• GPU ที่ปรับแต่งได้เหมือนเลโก้ พร้อมพลังที่ฉลาดขึ้น

    ลองจินตนาการว่า GPU ไม่ใช่แค่ชิปกราฟิกธรรมดา แต่เป็นเหมือนชุดเลโก้ที่สามารถประกอบใหม่ได้ตามความต้องการของตลาด นั่นคือแนวคิดของ AMD RDNA 4 ที่ใช้การออกแบบแบบ Modular SoC ซึ่งสามารถ “ตัดต่อ” ส่วนประกอบภายในได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น Shader Engine, Memory Controller หรือแม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยภายในชิป

    AMD ได้เปิดเผยว่า Navi 44 ซึ่งเป็นหนึ่งใน GPU ตระกูล RDNA 4 ใช้การออกแบบที่มี Shader Engine 2 ตัว และ Memory Controller แบบ 128-bit GDDR6 ซึ่งสามารถขยายหรือย่อขนาดได้ตามต้องการ เช่น ถ้าต้องการรุ่นแรงขึ้น ก็เพิ่ม Shader Engine และ Memory Controller เข้าไปได้เลย

    นอกจากนี้ AMD ยังได้พัฒนาเทคนิคการบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่ช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ของ Infinity Fabric ลงถึง 25% และเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพแบบ raster ได้ถึง 15% โดยไม่ต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์ภายนอกในการจัดการการบีบอัดอีกต่อไป

    สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบนี้ยังช่วยให้ AMD สามารถสร้าง GPU ได้หลายรุ่นจากแผนผังเดียวกัน เช่น RX 9070 XT ที่ใช้ Navi 48 ก็เป็นผลลัพธ์จากการขยายโครงสร้างเดียวกันนี้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD เปิดเผยรายละเอียด RDNA 4 เพิ่มเติมในงาน Hot Chips 2025
    RDNA 4 ใช้การออกแบบ Modular SoC ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
    Navi 44 มี Shader Engine 2 ตัว และ Memory Controller แบบ 128-bit GDDR6
    Modular SoC สามารถขยายเป็น Navi 48 สำหรับ RX 9070 XT ได้
    Infinity Fabric มีแบนด์วิดท์ 1KB/clock และความถี่ 1.5–2.5 GHz
    ระบบ GL2 Cache และ LLC ช่วยให้การสื่อสารภายในชิปมีประสิทธิภาพ
    RDNA 4 มีการฝังระบบรักษาความปลอดภัยและการจัดการพลังงานไว้ในชิป
    มีการใช้เทคนิคบีบอัดข้อมูลใหม่ที่ช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ลง 25%
    ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพแบบ raster เพิ่มขึ้น 15%
    AMD มี Navi 44 และ Navi 48 หลาย SKU ที่แตกต่างกันตามการปรับแต่ง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RDNA 4 ไม่มีรุ่นเดสก์ท็อประดับสูงอย่าง Navi 4C ตามข่าวลือก่อนเปิดตัว
    AMD ใช้เทคนิค “Harvesting” เพื่อปรับแต่ง GPU เช่น ปิด Shader Engine หรือลด Memory Bus
    RDNA 4 ยังไม่มีรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊กหรือแบบฝังตัว แม้เคยมีข่าวลือก่อนเปิดตัว RX 9000
    การออกแบบ Modular ช่วยให้ AMD ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดจำหน่าย

    https://wccftech.com/amd-rdna-4-modular-soc-flexible-configurability-helps-spawn-smaller-gpus-navi-44-features-to-reduce-memory-bandwidth/
    🎮 GPU ที่ปรับแต่งได้เหมือนเลโก้ พร้อมพลังที่ฉลาดขึ้น ลองจินตนาการว่า GPU ไม่ใช่แค่ชิปกราฟิกธรรมดา แต่เป็นเหมือนชุดเลโก้ที่สามารถประกอบใหม่ได้ตามความต้องการของตลาด นั่นคือแนวคิดของ AMD RDNA 4 ที่ใช้การออกแบบแบบ Modular SoC ซึ่งสามารถ “ตัดต่อ” ส่วนประกอบภายในได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น Shader Engine, Memory Controller หรือแม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยภายในชิป AMD ได้เปิดเผยว่า Navi 44 ซึ่งเป็นหนึ่งใน GPU ตระกูล RDNA 4 ใช้การออกแบบที่มี Shader Engine 2 ตัว และ Memory Controller แบบ 128-bit GDDR6 ซึ่งสามารถขยายหรือย่อขนาดได้ตามต้องการ เช่น ถ้าต้องการรุ่นแรงขึ้น ก็เพิ่ม Shader Engine และ Memory Controller เข้าไปได้เลย นอกจากนี้ AMD ยังได้พัฒนาเทคนิคการบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่ช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ของ Infinity Fabric ลงถึง 25% และเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพแบบ raster ได้ถึง 15% โดยไม่ต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์ภายนอกในการจัดการการบีบอัดอีกต่อไป สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบนี้ยังช่วยให้ AMD สามารถสร้าง GPU ได้หลายรุ่นจากแผนผังเดียวกัน เช่น RX 9070 XT ที่ใช้ Navi 48 ก็เป็นผลลัพธ์จากการขยายโครงสร้างเดียวกันนี้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD เปิดเผยรายละเอียด RDNA 4 เพิ่มเติมในงาน Hot Chips 2025 ➡️ RDNA 4 ใช้การออกแบบ Modular SoC ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ ➡️ Navi 44 มี Shader Engine 2 ตัว และ Memory Controller แบบ 128-bit GDDR6 ➡️ Modular SoC สามารถขยายเป็น Navi 48 สำหรับ RX 9070 XT ได้ ➡️ Infinity Fabric มีแบนด์วิดท์ 1KB/clock และความถี่ 1.5–2.5 GHz ➡️ ระบบ GL2 Cache และ LLC ช่วยให้การสื่อสารภายในชิปมีประสิทธิภาพ ➡️ RDNA 4 มีการฝังระบบรักษาความปลอดภัยและการจัดการพลังงานไว้ในชิป ➡️ มีการใช้เทคนิคบีบอัดข้อมูลใหม่ที่ช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ลง 25% ➡️ ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพแบบ raster เพิ่มขึ้น 15% ➡️ AMD มี Navi 44 และ Navi 48 หลาย SKU ที่แตกต่างกันตามการปรับแต่ง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RDNA 4 ไม่มีรุ่นเดสก์ท็อประดับสูงอย่าง Navi 4C ตามข่าวลือก่อนเปิดตัว ➡️ AMD ใช้เทคนิค “Harvesting” เพื่อปรับแต่ง GPU เช่น ปิด Shader Engine หรือลด Memory Bus ➡️ RDNA 4 ยังไม่มีรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊กหรือแบบฝังตัว แม้เคยมีข่าวลือก่อนเปิดตัว RX 9000 ➡️ การออกแบบ Modular ช่วยให้ AMD ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดจำหน่าย https://wccftech.com/amd-rdna-4-modular-soc-flexible-configurability-helps-spawn-smaller-gpus-navi-44-features-to-reduce-memory-bandwidth/
    WCCFTECH.COM
    AMD RDNA 4's Modular SoC Nature & Flexible Configurability Helps Spawn Smaller & Diverse GPUs Such as Navi 44, Highlights Features To Reduce Memory & Bandwidth Needs
    AMD further detailed its RDNA 4 GPU architecture and its Modular SoC design, along with new memory & bandwidth compression techniques.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง Coinbase: เมื่อภัยไซเบอร์มาในรูปแบบ “สินบน”

    ในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทคริปโตยักษ์ใหญ่ Coinbase ได้รับอีเมลจากแฮกเกอร์นิรนาม แจ้งว่าพวกเขาได้ข้อมูลลูกค้าจำนวนหนึ่ง พร้อมเอกสารภายในของบริษัท โดยขู่เรียกค่าไถ่ถึง 20 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เผยแพร่ข้อมูล

    แต่สิ่งที่น่าตกใจไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูล — แต่เป็น “วิธีการ” ที่แฮกเกอร์ใช้: พวกเขาเสนอสินบนให้พนักงาน outsource ที่ศูนย์บริการลูกค้าในอินเดีย (TaskUs) เพื่อให้เข้าถึงระบบภายใน โดยมีการจ่ายเงินสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมีทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชีธนาคารแบบ masked รวมถึงข้อมูลการใช้งานของลูกค้ากว่า 70,000 ราย — คิดเป็น 1% ของผู้ใช้งานรายเดือนของ Coinbase

    Coinbase ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไถ่ และสวนกลับด้วยการตั้งค่าหัวแฮกเกอร์ 20 ล้านดอลลาร์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงผ่าน social engineering และปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มแข็งขึ้น

    นอกจากนี้ Coinbase ยังไล่พนักงานที่รับสินบนออกทันที และแจ้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศให้ดำเนินคดี ส่วน TaskUs ก็หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงานกว่า 226 คน

    สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญชี้คือ “การติดสินบน” กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ของแฮกเกอร์ในการเจาะระบบองค์กร โดยเฉพาะเมื่อการโจมตีแบบเดิม เช่น phishing เริ่มถูกป้องกันได้ดีขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Coinbase ถูกแฮกเกอร์ขู่เรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์จากข้อมูลลูกค้าและเอกสารภายใน
    แฮกเกอร์ใช้วิธีติดสินบนพนักงาน outsource ที่บริษัท TaskUs ในอินเดีย
    มีการเสนอเงินสูงถึง $2,500 ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชี
    Coinbase ปฏิเสธการจ่ายค่าไถ่ และตั้งค่าหัวแฮกเกอร์เป็นเงินเท่ากัน
    บริษัทให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อ social engineering
    พนักงานที่รับสินบนถูกไล่ออกทันที และถูกแจ้งความดำเนินคดี
    TaskUs หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงาน 226 คน
    Coinbase ประเมินค่าเสียหายและค่าชดเชยอยู่ระหว่าง $180M ถึง $400M
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฝึกอบรมพนักงานเรื่องการรับมือกับการติดสินบน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กลุ่มแฮกเกอร์ “The Com” อ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่ยังไม่มีการยืนยัน
    การติดสินบนพนักงานเพื่อเข้าถึงข้อมูลภายในเคยเกิดขึ้นกับ Tesla ในปี 2020
    การใช้สินบนเป็นช่องทางโจมตีองค์กรกำลังเพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม
    การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันการติดสินบนควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนความปลอดภัย
    การตั้งศูนย์บริการใหม่ในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันของ Coinbase

    https://www.csoonline.com/article/4042522/behind-the-coinbase-breach-bribery-is-an-emerging-enterprise-threat.html
    💸 เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง Coinbase: เมื่อภัยไซเบอร์มาในรูปแบบ “สินบน” ในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทคริปโตยักษ์ใหญ่ Coinbase ได้รับอีเมลจากแฮกเกอร์นิรนาม แจ้งว่าพวกเขาได้ข้อมูลลูกค้าจำนวนหนึ่ง พร้อมเอกสารภายในของบริษัท โดยขู่เรียกค่าไถ่ถึง 20 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เผยแพร่ข้อมูล แต่สิ่งที่น่าตกใจไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูล — แต่เป็น “วิธีการ” ที่แฮกเกอร์ใช้: พวกเขาเสนอสินบนให้พนักงาน outsource ที่ศูนย์บริการลูกค้าในอินเดีย (TaskUs) เพื่อให้เข้าถึงระบบภายใน โดยมีการจ่ายเงินสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า ข้อมูลที่ถูกขโมยมีทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชีธนาคารแบบ masked รวมถึงข้อมูลการใช้งานของลูกค้ากว่า 70,000 ราย — คิดเป็น 1% ของผู้ใช้งานรายเดือนของ Coinbase Coinbase ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไถ่ และสวนกลับด้วยการตั้งค่าหัวแฮกเกอร์ 20 ล้านดอลลาร์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงผ่าน social engineering และปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ Coinbase ยังไล่พนักงานที่รับสินบนออกทันที และแจ้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศให้ดำเนินคดี ส่วน TaskUs ก็หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงานกว่า 226 คน สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญชี้คือ “การติดสินบน” กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ของแฮกเกอร์ในการเจาะระบบองค์กร โดยเฉพาะเมื่อการโจมตีแบบเดิม เช่น phishing เริ่มถูกป้องกันได้ดีขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Coinbase ถูกแฮกเกอร์ขู่เรียกค่าไถ่ 20 ล้านดอลลาร์จากข้อมูลลูกค้าและเอกสารภายใน ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธีติดสินบนพนักงาน outsource ที่บริษัท TaskUs ในอินเดีย ➡️ มีการเสนอเงินสูงถึง $2,500 ต่อคนเพื่อให้คัดลอกข้อมูลจากระบบสนับสนุนลูกค้า ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขประกันสังคม และข้อมูลบัญชี ➡️ Coinbase ปฏิเสธการจ่ายค่าไถ่ และตั้งค่าหัวแฮกเกอร์เป็นเงินเท่ากัน ➡️ บริษัทให้คำมั่นว่าจะชดเชยลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อ social engineering ➡️ พนักงานที่รับสินบนถูกไล่ออกทันที และถูกแจ้งความดำเนินคดี ➡️ TaskUs หยุดให้บริการ Coinbase ที่ศูนย์ในอินเดีย และปลดพนักงาน 226 คน ➡️ Coinbase ประเมินค่าเสียหายและค่าชดเชยอยู่ระหว่าง $180M ถึง $400M ➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฝึกอบรมพนักงานเรื่องการรับมือกับการติดสินบน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์ “The Com” อ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่ยังไม่มีการยืนยัน ➡️ การติดสินบนพนักงานเพื่อเข้าถึงข้อมูลภายในเคยเกิดขึ้นกับ Tesla ในปี 2020 ➡️ การใช้สินบนเป็นช่องทางโจมตีองค์กรกำลังเพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันการติดสินบนควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนความปลอดภัย ➡️ การตั้งศูนย์บริการใหม่ในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันของ Coinbase https://www.csoonline.com/article/4042522/behind-the-coinbase-breach-bribery-is-an-emerging-enterprise-threat.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Behind the Coinbase breach: Bribery emerges as enterprise threat
    Coinbase’s breach shows how bribery schemes — long used for SIM swaps — can be a potent enterprise attack vector. Experts urge security leaders to add bribery training and red-teaming to their cyber defense toolkits.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • Windows 11 Update ที่ทำให้ SSD มีปัญหา
    ปัญหาหลัก:
    หลังจากที่ Microsoft ปล่อยอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 โดยเฉพาะแพตช์:
    • KB5063878
    • KB5062660

    ผู้ใช้จำนวนมาก (โดยเฉพาะคนที่ใช้ SSD แบบ M.2 หรือที่มี คอนโทรลเลอร์ Phison) รายงานว่าเครื่อง:
    ค้างในหน้า Setup หรือหลังรีสตาร์ต
    เกิด Blue Screen of Death (BSOD)
    บูตไม่เข้า Windows
    SSD ทำงานช้าลง หรือหายไปเลย
    รีสตาร์ตวนลูป
    บางเครื่องต้อง format และลง Windows ใหม่

    สรุป
    • ปัญหา SSD ค้าง อาจมาจาก Windows 11 24H2 อัปเดต KB5063878 / KB5062660
    • ส่งผลให้บางเครื่อง M.2 SSD (โดยเฉพาะ Phison) ค้าง/บูตไม่ได้
    • แนวทางคือ ถอนอัปเดต หรือ clean install พร้อมอัปเดต SSD firmware


    Cr. https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/latest-windows-11-security-patch-might-be-breaking-ssds-under-heavy-workloads-users-report-disappearing-drives-following-file-transfers-including-some-that-cannot-be-recovered-after-a-reboot
    Windows 11 Update ที่ทำให้ SSD มีปัญหา 📌 ปัญหาหลัก: หลังจากที่ Microsoft ปล่อยอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 โดยเฉพาะแพตช์: • KB5063878 • KB5062660 ผู้ใช้จำนวนมาก (โดยเฉพาะคนที่ใช้ SSD แบบ M.2 หรือที่มี คอนโทรลเลอร์ Phison) รายงานว่าเครื่อง: • ❌ ค้างในหน้า Setup หรือหลังรีสตาร์ต • ❌ เกิด Blue Screen of Death (BSOD) • ❌ บูตไม่เข้า Windows • ❌ SSD ทำงานช้าลง หรือหายไปเลย • ❌ รีสตาร์ตวนลูป • ❌ บางเครื่องต้อง format และลง Windows ใหม่ สรุป • ปัญหา SSD ค้าง อาจมาจาก Windows 11 24H2 อัปเดต KB5063878 / KB5062660 • ส่งผลให้บางเครื่อง M.2 SSD (โดยเฉพาะ Phison) ค้าง/บูตไม่ได้ • แนวทางคือ ถอนอัปเดต หรือ clean install พร้อมอัปเดต SSD firmware Cr. https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/latest-windows-11-security-patch-might-be-breaking-ssds-under-heavy-workloads-users-report-disappearing-drives-following-file-transfers-including-some-that-cannot-be-recovered-after-a-reboot
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • เมื่อ CyberOps ไม่ใช่แค่คนเฝ้าแจ้งเตือน แต่เป็น “ทีมมนุษย์-เอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกัน

    ในอดีต การทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (CyberOps) คือการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบ manual — แต่วันนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง

    ไม่ใช่แค่ machine learning ที่ช่วยวิเคราะห์ log หรือตรวจจับ anomaly แบบเดิม แต่เป็น generative AI และ agentic AI ที่สามารถ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้เองในระดับที่ใกล้เคียงมนุษย์

    ตัวอย่างเช่น ใน Security Operations Center (SOC) ตอนนี้ AI สามารถจัดการงานระดับ 1 ได้เกือบทั้งหมด เช่น การจัดการ ticket, การ triage, และการ route ไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง โดยปล่อยให้มนุษย์โฟกัสกับงานระดับสูง เช่น threat modeling หรือ incident response

    AI ยังช่วยให้ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การวิเคราะห์ phishing หรือการจัดการ vulnerability โดยใช้ agent ที่เรียนรู้จากข้อมูลและให้คำแนะนำแบบ real-time

    แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “มนุษย์จะถูกแทนที่” — กลับกัน AI กลายเป็น “force multiplier” ที่ช่วยให้ทีมทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น โดยยังคงต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและตัดสินใจในจุดสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ใน CyberOps ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่อง governance, ความเร็วในการปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงจาก AI ที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้าม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AI โดยเฉพาะ generative และ agentic AI กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม CyberOps
    AI ช่วยจัดการงานระดับ 1 ใน SOC เช่น ticket triage และ routing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    AI ช่วยยกระดับทักษะของทีม โดยทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เร็วขึ้น และพนักงานเก่าทำงานได้ดีขึ้น
    AI สามารถสร้าง case study และคำแนะนำให้ SOC worker ทำงานระดับสูงได้ง่ายขึ้น
    การใช้ AI ใน threat modeling ช่วยให้ทีมเล็กๆ สามารถวิเคราะห์และป้องกันภัยล่วงหน้าได้
    การใช้ AI ทำให้ทีม CyberOps มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    บทบาทใหม่ของทีมคือ “ผู้จัดการเอเจนต์” มากกว่าการเป็นผู้ลงมือทำทุกอย่างเอง
    ทักษะใหม่ที่จำเป็นคือ AI governance, prompt engineering และ data science
    การใช้ AI ต้องมีมนุษย์อยู่ใน loop เพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้อง
    การใช้ AI ในองค์กรยังล่าช้า โดยมีเพียง 22% ที่มีนโยบายและการฝึกอบรมด้าน AI อย่างชัดเจน
    มีเพียง 25% ขององค์กรที่ใช้ encryption และ access control อย่างเต็มรูปแบบในการปกป้องข้อมูล
    83% ขององค์กรยังไม่มีระบบ cloud security ที่มี monitoring และ response แบบครบวงจร
    Gartner แนะนำให้ใช้แนวทาง AI TRiSM (Trust, Risk, Security Management) เพื่อจัดการความเสี่ยงจาก AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้เอง โดยมีเป้าหมายและ autonomy
    SOC ที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลด false positive ได้มากถึง 70%
    Prompt engineering กลายเป็นทักษะสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของ AI agent
    การใช้ AI ใน cybersecurity ต้องมีระบบ audit และ explainability เพื่อให้ตรวจสอบได้
    ฝ่ายตรงข้าม (threat actors) ก็ใช้ AI ในการสร้าง malware ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา
    การใช้ AI ใน offensive security เช่น red teaming กำลังเติบโตในหลายองค์กร

    https://www.csoonline.com/article/4042494/how-ai-is-reshaping-cybersecurity-operations.html
    🎙️ เมื่อ CyberOps ไม่ใช่แค่คนเฝ้าแจ้งเตือน แต่เป็น “ทีมมนุษย์-เอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกัน ในอดีต การทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (CyberOps) คือการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบ manual — แต่วันนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ machine learning ที่ช่วยวิเคราะห์ log หรือตรวจจับ anomaly แบบเดิม แต่เป็น generative AI และ agentic AI ที่สามารถ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้เองในระดับที่ใกล้เคียงมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ใน Security Operations Center (SOC) ตอนนี้ AI สามารถจัดการงานระดับ 1 ได้เกือบทั้งหมด เช่น การจัดการ ticket, การ triage, และการ route ไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง โดยปล่อยให้มนุษย์โฟกัสกับงานระดับสูง เช่น threat modeling หรือ incident response AI ยังช่วยให้ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การวิเคราะห์ phishing หรือการจัดการ vulnerability โดยใช้ agent ที่เรียนรู้จากข้อมูลและให้คำแนะนำแบบ real-time แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “มนุษย์จะถูกแทนที่” — กลับกัน AI กลายเป็น “force multiplier” ที่ช่วยให้ทีมทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น โดยยังคงต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและตัดสินใจในจุดสำคัญ อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ใน CyberOps ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่อง governance, ความเร็วในการปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงจาก AI ที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้าม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AI โดยเฉพาะ generative และ agentic AI กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม CyberOps ➡️ AI ช่วยจัดการงานระดับ 1 ใน SOC เช่น ticket triage และ routing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ AI ช่วยยกระดับทักษะของทีม โดยทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เร็วขึ้น และพนักงานเก่าทำงานได้ดีขึ้น ➡️ AI สามารถสร้าง case study และคำแนะนำให้ SOC worker ทำงานระดับสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ การใช้ AI ใน threat modeling ช่วยให้ทีมเล็กๆ สามารถวิเคราะห์และป้องกันภัยล่วงหน้าได้ ➡️ การใช้ AI ทำให้ทีม CyberOps มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ บทบาทใหม่ของทีมคือ “ผู้จัดการเอเจนต์” มากกว่าการเป็นผู้ลงมือทำทุกอย่างเอง ➡️ ทักษะใหม่ที่จำเป็นคือ AI governance, prompt engineering และ data science ➡️ การใช้ AI ต้องมีมนุษย์อยู่ใน loop เพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้อง ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังล่าช้า โดยมีเพียง 22% ที่มีนโยบายและการฝึกอบรมด้าน AI อย่างชัดเจน ➡️ มีเพียง 25% ขององค์กรที่ใช้ encryption และ access control อย่างเต็มรูปแบบในการปกป้องข้อมูล ➡️ 83% ขององค์กรยังไม่มีระบบ cloud security ที่มี monitoring และ response แบบครบวงจร ➡️ Gartner แนะนำให้ใช้แนวทาง AI TRiSM (Trust, Risk, Security Management) เพื่อจัดการความเสี่ยงจาก AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้เอง โดยมีเป้าหมายและ autonomy ➡️ SOC ที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลด false positive ได้มากถึง 70% ➡️ Prompt engineering กลายเป็นทักษะสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของ AI agent ➡️ การใช้ AI ใน cybersecurity ต้องมีระบบ audit และ explainability เพื่อให้ตรวจสอบได้ ➡️ ฝ่ายตรงข้าม (threat actors) ก็ใช้ AI ในการสร้าง malware ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา ➡️ การใช้ AI ใน offensive security เช่น red teaming กำลังเติบโตในหลายองค์กร https://www.csoonline.com/article/4042494/how-ai-is-reshaping-cybersecurity-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How AI is reshaping cybersecurity operations
    AI’s emergence as a transformative force is spurring CISOs to rethink how their teams operate to harness the technology’s potential and better defend its use across the organization.
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • เกมดีไม่ใช่แค่ไอเดียเจ๋ง แต่ต้องมี “กระบวนการที่ไม่ทำให้ทีมพัง”

    ในโลกของการพัฒนาเกม ความคิดสร้างสรรค์คือเชื้อเพลิง แต่ “กระบวนการ” คือเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดี ต่อให้เติมเชื้อเพลิงเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย

    บทความนี้เล่าถึง 4 วิธีที่สตูดิโอเกมระดับโลกใช้เพื่อเปลี่ยนจากความวุ่นวายเป็นความลื่นไหล ตั้งแต่การจ้างทีมภายนอกอย่างมีกลยุทธ์ ไปจนถึงการใช้ระบบอัตโนมัติและคลาวด์เพื่อให้ทีมทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละซีกโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “การทำงานให้เร็วขึ้น” ไม่ได้หมายถึง “ทำงานหนักขึ้น” แต่คือการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรทำเอง อะไรควรให้คนอื่นทำ และอะไรควรให้เครื่องทำแทน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    การพัฒนาเกมที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการจัดการทรัพยากรและกระบวนการที่ดี ไม่ใช่แค่ความสามารถของทีม
    การจ้างทีมภายนอก (outsourcing) ช่วยลดภาระในงานเฉพาะทาง เช่น 3D modeling, localization, QA และ audio
    การใช้ Agile แบบปรับแต่งสำหรับเกม เช่น milestone-based sprint และ playable build ทุกรอบ ช่วยให้ทีมปรับตัวได้เร็ว
    การใช้ automation เช่น CI/CD, asset optimization และ scripted QA ช่วยลดงานซ้ำซ้อนและเพิ่มเวลาให้ทีมโฟกัสกับ gameplay
    การทำงานร่วมกันผ่านระบบคลาวด์ช่วยให้ทีมกระจายตัวทำงานได้โดยไม่ชนกัน เช่น asset library, version control และ real-time sync
    การตั้งมาตรฐานการสื่อสารและโครงสร้างไฟล์ช่วยลดความสับสนในการทำงานข้ามทีม
    การใช้ asynchronous workflow ช่วยให้ทีมในต่างเขตเวลาทำงานต่อกันได้โดยไม่ต้องรอ
    การจัดการสิทธิ์และการสำรองข้อมูลในระบบคลาวด์ช่วยป้องกันการสูญเสียข้อมูลสำคัญของเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Unity และ Unreal Engine มีระบบ CI/CD plugin ที่ช่วย build และ deploy อัตโนมัติ
    นักพัฒนาอิสระนิยมใช้ GitHub Actions และ Firebase Hosting เพื่อจัดการ release แบบ lean
    การใช้ Trello หรือ Notion ร่วมกับ cloud asset library ช่วยให้ทีมติดตามงานได้แม้ไม่มี PM เต็มเวลา
    การจ้างทีมภายนอกแบบ “creative partner” ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการจ้างแบบ “task executor”
    หลายสตูดิโอใช้ AI เพื่อช่วย QA เช่นการตรวจจับบั๊กจาก log หรือการทดสอบ UI อัตโนมัติ

    https://hackread.com/streamline-game-development-process-smart-solutions/
    🎙️ เกมดีไม่ใช่แค่ไอเดียเจ๋ง แต่ต้องมี “กระบวนการที่ไม่ทำให้ทีมพัง” ในโลกของการพัฒนาเกม ความคิดสร้างสรรค์คือเชื้อเพลิง แต่ “กระบวนการ” คือเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดี ต่อให้เติมเชื้อเพลิงเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย บทความนี้เล่าถึง 4 วิธีที่สตูดิโอเกมระดับโลกใช้เพื่อเปลี่ยนจากความวุ่นวายเป็นความลื่นไหล ตั้งแต่การจ้างทีมภายนอกอย่างมีกลยุทธ์ ไปจนถึงการใช้ระบบอัตโนมัติและคลาวด์เพื่อให้ทีมทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละซีกโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ “การทำงานให้เร็วขึ้น” ไม่ได้หมายถึง “ทำงานหนักขึ้น” แต่คือการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรทำเอง อะไรควรให้คนอื่นทำ และอะไรควรให้เครื่องทำแทน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ การพัฒนาเกมที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการจัดการทรัพยากรและกระบวนการที่ดี ไม่ใช่แค่ความสามารถของทีม ➡️ การจ้างทีมภายนอก (outsourcing) ช่วยลดภาระในงานเฉพาะทาง เช่น 3D modeling, localization, QA และ audio ➡️ การใช้ Agile แบบปรับแต่งสำหรับเกม เช่น milestone-based sprint และ playable build ทุกรอบ ช่วยให้ทีมปรับตัวได้เร็ว ➡️ การใช้ automation เช่น CI/CD, asset optimization และ scripted QA ช่วยลดงานซ้ำซ้อนและเพิ่มเวลาให้ทีมโฟกัสกับ gameplay ➡️ การทำงานร่วมกันผ่านระบบคลาวด์ช่วยให้ทีมกระจายตัวทำงานได้โดยไม่ชนกัน เช่น asset library, version control และ real-time sync ➡️ การตั้งมาตรฐานการสื่อสารและโครงสร้างไฟล์ช่วยลดความสับสนในการทำงานข้ามทีม ➡️ การใช้ asynchronous workflow ช่วยให้ทีมในต่างเขตเวลาทำงานต่อกันได้โดยไม่ต้องรอ ➡️ การจัดการสิทธิ์และการสำรองข้อมูลในระบบคลาวด์ช่วยป้องกันการสูญเสียข้อมูลสำคัญของเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Unity และ Unreal Engine มีระบบ CI/CD plugin ที่ช่วย build และ deploy อัตโนมัติ ➡️ นักพัฒนาอิสระนิยมใช้ GitHub Actions และ Firebase Hosting เพื่อจัดการ release แบบ lean ➡️ การใช้ Trello หรือ Notion ร่วมกับ cloud asset library ช่วยให้ทีมติดตามงานได้แม้ไม่มี PM เต็มเวลา ➡️ การจ้างทีมภายนอกแบบ “creative partner” ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการจ้างแบบ “task executor” ➡️ หลายสตูดิโอใช้ AI เพื่อช่วย QA เช่นการตรวจจับบั๊กจาก log หรือการทดสอบ UI อัตโนมัติ https://hackread.com/streamline-game-development-process-smart-solutions/
    HACKREAD.COM
    How to Streamline Your Game Development Process: 4 Smart Solutions
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 16 : คนรวยอีกโคตร
    อเมริกามีตระกูล Rockefeller ที่โคตรรวย อังกฤษก็มีเหมือนกัน ใครรวยกว่าใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ดูกันไป ตระกูล Rothchilds เริ่มต้นหากินอยู่ ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ที่ทำให้เขารวยแบบส้มหล่น คือจากการใช้ข่าววงในเล่นหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ (สงสัยเป็น insider trading เจ้าแรกของโลก)
    ประมาณปี ค.ศ. 1815 อังกฤษและพวก ยกทัพไปขยี้จักรพรรดิ์ Napoleon ที่ Waterloo ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Belgium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Netherlands ตระกูล Rothchilds ซึ่งมีเชื้อสายของตระกูล แผ่ไปทั่วยุโรป กำลังครอบครองอาณาจักรการเงิน ผ่านเครือข่ายธนาคารของพวกเขา ตั้งแต่ London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples หัวหน้าตระกูลสายอังกฤษ คือ นาย Nathan Rothchilds เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เมื่อเครือข่ายของเขาส่งข่าวมาว่า กองทัพอังกฤษขยี้ Napoleon ได้ เขารู้ก่อนใคร ๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งรัฐบาลอังกฤษเอง ก็ยังไม่รู้ข่าวนี้ (ถ้ามันจะมีนกพิราบพันธ์พิเศษส่งข่าว !) เขาเดินเข้าไปตลาดหุ้น London ตีหน้าขรึมและสั่งเทขายหุ้นทุก
    ตัวที่เขามีอยู่ในพอร์ต แน่นอน เมื่อท่านเศรษฐีขายหุ้นทิ้งทุกตัว แมงเม่าก็ย่อมขายตาม ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้น London แล้วหุ้นทุกตัวก็พุ่งหลาวลงไปติดพื้น สิ่งที่แมงเม่ามองไม่เห็นคือ หลังจากหุ้นทุกตัวลงมากองอยู่กับพื้น นาย Nathan แอบกลับไปซื้อหุ้นเกือบทุกตัว ในตลาดกลับในราคาหุ้นละตังค์เดียว (penny to a dollar) หลังจากนาย Nathan ซื้อกลับไม่ถึงชั่วอึดใจ ม้าเร็วก็วิ่งมาถึง London พร้อมประกาศว่า เราชนะ เราชนะ แล้วหุ้นที่นาย Nathan ซื้อ ก็พุ่งกลับขึ้นไปชนเพดาน เศรษฐีก็รวยบนซากของแมงเม่ารุ่นประวัติศาสตร์ พวกเศรษฐีเขาเล่นหุ้นกับแบบนี้ แมงเม่าจำไว้ด้วย
    ช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 เศรษฐกิจของอเมริกาเหมือนเสาปักอยู่บนเลน แล้วปี ค.ศ. 1873 ก็เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอย (The Great Depression) บริษัทใหญ่ ตระกูลใหญ่ ตระกูลน้อย วายวอด แต่ตระกูล Rockefeller และ J P Morgan ก็รอดมาได้
    J P Morgan ยึดหัวหาดในการสร้างทางรถไฟ และธนาคาร ขณะที่ Rockefeller ตอนแรกเล่นแต่น้ำมัน ต่อมากลิ่นเงินมันหอม เลยเริ่มมาลงทุนทำธนาคารด้วย ช่วงนั้น House of Morgan เป็นผู้นำในการทำธุรกิจธนาคาร ตั้ง First National Bank of New York และ National City Bank of New York แต่คนบริหารธนาคารนี้ ก็เป็นเด็กในคาถาของ Rockefeller อีกต่อหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1912 ประมาณว่าทรัพย์สินของ 2 เศรษฐีรวมกัน น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น ล้านล้าน (นับตัวเลขถูกหรือเปล่าหว่า ? !)
    ปลายค.ศ. 1870 อาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ของตระกูลโคตรรวย Rockefeller ครองตลาดน้ำมันทั่วอเมริกาและได้ก้าวไปยังต่างประเทศด้วย ค.ศ. 1890 กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ (Dutch) ตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ Royal Dutch Oil Company ขายน้ำมันที่มาจากแหล่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ Dutch มีน้ำมันแต่ไม่มีเรือขน อังกฤษบอกพี่ทำให้เองน้อง แล้วอังกฤษก็ตั้งบริษัทขนส่งน้ำมัน ชื่อ Shell Transport and Trading Company ขนส่งน้ำมัน Dutch จากสุมาตรา ไปทุกแห่งที่อังกฤษต้องการ ท้ายที่สุดก็เปิดตัว คู่รักควบรวมเป็นบริษัท Royal Dutch Shell


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 16 : คนรวยอีกโคตร อเมริกามีตระกูล Rockefeller ที่โคตรรวย อังกฤษก็มีเหมือนกัน ใครรวยกว่าใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ดูกันไป ตระกูล Rothchilds เริ่มต้นหากินอยู่ ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ที่ทำให้เขารวยแบบส้มหล่น คือจากการใช้ข่าววงในเล่นหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ (สงสัยเป็น insider trading เจ้าแรกของโลก) ประมาณปี ค.ศ. 1815 อังกฤษและพวก ยกทัพไปขยี้จักรพรรดิ์ Napoleon ที่ Waterloo ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Belgium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Netherlands ตระกูล Rothchilds ซึ่งมีเชื้อสายของตระกูล แผ่ไปทั่วยุโรป กำลังครอบครองอาณาจักรการเงิน ผ่านเครือข่ายธนาคารของพวกเขา ตั้งแต่ London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples หัวหน้าตระกูลสายอังกฤษ คือ นาย Nathan Rothchilds เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เมื่อเครือข่ายของเขาส่งข่าวมาว่า กองทัพอังกฤษขยี้ Napoleon ได้ เขารู้ก่อนใคร ๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งรัฐบาลอังกฤษเอง ก็ยังไม่รู้ข่าวนี้ (ถ้ามันจะมีนกพิราบพันธ์พิเศษส่งข่าว !) เขาเดินเข้าไปตลาดหุ้น London ตีหน้าขรึมและสั่งเทขายหุ้นทุก ตัวที่เขามีอยู่ในพอร์ต แน่นอน เมื่อท่านเศรษฐีขายหุ้นทิ้งทุกตัว แมงเม่าก็ย่อมขายตาม ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้น London แล้วหุ้นทุกตัวก็พุ่งหลาวลงไปติดพื้น สิ่งที่แมงเม่ามองไม่เห็นคือ หลังจากหุ้นทุกตัวลงมากองอยู่กับพื้น นาย Nathan แอบกลับไปซื้อหุ้นเกือบทุกตัว ในตลาดกลับในราคาหุ้นละตังค์เดียว (penny to a dollar) หลังจากนาย Nathan ซื้อกลับไม่ถึงชั่วอึดใจ ม้าเร็วก็วิ่งมาถึง London พร้อมประกาศว่า เราชนะ เราชนะ แล้วหุ้นที่นาย Nathan ซื้อ ก็พุ่งกลับขึ้นไปชนเพดาน เศรษฐีก็รวยบนซากของแมงเม่ารุ่นประวัติศาสตร์ พวกเศรษฐีเขาเล่นหุ้นกับแบบนี้ แมงเม่าจำไว้ด้วย ช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 เศรษฐกิจของอเมริกาเหมือนเสาปักอยู่บนเลน แล้วปี ค.ศ. 1873 ก็เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอย (The Great Depression) บริษัทใหญ่ ตระกูลใหญ่ ตระกูลน้อย วายวอด แต่ตระกูล Rockefeller และ J P Morgan ก็รอดมาได้ J P Morgan ยึดหัวหาดในการสร้างทางรถไฟ และธนาคาร ขณะที่ Rockefeller ตอนแรกเล่นแต่น้ำมัน ต่อมากลิ่นเงินมันหอม เลยเริ่มมาลงทุนทำธนาคารด้วย ช่วงนั้น House of Morgan เป็นผู้นำในการทำธุรกิจธนาคาร ตั้ง First National Bank of New York และ National City Bank of New York แต่คนบริหารธนาคารนี้ ก็เป็นเด็กในคาถาของ Rockefeller อีกต่อหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1912 ประมาณว่าทรัพย์สินของ 2 เศรษฐีรวมกัน น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น ล้านล้าน (นับตัวเลขถูกหรือเปล่าหว่า ? !) ปลายค.ศ. 1870 อาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ของตระกูลโคตรรวย Rockefeller ครองตลาดน้ำมันทั่วอเมริกาและได้ก้าวไปยังต่างประเทศด้วย ค.ศ. 1890 กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ (Dutch) ตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ Royal Dutch Oil Company ขายน้ำมันที่มาจากแหล่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ Dutch มีน้ำมันแต่ไม่มีเรือขน อังกฤษบอกพี่ทำให้เองน้อง แล้วอังกฤษก็ตั้งบริษัทขนส่งน้ำมัน ชื่อ Shell Transport and Trading Company ขนส่งน้ำมัน Dutch จากสุมาตรา ไปทุกแห่งที่อังกฤษต้องการ ท้ายที่สุดก็เปิดตัว คู่รักควบรวมเป็นบริษัท Royal Dutch Shell คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย
    เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน
    มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง !
    สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ !
    เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ
    และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร
    เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939
    แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา
    ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม
    เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย
    แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ
    แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย
    มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน
    ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ)
    คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ !
    เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง”

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1) นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง ! สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ ! เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939 แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ) คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ ! เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง” คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • Yesterday Once More: เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา

    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข

    วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane

    จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

    แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี

    ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต

    แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา

    ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    Yesterday Once More: 🎵 เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา ⌛ 🎵 ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข 📻 วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ 🎹🥁 พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus 🌟 ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม 🎸 เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ 📈 มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น 💔 หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More 🌹 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • Mythic Words From Mythologies Around The World

    It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends.

    Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today.

    California

    While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today.

    chimeric

    Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent.

    hell

    While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE.

    hurricane

    When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s.

    Nike

    Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her.

    plutocracy

    Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655.

    protean

    The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea.

    quetzalcoatlus

    Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing.

    ragnarok

    Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok).

    Subaru

    Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another.

    Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday

    If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations.

    Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal.

    While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire.

    weird

    While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Mythic Words From Mythologies Around The World It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends. Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today. California While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today. chimeric Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent. hell While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE. hurricane When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s. Nike Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her. plutocracy Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655. protean The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea. quetzalcoatlus Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing. ragnarok Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok). Subaru Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another. Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations. Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal. While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire. weird While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • หลำข้าวมันไก่ตอน #พระราม2 #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #กิน #อาหาร #อร่อย #eat #food #foodie #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    หลำข้าวมันไก่ตอน #พระราม2 #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #กิน #อาหาร #อร่อย #eat #food #foodie #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 0 Reviews
  • บะหมี่หมวกแดง #อ่อนนุช80 #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านดีบอกต่อ #กิน #อาหาร #อร่อย #eat #food #foodie #noodle #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    บะหมี่หมวกแดง #อ่อนนุช80 #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านดีบอกต่อ #กิน #อาหาร #อร่อย #eat #food #foodie #noodle #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 0 Reviews
  • Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์

    ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App

    ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์

    Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที

    ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม
    ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น
    ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB)
    Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม
    ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed
    ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU
    เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025
    ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก
    Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต
    ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC
    Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า
    Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา
    การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน
    ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    🎙️ Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์ ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์ Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม ➡️ ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น ➡️ ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB) ➡️ Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม ➡️ ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed ➡️ ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU ➡️ เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025 ➡️ ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก ➡️ Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต ➡️ ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC ➡️ Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า ➡️ Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา ➡️ การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน ➡️ ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

    เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์

    ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต

    Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI
    ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR
    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์
    Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง
    Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว
    Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu
    Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล
    กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร
    การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan
    ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน
    นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง
    การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่
    Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น
    การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    🎙️ เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI ➡️ ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ ➡️ Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง ➡️ Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว ➡️ Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu ➡️ Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล ➡️ กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร ➡️ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan ➡️ ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน ➡️ นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง ➡️ การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ ➡️ Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น ➡️ การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    HACKREAD.COM
    Qilin Ransomware Gang Claims 4TB Data Breach at Nissan CBI
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • FreeVPN.One – VPN ที่ควรปกป้องคุณ กลับกลายเป็นสายลับในเบราว์เซอร์

    VPN คือเครื่องมือที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว แต่กรณีของ FreeVPN.One กลับกลายเป็นฝันร้ายด้านความปลอดภัย เมื่อ Koi Security เปิดเผยว่า ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าไป แล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของนักพัฒนาที่ไม่เปิดเผยตัวตน

    FreeVPN.One มีผู้ใช้งานมากกว่า 100,000 ราย และได้รับตรา “Featured” จาก Google Chrome ซึ่งควรจะหมายถึงความปลอดภัยและคุณภาพ แต่เบื้องหลังกลับมีการขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ดเข้าไปในทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เยี่ยมชม

    เมื่อหน้าเว็บโหลดเสร็จในไม่กี่วินาที ส่วนขยายจะใช้ API พิเศษของ Chrome เพื่อจับภาพหน้าจอแบบเงียบ ๆ แล้วส่งไปยังโดเมน aitd.one พร้อมข้อมูล URL, tab ID และรหัสผู้ใช้เฉพาะ โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือขออนุญาตจากผู้ใช้เลย

    แม้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวจะระบุว่าการจับภาพจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ “AI Threat Detection” แต่ Koi Security พบว่า FreeVPN.One ทำการเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าผู้ใช้จะเปิดฟีเจอร์นั้นหรือไม่ก็ตาม

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ นักพัฒนาได้เปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 พร้อม RSA key wrapping เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล และยังไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของจริงของส่วนขยายนี้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    FreeVPN.One เป็นส่วนขยาย VPN บน Chrome ที่มีผู้ใช้งานกว่า 100,000 ราย
    ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้า โดยไม่แจ้งให้ทราบ
    ภาพหน้าจอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ aitd.one พร้อม URL, tab ID และรหัสผู้ใช้
    ใช้ API captureVisibleTab() ของ Chrome เพื่อจับภาพแบบเงียบ
    ขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ด
    นโยบายความเป็นส่วนตัวระบุว่าการจับภาพจะเกิดเมื่อเปิดใช้ “AI Threat Detection”
    Koi Security พบว่าการจับภาพเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ไม่ได้เปิดฟีเจอร์นั้น
    นักพัฒนาเปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล
    ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของส่วนขยายนี้จริง ๆ
    Koi Security พยายามติดต่อขอข้อมูลจากนักพัฒนา แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ส่วนขยายนี้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เวอร์ชัน 3.0.3 ในเดือนเมษายน 2025
    เวอร์ชันล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 เริ่มจับภาพหน้าจอแบบเต็มรูปแบบ
    การเข้ารหัสข้อมูลใช้ AES-256-GCM พร้อม RSA key wrapping เพื่อซ่อนการส่งข้อมูล
    ข้อมูลที่ถูกเก็บรวมถึง IP, ตำแหน่ง, อุปกรณ์ และถูกเข้ารหัสแบบ Base64
    ส่วนขยายยังคงอยู่ใน Chrome Web Store แม้จะถูกเปิดโปงแล้ว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/a-popular-vpn-extension-for-google-chrome-has-been-screenshotting-every-page-users-visit-freevpn-one-flagged-over-enormous-privacy-concerns
    🎙️ FreeVPN.One – VPN ที่ควรปกป้องคุณ กลับกลายเป็นสายลับในเบราว์เซอร์ VPN คือเครื่องมือที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว แต่กรณีของ FreeVPN.One กลับกลายเป็นฝันร้ายด้านความปลอดภัย เมื่อ Koi Security เปิดเผยว่า ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าไป แล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของนักพัฒนาที่ไม่เปิดเผยตัวตน FreeVPN.One มีผู้ใช้งานมากกว่า 100,000 ราย และได้รับตรา “Featured” จาก Google Chrome ซึ่งควรจะหมายถึงความปลอดภัยและคุณภาพ แต่เบื้องหลังกลับมีการขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ดเข้าไปในทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เยี่ยมชม เมื่อหน้าเว็บโหลดเสร็จในไม่กี่วินาที ส่วนขยายจะใช้ API พิเศษของ Chrome เพื่อจับภาพหน้าจอแบบเงียบ ๆ แล้วส่งไปยังโดเมน aitd.one พร้อมข้อมูล URL, tab ID และรหัสผู้ใช้เฉพาะ โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือขออนุญาตจากผู้ใช้เลย แม้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวจะระบุว่าการจับภาพจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ “AI Threat Detection” แต่ Koi Security พบว่า FreeVPN.One ทำการเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าผู้ใช้จะเปิดฟีเจอร์นั้นหรือไม่ก็ตาม ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ นักพัฒนาได้เปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 พร้อม RSA key wrapping เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล และยังไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของจริงของส่วนขยายนี้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ FreeVPN.One เป็นส่วนขยาย VPN บน Chrome ที่มีผู้ใช้งานกว่า 100,000 ราย ➡️ ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้า โดยไม่แจ้งให้ทราบ ➡️ ภาพหน้าจอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ aitd.one พร้อม URL, tab ID และรหัสผู้ใช้ ➡️ ใช้ API captureVisibleTab() ของ Chrome เพื่อจับภาพแบบเงียบ ➡️ ขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ด ➡️ นโยบายความเป็นส่วนตัวระบุว่าการจับภาพจะเกิดเมื่อเปิดใช้ “AI Threat Detection” ➡️ Koi Security พบว่าการจับภาพเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ไม่ได้เปิดฟีเจอร์นั้น ➡️ นักพัฒนาเปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล ➡️ ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของส่วนขยายนี้จริง ๆ ➡️ Koi Security พยายามติดต่อขอข้อมูลจากนักพัฒนา แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ส่วนขยายนี้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เวอร์ชัน 3.0.3 ในเดือนเมษายน 2025 ➡️ เวอร์ชันล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 เริ่มจับภาพหน้าจอแบบเต็มรูปแบบ ➡️ การเข้ารหัสข้อมูลใช้ AES-256-GCM พร้อม RSA key wrapping เพื่อซ่อนการส่งข้อมูล ➡️ ข้อมูลที่ถูกเก็บรวมถึง IP, ตำแหน่ง, อุปกรณ์ และถูกเข้ารหัสแบบ Base64 ➡️ ส่วนขยายยังคงอยู่ใน Chrome Web Store แม้จะถูกเปิดโปงแล้ว https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/a-popular-vpn-extension-for-google-chrome-has-been-screenshotting-every-page-users-visit-freevpn-one-flagged-over-enormous-privacy-concerns
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าใหม่: จากเส้นสเก็ตช์สู่จักรวาล – เบื้องหลังการสร้าง Space Invader แบบเจนเนอเรทีฟ

    Stanko Tadić นักพัฒนาและศิลปินสายโค้ดจาก Creative Coding Amsterdam ได้สร้าง “Space Invader Generator” เพื่อใช้ในงานแข่งโค้ดแบบสร้างสรรค์ โดยเริ่มจากความคิดง่าย ๆ ว่าอยากหยุดพัฒนาเครื่องมือที่ไม่มีวันเสร็จ แล้วหันมาสร้างอะไรที่ “จบได้” และสนุก

    เขาเริ่มจากการสเก็ตช์ Space Invader บนกระดาษ แล้วนำไปวาดใน Aseprite ด้วยขนาด 15x15 พิกเซล ก่อนจะสังเกตว่ารูปทรงของ Invader มีลักษณะเป็นโพลิกอนแบบสมมาตร ซึ่งสามารถสร้างแบบเวกเตอร์ได้โดยใช้จุดสุ่มและการสะท้อนซ้าย-ขวา

    จากนั้นเขาเพิ่ม “หนวด” และ “เขา” ด้วยเทคนิคการสร้างเส้นกลางแล้วขยายความหนาแบบไดนามิก พร้อมพิกเซลตาและสีที่ใช้ OKLCH เพื่อให้ความสว่างคงที่และสีสดใสเท่ากันทุกตัว

    สุดท้าย เขาใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตาเล็กน้อย เพื่อให้ดูมีชีวิต และเปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader ของตัวเองได้แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้างภายใน

    ข้อมูลในข่าว
    โครงการ Space Invader Generator ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งโค้ดใน Creative Coding Amsterdam
    เริ่มจากการสเก็ตช์บนกระดาษและวาดใน Aseprite ขนาด 15x15 พิกเซล
    ใช้หลักการสมมาตรและเวกเตอร์ในการสร้างรูปร่างของ Invader
    หนวดและเขาถูกสร้างจากเส้นกลางแบบสุ่ม แล้วขยายความหนาแบบไดนามิก
    ใช้ OKLCH color space เพื่อให้สีมีความสว่างเท่ากันและสดใส
    ใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตา
    เปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้าง
    ขนาดสูงสุดของ Invader คือ 31x31 พิกเซล แต่สามารถเพิ่มได้ถึง 51x51 ผ่าน URL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OKLCH เป็น color space ที่แม่นยำกว่า HSL ในการควบคุมความสว่าง
    Aseprite เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการสร้าง pixel art แบบมืออาชีพ
    การใช้สมมาตรช่วยลดจำนวนจุดที่ต้องสุ่มลงครึ่งหนึ่ง และทำให้ภาพดูสมดุล
    เทคนิค “fat line” ถูกใช้ในกราฟิกเวกเตอร์เพื่อสร้างรูปร่างที่มีความหนา
    การใช้ randomness แบบมีข้อจำกัดช่วยให้ผลลัพธ์ดูมีรูปแบบและไม่มั่ว

    https://muffinman.io/blog/invaders/
    🎨 เรื่องเล่าใหม่: จากเส้นสเก็ตช์สู่จักรวาล – เบื้องหลังการสร้าง Space Invader แบบเจนเนอเรทีฟ Stanko Tadić นักพัฒนาและศิลปินสายโค้ดจาก Creative Coding Amsterdam ได้สร้าง “Space Invader Generator” เพื่อใช้ในงานแข่งโค้ดแบบสร้างสรรค์ โดยเริ่มจากความคิดง่าย ๆ ว่าอยากหยุดพัฒนาเครื่องมือที่ไม่มีวันเสร็จ แล้วหันมาสร้างอะไรที่ “จบได้” และสนุก เขาเริ่มจากการสเก็ตช์ Space Invader บนกระดาษ แล้วนำไปวาดใน Aseprite ด้วยขนาด 15x15 พิกเซล ก่อนจะสังเกตว่ารูปทรงของ Invader มีลักษณะเป็นโพลิกอนแบบสมมาตร ซึ่งสามารถสร้างแบบเวกเตอร์ได้โดยใช้จุดสุ่มและการสะท้อนซ้าย-ขวา จากนั้นเขาเพิ่ม “หนวด” และ “เขา” ด้วยเทคนิคการสร้างเส้นกลางแล้วขยายความหนาแบบไดนามิก พร้อมพิกเซลตาและสีที่ใช้ OKLCH เพื่อให้ความสว่างคงที่และสีสดใสเท่ากันทุกตัว สุดท้าย เขาใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตาเล็กน้อย เพื่อให้ดูมีชีวิต และเปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader ของตัวเองได้แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้างภายใน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ โครงการ Space Invader Generator ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งโค้ดใน Creative Coding Amsterdam ➡️ เริ่มจากการสเก็ตช์บนกระดาษและวาดใน Aseprite ขนาด 15x15 พิกเซล ➡️ ใช้หลักการสมมาตรและเวกเตอร์ในการสร้างรูปร่างของ Invader ➡️ หนวดและเขาถูกสร้างจากเส้นกลางแบบสุ่ม แล้วขยายความหนาแบบไดนามิก ➡️ ใช้ OKLCH color space เพื่อให้สีมีความสว่างเท่ากันและสดใส ➡️ ใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตา ➡️ เปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้าง ➡️ ขนาดสูงสุดของ Invader คือ 31x31 พิกเซล แต่สามารถเพิ่มได้ถึง 51x51 ผ่าน URL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OKLCH เป็น color space ที่แม่นยำกว่า HSL ในการควบคุมความสว่าง ➡️ Aseprite เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการสร้าง pixel art แบบมืออาชีพ ➡️ การใช้สมมาตรช่วยลดจำนวนจุดที่ต้องสุ่มลงครึ่งหนึ่ง และทำให้ภาพดูสมดุล ➡️ เทคนิค “fat line” ถูกใช้ในกราฟิกเวกเตอร์เพื่อสร้างรูปร่างที่มีความหนา ➡️ การใช้ randomness แบบมีข้อจำกัดช่วยให้ผลลัพธ์ดูมีรูปแบบและไม่มั่ว https://muffinman.io/blog/invaders/
    MUFFINMAN.IO
    How to draw a Space Invader · Muffin Man
    This interactive post will show you how to build your own fleet of space invaders by mixing geometry with randomness and a splash of color.
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • ข้าวคลุกกะปิค๊อดดีย์ ไมตรีโภชนา #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านดีบอกต่อ #อาหาร #อร่อย #eat #foodie #food #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    ข้าวคลุกกะปิค๊อดดีย์ ไมตรีโภชนา #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านดีบอกต่อ #อาหาร #อร่อย #eat #foodie #food #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 0 Reviews
  • Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ

    ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ

    B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้

    ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต

    นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50%

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300
    ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100
    มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s
    ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์
    ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025
    RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ
    รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025
    B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300
    การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe
    Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA
    Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์
    การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    🧠 Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้ ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50% ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300 ➡️ ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100 ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ➡️ ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025 ➡️ RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025 ➡️ B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300 ➡️ การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe ➡️ Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA ➡️ Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์ ➡️ การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • Arm ดึงตัวผู้สร้างชิป AI ของ Amazon กลับบ้าน – จุดเริ่มต้นของการสร้างชิปเองเพื่อแข่งกับ Nvidia และ Apple

    Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมของสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสิทธิ์การออกแบบชิป ให้กลายเป็นผู้ผลิตชิปด้วยตัวเอง

    ล่าสุด Arm ได้ดึงตัว Rami Sinno อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Amazon Web Services กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากเขาเคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาชิป AI ของ Amazon ได้แก่ Trainium และ Inferentia ซึ่งใช้ในงานฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่

    การกลับมาของ Sinno เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มมีข่าวตั้งแต่ต้นปี 2024 และมีรายงานว่า Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ

    นอกจาก Sinno แล้ว Arm ยังดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมทีม เพื่อสร้าง “chiplets” และระบบชิปแบบครบวงจร (SoC) ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Apple ได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค

    CEO Rene Haas ประกาศเป้าหมายอย่างมั่นใจว่า Arm จะครองส่วนแบ่งตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 50% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยเน้นแค่การออกแบบ ไม่ใช่การผลิต

    ข้อมูลในข่าว
    Arm จ้าง Rami Sinno ผู้พัฒนาชิป AI Trainium และ Inferentia ของ Amazon กลับมาร่วมทีม
    Sinno เคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 ในตำแหน่ง VP ด้านวิศวกรรม
    การจ้างงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2024
    Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
    Arm ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมพัฒนา chiplets และ SoC
    CEO Rene Haas ตั้งเป้าครองตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล 50% ภายในปี 2025
    Arm เคยถูก Nvidia พยายามซื้อกิจการในปี 2020 ด้วยมูลค่า $40 พันล้าน
    ปัจจุบัน Arm ได้รายได้จากการขายสิทธิ์ออกแบบชิปให้บริษัทอื่น เช่น Apple และ Qualcomm

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Trainium และ Inferentia เป็นชิปที่ Amazon ใช้แทน GPU ของ Nvidia ในงาน AI
    Chiplets คือการรวมชิ้นส่วนชิปหลายตัวเข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
    ตลาดชิป AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค
    การผลิตชิปเองช่วยให้ Arm ควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมได้มากขึ้น
    การเปลี่ยนจากโมเดล “ขายสิทธิ์” ไปสู่ “ผลิตเอง” อาจเพิ่มรายได้ระยะยาว
    การแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/arm-hires-amazons-ai-chip-developer-to-help-create-its-own-processors-rami-sinno-returns-to-the-company-boasts-trainium-and-inferentia-on-resume
    🧠 Arm ดึงตัวผู้สร้างชิป AI ของ Amazon กลับบ้าน – จุดเริ่มต้นของการสร้างชิปเองเพื่อแข่งกับ Nvidia และ Apple Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมของสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสิทธิ์การออกแบบชิป ให้กลายเป็นผู้ผลิตชิปด้วยตัวเอง ล่าสุด Arm ได้ดึงตัว Rami Sinno อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Amazon Web Services กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากเขาเคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาชิป AI ของ Amazon ได้แก่ Trainium และ Inferentia ซึ่งใช้ในงานฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ การกลับมาของ Sinno เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มมีข่าวตั้งแต่ต้นปี 2024 และมีรายงานว่า Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ นอกจาก Sinno แล้ว Arm ยังดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมทีม เพื่อสร้าง “chiplets” และระบบชิปแบบครบวงจร (SoC) ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Apple ได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค CEO Rene Haas ประกาศเป้าหมายอย่างมั่นใจว่า Arm จะครองส่วนแบ่งตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 50% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยเน้นแค่การออกแบบ ไม่ใช่การผลิต ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Arm จ้าง Rami Sinno ผู้พัฒนาชิป AI Trainium และ Inferentia ของ Amazon กลับมาร่วมทีม ➡️ Sinno เคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 ในตำแหน่ง VP ด้านวิศวกรรม ➡️ การจ้างงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2024 ➡️ Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ➡️ Arm ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมพัฒนา chiplets และ SoC ➡️ CEO Rene Haas ตั้งเป้าครองตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล 50% ภายในปี 2025 ➡️ Arm เคยถูก Nvidia พยายามซื้อกิจการในปี 2020 ด้วยมูลค่า $40 พันล้าน ➡️ ปัจจุบัน Arm ได้รายได้จากการขายสิทธิ์ออกแบบชิปให้บริษัทอื่น เช่น Apple และ Qualcomm ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Trainium และ Inferentia เป็นชิปที่ Amazon ใช้แทน GPU ของ Nvidia ในงาน AI ➡️ Chiplets คือการรวมชิ้นส่วนชิปหลายตัวเข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ➡️ ตลาดชิป AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค ➡️ การผลิตชิปเองช่วยให้ Arm ควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมได้มากขึ้น ➡️ การเปลี่ยนจากโมเดล “ขายสิทธิ์” ไปสู่ “ผลิตเอง” อาจเพิ่มรายได้ระยะยาว ➡️ การแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระดับสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/arm-hires-amazons-ai-chip-developer-to-help-create-its-own-processors-rami-sinno-returns-to-the-company-boasts-trainium-and-inferentia-on-resume
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • The great blue heron
    The great blue heron
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • อาหารตามสั่งสะพานอุ่นอารีย์ #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านดีบอกต่อ #อาหาร #อร่อย #eat #foodie #food #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    อาหารตามสั่งสะพานอุ่นอารีย์ #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านดีบอกต่อ #อาหาร #อร่อย #eat #foodie #food #thaifood #streetfood #delicious #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute #TruthFromThailand
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 0 Reviews
  • แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย

    เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony

    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์

    ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน

    แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด

    จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี
    แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982
    Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้
    ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony
    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง
    แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984

    การพัฒนาและการใช้งาน
    ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM)
    ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น
    ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล
    ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง
    มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    📼 แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด ✅ จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี ➡️ แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982 ➡️ Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ➡️ ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony ➡️ มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง ➡️ แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984 ✅ การพัฒนาและการใช้งาน ➡️ ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM) ➡️ ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น ➡️ ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล ➡️ ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง ➡️ มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ดาวเทียม Metop-SG: ยุคใหม่ของการพยากรณ์อากาศเพื่อชีวิต

    ในช่วง 15 ปีข้างหน้า ยุโรปจะส่งดาวเทียม Metop Second Generation ขึ้นสู่วงโคจรต่ำของโลกจำนวน 6 ดวง เพื่อยกระดับการพยากรณ์อากาศให้แม่นยำขึ้น และเตือนภัยล่วงหน้าได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์สุดขั้ว เช่น พายุรุนแรง คลื่นความร้อน และไฟป่า

    ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยจากเฟรนช์เกียนาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2025 และจะเริ่มเก็บข้อมูลในปีหน้า โดยมีภารกิจร่วมกับ Copernicus Sentinel-5 เพื่อวัดคุณภาพอากาศและติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ดาวเทียมจะโคจรรอบโลกทุก 100 นาทีที่ระดับความสูงประมาณ 800 กม. ครอบคลุมภาพทั่วโลกวันละหลายรอบ พร้อมเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ปริมาณฝน เมฆ ลม และมลพิษ ซึ่งจะส่งข้อมูลกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น จานรับสัญญาณใหม่ที่ Met Office ในอังกฤษ

    ข้อมูลจากดาวเทียมเหล่านี้จะช่วยให้พยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของพายุหรือภัยพิบัติได้เร็วขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง

    รายละเอียดโครงการ Metop Second Generation
    ดาวเทียม Metop-SG จำนวน 6 ดวงจะถูกส่งขึ้นใน 15 ปีข้างหน้า
    ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยเมื่อ 13 ส.ค. 2025 จากเฟรนช์เกียนา
    โคจรที่ระดับ 800 กม. รอบโลกทุก 100 นาที ครอบคลุมภาพทั่วโลก
    ใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิ ฝน เมฆ ลม มลพิษ และคุณภาพอากาศ
    ข้อมูลจะส่งกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น Met Office ในอังกฤษ
    ช่วยพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับภัยพิบัติได้เร็วขึ้น
    เป็นความร่วมมือระหว่าง EUMetSat, ESA, EU, NOAA และองค์กรอวกาศยุโรป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Sentinel-5 บนดาวเทียมจะวัดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษในอากาศ
    ดาวเทียมแบบคู่ (A-type และ B-type) ใช้เครื่องมือที่เสริมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
    ข้อมูลจากดาวเทียมช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูก และช่วยนักบินนำทาง
    ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Joint Polar System ร่วมกับ NOAA สหรัฐฯ
    การพยากรณ์ที่แม่นยำช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและชีวิต
    คาดว่าโครงการนี้จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่า 20 เท่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/satellite-project-could-save-lives-give-extreme-weather-warnings
    🌪️ ดาวเทียม Metop-SG: ยุคใหม่ของการพยากรณ์อากาศเพื่อชีวิต ในช่วง 15 ปีข้างหน้า ยุโรปจะส่งดาวเทียม Metop Second Generation ขึ้นสู่วงโคจรต่ำของโลกจำนวน 6 ดวง เพื่อยกระดับการพยากรณ์อากาศให้แม่นยำขึ้น และเตือนภัยล่วงหน้าได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์สุดขั้ว เช่น พายุรุนแรง คลื่นความร้อน และไฟป่า ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยจากเฟรนช์เกียนาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2025 และจะเริ่มเก็บข้อมูลในปีหน้า โดยมีภารกิจร่วมกับ Copernicus Sentinel-5 เพื่อวัดคุณภาพอากาศและติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดาวเทียมจะโคจรรอบโลกทุก 100 นาทีที่ระดับความสูงประมาณ 800 กม. ครอบคลุมภาพทั่วโลกวันละหลายรอบ พร้อมเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ปริมาณฝน เมฆ ลม และมลพิษ ซึ่งจะส่งข้อมูลกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น จานรับสัญญาณใหม่ที่ Met Office ในอังกฤษ ข้อมูลจากดาวเทียมเหล่านี้จะช่วยให้พยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของพายุหรือภัยพิบัติได้เร็วขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ✅ รายละเอียดโครงการ Metop Second Generation ➡️ ดาวเทียม Metop-SG จำนวน 6 ดวงจะถูกส่งขึ้นใน 15 ปีข้างหน้า ➡️ ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยเมื่อ 13 ส.ค. 2025 จากเฟรนช์เกียนา ➡️ โคจรที่ระดับ 800 กม. รอบโลกทุก 100 นาที ครอบคลุมภาพทั่วโลก ➡️ ใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิ ฝน เมฆ ลม มลพิษ และคุณภาพอากาศ ➡️ ข้อมูลจะส่งกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น Met Office ในอังกฤษ ➡️ ช่วยพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับภัยพิบัติได้เร็วขึ้น ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง EUMetSat, ESA, EU, NOAA และองค์กรอวกาศยุโรป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Sentinel-5 บนดาวเทียมจะวัดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษในอากาศ ➡️ ดาวเทียมแบบคู่ (A-type และ B-type) ใช้เครื่องมือที่เสริมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ➡️ ข้อมูลจากดาวเทียมช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูก และช่วยนักบินนำทาง ➡️ ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Joint Polar System ร่วมกับ NOAA สหรัฐฯ ➡️ การพยากรณ์ที่แม่นยำช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและชีวิต ➡️ คาดว่าโครงการนี้จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่า 20 เท่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/satellite-project-could-save-lives-give-extreme-weather-warnings
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Satellite project could save lives, give extreme weather warnings
    A series of satellites are set to be launched into space over the next 15 years to help "save lives" and give early warning of increasingly extreme weather, British experts have said.
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • บางครั้ง...เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั่งชมพระอาทิตย์ตกกับคนข้าง ๆ กันที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲

    𝐓𝐚𝐤𝐞 𝐚 𝐦𝐨𝐦𝐞𝐧𝐭 𝐭𝐨 𝐛𝐫𝐞𝐚𝐭𝐡𝐞, 𝐬𝐢𝐭 𝐛𝐚𝐜𝐤, 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐚𝐭𝐜𝐡 𝐭𝐡𝐞 𝐬𝐤𝐲 𝐭𝐮𝐫𝐧 𝐢𝐧𝐭𝐨 𝐚 𝐦𝐚𝐬𝐭𝐞𝐫𝐩𝐢𝐞𝐜𝐞 — 𝐫𝐢𝐠𝐡𝐭 𝐡𝐞𝐫𝐞 Ao Luek Ocean View

    ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylove
    บางครั้ง...เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั่งชมพระอาทิตย์ตกกับคนข้าง ๆ กันที่ 𝐀𝐨 𝐋𝐮𝐞𝐤 𝐎𝐜𝐞𝐚𝐧 𝐕𝐢𝐞𝐰 𝐂𝐚𝐟𝐞' & 𝐄𝐚𝐭𝐞𝐫𝐲⛱️ 𝐓𝐚𝐤𝐞 𝐚 𝐦𝐨𝐦𝐞𝐧𝐭 𝐭𝐨 𝐛𝐫𝐞𝐚𝐭𝐡𝐞, 𝐬𝐢𝐭 𝐛𝐚𝐜𝐤, 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐚𝐭𝐜𝐡 𝐭𝐡𝐞 𝐬𝐤𝐲 𝐭𝐮𝐫𝐧 𝐢𝐧𝐭𝐨 𝐚 𝐦𝐚𝐬𝐭𝐞𝐫𝐩𝐢𝐞𝐜𝐞 — 𝐫𝐢𝐠𝐡𝐭 𝐡𝐞𝐫𝐞 Ao Luek Ocean View 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylove
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • ด่วน! การเจรจาที่ถูกสอดไส้ กรอบกำหนดให้เสียดินแดน [17/8/68]

    #TruthFromThailand
    #SAVEThailand
    #scambodia
    #เสียดินแดน
    #เจรจาสอดไส้
    #ProtectThailand
    #ExposeCambodia
    #FakeNegotiation
    #BorderThreat
    #ThailandSovereignty
    ด่วน! การเจรจาที่ถูกสอดไส้ กรอบกำหนดให้เสียดินแดน [17/8/68] #TruthFromThailand #SAVEThailand #scambodia #เสียดินแดน #เจรจาสอดไส้ #ProtectThailand #ExposeCambodia #FakeNegotiation #BorderThreat #ThailandSovereignty
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 0 Reviews
More Results