• ตัดจบปัญหาที่ดินเขากระโดง เมื่ออำนาจอยู่ในมือของภูมิใจไทยบทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณคลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000109911
    ตัดจบปัญหาที่ดินเขากระโดง เมื่ออำนาจอยู่ในมือของภูมิใจไทยบทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณคลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000109911
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงิน
    โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ https://www.facebook.com/surawich.verawan

    การที่อธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดงเนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท.จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้”

    กำลังท้าทายกับกระแสสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นบรรทัดฐานของประเทศ เข้าใจครับว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองในคดีที่การรถไฟฯ ฟ้องกรมที่ดิน แต่นัยของคำสั่งนั้นหากอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองแล้ว จะพบว่า ศาลต้องการให้ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อเพิกถอนสิทธิการถือครองที่ดินตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผู้ถือครองที่ดินเขากระโดงจำนวน 37 แปลงฟ้องการรถไฟฯ (คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 8027/2561 และ 842-876/260 ) แต่คำพิพากษาศาลฎีกาชี้ชัดว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ซึ่งศาลปกครองหมายรวมถึงแปลงอื่นที่อยู่นอกเหนือแปลงที่นำขึ้นสู่ศาลฎีกาด้วย

    แต่กรมที่ดินซึ่งตั้งกรรมการขึ้นตามคำสั่งศาลปกครองกลับมีมติว่า การรถไฟฯ ไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินเขากระโดงทั้งที่ศาลฎีกาชี้แล้วว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯแม้ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่า ไม่ได้สั่งการอะไรกรมที่ดิน แต่คำถามว่า มีใครบ้างที่จะเชื่อ

    อนุทินอ้างว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองตั้งขึ้นมาก่อนที่พรรคภูมิใจไทยและตัวเองจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แต่จุดหมายสำคัญก็คือ กรรมการชุดนี้สามารถมีมติได้ในวันที่พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจในกระทรวงมหาดไทย และอนุทินมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีและเมื่อไม่นานมานี้อธิบดีกรมที่ดินคนหนึ่งก็ได้ชิงลาออกไป ซึ่งกล่าวขานกันว่า เพราะปมที่ดินเขากระโดงนั่นเอง

    เป็นที่รู้กันว่า ในจำนวนที่ดิน 800 กว่าแปลงในพื้นที่เขากระโดงนั้น ผู้ถือครองรายใหญ่ก็คือ ตระกูลชิดชอบ ไปถามพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก็รู้เรื่องนี้ดีเพราะเคยอภิปรายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในสภาฯ เพียงแต่วันนี้ พ.ต.อ.ทวีอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แน่นอนถึงตอนนี้พ.ต.อ.ทวีก็ต้องการรักษาสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ต่างกับที่เคยหวงแหนสมบัติของชาติในขณะที่เป็นฝ่ายค้าน

    และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทยก็คือนายเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงในทางพฤตินัย จะเห็นได้ว่าในงานวันเกิดของนายเนวินนั้นข้าราชการระดับสูงที่อยู่ภายใต้กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับนั้นจะต้องเข้าไปร่วมงานถึงบุรีรัมย์เพื่อแสดงตัวให้เห็น เพราะเขารู้ว่าใครคือ คนที่ให้คุณให้โทษได้ และในหมู่ข้าราชการก็รู้กันว่า การโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ในกระทรวงของพรรคภูมิใจไทยนั้นคนที่มีบทบาทสำคัญคือใคร

    ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ระหว่างอำนาจทางการเมืองกับความยุติธรรมทางกฎหมายที่เป็นขื่อแปของบ้านเมืองอย่างไหนจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากัน คำสั่งของกรมที่ดินจะใหญ่กว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาไหม

    แต่ต้องยอมรับนะครับว่า การเล่นการเมืองอยู่หลังม่านของคนคนหนึ่งวันนี้นั้นทำให้กระบวนการตรวจสอบคนที่อยู่ในอำนาจทางการเมืองไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้มีตำแหน่งใดในรัฐบาล หรือแม้แต่เป็นผู้บริหารพรรค เพียงแต่เป็นสมาชิกของพรรคที่สามารถเตะตูดหัวหน้าพรรคได้เท่านั้น ทำให้กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นการเมืองอยู่หลังฉาก แต่มีอำนาจสั่งการทุกกระทรวงที่อยู่ภายใต้อำนาจของพรรคที่ข้าราชการทุกคนต้องเกรงใจและหวั่นกลัว

    มาที่เรื่อง สว.นอกจากในวันนี้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นที่รู้กันว่า สว.กว่า 150 คนนั้นอยู่ภายใต้การกำกับของใครที่เรียกว่ากันว่า สว.สีน้ำเงินนั่นเอง แล้วอำนาจที่สำคัญของ สว.ก็คือ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ซึ่งทำให้หากใครจะขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าวก็จะต้องวิ่งเข้าหาเจ้าของ สว.เพื่อให้ สว.ยกมือให้ หากผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหาเข้าสู่วุฒิสภามา

    ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกและเป็นอันตรายมากหากอำนาจการแต่งตั้งองค์กรอิสระอยู่ในอำนาจของใครบางคนหรือคนเพียงคนเดียวในทางพฤตินัย

    และหากมีการประชุมรัฐสภาคือประชุมร่วมระหว่าง สส. และ สว.เสียงของพรรคภูมิใจไทยและ สว.จะรวมกันเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา และการดำเนินการใดที่จะต้องผ่านรัฐสภาเช่น การแก้รัฐธรรมนูญก็จะตกอยู่ภายใต้การกำกับของเจ้าของสว.ที่จะต้องการให้เป็นไปในทิศทางไหนก็ได้

    วันนี้พรรคภูมิใจไทยแม้ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง แต่ก็มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลไปแล้ว แม้ว่า เราจะเห็นอนุทินนอบน้อมต่ออุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพร้อมจะยืนเป็นวอลเปเปอร์หรือพี่เลี้ยงของอุ๊งอิ๊งค์ตลอดเวลาก็ตาม พรรคภูมิใจไทยจึงขบเหลี่ยมอยู่กับพรรคเพื่อไทยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกัญชา เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ รวมถึงการทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถสลัดพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลได้

    แล้วคอยดูว่า กรณีที่ดินเขากระโดง แม้ว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทยซึ่งกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทยจะแสดงให้เห็นว่า ไม่อาจยอมรับคำสั่งของคณะกรรมการของกรมที่ดินในกรณีที่ดินเขากระโดงได้ แต่ก็ต้องดูว่า สุดท้ายแล้วเป็นเพียงการแสดงออกไปตามบทบาทที่ตัวเองเล่นอยู่ แต่จะรุกไล่เอาจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจนสุดทางไหม หรือเป็นเพียงการแสดงอำนาจออกมาให้เห็นเพียงเพื่อคะคานแลกเปลี่ยนต่อรองผลประโยชน์กันทางการเมืองเท่านั้นเอง

    อิทธิพลของคนโตแห่งบุรีรัมย์ยังสะท้อนอยู่ในองค์กรอิสระอย่าง กกต. เห็นไหมว่า เมื่อไม่นานอยู่ดีๆ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ก็ออกมาบอกว่า กรณีของพรรคภูมิใจไทยที่ถูกร้องเรียนในลักษณะความผิดที่คล้ายคลึงกับพรรคก้าวไกลที่ถูกศาลวินิจฉัยยุบพรรคนั้น ไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมืองเลยไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ทั้งที่บอกว่ายังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นยังไม่มีบทสรุปออกมา จึงไม่ใช่เรื่องที่เลขาธิการ กกต.จะออกมาแถลงชี้นำหรือออกมาแถลงแม้หลายคนจะตั้งคำถามว่า การสอบสวนกรณีดังกล่าวของพรรคภูมิใจไทยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะใช้เวลานานมากก็ตาม

    วันนี้เราคงเห็นแล้วว่า สำหรับนักการเมืองแล้วระหว่างผลประโยชน์ของประเทศชาติกับผลประโยชน์ของตัวเองนั้นอย่างไหนสำคัญกว่าในบทบาทของคนที่เข้ามาเล่นการเมือง จะมีคนกี่คนที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง และมีกฎเกณฑ์กติกาไหนที่จะตรวจสอบนักการเมืองที่มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวและพวกพ้องได้อย่างแท้จริง

    วันนี้เราคงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพรรคภูมิใจไทยพรรคสีน้ำเงินจึงเล่นการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาลเท่านั้น


    ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9670000109483

    #Thaitimes
    อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงิน โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ https://www.facebook.com/surawich.verawan การที่อธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดงเนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท.จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้” กำลังท้าทายกับกระแสสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นบรรทัดฐานของประเทศ เข้าใจครับว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองในคดีที่การรถไฟฯ ฟ้องกรมที่ดิน แต่นัยของคำสั่งนั้นหากอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองแล้ว จะพบว่า ศาลต้องการให้ตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อเพิกถอนสิทธิการถือครองที่ดินตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผู้ถือครองที่ดินเขากระโดงจำนวน 37 แปลงฟ้องการรถไฟฯ (คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 8027/2561 และ 842-876/260 ) แต่คำพิพากษาศาลฎีกาชี้ชัดว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ซึ่งศาลปกครองหมายรวมถึงแปลงอื่นที่อยู่นอกเหนือแปลงที่นำขึ้นสู่ศาลฎีกาด้วย แต่กรมที่ดินซึ่งตั้งกรรมการขึ้นตามคำสั่งศาลปกครองกลับมีมติว่า การรถไฟฯ ไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินเขากระโดงทั้งที่ศาลฎีกาชี้แล้วว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯแม้ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่า ไม่ได้สั่งการอะไรกรมที่ดิน แต่คำถามว่า มีใครบ้างที่จะเชื่อ อนุทินอ้างว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครองตั้งขึ้นมาก่อนที่พรรคภูมิใจไทยและตัวเองจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แต่จุดหมายสำคัญก็คือ กรรมการชุดนี้สามารถมีมติได้ในวันที่พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจในกระทรวงมหาดไทย และอนุทินมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีและเมื่อไม่นานมานี้อธิบดีกรมที่ดินคนหนึ่งก็ได้ชิงลาออกไป ซึ่งกล่าวขานกันว่า เพราะปมที่ดินเขากระโดงนั่นเอง เป็นที่รู้กันว่า ในจำนวนที่ดิน 800 กว่าแปลงในพื้นที่เขากระโดงนั้น ผู้ถือครองรายใหญ่ก็คือ ตระกูลชิดชอบ ไปถามพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก็รู้เรื่องนี้ดีเพราะเคยอภิปรายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในสภาฯ เพียงแต่วันนี้ พ.ต.อ.ทวีอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แน่นอนถึงตอนนี้พ.ต.อ.ทวีก็ต้องการรักษาสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ต่างกับที่เคยหวงแหนสมบัติของชาติในขณะที่เป็นฝ่ายค้าน และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพรรคภูมิใจไทยก็คือนายเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงในทางพฤตินัย จะเห็นได้ว่าในงานวันเกิดของนายเนวินนั้นข้าราชการระดับสูงที่อยู่ภายใต้กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยกำกับนั้นจะต้องเข้าไปร่วมงานถึงบุรีรัมย์เพื่อแสดงตัวให้เห็น เพราะเขารู้ว่าใครคือ คนที่ให้คุณให้โทษได้ และในหมู่ข้าราชการก็รู้กันว่า การโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ในกระทรวงของพรรคภูมิใจไทยนั้นคนที่มีบทบาทสำคัญคือใคร ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ระหว่างอำนาจทางการเมืองกับความยุติธรรมทางกฎหมายที่เป็นขื่อแปของบ้านเมืองอย่างไหนจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากัน คำสั่งของกรมที่ดินจะใหญ่กว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาไหม แต่ต้องยอมรับนะครับว่า การเล่นการเมืองอยู่หลังม่านของคนคนหนึ่งวันนี้นั้นทำให้กระบวนการตรวจสอบคนที่อยู่ในอำนาจทางการเมืองไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้มีตำแหน่งใดในรัฐบาล หรือแม้แต่เป็นผู้บริหารพรรค เพียงแต่เป็นสมาชิกของพรรคที่สามารถเตะตูดหัวหน้าพรรคได้เท่านั้น ทำให้กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นการเมืองอยู่หลังฉาก แต่มีอำนาจสั่งการทุกกระทรวงที่อยู่ภายใต้อำนาจของพรรคที่ข้าราชการทุกคนต้องเกรงใจและหวั่นกลัว มาที่เรื่อง สว.นอกจากในวันนี้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นที่รู้กันว่า สว.กว่า 150 คนนั้นอยู่ภายใต้การกำกับของใครที่เรียกว่ากันว่า สว.สีน้ำเงินนั่นเอง แล้วอำนาจที่สำคัญของ สว.ก็คือ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ซึ่งทำให้หากใครจะขึ้นสู่ตำแหน่งดังกล่าวก็จะต้องวิ่งเข้าหาเจ้าของ สว.เพื่อให้ สว.ยกมือให้ หากผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหาเข้าสู่วุฒิสภามา ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกและเป็นอันตรายมากหากอำนาจการแต่งตั้งองค์กรอิสระอยู่ในอำนาจของใครบางคนหรือคนเพียงคนเดียวในทางพฤตินัย และหากมีการประชุมรัฐสภาคือประชุมร่วมระหว่าง สส. และ สว.เสียงของพรรคภูมิใจไทยและ สว.จะรวมกันเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา และการดำเนินการใดที่จะต้องผ่านรัฐสภาเช่น การแก้รัฐธรรมนูญก็จะตกอยู่ภายใต้การกำกับของเจ้าของสว.ที่จะต้องการให้เป็นไปในทิศทางไหนก็ได้ วันนี้พรรคภูมิใจไทยแม้ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง แต่ก็มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลไปแล้ว แม้ว่า เราจะเห็นอนุทินนอบน้อมต่ออุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพร้อมจะยืนเป็นวอลเปเปอร์หรือพี่เลี้ยงของอุ๊งอิ๊งค์ตลอดเวลาก็ตาม พรรคภูมิใจไทยจึงขบเหลี่ยมอยู่กับพรรคเพื่อไทยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกัญชา เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ รวมถึงการทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถสลัดพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ แล้วคอยดูว่า กรณีที่ดินเขากระโดง แม้ว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทยซึ่งกำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทยจะแสดงให้เห็นว่า ไม่อาจยอมรับคำสั่งของคณะกรรมการของกรมที่ดินในกรณีที่ดินเขากระโดงได้ แต่ก็ต้องดูว่า สุดท้ายแล้วเป็นเพียงการแสดงออกไปตามบทบาทที่ตัวเองเล่นอยู่ แต่จะรุกไล่เอาจริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจนสุดทางไหม หรือเป็นเพียงการแสดงอำนาจออกมาให้เห็นเพียงเพื่อคะคานแลกเปลี่ยนต่อรองผลประโยชน์กันทางการเมืองเท่านั้นเอง อิทธิพลของคนโตแห่งบุรีรัมย์ยังสะท้อนอยู่ในองค์กรอิสระอย่าง กกต. เห็นไหมว่า เมื่อไม่นานอยู่ดีๆ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ก็ออกมาบอกว่า กรณีของพรรคภูมิใจไทยที่ถูกร้องเรียนในลักษณะความผิดที่คล้ายคลึงกับพรรคก้าวไกลที่ถูกศาลวินิจฉัยยุบพรรคนั้น ไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมืองเลยไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ทั้งที่บอกว่ายังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นยังไม่มีบทสรุปออกมา จึงไม่ใช่เรื่องที่เลขาธิการ กกต.จะออกมาแถลงชี้นำหรือออกมาแถลงแม้หลายคนจะตั้งคำถามว่า การสอบสวนกรณีดังกล่าวของพรรคภูมิใจไทยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะใช้เวลานานมากก็ตาม วันนี้เราคงเห็นแล้วว่า สำหรับนักการเมืองแล้วระหว่างผลประโยชน์ของประเทศชาติกับผลประโยชน์ของตัวเองนั้นอย่างไหนสำคัญกว่าในบทบาทของคนที่เข้ามาเล่นการเมือง จะมีคนกี่คนที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง และมีกฎเกณฑ์กติกาไหนที่จะตรวจสอบนักการเมืองที่มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อส่วนตัวและพวกพ้องได้อย่างแท้จริง วันนี้เราคงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพรรคภูมิใจไทยพรรคสีน้ำเงินจึงเล่นการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาลเท่านั้น ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9670000109483 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงิน
    การที่อธิบดีกรมที่ดินที่อยู่ภายใต้พรรคภูมิใจไทย ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่า “คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินการรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดงเนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง

    13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

    กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

    ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

    ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี

    เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

    แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ

    ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง

    ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ

    ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ

    โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette

    #Thaitimes
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง 13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" ฟ้อง"ณัฐพล-ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ ชี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
    ศาลแพ่งยกฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนาฟ้องณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงินบทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณคลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000109483
    อำนาจภายใต้การเมืองสีน้ำเงินบทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณคลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000109483
    Like
    Sad
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • รฟม.ย้ำ 15 พฤศจิกายนนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ เริ่มปิดเบี่ยงจราจร 1 ช่องทาง ส่วนสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ สะพานข้ามแยกประตูน้ำ และสะพานข้ามแยกราชเทวี ประชาชนยังสัญจรได้ตามปกติ

    ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการนำเสนอข่าวโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะเริ่มดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรเพื่อรื้อถอนสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ สะพานข้ามแยกประตูน้ำ และสะพานข้ามแยกราชเทวี ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นั้น

    การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบัน บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ในฐานะผู้รับจ้างของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ร่วมลงทุน) หรือ BEM มีกำหนดจะเริ่มปิดเบี่ยงจราจรในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง 5 สถานีแรก ได้แก่ สถานีบางขุนนนท์ สถานีศิริราช สถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานียมราช และสถานีประตูน้ำ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป เพื่อดำเนินงานรื้อย้ายสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรก โดยจะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรชิดทางเท้า 1 ช่องจราจร ยกเว้นสถานีศิริราช จะเป็นการจัดการจราจรในพื้นที่ก่อสร้างที่ไม่ส่งผลกระทบต่อช่องจราจร สำหรับสถานีส่วนที่เหลือจะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2567

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/business/detail/9670000109231

    #MGROnline #โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ
    รฟม.ย้ำ 15 พฤศจิกายนนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ เริ่มปิดเบี่ยงจราจร 1 ช่องทาง ส่วนสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ สะพานข้ามแยกประตูน้ำ และสะพานข้ามแยกราชเทวี ประชาชนยังสัญจรได้ตามปกติ • ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการนำเสนอข่าวโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะเริ่มดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรเพื่อรื้อถอนสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ สะพานข้ามแยกประตูน้ำ และสะพานข้ามแยกราชเทวี ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นั้น • การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบัน บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ในฐานะผู้รับจ้างของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ร่วมลงทุน) หรือ BEM มีกำหนดจะเริ่มปิดเบี่ยงจราจรในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง 5 สถานีแรก ได้แก่ สถานีบางขุนนนท์ สถานีศิริราช สถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานียมราช และสถานีประตูน้ำ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เวลา 22.00 น.เป็นต้นไป เพื่อดำเนินงานรื้อย้ายสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรก โดยจะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรชิดทางเท้า 1 ช่องจราจร ยกเว้นสถานีศิริราช จะเป็นการจัดการจราจรในพื้นที่ก่อสร้างที่ไม่ส่งผลกระทบต่อช่องจราจร สำหรับสถานีส่วนที่เหลือจะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9670000109231 • #MGROnline #โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดถกเครียด ปมคดี ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอคืนตำแหน่งหลังกระแสข่าวองค์คณะฯ ชุดเล็กมีมติเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    วันนี้( 13 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.30น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยมีรายงานว่าจะมีการนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาเข้สพิจารณา

    ซึ่งปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามีผู้สื่อข่าวมาติดตามผลการประชุมจำนวนมาก

    โดยเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดและเป็นการประชุมภายใน มีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม 40-50 คน โดยวาระที่จะพิจารณาในวันนี้มี 4-5 วาระ เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000109260

    #MGROnline #ศาลปกครอง #บิ๊กโจ๊ก #ขอคืนตำแหน่ง
    ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดถกเครียด ปมคดี ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขอคืนตำแหน่งหลังกระแสข่าวองค์คณะฯ ชุดเล็กมีมติเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย • วันนี้( 13 พ.ย.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ตั้งแต่เวลา 09.30น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยมีรายงานว่าจะมีการนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาเข้สพิจารณา • ซึ่งปรากฏว่าตั้งแต่เช้ามีผู้สื่อข่าวมาติดตามผลการประชุมจำนวนมาก • โดยเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดและเป็นการประชุมภายใน มีตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าร่วม 40-50 คน โดยวาระที่จะพิจารณาในวันนี้มี 4-5 วาระ เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000109260 • #MGROnline #ศาลปกครอง #บิ๊กโจ๊ก #ขอคืนตำแหน่ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ชมพู่ อารยา” ควง “น้องแอบิเกล” ออกงานคู่ เผยเส้นไหว้ทุกอย่าง กว่าจะพาออกงานได้ ชมลูกเก่งมากทำตรงบรีฟทุกอย่าง เซอร์ไพรส์แฟนคลับเปิดตัวอาร์ททอย GAIL รอติดตามได้ มีอะไรให้เก็บแน่นอน ลุ้นเป็นกล่องจุ่มไหมยังไม่ชัวร์ ชื่นใจและซาบซึ้งคนรักลูกสาว

    หลังเป็นสาวกของเล่นอาร์ตทอยและกล่องจุ่ม แบบชนิดที่ว่ามีเกือบทุกคอลเลคชั่น ล่าสุด (12 พ.ย. 67) คุณแม่ “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ก็ได้มีอาร์ตทอยเป็นของตัวเองแล้ว โดยอาร์ตทอยสุดพิเศษตัวนี้มีชื่อว่า GAIL เป็นผลงานการคอลแลบส์กับ Jessica NG ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากลูกสาว “น้องแอบิเกล” นั่นเอง และงานนี้แม่ชมก็ได้พาน้องเกล มาร่วมเปิดตัวอาร์ตทอยของตัวเองด้วย ในพิธีฉลองเปิดไฟต้นคริสต์มาสยักษ์ ณ ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ก่อนออกมาเปิดใจกับสื่อ ถึงความยากในการพาลูกสาวออกงานด้วยว่า วันนี้ก็ยังเครียดมากเหมือนเดิม

    “เครียดมากเหมือนเดิมค่ะ งานมันดึกก็จะเลยเวลานอนเขาด้วย ร้อนด้วย แม่ก็จะลุ้นนิดหนึ่ง แต่ก็บรีฟกันกับป้าเจี๊ยบว่า ยังไงก็ต้องนอนกลางวัน ช่วงนี้เริ่มโตแล้วก็มีนอนบ้างไม่นอนบ้าง แต่วันนี้ยังไงก็ต้องให้นอน ก็นอนมา 2 ชั่วโมง ก็ทั้งเส้นไหว้ทุกอย่าง พาไปจุ่ม ดีลขนม ดีลทุกอย่าง ดีลสกู๊ตเตอร์คันใหม่ลายเอลซ่า เขาก็รับรู้ แต่พอมาถึงข้างหน้าก็มีงงนิดหนึ่ง เพราะถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดแล้วตั้งแต่มีคิวมา ซึ่งเขาก็ทำตามบรีฟ 80 เปอร์เซ็นต์นะคะ คะแนนสำหรับ 2 ขวบ ก็ให้ 1,000 เต็ม ให้เกินร้อยเลยคะ ถือว่าเก่งมาก”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000109051

    #MGROnline #ชมพู่อารยา #น้องแอบิเกล #อาร์ททอย #GAIL
    “ชมพู่ อารยา” ควง “น้องแอบิเกล” ออกงานคู่ เผยเส้นไหว้ทุกอย่าง กว่าจะพาออกงานได้ ชมลูกเก่งมากทำตรงบรีฟทุกอย่าง เซอร์ไพรส์แฟนคลับเปิดตัวอาร์ททอย GAIL รอติดตามได้ มีอะไรให้เก็บแน่นอน ลุ้นเป็นกล่องจุ่มไหมยังไม่ชัวร์ ชื่นใจและซาบซึ้งคนรักลูกสาว • หลังเป็นสาวกของเล่นอาร์ตทอยและกล่องจุ่ม แบบชนิดที่ว่ามีเกือบทุกคอลเลคชั่น ล่าสุด (12 พ.ย. 67) คุณแม่ “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ก็ได้มีอาร์ตทอยเป็นของตัวเองแล้ว โดยอาร์ตทอยสุดพิเศษตัวนี้มีชื่อว่า GAIL เป็นผลงานการคอลแลบส์กับ Jessica NG ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากลูกสาว “น้องแอบิเกล” นั่นเอง และงานนี้แม่ชมก็ได้พาน้องเกล มาร่วมเปิดตัวอาร์ตทอยของตัวเองด้วย ในพิธีฉลองเปิดไฟต้นคริสต์มาสยักษ์ ณ ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ก่อนออกมาเปิดใจกับสื่อ ถึงความยากในการพาลูกสาวออกงานด้วยว่า วันนี้ก็ยังเครียดมากเหมือนเดิม • “เครียดมากเหมือนเดิมค่ะ งานมันดึกก็จะเลยเวลานอนเขาด้วย ร้อนด้วย แม่ก็จะลุ้นนิดหนึ่ง แต่ก็บรีฟกันกับป้าเจี๊ยบว่า ยังไงก็ต้องนอนกลางวัน ช่วงนี้เริ่มโตแล้วก็มีนอนบ้างไม่นอนบ้าง แต่วันนี้ยังไงก็ต้องให้นอน ก็นอนมา 2 ชั่วโมง ก็ทั้งเส้นไหว้ทุกอย่าง พาไปจุ่ม ดีลขนม ดีลทุกอย่าง ดีลสกู๊ตเตอร์คันใหม่ลายเอลซ่า เขาก็รับรู้ แต่พอมาถึงข้างหน้าก็มีงงนิดหนึ่ง เพราะถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดแล้วตั้งแต่มีคิวมา ซึ่งเขาก็ทำตามบรีฟ 80 เปอร์เซ็นต์นะคะ คะแนนสำหรับ 2 ขวบ ก็ให้ 1,000 เต็ม ให้เกินร้อยเลยคะ ถือว่าเก่งมาก” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000109051 • #MGROnline #ชมพู่อารยา #น้องแอบิเกล #อาร์ททอย #GAIL
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงใหม่ยังฮอต นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหาที่พัก Airbnb เพิ่ม 30% รับเทศกาลลอยกระทงนักท่องเที่ยวชาวจีน แห่เที่ยวเชียงใหม่มากที่สุดในปี 67 ยอดจองที่พัก Airbnb พุ่งเกือบ 70% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 66 คนไทยแรงไม่แผ่วจองที่พักในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ด้านนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลี เติบโตต่อเนื่อง ช่วงครึ่งปีแรกของปี 67

    ข้อมูลล่าสุดจาก Airbnb พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงให้ความสนใจในการเดินทางไปเชียงใหม่สูงอย่างต่อเนื่องหลังเหตุการณ์น้ำท่วมล่าสุดในภาคเหนือของไทย คนในท้องถิ่นและโฮสต์ Airbnb ต่างพร้อมต้อนรับนักเดินทางทั่วโลกด้วยการบริการที่อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ของไทย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/business/detail/9670000109170

    #MGROnline #เชียงใหม่ #นักท่องเที่ยวต่างชาติ #ที่พัก #Airbnb
    เชียงใหม่ยังฮอต นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหาที่พัก Airbnb เพิ่ม 30% รับเทศกาลลอยกระทงนักท่องเที่ยวชาวจีน แห่เที่ยวเชียงใหม่มากที่สุดในปี 67 ยอดจองที่พัก Airbnb พุ่งเกือบ 70% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 66 คนไทยแรงไม่แผ่วจองที่พักในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ด้านนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลี เติบโตต่อเนื่อง ช่วงครึ่งปีแรกของปี 67 • ข้อมูลล่าสุดจาก Airbnb พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงให้ความสนใจในการเดินทางไปเชียงใหม่สูงอย่างต่อเนื่องหลังเหตุการณ์น้ำท่วมล่าสุดในภาคเหนือของไทย คนในท้องถิ่นและโฮสต์ Airbnb ต่างพร้อมต้อนรับนักเดินทางทั่วโลกด้วยการบริการที่อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ของไทย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9670000109170 • #MGROnline #เชียงใหม่ #นักท่องเที่ยวต่างชาติ #ที่พัก #Airbnb
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรียกว่ากลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทำให้เหล่าคนรักสัตว์ออกมาเคลื่อนไหวถึงความไม่เหมาะสม กรณีที่มีฉาก “น้องแมวดำ” ถูกวางยาตาย ในละครเรื่อง “แม่หยัว” จนกระทั่งเกิดกระแสการแบนละครออกมา

    งานนี้ทำเอาประเด็นดังกล่าวลุกลามไปถึงนางเอกสาว "ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่" ที่ชาวเน็ตแห่เข้าไปถามทำนองว่า ทำไมถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องนี้เลย แม้ "ใหม่" จะออกมาแสดงความคิดเห็นแล้วว่า ถ้าคนที่ตามใหม่ จะรู้อยู่แล้วว่าใหม่เลี้ยงสัตว์มาทั้งชีวิต ใหม่ไม่มีทางเห็นด้วยกับการทรมานสัตว์แน่นอน

    แต่เรื่องดังกล่าวก็ดูเหมือนยังไม่จบ ล่าสุด "ใหม่ ดาวิกา” ได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ด้วยการโพสต์ข้อความผ่านทางโลกออนไลน์ เตรียมฟ้องคนด่าแรงปมร้อนฉากวางยาสลบแมว ลั่นจำนำเงินที่ได้มาช่วยเหลือสัตว์

    "ทุกคนใหม่ปรึกษาค่ะ ใหม่กำลังคิดว่าใหม่ควรฟ้องคนที่ด่าใหม่เกินเหตุดีมั้ยคะแล้วใหม่จะเอาเงินทั้งหมดมาช่วยเหลือสัตว์...ใหม่ไม่เคยฟ้องมาก่อนส่วนตัวไม่อยากแต่ครั้งนี้คนรอบตัวขอให้ใหม่พิจารณาเรื่องนี้ค่ะ ทุกคนว่าไงดี??"

    “ฝากพี่ๆน้องๆใจดีส่งให้หน่อยนะคะแคปโพสที่คิดว่าแรงแล้ว DM มาที่ IG davikahchannel ขอบคุณค่ะ”

    พี่รู้ว่าแฟนคลับพี่อึดอัดมากๆและหลายครั้งพี่ขอโทษนะที่พี่ไม่เคยลงมืออย่างจริงจัง เพราะพี่คิดเสมอว่าการนิ่งเงียบจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด พี่ไม่ได้มีทนายที่ช่วยเหลือ ตอนนี้กำลังหาอยู่ค่ะ ยังไงจะมาอัพเดทนะคะ หาเงินช่วยสัตว์กันนะคะ”

    #MGROnline #น้องแมวดำ #วางยา #แม่หยัว
    เรียกว่ากลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ทำให้เหล่าคนรักสัตว์ออกมาเคลื่อนไหวถึงความไม่เหมาะสม กรณีที่มีฉาก “น้องแมวดำ” ถูกวางยาตาย ในละครเรื่อง “แม่หยัว” จนกระทั่งเกิดกระแสการแบนละครออกมา • งานนี้ทำเอาประเด็นดังกล่าวลุกลามไปถึงนางเอกสาว "ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่" ที่ชาวเน็ตแห่เข้าไปถามทำนองว่า ทำไมถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องนี้เลย แม้ "ใหม่" จะออกมาแสดงความคิดเห็นแล้วว่า ถ้าคนที่ตามใหม่ จะรู้อยู่แล้วว่าใหม่เลี้ยงสัตว์มาทั้งชีวิต ใหม่ไม่มีทางเห็นด้วยกับการทรมานสัตว์แน่นอน • แต่เรื่องดังกล่าวก็ดูเหมือนยังไม่จบ ล่าสุด "ใหม่ ดาวิกา” ได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ด้วยการโพสต์ข้อความผ่านทางโลกออนไลน์ เตรียมฟ้องคนด่าแรงปมร้อนฉากวางยาสลบแมว ลั่นจำนำเงินที่ได้มาช่วยเหลือสัตว์ • "ทุกคนใหม่ปรึกษาค่ะ ใหม่กำลังคิดว่าใหม่ควรฟ้องคนที่ด่าใหม่เกินเหตุดีมั้ยคะแล้วใหม่จะเอาเงินทั้งหมดมาช่วยเหลือสัตว์...ใหม่ไม่เคยฟ้องมาก่อนส่วนตัวไม่อยากแต่ครั้งนี้คนรอบตัวขอให้ใหม่พิจารณาเรื่องนี้ค่ะ ทุกคนว่าไงดี??" • “ฝากพี่ๆน้องๆใจดีส่งให้หน่อยนะคะแคปโพสที่คิดว่าแรงแล้ว DM มาที่ IG davikahchannel ขอบคุณค่ะ” • พี่รู้ว่าแฟนคลับพี่อึดอัดมากๆและหลายครั้งพี่ขอโทษนะที่พี่ไม่เคยลงมืออย่างจริงจัง เพราะพี่คิดเสมอว่าการนิ่งเงียบจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด พี่ไม่ได้มีทนายที่ช่วยเหลือ ตอนนี้กำลังหาอยู่ค่ะ ยังไงจะมาอัพเดทนะคะ หาเงินช่วยสัตว์กันนะคะ” • #MGROnline #น้องแมวดำ #วางยา #แม่หยัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok@mgronline #mgronline #news1 #ผู้จัดการ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    TikTok@mgronline #mgronline #news1 #ผู้จัดการ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 648 มุมมอง 163 0 รีวิว
  • TikTok@jayvanasuwan #พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร #mgronline #news1 #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    TikTok@jayvanasuwan #พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร #mgronline #news1 #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 181 0 รีวิว
  • TikTok@mgronline #mgronline #news1 #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    TikTok@mgronline #mgronline #news1 #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 140 0 รีวิว
  • 🙏วันจันทร์ #สนธิเล่าเรื่อง #sondhitalk #mgr #news1 #Thaitimes
    🙏วันจันทร์ #สนธิเล่าเรื่อง #sondhitalk #mgr #news1 #Thaitimes
    Like
    Love
    7
    5 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok@mgronline #mgronlinetiktok #news1 #การเมือง #หน้าเหลี่ยม #มาม่าอร่อย #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    TikTok@mgronline #mgronlinetiktok #news1 #การเมือง #หน้าเหลี่ยม #มาม่าอร่อย #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 218 0 รีวิว
  • TikTok@mgronline #mgronlinetiktok #news1 #หมูเด้ง #เรื่องเด่นทั้วไทย #นครราชสีมา #เครื่องปั้น #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    TikTok@mgronline #mgronlinetiktok #news1 #หมูเด้ง #เรื่องเด่นทั้วไทย #นครราชสีมา #เครื่องปั้น #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 189 0 รีวิว
  • กลายเป็นกระแสร้อนแรงในโซเชียลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังฉากแมวดำ ในละคร "แม่หยัว" โดนวางยา ซึ่งแมวตัวดังกล่าวมีอาการกระตุกและขย้อนอาหารออกมา ทำให้หลายคนมองว่าเป็นทารุณกรรมสัตว์

    ล่าสุดนักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง "ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค" ได้ออกมาโพสต์ข้อความร่วมต่อต้านทารุณสัตว์ และขอแสดงจุดยืน #แบนแม่หยัว โดยระบุว่า

    "#ในฐานะที่ฉันก็มีหมาดำ หมาแมวสีดำก็มีชีวิตจิตใจ การที่คุณบอกวางยาสลบแมวเพื่อเข้าฉาก โห...พูดไม่ออก ถ้านอกจากการรักษาไม่ควรเลย แล้วแมวมีเจ้าของคงไม่มีใครยอม(ถ้ายอมก็ยอมใจ)...ถ้าเอาแมวจรมาแปลว่าคุณก็ไม่สนว่ามันจะเป็นยังไง แล้วต้องมีผู้เชี่ยวชาญวางยาให้ใช่ไหม !? ...ฟื้นแล้วก็ปล่อยไปตามยถากรรมงั้นหรือ !?

    ผมขอ #ร่วมต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ ครั้งนี้ ถึงละครเรื่องนี้ผมจะไม่ได้ดูแต่ก็ขอแสดงจุดยืน และเป็นกระบอกเสียง #แบนแม่หยัว ครับ"

    #MGROnline #แบนแม่หยัว #แม่หยัวep5 #แม่หยัวฆ่าแมว
    กลายเป็นกระแสร้อนแรงในโซเชียลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังฉากแมวดำ ในละคร "แม่หยัว" โดนวางยา ซึ่งแมวตัวดังกล่าวมีอาการกระตุกและขย้อนอาหารออกมา ทำให้หลายคนมองว่าเป็นทารุณกรรมสัตว์ • ล่าสุดนักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง "ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค" ได้ออกมาโพสต์ข้อความร่วมต่อต้านทารุณสัตว์ และขอแสดงจุดยืน #แบนแม่หยัว โดยระบุว่า • "#ในฐานะที่ฉันก็มีหมาดำ หมาแมวสีดำก็มีชีวิตจิตใจ การที่คุณบอกวางยาสลบแมวเพื่อเข้าฉาก โห...พูดไม่ออก ถ้านอกจากการรักษาไม่ควรเลย แล้วแมวมีเจ้าของคงไม่มีใครยอม(ถ้ายอมก็ยอมใจ)...ถ้าเอาแมวจรมาแปลว่าคุณก็ไม่สนว่ามันจะเป็นยังไง แล้วต้องมีผู้เชี่ยวชาญวางยาให้ใช่ไหม !? ...ฟื้นแล้วก็ปล่อยไปตามยถากรรมงั้นหรือ !? • ผมขอ #ร่วมต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ ครั้งนี้ ถึงละครเรื่องนี้ผมจะไม่ได้ดูแต่ก็ขอแสดงจุดยืน และเป็นกระบอกเสียง #แบนแม่หยัว ครับ" • #MGROnline #แบนแม่หยัว #แม่หยัวep5 #แม่หยัวฆ่าแมว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกนนำไทยภักดี ง้างปาก “ภูมิธรรม” ทำไมจึงยอมให้กัมพูชากำหนดพื้นทางทะเล ด้วยการเล็งมาที่ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด? ยกคำพูด “ทักษิณ” สวน “นายกฯ อิ๊งค์” mou44 ยกเลิกไม่ได้ก็ไม่จริง ดักยังดื้อจะเป็นพรรคเพื่อเขมรแทนเพื่อไทย

    วันนี้ (10 พ.ย.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่

    คุณภูมิธรรม มาลงพื้นที่เกาะกูด เพื่อมายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย เกาะกูดมีธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมกับมาเยี่ยมกำลังพลที่ดูแลพื้นที่

    ผมยังยืนยันนะครับว่า วันนี้ประชาชนไทย หรือแม้แต่ประชาชนเกาะกูด ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย ย้ำนะครับว่า ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย เพราะเกาะกูดเป็นของไทยวันยังค่ำ

    ในเมื่อเกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่ทางทะเลโดยรอบเกาะกูด 200 ไมล์ทะเล (370 กม.) ทั้งน้ำทะล กุ้งหอยปูปลา ผิวดินใต้ทะเล รวมทั้งพื้นดินใต้ผิวดินใต้ทะเล แหล่งพลังงาน ต้องเป็นของไทยด้วย ไม่ใช่เป็นของไทยแค่ตัวเกาะ

    สิ่งที่คนไทยกังวลใจกันมากๆ ก็คือ เมื่อเกาะกูดเป็นของไทย ไทยเราไปยอมรับเส้นอาณาเขตทางทะเล (ไหล่ทวีป) ของกัมพูชา ที่เล็งผ่านยอดเขาที่สูงสุดของเกาะกูด ออกไปอ่าวไทย ได้อย่างไร มันจึงเกิดพื้นที่ทับซ้อนมหาศาล

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000108138

    #MGROnline #เกาะกูด #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่
    แกนนำไทยภักดี ง้างปาก “ภูมิธรรม” ทำไมจึงยอมให้กัมพูชากำหนดพื้นทางทะเล ด้วยการเล็งมาที่ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด? ยกคำพูด “ทักษิณ” สวน “นายกฯ อิ๊งค์” mou44 ยกเลิกไม่ได้ก็ไม่จริง ดักยังดื้อจะเป็นพรรคเพื่อเขมรแทนเพื่อไทย • วันนี้ (10 พ.ย.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่ • คุณภูมิธรรม มาลงพื้นที่เกาะกูด เพื่อมายืนยันว่า เกาะกูดเป็นของไทย เกาะกูดมีธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมกับมาเยี่ยมกำลังพลที่ดูแลพื้นที่ • ผมยังยืนยันนะครับว่า วันนี้ประชาชนไทย หรือแม้แต่ประชาชนเกาะกูด ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย ย้ำนะครับว่า ไม่ได้กังวลใจว่า เกาะกูดไม่ได้เป็นของไทย เพราะเกาะกูดเป็นของไทยวันยังค่ำ • ในเมื่อเกาะกูดเป็นของไทย พื้นที่ทางทะเลโดยรอบเกาะกูด 200 ไมล์ทะเล (370 กม.) ทั้งน้ำทะล กุ้งหอยปูปลา ผิวดินใต้ทะเล รวมทั้งพื้นดินใต้ผิวดินใต้ทะเล แหล่งพลังงาน ต้องเป็นของไทยด้วย ไม่ใช่เป็นของไทยแค่ตัวเกาะ • สิ่งที่คนไทยกังวลใจกันมากๆ ก็คือ เมื่อเกาะกูดเป็นของไทย ไทยเราไปยอมรับเส้นอาณาเขตทางทะเล (ไหล่ทวีป) ของกัมพูชา ที่เล็งผ่านยอดเขาที่สูงสุดของเกาะกูด ออกไปอ่าวไทย ได้อย่างไร มันจึงเกิดพื้นที่ทับซ้อนมหาศาล • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000108138 • #MGROnline #เกาะกูด #ภูมิธรรมไปเกาะกูดไม่มีอะไรใหม่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok@mgronline #mgronline #news1 #sport #ONE #มวยไทย #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    TikTok@mgronline #mgronline #news1 #sport #ONE #มวยไทย #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 590 มุมมอง 329 0 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“

    จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง

    วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107789

    #MGROnline #ทนายตั้ม #กรมราชทัณฑ์
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“ • จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง • วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107789 • #MGROnline #ทนายตั้ม #กรมราชทัณฑ์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่

    วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ

    ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107762

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    เผย"ทนายตั้ม"โยกย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านก่อนถูกจับ พบเพียงตู้เซฟว่างเปล่า ซ้ำเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ทำลายข้อมูลจนยากแก่การแกะรอย เชื่อมีพรายกระซิบคอยบอกความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ • วันนี้ ( 8 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เชื่อว่า นายษิทรา มีพฤติกรรมตั้งใจที่จะฉ้อโกงเงินจากพี่อ้อยจริง โดยเฉพาะหลักฐานเอกสารซื้อรถเบนซ์มูลค่า 13 ล้านบาท หลังพบว่ามีการจัดทำใบเสร็จซื้อรถจำนวน 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นใบเสร็จซื้อรถจากโชว์รูมที่มีการระบุราคาจริง คือ 11.5 ล้านบาท ส่วนใบเสร็จอีกชุดที่นายษิทรา นำไปแสดงให้กับ พี่อ้อย ดูนั้นเป็นใบเสร็จที่ทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการระบุตัวเลขราคารถให้สูงขึ้นจากราคาจริง คือ 13 ล้านบาท เพื่อจะนำเอาเงินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตนเอง ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ทำการสอบปากคำพนักงานขายของโชว์รูมและพยานบุคคลต่าง ๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งคำให้การของพยานเหล่านี้ก็สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบ • ขณะเดียวกันจากแนวทางสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ก่อนหน้าที่นายษิทรา และ ภรรยา จะถูกจับกุมตัว น่าจะมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี มีการโยกย้ายทรัพย์สินมีค่าออกจากบ้านพัก และ ตู้เซฟ จนหมดเกลี้ยง คงเหลือทรัพย์บางส่วนทิ้งไว้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้นั้น ยังเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ภายในเครื่องไม่มีข้อมูลใด ๆ บันทึกไว้ ผิดแปลกจากคนปกติทั่วไป รวมถึงเชื่อว่ามีสายข่าวคอยส่งสัญญาณแจ้งความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา นอกจากนี้จากการสอบปากคำพยานบุคคลฝั่งของ นายษิทรา บางราย ยังยอมรับว่า มีการเตรียมคำให้การ หรือ ให้พูดตามสคริปที่เตรียมมา เพื่อปิดบังข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลใดเป็นผู้บงการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107762 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้

    วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

    นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง

    ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้ • วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล • นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง • ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ชวนคิดชวนคุย #news1 #mgronline #sondhitalk #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    #ชวนคิดชวนคุย #news1 #mgronline #sondhitalk #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 844 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok@mgronline #mgronlinetoktok #news1 #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    TikTok@mgronline #mgronlinetoktok #news1 #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 224 0 รีวิว
  • ประชาธิปไตยคือระบอบที่ดีที่สุด กับนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออุ๊งอิ๊งค์

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000107525
    ประชาธิปไตยคือระบอบที่ดีที่สุด กับนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออุ๊งอิ๊งค์ บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9670000107525
    MGRONLINE.COM
    ประชาธิปไตยคือระบอบที่ดีที่สุด กับนายกรัฐมนตรีที่ชื่ออุ๊งอิ๊งค์
    ไม่รู้ว่าสังคมไทยมีความเห็นอย่างไรบ้างที่ได้ อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • #sondhitalk #news1 #mgronline #ความจริงมีหนึ่งเดียว #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    #sondhitalk #news1 #mgronline #ความจริงมีหนึ่งเดียว #Thaitimes #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 996 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts