได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ดังกล่าว

    เรื่องดังกล่าวเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังในปี 2559 สื่อมวลชนรายงานข่าวคดีนี้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งการพิพากษาคดีได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และมีผู้ชมนับล้านคน หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า ตามคำฟ้อง ผู้พิพากษาสรุปว่าเจสสิกาฆ่ามิร์นาเพื่อแก้แค้น ที่ก่อนหน้านี้มิร์นาบอกให้เจสสิกาเลิกกับ แพทริก โอคอนเนอร์ อดีตแฟนหนุ่มชาวออสเตรเลียของเธอ

    เรื่องราวระหว่างเจสสิก้าและมิร์นาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Ice Cold: Murder, Coffee and Jessica Wongso ผลิตโดย Beach House Pictures ออกอากาศผ่านเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาที่ยั่วยุและทำให้เกิดความวุ่นวาย เพราะวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของอินโดนีเซีย

    ขณะที่ทนายความอีกคนหนึ่งของเจสสิก้าอย่าง ฮิดายัต บอสตัม (Hidayat Bostam) กล่าวกับสำนักข่าวจาการ์ตาโกลบ (Jakarta Globe) ว่า ทีมทนายความยังคงดำเนินการพิจารณาทบทวนการตัดสินลงโทษเจสสิกาต่อไป โดยอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ที่อาจพลิกคำตัดสินว่ามีความผิดได้ และจะยื่นคำร้องในสัปดาห์หน้า

    #Newskit #JessicaWongso #IceColdMurder
    ปล่อยตัว เจสสิก้า วองโซ ทันฑ์บนคดีกาแฟไซยาไนด์ ข่าวใหญ่ในอินโดนีเซียเวลานี้ คือ ผู้ต้องขังคดีฆาตกรรม เจสสิก้า วองโซ (Jessica Wongso) นักออกแบบกราฟิก ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 หลังกรมราชทัณฑ์อินโดนีเซียประเมินว่าเป็นผู้คุมขังที่มีความประพฤติดี จึงได้รับการผ่อนผันการลงโทษ โดยได้รับโทษรวม 58 เดือน 30 วัน หรือประมาณ 4 ปี 11 เดือน เจสสิก้าได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำปอนดกบัมบู เมืองจาการ์ตาตะวันออก โดยมี อ็อตโต้ ฮาซิบวน (Otto Hasibuan) ทนายความเป็นผู้มารับ โดยได้ทักทายกับกองทัพสื่อมวลชน และกล่าวว่า ตนหิว อยากกินซูชิและเครื่องดื่มเย็นๆ โฆษกกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมของอินโดนีเซีย เดดดี้ เอ็ดวาร์ เอกา ซาปูตรา (Deddy Eduar Eka Saputra) ระบุว่า ระหว่างที่ถูกคุมขัง เจสสิก้าได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ดีตามระบบคะแนนของผู้ต้องขัง จึงได้รับโทษทัณฑ์บน ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2575 แต่ระหว่างนั้นจะต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นประจำ เจสสิก้าถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม หลังจากเพื่อนสนิท วายัน มิร์นา ซาลิอิน (Wayan Mirna Salihin) ดื่มกาแฟเวียดนามเย็น ระหว่างพบกับเพื่อนๆ ที่ร้านโอลิเวอร์คาเฟ่ ภายในศูนย์การค้าแกรนด์อินโดนีเซีย กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ก่อนที่มิร์นาจะมีอาการชักและหมดสติ เสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล คดีนี้ตำรวจระบุว่า พบสารไซยาไนด์ในกาแฟที่มิร์นาดื่ม และเจสสิก้าตกเป็นผู้ต้องสงสัย กระทั่งถูกตำรวจควบคุมตัวเจสสิก้าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 20 ปี และส่งตัวไปยังเรือนจำ แม้ฝ่ายของเจสสิก้าจะยื่นคำอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นสูงได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ดังกล่าว เรื่องดังกล่าวเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังในปี 2559 สื่อมวลชนรายงานข่าวคดีนี้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งการพิพากษาคดีได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และมีผู้ชมนับล้านคน หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า ตามคำฟ้อง ผู้พิพากษาสรุปว่าเจสสิกาฆ่ามิร์นาเพื่อแก้แค้น ที่ก่อนหน้านี้มิร์นาบอกให้เจสสิกาเลิกกับ แพทริก โอคอนเนอร์ อดีตแฟนหนุ่มชาวออสเตรเลียของเธอ เรื่องราวระหว่างเจสสิก้าและมิร์นาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Ice Cold: Murder, Coffee and Jessica Wongso ผลิตโดย Beach House Pictures ออกอากาศผ่านเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาที่ยั่วยุและทำให้เกิดความวุ่นวาย เพราะวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของอินโดนีเซีย ขณะที่ทนายความอีกคนหนึ่งของเจสสิก้าอย่าง ฮิดายัต บอสตัม (Hidayat Bostam) กล่าวกับสำนักข่าวจาการ์ตาโกลบ (Jakarta Globe) ว่า ทีมทนายความยังคงดำเนินการพิจารณาทบทวนการตัดสินลงโทษเจสสิกาต่อไป โดยอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ที่อาจพลิกคำตัดสินว่ามีความผิดได้ และจะยื่นคำร้องในสัปดาห์หน้า #Newskit #JessicaWongso #IceColdMurder
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1301 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุญหล่นทับ ! "จตุภูมิ ชินวงศ์" นักยกน้ำหนักไทยคนแรกมีสิทธิ์คว้าเหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์ปี 2016 หลังจากศาลกีฬาโลก ไอโอซีประกาศอย่างเป็นทางการทั้งสามอันดับแชมป์โดนตรวจสอบใช้สารกระตุ้น กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการยกน้ำหนักโลก

    13 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวระบุว่าพล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยอาจได้รับข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องในวงการยกน้ำหนักต่อเนื่อง โดยเวลานี้กำลังมีการยื่นฟ้องเรื่องการใช้สารกระตุ้นในตัวนักยกน้ำหนักจากจีน ส่งผลให้มีการขยับตำแหน่งเหรียญทองในการแข่งขันยกน้ำหนัก รุ่น 77 กก.ชาย ในโอลิมปิกเกมส์ 2016

    ย้อนไปเมื่อแปดปีที่แล้ว นายจตุภูมิ ชินวงศ์ นักยกน้ำหนักของไทยในรุ่นน้ำหนัก 77 กก.ชาย ลงแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ 2016 ณ นครริโอ เดจาเนโร ประเทศบราซิล

    ซึ่งการแข่งขันในวันนั้น นักกีฬาไทยจบที่อันดับ 4
    โดยอันดับ 1 ที่คว้าเหรียญทอง คือ นิยาต ราฮิมอฟ นักยกน้ำหนักจากคาซัคสถาน แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้น และมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลกีฬาโลก

    การสืบสวนมีมาอย่างยาวนาน กระทั่งศาลกีฬาโลกไม่อนุมัติ ยืนยันคำตัดสินเดิมว่า นิยาต ราฮิมอฟ นักยกน้ำหนักจากคาซัคสถาน ใช้สารกระตุ้ก่อนการแข่ง
    ส่งผลให้ลำดับถูกขยับขึ้น โดย หลู่ เสี่ยวจุ่น นักยกน้ำหนักจากจีน ที่จบในอันดับ 2 ถูกขยับขึ้นเป็นอันดับ 1 แทน และ โมฮัมเหม็ด อิฮาบี นักยกน้ำหนักจากอิยิปต์ ถูกขยับขึ้นจากอันดับที่ 3 ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2

    ส่วน จตุภูมิ ชินวงศ์ นักยกน้ำหนักไทยถูกเลื่อนขึ้นจากอันดับ 4 ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 3 แทน

    แต่เรื่องราวยังไม่จบ ล่าสุดมีรายงานว่า โมฮัมเหม็ด อิฮาบี นักยกน้ำหนักอียีปต์ ถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้นเช่นกัน ส่งผลให้ “ก็อต” จตุภูมิ ชินวงศ์ ถูกเลื่อนขึ้นมารั้งอันดับ 2

    ล่าสุด สดๆร้อนๆ เมื่อ หลู่ เสี่ยวจุ่น นักยกน้ำหนักจากจีน ที่ถูกขยับมาเป็นอันดับ 1 ถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้นอีกเช่นเดียวกันและในขณะนี้ทุกเหรียญที่เขาได้รับถูกยึดหมด และตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงยื่นอุทธรณ์

    ส่งผลให้ “ก็อต” จตุภูมิ ชินวงศ์ นักยกน้ำหนักไทยเรา มีสิทธิ์ที่จะครองเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2016 คนแรกในประวัติศาสตร์

    https://youtu.be/nBu-6mXmvCI?si=an9TRX14jiwbQHIq

    #Thaitimes
    บุญหล่นทับ ! "จตุภูมิ ชินวงศ์" นักยกน้ำหนักไทยคนแรกมีสิทธิ์คว้าเหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์ปี 2016 หลังจากศาลกีฬาโลก ไอโอซีประกาศอย่างเป็นทางการทั้งสามอันดับแชมป์โดนตรวจสอบใช้สารกระตุ้น กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการยกน้ำหนักโลก 13 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวระบุว่าพล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยอาจได้รับข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องในวงการยกน้ำหนักต่อเนื่อง โดยเวลานี้กำลังมีการยื่นฟ้องเรื่องการใช้สารกระตุ้นในตัวนักยกน้ำหนักจากจีน ส่งผลให้มีการขยับตำแหน่งเหรียญทองในการแข่งขันยกน้ำหนัก รุ่น 77 กก.ชาย ในโอลิมปิกเกมส์ 2016 ย้อนไปเมื่อแปดปีที่แล้ว นายจตุภูมิ ชินวงศ์ นักยกน้ำหนักของไทยในรุ่นน้ำหนัก 77 กก.ชาย ลงแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ 2016 ณ นครริโอ เดจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งการแข่งขันในวันนั้น นักกีฬาไทยจบที่อันดับ 4 โดยอันดับ 1 ที่คว้าเหรียญทอง คือ นิยาต ราฮิมอฟ นักยกน้ำหนักจากคาซัคสถาน แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้น และมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลกีฬาโลก การสืบสวนมีมาอย่างยาวนาน กระทั่งศาลกีฬาโลกไม่อนุมัติ ยืนยันคำตัดสินเดิมว่า นิยาต ราฮิมอฟ นักยกน้ำหนักจากคาซัคสถาน ใช้สารกระตุ้ก่อนการแข่ง ส่งผลให้ลำดับถูกขยับขึ้น โดย หลู่ เสี่ยวจุ่น นักยกน้ำหนักจากจีน ที่จบในอันดับ 2 ถูกขยับขึ้นเป็นอันดับ 1 แทน และ โมฮัมเหม็ด อิฮาบี นักยกน้ำหนักจากอิยิปต์ ถูกขยับขึ้นจากอันดับที่ 3 ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 ส่วน จตุภูมิ ชินวงศ์ นักยกน้ำหนักไทยถูกเลื่อนขึ้นจากอันดับ 4 ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 3 แทน แต่เรื่องราวยังไม่จบ ล่าสุดมีรายงานว่า โมฮัมเหม็ด อิฮาบี นักยกน้ำหนักอียีปต์ ถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้นเช่นกัน ส่งผลให้ “ก็อต” จตุภูมิ ชินวงศ์ ถูกเลื่อนขึ้นมารั้งอันดับ 2 ล่าสุด สดๆร้อนๆ เมื่อ หลู่ เสี่ยวจุ่น นักยกน้ำหนักจากจีน ที่ถูกขยับมาเป็นอันดับ 1 ถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้นอีกเช่นเดียวกันและในขณะนี้ทุกเหรียญที่เขาได้รับถูกยึดหมด และตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงยื่นอุทธรณ์ ส่งผลให้ “ก็อต” จตุภูมิ ชินวงศ์ นักยกน้ำหนักไทยเรา มีสิทธิ์ที่จะครองเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2016 คนแรกในประวัติศาสตร์ https://youtu.be/nBu-6mXmvCI?si=an9TRX14jiwbQHIq #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 491 มุมมอง 0 รีวิว