• กรมการค้าภายในแจ้งข่าวผู้บริโภค สัปดาห์นี้ได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หลังสต๊อกเดิมของผู้ผลิตที่ซื้อช่วงต้นทุนสูงหมดแล้ว มีแต่ต้นทุนใหม่ที่ราคาลดลง เผยอาจได้เห็นขวดละ 45-46 บาท พร้อมเร่งดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบหลังสต๊อกเพิ่ม ย้ำโรงสกัดรับซื้อปาล์มน้ำมันกิโลกรัมละ 5.20 บาท ใครฝ่าฝืนเจอเล่นงานตามกฎหมาย

    นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งออก 11 ราย เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พบว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เป็นต้นทุนเดิมในช่วงที่ราคาผลปาล์มสดอยู่ในระดับสูงกิโลกรัม (กก.) ละ 8-10 บาท และราคาน้ำมันปาล์มขวดขายเกินขวดละ 50 บาทนั้น เริ่มหมดแล้ว และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 5-5.20 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถขายได้ที่ต่ำกว่าขวดละ 50 บาทได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป

    “เดิม ในช่วงที่ราคาผลปาล์ม กก.ละ 8-10 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ผู้ผลิตก็ใช้วิธีการซื้อถัว เพื่อให้สามารถขายน้ำมันปาล์มขวดในราคาไม่สูงจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ขณะนี้ต้นทุนต่ำลงแล้ว ผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปราคาน้ำมันปาล์มขวดจะต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หรือลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 45-46 บาทต่อขวด”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000051923

    #MGROnline #กรมการค้าภายใน #ราคาน้ำมันปาล์ม #ต่ำกว่าขวดละ50บาท #น้ำมันปาล์มดิบ #ปาล์มน้ำมัน
    กรมการค้าภายในแจ้งข่าวผู้บริโภค สัปดาห์นี้ได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หลังสต๊อกเดิมของผู้ผลิตที่ซื้อช่วงต้นทุนสูงหมดแล้ว มีแต่ต้นทุนใหม่ที่ราคาลดลง เผยอาจได้เห็นขวดละ 45-46 บาท พร้อมเร่งดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบหลังสต๊อกเพิ่ม ย้ำโรงสกัดรับซื้อปาล์มน้ำมันกิโลกรัมละ 5.20 บาท ใครฝ่าฝืนเจอเล่นงานตามกฎหมาย • นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด 7 ราย และผู้ประกอบการห้างค้าปลีกค้าส่งออก 11 ราย เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พบว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มที่เป็นต้นทุนเดิมในช่วงที่ราคาผลปาล์มสดอยู่ในระดับสูงกิโลกรัม (กก.) ละ 8-10 บาท และราคาน้ำมันปาล์มขวดขายเกินขวดละ 50 บาทนั้น เริ่มหมดแล้ว และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 5-5.20 บาท ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และสามารถขายได้ที่ต่ำกว่าขวดละ 50 บาทได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป • “เดิม ในช่วงที่ราคาผลปาล์ม กก.ละ 8-10 บาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่ผู้ผลิตก็ใช้วิธีการซื้อถัว เพื่อให้สามารถขายน้ำมันปาล์มขวดในราคาไม่สูงจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่ขณะนี้ต้นทุนต่ำลงแล้ว ผู้ผลิตทุกรายยืนยันว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไปราคาน้ำมันปาล์มขวดจะต่ำกว่าขวดละ 50 บาทแน่นอน หรือลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 45-46 บาทต่อขวด” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000051923 • #MGROnline #กรมการค้าภายใน #ราคาน้ำมันปาล์ม #ต่ำกว่าขวดละ50บาท #น้ำมันปาล์มดิบ #ปาล์มน้ำมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘สภาผู้บริโภค’ ชี้ภาครัฐละเลยไม่กำกับดูแล-ควบคุมเพดานค่ารักษาพยาบาล ‘โรงพยาบาลเอกชน’ ทำให้ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บค่าบริการตามใจชอบ

    23 ตุลาคม 2567-รายงานสำนักข่าวอิศราระบุว่า จากกรณีผู้บริโภคสะท้อนปัญหาการเข้าไปใช้บริการรักษาสุขภาพในโรงพยาบาลเอกชน ที่มีราคาต่างกัน แม้จะเข้าใช้บริการด้วยอาการเดียวกัน โดยผู้บริโภครายนี้ระบุว่ากรณีที่ไม่ได้ใช้ประกันสุขภาพ โรงพยาบาลคิดค่าบริการ 1,400 บาท ต่อมามีอาการเจ็บป่วยในลักษณะเดิมและผู้บริโภคใช้ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก กลับถูกคิดค่าบริการ 3,400 บาท โดยประกันคุ้มครองฯจ่าย 2,000 บาท ทำให้ต้องจ่ายเพิ่มเองอีก 1,400 บาท ซึ่งไม่เป็นธรรมในการใช้บริการ นั้น

    นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า สาเหตุของปัญหานี้ เป็นเพราะไม่มีการควบคุมราคาค่ารักษา โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ต้องกำกับ ดูแลค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน แต่ปล่อยปละละเลย ทำให้โรงพยาบาลเอกชนคิดราคาค่ารักษาได้โดยไม่มีเพดานกำหนด ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าละเมิดสิทธิผู้บริโภค

    ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐต้องดำเนินการ คือ การทบทวนมาตรการกำกับค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินจริงและกำหนดราคากลางที่เป็นธรรม รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้เกิดการแข่งขันของโรงพยาบาลเอกชนมากเกินไป เพราะจะกลายเป็นช่องโหว่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคเกิดขึ้น

    นอกจากนี้ ขอเสนอให้ผู้บริโภคต้องตรวจสอบใบเสร็จมีรายการใดบ้างที่จ่ายไป และเหตุใดที่การรักษาอาการเดียวกัน แต่เมื่อมีประกันภัยจ่ายค่ารักษาให้ราคากลับเพิ่มขึ้น แสดงว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น อาจไม่ทำตามประกาศอัตราค่าบริการที่ติดประกาศไว้ ซึ่งกรมการค้าภายในที่กำกับดูแลเรื่องประกาศอัตราค่าบริการไม่ควรนิ่งเฉยกับกรณีนี้

    “เมื่อเกิดปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพง ภาครัฐจะแก้ไขปัญหาเป็นรายกรณีไป ไม่มีแนวทางที่แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ หรือมีมาตรการที่จะออกมาควบคุมกำกับราคาอย่างจริงจัง เพราะภาพรวมคือการขาดกลไกการควบคุมกำกับ ไม่มีภาครัฐเคยดูเลยว่าโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บเงินอย่างไร ผู้บริโภคแทบไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย” นพ.ขวัญประชา กล่าว

    นพ.ขวัญประชา ยังระบุว่า ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคเคยส่งหนังสือข้อเสนอแนะทางนโยบายไปยังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยขอให้มีการกำกับราคาค่ารักษาพยาบาลให้ชัดเจน มีมาตรฐาน และเป็นธรรมต่อผู้บริโภค รวมถึงมีข้อเสนอแนะไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ให้ดำเนินการพัฒนาระบบคลังข้อมูล โดยกำหนดให้มีการแสดงรายละเอียดของรายการที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนค่าบริการรักษาพยาบาลในงบกำไรขาดทุนของโรงพยาบาลเอกชน

    “เราเคยเสนอองค์ความรู้ในการควบคุมราคาว่า จริงๆแล้ว สามารถทำกลไกการควบคุมราคาได้ โดยใช้ข้อมูลที่กรมการค้าภายในและข้อมูลที่กรมพัฒนาเศรษฐกิจการค้า สังกัดกระทรวงพาณิชย์มีข้อมูล ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานไหนตอบรับข้อเสนอ แต่สภาผู้บริโภคจะผลักดันข้อเสนอต่อเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค” นพ.ขวัญประชา ระบุ

    อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบปัญหาถูกเรียกเก็บค่ารักษาแพงเกินจริง ร้องเรียนได้ที่สายด่วนสภาผู้บริโภค 1502 หรือร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ tcc.or.th และสามารถร้องเรียนกับหน่วยงานประจำจังหวัดของสภาผู้บริโภค ทั้ง 19 จังหวัด โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/tcc-agency/

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/132801-TCC-Medical-expense-Private-hospital-news.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2JZQTQpzsbX3j9O_APQSKLhqcTwWNdJqKrHhBPKE-YJNobdOfkSq87DXo_aem_NZvpNKA39nV0yUf4Xw6crw
    ‘สภาผู้บริโภค’ ชี้ภาครัฐละเลยไม่กำกับดูแล-ควบคุมเพดานค่ารักษาพยาบาล ‘โรงพยาบาลเอกชน’ ทำให้ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บค่าบริการตามใจชอบ 23 ตุลาคม 2567-รายงานสำนักข่าวอิศราระบุว่า จากกรณีผู้บริโภคสะท้อนปัญหาการเข้าไปใช้บริการรักษาสุขภาพในโรงพยาบาลเอกชน ที่มีราคาต่างกัน แม้จะเข้าใช้บริการด้วยอาการเดียวกัน โดยผู้บริโภครายนี้ระบุว่ากรณีที่ไม่ได้ใช้ประกันสุขภาพ โรงพยาบาลคิดค่าบริการ 1,400 บาท ต่อมามีอาการเจ็บป่วยในลักษณะเดิมและผู้บริโภคใช้ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก กลับถูกคิดค่าบริการ 3,400 บาท โดยประกันคุ้มครองฯจ่าย 2,000 บาท ทำให้ต้องจ่ายเพิ่มเองอีก 1,400 บาท ซึ่งไม่เป็นธรรมในการใช้บริการ นั้น นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า สาเหตุของปัญหานี้ เป็นเพราะไม่มีการควบคุมราคาค่ารักษา โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ต้องกำกับ ดูแลค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน แต่ปล่อยปละละเลย ทำให้โรงพยาบาลเอกชนคิดราคาค่ารักษาได้โดยไม่มีเพดานกำหนด ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าละเมิดสิทธิผู้บริโภค ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐต้องดำเนินการ คือ การทบทวนมาตรการกำกับค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินจริงและกำหนดราคากลางที่เป็นธรรม รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้เกิดการแข่งขันของโรงพยาบาลเอกชนมากเกินไป เพราะจะกลายเป็นช่องโหว่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคเกิดขึ้น นอกจากนี้ ขอเสนอให้ผู้บริโภคต้องตรวจสอบใบเสร็จมีรายการใดบ้างที่จ่ายไป และเหตุใดที่การรักษาอาการเดียวกัน แต่เมื่อมีประกันภัยจ่ายค่ารักษาให้ราคากลับเพิ่มขึ้น แสดงว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น อาจไม่ทำตามประกาศอัตราค่าบริการที่ติดประกาศไว้ ซึ่งกรมการค้าภายในที่กำกับดูแลเรื่องประกาศอัตราค่าบริการไม่ควรนิ่งเฉยกับกรณีนี้ “เมื่อเกิดปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพง ภาครัฐจะแก้ไขปัญหาเป็นรายกรณีไป ไม่มีแนวทางที่แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ หรือมีมาตรการที่จะออกมาควบคุมกำกับราคาอย่างจริงจัง เพราะภาพรวมคือการขาดกลไกการควบคุมกำกับ ไม่มีภาครัฐเคยดูเลยว่าโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บเงินอย่างไร ผู้บริโภคแทบไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย” นพ.ขวัญประชา กล่าว นพ.ขวัญประชา ยังระบุว่า ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคเคยส่งหนังสือข้อเสนอแนะทางนโยบายไปยังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยขอให้มีการกำกับราคาค่ารักษาพยาบาลให้ชัดเจน มีมาตรฐาน และเป็นธรรมต่อผู้บริโภค รวมถึงมีข้อเสนอแนะไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ให้ดำเนินการพัฒนาระบบคลังข้อมูล โดยกำหนดให้มีการแสดงรายละเอียดของรายการที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนค่าบริการรักษาพยาบาลในงบกำไรขาดทุนของโรงพยาบาลเอกชน “เราเคยเสนอองค์ความรู้ในการควบคุมราคาว่า จริงๆแล้ว สามารถทำกลไกการควบคุมราคาได้ โดยใช้ข้อมูลที่กรมการค้าภายในและข้อมูลที่กรมพัฒนาเศรษฐกิจการค้า สังกัดกระทรวงพาณิชย์มีข้อมูล ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานไหนตอบรับข้อเสนอ แต่สภาผู้บริโภคจะผลักดันข้อเสนอต่อเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค” นพ.ขวัญประชา ระบุ อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบปัญหาถูกเรียกเก็บค่ารักษาแพงเกินจริง ร้องเรียนได้ที่สายด่วนสภาผู้บริโภค 1502 หรือร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ tcc.or.th และสามารถร้องเรียนกับหน่วยงานประจำจังหวัดของสภาผู้บริโภค ทั้ง 19 จังหวัด โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/tcc-agency/ ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/132801-TCC-Medical-expense-Private-hospital-news.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2JZQTQpzsbX3j9O_APQSKLhqcTwWNdJqKrHhBPKE-YJNobdOfkSq87DXo_aem_NZvpNKA39nV0yUf4Xw6crw
    WWW.ISRANEWS.ORG
    ‘สภาผู้บริโภค’ชี้รัฐละเลย-ไม่ควบคุมค่ารักษาพยาบาล เปิดช่อง‘รพ.เอกชน’เอาเปรียบผู้บริโภค
    ‘สภาผู้บริโภค’ ชี้ภาครัฐละเลยไม่กำกับดูแล-ควบคุมเพดานค่ารักษาพยาบาล ‘โรงพยาบาลเอกชน’ ทำให้ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บค่าบริการตามใจชอบ
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป้อมปราการ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

    กำแพงเมืองพระนครกรุงรัตนโกสินทร์นั้นสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ครอบคลุมเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ มีป้อมสังเกตุการณ์จำนวนถึง 14 ป้อม ป้อมปราการที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งมี 14 ป้อม คือ

    1. ป้อมพระสุเมรุ ป้อมที่อยู่เหนือสุดของเกาะรัตนโกสินทร์
    2. ป้อมยุคุนธร ตรงหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร บัดนี้เหลือแต่กำแพงและประตูเมืองเท่านั้น
    3. ป้อมมหาปราบ ระหว่างสะพานเฉลิมวันชาติกับแยกผ่านฟ้าลีลาศ ตรงหัวโค้งถนนพระสุเมรุ
    4. ป้อมมหากาฬ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
    5. ป้อมหมู่ทะลวง (ทลวง) ใกล้หัวถนนหลวง ตรงข้ามสวนรมณีนาถและร้านเครื่องหวายข้างสวนรมณีนาถ แต่ก่อนสวนรมณีนาถคือเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อนถูกยุบเป็นสวนสาธารณะกับพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ ส่วนป้อมหมู่ทลวงโดนทุบทิ้งไปบางส่วนเมื่อเมื่อปี พ.ศ. 2440 เพื่อนำอิฐไปสร้างทางรถไฟจากอยุธยาไปบ้านภาชีและแก่งคอย
    6. ป้อมเสือทะยาน (ทยาน) อยู่ใกล้สะพานดำรงสถิต (สะพานเหล็กบน) ตรงโรงแรมมิรามา
    7. ป้อมมหาไชย ปัจจุบันคือธนาคารทหารไทย สาขาวังบูรพา หัวถนนเยาวราช แถวสะพานหัน ทุบทิ้งเมื่อปลายธันวาคม พ.ศ. 2469
    8. ป้อมจักรเพชร ป้อมที่อยู่ใต้สุดของเกาะรัตนโกสินทร์ อยู่ตรงปากคลองรอบกรุง เชิงสะพานพุทธยอดฟ้า
    9. ป้อมผีเสื้อ ปัจจุบันปากคลองคูเมืองเดิมด้านใต้ ฝั่งปากคลองตลาด
    10. ป้อมมหาฤกษ์ ปัจจุบันอยู่ในบริเวณโรงเรียนราชินี อยู่ฝั่งตรงข้ามกับป้อมวิชัยประสิทธิ์ซึ่งอยู่ฝั่งธนบุรี
    11. ป้อมมหายักษ์ อยู่บริเวณท่าเตียน แถว ๆ ตึกกรมการค้าภายใน เก่า
    12. ป้อมพระจันทร์ ปัจจุบันคือท่าพระจันทร์ ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    13. ป้อมพระอาทิตย์ ปัจจุบันคือเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ปากคลองคูเมืองเดิม
    14. ป้อมอิสินธร ปัจจุบันคือพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ตรงข้ามซอยชนะสงคราม ทางลัดเข้าวัดชนะสงคราม

    โดยประตูเมืองและกำแพงเมือง ทางทิศเหนือนั้นกรมศิลปากรได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2524 เป็นประตูเมืองตามแบบในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นประตูยอด โดยแตกต่างจากประตูไม้ทาดินแดงในสมัยรัชกาลที่ 1 และประตูก่ออิฐข้างบนซึ่งใช้เป็นหอรบในสมัยรัชกาลที่ 3

    ส่วนกำแพงเมืองทางด้านป้อมมหากาฬนั้น ได้ถูกรื้อถอนออกเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างถนน และที่อยู่อาศัย จะเหลือให้เห็นเพียงระยะประมาณ 100 เมตร ติดต่อกับตัวป้อมมหากาฬ ด้านหลังกำแพงปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวกรุงเทพมหานครและนักท่องเที่ยว

    ทั้งนี้เนื่องจากรัชกาลที่ 1 ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านความมั่นคงมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า และมีตำแหน่งเป็น “แม่ทัพ” เมื่อครั้งสมัยกรุงธนบุรี ทำให้ทรงเชี่ยวชาญการศึก และเข้าใจตำราพิไชยสงคราม การตั้งหลักเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีการอ้างอิงการตั้งทัพหรือแต่งทัพ ที่สอดคล้องกับภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม

    รัชกาลที่ 1 เข้าพระราชหฤทัยชัยภูมิของ “บางกอก” ที่มีลักษณะตรงกับการตั้งทัพตามคติ “นาคนาม” กล่าวคือ เป็นบริเวณที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ดังนั้น ในการเลือกที่ตั้งศูนย์กลางของเมือง และการตั้ง “หลักเมือง” พระองค์จึงทรงเล็งเห็นประเด็นของ “ชัยภูมิ” เป็นลำดับแรก จากนั้นจึงดูฤกษ์ยาม วัน และเดือน ที่เหมาะสมตามคติ “โหราศาสตร์” ในการลงหลักเมืองตามมาเป็นลำดับ

    และเมื่อได้ดูลักษณะรูปร่างของการวางผังของ กำแพงเมืองพระนครจะเหมือนลักษณะคันธนู โดยยึดหลักฮวงจุ้ยของจีนมาประกอบการวางผังกำแพงเมือง หากสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าสายธนูจะง้างออกไปทางทิศตะวันออก ส่วนลูกธนูจะพุ่งไปทางทิศตะวันตกอันเป็นทิศที่ตั้งของคู่ปรับสำคัญนั่นคือเมืองอังวะ พม่านั่นเอง
    .
    อ้างอิง
    พินิจพระนคร 2475-2545, กรมแผนที่ทหาร, กองบัญชาการทหารสูงสุด, พ.ศ. 2549
    แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2450 - 2550, โดย บัณฑิต จุลาสัยและคณะ, กรุงเทพฯ : สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, 2550
    เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 5
    เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 6
    เอกสารชุดกระทรวงมหาดไทย สมัยรัชกาลที่ 7
    เพจบางกอกไอเลิฟยู

    เรียบเรียงโดย เพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2

    #Thaitimes
    ป้อมปราการ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กำแพงเมืองพระนครกรุงรัตนโกสินทร์นั้นสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ครอบคลุมเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ มีป้อมสังเกตุการณ์จำนวนถึง 14 ป้อม ป้อมปราการที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งมี 14 ป้อม คือ 1. ป้อมพระสุเมรุ ป้อมที่อยู่เหนือสุดของเกาะรัตนโกสินทร์ 2. ป้อมยุคุนธร ตรงหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร บัดนี้เหลือแต่กำแพงและประตูเมืองเท่านั้น 3. ป้อมมหาปราบ ระหว่างสะพานเฉลิมวันชาติกับแยกผ่านฟ้าลีลาศ ตรงหัวโค้งถนนพระสุเมรุ 4. ป้อมมหากาฬ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ 5. ป้อมหมู่ทะลวง (ทลวง) ใกล้หัวถนนหลวง ตรงข้ามสวนรมณีนาถและร้านเครื่องหวายข้างสวนรมณีนาถ แต่ก่อนสวนรมณีนาถคือเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อนถูกยุบเป็นสวนสาธารณะกับพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ ส่วนป้อมหมู่ทลวงโดนทุบทิ้งไปบางส่วนเมื่อเมื่อปี พ.ศ. 2440 เพื่อนำอิฐไปสร้างทางรถไฟจากอยุธยาไปบ้านภาชีและแก่งคอย 6. ป้อมเสือทะยาน (ทยาน) อยู่ใกล้สะพานดำรงสถิต (สะพานเหล็กบน) ตรงโรงแรมมิรามา 7. ป้อมมหาไชย ปัจจุบันคือธนาคารทหารไทย สาขาวังบูรพา หัวถนนเยาวราช แถวสะพานหัน ทุบทิ้งเมื่อปลายธันวาคม พ.ศ. 2469 8. ป้อมจักรเพชร ป้อมที่อยู่ใต้สุดของเกาะรัตนโกสินทร์ อยู่ตรงปากคลองรอบกรุง เชิงสะพานพุทธยอดฟ้า 9. ป้อมผีเสื้อ ปัจจุบันปากคลองคูเมืองเดิมด้านใต้ ฝั่งปากคลองตลาด 10. ป้อมมหาฤกษ์ ปัจจุบันอยู่ในบริเวณโรงเรียนราชินี อยู่ฝั่งตรงข้ามกับป้อมวิชัยประสิทธิ์ซึ่งอยู่ฝั่งธนบุรี 11. ป้อมมหายักษ์ อยู่บริเวณท่าเตียน แถว ๆ ตึกกรมการค้าภายใน เก่า 12. ป้อมพระจันทร์ ปัจจุบันคือท่าพระจันทร์ ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 13. ป้อมพระอาทิตย์ ปัจจุบันคือเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ปากคลองคูเมืองเดิม 14. ป้อมอิสินธร ปัจจุบันคือพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ตรงข้ามซอยชนะสงคราม ทางลัดเข้าวัดชนะสงคราม โดยประตูเมืองและกำแพงเมือง ทางทิศเหนือนั้นกรมศิลปากรได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2524 เป็นประตูเมืองตามแบบในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นประตูยอด โดยแตกต่างจากประตูไม้ทาดินแดงในสมัยรัชกาลที่ 1 และประตูก่ออิฐข้างบนซึ่งใช้เป็นหอรบในสมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนกำแพงเมืองทางด้านป้อมมหากาฬนั้น ได้ถูกรื้อถอนออกเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างถนน และที่อยู่อาศัย จะเหลือให้เห็นเพียงระยะประมาณ 100 เมตร ติดต่อกับตัวป้อมมหากาฬ ด้านหลังกำแพงปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวกรุงเทพมหานครและนักท่องเที่ยว ทั้งนี้เนื่องจากรัชกาลที่ 1 ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านความมั่นคงมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า และมีตำแหน่งเป็น “แม่ทัพ” เมื่อครั้งสมัยกรุงธนบุรี ทำให้ทรงเชี่ยวชาญการศึก และเข้าใจตำราพิไชยสงคราม การตั้งหลักเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีการอ้างอิงการตั้งทัพหรือแต่งทัพ ที่สอดคล้องกับภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม รัชกาลที่ 1 เข้าพระราชหฤทัยชัยภูมิของ “บางกอก” ที่มีลักษณะตรงกับการตั้งทัพตามคติ “นาคนาม” กล่าวคือ เป็นบริเวณที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ดังนั้น ในการเลือกที่ตั้งศูนย์กลางของเมือง และการตั้ง “หลักเมือง” พระองค์จึงทรงเล็งเห็นประเด็นของ “ชัยภูมิ” เป็นลำดับแรก จากนั้นจึงดูฤกษ์ยาม วัน และเดือน ที่เหมาะสมตามคติ “โหราศาสตร์” ในการลงหลักเมืองตามมาเป็นลำดับ และเมื่อได้ดูลักษณะรูปร่างของการวางผังของ กำแพงเมืองพระนครจะเหมือนลักษณะคันธนู โดยยึดหลักฮวงจุ้ยของจีนมาประกอบการวางผังกำแพงเมือง หากสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าสายธนูจะง้างออกไปทางทิศตะวันออก ส่วนลูกธนูจะพุ่งไปทางทิศตะวันตกอันเป็นทิศที่ตั้งของคู่ปรับสำคัญนั่นคือเมืองอังวะ พม่านั่นเอง . อ้างอิง พินิจพระนคร 2475-2545, กรมแผนที่ทหาร, กองบัญชาการทหารสูงสุด, พ.ศ. 2549 แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2450 - 2550, โดย บัณฑิต จุลาสัยและคณะ, กรุงเทพฯ : สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, 2550 เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 5 เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 6 เอกสารชุดกระทรวงมหาดไทย สมัยรัชกาลที่ 7 เพจบางกอกไอเลิฟยู เรียบเรียงโดย เพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2 #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1425 มุมมอง 0 รีวิว