• “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล”

    รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น

    ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

    และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม

    องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด

    สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report
    40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย
    27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา
    80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล

    ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว
    เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย
    แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส
    การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว

    ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล
    แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว
    การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

    กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ
    แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
    ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า
    การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย

    คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่
    ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน
    อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร
    การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด

    https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    💸 “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล” รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด ✅ สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report ➡️ 40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย ➡️ 27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว ➡️ เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย ➡️ แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส ➡️ การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว ✅ ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว ➡️ การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ✅ กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ ➡️ แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า ➡️ การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่ ⛔ ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน ⛔ อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร ⛔ การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Ransomware recovery perils: 40% of paying victims still lose their data
    Paying the ransom is no guarantee of a smooth or even successful recovery of data. But that isn’t even the only issue security leaders will face under fire. Preparation is key.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น

    Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel

    แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน

    Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง

    การปลดพนักงานของ Intel
    ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี
    20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด
    ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ
    โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก

    การปรับโครงสร้างองค์กร
    ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน
    มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน
    ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026
    ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging

    วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan
    สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น”
    ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์
    เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry
    เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    📉 Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง ✅ การปลดพนักงานของ Intel ➡️ ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี ➡️ 20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด ➡️ ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ ➡️ โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก ✅ การปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน ➡️ มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน ➡️ ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026 ➡️ ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging ✅ วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan ➡️ สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น” ➡️ ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์ ➡️ เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย” https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI Sidebar Spoofing: SquareX เตือนภัยส่วนขยายปลอมที่แอบอ้างเป็น Sidebar ของ AI Browser

    SquareX บริษัทด้านความปลอดภัยเบราว์เซอร์ ได้เปิดเผยการโจมตีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “AI Sidebar Spoofing” ซึ่งใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เป็นอันตรายในการปลอมแปลงหน้าต่าง Sidebar ของ AI browser เช่น Comet, Brave, Edge และ Firefox เพื่อหลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI จริง

    การโจมตีนี้อาศัยความไว้วางใจของผู้ใช้ที่มีต่อ AI browser ซึ่งมักใช้ Sidebar เป็นช่องทางหลักในการโต้ตอบกับ AI โดยผู้โจมตีจะสร้างส่วนขยายที่สามารถแสดง Sidebar ปลอมได้อย่างแนบเนียน เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำถามหรือขอคำแนะนำ Sidebar ปลอมจะตอบกลับด้วยคำแนะนำที่แฝงคำสั่งอันตราย เช่น ลิงก์ฟิชชิ่ง, คำสั่ง reverse shell หรือ OAuth phishing

    SquareX ยกตัวอย่างกรณีศึกษาหลายกรณี เช่น การหลอกให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ Binance ปลอมเพื่อขโมยคริปโต, การแนะนำเว็บไซต์แชร์ไฟล์ที่เป็น OAuth trap เพื่อเข้าถึง Gmail และ Google Drive, หรือการแนะนำคำสั่งติดตั้ง Homebrew ที่แฝง reverse shell เพื่อยึดเครื่องของเหยื่อ

    ที่น่ากังวลคือ ส่วนขยายเหล่านี้ใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไปในส่วนขยายยอดนิยม เช่น Grammarly หรือ password manager ทำให้ยากต่อการตรวจจับ และสามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทุกชนิดที่มี Sidebar AI โดยไม่จำกัดเฉพาะ AI browser

    ลักษณะของการโจมตี AI Sidebar Spoofing
    ใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ปลอมแปลง Sidebar ของ AI browser
    หลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI
    สามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทั่วไปที่มี Sidebar AI เช่น Edge, Brave, Firefox

    ตัวอย่างการโจมตี
    ลิงก์ฟิชชิ่งปลอมเป็น Binance เพื่อขโมยคริปโต
    OAuth phishing ผ่านเว็บไซต์แชร์ไฟล์ปลอม
    reverse shell แฝงในคำสั่งติดตั้ง Homebrew

    จุดอ่อนของระบบ
    ส่วนขยายใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไป ทำให้ยากต่อการตรวจจับ
    ไม่มีความแตกต่างด้านภาพหรือการทำงานระหว่าง Sidebar จริงกับ Sidebar ปลอม
    ส่วนขยายสามารถแฝงตัวและรอจังหวะที่เหมาะสมในการโจมตี

    การป้องกันจาก SquareX
    เสนอเครื่องมือ Browser Detection and Response (BDR)
    มีระบบตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมส่วนขยายแบบ runtime
    เสนอการตรวจสอบส่วนขยายทั้งองค์กรฟรี

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานเบราว์เซอร์ที่มี AI Sidebar
    อย่าติดตั้งส่วนขยายจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ
    อย่าทำตามคำแนะนำจาก Sidebar โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง
    ระวังคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระบบ, การติดตั้งโปรแกรม หรือการแชร์ข้อมูล

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ใช้เบราว์เซอร์ที่มีระบบตรวจสอบส่วนขยายแบบละเอียด
    ตรวจสอบสิทธิ์ของส่วนขยายก่อนติดตั้ง
    อัปเดตเบราว์เซอร์และส่วนขยายให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ

    https://securityonline.info/ai-sidebar-spoofing-attack-squarex-uncovers-malicious-extensions-that-impersonate-ai-browser-sidebars/
    🕵️‍♂️ AI Sidebar Spoofing: SquareX เตือนภัยส่วนขยายปลอมที่แอบอ้างเป็น Sidebar ของ AI Browser SquareX บริษัทด้านความปลอดภัยเบราว์เซอร์ ได้เปิดเผยการโจมตีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “AI Sidebar Spoofing” ซึ่งใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เป็นอันตรายในการปลอมแปลงหน้าต่าง Sidebar ของ AI browser เช่น Comet, Brave, Edge และ Firefox เพื่อหลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI จริง การโจมตีนี้อาศัยความไว้วางใจของผู้ใช้ที่มีต่อ AI browser ซึ่งมักใช้ Sidebar เป็นช่องทางหลักในการโต้ตอบกับ AI โดยผู้โจมตีจะสร้างส่วนขยายที่สามารถแสดง Sidebar ปลอมได้อย่างแนบเนียน เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำถามหรือขอคำแนะนำ Sidebar ปลอมจะตอบกลับด้วยคำแนะนำที่แฝงคำสั่งอันตราย เช่น ลิงก์ฟิชชิ่ง, คำสั่ง reverse shell หรือ OAuth phishing SquareX ยกตัวอย่างกรณีศึกษาหลายกรณี เช่น การหลอกให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ Binance ปลอมเพื่อขโมยคริปโต, การแนะนำเว็บไซต์แชร์ไฟล์ที่เป็น OAuth trap เพื่อเข้าถึง Gmail และ Google Drive, หรือการแนะนำคำสั่งติดตั้ง Homebrew ที่แฝง reverse shell เพื่อยึดเครื่องของเหยื่อ ที่น่ากังวลคือ ส่วนขยายเหล่านี้ใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไปในส่วนขยายยอดนิยม เช่น Grammarly หรือ password manager ทำให้ยากต่อการตรวจจับ และสามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทุกชนิดที่มี Sidebar AI โดยไม่จำกัดเฉพาะ AI browser ✅ ลักษณะของการโจมตี AI Sidebar Spoofing ➡️ ใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ปลอมแปลง Sidebar ของ AI browser ➡️ หลอกผู้ใช้ให้ทำตามคำสั่งที่เป็นอันตรายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นคำแนะนำจาก AI ➡️ สามารถทำงานได้บนเบราว์เซอร์ทั่วไปที่มี Sidebar AI เช่น Edge, Brave, Firefox ✅ ตัวอย่างการโจมตี ➡️ ลิงก์ฟิชชิ่งปลอมเป็น Binance เพื่อขโมยคริปโต ➡️ OAuth phishing ผ่านเว็บไซต์แชร์ไฟล์ปลอม ➡️ reverse shell แฝงในคำสั่งติดตั้ง Homebrew ✅ จุดอ่อนของระบบ ➡️ ส่วนขยายใช้สิทธิ์พื้นฐานที่พบได้ทั่วไป ทำให้ยากต่อการตรวจจับ ➡️ ไม่มีความแตกต่างด้านภาพหรือการทำงานระหว่าง Sidebar จริงกับ Sidebar ปลอม ➡️ ส่วนขยายสามารถแฝงตัวและรอจังหวะที่เหมาะสมในการโจมตี ✅ การป้องกันจาก SquareX ➡️ เสนอเครื่องมือ Browser Detection and Response (BDR) ➡️ มีระบบตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมส่วนขยายแบบ runtime ➡️ เสนอการตรวจสอบส่วนขยายทั้งองค์กรฟรี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานเบราว์เซอร์ที่มี AI Sidebar ⛔ อย่าติดตั้งส่วนขยายจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ ⛔ อย่าทำตามคำแนะนำจาก Sidebar โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง ⛔ ระวังคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระบบ, การติดตั้งโปรแกรม หรือการแชร์ข้อมูล ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ใช้เบราว์เซอร์ที่มีระบบตรวจสอบส่วนขยายแบบละเอียด ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์ของส่วนขยายก่อนติดตั้ง ⛔ อัปเดตเบราว์เซอร์และส่วนขยายให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ https://securityonline.info/ai-sidebar-spoofing-attack-squarex-uncovers-malicious-extensions-that-impersonate-ai-browser-sidebars/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!”

    ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

    เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี

    ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface
    หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application
    รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน
    ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch
    แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี

    ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM
    ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์
    วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ
    เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack
    บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook

    เครื่องมือเด่นที่แนะนำ
    Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA
    CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration
    CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง
    Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม
    JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง
    Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack
    Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก
    SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี
    Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง
    การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด
    การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย
    การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    🛡️ “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!” ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี ✅ ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface ➡️ หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application ➡️ รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch ➡️ แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี ✅ ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM ➡️ ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์ ➡️ วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ ➡️ เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack ➡️ บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook ✅ เครื่องมือเด่นที่แนะนำ ➡️ Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA ➡️ CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration ➡️ CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง ➡️ Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม ➡️ JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง ➡️ Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack ➡️ Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก ➡️ SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี ➡️ Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง ⛔ การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด ⛔ การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย ⛔ การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CAASM and EASM: Top 12 attack surface discovery and management tools
    The main goal of cyber asset attack surface management (CAASM) and external attack surface management (EASM) tools is to protect information about a company’s security measures from attackers. Here are 9 tools to consider when deciding what is best for the business.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Socket แฉแพ็กเกจ NuGet ปลอม ‘Netherеum.All’ – ขโมยคีย์กระเป๋าคริปโตผ่าน C2 ธีม Solana!”

    ทีมนักวิจัยจาก Socket พบแพ็กเกจอันตรายบน NuGet ที่ชื่อว่า Netherеum.All ซึ่งแอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET โดยใช้เทคนิค homoglyph typosquatting คือเปลี่ยนตัวอักษร “e” ให้เป็นตัวอักษรซีริลลิกที่หน้าตาเหมือนกัน (U+0435) เพื่อหลอกสายตานักพัฒนา

    แพ็กเกจนี้ถูกเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “nethereumgroup” และมีโครงสร้างเหมือนของจริงทุกประการ ทั้ง namespace, metadata และคำสั่งติดตั้ง ทำให้แม้แต่นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้

    เมื่อถูกติดตั้ง แพ็กเกจจะรันฟังก์ชันชื่อว่า Shuffle() ซึ่งใช้เทคนิค XOR masking เพื่อถอดรหัส URL สำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ C2 ที่ชื่อว่า solananetworkinstance[.]info/api/gads โดยข้อมูลที่ส่งออกไปมีชื่อฟิลด์ว่า message ซึ่งอาจเป็น mnemonic, private key, keystore JSON หรือแม้แต่ transaction ที่เซ็นแล้ว

    Socket ระบุว่าแพ็กเกจนี้ใช้เทคนิค download inflation เพื่อดันอันดับใน NuGet โดยสร้างยอดดาวน์โหลดปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้แพ็กเกจขึ้นอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา

    นอกจากนี้ยังพบว่าแพ็กเกจนี้มีความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอันตรายก่อนหน้าอย่าง NethereumNet ซึ่งใช้โค้ด exfiltration แบบเดียวกันและเชื่อมต่อกับ C2 เดียวกัน โดยเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “NethereumCsharp”

    Socket ยืนยันว่าแพ็กเกจเหล่านี้มี backdoor ฝังอยู่ในฟังก์ชันที่ดูเหมือน transaction helper ของจริง ทำให้การขโมยข้อมูลเกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ

    รายละเอียดของแพ็กเกจปลอม
    ชื่อแพ็กเกจคือ Netherеum.All (ใช้ตัวอักษรซีริลลิก)
    แอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET
    เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ “nethereumgroup”
    ใช้เทคนิค homoglyph typosquatting และ download inflation
    โครงสร้างและ metadata เหมือนของจริงทุกประการ

    พฤติกรรมการขโมยข้อมูล
    รันฟังก์ชัน Shuffle() ที่ใช้ XOR mask ถอดรหัส URL
    ส่งข้อมูลไปยัง C2 solananetworkinstance[.]info/api/gads
    ฟิลด์ message อาจบรรจุ mnemonic, private key หรือ keystore
    ฝังอยู่ใน transaction helper ที่ดูเหมือนของจริง
    ทำงานเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ

    ความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอื่น
    มีความคล้ายกับแพ็กเกจ NethereumNet ที่ถูกลบไปแล้ว
    ใช้โค้ด exfiltration และ C2 เดียวกัน
    เผยแพร่โดยผู้ใช้ “NethereumCsharp”
    เป็นแคมเปญแบบ coordinated supply chain attack

    https://securityonline.info/socket-uncovers-malicious-nuget-typosquat-nether%d0%b5um-all-exfiltrating-wallet-keys-via-solana-themed-c2/
    🎯 “Socket แฉแพ็กเกจ NuGet ปลอม ‘Netherеum.All’ – ขโมยคีย์กระเป๋าคริปโตผ่าน C2 ธีม Solana!” ทีมนักวิจัยจาก Socket พบแพ็กเกจอันตรายบน NuGet ที่ชื่อว่า Netherеum.All ซึ่งแอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET โดยใช้เทคนิค homoglyph typosquatting คือเปลี่ยนตัวอักษร “e” ให้เป็นตัวอักษรซีริลลิกที่หน้าตาเหมือนกัน (U+0435) เพื่อหลอกสายตานักพัฒนา แพ็กเกจนี้ถูกเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “nethereumgroup” และมีโครงสร้างเหมือนของจริงทุกประการ ทั้ง namespace, metadata และคำสั่งติดตั้ง ทำให้แม้แต่นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ เมื่อถูกติดตั้ง แพ็กเกจจะรันฟังก์ชันชื่อว่า Shuffle() ซึ่งใช้เทคนิค XOR masking เพื่อถอดรหัส URL สำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ C2 ที่ชื่อว่า solananetworkinstance[.]info/api/gads โดยข้อมูลที่ส่งออกไปมีชื่อฟิลด์ว่า message ซึ่งอาจเป็น mnemonic, private key, keystore JSON หรือแม้แต่ transaction ที่เซ็นแล้ว Socket ระบุว่าแพ็กเกจนี้ใช้เทคนิค download inflation เพื่อดันอันดับใน NuGet โดยสร้างยอดดาวน์โหลดปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้แพ็กเกจขึ้นอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา นอกจากนี้ยังพบว่าแพ็กเกจนี้มีความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอันตรายก่อนหน้าอย่าง NethereumNet ซึ่งใช้โค้ด exfiltration แบบเดียวกันและเชื่อมต่อกับ C2 เดียวกัน โดยเผยแพร่ภายใต้ชื่อผู้ใช้ “NethereumCsharp” Socket ยืนยันว่าแพ็กเกจเหล่านี้มี backdoor ฝังอยู่ในฟังก์ชันที่ดูเหมือน transaction helper ของจริง ทำให้การขโมยข้อมูลเกิดขึ้นแบบเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ ✅ รายละเอียดของแพ็กเกจปลอม ➡️ ชื่อแพ็กเกจคือ Netherеum.All (ใช้ตัวอักษรซีริลลิก) ➡️ แอบอ้างเป็นไลบรารี Nethereum ของ .NET ➡️ เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ “nethereumgroup” ➡️ ใช้เทคนิค homoglyph typosquatting และ download inflation ➡️ โครงสร้างและ metadata เหมือนของจริงทุกประการ ✅ พฤติกรรมการขโมยข้อมูล ➡️ รันฟังก์ชัน Shuffle() ที่ใช้ XOR mask ถอดรหัส URL ➡️ ส่งข้อมูลไปยัง C2 solananetworkinstance[.]info/api/gads ➡️ ฟิลด์ message อาจบรรจุ mnemonic, private key หรือ keystore ➡️ ฝังอยู่ใน transaction helper ที่ดูเหมือนของจริง ➡️ ทำงานเงียบ ๆ ระหว่างการใช้งานปกติ ✅ ความเชื่อมโยงกับแพ็กเกจอื่น ➡️ มีความคล้ายกับแพ็กเกจ NethereumNet ที่ถูกลบไปแล้ว ➡️ ใช้โค้ด exfiltration และ C2 เดียวกัน ➡️ เผยแพร่โดยผู้ใช้ “NethereumCsharp” ➡️ เป็นแคมเปญแบบ coordinated supply chain attack https://securityonline.info/socket-uncovers-malicious-nuget-typosquat-nether%d0%b5um-all-exfiltrating-wallet-keys-via-solana-themed-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    Socket Uncovers Malicious NuGet Typosquat “Netherеum.All” Exfiltrating Wallet Keys via Solana-Themed C2
    A NuGet typosquat named Netherеum.All used a Cyrillic homoglyph to fool 11M+ downloads. The malicious package injected an XOR-decoded backdoor to steal crypto wallet and private key data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft รีบปล่อยแพตช์ฉุกเฉิน KB5070773 หลังอัปเดตพัง WinRE – คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้ไม่ได้ในโหมดกู้คืน”

    Microsoft ต้องรีบออกแพตช์ฉุกเฉิน KB5070773 เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากอัปเดต KB5066835 ซึ่งปล่อยออกมาเมื่อ 14 ตุลาคม 2025 โดยอัปเดตนั้นทำให้ระบบ Windows Recovery Environment (WinRE) บน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 ไม่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดและเมาส์แบบ USB ได้เลย

    ปัญหานี้ร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะ WinRE คือเครื่องมือหลักในการกู้คืนระบบ เช่น Startup Repair หรือ Reset This PC ถ้าอุปกรณ์อินพุตใช้ไม่ได้ ก็เท่ากับว่าผู้ใช้ไม่สามารถกู้ระบบได้เลย โดยเฉพาะในกรณีที่เครื่องบูตไม่ขึ้น

    สำหรับผู้ที่ยังสามารถเข้าสู่ระบบ Windows ได้ แค่ติดตั้งแพตช์ KB5070773 ผ่าน Windows Update แล้วรีบูตเครื่องก็จะใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้าระบบเข้าไม่ได้เลย Microsoft แนะนำให้ใช้หน้าจอสัมผัส, พอร์ต PS/2 (ถ้ามี), หรือ USB recovery drive แทน

    นี่เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่เดือนที่ WinRE มีปัญหาใหญ่ เพราะในเดือนสิงหาคมก็เคยมีอัปเดตด้านความปลอดภัยที่ทำให้ฟีเจอร์ Reset This PC ใช้งานไม่ได้เช่นกัน ซึ่งทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงคุณภาพของการทดสอบก่อนปล่อยอัปเดตของ Microsoft

    รายละเอียดแพตช์ KB5070773
    แก้ปัญหา USB keyboard และ mouse ใช้ไม่ได้ใน WinRE
    ส่งผลกระทบกับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2
    ปัญหาเกิดจากอัปเดต KB5066835 เมื่อ 14 ตุลาคม 2025
    แพตช์ใหม่สามารถติดตั้งผ่าน Windows Update ได้ทันที
    แก้ไขรวมอยู่ใน rollup ถัดไปสำหรับผู้ที่พลาดแพตช์ฉุกเฉิน

    ผลกระทบและคำแนะนำ
    ผู้ใช้ที่เข้า Windows ได้ควรติดตั้งแพตช์ทันที
    ผู้ที่ติดอยู่ใน recovery loop ต้องใช้ touchscreen, PS/2 หรือ USB recovery drive
    องค์กรสามารถใช้ Preboot Execution Environment (PXE) ผ่าน Configuration Manager

    บริบทและความน่ากังวล
    เป็นปัญหา WinRE ครั้งที่สองในรอบ 2 เดือน
    ครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมทำให้ Reset This PC ใช้งานไม่ได้
    สะท้อนความเปราะบางของระบบอัปเดต Windows
    Microsoft ยังไม่อธิบายว่าบั๊กนี้หลุดจากการทดสอบได้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-rushes-out-emergency-windows-11-patch
    🛠️ “Microsoft รีบปล่อยแพตช์ฉุกเฉิน KB5070773 หลังอัปเดตพัง WinRE – คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้ไม่ได้ในโหมดกู้คืน” Microsoft ต้องรีบออกแพตช์ฉุกเฉิน KB5070773 เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากอัปเดต KB5066835 ซึ่งปล่อยออกมาเมื่อ 14 ตุลาคม 2025 โดยอัปเดตนั้นทำให้ระบบ Windows Recovery Environment (WinRE) บน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 ไม่สามารถใช้งานคีย์บอร์ดและเมาส์แบบ USB ได้เลย ปัญหานี้ร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะ WinRE คือเครื่องมือหลักในการกู้คืนระบบ เช่น Startup Repair หรือ Reset This PC ถ้าอุปกรณ์อินพุตใช้ไม่ได้ ก็เท่ากับว่าผู้ใช้ไม่สามารถกู้ระบบได้เลย โดยเฉพาะในกรณีที่เครื่องบูตไม่ขึ้น สำหรับผู้ที่ยังสามารถเข้าสู่ระบบ Windows ได้ แค่ติดตั้งแพตช์ KB5070773 ผ่าน Windows Update แล้วรีบูตเครื่องก็จะใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้าระบบเข้าไม่ได้เลย Microsoft แนะนำให้ใช้หน้าจอสัมผัส, พอร์ต PS/2 (ถ้ามี), หรือ USB recovery drive แทน นี่เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่เดือนที่ WinRE มีปัญหาใหญ่ เพราะในเดือนสิงหาคมก็เคยมีอัปเดตด้านความปลอดภัยที่ทำให้ฟีเจอร์ Reset This PC ใช้งานไม่ได้เช่นกัน ซึ่งทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงคุณภาพของการทดสอบก่อนปล่อยอัปเดตของ Microsoft ✅ รายละเอียดแพตช์ KB5070773 ➡️ แก้ปัญหา USB keyboard และ mouse ใช้ไม่ได้ใน WinRE ➡️ ส่งผลกระทบกับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 ➡️ ปัญหาเกิดจากอัปเดต KB5066835 เมื่อ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ แพตช์ใหม่สามารถติดตั้งผ่าน Windows Update ได้ทันที ➡️ แก้ไขรวมอยู่ใน rollup ถัดไปสำหรับผู้ที่พลาดแพตช์ฉุกเฉิน ✅ ผลกระทบและคำแนะนำ ➡️ ผู้ใช้ที่เข้า Windows ได้ควรติดตั้งแพตช์ทันที ➡️ ผู้ที่ติดอยู่ใน recovery loop ต้องใช้ touchscreen, PS/2 หรือ USB recovery drive ➡️ องค์กรสามารถใช้ Preboot Execution Environment (PXE) ผ่าน Configuration Manager ✅ บริบทและความน่ากังวล ➡️ เป็นปัญหา WinRE ครั้งที่สองในรอบ 2 เดือน ➡️ ครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมทำให้ Reset This PC ใช้งานไม่ได้ ➡️ สะท้อนความเปราะบางของระบบอัปเดต Windows ➡️ Microsoft ยังไม่อธิบายว่าบั๊กนี้หลุดจากการทดสอบได้อย่างไร https://www.tomshardware.com/software/windows/microsoft-rushes-out-emergency-windows-11-patch
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • โชคดีละกัลล !!!

    “Warner Bros. Discovery ประกาศขายกิจการ! เปิดรับข้อเสนอจากหลายฝ่าย – สัญญาณเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการบันเทิง”

    Warner Bros. Discovery (WBD) บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ที่รวมเอา Warner Bros. กับ Discovery Global เข้าด้วยกันเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า “พร้อมขาย” และกำลังพิจารณาข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่แสดงความสนใจเข้าซื้อกิจการ

    การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระบวนการแยกตัวระหว่าง Warner Bros. และ Discovery Global ซึ่งเดิมทีวางแผนจะเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2026 แต่ด้วยความสนใจจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่คาดคิด ทำให้บอร์ดบริหารของ WBD เปิดรับทุกทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการขายทั้งบริษัท หรือแยกขายเฉพาะบางส่วน เช่น Warner Bros. Games

    David Zaslav ซีอีโอของ WBD ยืนยันว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และเพื่อให้บริษัทสามารถปรับตัวในยุคสื่อดิจิทัลได้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายในการพัฒนา HBO Max ให้เติบโตทั่วโลก และฟื้นฟูสตูดิโอให้กลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอีกครั้ง

    แต่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวนี้ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการบริหารงานของ Zaslav ที่ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายอย่าง เช่น การเน้นเกมแบบ live service มากเกินไป การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก และการปิดสตูดิโอเกมเก่าแก่ แม้จะมีเกมอย่าง Hogwarts Legacy ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็ตาม

    จากมุมมองภายนอก การขายกิจการครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้บริษัทอื่นเข้ามาปรับโครงสร้างใหม่ เช่น Sony ที่เคยมีข่าวลือว่าสนใจซื้อกิจการบางส่วนของ WBD โดยเฉพาะในส่วนของสตรีมมิ่งและสตูดิโอ

    การประกาศขายกิจการของ WBD
    WBD ประกาศเปิดรับข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่สนใจเข้าซื้อกิจการ
    เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการแยก Warner Bros. และ Discovery Global
    พิจารณาทั้งการขายทั้งบริษัทหรือแยกขายบางส่วน
    มีแผนแยกบริษัทให้เสร็จภายในกลางปี 2026
    มีแนวคิดให้ Warner Bros. ควบรวมใหม่ และแยก Discovery Global ออกไป
    เป้าหมายเพื่อปรับตัวในยุคสื่อดิจิทัล และขยาย HBO Max
    ซีอีโอ David Zaslav ยืนยันว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

    ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม
    มีข่าวลือว่า Sony สนใจซื้อกิจการบางส่วนของ WBD
    Hogwarts Legacy ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเชิงพาณิชย์
    ตลาดเกม triple-A มีต้นทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข้อวิจารณ์และคำเตือน
    การบริหารของ Zaslav ถูกวิจารณ์ว่าเน้น live service มากเกินไป
    มีการเลิกจ้างพนักงานและปิดสตูดิโอเกมเก่าแก่
    แม้มีเกมขายดี แต่ยังถูกมองว่า “ไม่พอ” ในสายตาผู้บริหาร
    การจ่ายเงินเดือนผู้บริหารสูงเกินไป อาจกระทบงบพัฒนาเกม
    การขายกิจการอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการบันเทิง

    https://wccftech.com/warner-bros-discovery-is-officially-up-for-sale/
    โชคดีละกัลล !!! 🎬 “Warner Bros. Discovery ประกาศขายกิจการ! เปิดรับข้อเสนอจากหลายฝ่าย – สัญญาณเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการบันเทิง” Warner Bros. Discovery (WBD) บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ที่รวมเอา Warner Bros. กับ Discovery Global เข้าด้วยกันเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า “พร้อมขาย” และกำลังพิจารณาข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่แสดงความสนใจเข้าซื้อกิจการ การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระบวนการแยกตัวระหว่าง Warner Bros. และ Discovery Global ซึ่งเดิมทีวางแผนจะเสร็จสิ้นภายในกลางปี 2026 แต่ด้วยความสนใจจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่คาดคิด ทำให้บอร์ดบริหารของ WBD เปิดรับทุกทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการขายทั้งบริษัท หรือแยกขายเฉพาะบางส่วน เช่น Warner Bros. Games David Zaslav ซีอีโอของ WBD ยืนยันว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และเพื่อให้บริษัทสามารถปรับตัวในยุคสื่อดิจิทัลได้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายในการพัฒนา HBO Max ให้เติบโตทั่วโลก และฟื้นฟูสตูดิโอให้กลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอีกครั้ง แต่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวนี้ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการบริหารงานของ Zaslav ที่ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายอย่าง เช่น การเน้นเกมแบบ live service มากเกินไป การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก และการปิดสตูดิโอเกมเก่าแก่ แม้จะมีเกมอย่าง Hogwarts Legacy ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็ตาม จากมุมมองภายนอก การขายกิจการครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้บริษัทอื่นเข้ามาปรับโครงสร้างใหม่ เช่น Sony ที่เคยมีข่าวลือว่าสนใจซื้อกิจการบางส่วนของ WBD โดยเฉพาะในส่วนของสตรีมมิ่งและสตูดิโอ ✅ การประกาศขายกิจการของ WBD ➡️ WBD ประกาศเปิดรับข้อเสนอจากหลายฝ่ายที่สนใจเข้าซื้อกิจการ ➡️ เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการแยก Warner Bros. และ Discovery Global ➡️ พิจารณาทั้งการขายทั้งบริษัทหรือแยกขายบางส่วน ➡️ มีแผนแยกบริษัทให้เสร็จภายในกลางปี 2026 ➡️ มีแนวคิดให้ Warner Bros. ควบรวมใหม่ และแยก Discovery Global ออกไป ➡️ เป้าหมายเพื่อปรับตัวในยุคสื่อดิจิทัล และขยาย HBO Max ➡️ ซีอีโอ David Zaslav ยืนยันว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ✅ ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม ➡️ มีข่าวลือว่า Sony สนใจซื้อกิจการบางส่วนของ WBD ➡️ Hogwarts Legacy ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเชิงพาณิชย์ ➡️ ตลาดเกม triple-A มีต้นทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ‼️ ข้อวิจารณ์และคำเตือน ⛔ การบริหารของ Zaslav ถูกวิจารณ์ว่าเน้น live service มากเกินไป ⛔ มีการเลิกจ้างพนักงานและปิดสตูดิโอเกมเก่าแก่ แม้มีเกมขายดี แต่ยังถูกมองว่า “ไม่พอ” ในสายตาผู้บริหาร ⛔ การจ่ายเงินเดือนผู้บริหารสูงเกินไป อาจกระทบงบพัฒนาเกม ⛔ การขายกิจการอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการบันเทิง https://wccftech.com/warner-bros-discovery-is-officially-up-for-sale/
    WCCFTECH.COM
    Warner Bros. Discovery Is Officially On Sale, Amidst the Ongoing Split Between WB and Discovery Global
    Warner Bros. Discovery has publicly declared that it is up for sale, and that it is reviewing interest "from multiple parties."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์

    Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์

    G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที

    ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell
    มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย
    มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

    รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM
    รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB
    เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent

    เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง
    เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop)

    รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก
    เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks

    ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้
    สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim
    ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง

    รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM
    มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว

    เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery
    บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment

    https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    ☁️ “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์ Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที ✅ ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell ➡️ มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย ➡️ มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า ✅ รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM ➡️ รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB ➡️ เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent ✅ เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง ➡️ เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop) ✅ รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก ➡️ เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks ✅ ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้ ➡️ สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim ➡️ ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง ✅ รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM ➡️ มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว ✅ เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery ➡️ บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Google Cloud G4 VMs With NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell GPU Now Generally Available
    NVIDIA and Google Cloud are expanding access to accelerated computing to transform the full spectrum of enterprise workloads, from visual computing to agentic and physical AI. Google Cloud today announced the general availability of G4 VMs, powered by NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPU...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อัปเดต Windows 11 เดือนตุลาคมทำพัง: คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้ไม่ได้ในโหมด Recovery"

    การอัปเดตล่าสุดของ Windows 11 (KB5066835) ในเดือนตุลาคม 2025 ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเข้าสู่ Windows Recovery Environment (RE) เพื่อแก้ไขปัญหาการบูตเครื่องหรือรีเซ็ตระบบ เพราะคีย์บอร์ดและเมาส์แบบ USB จะไม่สามารถใช้งานได้เลยในโหมดนี้

    Microsoft ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว และกำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึง RE เพื่อซ่อมแซมระบบต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด

    ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 แบบเก่าไม่ได้รับผลกระทบจากบั๊กนี้ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระบบในโหมด Recovery

    ปัญหาที่เกิดจากอัปเดต KB5066835
    คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้งานไม่ได้ใน Windows Recovery Environment
    อุปกรณ์ยังทำงานได้ตามปกติในระบบ Windows ปกติ
    ส่งผลกระทบต่อการซ่อมแซมระบบเมื่อเครื่องบูตไม่ขึ้น

    การตอบสนองจาก Microsoft
    ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว
    กำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้
    ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนในการปล่อยอัปเดต

    ทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ใช้
    อุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 ยังสามารถใช้งานได้ใน RE
    ผู้ใช้ที่มีคีย์บอร์ดหรือเมาส์ PS/2 สามารถใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    หากเครื่องบูตไม่ขึ้นและต้องใช้ RE อาจไม่สามารถควบคุมระบบได้เลย
    ผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ PS/2 อาจต้องรอแพตช์หรือใช้วิธีซ่อมแซมอื่น
    ส่งผลกระทบต่อ IT และผู้ดูแลระบบที่ต้องใช้ RE ในการแก้ไขปัญหา

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของ Windows Recovery Environment
    เป็นเครื่องมือสำคัญในการบูตเข้าสู่ Safe Mode, รีเซ็ตระบบ, หรือแก้ไขปัญหา boot
    ใช้สำหรับการวินิจฉัยและซ่อมแซมระบบเมื่อ Windows ปกติไม่สามารถใช้งานได้

    บทเรียนจากบั๊กนี้
    การอัปเดตระบบควรมีการทดสอบในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    ผู้ใช้ควรมีอุปกรณ์สำรองหรือวิธีเข้าถึง RE ที่ไม่พึ่งพา USB

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11s-october-update-just-broke-the-windows-recovery-environment-usb-keyboards-and-mice-unusable-in-windows-re-after-latest-bug-hits
    🪲 "อัปเดต Windows 11 เดือนตุลาคมทำพัง: คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้ไม่ได้ในโหมด Recovery" การอัปเดตล่าสุดของ Windows 11 (KB5066835) ในเดือนตุลาคม 2025 ได้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเข้าสู่ Windows Recovery Environment (RE) เพื่อแก้ไขปัญหาการบูตเครื่องหรือรีเซ็ตระบบ เพราะคีย์บอร์ดและเมาส์แบบ USB จะไม่สามารถใช้งานได้เลยในโหมดนี้ Microsoft ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว และกำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึง RE เพื่อซ่อมแซมระบบต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 แบบเก่าไม่ได้รับผลกระทบจากบั๊กนี้ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระบบในโหมด Recovery ✅ ปัญหาที่เกิดจากอัปเดต KB5066835 ➡️ คีย์บอร์ดและเมาส์ USB ใช้งานไม่ได้ใน Windows Recovery Environment ➡️ อุปกรณ์ยังทำงานได้ตามปกติในระบบ Windows ปกติ ➡️ ส่งผลกระทบต่อการซ่อมแซมระบบเมื่อเครื่องบูตไม่ขึ้น ✅ การตอบสนองจาก Microsoft ➡️ ยืนยันว่ารับทราบปัญหาแล้ว ➡️ กำลังเตรียมออกแพตช์แก้ไขในเร็ว ๆ นี้ ➡️ ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนในการปล่อยอัปเดต ✅ ทางเลือกชั่วคราวสำหรับผู้ใช้ ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้พอร์ต PS/2 ยังสามารถใช้งานได้ใน RE ➡️ ผู้ใช้ที่มีคีย์บอร์ดหรือเมาส์ PS/2 สามารถใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ หากเครื่องบูตไม่ขึ้นและต้องใช้ RE อาจไม่สามารถควบคุมระบบได้เลย ⛔ ผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ PS/2 อาจต้องรอแพตช์หรือใช้วิธีซ่อมแซมอื่น ⛔ ส่งผลกระทบต่อ IT และผู้ดูแลระบบที่ต้องใช้ RE ในการแก้ไขปัญหา 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของ Windows Recovery Environment ➡️ เป็นเครื่องมือสำคัญในการบูตเข้าสู่ Safe Mode, รีเซ็ตระบบ, หรือแก้ไขปัญหา boot ➡️ ใช้สำหรับการวินิจฉัยและซ่อมแซมระบบเมื่อ Windows ปกติไม่สามารถใช้งานได้ ✅ บทเรียนจากบั๊กนี้ ➡️ การอัปเดตระบบควรมีการทดสอบในสถานการณ์ฉุกเฉิน ➡️ ผู้ใช้ควรมีอุปกรณ์สำรองหรือวิธีเข้าถึง RE ที่ไม่พึ่งพา USB https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11s-october-update-just-broke-the-windows-recovery-environment-usb-keyboards-and-mice-unusable-in-windows-re-after-latest-bug-hits
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • "BitLocker ล็อกข้อมูล 3TB โดยไม่แจ้งเตือน: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นกับดักข้อมูล"

    BitLocker ระบบเข้ารหัสดิสก์ของ Microsoft ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 กำลังตกเป็นประเด็นร้อน หลังมีผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit รายงานว่า Backup Drive ขนาด 3TB ถูกล็อกโดยไม่รู้ตัวหลังจากติดตั้ง Windows ใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวิธีถอดรหัสกลับมาได้เลย

    ผู้ใช้รายนี้มีดิสก์ทั้งหมด 6 ลูก โดย 2 ลูกเป็น Backup Drive ที่ไม่ได้ตั้งค่า BitLocker ด้วยตัวเอง แต่หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ระบบกลับเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติ และขอ Recovery Key ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับหรือบันทึกไว้

    แม้จะพยายามใช้ซอฟต์แวร์กู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่สามารถเจาะระบบเข้ารหัสของ BitLocker ได้ เพราะระบบนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นหนา

    การทำงานของ BitLocker ใน Windows 11
    เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft
    เข้ารหัสดิสก์โดยไม่แจ้งเตือนผู้ใช้
    Recovery Key จะถูกเก็บไว้ในบัญชี Microsoft หากระบบบันทึกไว้

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่และพบว่า Backup Drive ถูกเข้ารหัส
    ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล 3TB ได้
    Recovery Key สำหรับ Backup Drive ไม่ปรากฏในบัญชี Microsoft

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 11
    BitLocker อาจเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติแม้ผู้ใช้ไม่ตั้งใจ
    หากไม่มี Recovery Key จะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้
    การติดตั้ง Windows ใหม่อาจทำให้ดิสก์อื่นถูกเข้ารหัสโดยไม่รู้ตัว

    ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน
    ตรวจสอบสถานะ BitLocker ก่อนติดตั้งหรือรีเซ็ต Windows
    บันทึก Recovery Key ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ
    ปิด BitLocker สำหรับดิสก์ที่ไม่ต้องการเข้ารหัส
    สำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบโดยตรง

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ความแตกต่างระหว่าง BitLocker แบบ Software และ Hardware
    แบบ Software ใช้ CPU ในการเข้ารหัส ทำให้ลดประสิทธิภาพการอ่าน/เขียน
    แบบ Hardware (OPAL) มีประสิทธิภาพสูงกว่าและไม่เปิดใช้งานอัตโนมัติ

    วิธีตรวจสอบสถานะ BitLocker
    ใช้คำสั่ง manage-bde -status ใน Command Prompt
    ตรวจสอบใน Control Panel > System and Security > BitLocker Drive Encryption

    https://www.tomshardware.com/software/windows/bitlocker-reportedly-auto-locks-users-backup-drives-causing-loss-of-3tb-of-valuable-data-windows-automatic-disk-encryption-can-permanently-lock-your-drives
    🛡️ "BitLocker ล็อกข้อมูล 3TB โดยไม่แจ้งเตือน: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นกับดักข้อมูล" BitLocker ระบบเข้ารหัสดิสก์ของ Microsoft ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 กำลังตกเป็นประเด็นร้อน หลังมีผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit รายงานว่า Backup Drive ขนาด 3TB ถูกล็อกโดยไม่รู้ตัวหลังจากติดตั้ง Windows ใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวิธีถอดรหัสกลับมาได้เลย ผู้ใช้รายนี้มีดิสก์ทั้งหมด 6 ลูก โดย 2 ลูกเป็น Backup Drive ที่ไม่ได้ตั้งค่า BitLocker ด้วยตัวเอง แต่หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ระบบกลับเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติ และขอ Recovery Key ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับหรือบันทึกไว้ แม้จะพยายามใช้ซอฟต์แวร์กู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่สามารถเจาะระบบเข้ารหัสของ BitLocker ได้ เพราะระบบนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นหนา ✅ การทำงานของ BitLocker ใน Windows 11 ➡️ เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ➡️ เข้ารหัสดิสก์โดยไม่แจ้งเตือนผู้ใช้ ➡️ Recovery Key จะถูกเก็บไว้ในบัญชี Microsoft หากระบบบันทึกไว้ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ ผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่และพบว่า Backup Drive ถูกเข้ารหัส ➡️ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล 3TB ได้ ➡️ Recovery Key สำหรับ Backup Drive ไม่ปรากฏในบัญชี Microsoft ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 11 ⛔ BitLocker อาจเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติแม้ผู้ใช้ไม่ตั้งใจ ⛔ หากไม่มี Recovery Key จะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้ ⛔ การติดตั้ง Windows ใหม่อาจทำให้ดิสก์อื่นถูกเข้ารหัสโดยไม่รู้ตัว ✅ ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน ➡️ ตรวจสอบสถานะ BitLocker ก่อนติดตั้งหรือรีเซ็ต Windows ➡️ บันทึก Recovery Key ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ ➡️ ปิด BitLocker สำหรับดิสก์ที่ไม่ต้องการเข้ารหัส ➡️ สำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบโดยตรง 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความแตกต่างระหว่าง BitLocker แบบ Software และ Hardware ➡️ แบบ Software ใช้ CPU ในการเข้ารหัส ทำให้ลดประสิทธิภาพการอ่าน/เขียน ➡️ แบบ Hardware (OPAL) มีประสิทธิภาพสูงกว่าและไม่เปิดใช้งานอัตโนมัติ ✅ วิธีตรวจสอบสถานะ BitLocker ➡️ ใช้คำสั่ง manage-bde -status ใน Command Prompt ➡️ ตรวจสอบใน Control Panel > System and Security > BitLocker Drive Encryption https://www.tomshardware.com/software/windows/bitlocker-reportedly-auto-locks-users-backup-drives-causing-loss-of-3tb-of-valuable-data-windows-automatic-disk-encryption-can-permanently-lock-your-drives
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด

    ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย

    กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card

    ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic

    สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง

    ข้อมูลในข่าว
    พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย
    กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร
    ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์
    การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62
    กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง
    พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD
    ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute
    ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic
    กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก



    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    🧠 “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย ➡️ กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ➡️ การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62 ➡️ กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง ➡️ พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD ➡️ ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute ➡️ ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic ➡️ กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งใหม่ ลดเวลาโหลดเว็บเพื่ออันดับที่ดีขึ้นบน Google” — โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความเร็ว

    Bluehost ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งชื่อดังเปิดตัวบริการใหม่ที่เน้น “Ultra-Low Latency” หรือความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีโอกาสอันดับดีขึ้นบน Google โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง

    บริการใหม่นี้มาพร้อมการขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ Frankfurt, Mumbai, São Paulo, Paris, Sydney, London และ Madrid ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดเวลาโหลดหน้าเว็บและเพิ่มความเสถียร

    Bluehost อ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้สามารถลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย

    ผลการทดสอบภายในยังพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการแปลงยอดขาย

    Bluehost ยังอ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ที่พบว่า การปรับความเร็วเพียง 0.1 วินาทีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    แม้ความเร็วจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับของ Google แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ เช่น คุณภาพเนื้อหา ความเข้ากันได้กับมือถือ และการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ

    บริการใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบ failover และ replication เฉพาะภูมิภาค เพื่อให้ uptime สูงถึง 99.99% และรองรับการกู้คืนจากภัยพิบัติ

    ข้อมูลในข่าว
    Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งแบบ Ultra-Low Latency
    ขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก
    ลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที
    เพิ่มความเร็วโหลดหน้าเว็บ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
    WordPress บน Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า
    อ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google
    ความเร็วช่วยเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate
    Google แนะนำให้โหลดเนื้อหาหลักภายใน 2.5 วินาที และตอบสนองภายใน 200 มิลลิวินาที
    ระบบใหม่มี failover และ replication เฉพาะภูมิภาค
    รับประกัน uptime สูงถึง 99.99% และรองรับ disaster recovery

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    ความเร็วเว็บไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการจัดอันดับบน Google
    หากเนื้อหาไม่ดีหรือไม่เหมาะกับมือถือ อันดับก็อาจไม่ดีขึ้น
    การใช้บริการโฮสติ้งระดับสูงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
    การย้ายเว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่อาจต้องปรับแต่งระบบและโครงสร้างเว็บ
    การรับประกัน uptime ไม่ได้หมายถึงไม่มี downtime เลย

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-debuts-ultra-low-latency-web-hosting-to-help-sites-rank-better-on-google
    🌐 “Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งใหม่ ลดเวลาโหลดเว็บเพื่ออันดับที่ดีขึ้นบน Google” — โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความเร็ว Bluehost ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งชื่อดังเปิดตัวบริการใหม่ที่เน้น “Ultra-Low Latency” หรือความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีโอกาสอันดับดีขึ้นบน Google โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง บริการใหม่นี้มาพร้อมการขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ Frankfurt, Mumbai, São Paulo, Paris, Sydney, London และ Madrid ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดเวลาโหลดหน้าเว็บและเพิ่มความเสถียร Bluehost อ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้สามารถลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย ผลการทดสอบภายในยังพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการแปลงยอดขาย Bluehost ยังอ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ที่พบว่า การปรับความเร็วเพียง 0.1 วินาทีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ความเร็วจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับของ Google แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ เช่น คุณภาพเนื้อหา ความเข้ากันได้กับมือถือ และการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ บริการใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบ failover และ replication เฉพาะภูมิภาค เพื่อให้ uptime สูงถึง 99.99% และรองรับการกู้คืนจากภัยพิบัติ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งแบบ Ultra-Low Latency ➡️ ขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ➡️ ลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที ➡️ เพิ่มความเร็วโหลดหน้าเว็บ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ➡️ WordPress บน Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ➡️ อ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ➡️ ความเร็วช่วยเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ➡️ Google แนะนำให้โหลดเนื้อหาหลักภายใน 2.5 วินาที และตอบสนองภายใน 200 มิลลิวินาที ➡️ ระบบใหม่มี failover และ replication เฉพาะภูมิภาค ➡️ รับประกัน uptime สูงถึง 99.99% และรองรับ disaster recovery ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ ความเร็วเว็บไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการจัดอันดับบน Google ⛔ หากเนื้อหาไม่ดีหรือไม่เหมาะกับมือถือ อันดับก็อาจไม่ดีขึ้น ⛔ การใช้บริการโฮสติ้งระดับสูงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ⛔ การย้ายเว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่อาจต้องปรับแต่งระบบและโครงสร้างเว็บ ⛔ การรับประกัน uptime ไม่ได้หมายถึงไม่มี downtime เลย https://www.techradar.com/pro/bluehost-debuts-ultra-low-latency-web-hosting-to-help-sites-rank-better-on-google
    WWW.TECHRADAR.COM
    Bluehost expands global reach to bring faster hosting to users
    Bluehost says new web hosting speed could change how fast your site ranks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปกป้องข้อมูลในยุคคลาวด์ผสม – เลือกแพลตฟอร์มให้มั่นใจว่าไม่พังตอนวิกฤต”

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีข้อมูลกระจายอยู่ทั่วทุกที่—จากอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงคลาวด์หลายเจ้า ทั้ง AWS, Azure และ Google Cloud แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ransomware โจมตี หรือไฟดับจากภัยธรรมชาติ… ข้อมูลสำคัญจะยังปลอดภัยหรือไม่?

    นั่นคือเหตุผลที่ “แพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล” (Data Protection Platform) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ hybrid cloud ซึ่งผสมผสานระหว่างคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร

    บทความนี้จาก CSO Online ได้เจาะลึกว่าองค์กรควรมองหาอะไรในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล พร้อมแนวโน้มล่าสุดในตลาด และคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนตัดสินใจซื้อ

    นอกจากนี้ ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ตลาด Data Protection ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 136 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตถึง 610 พันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบริการแบบ DPaaS (Data Protection as a Service) ที่มาแรงสุด ๆ เพราะองค์กรไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความจำเป็นของการปกป้องข้อมูลใน hybrid cloud
    ข้อมูลองค์กรกระจายอยู่ในหลายระบบ ทั้ง IoT, edge, endpoint และคลาวด์
    60% ของข้อมูลองค์กรอยู่ในคลาวด์ และ 80% ใช้ hybrid cloud
    ความเสี่ยงจาก ransomware, ภัยธรรมชาติ, กฎหมายความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าผิดพลาด

    ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมีในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล
    การค้นหาและจัดประเภทข้อมูล (Data Discovery & Classification)
    การประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment)
    การเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลสูญหาย (Encryption, DLP, CASB)
    การตรวจสอบและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Monitoring & Analytics)
    การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control)
    การตรวจสอบและรายงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย (Audit & Compliance)
    ความสามารถในการขยายระบบและรองรับการทำงานหนัก (Scalability & Performance)
    ระบบอัตโนมัติที่ลดงานคนและเพิ่มความเร็วในการกู้คืน (Automation)

    แนวโน้มตลาดและผู้ให้บริการชั้นนำ
    DPaaS เติบโตเร็วที่สุดในตลาด เพราะองค์กรต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องดูแลเอง
    ผู้เล่นหลัก ได้แก่ AWS, Cisco, Dell, HPE, IBM
    ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล เช่น Cohesity, Commvault, Druva, Veritas

    คำถามที่ควรถามก่อนเลือกแพลตฟอร์ม
    ข้อมูลของเรามีอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน และสำคัญแค่ไหน
    ระบบสามารถป้องกัน ransomware ได้หรือไม่
    รองรับการกู้คืนได้เร็วแค่ไหน
    มีระบบอัตโนมัติและการทดสอบ disaster recovery หรือไม่
    มีการรายงานและวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหรือไม่
    ราคาและ ROI คุ้มค่าหรือเปล่า

    https://www.csoonline.com/article/4071098/what-to-look-for-in-a-data-protection-platform-for-hybrid-clouds.html
    🛡️ “ปกป้องข้อมูลในยุคคลาวด์ผสม – เลือกแพลตฟอร์มให้มั่นใจว่าไม่พังตอนวิกฤต” ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีข้อมูลกระจายอยู่ทั่วทุกที่—จากอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงคลาวด์หลายเจ้า ทั้ง AWS, Azure และ Google Cloud แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ransomware โจมตี หรือไฟดับจากภัยธรรมชาติ… ข้อมูลสำคัญจะยังปลอดภัยหรือไม่? นั่นคือเหตุผลที่ “แพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล” (Data Protection Platform) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ hybrid cloud ซึ่งผสมผสานระหว่างคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร บทความนี้จาก CSO Online ได้เจาะลึกว่าองค์กรควรมองหาอะไรในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล พร้อมแนวโน้มล่าสุดในตลาด และคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ตลาด Data Protection ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 136 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตถึง 610 พันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบริการแบบ DPaaS (Data Protection as a Service) ที่มาแรงสุด ๆ เพราะองค์กรไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด 🔍 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความจำเป็นของการปกป้องข้อมูลใน hybrid cloud ➡️ ข้อมูลองค์กรกระจายอยู่ในหลายระบบ ทั้ง IoT, edge, endpoint และคลาวด์ ➡️ 60% ของข้อมูลองค์กรอยู่ในคลาวด์ และ 80% ใช้ hybrid cloud ➡️ ความเสี่ยงจาก ransomware, ภัยธรรมชาติ, กฎหมายความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าผิดพลาด ✅ ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมีในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล ➡️ การค้นหาและจัดประเภทข้อมูล (Data Discovery & Classification) ➡️ การประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment) ➡️ การเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลสูญหาย (Encryption, DLP, CASB) ➡️ การตรวจสอบและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Monitoring & Analytics) ➡️ การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control) ➡️ การตรวจสอบและรายงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย (Audit & Compliance) ➡️ ความสามารถในการขยายระบบและรองรับการทำงานหนัก (Scalability & Performance) ➡️ ระบบอัตโนมัติที่ลดงานคนและเพิ่มความเร็วในการกู้คืน (Automation) ✅ แนวโน้มตลาดและผู้ให้บริการชั้นนำ ➡️ DPaaS เติบโตเร็วที่สุดในตลาด เพราะองค์กรต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องดูแลเอง ➡️ ผู้เล่นหลัก ได้แก่ AWS, Cisco, Dell, HPE, IBM ➡️ ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล เช่น Cohesity, Commvault, Druva, Veritas ✅ คำถามที่ควรถามก่อนเลือกแพลตฟอร์ม ➡️ ข้อมูลของเรามีอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน และสำคัญแค่ไหน ➡️ ระบบสามารถป้องกัน ransomware ได้หรือไม่ ➡️ รองรับการกู้คืนได้เร็วแค่ไหน ➡️ มีระบบอัตโนมัติและการทดสอบ disaster recovery หรือไม่ ➡️ มีการรายงานและวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหรือไม่ ➡️ ราคาและ ROI คุ้มค่าหรือเปล่า https://www.csoonline.com/article/4071098/what-to-look-for-in-a-data-protection-platform-for-hybrid-clouds.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What to look for in a data protection platform for hybrid clouds
    To safeguard enterprise data in hybrid cloud environments, organizations need to apply basic data security techniques such as encryption, data-loss prevention (DLP), secure web gateways (SWGs), and cloud-access security brokers (CASBs). But such security is just the start; they also need data protection beyond security.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChaosBot: มัลแวร์สายลับยุคใหม่ ใช้ Discord เป็นช่องสั่งการ — เจาะระบบการเงินผ่าน VPN และบัญชีแอดมิน”

    นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) ตรวจพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ “ChaosBot” ที่เขียนด้วยภาษา Rust และถูกใช้ในการโจมตีองค์กรด้านการเงิน โดยมีความสามารถพิเศษคือใช้ Discord เป็นช่องทาง Command-and-Control (C2) แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นการผสมผสานระหว่างแพลตฟอร์มโซเชียลกับการปฏิบัติการไซเบอร์อย่างแนบเนียน

    ChaosBot ถูกควบคุมผ่านบัญชี Discord ที่ใช้ bot token แบบ hardcoded และสร้าง channel ใหม่ตามชื่อเครื่องที่ติดมัลแวร์ เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถส่งคำสั่ง เช่น รัน PowerShell, ดาวน์โหลดไฟล์, อัปโหลดข้อมูล หรือจับภาพหน้าจอได้แบบเรียลไทม์

    การติดตั้งมัลแวร์เริ่มจากการใช้บัญชี Active Directory ที่มีสิทธิ์สูง (เช่น serviceaccount) และ VPN ของ Cisco ที่ถูกขโมยมา จากนั้นใช้ WMI เพื่อรันคำสั่งระยะไกลและโหลด DLL ที่ชื่อ msedge_elf.dll โดยใช้เทคนิค side-loading ผ่านไฟล์ identity_helper.exe ของ Microsoft Edge

    หลังจากติดตั้งแล้ว ChaosBot จะทำการสำรวจระบบและติดตั้ง Fast Reverse Proxy (FRP) เพื่อเปิดช่องทางสื่อสารกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ โดยใช้ SOCKS5 plugin และ IP จาก AWS ฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้ฟีเจอร์ Tunnel ของ Visual Studio Code เพื่อสร้าง backdoor เพิ่มเติม

    มัลแวร์ยังถูกกระจายผ่านแคมเปญ phishing ที่ใช้ไฟล์ .LNK และ PowerShell script พร้อมเปิด PDF หลอกล่อ เช่นจดหมายปลอมจากธนาคารกลางเวียดนาม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเหยื่อ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChaosBot เป็นมัลแวร์ภาษา Rust ที่ใช้ Discord เป็นช่องทาง C2
    สร้าง channel ใหม่ตามชื่อเครื่องที่ติดมัลแวร์เพื่อควบคุมแบบเรียลไทม์
    ใช้บัญชี Active Directory และ VPN ที่ถูกขโมยมาเพื่อรันคำสั่งผ่าน WMI
    โหลด DLL ผ่าน side-loading โดยใช้ไฟล์จาก Microsoft Edge
    ติดตั้ง FRP เพื่อเปิด reverse proxy กลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์
    ใช้ SOCKS5 plugin และ IP จาก AWS ฮ่องกง
    ทดลองใช้ Tunnel ของ Visual Studio Code เพื่อสร้าง backdoor เพิ่ม
    กระจายผ่าน phishing ที่ใช้ไฟล์ .LNK และ PowerShell script พร้อม PDF หลอก
    บัญชี Discord ที่ใช้ควบคุมคือ chaos_00019 และ lovebb0024
    มีการใช้คำสั่ง shell, download, upload และ screenshot ผ่าน Discord

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rust เป็นภาษาที่นิยมใช้ในมัลแวร์ยุคใหม่เพราะประสิทธิภาพสูงและตรวจจับยาก
    Discord API เปิดให้สร้าง bot และ channel ได้ง่าย ทำให้ถูกใช้เป็น C2 ได้สะดวก
    FRP เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้สร้าง reverse proxy แบบเข้ารหัส
    WMI (Windows Management Instrumentation) เป็นช่องทางรันคำสั่งระยะไกลที่นิยมในองค์กร
    Side-loading คือเทคนิคที่ใช้ไฟล์จากโปรแกรมจริงเพื่อโหลด DLL อันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ

    https://securityonline.info/new-rust-backdoor-chaosbot-uses-discord-as-covert-c2-channel-to-target-financial-services/
    🕵️ “ChaosBot: มัลแวร์สายลับยุคใหม่ ใช้ Discord เป็นช่องสั่งการ — เจาะระบบการเงินผ่าน VPN และบัญชีแอดมิน” นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) ตรวจพบมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ “ChaosBot” ที่เขียนด้วยภาษา Rust และถูกใช้ในการโจมตีองค์กรด้านการเงิน โดยมีความสามารถพิเศษคือใช้ Discord เป็นช่องทาง Command-and-Control (C2) แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นการผสมผสานระหว่างแพลตฟอร์มโซเชียลกับการปฏิบัติการไซเบอร์อย่างแนบเนียน ChaosBot ถูกควบคุมผ่านบัญชี Discord ที่ใช้ bot token แบบ hardcoded และสร้าง channel ใหม่ตามชื่อเครื่องที่ติดมัลแวร์ เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถส่งคำสั่ง เช่น รัน PowerShell, ดาวน์โหลดไฟล์, อัปโหลดข้อมูล หรือจับภาพหน้าจอได้แบบเรียลไทม์ การติดตั้งมัลแวร์เริ่มจากการใช้บัญชี Active Directory ที่มีสิทธิ์สูง (เช่น serviceaccount) และ VPN ของ Cisco ที่ถูกขโมยมา จากนั้นใช้ WMI เพื่อรันคำสั่งระยะไกลและโหลด DLL ที่ชื่อ msedge_elf.dll โดยใช้เทคนิค side-loading ผ่านไฟล์ identity_helper.exe ของ Microsoft Edge หลังจากติดตั้งแล้ว ChaosBot จะทำการสำรวจระบบและติดตั้ง Fast Reverse Proxy (FRP) เพื่อเปิดช่องทางสื่อสารกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ โดยใช้ SOCKS5 plugin และ IP จาก AWS ฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้ฟีเจอร์ Tunnel ของ Visual Studio Code เพื่อสร้าง backdoor เพิ่มเติม มัลแวร์ยังถูกกระจายผ่านแคมเปญ phishing ที่ใช้ไฟล์ .LNK และ PowerShell script พร้อมเปิด PDF หลอกล่อ เช่นจดหมายปลอมจากธนาคารกลางเวียดนาม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเหยื่อ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChaosBot เป็นมัลแวร์ภาษา Rust ที่ใช้ Discord เป็นช่องทาง C2 ➡️ สร้าง channel ใหม่ตามชื่อเครื่องที่ติดมัลแวร์เพื่อควบคุมแบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้บัญชี Active Directory และ VPN ที่ถูกขโมยมาเพื่อรันคำสั่งผ่าน WMI ➡️ โหลด DLL ผ่าน side-loading โดยใช้ไฟล์จาก Microsoft Edge ➡️ ติดตั้ง FRP เพื่อเปิด reverse proxy กลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ ➡️ ใช้ SOCKS5 plugin และ IP จาก AWS ฮ่องกง ➡️ ทดลองใช้ Tunnel ของ Visual Studio Code เพื่อสร้าง backdoor เพิ่ม ➡️ กระจายผ่าน phishing ที่ใช้ไฟล์ .LNK และ PowerShell script พร้อม PDF หลอก ➡️ บัญชี Discord ที่ใช้ควบคุมคือ chaos_00019 และ lovebb0024 ➡️ มีการใช้คำสั่ง shell, download, upload และ screenshot ผ่าน Discord ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rust เป็นภาษาที่นิยมใช้ในมัลแวร์ยุคใหม่เพราะประสิทธิภาพสูงและตรวจจับยาก ➡️ Discord API เปิดให้สร้าง bot และ channel ได้ง่าย ทำให้ถูกใช้เป็น C2 ได้สะดวก ➡️ FRP เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้สร้าง reverse proxy แบบเข้ารหัส ➡️ WMI (Windows Management Instrumentation) เป็นช่องทางรันคำสั่งระยะไกลที่นิยมในองค์กร ➡️ Side-loading คือเทคนิคที่ใช้ไฟล์จากโปรแกรมจริงเพื่อโหลด DLL อันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ https://securityonline.info/new-rust-backdoor-chaosbot-uses-discord-as-covert-c2-channel-to-target-financial-services/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Rust Backdoor ChaosBot Uses Discord as Covert C2 Channel to Target Financial Services
    eSentire discovered ChaosBot, a Rust-based malware deployed via DLL sideloading that uses Discord channels as a covert C2 platform to perform reconnaissance and command execution.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • Congratulations to the 2025 Nobel Prize Laureates in Physiology or Medicine
    Congratulations to Mary E. Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi, awarded the 2025 Nobel Prize in Physiology or Medicine for their work on peripheral immune tolerance. Sakaguchi’s discovery of regulatory T cells in 1995 revealed the immune system’s peacekeepers, while Brunkow and Ramsdell’s identification of the Foxp3 gene in 2001 showed its vital role in preventing autoimmune disease. Their combined research transformed immunology, explaining how our bodies avoid harmful self-attacks and unlocking new possibilities for therapies in autoimmune disorders, cancer, and organ transplantation.

    https://www.facebook.com/share/r/1Bkun4BY3v/?mibextid=UalRPS
    Congratulations to the 2025 Nobel Prize Laureates in Physiology or Medicine Congratulations to Mary E. Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi, awarded the 2025 Nobel Prize in Physiology or Medicine for their work on peripheral immune tolerance. Sakaguchi’s discovery of regulatory T cells in 1995 revealed the immune system’s peacekeepers, while Brunkow and Ramsdell’s identification of the Foxp3 gene in 2001 showed its vital role in preventing autoimmune disease. Their combined research transformed immunology, explaining how our bodies avoid harmful self-attacks and unlocking new possibilities for therapies in autoimmune disorders, cancer, and organ transplantation. https://www.facebook.com/share/r/1Bkun4BY3v/?mibextid=UalRPS
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด”

    PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA

    หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว

    PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง

    การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety

    PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา
    แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน
    ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods”
    ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้
    แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง
    แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function
    แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้
    ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size
    Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety
    เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK
    libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android
    IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม
    systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย
    SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่

    https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    🎧 “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด” PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน ➡️ ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ➡️ ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ➡️ แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง ➡️ แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function ➡️ แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้ ➡️ ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size ➡️ Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety ➡️ เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK ➡️ libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android ➡️ IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม ➡️ systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย ➡️ SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่ https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    9TO5LINUX.COM
    PipeWire 1.4.9 Improves ALSA Recovery and Adapts to Newer libcamera Changes - 9to5Linux
    PipeWire 1.4.9 open-source server for handling audio/video streams and hardware on Linux is now available for download with various changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cloudflare พบช่องโหว่ในคอมไพเลอร์ Go บน arm64 — เมื่อการจัดการ stack กลายเป็นจุดอ่อนที่คาดไม่ถึง”

    Cloudflare ซึ่งใช้ภาษา Go ในระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ได้ค้นพบบั๊กที่ซ่อนอยู่ในคอมไพเลอร์ Go สำหรับสถาปัตยกรรม arm64 โดยบั๊กนี้ส่งผลให้เกิดการ crash แบบไม่คาดคิดในบริการควบคุมเครือข่าย เช่น Magic Transit และ Magic WAN ซึ่งแม้จะเป็นบริการที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดทำงาน แต่ความถี่ของปัญหาทำให้ทีมวิศวกรต้องลงมือสืบค้นอย่างจริงจัง

    ปัญหาเริ่มต้นจากการพบ panic ที่ไม่สามารถ unwind stack ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสียหายของ stack memory โดยเฉพาะใน goroutine ที่ใช้ panic/recover เป็นกลไกจัดการข้อผิดพลาด ทีมงานพบว่าการ recover panic จะเรียก deferred function และกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการเดิน stack ซึ่งเป็นจุดที่เกิด crash

    หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ทีมงานพบว่าบั๊กนี้เกี่ยวข้องกับการจัดการ immediate operand ในคำสั่งของ arm64 ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความยาว เช่น add รองรับ immediate 12 บิต และ mov รองรับ 16 บิต หาก operand เกินขนาด คอมไพเลอร์ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการจัดการ ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างโค้ดที่ไม่ปลอดภัย

    บั๊กนี้มีลักษณะเป็น race condition ที่เกิดขึ้นเฉพาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อ stack ถูกใช้งานพร้อมกันหลาย thread หรือมีการ recover panic หลายครั้งในเวลาใกล้เคียงกัน โดย Cloudflare พบว่ามีทั้งการ crash จากการเข้าถึง memory ผิดพลาด และการตรวจพบข้อผิดพลาดแบบ fatal ที่ถูกบันทึกไว้

    แม้จะยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน 100% แต่การค้นพบนี้นำไปสู่การรายงานบั๊กใน Go (#73259) และการปรับปรุงคอมไพเลอร์ในเวอร์ชันถัดไป เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำในระบบที่ใช้ arm64

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cloudflare พบบั๊กในคอมไพเลอร์ Go สำหรับ arm64 ที่ทำให้เกิด stack crash
    บั๊กเกิดจากการ unwind stack ไม่สมบูรณ์ระหว่างการ recover panic
    เกี่ยวข้องกับ immediate operand ที่เกินขนาดในคำสั่งของ arm64
    พบทั้งการ crash จาก memory access ผิดพลาด และ fatal error ที่ตรวจพบ
    บั๊กมีลักษณะเป็น race condition ที่เกิดในบางสถานการณ์เท่านั้น
    บริการที่ได้รับผลกระทบคือ Magic Transit และ Magic WAN
    บั๊กถูกรายงานใน Go issue #73259 เพื่อการแก้ไขในอนาคต
    คอมไพเลอร์ Go ต้องปรับเทคนิคการจัดการ operand เพื่อความปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    arm64 เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์พกพา เช่น Apple Silicon และ AWS Graviton
    immediate operand คือค่าคงที่ที่ฝังอยู่ในคำสั่งของ CPU โดยมีข้อจำกัดด้านขนาด
    panic/recover เป็นกลไกจัดการข้อผิดพลาดใน Go ที่ใช้ deferred function
    race condition คือสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลำดับเวลาของการทำงานหลาย thread
    การ unwind stack คือกระบวนการย้อนกลับการเรียกฟังก์ชันเพื่อจัดการข้อผิดพลาด

    https://blog.cloudflare.com/how-we-found-a-bug-in-gos-arm64-compiler/
    🧩 “Cloudflare พบช่องโหว่ในคอมไพเลอร์ Go บน arm64 — เมื่อการจัดการ stack กลายเป็นจุดอ่อนที่คาดไม่ถึง” Cloudflare ซึ่งใช้ภาษา Go ในระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ได้ค้นพบบั๊กที่ซ่อนอยู่ในคอมไพเลอร์ Go สำหรับสถาปัตยกรรม arm64 โดยบั๊กนี้ส่งผลให้เกิดการ crash แบบไม่คาดคิดในบริการควบคุมเครือข่าย เช่น Magic Transit และ Magic WAN ซึ่งแม้จะเป็นบริการที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหยุดทำงาน แต่ความถี่ของปัญหาทำให้ทีมวิศวกรต้องลงมือสืบค้นอย่างจริงจัง ปัญหาเริ่มต้นจากการพบ panic ที่ไม่สามารถ unwind stack ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสียหายของ stack memory โดยเฉพาะใน goroutine ที่ใช้ panic/recover เป็นกลไกจัดการข้อผิดพลาด ทีมงานพบว่าการ recover panic จะเรียก deferred function และกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการเดิน stack ซึ่งเป็นจุดที่เกิด crash หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ทีมงานพบว่าบั๊กนี้เกี่ยวข้องกับการจัดการ immediate operand ในคำสั่งของ arm64 ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความยาว เช่น add รองรับ immediate 12 บิต และ mov รองรับ 16 บิต หาก operand เกินขนาด คอมไพเลอร์ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการจัดการ ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างโค้ดที่ไม่ปลอดภัย บั๊กนี้มีลักษณะเป็น race condition ที่เกิดขึ้นเฉพาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อ stack ถูกใช้งานพร้อมกันหลาย thread หรือมีการ recover panic หลายครั้งในเวลาใกล้เคียงกัน โดย Cloudflare พบว่ามีทั้งการ crash จากการเข้าถึง memory ผิดพลาด และการตรวจพบข้อผิดพลาดแบบ fatal ที่ถูกบันทึกไว้ แม้จะยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน 100% แต่การค้นพบนี้นำไปสู่การรายงานบั๊กใน Go (#73259) และการปรับปรุงคอมไพเลอร์ในเวอร์ชันถัดไป เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำในระบบที่ใช้ arm64 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cloudflare พบบั๊กในคอมไพเลอร์ Go สำหรับ arm64 ที่ทำให้เกิด stack crash ➡️ บั๊กเกิดจากการ unwind stack ไม่สมบูรณ์ระหว่างการ recover panic ➡️ เกี่ยวข้องกับ immediate operand ที่เกินขนาดในคำสั่งของ arm64 ➡️ พบทั้งการ crash จาก memory access ผิดพลาด และ fatal error ที่ตรวจพบ ➡️ บั๊กมีลักษณะเป็น race condition ที่เกิดในบางสถานการณ์เท่านั้น ➡️ บริการที่ได้รับผลกระทบคือ Magic Transit และ Magic WAN ➡️ บั๊กถูกรายงานใน Go issue #73259 เพื่อการแก้ไขในอนาคต ➡️ คอมไพเลอร์ Go ต้องปรับเทคนิคการจัดการ operand เพื่อความปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ arm64 เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์พกพา เช่น Apple Silicon และ AWS Graviton ➡️ immediate operand คือค่าคงที่ที่ฝังอยู่ในคำสั่งของ CPU โดยมีข้อจำกัดด้านขนาด ➡️ panic/recover เป็นกลไกจัดการข้อผิดพลาดใน Go ที่ใช้ deferred function ➡️ race condition คือสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลำดับเวลาของการทำงานหลาย thread ➡️ การ unwind stack คือกระบวนการย้อนกลับการเรียกฟังก์ชันเพื่อจัดการข้อผิดพลาด https://blog.cloudflare.com/how-we-found-a-bug-in-gos-arm64-compiler/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    How we found a bug in Go's arm64 compiler
    84 million requests a second means even rare bugs appear often. We'll reveal how we discovered a race condition in the Go arm64 compiler and got it fixed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Chaos Ransomware กลับมาในเวอร์ชัน C++ — ลบไฟล์ขนาดใหญ่, ขโมย Bitcoin แบบเงียบ ๆ และทำลายระบบอย่างรุนแรง”

    FortiGuard Labs ตรวจพบการพัฒนาใหม่ของมัลแวร์ Chaos Ransomware ซึ่งเปลี่ยนจากภาษา .NET มาเป็น C++ เป็นครั้งแรกในปี 2025 โดยเวอร์ชันใหม่นี้มีชื่อว่า Chaos-C++ และมาพร้อมกับกลยุทธ์ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ไม่เพียงแค่เข้ารหัสไฟล์เพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ยังลบไฟล์ขนาดใหญ่โดยตรง และขโมยข้อมูล Bitcoin จาก clipboard ของผู้ใช้แบบเงียบ ๆ

    การโจมตีเริ่มต้นด้วยโปรแกรมปลอมชื่อ “System Optimizer v2.1” ที่แสดงข้อความหลอกว่าเป็นการปรับแต่งระบบ แต่เบื้องหลังกลับติดตั้ง payload ของ Chaos โดยใช้เทคนิคซ่อนหน้าต่างและบันทึกกิจกรรมไว้ในไฟล์ sysopt.log เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

    เมื่อมัลแวร์ตรวจพบสิทธิ์ระดับ admin มันจะรันคำสั่งลบระบบสำรอง เช่น shadow copy, recovery catalog และการตั้งค่าการบูต เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อกู้คืนข้อมูลได้

    Chaos-C++ ใช้กลยุทธ์ 3 ระดับในการจัดการไฟล์:
    1️⃣ ไฟล์ ≤ 50MB: เข้ารหัสเต็มรูปแบบ
    2️⃣ ไฟล์ 50MB–1.3GB: ข้ามไปเพื่อเพิ่มความเร็ว
    3️⃣ ไฟล์ > 1.3GB: ลบเนื้อหาโดยตรงแบบไม่สามารถกู้คืนได้

    ในด้านการเข้ารหัส หากระบบมี Windows CryptoAPI จะใช้ AES-256-CFB พร้อมการสร้างคีย์ผ่าน SHA-256 แต่หากไม่มี จะ fallback ไปใช้ XOR ซึ่งอ่อนแอกว่าแต่ยังทำงานได้

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่ากลัวคือ clipboard hijacking — Chaos จะตรวจสอบ clipboard หากพบที่อยู่ Bitcoin จะเปลี่ยนเป็น wallet ของผู้โจมตีทันที ทำให้เหยื่อที่พยายามจ่ายค่าไถ่หรือทำธุรกรรมอื่น ๆ อาจส่งเงินไปยังผู้โจมตีโดยไม่รู้ตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chaos Ransomware เวอร์ชันใหม่เขียนด้วยภาษา C++ เป็นครั้งแรก
    ใช้โปรแกรมปลอมชื่อ “System Optimizer v2.1” เพื่อหลอกให้ติดตั้ง
    บันทึกกิจกรรมไว้ในไฟล์ sysopt.log เพื่อสร้าง forensic footprint
    ตรวจสอบสิทธิ์ admin โดยสร้างไฟล์ทดสอบที่ C:\WINDOWS\test.tmp
    รันคำสั่งลบระบบสำรอง เช่น shadow copy และ recovery catalog
    กลยุทธ์จัดการไฟล์: เข้ารหัส, ข้าม, และลบเนื้อหาโดยตรง
    ใช้ AES-256-CFB หากมี CryptoAPI หรือ fallback เป็น XOR
    เปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น .chaos หลังเข้ารหัส
    Hijack clipboard เพื่อขโมย Bitcoin โดยเปลี่ยนที่อยู่เป็น wallet ของผู้โจมตี
    เป้าหมายหลักคือผู้ใช้ Windows ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่และใช้ cryptocurrency

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Chaos เวอร์ชันก่อนหน้า เช่น BlackSnake และ Lucky_Gh0$t ใช้ .NET และมีพฤติกรรมคล้ายกัน
    Clipboard hijacking เคยพบในมัลแวร์เช่น Agent Tesla และ RedLine Stealer
    การลบไฟล์ขนาดใหญ่โดยตรงเป็นกลยุทธ์ที่พบได้น้อยใน ransomware ทั่วไป
    การใช้ CreateProcessA() กับ CREATE_NO_WINDOW เป็นเทคนิคหลบการตรวจจับ
    การใช้ mutex เพื่อป้องกันการรันหลาย instance เป็นเทคนิคที่พบในมัลแวร์ระดับสูง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Chaos-C++ สามารถลบไฟล์ขนาดใหญ่โดยไม่สามารถกู้คืนได้
    การ hijack clipboard ทำให้ผู้ใช้สูญเสีย Bitcoin โดยไม่รู้ตัว
    การ fallback ไปใช้ XOR ทำให้การเข้ารหัสอ่อนแอแต่ยังทำงานได้
    การลบระบบสำรองทำให้ไม่สามารถใช้ recovery tools ได้
    การปลอมตัวเป็นโปรแกรมปรับแต่งระบบทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อได้ง่าย

    https://securityonline.info/chaos-ransomware-evolves-to-c-uses-destructive-extortion-to-delete-large-files-and-hijack-bitcoin-clipboard/
    🧨 “Chaos Ransomware กลับมาในเวอร์ชัน C++ — ลบไฟล์ขนาดใหญ่, ขโมย Bitcoin แบบเงียบ ๆ และทำลายระบบอย่างรุนแรง” FortiGuard Labs ตรวจพบการพัฒนาใหม่ของมัลแวร์ Chaos Ransomware ซึ่งเปลี่ยนจากภาษา .NET มาเป็น C++ เป็นครั้งแรกในปี 2025 โดยเวอร์ชันใหม่นี้มีชื่อว่า Chaos-C++ และมาพร้อมกับกลยุทธ์ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ไม่เพียงแค่เข้ารหัสไฟล์เพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ยังลบไฟล์ขนาดใหญ่โดยตรง และขโมยข้อมูล Bitcoin จาก clipboard ของผู้ใช้แบบเงียบ ๆ การโจมตีเริ่มต้นด้วยโปรแกรมปลอมชื่อ “System Optimizer v2.1” ที่แสดงข้อความหลอกว่าเป็นการปรับแต่งระบบ แต่เบื้องหลังกลับติดตั้ง payload ของ Chaos โดยใช้เทคนิคซ่อนหน้าต่างและบันทึกกิจกรรมไว้ในไฟล์ sysopt.log เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เมื่อมัลแวร์ตรวจพบสิทธิ์ระดับ admin มันจะรันคำสั่งลบระบบสำรอง เช่น shadow copy, recovery catalog และการตั้งค่าการบูต เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อกู้คืนข้อมูลได้ Chaos-C++ ใช้กลยุทธ์ 3 ระดับในการจัดการไฟล์: 1️⃣ ไฟล์ ≤ 50MB: เข้ารหัสเต็มรูปแบบ 2️⃣ ไฟล์ 50MB–1.3GB: ข้ามไปเพื่อเพิ่มความเร็ว 3️⃣ ไฟล์ > 1.3GB: ลบเนื้อหาโดยตรงแบบไม่สามารถกู้คืนได้ ในด้านการเข้ารหัส หากระบบมี Windows CryptoAPI จะใช้ AES-256-CFB พร้อมการสร้างคีย์ผ่าน SHA-256 แต่หากไม่มี จะ fallback ไปใช้ XOR ซึ่งอ่อนแอกว่าแต่ยังทำงานได้ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่ากลัวคือ clipboard hijacking — Chaos จะตรวจสอบ clipboard หากพบที่อยู่ Bitcoin จะเปลี่ยนเป็น wallet ของผู้โจมตีทันที ทำให้เหยื่อที่พยายามจ่ายค่าไถ่หรือทำธุรกรรมอื่น ๆ อาจส่งเงินไปยังผู้โจมตีโดยไม่รู้ตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chaos Ransomware เวอร์ชันใหม่เขียนด้วยภาษา C++ เป็นครั้งแรก ➡️ ใช้โปรแกรมปลอมชื่อ “System Optimizer v2.1” เพื่อหลอกให้ติดตั้ง ➡️ บันทึกกิจกรรมไว้ในไฟล์ sysopt.log เพื่อสร้าง forensic footprint ➡️ ตรวจสอบสิทธิ์ admin โดยสร้างไฟล์ทดสอบที่ C:\WINDOWS\test.tmp ➡️ รันคำสั่งลบระบบสำรอง เช่น shadow copy และ recovery catalog ➡️ กลยุทธ์จัดการไฟล์: เข้ารหัส, ข้าม, และลบเนื้อหาโดยตรง ➡️ ใช้ AES-256-CFB หากมี CryptoAPI หรือ fallback เป็น XOR ➡️ เปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น .chaos หลังเข้ารหัส ➡️ Hijack clipboard เพื่อขโมย Bitcoin โดยเปลี่ยนที่อยู่เป็น wallet ของผู้โจมตี ➡️ เป้าหมายหลักคือผู้ใช้ Windows ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่และใช้ cryptocurrency ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Chaos เวอร์ชันก่อนหน้า เช่น BlackSnake และ Lucky_Gh0$t ใช้ .NET และมีพฤติกรรมคล้ายกัน ➡️ Clipboard hijacking เคยพบในมัลแวร์เช่น Agent Tesla และ RedLine Stealer ➡️ การลบไฟล์ขนาดใหญ่โดยตรงเป็นกลยุทธ์ที่พบได้น้อยใน ransomware ทั่วไป ➡️ การใช้ CreateProcessA() กับ CREATE_NO_WINDOW เป็นเทคนิคหลบการตรวจจับ ➡️ การใช้ mutex เพื่อป้องกันการรันหลาย instance เป็นเทคนิคที่พบในมัลแวร์ระดับสูง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Chaos-C++ สามารถลบไฟล์ขนาดใหญ่โดยไม่สามารถกู้คืนได้ ⛔ การ hijack clipboard ทำให้ผู้ใช้สูญเสีย Bitcoin โดยไม่รู้ตัว ⛔ การ fallback ไปใช้ XOR ทำให้การเข้ารหัสอ่อนแอแต่ยังทำงานได้ ⛔ การลบระบบสำรองทำให้ไม่สามารถใช้ recovery tools ได้ ⛔ การปลอมตัวเป็นโปรแกรมปรับแต่งระบบทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อได้ง่าย https://securityonline.info/chaos-ransomware-evolves-to-c-uses-destructive-extortion-to-delete-large-files-and-hijack-bitcoin-clipboard/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chaos Ransomware Evolves to C++, Uses Destructive Extortion to Delete Large Files and Hijack Bitcoin Clipboard
    FortiGuard uncovered Chaos-C++, a dangerous new ransomware strain. It deletes file content over 1.3 GB and uses clipboard hijacking to steal Bitcoin during payments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบช่องโหว่ DoS ร้ายแรงใน HAProxy — JSON ขนาดใหญ่ทำระบบล่มทันที แนะอัปเดตด่วน!”

    HAProxy Technologies ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ความปลอดภัยระดับร้ายแรง (CVE-2025-11230) ที่ส่งผลให้ระบบ HAProxy เกิดการล่มทันทีเมื่อได้รับ JSON ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ช่องโหว่นี้เกิดจากปัญหาในไลบรารี mjson ซึ่งใช้ในการประมวลผลข้อมูล JSON ภายใน HAProxy โดยมีจุดอ่อนด้าน “ความซับซ้อนของอัลกอริธึม” (Inefficient Algorithm Complexity - CWE-407)

    เมื่อระบบได้รับ JSON ที่มีค่าตัวเลขขนาดใหญ่มาก เช่น 1e1000000000000000 ผ่านฟังก์ชัน json_query(), jwt_header_query() หรือ jwt_payload_query() ระบบจะใช้เวลาประมวลผลประมาณหนึ่งวินาทีก่อน watchdog จะสั่งหยุดการทำงานทันที ส่งผลให้เกิดการปฏิเสธการให้บริการ (Denial of Service) ต่อระบบที่ใช้ HAProxy

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ HAProxy ที่ใช้ฟังก์ชัน JSON parsing ไม่ว่าจะเป็น HAProxy Community Edition, Enterprise Edition, ALOHA appliances หรือ Kubernetes Ingress Controller โดยไม่มีวิธีแก้ไขผ่านการตั้งค่าระบบ ต้องอัปเดตเวอร์ชันใหม่เท่านั้น

    HAProxy ได้แก้ไขปัญหานี้โดยการปรับปรุงไลบรารี mjson ด้วยวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และแนะนำให้ผู้ใช้ดึงอิมเมจเวอร์ชันล่าสุดของ HAProxy มาใช้งานทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากภายนอก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-11230 เป็นช่องโหว่ DoS ที่เกิดจากการประมวลผล JSON ขนาดใหญ่
    เกิดจากจุดอ่อนในไลบรารี mjson ที่ใช้ใน HAProxy
    ส่งผลให้ watchdog หยุดการทำงานของ HAProxy เมื่อเจอ JSON ที่ออกแบบมาเฉพาะ
    ฟังก์ชันที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ json_query(), jwt_header_query(), jwt_payload_query()
    ส่งผลกระทบต่อ HAProxy ทุกเวอร์ชันที่ใช้ JSON parsing รวมถึง Community, Enterprise, ALOHA และ Kubernetes Ingress
    ไม่มีวิธีแก้ไขผ่านการตั้งค่า ต้องอัปเดตเวอร์ชันใหม่เท่านั้น
    HAProxy ได้แก้ไขโดยปรับปรุงไลบรารี mjson ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    ผู้ใช้ควรดึงอิมเมจเวอร์ชันล่าสุดของ HAProxy มาใช้งานทันที

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CWE-407 คือจุดอ่อนที่เกิดจากอัลกอริธึมที่ใช้เวลาประมวลผลมากเกินไป
    JSON parsing เป็นฟีเจอร์สำคัญในระบบ reverse proxy ที่ใช้ตรวจสอบข้อมูลใน request
    การโจมตีแบบ DoS สามารถทำให้ระบบล่มโดยไม่ต้องเจาะเข้าระบบ
    HAProxy เป็นซอฟต์แวร์ load balancer ที่นิยมใช้ในระบบขนาดใหญ่ เช่น cloud และ container
    การอัปเดตเวอร์ชันเป็นวิธีเดียวที่สามารถป้องกันช่องโหว่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://securityonline.info/critical-denial-of-service-vulnerability-discovered-in-haproxy/
    🛑 “พบช่องโหว่ DoS ร้ายแรงใน HAProxy — JSON ขนาดใหญ่ทำระบบล่มทันที แนะอัปเดตด่วน!” HAProxy Technologies ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ความปลอดภัยระดับร้ายแรง (CVE-2025-11230) ที่ส่งผลให้ระบบ HAProxy เกิดการล่มทันทีเมื่อได้รับ JSON ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ช่องโหว่นี้เกิดจากปัญหาในไลบรารี mjson ซึ่งใช้ในการประมวลผลข้อมูล JSON ภายใน HAProxy โดยมีจุดอ่อนด้าน “ความซับซ้อนของอัลกอริธึม” (Inefficient Algorithm Complexity - CWE-407) เมื่อระบบได้รับ JSON ที่มีค่าตัวเลขขนาดใหญ่มาก เช่น 1e1000000000000000 ผ่านฟังก์ชัน json_query(), jwt_header_query() หรือ jwt_payload_query() ระบบจะใช้เวลาประมวลผลประมาณหนึ่งวินาทีก่อน watchdog จะสั่งหยุดการทำงานทันที ส่งผลให้เกิดการปฏิเสธการให้บริการ (Denial of Service) ต่อระบบที่ใช้ HAProxy ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ HAProxy ที่ใช้ฟังก์ชัน JSON parsing ไม่ว่าจะเป็น HAProxy Community Edition, Enterprise Edition, ALOHA appliances หรือ Kubernetes Ingress Controller โดยไม่มีวิธีแก้ไขผ่านการตั้งค่าระบบ ต้องอัปเดตเวอร์ชันใหม่เท่านั้น HAProxy ได้แก้ไขปัญหานี้โดยการปรับปรุงไลบรารี mjson ด้วยวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และแนะนำให้ผู้ใช้ดึงอิมเมจเวอร์ชันล่าสุดของ HAProxy มาใช้งานทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากภายนอก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-11230 เป็นช่องโหว่ DoS ที่เกิดจากการประมวลผล JSON ขนาดใหญ่ ➡️ เกิดจากจุดอ่อนในไลบรารี mjson ที่ใช้ใน HAProxy ➡️ ส่งผลให้ watchdog หยุดการทำงานของ HAProxy เมื่อเจอ JSON ที่ออกแบบมาเฉพาะ ➡️ ฟังก์ชันที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ json_query(), jwt_header_query(), jwt_payload_query() ➡️ ส่งผลกระทบต่อ HAProxy ทุกเวอร์ชันที่ใช้ JSON parsing รวมถึง Community, Enterprise, ALOHA และ Kubernetes Ingress ➡️ ไม่มีวิธีแก้ไขผ่านการตั้งค่า ต้องอัปเดตเวอร์ชันใหม่เท่านั้น ➡️ HAProxy ได้แก้ไขโดยปรับปรุงไลบรารี mjson ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ ผู้ใช้ควรดึงอิมเมจเวอร์ชันล่าสุดของ HAProxy มาใช้งานทันที ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CWE-407 คือจุดอ่อนที่เกิดจากอัลกอริธึมที่ใช้เวลาประมวลผลมากเกินไป ➡️ JSON parsing เป็นฟีเจอร์สำคัญในระบบ reverse proxy ที่ใช้ตรวจสอบข้อมูลใน request ➡️ การโจมตีแบบ DoS สามารถทำให้ระบบล่มโดยไม่ต้องเจาะเข้าระบบ ➡️ HAProxy เป็นซอฟต์แวร์ load balancer ที่นิยมใช้ในระบบขนาดใหญ่ เช่น cloud และ container ➡️ การอัปเดตเวอร์ชันเป็นวิธีเดียวที่สามารถป้องกันช่องโหว่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://securityonline.info/critical-denial-of-service-vulnerability-discovered-in-haproxy/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Denial-of-Service Vulnerability Discovered in HAProxy
    A Critical flaw (CVE-2025-11230) in HAProxy’s mjson number parser allows unauthenticated attackers to cause a Denial of Service with a single crafted JSON payload. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SD Card ไม่อ่านบน Android? วิธีแก้แบบง่าย ๆ ที่คุณทำได้เอง พร้อมทางเลือกซ่อมระบบแบบไม่ล้างข้อมูล”

    หลายคนใช้ SD Card เพื่อเก็บภาพ วิดีโอ และไฟล์สำคัญในมือถือ Android แต่เมื่อวันหนึ่งมือถือกลับไม่สามารถอ่านการ์ดได้ ความเครียดก็มาเยือนทันที บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “Android ไม่อ่าน SD Card” ทั้งแบบพื้นฐานและแบบใช้เครื่องมือซ่อมระบบ โดยไม่ต้องล้างข้อมูลหรือฟอร์แมตการ์ดให้เสี่ยงสูญเสียไฟล์

    สาเหตุที่มือถือไม่อ่าน SD Card มีหลายอย่าง เช่น การ์ดมีฝุ่นหรือเสียหายทางกายภาพ, การใส่การ์ดไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, หรือการถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัย รวมถึงแอปบางตัวที่อาจทำให้การ์ดเสียหายได้

    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่:
    รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์ข้อผิดพลาดชั่วคราว
    ถอดการ์ดแล้วใส่ใหม่ให้แน่น
    ทดสอบการ์ดกับอุปกรณ์อื่นเพื่อดูว่าเป็นปัญหาที่การ์ดหรือมือถือ
    ล้างหน้าสัมผัสของการ์ดเบา ๆ เพื่อให้เชื่อมต่อได้ดีขึ้น

    หากวิธีพื้นฐานไม่ช่วย แนะนำให้ใช้เครื่องมือซ่อมระบบ Android เช่น Dr.Fone – System Repair (Android) ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้, boot loop, แอปเด้ง โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล และสามารถดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกต้องให้อัตโนมัติ

    Dr.Fone รองรับมือถือ Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 2.1 ขึ้นไป รวมถึงรุ่นใหม่ ๆ ของ Samsung และแบรนด์อื่น ๆ ทั้งแบบปลดล็อกและจากผู้ให้บริการ เช่น AT&T, Verizon, Vodafone

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สาเหตุที่ Android ไม่อ่าน SD Card ได้แก่ ฝุ่น, ใส่ไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, การ์ดเสีย
    การถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัยหรือแอปบางตัวอาจทำให้การ์ดเสียหาย
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ถอดใส่ใหม่, ทดสอบกับอุปกรณ์อื่น, ล้างหน้าสัมผัส
    Dr.Fone – System Repair (Android) เป็นเครื่องมือซ่อมระบบที่ไม่ลบข้อมูล
    รองรับ Android OS ตั้งแต่ 2.1 ขึ้นไป และมือถือกว่า 1,000 รุ่น
    ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้
    ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องหาไฟล์เอง
    แก้ปัญหาอื่น ๆ ได้ เช่น boot loop, แอปเด้ง, Google Play ใช้งานไม่ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SD Card ที่ฟอร์แมตเป็น exFAT หรือ NTFS อาจไม่รองรับบนมือถือบางรุ่น
    การ์ดปลอมที่มีความจุไม่ตรงจริงอาจทำให้ระบบไม่สามารถอ่านได้
    การใช้แอปจัดการไฟล์ที่ไม่ปลอดภัยอาจทำให้การ์ดเสียหาย
    การ์ดบางรุ่นต้องการพลังงานคงที่ หากแบตเตอรี่เสื่อมอาจทำให้ไม่อ่าน
    การใช้ Recovery Software เช่น Recoverit หรือ EaseUS ช่วยกู้ข้อมูลจากการ์ดที่เสียได้

    https://hackread.com/android-not-reading-sd-card-heres-how-to-fix-it/
    📱 “SD Card ไม่อ่านบน Android? วิธีแก้แบบง่าย ๆ ที่คุณทำได้เอง พร้อมทางเลือกซ่อมระบบแบบไม่ล้างข้อมูล” หลายคนใช้ SD Card เพื่อเก็บภาพ วิดีโอ และไฟล์สำคัญในมือถือ Android แต่เมื่อวันหนึ่งมือถือกลับไม่สามารถอ่านการ์ดได้ ความเครียดก็มาเยือนทันที บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “Android ไม่อ่าน SD Card” ทั้งแบบพื้นฐานและแบบใช้เครื่องมือซ่อมระบบ โดยไม่ต้องล้างข้อมูลหรือฟอร์แมตการ์ดให้เสี่ยงสูญเสียไฟล์ สาเหตุที่มือถือไม่อ่าน SD Card มีหลายอย่าง เช่น การ์ดมีฝุ่นหรือเสียหายทางกายภาพ, การใส่การ์ดไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, หรือการถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัย รวมถึงแอปบางตัวที่อาจทำให้การ์ดเสียหายได้ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่: 🔰 รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์ข้อผิดพลาดชั่วคราว 🔰 ถอดการ์ดแล้วใส่ใหม่ให้แน่น 🔰 ทดสอบการ์ดกับอุปกรณ์อื่นเพื่อดูว่าเป็นปัญหาที่การ์ดหรือมือถือ 🔰 ล้างหน้าสัมผัสของการ์ดเบา ๆ เพื่อให้เชื่อมต่อได้ดีขึ้น หากวิธีพื้นฐานไม่ช่วย แนะนำให้ใช้เครื่องมือซ่อมระบบ Android เช่น Dr.Fone – System Repair (Android) ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้, boot loop, แอปเด้ง โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล และสามารถดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ที่ถูกต้องให้อัตโนมัติ Dr.Fone รองรับมือถือ Android ตั้งแต่เวอร์ชัน 2.1 ขึ้นไป รวมถึงรุ่นใหม่ ๆ ของ Samsung และแบรนด์อื่น ๆ ทั้งแบบปลดล็อกและจากผู้ให้บริการ เช่น AT&T, Verizon, Vodafone ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สาเหตุที่ Android ไม่อ่าน SD Card ได้แก่ ฝุ่น, ใส่ไม่แน่น, ฟอร์แมตไม่รองรับ, การ์ดเสีย ➡️ การถอดการ์ดแบบไม่ปลอดภัยหรือแอปบางตัวอาจทำให้การ์ดเสียหาย ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ถอดใส่ใหม่, ทดสอบกับอุปกรณ์อื่น, ล้างหน้าสัมผัส ➡️ Dr.Fone – System Repair (Android) เป็นเครื่องมือซ่อมระบบที่ไม่ลบข้อมูล ➡️ รองรับ Android OS ตั้งแต่ 2.1 ขึ้นไป และมือถือกว่า 1,000 รุ่น ➡️ ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้ ➡️ ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องหาไฟล์เอง ➡️ แก้ปัญหาอื่น ๆ ได้ เช่น boot loop, แอปเด้ง, Google Play ใช้งานไม่ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SD Card ที่ฟอร์แมตเป็น exFAT หรือ NTFS อาจไม่รองรับบนมือถือบางรุ่น ➡️ การ์ดปลอมที่มีความจุไม่ตรงจริงอาจทำให้ระบบไม่สามารถอ่านได้ ➡️ การใช้แอปจัดการไฟล์ที่ไม่ปลอดภัยอาจทำให้การ์ดเสียหาย ➡️ การ์ดบางรุ่นต้องการพลังงานคงที่ หากแบตเตอรี่เสื่อมอาจทำให้ไม่อ่าน ➡️ การใช้ Recovery Software เช่น Recoverit หรือ EaseUS ช่วยกู้ข้อมูลจากการ์ดที่เสียได้ https://hackread.com/android-not-reading-sd-card-heres-how-to-fix-it/
    HACKREAD.COM
    Android Not Reading SD Card? Here’s How to Fix it
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า”

    หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

    สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย

    ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode

    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่:
    รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง
    ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage
    รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย
    เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล

    หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล

    นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น:
    เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต
    หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร
    ชาร์จแบตให้เกิน 50%
    หลีกเลี่ยงการเจลเบรก
    ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ
    ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014”
    การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย
    การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง
    Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล
    รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series
    ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้
    สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi
    iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ
    Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล
    เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล
    การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว

    https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    📱 “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า” หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่: 🔰 รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง 🔰 ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage 🔰 รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย 🔰 เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น: 🔰 เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต 🔰 หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร 🔰 ชาร์จแบตให้เกิน 50% 🔰 หลีกเลี่ยงการเจลเบรก 🔰 ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ ➡️ ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014” ➡️ การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย ➡️ การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง ➡️ Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล ➡️ รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series ➡️ ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้ ➡️ สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi ➡️ iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ ➡️ Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล ➡️ เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล ➡️ การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    HACKREAD.COM
    iPhone Software Update Failed? Here’s How to Fix It Without Data Loss
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ยูเครนใช้รั้วลวดหนามหมุนสกัดโดรนใยแก้ว — ตัดสายสื่อสารแบบไร้สัญญาณได้กลางสนามรบ”

    ในสงครามยุคใหม่ที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลัก การสื่อสารแบบไร้สัญญาณผ่านสายใยแก้ว (fiber-optic tethered drones) กลายเป็นทางเลือกที่ทั้งรัสเซียและยูเครนใช้เพื่อหลบหลีกการรบกวนสัญญาณ (jamming) แต่ล่าสุด ยูเครนได้คิดค้นวิธีรับมือที่เรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่าทึ่ง — “รั้วลวดหนามหมุน” ที่สามารถตัดสายใยแก้วของโดรนศัตรูได้โดยตรง

    รั้วนี้มีความยาวประมาณ 150 เมตร ใช้มอเตอร์หมุนลวดหนามหนึ่งครั้งต่อนาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยติดตั้งไว้ในพื้นที่หลังแนวรบ เช่น เส้นทางลำเลียงหรือคลังอาวุธ ซึ่งเป็นจุดที่โดรนใยแก้วมักใช้ซุ่มโจมตี เพราะสามารถควบคุมได้แม่นยำและไม่ถูกรบกวนจากคลื่นวิทยุ

    โดรนใยแก้วไม่ลากสายลอยฟ้า แต่จะวางสายไว้บนพื้นขณะบิน เมื่อสายไปพันกับรั้วที่หมุนอยู่ จะเกิดการพันและตัดสาย ทำให้โดรนขาดการควบคุมทันที โดยมีรายงานว่าการโจมตีด้วยโดรนแบบนี้สามารถทำได้ไกลถึง 40–50 กิโลเมตร เช่น กรณีที่ยูเครนใช้โดรน Birds of Magyar โจมตีรถถังรัสเซียจากระยะ 42 กม.

    แม้จะเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน แต่รั้วหมุนนี้ถือเป็น “กับดักทางวิศวกรรม” ที่ใช้ต้นทุนต่ำ ติดตั้งง่าย และสามารถเสริมด้วยเซนเซอร์ตรวจจับ เช่น กล้องอินฟราเรดหรือเรดาร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ยูเครนใช้รั้วลวดหนามหมุนเพื่อสกัดโดรนใยแก้วของรัสเซีย
    รั้วมีความยาว 150 เมตร หมุนหนึ่งครั้งต่อนาที ทำงานได้ 12 ชั่วโมงต่อวัน
    โดรนใยแก้ววางสายไว้บนพื้น ไม่ลอยฟ้า ทำให้รั้วสามารถพันและตัดสายได้
    ติดตั้งในพื้นที่หลังแนวรบ เช่น เส้นทางลำเลียงหรือคลังอาวุธ
    โดรนแบบนี้สามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึง 40–50 กม.
    ยูเครนเคยใช้โดรน Birds of Magyar โจมตีรถถังจากระยะ 42 กม.
    รั้วหมุนสามารถเสริมด้วยเซนเซอร์ เช่น กล้องอินฟราเรดหรือเรดาร์
    เป็นเทคโนโลยีต้นทุนต่ำ ติดตั้งง่าย และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ukraines-rotating-barbed-wire-drone-barriers-discovered-by-russians-motorized-barriers-tear-and-slice-the-fiber-optic-lines-that-jam-proof-drones-leave-in-their-trail
    🕸️ “ยูเครนใช้รั้วลวดหนามหมุนสกัดโดรนใยแก้ว — ตัดสายสื่อสารแบบไร้สัญญาณได้กลางสนามรบ” ในสงครามยุคใหม่ที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลัก การสื่อสารแบบไร้สัญญาณผ่านสายใยแก้ว (fiber-optic tethered drones) กลายเป็นทางเลือกที่ทั้งรัสเซียและยูเครนใช้เพื่อหลบหลีกการรบกวนสัญญาณ (jamming) แต่ล่าสุด ยูเครนได้คิดค้นวิธีรับมือที่เรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่าทึ่ง — “รั้วลวดหนามหมุน” ที่สามารถตัดสายใยแก้วของโดรนศัตรูได้โดยตรง รั้วนี้มีความยาวประมาณ 150 เมตร ใช้มอเตอร์หมุนลวดหนามหนึ่งครั้งต่อนาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยติดตั้งไว้ในพื้นที่หลังแนวรบ เช่น เส้นทางลำเลียงหรือคลังอาวุธ ซึ่งเป็นจุดที่โดรนใยแก้วมักใช้ซุ่มโจมตี เพราะสามารถควบคุมได้แม่นยำและไม่ถูกรบกวนจากคลื่นวิทยุ โดรนใยแก้วไม่ลากสายลอยฟ้า แต่จะวางสายไว้บนพื้นขณะบิน เมื่อสายไปพันกับรั้วที่หมุนอยู่ จะเกิดการพันและตัดสาย ทำให้โดรนขาดการควบคุมทันที โดยมีรายงานว่าการโจมตีด้วยโดรนแบบนี้สามารถทำได้ไกลถึง 40–50 กิโลเมตร เช่น กรณีที่ยูเครนใช้โดรน Birds of Magyar โจมตีรถถังรัสเซียจากระยะ 42 กม. แม้จะเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน แต่รั้วหมุนนี้ถือเป็น “กับดักทางวิศวกรรม” ที่ใช้ต้นทุนต่ำ ติดตั้งง่าย และสามารถเสริมด้วยเซนเซอร์ตรวจจับ เช่น กล้องอินฟราเรดหรือเรดาร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ยูเครนใช้รั้วลวดหนามหมุนเพื่อสกัดโดรนใยแก้วของรัสเซีย ➡️ รั้วมีความยาว 150 เมตร หมุนหนึ่งครั้งต่อนาที ทำงานได้ 12 ชั่วโมงต่อวัน ➡️ โดรนใยแก้ววางสายไว้บนพื้น ไม่ลอยฟ้า ทำให้รั้วสามารถพันและตัดสายได้ ➡️ ติดตั้งในพื้นที่หลังแนวรบ เช่น เส้นทางลำเลียงหรือคลังอาวุธ ➡️ โดรนแบบนี้สามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึง 40–50 กม. ➡️ ยูเครนเคยใช้โดรน Birds of Magyar โจมตีรถถังจากระยะ 42 กม. ➡️ รั้วหมุนสามารถเสริมด้วยเซนเซอร์ เช่น กล้องอินฟราเรดหรือเรดาร์ ➡️ เป็นเทคโนโลยีต้นทุนต่ำ ติดตั้งง่าย และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/ukraines-rotating-barbed-wire-drone-barriers-discovered-by-russians-motorized-barriers-tear-and-slice-the-fiber-optic-lines-that-jam-proof-drones-leave-in-their-trail
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์”

    ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000

    ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน

    ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น

    ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง

    การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย
    เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน
    ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading
    CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง
    ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ
    Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป
    ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน
    Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
    Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
    Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด
    ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    🧠 “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์” ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000 ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย ➡️ เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading ➡️ CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง ➡️ ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ ➡️ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป ➡️ ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน ➡️ Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ➡️ Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ➡️ Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด ➡️ ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Litestream v0.5.0 มาแล้ว — สำรอง SQLite แบบ Point-in-Time ได้จริง พร้อมฟอร์แมต LTX ที่เร็วกว่าและฉลาดกว่า”

    หลังจากหลายปีที่ SQLite ถูกมองว่าเหมาะกับงานเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะไม่มีระบบสำรองข้อมูลที่ดีพอ ล่าสุด Litestream v0.5.0 ได้เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนเกม — รองรับการกู้คืนฐานข้อมูลแบบ Point-in-Time Recovery (PITR) ด้วยฟอร์แมตใหม่ชื่อว่า LTX ซึ่งช่วยให้การสำรองและกู้คืนข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก

    Litestream เป็นโปรแกรมโอเพ่นซอร์สที่ทำงานแบบ sidecar คอยจับการเปลี่ยนแปลงในฐานข้อมูล SQLite แล้วส่งไปเก็บไว้ใน object storage เช่น S3, Google Cloud หรือ Azure โดยไม่ต้องแก้ไขแอปพลิเคชันเดิมเลย และเมื่อเซิร์ฟเวอร์ล่ม ก็สามารถกู้คืนฐานข้อมูลกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

    ในเวอร์ชันใหม่ Litestream ได้นำแนวคิดจาก LiteFS ซึ่งเป็นโปรเจกต์พี่น้องที่ใช้ FUSE filesystem มาใช้ โดยเปลี่ยนจากการเก็บข้อมูลแบบ WAL segment ไปเป็น LTX file ที่สามารถบีบอัดและจัดเรียงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถกู้คืนฐานข้อมูลได้จากไฟล์เพียงไม่กี่ชุด

    ฟอร์แมต LTX ยังช่วยให้ Litestream ไม่ต้องใช้ระบบ “generation” แบบเดิมที่ซับซ้อน เพราะสามารถใช้ transaction ID ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อระบุสถานะของฐานข้อมูลในแต่ละช่วงเวลาได้ทันที

    นอกจากนี้ Litestream v0.5.0 ยังปรับปรุงระบบ replica ให้รองรับ NATS JetStream, ยกเลิกการใช้ CGO เพื่อให้ cross-compile ได้ง่ายขึ้น และเปลี่ยนมาใช้ modernc.org/sqlite แทน go-sqlite3 เพื่อรองรับระบบ build อัตโนมัติที่หลากหลายมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Litestream v0.5.0 รองรับ Point-in-Time Recovery ด้วยฟอร์แมต LTX
    LTX ช่วยบีบอัดและจัดเรียงข้อมูลแบบ transaction-aware ทำให้กู้คืนได้เร็วขึ้น
    ไม่ต้องใช้ระบบ generation แบบเดิมอีกต่อไป ใช้ transaction ID แทน
    รองรับการสำรองข้อมูลไปยัง S3, Google Cloud, Azure และ NATS JetStream
    ยกเลิก CGO และเปลี่ยนมาใช้ modernc.org/sqlite เพื่อรองรับ cross-compile
    เพิ่มระบบ compaction แบบหลายระดับ: 30 วินาที, 5 นาที, 1 ชั่วโมง
    รองรับการกู้คืนฐานข้อมูลด้วยไฟล์เพียงไม่กี่ชุดโดยไม่ต้องโหลดทั้งฐาน
    ฟีเจอร์ใหม่ในอนาคต: Litestream VFS สำหรับ read-replica แบบทันทีจาก S3

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SQLite ใช้โครงสร้าง B-tree และจัดเก็บข้อมูลเป็น page ขนาด 4KB
    WAL (Write-Ahead Logging) เป็นระบบที่ SQLite ใช้เพื่อจัดการการเขียนข้อมูล
    LiteFS ใช้ FUSE เพื่อเข้าถึง SQLite โดยตรงและทำ replication แบบ live
    Point-in-Time Recovery เป็นฟีเจอร์ที่นิยมในฐานข้อมูลใหญ่ เช่น PostgreSQL
    modernc.org/sqlite เป็นไลบรารี Go ที่ไม่ต้องใช้ CGO ทำให้ build ได้ง่ายกว่า

    https://fly.io/blog/litestream-v050-is-here/
    🗄️ “Litestream v0.5.0 มาแล้ว — สำรอง SQLite แบบ Point-in-Time ได้จริง พร้อมฟอร์แมต LTX ที่เร็วกว่าและฉลาดกว่า” หลังจากหลายปีที่ SQLite ถูกมองว่าเหมาะกับงานเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะไม่มีระบบสำรองข้อมูลที่ดีพอ ล่าสุด Litestream v0.5.0 ได้เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนเกม — รองรับการกู้คืนฐานข้อมูลแบบ Point-in-Time Recovery (PITR) ด้วยฟอร์แมตใหม่ชื่อว่า LTX ซึ่งช่วยให้การสำรองและกู้คืนข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก Litestream เป็นโปรแกรมโอเพ่นซอร์สที่ทำงานแบบ sidecar คอยจับการเปลี่ยนแปลงในฐานข้อมูล SQLite แล้วส่งไปเก็บไว้ใน object storage เช่น S3, Google Cloud หรือ Azure โดยไม่ต้องแก้ไขแอปพลิเคชันเดิมเลย และเมื่อเซิร์ฟเวอร์ล่ม ก็สามารถกู้คืนฐานข้อมูลกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ในเวอร์ชันใหม่ Litestream ได้นำแนวคิดจาก LiteFS ซึ่งเป็นโปรเจกต์พี่น้องที่ใช้ FUSE filesystem มาใช้ โดยเปลี่ยนจากการเก็บข้อมูลแบบ WAL segment ไปเป็น LTX file ที่สามารถบีบอัดและจัดเรียงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถกู้คืนฐานข้อมูลได้จากไฟล์เพียงไม่กี่ชุด ฟอร์แมต LTX ยังช่วยให้ Litestream ไม่ต้องใช้ระบบ “generation” แบบเดิมที่ซับซ้อน เพราะสามารถใช้ transaction ID ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อระบุสถานะของฐานข้อมูลในแต่ละช่วงเวลาได้ทันที นอกจากนี้ Litestream v0.5.0 ยังปรับปรุงระบบ replica ให้รองรับ NATS JetStream, ยกเลิกการใช้ CGO เพื่อให้ cross-compile ได้ง่ายขึ้น และเปลี่ยนมาใช้ modernc.org/sqlite แทน go-sqlite3 เพื่อรองรับระบบ build อัตโนมัติที่หลากหลายมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Litestream v0.5.0 รองรับ Point-in-Time Recovery ด้วยฟอร์แมต LTX ➡️ LTX ช่วยบีบอัดและจัดเรียงข้อมูลแบบ transaction-aware ทำให้กู้คืนได้เร็วขึ้น ➡️ ไม่ต้องใช้ระบบ generation แบบเดิมอีกต่อไป ใช้ transaction ID แทน ➡️ รองรับการสำรองข้อมูลไปยัง S3, Google Cloud, Azure และ NATS JetStream ➡️ ยกเลิก CGO และเปลี่ยนมาใช้ modernc.org/sqlite เพื่อรองรับ cross-compile ➡️ เพิ่มระบบ compaction แบบหลายระดับ: 30 วินาที, 5 นาที, 1 ชั่วโมง ➡️ รองรับการกู้คืนฐานข้อมูลด้วยไฟล์เพียงไม่กี่ชุดโดยไม่ต้องโหลดทั้งฐาน ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ในอนาคต: Litestream VFS สำหรับ read-replica แบบทันทีจาก S3 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SQLite ใช้โครงสร้าง B-tree และจัดเก็บข้อมูลเป็น page ขนาด 4KB ➡️ WAL (Write-Ahead Logging) เป็นระบบที่ SQLite ใช้เพื่อจัดการการเขียนข้อมูล ➡️ LiteFS ใช้ FUSE เพื่อเข้าถึง SQLite โดยตรงและทำ replication แบบ live ➡️ Point-in-Time Recovery เป็นฟีเจอร์ที่นิยมในฐานข้อมูลใหญ่ เช่น PostgreSQL ➡️ modernc.org/sqlite เป็นไลบรารี Go ที่ไม่ต้องใช้ CGO ทำให้ build ได้ง่ายกว่า https://fly.io/blog/litestream-v050-is-here/
    FLY.IO
    Litestream v0.5.0 is Here
    Same Litestream goodness but better, faster, stronger
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone”

    ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์

    ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด

    Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด

    เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock

    Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์
    SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด
    Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode
    เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ
    Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series
    สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock
    ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก
    มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย
    การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด
    SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS
    Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร
    การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก

    https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    📱 “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone” ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์ ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์ ➡️ SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด ➡️ Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode ➡️ เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ ➡️ Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series ➡️ สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock ➡️ ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก ➡️ มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย ➡️ การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด ➡️ SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS ➡️ Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร ➡️ การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Evolution of iPhone Unlockers: From Jailbreaks to Secure Recovery Tools
    Looking for the best iPhone unlocker? Learn how iPhone unlocking evolved from jailbreak hacks to secure recovery tools like Dr.Fone. Read this guide for a safe and easy unlocking process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts