• Apple ใช้ AI และข้อมูลผู้ใช้ใน iOS 19 เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ iPhone

    Apple เตรียมเปิดตัว iOS 19 ที่งาน WWDC เดือนหน้า โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ iOS 7 ซึ่งรวมถึง เครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ ดีไซน์ใหม่ที่เหมือนและเข้ากันได้ระหว่าง iPhone, iPad, Mac และ Vision Pro

    ✅ iOS 19 มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้ AI
    - ระบบจะ ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้และปรับการใช้พลังงานของแอป

    ✅ มีตัวบ่งชี้ใหม่บนหน้าจอล็อกที่แสดงเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์จเต็ม
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถวางแผนการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น

    ✅ AI จะถูกฝังอยู่ในแพ็กเกจ Apple Intelligence และใช้ข้อมูลแบตเตอรี่ที่ Apple เก็บรวบรวมมาหลายปี
    - Apple เชื่อว่า ข้อมูลนี้เพียงพอสำหรับ AI ในการคาดการณ์และลดการใช้พลังงานของแอป

    ✅ iPhone 17 Air เป็นแรงผลักดันหลักของฟีเจอร์นี้ เนื่องจากดีไซน์ที่บางลงทำให้ต้องลดขนาดแบตเตอรี่
    - Apple หวังว่า เครื่องมือ AI นี้จะช่วยให้ iPhone 17 Air มีระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสม

    ✅ iOS 19 จะมีการออกแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก visionOS
    - รวมถึง ไอคอนแอป, เมนู, ปุ่มระบบ และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีลักษณะโปร่งใสและมีมิติ

    ✅ iPadOS 19 และ macOS 16 จะใช้ดีไซน์เดียวกันเพื่อ統一ประสบการณ์การใช้งาน
    - แอป, ไอคอน และสไตล์หน้าต่างจะ มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้นระหว่างแพลตฟอร์ม

    https://www.techspot.com/news/107899-apple-use-ai-user-data-ios-19-extend.html
    Apple ใช้ AI และข้อมูลผู้ใช้ใน iOS 19 เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ iPhone Apple เตรียมเปิดตัว iOS 19 ที่งาน WWDC เดือนหน้า โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ iOS 7 ซึ่งรวมถึง เครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ ดีไซน์ใหม่ที่เหมือนและเข้ากันได้ระหว่าง iPhone, iPad, Mac และ Vision Pro ✅ iOS 19 มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้ AI - ระบบจะ ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้และปรับการใช้พลังงานของแอป ✅ มีตัวบ่งชี้ใหม่บนหน้าจอล็อกที่แสดงเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์จเต็ม - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถวางแผนการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น ✅ AI จะถูกฝังอยู่ในแพ็กเกจ Apple Intelligence และใช้ข้อมูลแบตเตอรี่ที่ Apple เก็บรวบรวมมาหลายปี - Apple เชื่อว่า ข้อมูลนี้เพียงพอสำหรับ AI ในการคาดการณ์และลดการใช้พลังงานของแอป ✅ iPhone 17 Air เป็นแรงผลักดันหลักของฟีเจอร์นี้ เนื่องจากดีไซน์ที่บางลงทำให้ต้องลดขนาดแบตเตอรี่ - Apple หวังว่า เครื่องมือ AI นี้จะช่วยให้ iPhone 17 Air มีระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสม ✅ iOS 19 จะมีการออกแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก visionOS - รวมถึง ไอคอนแอป, เมนู, ปุ่มระบบ และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีลักษณะโปร่งใสและมีมิติ ✅ iPadOS 19 และ macOS 16 จะใช้ดีไซน์เดียวกันเพื่อ統一ประสบการณ์การใช้งาน - แอป, ไอคอน และสไตล์หน้าต่างจะ มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้นระหว่างแพลตฟอร์ม https://www.techspot.com/news/107899-apple-use-ai-user-data-ios-19-extend.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple will use AI and user data in iOS 19 to extend iPhone battery life
    Apple will likely announce iOS 19 at its Worldwide Developers Conference in June, but details about the update have already leaked. A new report claims the next-gen...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok เปิดตัว AI Alive: เทคโนโลยีแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโออัจฉริยะ

    TikTok ได้เปิดตัว AI Alive ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว โดยใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเนื้อหาใน TikTok Stories

    ✅ AI Alive ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว
    - ใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง

    ✅ สามารถเลือกภาพจาก Story Album และใช้ AI Alive เพื่อสร้างวิดีโอ
    - เช่น เปลี่ยนภาพพระอาทิตย์ตกให้มีสีสันที่เปลี่ยนไปตามเวลา

    ✅ TikTok ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบเนื้อหาเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด
    - มี การตรวจสอบภาพและคำสั่งก่อนเผยแพร่วิดีโอ

    ✅ วิดีโอที่สร้างจาก AI Alive จะถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นเนื้อหา AI
    - ใช้ C2PA metadata เพื่อให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวิดีโอได้

    ✅ TikTok ระบุว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
    - เน้น การสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกสนาน

    https://www.neowin.net/news/tiktok-introduces-ai-alive-its-latest-image-to-video-generator/
    TikTok เปิดตัว AI Alive: เทคโนโลยีแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโออัจฉริยะ TikTok ได้เปิดตัว AI Alive ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว โดยใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเนื้อหาใน TikTok Stories ✅ AI Alive ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว - ใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง ✅ สามารถเลือกภาพจาก Story Album และใช้ AI Alive เพื่อสร้างวิดีโอ - เช่น เปลี่ยนภาพพระอาทิตย์ตกให้มีสีสันที่เปลี่ยนไปตามเวลา ✅ TikTok ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบเนื้อหาเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด - มี การตรวจสอบภาพและคำสั่งก่อนเผยแพร่วิดีโอ ✅ วิดีโอที่สร้างจาก AI Alive จะถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นเนื้อหา AI - ใช้ C2PA metadata เพื่อให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวิดีโอได้ ✅ TikTok ระบุว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น - เน้น การสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกสนาน https://www.neowin.net/news/tiktok-introduces-ai-alive-its-latest-image-to-video-generator/
    WWW.NEOWIN.NET
    TikTok introduces AI Alive, its latest image-to-video generator
    TikTok has introduced a new AI feature called AI Alive, designed to let creators transform static images into dynamic videos.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยังศูนย์ข้อมูลของซาอุดีอาระเบีย หลังสหรัฐฯ ยกเลิกกฎควบคุมการส่งออก

    Nvidia ได้ประกาศส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule ซึ่งเดิมจะจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังบางประเทศ

    ✅ Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ของซาอุดีอาระเบีย
    - CEO Jensen Huang ประกาศเรื่องนี้ที่ Saudi-US Investment Forum

    ✅ Humain เป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย
    - มีเป้าหมายสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน AI และศูนย์ข้อมูลระดับโลก

    ✅ AI GPUs เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาด 500 เมกะวัตต์
    - ช่วยให้ซาอุดีอาระเบีย พัฒนาโมเดล AI ขั้นสูง รวมถึง LLM ภาษาอาหรับ

    ✅ การส่งออกเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule
    - เดิมที ซาอุดีอาระเบียอยู่ใน Tier 2 ซึ่งจะถูกจำกัดการนำเข้า AI GPUs

    ✅ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon, Google และ Oracle ต้องสร้างศูนย์ข้อมูลในซาอุดีอาระเบีย
    - เนื่องจากรัฐบาล กำหนดให้ข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินต้องถูกจัดเก็บภายในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-sending-18-000-ai-gpus-to-saudi-arabias-state-backed-ai-data-centers-in-wake-of-cancelled-export-rules
    Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยังศูนย์ข้อมูลของซาอุดีอาระเบีย หลังสหรัฐฯ ยกเลิกกฎควบคุมการส่งออก Nvidia ได้ประกาศส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule ซึ่งเดิมจะจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังบางประเทศ ✅ Nvidia ส่ง 18,000 AI GPUs ไปยัง Humain ซึ่งเป็นบริษัท AI ของซาอุดีอาระเบีย - CEO Jensen Huang ประกาศเรื่องนี้ที่ Saudi-US Investment Forum ✅ Humain เป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย - มีเป้าหมายสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน AI และศูนย์ข้อมูลระดับโลก ✅ AI GPUs เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาด 500 เมกะวัตต์ - ช่วยให้ซาอุดีอาระเบีย พัฒนาโมเดล AI ขั้นสูง รวมถึง LLM ภาษาอาหรับ ✅ การส่งออกเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกกฎ AI Diffusion Rule - เดิมที ซาอุดีอาระเบียอยู่ใน Tier 2 ซึ่งจะถูกจำกัดการนำเข้า AI GPUs ✅ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon, Google และ Oracle ต้องสร้างศูนย์ข้อมูลในซาอุดีอาระเบีย - เนื่องจากรัฐบาล กำหนดให้ข้อมูลส่วนบุคคลและการเงินต้องถูกจัดเก็บภายในประเทศ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-sending-18-000-ai-gpus-to-saudi-arabias-state-backed-ai-data-centers-in-wake-of-cancelled-export-rules
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • ntel Arrow Lake CPUs มีปัญหาด้านประสิทธิภาพในการใช้งาน PCIe 5.0 SSD

    Intel กำลังเผชิญกับปัญหาด้านประสิทธิภาพของ Arrow Lake CPUs ซึ่งส่งผลให้ ความเร็วของ PCIe 5.0 SSD ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยการทดสอบพบว่า SSD ที่ควรทำความเร็วได้ถึง 14GB/s กลับทำได้เพียง 12.3GB/s เมื่อใช้งานร่วมกับ Arrow Lake CPUs

    ✅ Arrow Lake CPUs เปิดตัวเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2024 ภายใต้แบรนด์ Core Ultra Series 2
    - พบว่ามี ประสิทธิภาพต่ำกว่า Raptor Lake (Core i9-14900K) และ AMD 9800X3D

    ✅ การทดสอบ PCIe 5.0 SSD พบว่าความเร็วลดลงเมื่อใช้กับ Arrow Lake CPUs
    - SSD ที่ควรทำความเร็วได้ 14GB/s กลับทำได้เพียง 12.3GB/s

    ✅ ปัญหานี้เกิดขึ้นกับทั้ง Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 SSD
    - ทดสอบบน Z790 และ Z890 motherboards พบว่า Z790 ทำความเร็วได้สูงกว่า

    ✅ Asus และ ASRock ยืนยันว่าปัญหานี้เกิดจากความล่าช้าของ I/O tile ใน Arrow Lake CPUs
    - ส่งผลให้ PCIe lanes 21-24 มี latency สูงกว่าปกติ

    ✅ Intel ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจากโครงสร้างของ Arrow Lake ที่ใช้ die-to-die data path ที่ยาวขึ้น
    - อาจต้อง ปรับปรุงการออกแบบ CPU ในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหานี้

    https://www.techspot.com/news/107877-intel-arrow-lake-cpus-throttle-pcie-50-ssd.html
    ntel Arrow Lake CPUs มีปัญหาด้านประสิทธิภาพในการใช้งาน PCIe 5.0 SSD Intel กำลังเผชิญกับปัญหาด้านประสิทธิภาพของ Arrow Lake CPUs ซึ่งส่งผลให้ ความเร็วของ PCIe 5.0 SSD ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยการทดสอบพบว่า SSD ที่ควรทำความเร็วได้ถึง 14GB/s กลับทำได้เพียง 12.3GB/s เมื่อใช้งานร่วมกับ Arrow Lake CPUs ✅ Arrow Lake CPUs เปิดตัวเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2024 ภายใต้แบรนด์ Core Ultra Series 2 - พบว่ามี ประสิทธิภาพต่ำกว่า Raptor Lake (Core i9-14900K) และ AMD 9800X3D ✅ การทดสอบ PCIe 5.0 SSD พบว่าความเร็วลดลงเมื่อใช้กับ Arrow Lake CPUs - SSD ที่ควรทำความเร็วได้ 14GB/s กลับทำได้เพียง 12.3GB/s ✅ ปัญหานี้เกิดขึ้นกับทั้ง Samsung 9100 Pro และ Micron 4600 SSD - ทดสอบบน Z790 และ Z890 motherboards พบว่า Z790 ทำความเร็วได้สูงกว่า ✅ Asus และ ASRock ยืนยันว่าปัญหานี้เกิดจากความล่าช้าของ I/O tile ใน Arrow Lake CPUs - ส่งผลให้ PCIe lanes 21-24 มี latency สูงกว่าปกติ ✅ Intel ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจากโครงสร้างของ Arrow Lake ที่ใช้ die-to-die data path ที่ยาวขึ้น - อาจต้อง ปรับปรุงการออกแบบ CPU ในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหานี้ https://www.techspot.com/news/107877-intel-arrow-lake-cpus-throttle-pcie-50-ssd.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel's Arrow Lake CPUs throttle PCIe 5.0 SSD speeds, tests reveal
    Intel changed its approach to silicon manufacturing with Meteor Lake CPUs, moving from a monolithic approach to a disaggregated, tile-based design. However, the significant technology switch is...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เตรียมยุติฟีเจอร์ Organization Data Types ใน Excel เนื่องจากต้นทุนสูง

    Microsoft ได้ประกาศว่า ฟีเจอร์ Organization Data Types ใน Excel จะถูกยกเลิกในวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 เนื่องจากมี ต้นทุนการพัฒนาสูงและมีผู้ใช้งานน้อย โดยแนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ ฟีเจอร์ Get Data > From Power BI แทน

    ✅ Microsoft จะยุติฟีเจอร์ Organization Data Types ใน Excel ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2025
    - ฟีเจอร์นี้มี ต้นทุนการพัฒนาสูงและมีผู้ใช้งานน้อย

    ✅ Microsoft แนะนำให้ใช้ฟีเจอร์ Get Data > From Power BI แทน
    - สามารถ นำเข้าข้อมูลจาก Power BI เพื่อสร้าง Entity ที่กำหนดเอง

    ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับ Excel บน Windows, Mac, Web และ iOS/Android
    - หลังจากวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 ผู้ใช้จะไม่สามารถแปลงค่าข้อมูลเป็น Organization Data Types ได้อีกต่อไป

    ✅ ข้อมูลที่ใช้ Organization Data Types ในไฟล์ Excel จะยังคงอยู่ แต่จะไม่สามารถรีเฟรชได้
    - ไม่มีผลกระทบต่อ Bing Data Types ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนต่อไป

    ✅ Microsoft ได้เผยแพร่ประกาศนี้ใน M365 Admin Center ภายใต้ ID MC1072405
    - ผู้ดูแลระบบสามารถ ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก Admin Center

    https://www.neowin.net/news/a-windows-mac-excel-feature-is-being-removed-as-its-too-expensive-for-microsoft-to-afford/
    Microsoft เตรียมยุติฟีเจอร์ Organization Data Types ใน Excel เนื่องจากต้นทุนสูง Microsoft ได้ประกาศว่า ฟีเจอร์ Organization Data Types ใน Excel จะถูกยกเลิกในวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 เนื่องจากมี ต้นทุนการพัฒนาสูงและมีผู้ใช้งานน้อย โดยแนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ ฟีเจอร์ Get Data > From Power BI แทน ✅ Microsoft จะยุติฟีเจอร์ Organization Data Types ใน Excel ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2025 - ฟีเจอร์นี้มี ต้นทุนการพัฒนาสูงและมีผู้ใช้งานน้อย ✅ Microsoft แนะนำให้ใช้ฟีเจอร์ Get Data > From Power BI แทน - สามารถ นำเข้าข้อมูลจาก Power BI เพื่อสร้าง Entity ที่กำหนดเอง ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับ Excel บน Windows, Mac, Web และ iOS/Android - หลังจากวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 ผู้ใช้จะไม่สามารถแปลงค่าข้อมูลเป็น Organization Data Types ได้อีกต่อไป ✅ ข้อมูลที่ใช้ Organization Data Types ในไฟล์ Excel จะยังคงอยู่ แต่จะไม่สามารถรีเฟรชได้ - ไม่มีผลกระทบต่อ Bing Data Types ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนต่อไป ✅ Microsoft ได้เผยแพร่ประกาศนี้ใน M365 Admin Center ภายใต้ ID MC1072405 - ผู้ดูแลระบบสามารถ ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก Admin Center https://www.neowin.net/news/a-windows-mac-excel-feature-is-being-removed-as-its-too-expensive-for-microsoft-to-afford/
    WWW.NEOWIN.NET
    A Windows, Mac Excel feature is being removed as it's too expensive for Microsoft to afford
    Microsoft is killing a feature inside Excel for Windows, Mac, Android and more, citing that it's too expensive to afford development.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงนี่เบื่อเกมสมัยใหม่มากเลย เรื่องที่ต้อง Download ตลอดเนี่ยะ คราวนี้ เป็น 64 GB เลยนะ !!

    เกม Doom: The Dark Ages ที่กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 15 พฤษภาคม 2025 กำลังสร้างความกังวลให้กับผู้เล่นที่ซื้อแผ่นเกมสำหรับ PlayStation 5 และ Xbox Series X เนื่องจากแผ่นเกมแทบไม่มีข้อมูลอยู่เลย และต้องดาวน์โหลดเกมเต็มรูปแบบจากอินเทอร์เน็ต

    ✅ แผ่นเกมสำหรับ PS5 และ Xbox Series X มีข้อมูลน้อยมาก
    - แผ่น PS5 มีข้อมูลเพียง 85MB
    - แผ่น Xbox Series X มีข้อมูลประมาณ 300MB

    ✅ ต้องดาวน์โหลดเกมเต็มรูปแบบก่อนเล่น
    - PS5 ต้องดาวน์โหลด 84GB
    - PC ต้องดาวน์โหลด 64GB ผ่าน Steam

    ✅ หลังติดตั้งแล้ว ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเล่น
    - แต่ต้องมีการอัปเดตออนไลน์ก่อนเริ่มเกม

    ✅ เกมจะเปิดตัวบน Game Pass, Battle.net และ Steam ในวันที่ 15 พฤษภาคม
    - ผู้ซื้อ Nvidia RTX 5070, 5070 Ti, 5080 หรือ 5090 จะได้รับเกมฟรี

    ✅ Bethesda ใช้วิธีนี้กับเกมอื่น ๆ เช่น Starfield และ Indiana Jones and the Great Circle
    - NBA 2K25, Hogwarts Legacy และ Alan Wake II ก็ใช้แนวทางเดียวกัน

    https://www.techspot.com/news/107869-doom-dark-ages-discs-contain-almost-no-data.html
    ลุงนี่เบื่อเกมสมัยใหม่มากเลย เรื่องที่ต้อง Download ตลอดเนี่ยะ คราวนี้ เป็น 64 GB เลยนะ !! เกม Doom: The Dark Ages ที่กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 15 พฤษภาคม 2025 กำลังสร้างความกังวลให้กับผู้เล่นที่ซื้อแผ่นเกมสำหรับ PlayStation 5 และ Xbox Series X เนื่องจากแผ่นเกมแทบไม่มีข้อมูลอยู่เลย และต้องดาวน์โหลดเกมเต็มรูปแบบจากอินเทอร์เน็ต ✅ แผ่นเกมสำหรับ PS5 และ Xbox Series X มีข้อมูลน้อยมาก - แผ่น PS5 มีข้อมูลเพียง 85MB - แผ่น Xbox Series X มีข้อมูลประมาณ 300MB ✅ ต้องดาวน์โหลดเกมเต็มรูปแบบก่อนเล่น - PS5 ต้องดาวน์โหลด 84GB - PC ต้องดาวน์โหลด 64GB ผ่าน Steam ✅ หลังติดตั้งแล้ว ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเล่น - แต่ต้องมีการอัปเดตออนไลน์ก่อนเริ่มเกม ✅ เกมจะเปิดตัวบน Game Pass, Battle.net และ Steam ในวันที่ 15 พฤษภาคม - ผู้ซื้อ Nvidia RTX 5070, 5070 Ti, 5080 หรือ 5090 จะได้รับเกมฟรี ✅ Bethesda ใช้วิธีนี้กับเกมอื่น ๆ เช่น Starfield และ Indiana Jones and the Great Circle - NBA 2K25, Hogwarts Legacy และ Alan Wake II ก็ใช้แนวทางเดียวกัน https://www.techspot.com/news/107869-doom-dark-ages-discs-contain-almost-no-data.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Doom: The Dark Ages discs contain almost no data, require full game downloads
    According to DoesItPlay.org, the PlayStation 5 and Xbox Series X discs for Doom: The Dark Ages contain virtually no game data. Like the upcoming Nintendo Switch 2's...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวใน <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่ามีหลายฉากที่ดำเนินเรื่องผ่านการนั่งเรียนหนังสือของสามสาวตระกูลเสิ้ง ซึ่งพวกนางเข้าเรียนพร้อมพี่ชายในโรงเรียนส่วนบุคคลของครอบครัวสกุลเสิ้ง หรือที่เรียกว่า ‘เจียสู’ (家塾/Family School)

    เจียสูคืออะไร?

    เจียสูมีมาตั้งแต่สมัยชุนชิว (กว่าเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล) จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังมีอยู่ เป็นการจัดห้องเรียนขึ้นที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอน โดยปกติแล้วอาจารย์จะพำนักอยู่ในเรือนตระกูลนั้นเลย มีค่าจ้าง ที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเฉพาะตระกูลที่มีฐานะ (ปกติเป็นตระกูลขุนนาง) จึงจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะทำอย่างนี้ได้

    ในละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นี้ มีฉีเหิงและกู้ถิงเยี่ยซึ่งเป็นบุรุษนอกสกุลมาร่วมเรียนด้วย ในนิยายบอกว่าฉีเหิงมาร่วมเรียนเพราะเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อยู่แล้ว ในขณะที่กู้ถิงเยี่ยเป็นญาติของตระกูลเสิ้งจึงมาร่วมเรียนได้ และที่ยอมมาเรียนที่เจียสูของตระกูลเสิ้งที่เป็นขุนนางยศต่ำกว่าครอบครัวของพวกเขาก็เพราะอาจารย์ท่านนี้ดังมาก ปกติไม่รับสอนตามเจียสู แต่ที่มาสอนให้ตระกูลเสิ้งก็เพื่อทดแทนบุญคุณ

    แต่ Storyฯ เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่าทำไมพวกเขาทำได้ในเมื่อสตรีตระกูลสูงศักดิ์สมัยโบราณต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนห้ามพบปะผู้ชายนอกสกุล?

    ในบทประพันธ์ <ความฝันในหอแดง> ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนคลาสสิคมีการอธิบายโดยตัวละครเอกไว้ว่า คนในเครือวงศ์ตระกูลที่ไม่มีกำลังทรัพย์จ้างอาจารย์ส่วนตัวก็มาเรียนที่เจียสูได้ หรือหากใครมีญาติที่เป็นนักเรียนอยู่แล้วก็มาเรียนด้วยกันที่เจียสูนี้ได้ ซึ่งการเรียนในเจียสูเป็นการเรียนรวมคละวัยคละเพศชายหญิง

    เนื่องจากลูกหลานฝ่ายชายมีเป้าหมายคือลงสนามสอบราชบัณฑิตด้วย ดังนั้นหลักสูตรที่สอนจะเข้มข้นมาก แล้วเขาเรียนอะไร? หลักสูตรทั่วไปคือ ‘ซื่อซู อู่จิง’ (四书五经 / Four Books and Five Classics / สี่หนังสือห้าคัมภีร์) ซึ่ง ‘สี่หนังสือ’ นี้คือหนังสือว่าด้วยปรัชญาต่างๆ ของขงจื้อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ นั้นหมายถึง
    - ซือจิง (บทกวีและบทร้อยกรอง)
    - ซูจิง (บทความและประวัติศาสตร์)
    - อี้จิง (โหราศาสตร์)
    - ชุนชิว (บันทึกเหตุการณ์สำคัญและพงศาวดาร)
    - หลี่จี้ (พิธีกรรมและประเพณี)

    เจียสูเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนเอกชน นอกจากเจียสูนี้ เอกชนยังมีการลงขันเปิดเป็นโรงเรียนกันในหมู่บ้าน (เรียกว่า ชุนสู/村塾) หรืออาจมีเจ้าภาพที่ได้รับเงินบริจาคจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น (เรียกว่า อี้สู/义塾) หรืออาจเป็นตัวอาจารย์เองเปิดสอนหนังสือโดยเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน

    สตรีจีนโบราณไม่มีโอกาสได้เรียนในสำนักศึกษาหลวง และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องจรรยาของสตรี โคลงกลอนและการดนตรี หากไม่ได้เรียนตามโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเรียนกันที่บ้านตามมีตามเกิดหรือไม่ได้เรียน นอกจากนี้ ยังมีที่ศึกษาเองในระหว่างที่ออกบวชเป็นชี หรืออีกสุดขั้วหนึ่งคือการเรียนในหอนางโลมสำหรับนางโลมที่ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวเพื่อทำมาหากิน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://kknews.cc/zh-my/entertainment/4k6q6zg.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.fxjyb.com/xiandai/276.html
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/77983438
    https://m.lunwendata.com/show.php?id=34312
    https://kknews.cc/history/pvkjmzj.html
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=e3ce1325253f66e731416fc1
    http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF206(49)/EF206(49)-5.pdf
    #หมิงหลัน #การเรียนเอกชนจีนโบราณ #การเรียนสตรีจีนโบราณ #สี่หนังสือห้าคัมภีร์ #เจียสู
    กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวใน <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่ามีหลายฉากที่ดำเนินเรื่องผ่านการนั่งเรียนหนังสือของสามสาวตระกูลเสิ้ง ซึ่งพวกนางเข้าเรียนพร้อมพี่ชายในโรงเรียนส่วนบุคคลของครอบครัวสกุลเสิ้ง หรือที่เรียกว่า ‘เจียสู’ (家塾/Family School) เจียสูคืออะไร? เจียสูมีมาตั้งแต่สมัยชุนชิว (กว่าเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล) จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังมีอยู่ เป็นการจัดห้องเรียนขึ้นที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอน โดยปกติแล้วอาจารย์จะพำนักอยู่ในเรือนตระกูลนั้นเลย มีค่าจ้าง ที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเฉพาะตระกูลที่มีฐานะ (ปกติเป็นตระกูลขุนนาง) จึงจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะทำอย่างนี้ได้ ในละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นี้ มีฉีเหิงและกู้ถิงเยี่ยซึ่งเป็นบุรุษนอกสกุลมาร่วมเรียนด้วย ในนิยายบอกว่าฉีเหิงมาร่วมเรียนเพราะเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อยู่แล้ว ในขณะที่กู้ถิงเยี่ยเป็นญาติของตระกูลเสิ้งจึงมาร่วมเรียนได้ และที่ยอมมาเรียนที่เจียสูของตระกูลเสิ้งที่เป็นขุนนางยศต่ำกว่าครอบครัวของพวกเขาก็เพราะอาจารย์ท่านนี้ดังมาก ปกติไม่รับสอนตามเจียสู แต่ที่มาสอนให้ตระกูลเสิ้งก็เพื่อทดแทนบุญคุณ แต่ Storyฯ เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่าทำไมพวกเขาทำได้ในเมื่อสตรีตระกูลสูงศักดิ์สมัยโบราณต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนห้ามพบปะผู้ชายนอกสกุล? ในบทประพันธ์ <ความฝันในหอแดง> ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนคลาสสิคมีการอธิบายโดยตัวละครเอกไว้ว่า คนในเครือวงศ์ตระกูลที่ไม่มีกำลังทรัพย์จ้างอาจารย์ส่วนตัวก็มาเรียนที่เจียสูได้ หรือหากใครมีญาติที่เป็นนักเรียนอยู่แล้วก็มาเรียนด้วยกันที่เจียสูนี้ได้ ซึ่งการเรียนในเจียสูเป็นการเรียนรวมคละวัยคละเพศชายหญิง เนื่องจากลูกหลานฝ่ายชายมีเป้าหมายคือลงสนามสอบราชบัณฑิตด้วย ดังนั้นหลักสูตรที่สอนจะเข้มข้นมาก แล้วเขาเรียนอะไร? หลักสูตรทั่วไปคือ ‘ซื่อซู อู่จิง’ (四书五经 / Four Books and Five Classics / สี่หนังสือห้าคัมภีร์) ซึ่ง ‘สี่หนังสือ’ นี้คือหนังสือว่าด้วยปรัชญาต่างๆ ของขงจื้อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ นั้นหมายถึง - ซือจิง (บทกวีและบทร้อยกรอง) - ซูจิง (บทความและประวัติศาสตร์) - อี้จิง (โหราศาสตร์) - ชุนชิว (บันทึกเหตุการณ์สำคัญและพงศาวดาร) - หลี่จี้ (พิธีกรรมและประเพณี) เจียสูเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนเอกชน นอกจากเจียสูนี้ เอกชนยังมีการลงขันเปิดเป็นโรงเรียนกันในหมู่บ้าน (เรียกว่า ชุนสู/村塾) หรืออาจมีเจ้าภาพที่ได้รับเงินบริจาคจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น (เรียกว่า อี้สู/义塾) หรืออาจเป็นตัวอาจารย์เองเปิดสอนหนังสือโดยเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน สตรีจีนโบราณไม่มีโอกาสได้เรียนในสำนักศึกษาหลวง และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องจรรยาของสตรี โคลงกลอนและการดนตรี หากไม่ได้เรียนตามโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเรียนกันที่บ้านตามมีตามเกิดหรือไม่ได้เรียน นอกจากนี้ ยังมีที่ศึกษาเองในระหว่างที่ออกบวชเป็นชี หรืออีกสุดขั้วหนึ่งคือการเรียนในหอนางโลมสำหรับนางโลมที่ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวเพื่อทำมาหากิน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://kknews.cc/zh-my/entertainment/4k6q6zg.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.fxjyb.com/xiandai/276.html https://zhuanlan.zhihu.com/p/77983438 https://m.lunwendata.com/show.php?id=34312 https://kknews.cc/history/pvkjmzj.html https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=e3ce1325253f66e731416fc1 http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF206(49)/EF206(49)-5.pdf #หมิงหลัน #การเรียนเอกชนจีนโบราณ #การเรียนสตรีจีนโบราณ #สี่หนังสือห้าคัมภีร์ #เจียสู
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • Insight Partners ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลนักลงทุนรั่วไหล Insight Partners บริษัทด้านการลงทุนที่มีสินทรัพย์มากกว่า 90 พันล้านดอลลาร์ ได้ยืนยันว่า ถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้ เทคนิค Social Engineering เพื่อเข้าถึงระบบของบริษัท ส่งผลให้ ข้อมูลสำคัญของนักลงทุนและพนักงานถูกขโมย

    บริษัทระบุว่า การโจมตีเกิดขึ้นเพียงวันเดียว และไม่มีหลักฐานว่ามีการบุกรุกเพิ่มเติมหลังจากวันที่ 16 มกราคม อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงข้อมูลกองทุน, ข้อมูลบริษัทจัดการ, ข้อมูลบริษัทในพอร์ตโฟลิโอ, ข้อมูลธนาคาร, ข้อมูลภาษี และข้อมูลส่วนตัวของพนักงานทั้งอดีตและปัจจุบัน

    ✅ Insight Partners ถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2025
    - แฮกเกอร์ใช้ เทคนิค Social Engineering เพื่อเข้าถึงระบบของบริษัท

    ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงข้อมูลกองทุน, ข้อมูลบริษัทจัดการ และข้อมูลนักลงทุน
    - รวมถึง ข้อมูลธนาคาร, ข้อมูลภาษี และข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน

    ✅ บริษัทระบุว่าการโจมตีเกิดขึ้นเพียงวันเดียว และไม่มีหลักฐานว่ามีการบุกรุกเพิ่มเติม
    - แต่ยังคง แจ้งเตือนผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ตรวจสอบบัญชีการเงินและรายงานเครดิต

    ✅ Insight Partners แจ้งเตือนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม
    - เพื่อ ป้องกันการโจมตีในอนาคต

    ✅ บริษัทมีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Armis, Wiz, monday.com และ Wix
    - ทำให้ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอ

    https://www.techradar.com/pro/security/a-top-vc-firm-says-investor-details-were-stolen-in-a-data-breach
    Insight Partners ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลนักลงทุนรั่วไหล Insight Partners บริษัทด้านการลงทุนที่มีสินทรัพย์มากกว่า 90 พันล้านดอลลาร์ ได้ยืนยันว่า ถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้ เทคนิค Social Engineering เพื่อเข้าถึงระบบของบริษัท ส่งผลให้ ข้อมูลสำคัญของนักลงทุนและพนักงานถูกขโมย บริษัทระบุว่า การโจมตีเกิดขึ้นเพียงวันเดียว และไม่มีหลักฐานว่ามีการบุกรุกเพิ่มเติมหลังจากวันที่ 16 มกราคม อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงข้อมูลกองทุน, ข้อมูลบริษัทจัดการ, ข้อมูลบริษัทในพอร์ตโฟลิโอ, ข้อมูลธนาคาร, ข้อมูลภาษี และข้อมูลส่วนตัวของพนักงานทั้งอดีตและปัจจุบัน ✅ Insight Partners ถูกโจมตีทางไซเบอร์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2025 - แฮกเกอร์ใช้ เทคนิค Social Engineering เพื่อเข้าถึงระบบของบริษัท ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงข้อมูลกองทุน, ข้อมูลบริษัทจัดการ และข้อมูลนักลงทุน - รวมถึง ข้อมูลธนาคาร, ข้อมูลภาษี และข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน ✅ บริษัทระบุว่าการโจมตีเกิดขึ้นเพียงวันเดียว และไม่มีหลักฐานว่ามีการบุกรุกเพิ่มเติม - แต่ยังคง แจ้งเตือนผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ตรวจสอบบัญชีการเงินและรายงานเครดิต ✅ Insight Partners แจ้งเตือนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม - เพื่อ ป้องกันการโจมตีในอนาคต ✅ บริษัทมีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Armis, Wiz, monday.com และ Wix - ทำให้ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอ https://www.techradar.com/pro/security/a-top-vc-firm-says-investor-details-were-stolen-in-a-data-breach
    WWW.TECHRADAR.COM
    A top VC firm says investor details were stolen in a data breach
    Insight Partners concludes investigation into January 2025 breach
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • PowerSchool ถูกโจมตีทางไซเบอร์อีกครั้ง ข้อมูลนักเรียนและครูอาจไม่ถูกลบตามที่สัญญา PowerSchool ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการศึกษาถูกโจมตีทางไซเบอร์ในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลส่วนตัวของ 62 ล้านนักเรียนและ 9 ล้านครู ถูกขโมยไป แม้ว่าบริษัทจะ จ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์เพื่อให้ลบข้อมูลที่ถูกขโมย แต่ล่าสุดพบว่า ข้อมูลเหล่านี้ยังคงถูกใช้เพื่อข่มขู่โรงเรียนต่าง ๆ

    แฮกเกอร์กำลัง ติดต่อโรงเรียนแต่ละแห่งเพื่อเรียกค่าไถ่เพิ่มเติม โดยขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลที่ถูกขโมยหากโรงเรียนไม่จ่ายเงิน PowerSchool ยืนยันว่า กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ และแนะนำให้ผู้ได้รับผลกระทบ ใช้บริการตรวจสอบเครดิตและป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนตัวฟรีเป็นเวลา 2 ปี

    ✅ PowerSchool ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในเดือนธันวาคม 2024
    - ข้อมูลส่วนตัวของ 62 ล้านนักเรียนและ 9 ล้านครูถูกขโมย

    ✅ บริษัทจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์เพื่อให้ลบข้อมูลที่ถูกขโมย
    - แต่พบว่า ข้อมูลยังคงถูกใช้เพื่อข่มขู่โรงเรียน

    ✅ แฮกเกอร์กำลังติดต่อโรงเรียนแต่ละแห่งเพื่อเรียกค่าไถ่เพิ่มเติม
    - ขู่ว่าจะ เปิดเผยข้อมูลที่ถูกขโมยหากโรงเรียนไม่จ่ายเงิน

    ✅ PowerSchool แนะนำให้ผู้ได้รับผลกระทบใช้บริการตรวจสอบเครดิตและป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนตัวฟรีเป็นเวลา 2 ปี
    - เพื่อ ลดความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลที่ถูกขโมย

    ✅ บริษัทกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้
    - และ พยายามลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนและนักเรียน

    https://www.techradar.com/pro/security/powerschool-hackers-return-and-may-not-have-deleted-stolen-data-as-promised
    PowerSchool ถูกโจมตีทางไซเบอร์อีกครั้ง ข้อมูลนักเรียนและครูอาจไม่ถูกลบตามที่สัญญา PowerSchool ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการศึกษาถูกโจมตีทางไซเบอร์ในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลส่วนตัวของ 62 ล้านนักเรียนและ 9 ล้านครู ถูกขโมยไป แม้ว่าบริษัทจะ จ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์เพื่อให้ลบข้อมูลที่ถูกขโมย แต่ล่าสุดพบว่า ข้อมูลเหล่านี้ยังคงถูกใช้เพื่อข่มขู่โรงเรียนต่าง ๆ แฮกเกอร์กำลัง ติดต่อโรงเรียนแต่ละแห่งเพื่อเรียกค่าไถ่เพิ่มเติม โดยขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลที่ถูกขโมยหากโรงเรียนไม่จ่ายเงิน PowerSchool ยืนยันว่า กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ และแนะนำให้ผู้ได้รับผลกระทบ ใช้บริการตรวจสอบเครดิตและป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนตัวฟรีเป็นเวลา 2 ปี ✅ PowerSchool ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในเดือนธันวาคม 2024 - ข้อมูลส่วนตัวของ 62 ล้านนักเรียนและ 9 ล้านครูถูกขโมย ✅ บริษัทจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์เพื่อให้ลบข้อมูลที่ถูกขโมย - แต่พบว่า ข้อมูลยังคงถูกใช้เพื่อข่มขู่โรงเรียน ✅ แฮกเกอร์กำลังติดต่อโรงเรียนแต่ละแห่งเพื่อเรียกค่าไถ่เพิ่มเติม - ขู่ว่าจะ เปิดเผยข้อมูลที่ถูกขโมยหากโรงเรียนไม่จ่ายเงิน ✅ PowerSchool แนะนำให้ผู้ได้รับผลกระทบใช้บริการตรวจสอบเครดิตและป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนตัวฟรีเป็นเวลา 2 ปี - เพื่อ ลดความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลที่ถูกขโมย ✅ บริษัทกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ - และ พยายามลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนและนักเรียน https://www.techradar.com/pro/security/powerschool-hackers-return-and-may-not-have-deleted-stolen-data-as-promised
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pearson ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลลูกค้ารั่วไหล บริษัทด้านการศึกษา Pearson ได้ยืนยันว่า ถูกโจมตีทางไซเบอร์ และมีข้อมูลลูกค้ารั่วไหล อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่า ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลเก่า และไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบปัจจุบัน

    การโจมตีเกิดขึ้นจาก GitLab Personal Access Token ที่ถูกเปิดเผยในไฟล์ .git/config สาธารณะ ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถ เข้าถึงระบบพัฒนาและขโมยข้อมูลลูกค้าและข้อมูลบริษัท

    ✅ Pearson ถูกโจมตีทางไซเบอร์ และมีข้อมูลลูกค้ารั่วไหล
    - บริษัทระบุว่า ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลเก่า

    ✅ แฮกเกอร์ใช้ GitLab Personal Access Token ที่ถูกเปิดเผยในไฟล์ .git/config สาธารณะ
    - ทำให้สามารถ เข้าถึงระบบพัฒนาและขโมยข้อมูล

    ✅ Pearson ได้ดำเนินมาตรการป้องกันเพิ่มเติม
    - รวมถึง การเพิ่มระบบตรวจสอบความปลอดภัยและการยืนยันตัวตน

    ✅ บริษัทให้ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการสืบสวน
    - เพื่อ ติดตามผู้กระทำผิดและป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต

    ✅ ไม่มีข้อมูลพนักงานอยู่ในไฟล์ที่ถูกขโมย
    - Pearson ไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ได้รับผลกระทบหรือประเภทข้อมูลที่รั่วไหล

    https://www.techradar.com/pro/security/textbook-and-testing-giant-pearson-hit-by-cyberattack-customer-data-leaked
    Pearson ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลลูกค้ารั่วไหล บริษัทด้านการศึกษา Pearson ได้ยืนยันว่า ถูกโจมตีทางไซเบอร์ และมีข้อมูลลูกค้ารั่วไหล อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่า ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลเก่า และไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบปัจจุบัน การโจมตีเกิดขึ้นจาก GitLab Personal Access Token ที่ถูกเปิดเผยในไฟล์ .git/config สาธารณะ ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถ เข้าถึงระบบพัฒนาและขโมยข้อมูลลูกค้าและข้อมูลบริษัท ✅ Pearson ถูกโจมตีทางไซเบอร์ และมีข้อมูลลูกค้ารั่วไหล - บริษัทระบุว่า ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลเก่า ✅ แฮกเกอร์ใช้ GitLab Personal Access Token ที่ถูกเปิดเผยในไฟล์ .git/config สาธารณะ - ทำให้สามารถ เข้าถึงระบบพัฒนาและขโมยข้อมูล ✅ Pearson ได้ดำเนินมาตรการป้องกันเพิ่มเติม - รวมถึง การเพิ่มระบบตรวจสอบความปลอดภัยและการยืนยันตัวตน ✅ บริษัทให้ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการสืบสวน - เพื่อ ติดตามผู้กระทำผิดและป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต ✅ ไม่มีข้อมูลพนักงานอยู่ในไฟล์ที่ถูกขโมย - Pearson ไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ได้รับผลกระทบหรือประเภทข้อมูลที่รั่วไหล https://www.techradar.com/pro/security/textbook-and-testing-giant-pearson-hit-by-cyberattack-customer-data-leaked
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ขยายการรองรับ Data Residency ใน 4 ประเทศเอเชีย OpenAI ประกาศว่า ChatGPT Enterprise, ChatGPT Edu และ API Platform จะรองรับ Data Residency ใน ญี่ปุ่น, อินเดีย, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งช่วยให้ องค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศของตน ตามข้อกำหนดด้าน Data Sovereignty

    นอกจากนี้ OpenAI ยังเน้นย้ำถึง มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เช่น การเข้ารหัสขั้นสูง, การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล และการไม่ใช้ข้อมูลลูกค้าในการฝึกโมเดล AI

    ✅ OpenAI รองรับ Data Residency ในญี่ปุ่น, อินเดีย, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้
    - ช่วยให้ องค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศของตน

    ✅ Data Residency รองรับ ChatGPT Enterprise, ChatGPT Edu และ API Platform
    - ลูกค้าสามารถ เลือกพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสำหรับ API Platform ได้

    ✅ OpenAI ใช้การเข้ารหัส AES-256 สำหรับข้อมูลที่จัดเก็บ และ TLS 1.2+ สำหรับข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย
    - ช่วยให้ ข้อมูลมีความปลอดภัยทั้งขณะจัดเก็บและขณะส่งผ่านเครือข่าย

    ✅ OpenAI ไม่ใช้ข้อมูลจาก ChatGPT Business Plans หรือ API ในการฝึกโมเดล AI
    - ยกเว้นกรณีที่ ลูกค้าเลือกแชร์ข้อมูลกับ OpenAI

    ✅ OpenAI ปฏิบัติตามมาตรฐาน GDPR, CCPA และ CSA STAR
    - ช่วยให้ องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว

    https://www.neowin.net/news/openai-announces-data-residency-support-in-asian-countries/
    OpenAI ขยายการรองรับ Data Residency ใน 4 ประเทศเอเชีย OpenAI ประกาศว่า ChatGPT Enterprise, ChatGPT Edu และ API Platform จะรองรับ Data Residency ใน ญี่ปุ่น, อินเดีย, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งช่วยให้ องค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศของตน ตามข้อกำหนดด้าน Data Sovereignty นอกจากนี้ OpenAI ยังเน้นย้ำถึง มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เช่น การเข้ารหัสขั้นสูง, การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล และการไม่ใช้ข้อมูลลูกค้าในการฝึกโมเดล AI ✅ OpenAI รองรับ Data Residency ในญี่ปุ่น, อินเดีย, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ - ช่วยให้ องค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศของตน ✅ Data Residency รองรับ ChatGPT Enterprise, ChatGPT Edu และ API Platform - ลูกค้าสามารถ เลือกพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสำหรับ API Platform ได้ ✅ OpenAI ใช้การเข้ารหัส AES-256 สำหรับข้อมูลที่จัดเก็บ และ TLS 1.2+ สำหรับข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย - ช่วยให้ ข้อมูลมีความปลอดภัยทั้งขณะจัดเก็บและขณะส่งผ่านเครือข่าย ✅ OpenAI ไม่ใช้ข้อมูลจาก ChatGPT Business Plans หรือ API ในการฝึกโมเดล AI - ยกเว้นกรณีที่ ลูกค้าเลือกแชร์ข้อมูลกับ OpenAI ✅ OpenAI ปฏิบัติตามมาตรฐาน GDPR, CCPA และ CSA STAR - ช่วยให้ องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว https://www.neowin.net/news/openai-announces-data-residency-support-in-asian-countries/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI announces data residency support in Asian countries
    This allows organizations in these regions to store their data locally, helping them comply with data sovereignty regulations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • Chrome และ Safari เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลผู้ใช้มากที่สุด จากการวิจัยของ Surfshark พบว่า Google Chrome และ Apple Safari เป็นเบราว์เซอร์ที่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้มากที่สุด โดย Chrome รวบรวมข้อมูลถึง 20 ประเภท รวมถึง ข้อมูลติดต่อ, ตำแหน่งที่ตั้ง, ประวัติการเข้าชม และเนื้อหาของผู้ใช้

    Microsoft Bing ตามมาเป็นอันดับสอง โดยเก็บข้อมูล 12 ประเภท ขณะที่ Pi Browser อยู่ในอันดับสามด้วย 9 ประเภท Safari และ Firefox เก็บข้อมูล 8 ประเภท ส่วน Brave และ Tor เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลน้อยที่สุด

    ✅ Google Chrome เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลมากที่สุด โดยรวบรวมข้อมูลถึง 20 ประเภท
    - รวมถึง ข้อมูลติดต่อ, ตำแหน่งที่ตั้ง, ประวัติการเข้าชม และเนื้อหาของผู้ใช้
    - เป็นเบราว์เซอร์เดียวที่ เก็บข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร

    ✅ Microsoft Bing เป็นอันดับสอง โดยเก็บข้อมูล 12 ประเภท
    - รวมถึง ข้อมูลผู้ใช้, ประวัติการค้นหา และข้อมูลโฆษณา

    ✅ Pi Browser อยู่ในอันดับสาม โดยเก็บข้อมูล 9 ประเภท
    - เช่น ประวัติการเข้าชม, ประวัติการค้นหา และข้อมูลโฆษณา

    ✅ Safari และ Firefox เก็บข้อมูล 8 ประเภท
    - รวมถึง ข้อมูลการใช้งานและตัวระบุอุปกรณ์

    ✅ Brave และ Tor เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลน้อยที่สุด
    - Brave เก็บเพียงตัวระบุและข้อมูลการใช้งาน
    - Tor ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เลย

    https://www.techradar.com/pro/security/these-are-the-worst-web-browsers-for-sucking-up-all-your-data-so-you-may-want-to-stop-using-them
    Chrome และ Safari เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลผู้ใช้มากที่สุด จากการวิจัยของ Surfshark พบว่า Google Chrome และ Apple Safari เป็นเบราว์เซอร์ที่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้มากที่สุด โดย Chrome รวบรวมข้อมูลถึง 20 ประเภท รวมถึง ข้อมูลติดต่อ, ตำแหน่งที่ตั้ง, ประวัติการเข้าชม และเนื้อหาของผู้ใช้ Microsoft Bing ตามมาเป็นอันดับสอง โดยเก็บข้อมูล 12 ประเภท ขณะที่ Pi Browser อยู่ในอันดับสามด้วย 9 ประเภท Safari และ Firefox เก็บข้อมูล 8 ประเภท ส่วน Brave และ Tor เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลน้อยที่สุด ✅ Google Chrome เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลมากที่สุด โดยรวบรวมข้อมูลถึง 20 ประเภท - รวมถึง ข้อมูลติดต่อ, ตำแหน่งที่ตั้ง, ประวัติการเข้าชม และเนื้อหาของผู้ใช้ - เป็นเบราว์เซอร์เดียวที่ เก็บข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร ✅ Microsoft Bing เป็นอันดับสอง โดยเก็บข้อมูล 12 ประเภท - รวมถึง ข้อมูลผู้ใช้, ประวัติการค้นหา และข้อมูลโฆษณา ✅ Pi Browser อยู่ในอันดับสาม โดยเก็บข้อมูล 9 ประเภท - เช่น ประวัติการเข้าชม, ประวัติการค้นหา และข้อมูลโฆษณา ✅ Safari และ Firefox เก็บข้อมูล 8 ประเภท - รวมถึง ข้อมูลการใช้งานและตัวระบุอุปกรณ์ ✅ Brave และ Tor เป็นเบราว์เซอร์ที่เก็บข้อมูลน้อยที่สุด - Brave เก็บเพียงตัวระบุและข้อมูลการใช้งาน - Tor ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เลย https://www.techradar.com/pro/security/these-are-the-worst-web-browsers-for-sucking-up-all-your-data-so-you-may-want-to-stop-using-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยชาวจีนได้สร้าง ระบบส่งข้อมูลที่ปลอดภัยและมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกระยะทาง 1,200 กิโลเมตร โดยใช้ เทคนิคการเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง ซึ่งช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยระดับสูงโดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม

    เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Integrated Encryption and Communication (IEAC) ซึ่งพัฒนาโดย ศาสตราจารย์ Lilin Yi จากมหาวิทยาลัย Shanghai Jiao Tong โดยใช้ Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง เพื่อสร้าง รูปแบบแสงที่ไม่สามารถถอดรหัสได้โดยง่าย

    ✅ IEAC เป็นระบบเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง
    - ไม่ต้องใช้ ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม เช่น TLS หรือ IPsec
    - ทำให้ การดักฟังข้อมูลแทบเป็นไปไม่ได้

    ✅ ใช้เทคนิค Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง
    - สร้าง รูปแบบแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    - ทำให้ ข้อมูลดูเหมือนสัญญาณรบกวนสำหรับผู้ดักฟัง

    ✅ สามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1 Tbps ผ่านระยะทาง 1,200 กิโลเมตร
    - ทดสอบผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกที่มี 26 ช่องสัญญาณบนคลื่น C-band ขนาด 3.9 THz
    - มี อัตราความผิดพลาดของข้อมูลต่ำกว่า 2×10⁻²

    ✅ IEAC สามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้
    - ไม่ต้องใช้ อุปกรณ์พิเศษเหมือน Quantum Key Distribution (QKD)
    - สามารถ ติดตั้งผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์

    ✅ เทคโนโลยีนี้อาจมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูล, คลาวด์แพลตฟอร์ม และเครือข่าย 6G
    - ช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยและรองรับความต้องการของ AI ได้ดีขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107833-chinese-researchers-achieve-1-tbps-secure-data-transmission.html
    นักวิจัยชาวจีนได้สร้าง ระบบส่งข้อมูลที่ปลอดภัยและมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกระยะทาง 1,200 กิโลเมตร โดยใช้ เทคนิคการเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง ซึ่งช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยระดับสูงโดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Integrated Encryption and Communication (IEAC) ซึ่งพัฒนาโดย ศาสตราจารย์ Lilin Yi จากมหาวิทยาลัย Shanghai Jiao Tong โดยใช้ Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง เพื่อสร้าง รูปแบบแสงที่ไม่สามารถถอดรหัสได้โดยง่าย ✅ IEAC เป็นระบบเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง - ไม่ต้องใช้ ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม เช่น TLS หรือ IPsec - ทำให้ การดักฟังข้อมูลแทบเป็นไปไม่ได้ ✅ ใช้เทคนิค Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง - สร้าง รูปแบบแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา - ทำให้ ข้อมูลดูเหมือนสัญญาณรบกวนสำหรับผู้ดักฟัง ✅ สามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1 Tbps ผ่านระยะทาง 1,200 กิโลเมตร - ทดสอบผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกที่มี 26 ช่องสัญญาณบนคลื่น C-band ขนาด 3.9 THz - มี อัตราความผิดพลาดของข้อมูลต่ำกว่า 2×10⁻² ✅ IEAC สามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้ - ไม่ต้องใช้ อุปกรณ์พิเศษเหมือน Quantum Key Distribution (QKD) - สามารถ ติดตั้งผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์ ✅ เทคโนโลยีนี้อาจมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูล, คลาวด์แพลตฟอร์ม และเครือข่าย 6G - ช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยและรองรับความต้องการของ AI ได้ดีขึ้น https://www.techspot.com/news/107833-chinese-researchers-achieve-1-tbps-secure-data-transmission.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers achieve 1 Tbps secure data transmission over 1,200 km
    The breakthrough – developed by Professor Lilin Yi at Shanghai Jiao Tong University – is called the Integrated Encryption and Communication (IEAC) system. Unlike traditional methods such...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังผลักดันให้ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เร่งกระบวนการอนุมัติด้านพลังงานสำหรับ AI และ เปิดชุดข้อมูลของรัฐบาลเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการฝึก AI โดย Brad Smith ประธาน Microsoft จะนำเสนอข้อเรียกร้องนี้ต่อ คณะกรรมาธิการวุฒิสภาด้านการพาณิชย์

    Smith ระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐฯ ล้าสมัยและไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจาก AI รวมถึง การนำการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ และการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ก็จะให้การต่อคณะกรรมาธิการ โดยเน้นว่า AI ต้องการชิป, ข้อมูลฝึก, พลังงาน และซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากขึ้น

    ✅ Microsoft เรียกร้องให้วุฒิสมาชิกเร่งกระบวนการอนุมัติด้านพลังงานสำหรับ AI
    - โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐฯ ล้าสมัยและไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
    - การนำการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น

    ✅ Microsoft ต้องการให้รัฐบาลเปิดชุดข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการฝึก AI
    - ช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลที่มีคุณภาพสูงขึ้น
    - สนับสนุน การพัฒนา AI ที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เน้นว่า AI ต้องการชิป, ข้อมูลฝึก, พลังงาน และซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากขึ้น
    - การพัฒนา AI ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก
    - ความต้องการพลังงาน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ‼️ การเปิดชุดข้อมูลของรัฐบาลอาจมีข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
    - ต้องมี มาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    ‼️ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง
    - อาจต้องมี การลงทุนขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/08/microsoft-to-urge-senators-to-speed-permitting-for-ai-boost-government-data-access
    Microsoft กำลังผลักดันให้ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เร่งกระบวนการอนุมัติด้านพลังงานสำหรับ AI และ เปิดชุดข้อมูลของรัฐบาลเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการฝึก AI โดย Brad Smith ประธาน Microsoft จะนำเสนอข้อเรียกร้องนี้ต่อ คณะกรรมาธิการวุฒิสภาด้านการพาณิชย์ Smith ระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐฯ ล้าสมัยและไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจาก AI รวมถึง การนำการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ และการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ก็จะให้การต่อคณะกรรมาธิการ โดยเน้นว่า AI ต้องการชิป, ข้อมูลฝึก, พลังงาน และซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากขึ้น ✅ Microsoft เรียกร้องให้วุฒิสมาชิกเร่งกระบวนการอนุมัติด้านพลังงานสำหรับ AI - โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐฯ ล้าสมัยและไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น - การนำการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น ✅ Microsoft ต้องการให้รัฐบาลเปิดชุดข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการฝึก AI - ช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลที่มีคุณภาพสูงขึ้น - สนับสนุน การพัฒนา AI ที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เน้นว่า AI ต้องการชิป, ข้อมูลฝึก, พลังงาน และซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากขึ้น - การพัฒนา AI ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก - ความต้องการพลังงาน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ‼️ การเปิดชุดข้อมูลของรัฐบาลอาจมีข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย - ต้องมี มาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ‼️ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง - อาจต้องมี การลงทุนขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/08/microsoft-to-urge-senators-to-speed-permitting-for-ai-boost-government-data-access
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft to urge senators to speed permitting for AI, boost government data access
    WASHINGTON (Reuters) -Microsoft President Brad Smith on Thursday will urge U.S. lawmakers to streamline federal permitting for artificial intelligence energy needs and open more government data sets for AI training, according to written testimony seen by Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้ประกาศว่าจะ ยกเลิกการรองรับการเข้ารหัส 3DES ในการเชื่อมต่อ SMTP ขาเข้าใน Gmail ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2025 ซึ่งหมายความว่า อีเมลที่ส่งไปยัง Gmail โดยใช้ 3DES จะไม่สามารถส่งถึงผู้รับได้อีกต่อไป

    3DES เป็น อัลกอริธึมการเข้ารหัสที่ใช้ Data Encryption Standard (DES) สามครั้ง ซึ่งเคยเป็นมาตรฐานที่ปลอดภัยกว่าการเข้ารหัสแบบเดี่ยว อย่างไรก็ตาม 3DES มีขนาดบล็อกข้อมูลเพียง 64 บิต ทำให้ มีช่องโหว่เมื่อใช้กับข้อมูลจำนวนมาก และ มีความเร็วต่ำกว่ามาตรฐานการเข้ารหัสสมัยใหม่ เช่น AES

    ✅ Google จะยกเลิกการรองรับ 3DES ในการเชื่อมต่อ SMTP ขาเข้า ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2025
    - อีเมลที่ใช้ 3DES จะไม่สามารถส่งถึง Gmail ได้อีกต่อไป
    - ผู้ดูแลระบบต้อง เปลี่ยนไปใช้ TLS ciphers ที่ปลอดภัยกว่า

    ✅ 3DES มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานใหม่
    - ขนาดบล็อกข้อมูล 64 บิต ทำให้ มีความเสี่ยงเมื่อใช้กับข้อมูลจำนวนมาก
    - มีความเร็วต่ำกว่า AES ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่ทันสมัยกว่า

    ✅ Google แจ้งเตือนผู้ดูแลระบบที่ยังใช้ 3DES ให้เปลี่ยนไปใช้มาตรฐานที่ปลอดภัยกว่า
    - แนะนำให้ใช้ TLS ciphers ที่ทันสมัยเพื่อป้องกันช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อผู้ใช้ Gmail และลูกค้า Google Workspace
    - ผู้ดูแลระบบที่ยังใช้ 3DES ได้รับการแจ้งเตือนทางอีเมล

    ✅ Gmail กำลังปรับปรุงฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การจัดหมวดหมู่ข้อมูลและการค้นหาด้วย AI
    - เพิ่ม Data Classification Labels เพื่อช่วยให้ องค์กรสามารถจัดการข้อมูลอีเมลได้ดีขึ้น
    - ปรับปรุง ระบบค้นหาให้แสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

    ‼️ ผู้ดูแลระบบที่ยังใช้ 3DES ต้องรีบเปลี่ยนไปใช้มาตรฐานที่ปลอดภัยกว่า
    - หากไม่เปลี่ยน อีเมลที่ส่งไปยัง Gmail อาจไม่สามารถส่งถึงผู้รับได้

    ‼️ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อระบบอีเมลที่ยังใช้การเข้ารหัสแบบเก่า
    - องค์กรที่ยังใช้ 3DES ต้องตรวจสอบและอัปเดตระบบให้รองรับ TLS ciphers ที่ปลอดภัยกว่า

    https://www.neowin.net/news/gmail-to-drop-support-for-outdated-3des-encryption-in-incoming-smtp-connections/
    Google ได้ประกาศว่าจะ ยกเลิกการรองรับการเข้ารหัส 3DES ในการเชื่อมต่อ SMTP ขาเข้าใน Gmail ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2025 ซึ่งหมายความว่า อีเมลที่ส่งไปยัง Gmail โดยใช้ 3DES จะไม่สามารถส่งถึงผู้รับได้อีกต่อไป 3DES เป็น อัลกอริธึมการเข้ารหัสที่ใช้ Data Encryption Standard (DES) สามครั้ง ซึ่งเคยเป็นมาตรฐานที่ปลอดภัยกว่าการเข้ารหัสแบบเดี่ยว อย่างไรก็ตาม 3DES มีขนาดบล็อกข้อมูลเพียง 64 บิต ทำให้ มีช่องโหว่เมื่อใช้กับข้อมูลจำนวนมาก และ มีความเร็วต่ำกว่ามาตรฐานการเข้ารหัสสมัยใหม่ เช่น AES ✅ Google จะยกเลิกการรองรับ 3DES ในการเชื่อมต่อ SMTP ขาเข้า ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2025 - อีเมลที่ใช้ 3DES จะไม่สามารถส่งถึง Gmail ได้อีกต่อไป - ผู้ดูแลระบบต้อง เปลี่ยนไปใช้ TLS ciphers ที่ปลอดภัยกว่า ✅ 3DES มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานใหม่ - ขนาดบล็อกข้อมูล 64 บิต ทำให้ มีความเสี่ยงเมื่อใช้กับข้อมูลจำนวนมาก - มีความเร็วต่ำกว่า AES ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่ทันสมัยกว่า ✅ Google แจ้งเตือนผู้ดูแลระบบที่ยังใช้ 3DES ให้เปลี่ยนไปใช้มาตรฐานที่ปลอดภัยกว่า - แนะนำให้ใช้ TLS ciphers ที่ทันสมัยเพื่อป้องกันช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อผู้ใช้ Gmail และลูกค้า Google Workspace - ผู้ดูแลระบบที่ยังใช้ 3DES ได้รับการแจ้งเตือนทางอีเมล ✅ Gmail กำลังปรับปรุงฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การจัดหมวดหมู่ข้อมูลและการค้นหาด้วย AI - เพิ่ม Data Classification Labels เพื่อช่วยให้ องค์กรสามารถจัดการข้อมูลอีเมลได้ดีขึ้น - ปรับปรุง ระบบค้นหาให้แสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ‼️ ผู้ดูแลระบบที่ยังใช้ 3DES ต้องรีบเปลี่ยนไปใช้มาตรฐานที่ปลอดภัยกว่า - หากไม่เปลี่ยน อีเมลที่ส่งไปยัง Gmail อาจไม่สามารถส่งถึงผู้รับได้ ‼️ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อระบบอีเมลที่ยังใช้การเข้ารหัสแบบเก่า - องค์กรที่ยังใช้ 3DES ต้องตรวจสอบและอัปเดตระบบให้รองรับ TLS ciphers ที่ปลอดภัยกว่า https://www.neowin.net/news/gmail-to-drop-support-for-outdated-3des-encryption-in-incoming-smtp-connections/
    WWW.NEOWIN.NET
    Gmail to drop support for 'outdated' 3DES encryption in incoming SMTP connections
    3DES has been around since 1978, but today, it's considered far less secure than modern standards. Google apps such as Chrome have already dropped support, and now Gmail is following suit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังปรับปรุง การพัฒนาไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์สำหรับ Windows 11 รุ่นถัดไป โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสองประการ ได้แก่ การยกเลิก Windows Device Metadata และ WMIS และ การเปลี่ยนแปลงระบบลงนามไดรเวอร์ก่อนการผลิต

    Windows Device Metadata และ Windows Metadata and Internet Services (WMIS) จะถูก ยกเลิกในเดือนพฤษภาคม 2025 โดย Microsoft แนะนำให้ใช้ INF files แทน ซึ่งเป็น ไฟล์ข้อมูลการติดตั้งสำหรับแพ็กเกจไดรเวอร์

    นอกจากนี้ Microsoft ยังประกาศว่า ใบรับรองที่ใช้ลงนามไดรเวอร์ก่อนการผลิต (PCA 2010) จะหมดอายุในเดือนมิถุนายน 2025 และจะมี ใบรับรองใหม่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2025

    ✅ Windows Device Metadata และ WMIS จะถูกยกเลิกในเดือนพฤษภาคม 2025
    - ไม่มีการส่งแพ็กเกจใหม่ผ่าน WMIS อีกต่อไป
    - Microsoft แนะนำให้ใช้ INF files แทน

    ✅ ใบรับรอง PCA 2010 สำหรับไดรเวอร์ก่อนการผลิตจะหมดอายุในเดือนมิถุนายน 2025
    - ไดรเวอร์ที่ลงนามก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2025 จะหมดอายุในวันที่ 6 กรกฎาคม 2025
    - ไดรเวอร์ที่ลงนามหลังวันที่ 9 มิถุนายน 2025 จะไม่มีวันหมดอายุ

    ✅ Microsoft แนะนำให้พาร์ทเนอร์ติดตั้ง Windows Servicing Releases เพื่อรองรับใบรับรองใหม่
    - อัปเดต Windows Server 2008 และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อรองรับใบรับรองใหม่

    ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อการพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ Windows 11 และ Server 2025
    - ช่วยให้ การลงนามไดรเวอร์มีความปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น

    ‼️ พาร์ทเนอร์ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงระบบลงนามไดรเวอร์
    - หากไม่อัปเดต อาจทำให้ไดรเวอร์หมดอายุและไม่สามารถใช้งานได้

    ‼️ การยกเลิก Windows Device Metadata อาจส่งผลต่อการแสดงข้อมูลอุปกรณ์ใน Windows UI
    - ผู้ใช้ต้อง ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของตนรองรับ INF files อย่างถูกต้อง

    https://www.neowin.net/news/microsoft-bringing-two-big-changes-to-hardware-drivers-for-next-gen-windows-11/
    Microsoft กำลังปรับปรุง การพัฒนาไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์สำหรับ Windows 11 รุ่นถัดไป โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสองประการ ได้แก่ การยกเลิก Windows Device Metadata และ WMIS และ การเปลี่ยนแปลงระบบลงนามไดรเวอร์ก่อนการผลิต Windows Device Metadata และ Windows Metadata and Internet Services (WMIS) จะถูก ยกเลิกในเดือนพฤษภาคม 2025 โดย Microsoft แนะนำให้ใช้ INF files แทน ซึ่งเป็น ไฟล์ข้อมูลการติดตั้งสำหรับแพ็กเกจไดรเวอร์ นอกจากนี้ Microsoft ยังประกาศว่า ใบรับรองที่ใช้ลงนามไดรเวอร์ก่อนการผลิต (PCA 2010) จะหมดอายุในเดือนมิถุนายน 2025 และจะมี ใบรับรองใหม่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2025 ✅ Windows Device Metadata และ WMIS จะถูกยกเลิกในเดือนพฤษภาคม 2025 - ไม่มีการส่งแพ็กเกจใหม่ผ่าน WMIS อีกต่อไป - Microsoft แนะนำให้ใช้ INF files แทน ✅ ใบรับรอง PCA 2010 สำหรับไดรเวอร์ก่อนการผลิตจะหมดอายุในเดือนมิถุนายน 2025 - ไดรเวอร์ที่ลงนามก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2025 จะหมดอายุในวันที่ 6 กรกฎาคม 2025 - ไดรเวอร์ที่ลงนามหลังวันที่ 9 มิถุนายน 2025 จะไม่มีวันหมดอายุ ✅ Microsoft แนะนำให้พาร์ทเนอร์ติดตั้ง Windows Servicing Releases เพื่อรองรับใบรับรองใหม่ - อัปเดต Windows Server 2008 และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อรองรับใบรับรองใหม่ ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อการพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ Windows 11 และ Server 2025 - ช่วยให้ การลงนามไดรเวอร์มีความปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น ‼️ พาร์ทเนอร์ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงระบบลงนามไดรเวอร์ - หากไม่อัปเดต อาจทำให้ไดรเวอร์หมดอายุและไม่สามารถใช้งานได้ ‼️ การยกเลิก Windows Device Metadata อาจส่งผลต่อการแสดงข้อมูลอุปกรณ์ใน Windows UI - ผู้ใช้ต้อง ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของตนรองรับ INF files อย่างถูกต้อง https://www.neowin.net/news/microsoft-bringing-two-big-changes-to-hardware-drivers-for-next-gen-windows-11/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft bringing two big changes to hardware drivers for next gen Windows 11
    Microsoft has announced two changes to how Windows 11 hardware drivers will be developed going forward.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ Helm charts ใน Kubernetes ที่อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว เนื่องจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยเพียงพอ

    Helm เป็น เครื่องมือจัดการแพ็กเกจสำหรับ Kubernetes ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ติดตั้งและอัปเกรดแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Helm charts บางตัวมีการตั้งค่าเริ่มต้นที่เปิดพอร์ตโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ หรือใช้ รหัสผ่านที่สามารถคาดเดาได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้วิธีการเจาะระบบที่ซับซ้อน

    ✅ Helm charts บางตัวมีการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยเพียงพอ
    - อาจเปิดพอร์ตโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์
    - ใช้รหัสผ่านที่สามารถคาดเดาได้ง่าย

    ✅ Microsoft เตือนว่าการตั้งค่าเริ่มต้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
    - หากไม่ได้ตรวจสอบไฟล์ YAML manifests และ Helm charts อย่างละเอียด อาจทำให้ บริการที่ติดตั้งไม่มีการป้องกัน

    ✅ Helm charts ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ Apache Pinot, Meshery และ Selenium Grid
    - แอปพลิเคชันเหล่านี้สามารถ เรียก API ที่มีข้อมูลสำคัญ หรือดำเนินการในระดับผู้ดูแลระบบ

    ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำโดย Microsoft
    - หลีกเลี่ยงการใช้ การตั้งค่าเริ่มต้นของ Helm charts
    - ตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีการตรวจสอบสิทธิ์และการแยกเครือข่าย
    - ทำการสแกนระบบเป็นประจำเพื่อ ค้นหาการตั้งค่าที่อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล

    https://www.techradar.com/pro/security/kubernetes-helm-charts-can-expose-data-without-users-ever-knowing
    Microsoft ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ Helm charts ใน Kubernetes ที่อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว เนื่องจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยเพียงพอ Helm เป็น เครื่องมือจัดการแพ็กเกจสำหรับ Kubernetes ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ติดตั้งและอัปเกรดแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Helm charts บางตัวมีการตั้งค่าเริ่มต้นที่เปิดพอร์ตโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ หรือใช้ รหัสผ่านที่สามารถคาดเดาได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่ต้องใช้วิธีการเจาะระบบที่ซับซ้อน ✅ Helm charts บางตัวมีการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยเพียงพอ - อาจเปิดพอร์ตโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ - ใช้รหัสผ่านที่สามารถคาดเดาได้ง่าย ✅ Microsoft เตือนว่าการตั้งค่าเริ่มต้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว - หากไม่ได้ตรวจสอบไฟล์ YAML manifests และ Helm charts อย่างละเอียด อาจทำให้ บริการที่ติดตั้งไม่มีการป้องกัน ✅ Helm charts ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ Apache Pinot, Meshery และ Selenium Grid - แอปพลิเคชันเหล่านี้สามารถ เรียก API ที่มีข้อมูลสำคัญ หรือดำเนินการในระดับผู้ดูแลระบบ ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำโดย Microsoft - หลีกเลี่ยงการใช้ การตั้งค่าเริ่มต้นของ Helm charts - ตรวจสอบให้แน่ใจว่า มีการตรวจสอบสิทธิ์และการแยกเครือข่าย - ทำการสแกนระบบเป็นประจำเพื่อ ค้นหาการตั้งค่าที่อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล https://www.techradar.com/pro/security/kubernetes-helm-charts-can-expose-data-without-users-ever-knowing
    WWW.TECHRADAR.COM
    Kubernetes Helm charts can expose data without users ever knowing
    Microsoft experts sound the alarm on default configurations
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด ศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ผ่านบริษัท Relativity Space ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการปล่อยจรวด โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก

    Schmidt เตือนว่า การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น โดยอาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก ในอนาคต เขาจึงเสนอให้ สร้างศูนย์ข้อมูลในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ

    ✅ Eric Schmidt เสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ และ ระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ
    - ช่วยลด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก

    ✅ การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น
    - อาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก
    - ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานเทียบเท่า 10 เท่าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

    ✅ Relativity Space กำลังพัฒนา Terran R เพื่อปล่อยศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ
    - เป็นจรวด รีไซเคิลได้ ที่สามารถบรรทุกน้ำหนัก 30 ตัน
    - แข่งขันกับ SpaceX Falcon 9 และ Blue Origin New Glenn

    ✅ รายงานของ IEA คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟฟ้าเท่ากับการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศญี่ปุ่น
    - แสดงให้เห็นถึง ความจำเป็นในการหาทางออกด้านพลังงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/could-there-soon-be-data-centres-in-space
    อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด ศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ผ่านบริษัท Relativity Space ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านการปล่อยจรวด โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก Schmidt เตือนว่า การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น โดยอาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก ในอนาคต เขาจึงเสนอให้ สร้างศูนย์ข้อมูลในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ ✅ Eric Schmidt เสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ และ ระบบระบายความร้อนด้วยสุญญากาศ - ช่วยลด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลก ✅ การเติบโตของ AI อาจทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานมากขึ้น - อาจเพิ่มจาก 3% เป็น 99% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก - ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานเทียบเท่า 10 เท่าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ✅ Relativity Space กำลังพัฒนา Terran R เพื่อปล่อยศูนย์ข้อมูลขึ้นสู่อวกาศ - เป็นจรวด รีไซเคิลได้ ที่สามารถบรรทุกน้ำหนัก 30 ตัน - แข่งขันกับ SpaceX Falcon 9 และ Blue Origin New Glenn ✅ รายงานของ IEA คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟฟ้าเท่ากับการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศญี่ปุ่น - แสดงให้เห็นถึง ความจำเป็นในการหาทางออกด้านพลังงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/could-there-soon-be-data-centres-in-space
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Could there soon be data centres in space?
    Former Google CEO Eric Schmidt recently took the helm of Relativity Space, a startup specialising in space launchers. His ambition is to one day place data centres directly into orbit, powered by solar energy, with the aim of alleviating their environmental footprint on Earth.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • Constellation Energy กำลังปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า แทนที่จะใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง

    บริษัทพลังงานหลายแห่งกำลังทำข้อตกลงใหม่กับ Big Tech เพื่อจัดหาพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง แทนที่จะรอเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า

    ✅ Constellation Energy มุ่งเน้นไปที่โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า
    - เปลี่ยนแนวทางจาก การใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง
    - ช่วยให้ การจัดหาพลังงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

    ✅ Big Tech กำลังทำข้อตกลงใหม่กับบริษัทพลังงาน
    - เพื่อจัดหาพลังงานให้กับ ศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล
    - หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง

    ✅ แนวโน้มของการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    - ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ พลังงานจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล
    - การเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยให้ มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากขึ้น

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยี
    - อาจทำให้ บริษัทพลังงานต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการของ Big Tech
    - อาจช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/constellation-refocusing-on-grid-connected-ai-data-center-power-projects
    Constellation Energy กำลังปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า แทนที่จะใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง บริษัทพลังงานหลายแห่งกำลังทำข้อตกลงใหม่กับ Big Tech เพื่อจัดหาพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง แทนที่จะรอเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า ✅ Constellation Energy มุ่งเน้นไปที่โครงการศูนย์ข้อมูล AI ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า - เปลี่ยนแนวทางจาก การใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าโดยตรง - ช่วยให้ การจัดหาพลังงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Big Tech กำลังทำข้อตกลงใหม่กับบริษัทพลังงาน - เพื่อจัดหาพลังงานให้กับ ศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล - หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ การเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล AI เข้ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยตรง ✅ แนวโน้มของการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI - ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ พลังงานจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล - การเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ช่วยให้ มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากขึ้น ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยี - อาจทำให้ บริษัทพลังงานต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการของ Big Tech - อาจช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/constellation-refocusing-on-grid-connected-ai-data-center-power-projects
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Constellation refocusing on grid-connected AI data center power projects
    NEW YORK (Reuters) -Constellation Energy is increasingly focused on potential data center projects that connect to the U.S. electrical grid in a pivot away from the company's previous emphasis on fueling the giant server warehouses directly from its power plants, company executives said on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Keio University ในญี่ปุ่น ได้พัฒนา เทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสงพลาสติก (POF) แบบหลายแกน ซึ่งสามารถ ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นและมีต้นทุนต่ำกว่าระบบแก้วนำแสงแบบเดิม โดยมีศักยภาพในการ ปรับปรุงประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล AI

    เทคโนโลยีใหม่นี้ใช้ กระบวนการขึ้นรูปแบบ extrusion molding ทำให้สามารถ ผลิตเส้นใยแก้วนำแสงพลาสติกแบบหลายแกนได้ในขั้นตอนเดียว ลดต้นทุนและความซับซ้อนลงถึง 10-100 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแก้วนำแสงแบบเดิม

    ✅ เส้นใยแก้วนำแสงพลาสติกแบบหลายแกนสามารถส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น
    - รองรับ ความเร็วสูงสุด 106.25Gbps ต่อแกน
    - ลด Bit Error Rate (BER) ลงถึง 100,000 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแก้วนำแสงแบบเดิม

    ✅ กระบวนการผลิตแบบ extrusion molding ลดต้นทุนและความซับซ้อน
    - สามารถ ผลิตเส้นใยแบบหลายแกนได้ในขั้นตอนเดียว
    - ลดต้นทุนลงถึง 10-100 เท่า

    ✅ การทดสอบพบว่าคุณภาพสัญญาณยังคงสูงแม้ส่งข้อมูลผ่านระยะทาง 30 เมตร
    - ใช้ VCSELs (Vertical-Cavity Surface-Emitting Lasers)
    - ไม่มีการเสื่อมสภาพของสัญญาณอย่างมีนัยสำคัญ

    ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล
    - อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับการประมวลผล AI ได้เร็วขึ้น
    - ลดปัญหาคอขวดในการเชื่อมต่อระหว่าง GPU และตัวเร่งการประมวลผล

    https://www.techradar.com/pro/glass-out-plastic-in-new-fiber-optic-technology-set-to-be-deployed-in-ai-data-centers-is-both-cheaper-and-faster
    นักวิจัยจาก Keio University ในญี่ปุ่น ได้พัฒนา เทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสงพลาสติก (POF) แบบหลายแกน ซึ่งสามารถ ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นและมีต้นทุนต่ำกว่าระบบแก้วนำแสงแบบเดิม โดยมีศักยภาพในการ ปรับปรุงประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล AI เทคโนโลยีใหม่นี้ใช้ กระบวนการขึ้นรูปแบบ extrusion molding ทำให้สามารถ ผลิตเส้นใยแก้วนำแสงพลาสติกแบบหลายแกนได้ในขั้นตอนเดียว ลดต้นทุนและความซับซ้อนลงถึง 10-100 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแก้วนำแสงแบบเดิม ✅ เส้นใยแก้วนำแสงพลาสติกแบบหลายแกนสามารถส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น - รองรับ ความเร็วสูงสุด 106.25Gbps ต่อแกน - ลด Bit Error Rate (BER) ลงถึง 100,000 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแก้วนำแสงแบบเดิม ✅ กระบวนการผลิตแบบ extrusion molding ลดต้นทุนและความซับซ้อน - สามารถ ผลิตเส้นใยแบบหลายแกนได้ในขั้นตอนเดียว - ลดต้นทุนลงถึง 10-100 เท่า ✅ การทดสอบพบว่าคุณภาพสัญญาณยังคงสูงแม้ส่งข้อมูลผ่านระยะทาง 30 เมตร - ใช้ VCSELs (Vertical-Cavity Surface-Emitting Lasers) - ไม่มีการเสื่อมสภาพของสัญญาณอย่างมีนัยสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล - อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถรองรับการประมวลผล AI ได้เร็วขึ้น - ลดปัญหาคอขวดในการเชื่อมต่อระหว่าง GPU และตัวเร่งการประมวลผล https://www.techradar.com/pro/glass-out-plastic-in-new-fiber-optic-technology-set-to-be-deployed-in-ai-data-centers-is-both-cheaper-and-faster
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักดาราศาสตร์อาจค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Planet Nine ซึ่งเป็นดาวเคราะห์สมมุติที่อาจอยู่ในระบบสุริยะของเรา โดยใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียมอินฟราเรดสองดวง ที่เก็บรวบรวมมานานกว่า 23 ปี

    การศึกษานี้นำโดย Terry Long Phan จาก National Tsing Hua University ในไต้หวัน ซึ่งใช้ข้อมูลจาก NASA's Infrared Astronomical Satellite (IRAS) ในปี 1983 และ ดาวเทียม AKARI ของญี่ปุ่น (2006-2011) เพื่อค้นหาวัตถุที่อาจเคลื่อนที่ไปตามวงโคจรที่คาดการณ์ไว้ของ Planet Nine

    ✅ Planet Nine อาจเป็นดาวเคราะห์ขนาดเท่า Neptune ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์หลายร้อยเท่า
    - มีมวลมากกว่าโลกและอาจมีวงโคจรที่ยาวมาก
    - อาจเป็นสาเหตุของการจัดเรียงตัวผิดปกติของวัตถุใน Kuiper Belt

    ✅ การค้นพบนี้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมอินฟราเรดสองดวงที่เก็บรวบรวมมานานกว่า 23 ปี
    - IRAS (1983) และ AKARI (2006-2011)
    - นักวิจัยพบวัตถุที่เคลื่อนที่ไป 47.4 arcminutes ในช่วงเวลานี้

    ✅ การตรวจสอบเพิ่มเติมจำเป็นต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลัง
    - กล้อง Dark Energy Camera ในชิลีอาจช่วยยืนยันตำแหน่งของวัตถุ
    - หากได้รับการยืนยัน อาจเป็นการค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ในระบบสุริยะ

    ✅ ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของ Planet Nine
    - อาจถูกผลักออกจากระบบสุริยะชั้นในโดยแรงโน้มถ่วงของ Jupiter หรือ Saturn
    - หรืออาจเป็น ดาวเคราะห์เร่ร่อนที่ถูกจับเข้ามาในระบบสุริยะ

    https://www.techspot.com/news/107802-astronomers-spot-possible-planet-nine-data-spanning-23.html
    นักดาราศาสตร์อาจค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Planet Nine ซึ่งเป็นดาวเคราะห์สมมุติที่อาจอยู่ในระบบสุริยะของเรา โดยใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียมอินฟราเรดสองดวง ที่เก็บรวบรวมมานานกว่า 23 ปี การศึกษานี้นำโดย Terry Long Phan จาก National Tsing Hua University ในไต้หวัน ซึ่งใช้ข้อมูลจาก NASA's Infrared Astronomical Satellite (IRAS) ในปี 1983 และ ดาวเทียม AKARI ของญี่ปุ่น (2006-2011) เพื่อค้นหาวัตถุที่อาจเคลื่อนที่ไปตามวงโคจรที่คาดการณ์ไว้ของ Planet Nine ✅ Planet Nine อาจเป็นดาวเคราะห์ขนาดเท่า Neptune ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์หลายร้อยเท่า - มีมวลมากกว่าโลกและอาจมีวงโคจรที่ยาวมาก - อาจเป็นสาเหตุของการจัดเรียงตัวผิดปกติของวัตถุใน Kuiper Belt ✅ การค้นพบนี้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมอินฟราเรดสองดวงที่เก็บรวบรวมมานานกว่า 23 ปี - IRAS (1983) และ AKARI (2006-2011) - นักวิจัยพบวัตถุที่เคลื่อนที่ไป 47.4 arcminutes ในช่วงเวลานี้ ✅ การตรวจสอบเพิ่มเติมจำเป็นต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลัง - กล้อง Dark Energy Camera ในชิลีอาจช่วยยืนยันตำแหน่งของวัตถุ - หากได้รับการยืนยัน อาจเป็นการค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ในระบบสุริยะ ✅ ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของ Planet Nine - อาจถูกผลักออกจากระบบสุริยะชั้นในโดยแรงโน้มถ่วงของ Jupiter หรือ Saturn - หรืออาจเป็น ดาวเคราะห์เร่ร่อนที่ถูกจับเข้ามาในระบบสุริยะ https://www.techspot.com/news/107802-astronomers-spot-possible-planet-nine-data-spanning-23.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Astronomers spot possible Planet Nine in data spanning 23 years
    Astronomers have long speculated about an unseen planet lurking in the solar system's outer edge. This hypothetical world, dubbed Planet Nine, could explain the unusual clustering of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ เพื่อแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูล

    Schmidt ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Relativity Space ได้กล่าวใน การประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางแห่งอาจต้องใช้ พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า

    แนวคิดของ Schmidt คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้ จรวด Terran R ซึ่งเป็นจรวดขนส่งสินค้าหนักที่พัฒนาโดย Relativity Space

    ✅ Eric Schmidt ผลักดันแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    - ต้องการแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก AI
    - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล

    ✅ ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์
    - มากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า
    - คาดว่าภายในปี 2030 อาจต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 67 กิกะวัตต์

    ✅ Relativity Space พัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสำหรับโครงการนี้
    - ใช้ จรวด Terran R ซึ่งสามารถขนส่ง 33,500 กิโลกรัม ไปยังวงโคจรโลก
    - พัฒนาโดยใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน
    - อาจช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI
    - อาจเป็นแนวทางใหม่ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ

    https://www.techspot.com/news/107801-former-google-ceo-eric-schmidt-wants-put-data.html
    อดีต CEO ของ Google Eric Schmidt กำลังผลักดันแนวคิด การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ เพื่อแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูล Schmidt ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Relativity Space ได้กล่าวใน การประชุมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่า ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่กำลังใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางแห่งอาจต้องใช้ พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า แนวคิดของ Schmidt คือ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI โดยใช้ จรวด Terran R ซึ่งเป็นจรวดขนส่งสินค้าหนักที่พัฒนาโดย Relativity Space ✅ Eric Schmidt ผลักดันแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ - ต้องการแก้ปัญหาความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก AI - ใช้ พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล ✅ ศูนย์ข้อมูล AI อาจต้องใช้พลังงานถึง 10 กิกะวัตต์ - มากกว่ากำลังผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปถึง 10 เท่า - คาดว่าภายในปี 2030 อาจต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีก 67 กิกะวัตต์ ✅ Relativity Space พัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสำหรับโครงการนี้ - ใช้ จรวด Terran R ซึ่งสามารถขนส่ง 33,500 กิโลกรัม ไปยังวงโคจรโลก - พัฒนาโดยใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน - อาจช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI - อาจเป็นแนวทางใหม่ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ https://www.techspot.com/news/107801-former-google-ceo-eric-schmidt-wants-put-data.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Former Google CEO Eric Schmidt wants to put data centers in space
    In his new role as CEO of Relativity Space, Eric Schmidt appears to be exploring the idea of launching data centers into Earth's orbit. During a recent...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • Innodisk ได้เปิดตัว PCIe Gen5 SSD ที่มีความจุสูงสุด 128TB และความเร็วในการอ่านข้อมูล 14GBps โดยออกแบบมาเพื่อรองรับ AI, Big Data และการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร

    SSD รุ่นใหม่นี้รองรับ หลายรูปแบบ (U.2, EDSFF E1.S, E3.S และ E3.L) เพื่อให้สามารถใช้งานได้กับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ยังมี ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Secure Boot ที่ช่วยป้องกันการแก้ไขเฟิร์มแวร์โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ✅ SSD ความจุสูงสุด 128TB พร้อมความเร็วอ่าน 14GBps
    - ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI และ Big Data
    - ใช้ PCIe Gen5 x4 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ รองรับหลายรูปแบบเพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    - รองรับ U.2, EDSFF E1.S, E3.S และ E3.L
    - สามารถใช้งานได้กับ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

    ✅ ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
    - Secure Boot ตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของเฟิร์มแวร์
    - รองรับ NVMe-MI และ Multi-Namespace เพื่อการจัดการ SSD ที่มีประสิทธิภาพ

    ✅ ความเข้ากันได้กับ VMware และระบบเสมือนจริง
    - ช่วยให้สามารถ ปรับปรุงประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล
    - รองรับ การใช้งานแบบ Multi-Tiered Deployment

    https://www.techradar.com/pro/128tb-ssd-going-mainstream-as-innodisk-announces-its-gen5-flagship-solid-state-drive-with-14gbps-read-speeds
    Innodisk ได้เปิดตัว PCIe Gen5 SSD ที่มีความจุสูงสุด 128TB และความเร็วในการอ่านข้อมูล 14GBps โดยออกแบบมาเพื่อรองรับ AI, Big Data และการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร SSD รุ่นใหม่นี้รองรับ หลายรูปแบบ (U.2, EDSFF E1.S, E3.S และ E3.L) เพื่อให้สามารถใช้งานได้กับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ยังมี ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Secure Boot ที่ช่วยป้องกันการแก้ไขเฟิร์มแวร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ SSD ความจุสูงสุด 128TB พร้อมความเร็วอ่าน 14GBps - ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI และ Big Data - ใช้ PCIe Gen5 x4 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ รองรับหลายรูปแบบเพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งาน - รองรับ U.2, EDSFF E1.S, E3.S และ E3.L - สามารถใช้งานได้กับ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ✅ ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง - Secure Boot ตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของเฟิร์มแวร์ - รองรับ NVMe-MI และ Multi-Namespace เพื่อการจัดการ SSD ที่มีประสิทธิภาพ ✅ ความเข้ากันได้กับ VMware และระบบเสมือนจริง - ช่วยให้สามารถ ปรับปรุงประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล - รองรับ การใช้งานแบบ Multi-Tiered Deployment https://www.techradar.com/pro/128tb-ssd-going-mainstream-as-innodisk-announces-its-gen5-flagship-solid-state-drive-with-14gbps-read-speeds
    WWW.TECHRADAR.COM
    Innodisk rolls out PCIe Gen5 SSD series with massive capacity and blazing fast speeds
    The new data center drives are available in a choice of form factors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล
    รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand)

    ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน

    Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน)
    ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง

    ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ?
    -ทันโลก ทันเกม:
    ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร
    -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง:
    รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ
    -สร้างความคล่องตัว (Career Agility):
    เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต
    -แสดงความมุ่งมั่น:
    การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา

    มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential?
    การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ:
    -โปรไฟล์โดดเด่น:
    นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น:
    95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา
    -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ:
    97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing)

    ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ:
    นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี
    ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้!
    และ
    98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน
    -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน:
    นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน
    -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ:
    นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว

    ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ
    -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน:
    ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน
    -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า:
    เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
    -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ:
    ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง
    -สร้างความมั่นใจ:
    การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง
    -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่:
    อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้

    Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก
    ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก:
    -รักษาความสดใหม่:
    ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค
    -สร้างความแตกต่าง:
    ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร
    -ลงทุนในตัวเอง:
    เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว

    สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน
    ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน

    การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ

    www.10-xconsulting.com
    Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน) ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ? -ทันโลก ทันเกม: ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง: รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ -สร้างความคล่องตัว (Career Agility): เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต -แสดงความมุ่งมั่น: การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential? การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ: -โปรไฟล์โดดเด่น: นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น: 95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ: 97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing) ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ: นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้! และ 98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน: นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ: นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน: ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า: เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ: ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง -สร้างความมั่นใจ: การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่: อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้ Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก: -รักษาความสดใหม่: ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค -สร้างความแตกต่าง: ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร -ลงทุนในตัวเอง: เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ www.10-xconsulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging Choawalit Chotwattanaphong หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ Choawalit Chotwattanaphong https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging [1] หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ [1] https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts