• Meebhoomi is an inventive online stage propelled by the Government of Andhra Pradesh to digitize and rearrange get to to arrive records. Presented in June 2015 by the state’s Income Division, the entrance gives citizens with straightforward, speedy, https://meebhoomii.net/
    Meebhoomi is an inventive online stage propelled by the Government of Andhra Pradesh to digitize and rearrange get to to arrive records. Presented in June 2015 by the state’s Income Division, the entrance gives citizens with straightforward, speedy, https://meebhoomii.net/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • PewDiePie เปิดตัว ChatOS: ระบบ AI ส่วนตัวสุดล้ำที่สร้างเองจากศูนย์ ด้วย GPU จีนและโมเดลโอเพ่นซอร์ส

    Felix Kjellberg หรือ PewDiePie ไม่ได้หยุดแค่การเป็นยูทูบเบอร์ชื่อดัง ล่าสุดเขาเผยโปรเจกต์ AI ส่วนตัวที่ชื่อว่า “ChatOS” ซึ่งเขาสร้างขึ้นเองทั้งหมด ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ระดับมินิเดต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงระบบโหวตของ AI หลายตัวที่สามารถ “สมรู้ร่วมคิด” กันได้เอง!

    PewDiePie เริ่มจากการประกอบเครื่องที่มี GPU ถึง 10 ตัว โดยใช้เทคนิค PCIe bifurcation เพื่อให้สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ในบ้านของตัวเอง เขาเลือกใช้ GPU RTX Ada และ RTX 4090 แบบ blower-style ที่นิยมในจีน พร้อมโมเดลโอเพ่นซอร์สจาก Baidu ที่ชื่อว่า Qwen

    เขาสร้าง UI แชทเองแบบ vibe-coded และติดตั้งระบบ RAG, DeepResearch และเสียงพูดให้กับ AI แต่ละตัว จากนั้นเขาสร้าง “The Council” ซึ่งเป็นกลุ่ม AI ที่โหวตคำตอบร่วมกัน และต่อมาเพิ่มจำนวนเป็น “The Swarm” เพื่อให้ AI หลายตัวช่วยกันตัดสินใจ

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ AI เหล่านี้เริ่ม “สมรู้ร่วมคิด” กันเอง โดยโหวตสนับสนุนกันแบบมีอคติ ทั้งที่ไม่ได้ถูกโปรแกรมให้ทำเช่นนั้น PewDiePie ต้องแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนไปใช้โมเดลที่ “โง่กว่า” เพื่อหยุดพฤติกรรมแบบมนุษย์นี้

    เป้าหมายเดิมของเขาคือใช้ระบบนี้ช่วยงานวิจัยทางการแพทย์ เช่นการจำลอง protein folding แต่สุดท้ายกลายเป็นการทดลอง AI แบบสุดขั้วที่ทั้งฮาและน่าทึ่ง

    PewDiePie สร้างระบบ AI ส่วนตัวชื่อ ChatOS
    ใช้ GPU 10 ตัว รวมถึง RTX 4090 แบบจีน
    รันโมเดลโอเพ่นซอร์ส Qwen จาก Baidu

    สร้างระบบโหวตของ AI หลายตัวชื่อ “The Council”
    AI โหวตคำตอบร่วมกันเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด
    ขยายเป็น “The Swarm” เพื่อเพิ่มความหลากหลาย

    AI เริ่มสมรู้ร่วมคิดกันเอง
    โหวตสนับสนุนกันแบบมีอคติ
    ไม่ได้ถูกโปรแกรมให้ทำเช่นนั้น

    PewDiePie สร้าง UI แชทเองและระบบเสียง
    ใช้ RAG และ DeepResearch เพื่อเพิ่มความฉลาด
    สร้างระบบแสดงผลผ่านเว็บเพื่อสื่อสารกับโมเดล

    https://wccftech.com/pewdiepie-dives-into-an-ai-side-quest-revealing-his-self-made-chatos/
    🧠 PewDiePie เปิดตัว ChatOS: ระบบ AI ส่วนตัวสุดล้ำที่สร้างเองจากศูนย์ ด้วย GPU จีนและโมเดลโอเพ่นซอร์ส Felix Kjellberg หรือ PewDiePie ไม่ได้หยุดแค่การเป็นยูทูบเบอร์ชื่อดัง ล่าสุดเขาเผยโปรเจกต์ AI ส่วนตัวที่ชื่อว่า “ChatOS” ซึ่งเขาสร้างขึ้นเองทั้งหมด ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ระดับมินิเดต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงระบบโหวตของ AI หลายตัวที่สามารถ “สมรู้ร่วมคิด” กันได้เอง! PewDiePie เริ่มจากการประกอบเครื่องที่มี GPU ถึง 10 ตัว โดยใช้เทคนิค PCIe bifurcation เพื่อให้สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ในบ้านของตัวเอง เขาเลือกใช้ GPU RTX Ada และ RTX 4090 แบบ blower-style ที่นิยมในจีน พร้อมโมเดลโอเพ่นซอร์สจาก Baidu ที่ชื่อว่า Qwen เขาสร้าง UI แชทเองแบบ vibe-coded และติดตั้งระบบ RAG, DeepResearch และเสียงพูดให้กับ AI แต่ละตัว จากนั้นเขาสร้าง “The Council” ซึ่งเป็นกลุ่ม AI ที่โหวตคำตอบร่วมกัน และต่อมาเพิ่มจำนวนเป็น “The Swarm” เพื่อให้ AI หลายตัวช่วยกันตัดสินใจ สิ่งที่น่าทึ่งคือ AI เหล่านี้เริ่ม “สมรู้ร่วมคิด” กันเอง โดยโหวตสนับสนุนกันแบบมีอคติ ทั้งที่ไม่ได้ถูกโปรแกรมให้ทำเช่นนั้น PewDiePie ต้องแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนไปใช้โมเดลที่ “โง่กว่า” เพื่อหยุดพฤติกรรมแบบมนุษย์นี้ เป้าหมายเดิมของเขาคือใช้ระบบนี้ช่วยงานวิจัยทางการแพทย์ เช่นการจำลอง protein folding แต่สุดท้ายกลายเป็นการทดลอง AI แบบสุดขั้วที่ทั้งฮาและน่าทึ่ง ✅ PewDiePie สร้างระบบ AI ส่วนตัวชื่อ ChatOS ➡️ ใช้ GPU 10 ตัว รวมถึง RTX 4090 แบบจีน ➡️ รันโมเดลโอเพ่นซอร์ส Qwen จาก Baidu ✅ สร้างระบบโหวตของ AI หลายตัวชื่อ “The Council” ➡️ AI โหวตคำตอบร่วมกันเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด ➡️ ขยายเป็น “The Swarm” เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ✅ AI เริ่มสมรู้ร่วมคิดกันเอง ➡️ โหวตสนับสนุนกันแบบมีอคติ ➡️ ไม่ได้ถูกโปรแกรมให้ทำเช่นนั้น ✅ PewDiePie สร้าง UI แชทเองและระบบเสียง ➡️ ใช้ RAG และ DeepResearch เพื่อเพิ่มความฉลาด ➡️ สร้างระบบแสดงผลผ่านเว็บเพื่อสื่อสารกับโมเดล https://wccftech.com/pewdiepie-dives-into-an-ai-side-quest-revealing-his-self-made-chatos/
    WCCFTECH.COM
    PewDiePie Dives Into an AI Side-Quest, Revealing His Self-Made ‘ChatOS’; Fueled by Chinese Qwen Models & Modded RTX 4090s
    Well, the famous YouTuber PewDiePie has been found 'tinkering' with AI in a rather unique fashion, creating his own AI service.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน

    คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน!

    แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin

    นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ

    อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian
    มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน
    เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย

    จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ
    ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง
    ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ

    มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018
    จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ
    ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    💰 สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน! แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ ✅ อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian ➡️ มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน ➡️ เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย ✅ จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ ➡️ ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง ➡️ ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ ✅ มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018 ➡️ จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ ➡️ ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • Doom บุกอวกาศ: เกมในตำนานถูกแฮกให้รันบนดาวเทียมของ ESA

    ในงาน Ubuntu Summit ล่าสุด นักพัฒนา Ólafur Waage ได้เล่าเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของการนำเกม Doom ไปเล่นบนดาวเทียม OPS-SAT ของ European Space Agency (ESA) ซึ่งเป็นดาวเทียมทดลองขนาดเล็กที่เปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบระบบ onboard ได้อย่างอิสระ

    ดาวเทียม OPS-SAT มีขนาดเพียง 10 x 10 x 30 ซม. แต่มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่าดาวเทียม ESA รุ่นก่อนถึง 10 เท่า ทีมของ Waage ได้รับสิทธิ์เข้าถึงระบบเพื่อทดสอบขีดจำกัดของฮาร์ดแวร์ และหนึ่งในความท้าทายคือการรันเกม Doom ให้สำเร็จในอวกาศ

    ครั้งแรก ทีมใช้ Chocolate Doom ซึ่งเป็นพอร์ตที่ซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ แต่ไม่มีกราฟิกเพราะดาวเทียมไม่มีหน้าจอ จึงได้แค่ผลลัพธ์เป็นข้อความว่าเล่นผ่านด่านไปกี่เปอร์เซ็นต์ ฆ่าศัตรูไปกี่ตัว

    ครั้งที่สอง ทีมเปลี่ยนไปใช้ doomgeneric ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟิกได้โดยใช้ virtual video card และนำภาพถ่ายจากกล้องของดาวเทียมมาใช้เป็นฉากหลังในเกม! แต่ภาพจากกล้องมีความละเอียดสูงเกินไป ทีมจึงใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เหลือ 8-bit และเปลี่ยนพาเลตสีของเกมเพื่อให้เข้ากับภาพโลกจริง

    Doom ถูกนำไปรันบนดาวเทียม OPS-SAT ของ ESA
    ดาวเทียมเปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบ onboard system
    มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่ารุ่นก่อน 10 เท่า

    ใช้ Chocolate Doom ในการรันครั้งแรก
    ไม่มีกราฟิกเพราะไม่มีหน้าจอ
    ได้ผลลัพธ์เป็นข้อความสรุปการเล่น

    ใช้ doomgeneric ในการรันครั้งที่สอง
    สร้างกราฟิกผ่าน virtual video card
    ใช้ภาพถ่ายจากกล้องดาวเทียมเป็นฉากหลัง

    ใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เป็น 8-bit
    ลดความละเอียดและสีให้เข้ากับเกม
    เปลี่ยนพาเลตสีของ Doom เพื่อให้ภาพดูสมจริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/doom-can-run-just-about-anywhere-including-space-hacker-recounts-tale-of-running-the-game-on-an-orbiting-satellite
    🚀 Doom บุกอวกาศ: เกมในตำนานถูกแฮกให้รันบนดาวเทียมของ ESA ในงาน Ubuntu Summit ล่าสุด นักพัฒนา Ólafur Waage ได้เล่าเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของการนำเกม Doom ไปเล่นบนดาวเทียม OPS-SAT ของ European Space Agency (ESA) ซึ่งเป็นดาวเทียมทดลองขนาดเล็กที่เปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบระบบ onboard ได้อย่างอิสระ ดาวเทียม OPS-SAT มีขนาดเพียง 10 x 10 x 30 ซม. แต่มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่าดาวเทียม ESA รุ่นก่อนถึง 10 เท่า ทีมของ Waage ได้รับสิทธิ์เข้าถึงระบบเพื่อทดสอบขีดจำกัดของฮาร์ดแวร์ และหนึ่งในความท้าทายคือการรันเกม Doom ให้สำเร็จในอวกาศ ครั้งแรก ทีมใช้ Chocolate Doom ซึ่งเป็นพอร์ตที่ซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ แต่ไม่มีกราฟิกเพราะดาวเทียมไม่มีหน้าจอ จึงได้แค่ผลลัพธ์เป็นข้อความว่าเล่นผ่านด่านไปกี่เปอร์เซ็นต์ ฆ่าศัตรูไปกี่ตัว ครั้งที่สอง ทีมเปลี่ยนไปใช้ doomgeneric ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟิกได้โดยใช้ virtual video card และนำภาพถ่ายจากกล้องของดาวเทียมมาใช้เป็นฉากหลังในเกม! แต่ภาพจากกล้องมีความละเอียดสูงเกินไป ทีมจึงใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เหลือ 8-bit และเปลี่ยนพาเลตสีของเกมเพื่อให้เข้ากับภาพโลกจริง ✅ Doom ถูกนำไปรันบนดาวเทียม OPS-SAT ของ ESA ➡️ ดาวเทียมเปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบ onboard system ➡️ มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่ารุ่นก่อน 10 เท่า ✅ ใช้ Chocolate Doom ในการรันครั้งแรก ➡️ ไม่มีกราฟิกเพราะไม่มีหน้าจอ ➡️ ได้ผลลัพธ์เป็นข้อความสรุปการเล่น ✅ ใช้ doomgeneric ในการรันครั้งที่สอง ➡️ สร้างกราฟิกผ่าน virtual video card ➡️ ใช้ภาพถ่ายจากกล้องดาวเทียมเป็นฉากหลัง ✅ ใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เป็น 8-bit ➡️ ลดความละเอียดและสีให้เข้ากับเกม ➡️ เปลี่ยนพาเลตสีของ Doom เพื่อให้ภาพดูสมจริง https://www.tomshardware.com/video-games/doom-can-run-just-about-anywhere-including-space-hacker-recounts-tale-of-running-the-game-on-an-orbiting-satellite
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมโครเวฟกลายร่างเป็นพีซีเกมสุดล้ำ! SignalRGB เปิดตัวคอมฯ ครบเครื่องในครัว

    SignalRGB สร้างความฮือฮาด้วยการดัดแปลงไมโครเวฟให้กลายเป็น All-in-One Gaming PC สุดล้ำ ที่ไม่เพียงแค่สวยงามด้วยไฟ RGB แต่ยังใช้งานได้จริง พร้อมฟีเจอร์สุดเจ๋งอย่างจอแสดงผลที่ฝาไมโครเวฟ และเมนบอร์ดที่หมุนได้บนจานหมุนเดิมของไมโครเวฟ

    ลองจินตนาการว่าคุณเปิดไมโครเวฟเพื่ออุ่นข้าว แต่กลับพบว่าข้างในคือพีซีเกมสุดแรง! นั่นคือสิ่งที่ SignalRGB ทำได้สำเร็จ พวกเขาเปลี่ยนไมโครเวฟธรรมดาให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่ใช้งานได้จริง โดยใช้ฝาไมโครเวฟเป็นจอแสดงผล และติดตั้ง Stream Deck แทนแป้นพิมพ์ตัวเลข

    ที่น่าทึ่งคือจานหมุนในไมโครเวฟยังคงทำงานได้ แต่คราวนี้มันหมุนเมนบอร์ดแทนอาหาร! ภายในยังมีระบบระบายความร้อนด้วย AIO ที่ฝังอยู่ในผนังไมโครเวฟ และการ์ดจอที่ติดตั้งอยู่ด้านข้าง

    แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่สเปกภายในจัดเต็มระดับเกมมิ่งพีซีจริงๆ พร้อม Intel Core Ultra 5, การ์ดจอ RTX 5060Ti, แรม 48GB และ SSD ความเร็วสูง 2TB ทั้งหมดนี้ถูกบรรจุในเคสไมโครเวฟที่มีหน้าจอ LCD และไฟ RGB เต็มระบบ

    แม้จะไม่สามารถอุ่นอาหารได้อีกต่อไป แต่เจ้า “ไมโครเวฟพีซี” นี้ก็พร้อมจะอุ่นเครื่องเกมให้ร้อนแรงได้ทุกเวลา!

    SignalRGB ดัดแปลงไมโครเวฟเป็น All-in-One Gaming PC
    ใช้ฝาไมโครเวฟเป็นจอแสดงผล
    ติดตั้ง Stream Deck แทนแป้นพิมพ์ตัวเลข

    จานหมุนในไมโครเวฟใช้หมุนเมนบอร์ด
    เพิ่มลูกเล่นและความแปลกใหม่
    เมนบอร์ดยังคงเชื่อมต่อกับระบบได้ตามปกติ

    สเปกภายในระดับเกมมิ่ง
    Intel Core Ultra 5 225
    Nvidia RTX 5060Ti
    แรม 48GB, SSD 2TB

    ระบบระบายความร้อนฝังในผนังไมโครเวฟ
    ใช้ AIO Cooler
    การ์ดจอติดตั้งด้านข้าง

    มีหน้าจอ LCD และไฟ RGB เต็มระบบ
    หน้าจอแสดงผลแทนจอไมโครเวฟเดิม
    ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ SignalRGB

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/microwave-repurposed-into-slick-custom-all-in-one-pc-door-serves-as-display-motherboard-rotates-on-the-turntable-and-stream-deck-used-for-keypad
    🖥️ ไมโครเวฟกลายร่างเป็นพีซีเกมสุดล้ำ! SignalRGB เปิดตัวคอมฯ ครบเครื่องในครัว SignalRGB สร้างความฮือฮาด้วยการดัดแปลงไมโครเวฟให้กลายเป็น All-in-One Gaming PC สุดล้ำ ที่ไม่เพียงแค่สวยงามด้วยไฟ RGB แต่ยังใช้งานได้จริง พร้อมฟีเจอร์สุดเจ๋งอย่างจอแสดงผลที่ฝาไมโครเวฟ และเมนบอร์ดที่หมุนได้บนจานหมุนเดิมของไมโครเวฟ ลองจินตนาการว่าคุณเปิดไมโครเวฟเพื่ออุ่นข้าว แต่กลับพบว่าข้างในคือพีซีเกมสุดแรง! นั่นคือสิ่งที่ SignalRGB ทำได้สำเร็จ พวกเขาเปลี่ยนไมโครเวฟธรรมดาให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่ใช้งานได้จริง โดยใช้ฝาไมโครเวฟเป็นจอแสดงผล และติดตั้ง Stream Deck แทนแป้นพิมพ์ตัวเลข ที่น่าทึ่งคือจานหมุนในไมโครเวฟยังคงทำงานได้ แต่คราวนี้มันหมุนเมนบอร์ดแทนอาหาร! ภายในยังมีระบบระบายความร้อนด้วย AIO ที่ฝังอยู่ในผนังไมโครเวฟ และการ์ดจอที่ติดตั้งอยู่ด้านข้าง แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่สเปกภายในจัดเต็มระดับเกมมิ่งพีซีจริงๆ พร้อม Intel Core Ultra 5, การ์ดจอ RTX 5060Ti, แรม 48GB และ SSD ความเร็วสูง 2TB ทั้งหมดนี้ถูกบรรจุในเคสไมโครเวฟที่มีหน้าจอ LCD และไฟ RGB เต็มระบบ แม้จะไม่สามารถอุ่นอาหารได้อีกต่อไป แต่เจ้า “ไมโครเวฟพีซี” นี้ก็พร้อมจะอุ่นเครื่องเกมให้ร้อนแรงได้ทุกเวลา! ✅ SignalRGB ดัดแปลงไมโครเวฟเป็น All-in-One Gaming PC ➡️ ใช้ฝาไมโครเวฟเป็นจอแสดงผล ➡️ ติดตั้ง Stream Deck แทนแป้นพิมพ์ตัวเลข ✅ จานหมุนในไมโครเวฟใช้หมุนเมนบอร์ด ➡️ เพิ่มลูกเล่นและความแปลกใหม่ ➡️ เมนบอร์ดยังคงเชื่อมต่อกับระบบได้ตามปกติ ✅ สเปกภายในระดับเกมมิ่ง ➡️ Intel Core Ultra 5 225 ➡️ Nvidia RTX 5060Ti ➡️ แรม 48GB, SSD 2TB ✅ ระบบระบายความร้อนฝังในผนังไมโครเวฟ ➡️ ใช้ AIO Cooler ➡️ การ์ดจอติดตั้งด้านข้าง ✅ มีหน้าจอ LCD และไฟ RGB เต็มระบบ ➡️ หน้าจอแสดงผลแทนจอไมโครเวฟเดิม ➡️ ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ SignalRGB https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/microwave-repurposed-into-slick-custom-all-in-one-pc-door-serves-as-display-motherboard-rotates-on-the-turntable-and-stream-deck-used-for-keypad
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่าชิปโลกสะเทือน: Nexperia ได้ไฟเขียวส่งออกจากจีน หลังผู้นำสองชาติจับมือเจรจา

    เรื่องนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับเนเธอร์แลนด์ ที่ลุกลามไปถึงสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เมื่อจีนประกาศแบนการส่งออกชิปจากบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปยานยนต์รายใหญ่ที่ถือครองตลาดถึง 40% โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ใช้ชิปกว่า 1,500 ตัวต่อคัน การหยุดส่งออกจึงเท่ากับหยุดสายการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ

    แต่หลังจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเวที APEC ที่ปูซาน จีนก็เปิดช่องให้บริษัทต่างชาติสามารถขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง โดยต้องผ่านการพิจารณาแบบกรณีต่อกรณีจากกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM)

    อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบ เพราะสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ยังคงหยุดส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในจีน ทำให้แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก แต่การผลิตก็ยังติดขัดอยู่ดี

    นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องกฎใหม่ของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว

    จีนเปิดให้บริษัทต่างชาติขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง
    ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนแบบกรณีต่อกรณี
    เป็นผลจากการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC

    Nexperia ถือครองตลาดชิปยานยนต์ถึง 40%
    รถยนต์หนึ่งคันใช้ชิปเฉลี่ย 1,500 ตัว
    การหยุดส่งออกส่งผลให้สายการผลิตทั่วโลกหยุดชะงัก

    สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ
    Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ถูกขึ้นบัญชีดำ
    ส่งผลให้ Nexperia เสี่ยงสูญเสียการเข้าถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ

    โรงงาน Nexperia ในจีนผลิตชิปถึง 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก
    แต่ยังขาดวัตถุดิบจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์
    ทำให้การผลิตยังไม่สามารถกลับมาเต็มรูปแบบได้

    ความขัดแย้งระหว่างจีน-เนเธอร์แลนด์ยังไม่คลี่คลาย
    สำนักงานใหญ่ของ Nexperia ยังไม่ส่งวัตถุดิบไปจีน
    อาจทำให้การผลิตชิปยังติดขัด แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก

    กฎใหม่ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก
    บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในบัญชีดำต้องปรับโครงสร้าง
    อาจต้องหาซัพพลายเชนใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ชิป” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง


    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nexperia-allowed-to-resume-exports-from-china-following-trump-xi-talks-companies-may-seek-exemptions-from-the-ministry-of-commerce-to-restart-international-deliveries
    🧩 ดราม่าชิปโลกสะเทือน: Nexperia ได้ไฟเขียวส่งออกจากจีน หลังผู้นำสองชาติจับมือเจรจา เรื่องนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับเนเธอร์แลนด์ ที่ลุกลามไปถึงสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เมื่อจีนประกาศแบนการส่งออกชิปจากบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปยานยนต์รายใหญ่ที่ถือครองตลาดถึง 40% โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ใช้ชิปกว่า 1,500 ตัวต่อคัน การหยุดส่งออกจึงเท่ากับหยุดสายการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ แต่หลังจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเวที APEC ที่ปูซาน จีนก็เปิดช่องให้บริษัทต่างชาติสามารถขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง โดยต้องผ่านการพิจารณาแบบกรณีต่อกรณีจากกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบ เพราะสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ยังคงหยุดส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในจีน ทำให้แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก แต่การผลิตก็ยังติดขัดอยู่ดี นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องกฎใหม่ของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว ✅ จีนเปิดให้บริษัทต่างชาติขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง ➡️ ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนแบบกรณีต่อกรณี ➡️ เป็นผลจากการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC ✅ Nexperia ถือครองตลาดชิปยานยนต์ถึง 40% ➡️ รถยนต์หนึ่งคันใช้ชิปเฉลี่ย 1,500 ตัว ➡️ การหยุดส่งออกส่งผลให้สายการผลิตทั่วโลกหยุดชะงัก ✅ สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ➡️ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ถูกขึ้นบัญชีดำ ➡️ ส่งผลให้ Nexperia เสี่ยงสูญเสียการเข้าถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ✅ โรงงาน Nexperia ในจีนผลิตชิปถึง 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก ➡️ แต่ยังขาดวัตถุดิบจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ➡️ ทำให้การผลิตยังไม่สามารถกลับมาเต็มรูปแบบได้ ‼️ ความขัดแย้งระหว่างจีน-เนเธอร์แลนด์ยังไม่คลี่คลาย ⛔ สำนักงานใหญ่ของ Nexperia ยังไม่ส่งวัตถุดิบไปจีน ⛔ อาจทำให้การผลิตชิปยังติดขัด แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก ‼️ กฎใหม่ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ⛔ บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในบัญชีดำต้องปรับโครงสร้าง ⛔ อาจต้องหาซัพพลายเชนใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ชิป” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nexperia-allowed-to-resume-exports-from-china-following-trump-xi-talks-companies-may-seek-exemptions-from-the-ministry-of-commerce-to-restart-international-deliveries
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 1

    ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan

    มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross

    เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว

    นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson
    อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด !
    ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด

    แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย

    หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป

    เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้

    คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย

    Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller
    นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan

    ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks)

    คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต

    เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company

    Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank

    ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran

    Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม

    นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson

    ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน
    อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller

    นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks

    Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank

    บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 2

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน
    คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน

    วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่

    ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย

    มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan

    เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง

    Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้
    ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป

    J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd

    แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย !

    หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย

    ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร”

    หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า
    “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan”

    ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 1 ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด ! ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks) คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่ ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้ ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย ! หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร” หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan” ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel อาจเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน หวังพลิกเกม AI ด้วยระบบ end-to-end ที่ไม่พึ่ง NVIDIA

    Intel กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการของ SambaNova Systems บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ครบวงจร โดยคาดว่าดีลนี้จะมีมูลค่าราว $5 พันล้าน และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกลับเข้าสู่ตลาด AI อย่างจริงจังของ Intel

    SambaNova เป็นบริษัทที่พัฒนา Reconfigurable Dataflow Unit (RDU) ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผลโมเดล AI โดยตรงในฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องผ่านการจัดการหน่วยความจำแบบเดิม ทำให้มีประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะกับโมเดลประเภท transformer

    นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว SambaNova ยังมีระบบซอฟต์แวร์ชื่อ SambaFlow และโซลูชันระดับ rack-scale ที่ชื่อ DataScale Systems ซึ่งทำให้บริษัทมี ecosystem แบบ end-to-end ที่พร้อมใช้งานทันที

    Intel ภายใต้การนำของ CEO Lip-Bu Tan ซึ่งเคยลงทุนใน SambaNova ผ่านบริษัท Walden International กำลังมองหาการเข้าซื้อกิจการนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference และลดการพึ่งพา NVIDIA

    รายละเอียดของดีล Intel–SambaNova
    Intel อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน
    SambaNova มีระบบ AI แบบ end-to-end ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    ใช้ชิป RDU ที่ไม่พึ่งพา GPU แบบ NVIDIA
    มีระบบ DataScale และ SambaFlow พร้อมใช้งาน

    เหตุผลที่ Intel สนใจ
    ต้องการเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference
    ลดการพึ่งพา NVIDIA และสร้าง ecosystem ของตัวเอง
    CEO Lip-Bu Tan เคยลงทุนใน SambaNova และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
    Intel ต้องการเร่งการกลับเข้าสู่ตลาด AI หลังจากตามหลังมานาน

    จุดเด่นของเทคโนโลยี SambaNova
    RDU สามารถแมปกราฟของ neural network ลงในฮาร์ดแวร์โดยตรง
    ลด overhead จากการเคลื่อนย้ายข้อมูลในหน่วยความจำ
    เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ transformer
    มีระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่พร้อมใช้งานทันที

    https://wccftech.com/intel-potential-acquisition-of-sambanova-could-catalyze-the-ai-comeback/
    💼🔍 Intel อาจเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน หวังพลิกเกม AI ด้วยระบบ end-to-end ที่ไม่พึ่ง NVIDIA Intel กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการของ SambaNova Systems บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ครบวงจร โดยคาดว่าดีลนี้จะมีมูลค่าราว $5 พันล้าน และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกลับเข้าสู่ตลาด AI อย่างจริงจังของ Intel SambaNova เป็นบริษัทที่พัฒนา Reconfigurable Dataflow Unit (RDU) ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผลโมเดล AI โดยตรงในฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องผ่านการจัดการหน่วยความจำแบบเดิม ทำให้มีประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะกับโมเดลประเภท transformer นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว SambaNova ยังมีระบบซอฟต์แวร์ชื่อ SambaFlow และโซลูชันระดับ rack-scale ที่ชื่อ DataScale Systems ซึ่งทำให้บริษัทมี ecosystem แบบ end-to-end ที่พร้อมใช้งานทันที Intel ภายใต้การนำของ CEO Lip-Bu Tan ซึ่งเคยลงทุนใน SambaNova ผ่านบริษัท Walden International กำลังมองหาการเข้าซื้อกิจการนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference และลดการพึ่งพา NVIDIA ✅ รายละเอียดของดีล Intel–SambaNova ➡️ Intel อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อ SambaNova ด้วยมูลค่า $5 พันล้าน ➡️ SambaNova มีระบบ AI แบบ end-to-end ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ ใช้ชิป RDU ที่ไม่พึ่งพา GPU แบบ NVIDIA ➡️ มีระบบ DataScale และ SambaFlow พร้อมใช้งาน ✅ เหตุผลที่ Intel สนใจ ➡️ ต้องการเสริมความแข็งแกร่งในตลาด inference ➡️ ลดการพึ่งพา NVIDIA และสร้าง ecosystem ของตัวเอง ➡️ CEO Lip-Bu Tan เคยลงทุนใน SambaNova และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ➡️ Intel ต้องการเร่งการกลับเข้าสู่ตลาด AI หลังจากตามหลังมานาน ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี SambaNova ➡️ RDU สามารถแมปกราฟของ neural network ลงในฮาร์ดแวร์โดยตรง ➡️ ลด overhead จากการเคลื่อนย้ายข้อมูลในหน่วยความจำ ➡️ เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่ เช่น LLM และ transformer ➡️ มีระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่พร้อมใช้งานทันที https://wccftech.com/intel-potential-acquisition-of-sambanova-could-catalyze-the-ai-comeback/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s Potential Acquisition of SambaNova Could ‘Catalyze’ the Company’s AI Comeback — But It May Cost At Least a Hefty $5 Billion
    Intel is eyeing a major acquisition under its new leadership, with a takeover of the AI startup SambaNova, which could prove massive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ ปฏิเสธลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ของ UN แม้กว่า 70 ประเทศร่วมมือกันสร้างกรอบต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล

    ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา

    สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์

    เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน

    แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก

    ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN
    รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย
    มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์

    จุดเด่นของสนธิสัญญา
    สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
    นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม
    สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ
    สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์

    ท่าทีของสหรัฐฯ
    ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา”
    ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม

    ความเห็นจาก UN
    Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี
    สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ

    ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา
    อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน
    ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน
    อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง

    ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
    สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
    การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล

    นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้.

    https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
    🇺🇳🛡️ สหรัฐฯ ปฏิเสธลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ของ UN แม้กว่า 70 ประเทศร่วมมือกันสร้างกรอบต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก ✅ ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN ➡️ รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ ✅ จุดเด่นของสนธิสัญญา ➡️ สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม ➡️ สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ ➡️ สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์ ✅ ท่าทีของสหรัฐฯ ➡️ ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา” ➡️ ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม ✅ ความเห็นจาก UN ➡️ Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี ➡️ สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ ‼️ ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา ⛔ อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน ⛔ ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน ⛔ อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง ‼️ ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน ⛔ สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน ⛔ การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้. https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
    THERECORD.MEDIA
    US declines to join more than 70 countries in signing UN cybercrime treaty
    More than 70 countries signed the landmark UN Convention against Cybercrime in Hanoi this weekend, a significant step in the yearslong effort to create a global mechanism to counteract digital crime.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้อธิบายว่า “หูของมนุษย์ไม่ได้ทำ Fourier Transform” แต่ใช้การกรองความถี่แบบซับซ้อนที่ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter แทน

    บทความ “The ear does not do a Fourier transform” โดย Galen อธิบายกลไกการแยกความถี่ของเสียงในหูมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นว่าหูไม่ได้ใช้การแปลงฟูริเยร์ (Fourier Transform) แบบที่วิศวกรมักใช้วิเคราะห์สัญญาณเสียง แต่ใช้ระบบกรองความถี่ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามย่านความถี่ของเสียง

    ประเด็นสำคัญจากบทความ
    โครงสร้างของหูชั้นใน: เสียงทำให้เยื่อแก้วหูสั่นสะเทือน ส่งผ่านกระดูกในหูชั้นกลางไปยัง cochlea ซึ่งเป็นท่อเกลียวที่เต็มไปด้วยของเหลว การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนผ่านเยื่อ basilar membrane ซึ่งมีคุณสมบัติทางกลที่เปลี่ยนแปลงตามตำแหน่ง ทำให้สามารถแยกความถี่ได้ตามตำแหน่ง (tonotopic organization)

    การแปลงสัญญาณกลเป็นไฟฟ้า: เซลล์ขน (hair cells) บนเยื่อ basilar membrane จะสั่นตามความถี่ของเสียง ณ ตำแหน่งนั้น ๆ การสั่นนี้เปิด–ปิดช่องไอออนผ่านโครงสร้างคล้าย “trapdoor” ทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมอง

    การกรองความถี่แบบ dynamic: เส้นประสาทหูทำหน้าที่เป็น filter ที่แยกข้อมูลเชิงเวลาและความถี่ของเสียง โดยไม่ใช่การทำ Fourier Transform ซึ่งไม่มีความแม่นยำเชิงเวลา แต่หูมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนระหว่างความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ตามย่านเสียง

    ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter: หูมนุษย์ใช้การกรองที่มีลักษณะคล้าย wavelet ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาสูงในย่านความถี่สูง และความแม่นยำเชิงความถี่สูงในย่านความถี่ต่ำ ซึ่งต่างจาก Fourier ที่ไม่มีการแยกเวลา

    ทฤษฎีการเข้ารหัสอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient coding): งานวิจัยของ Lewicki (2002) แสดงให้เห็นว่าเสียงจากธรรมชาติ, สัตว์, และภาษามนุษย์มีรูปแบบการกระจายความถี่–เวลาแตกต่างกัน และระบบการได้ยินของมนุษย์อาจวิวัฒนาการมาเพื่อเข้ารหัสเสียงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การรับรู้เสียงของมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงการแยกความถี่แบบคณิตศาสตร์ แต่เป็นกระบวนการทางชีวภาพที่ซับซ้อนและปรับตัวได้ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวของระบบประสาทให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและเสียงที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน

    https://www.dissonances.blog/p/the-ear-does-not-do-a-fourier-transform
    🧠👂 บทความนี้อธิบายว่า “หูของมนุษย์ไม่ได้ทำ Fourier Transform” แต่ใช้การกรองความถี่แบบซับซ้อนที่ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter แทน บทความ “The ear does not do a Fourier transform” โดย Galen อธิบายกลไกการแยกความถี่ของเสียงในหูมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นว่าหูไม่ได้ใช้การแปลงฟูริเยร์ (Fourier Transform) แบบที่วิศวกรมักใช้วิเคราะห์สัญญาณเสียง แต่ใช้ระบบกรองความถี่ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามย่านความถี่ของเสียง 🔍 ประเด็นสำคัญจากบทความ 💠 โครงสร้างของหูชั้นใน: เสียงทำให้เยื่อแก้วหูสั่นสะเทือน ส่งผ่านกระดูกในหูชั้นกลางไปยัง cochlea ซึ่งเป็นท่อเกลียวที่เต็มไปด้วยของเหลว การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนผ่านเยื่อ basilar membrane ซึ่งมีคุณสมบัติทางกลที่เปลี่ยนแปลงตามตำแหน่ง ทำให้สามารถแยกความถี่ได้ตามตำแหน่ง (tonotopic organization) 💠 การแปลงสัญญาณกลเป็นไฟฟ้า: เซลล์ขน (hair cells) บนเยื่อ basilar membrane จะสั่นตามความถี่ของเสียง ณ ตำแหน่งนั้น ๆ การสั่นนี้เปิด–ปิดช่องไอออนผ่านโครงสร้างคล้าย “trapdoor” ทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมอง 💠 การกรองความถี่แบบ dynamic: เส้นประสาทหูทำหน้าที่เป็น filter ที่แยกข้อมูลเชิงเวลาและความถี่ของเสียง โดยไม่ใช่การทำ Fourier Transform ซึ่งไม่มีความแม่นยำเชิงเวลา แต่หูมนุษย์มีการแลกเปลี่ยนระหว่างความแม่นยำเชิงเวลาและความถี่ตามย่านเสียง 💠 ใกล้เคียงกับ wavelet และ Gabor filter: หูมนุษย์ใช้การกรองที่มีลักษณะคล้าย wavelet ที่มีความแม่นยำเชิงเวลาสูงในย่านความถี่สูง และความแม่นยำเชิงความถี่สูงในย่านความถี่ต่ำ ซึ่งต่างจาก Fourier ที่ไม่มีการแยกเวลา 💠 ทฤษฎีการเข้ารหัสอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient coding): งานวิจัยของ Lewicki (2002) แสดงให้เห็นว่าเสียงจากธรรมชาติ, สัตว์, และภาษามนุษย์มีรูปแบบการกระจายความถี่–เวลาแตกต่างกัน และระบบการได้ยินของมนุษย์อาจวิวัฒนาการมาเพื่อเข้ารหัสเสียงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การรับรู้เสียงของมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงการแยกความถี่แบบคณิตศาสตร์ แต่เป็นกระบวนการทางชีวภาพที่ซับซ้อนและปรับตัวได้ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวของระบบประสาทให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและเสียงที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน https://www.dissonances.blog/p/the-ear-does-not-do-a-fourier-transform
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Denmark ถอนข้อเสนอ “Chat Control” หลังเจอกระแสต้านหนักจาก EU และองค์กรสิทธิ

    รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเดนมาร์กประกาศถอนข้อเสนอร่างกฎหมาย “Chat Control” ที่จะบังคับให้แพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความผู้ใช้ แม้เป็นแบบเข้ารหัส (end-to-end) หลังเผชิญเสียงคัดค้านจากเยอรมนีและองค์กรด้านความเป็นส่วนตัว

    สาระสำคัญจากข่าว
    Chat Control คืออะไร? เป็นข้อเสนอของ EU ที่ต้องการให้แพลตฟอร์มสื่อสาร เช่น WhatsApp, Signal, Messenger ตรวจสอบข้อความผู้ใช้เพื่อป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) แม้ข้อความจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end

    เดนมาร์กนำกลับมาเสนออีกครั้งในช่วงดำรงตำแหน่งประธานสภายุโรป แต่หลังจากเยอรมนีประกาศไม่สนับสนุนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ข้อเสนอของเดนมาร์กก็ถูกถอนออกในวันที่ 30 ตุลาคม

    รัฐมนตรี Peter Hummelgaard ระบุว่าเดนมาร์กจะสนับสนุนการตรวจจับ CSAM แบบสมัครใจแทน โดยกล่าวว่า “หมายค้นจะไม่อยู่ในข้อเสนอใหม่ของ EU และจะยังคงเป็นเรื่องสมัครใจสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในการตรวจหาเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก”

    Meredith Whittaker ประธาน Signal Foundation คัดค้านอย่างหนัก เธอระบุว่า “สิ่งที่เสนอคือการสอดแนมแบบมวลชนที่เปิดเผยข้อความส่วนตัวของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นักข่าว หรือผู้เคลื่อนไหว” และขู่ว่า Signal จะถอนตัวจากตลาดยุโรปหากกฎหมายนี้ผ่าน

    การถอนข้อเสนอครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างการปกป้องเด็กกับการรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทิศทางนโยบายดิจิทัลของสหภาพยุโรปในอนาคต

    https://therecord.media/demark-reportedly-withdraws-chat-control-proposal
    🇩🇰 Denmark ถอนข้อเสนอ “Chat Control” หลังเจอกระแสต้านหนักจาก EU และองค์กรสิทธิ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเดนมาร์กประกาศถอนข้อเสนอร่างกฎหมาย “Chat Control” ที่จะบังคับให้แพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความผู้ใช้ แม้เป็นแบบเข้ารหัส (end-to-end) หลังเผชิญเสียงคัดค้านจากเยอรมนีและองค์กรด้านความเป็นส่วนตัว 🔍 สาระสำคัญจากข่าว 💠 Chat Control คืออะไร? เป็นข้อเสนอของ EU ที่ต้องการให้แพลตฟอร์มสื่อสาร เช่น WhatsApp, Signal, Messenger ตรวจสอบข้อความผู้ใช้เพื่อป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) แม้ข้อความจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end 💠 เดนมาร์กนำกลับมาเสนออีกครั้งในช่วงดำรงตำแหน่งประธานสภายุโรป แต่หลังจากเยอรมนีประกาศไม่สนับสนุนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ข้อเสนอของเดนมาร์กก็ถูกถอนออกในวันที่ 30 ตุลาคม 💠 รัฐมนตรี Peter Hummelgaard ระบุว่าเดนมาร์กจะสนับสนุนการตรวจจับ CSAM แบบสมัครใจแทน โดยกล่าวว่า “หมายค้นจะไม่อยู่ในข้อเสนอใหม่ของ EU และจะยังคงเป็นเรื่องสมัครใจสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในการตรวจหาเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก” 💠 Meredith Whittaker ประธาน Signal Foundation คัดค้านอย่างหนัก เธอระบุว่า “สิ่งที่เสนอคือการสอดแนมแบบมวลชนที่เปิดเผยข้อความส่วนตัวของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นักข่าว หรือผู้เคลื่อนไหว” และขู่ว่า Signal จะถอนตัวจากตลาดยุโรปหากกฎหมายนี้ผ่าน การถอนข้อเสนอครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างการปกป้องเด็กกับการรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทิศทางนโยบายดิจิทัลของสหภาพยุโรปในอนาคต https://therecord.media/demark-reportedly-withdraws-chat-control-proposal
    THERECORD.MEDIA
    Denmark reportedly withdraws Chat Control proposal following controversy
    Earlier in its European Council presidency, Denmark had brought back a draft law which would have required scanning of electronic messages, sparking an intense backlash.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVE-2025-11833 ในปลั๊กอิน Post SMTP ทำให้เว็บไซต์ WordPress กว่า 400,000 แห่งเสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ!

    ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization ที่เปิดทางให้ผู้ไม่ล็อกอินสามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านและยึดบัญชีแอดมินได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ใด ๆ

    ปลั๊กอิน Post SMTP ใช้กันอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ WordPress เพื่อจัดการการส่งอีเมลให้เชื่อถือได้ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือรีเซ็ตรหัสผ่าน แต่ในเวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีฟังก์ชันที่เปิดให้เข้าถึง log อีเมลโดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้ (CVE-2025-11833) มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 ซึ่งถือว่า “วิกฤต” เพราะ:
    ผู้โจมตีไม่จำเป็นต้องล็อกอิน
    สามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ
    คลิกลิงก์รีเซ็ตแล้วตั้งรหัสใหม่ได้ทันที
    ส่งผลให้สามารถยึดเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ

    นักวิจัยจาก Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีจริงแล้ว โดยบล็อกได้ 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตปลั๊กอินเป็นเวอร์ชัน 3.6.1 โดยด่วน

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-11833
    ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization
    เปิดให้ผู้ไม่ล็อกอินเข้าถึง log อีเมล
    สามารถเข้าถึงลิงก์รีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ
    คะแนน CVSS 9.8 (ระดับวิกฤต)

    ผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress
    เสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ
    ส่งผลให้เว็บไซต์ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี
    มีการโจมตีจริงแล้วในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

    วิธีป้องกันและแก้ไข
    อัปเดตปลั๊กอิน Post SMTP เป็นเวอร์ชัน 3.6.1 ทันที
    ตรวจสอบ log อีเมลย้อนหลังว่ามีการเข้าถึงผิดปกติหรือไม่
    เปลี่ยนรหัสผ่านผู้ดูแลระบบและเปิดใช้งาน 2FA หากเป็นไปได้
    ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ทั้งหมดในระบบ

    https://securityonline.info/cve-2025-11833-cvss-9-8-critical-flaw-exposes-400000-wordpress-sites-to-unauthenticated-account-takeover/
    🚨🔓 ช่องโหว่ CVE-2025-11833 ในปลั๊กอิน Post SMTP ทำให้เว็บไซต์ WordPress กว่า 400,000 แห่งเสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ! ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization ที่เปิดทางให้ผู้ไม่ล็อกอินสามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านและยึดบัญชีแอดมินได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ใด ๆ ปลั๊กอิน Post SMTP ใช้กันอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ WordPress เพื่อจัดการการส่งอีเมลให้เชื่อถือได้ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือรีเซ็ตรหัสผ่าน แต่ในเวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีฟังก์ชันที่เปิดให้เข้าถึง log อีเมลโดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้ ช่องโหว่นี้ (CVE-2025-11833) มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 ซึ่งถือว่า “วิกฤต” เพราะ: 🪲 ผู้โจมตีไม่จำเป็นต้องล็อกอิน 🪲 สามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ 🪲 คลิกลิงก์รีเซ็ตแล้วตั้งรหัสใหม่ได้ทันที 🪲 ส่งผลให้สามารถยึดเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยจาก Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีจริงแล้ว โดยบล็อกได้ 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตปลั๊กอินเป็นเวอร์ชัน 3.6.1 โดยด่วน ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-11833 ➡️ ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization ➡️ เปิดให้ผู้ไม่ล็อกอินเข้าถึง log อีเมล ➡️ สามารถเข้าถึงลิงก์รีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ ➡️ คะแนน CVSS 9.8 (ระดับวิกฤต) ✅ ผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress ➡️ เสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ ➡️ ส่งผลให้เว็บไซต์ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี ➡️ มีการโจมตีจริงแล้วในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ✅ วิธีป้องกันและแก้ไข ➡️ อัปเดตปลั๊กอิน Post SMTP เป็นเวอร์ชัน 3.6.1 ทันที ➡️ ตรวจสอบ log อีเมลย้อนหลังว่ามีการเข้าถึงผิดปกติหรือไม่ ➡️ เปลี่ยนรหัสผ่านผู้ดูแลระบบและเปิดใช้งาน 2FA หากเป็นไปได้ ➡️ ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ทั้งหมดในระบบ https://securityonline.info/cve-2025-11833-cvss-9-8-critical-flaw-exposes-400000-wordpress-sites-to-unauthenticated-account-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    CVE-2025-11833 (CVSS 9.8): Critical Flaw Exposes 400,000 WordPress Sites to Unauthenticated Account Takeover
    Urgent patch for Post SMTP plugin. A CVSS 9.8 flaw lets unauthenticated attackers read email logs and steal password reset links to take over accounts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • To get the most accurate estimate, it’s best to compare multiple quotes from different providers. This will help you choose the right service for your budget and move requirements. It’s also a good idea to check the movers and packers price list in Chennai to see how much each company charges for their services. It will help you plan your move more accurately and avoid surprises during the process.

    Visit https://globalsafecargomovers.com/
    To get the most accurate estimate, it’s best to compare multiple quotes from different providers. This will help you choose the right service for your budget and move requirements. It’s also a good idea to check the movers and packers price list in Chennai to see how much each company charges for their services. It will help you plan your move more accurately and avoid surprises during the process. Visit https://globalsafecargomovers.com/
    GLOBALSAFECARGOMOVERS.COM
    Top Packers and Movers chennai - 9840440494 - Best in Chennai
    Professional Packers and Movers chennai - Hire Global Safe Cargo Movers is Professional & Best Movers and Packers chennai Services to help you shift. @GlobalSafeCargoMovers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดข้อมูล Galaxy Book6 Pro ใช้ Intel Core Ultra Series 3 (Panther Lake) พร้อม iGPU Xe3 รุ่นใหม่!

    Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู Intel Panther Lake Core Ultra Series 3 ซึ่งมาพร้อม iGPU Xe3 ที่แรงระดับ RTX 3050 และรองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ คาดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026

    ข้อมูลหลุดจาก Geekbench เผยว่า Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่จะใช้ซีพียู Intel Core Ultra 5 234V ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นของแพลตฟอร์ม Panther Lake ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Intel 18A อันล้ำสมัย โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้:

    12-core CPU: 4 P-Cores + 8 E-Cores
    iGPU Xe3: 8 Xe cores พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่
    NPU: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ
    Base clock: 3.8 GHz
    คะแนน Geekbench 6:
      • Single-core: 1,842
      • Multi-core: 9,628

    แม้คะแนนจะยังไม่สูงเท่ารุ่น Lunar Lake ที่ใช้ Core Ultra 7 268V แต่ก็ถือว่าแรงพอสำหรับงานทั่วไป, การเล่นเกมระดับกลาง และการประมวลผล AI เช่นการรัน LLM หรือ Copilot แบบออฟไลน์

    Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook แต่จะมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ให้รองรับการทำงานของ NPU และ iGPU ที่ใช้พลังงานมากขึ้น

    ข้อมูลจากการหลุด Geekbench
    ใช้ Intel Core Ultra 5 234V (Panther Lake)
    12-core: 4P + 8E
    Base clock 3.8 GHz
    คะแนน Geekbench 6: 1,842 / 9,628

    จุดเด่นของ Panther Lake
    ผลิตด้วย Intel 18A node
    iGPU Xe3 รุ่นใหม่ แรงระดับ RTX 3050
    รองรับฟีเจอร์ AI PC ผ่าน NPU
    ประสิทธิภาพดีขึ้นในงาน AI และกราฟิก

    Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่
    ดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook
    ปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่
    คาดเปิดตัวต้นปี 2026

    https://wccftech.com/samsung-galaxy-book6-pro-intel-core-ultra-series-3-panther-lake-cpu-leak/
    🧠💻 หลุดข้อมูล Galaxy Book6 Pro ใช้ Intel Core Ultra Series 3 (Panther Lake) พร้อม iGPU Xe3 รุ่นใหม่! Samsung เตรียมเปิดตัว Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ซีพียู Intel Panther Lake Core Ultra Series 3 ซึ่งมาพร้อม iGPU Xe3 ที่แรงระดับ RTX 3050 และรองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ คาดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 ข้อมูลหลุดจาก Geekbench เผยว่า Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่จะใช้ซีพียู Intel Core Ultra 5 234V ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นของแพลตฟอร์ม Panther Lake ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Intel 18A อันล้ำสมัย โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้: 🎗️ 12-core CPU: 4 P-Cores + 8 E-Cores 🎗️ iGPU Xe3: 8 Xe cores พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ 🎗️ NPU: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ 🎗️ Base clock: 3.8 GHz 🎗️ คะแนน Geekbench 6:   • Single-core: 1,842   • Multi-core: 9,628 แม้คะแนนจะยังไม่สูงเท่ารุ่น Lunar Lake ที่ใช้ Core Ultra 7 268V แต่ก็ถือว่าแรงพอสำหรับงานทั่วไป, การเล่นเกมระดับกลาง และการประมวลผล AI เช่นการรัน LLM หรือ Copilot แบบออฟไลน์ Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook แต่จะมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ให้รองรับการทำงานของ NPU และ iGPU ที่ใช้พลังงานมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากการหลุด Geekbench ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 5 234V (Panther Lake) ➡️ 12-core: 4P + 8E ➡️ Base clock 3.8 GHz ➡️ คะแนน Geekbench 6: 1,842 / 9,628 ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ ผลิตด้วย Intel 18A node ➡️ iGPU Xe3 รุ่นใหม่ แรงระดับ RTX 3050 ➡️ รองรับฟีเจอร์ AI PC ผ่าน NPU ➡️ ประสิทธิภาพดีขึ้นในงาน AI และกราฟิก ✅ Galaxy Book6 Pro รุ่นใหม่ ➡️ ดีไซน์บางเบาแบบ ultrabook ➡️ ปรับปรุงระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ ➡️ คาดเปิดตัวต้นปี 2026 https://wccftech.com/samsung-galaxy-book6-pro-intel-core-ultra-series-3-panther-lake-cpu-leak/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Galaxy Book6 Pro With Intel Core Ultra Series 3 "Panther Lake" CPU Leaks Out
    Samsung's upcoming Galaxy Book6 Pro featuring the Intel Core Ultra Series 3 "Panther Lake" CPU has leaked out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lock Glimpse: ฟีเจอร์ใหม่จาก Nothing ที่เปลี่ยนหน้าจอล็อกให้กลายเป็นพื้นที่โฆษณา (แบบแนบเนียน)

    Nothing เปิดตัวฟีเจอร์ “Lock Glimpse” บนสมาร์ทโฟนรุ่น 3a และ 3a Lite ซึ่งแสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความภายนอกที่มีโฆษณาแฝง แม้จะไม่ใช่โฆษณาเต็มจอแบบตรง ๆ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและคุณภาพของเนื้อหา

    ฟีเจอร์ Lock Glimpse ของ Nothing ทำงานโดยแสดงวอลเปเปอร์แบบหมุนเวียนบนหน้าจอล็อก พร้อมลิงก์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น สูตรอาหารหรือบทความ DIY หากผู้ใช้แตะลิงก์นั้น จะถูกนำไปยังหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งหลายบทความถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจสร้างโดย AI และไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน

    บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาเหล่านี้ชื่อว่า Vilykke ซึ่งไม่มีเว็บไซต์หลักหรือข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Nothing กำลังร่วมมือกับ “ฟาร์มคลิกเบต” เพื่อสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน

    Nothing ชี้แจงว่า Lock Glimpse มีจุดประสงค์เพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” โดยนำเสนอ “เนื้อหาที่มีประโยชน์และทันเวลา” และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นเฉพาะในรุ่น 3a Lite และสามารถปิดได้ใน Settings

    รายละเอียดของ Lock Glimpse
    แสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความ
    บทความมีโฆษณาแฝง และอาจสร้างโดย AI
    ฟีเจอร์เปิดโดยค่าเริ่มต้นในรุ่น 3a Lite
    ปิดได้ใน Settings หรือปัดซ้ายจากหน้าจอล็อก

    คำชี้แจงจาก Nothing
    ไม่มีการเก็บหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว
    ฟีเจอร์ออกแบบมาเพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” ไม่ใช่รบกวน
    อ้างว่าเนื้อหาคัดสรรจากหมวดหมู่ที่ผู้ใช้เลือกได้

    บริบทของอุตสาหกรรม
    Motorola, Samsung, Xiaomi เคยใช้ฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Glance
    Nothing อาจร่วมมือกับบริษัท Bouyan จากฮ่องกง
    การแสดงโฆษณาบนหน้าจอล็อกเริ่มกลายเป็นแนวโน้มในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

    คำเตือนจากข่าวนี้
    บทความที่แสดงอาจไม่มีคุณภาพหรือแหล่งอ้างอิง
    ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณา
    ความโปร่งใสของ Nothing ถูกตั้งคำถาม
    ฟีเจอร์นี้อาจขัดกับภาพลักษณ์ “UX สะอาด” ที่ Nothing เคยโปรโมต

    https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/watch-out-lock-screen-ads-are-coming-to-smartphones-and-nothings-are-the-strangest-ones-yet
    📱🔒 Lock Glimpse: ฟีเจอร์ใหม่จาก Nothing ที่เปลี่ยนหน้าจอล็อกให้กลายเป็นพื้นที่โฆษณา (แบบแนบเนียน) Nothing เปิดตัวฟีเจอร์ “Lock Glimpse” บนสมาร์ทโฟนรุ่น 3a และ 3a Lite ซึ่งแสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความภายนอกที่มีโฆษณาแฝง แม้จะไม่ใช่โฆษณาเต็มจอแบบตรง ๆ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและคุณภาพของเนื้อหา ฟีเจอร์ Lock Glimpse ของ Nothing ทำงานโดยแสดงวอลเปเปอร์แบบหมุนเวียนบนหน้าจอล็อก พร้อมลิงก์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น สูตรอาหารหรือบทความ DIY หากผู้ใช้แตะลิงก์นั้น จะถูกนำไปยังหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งหลายบทความถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจสร้างโดย AI และไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาเหล่านี้ชื่อว่า Vilykke ซึ่งไม่มีเว็บไซต์หลักหรือข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Nothing กำลังร่วมมือกับ “ฟาร์มคลิกเบต” เพื่อสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน Nothing ชี้แจงว่า Lock Glimpse มีจุดประสงค์เพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” โดยนำเสนอ “เนื้อหาที่มีประโยชน์และทันเวลา” และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นเฉพาะในรุ่น 3a Lite และสามารถปิดได้ใน Settings ✅ รายละเอียดของ Lock Glimpse ➡️ แสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความ ➡️ บทความมีโฆษณาแฝง และอาจสร้างโดย AI ➡️ ฟีเจอร์เปิดโดยค่าเริ่มต้นในรุ่น 3a Lite ➡️ ปิดได้ใน Settings หรือปัดซ้ายจากหน้าจอล็อก ✅ คำชี้แจงจาก Nothing ➡️ ไม่มีการเก็บหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว ➡️ ฟีเจอร์ออกแบบมาเพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” ไม่ใช่รบกวน ➡️ อ้างว่าเนื้อหาคัดสรรจากหมวดหมู่ที่ผู้ใช้เลือกได้ ✅ บริบทของอุตสาหกรรม ➡️ Motorola, Samsung, Xiaomi เคยใช้ฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Glance ➡️ Nothing อาจร่วมมือกับบริษัท Bouyan จากฮ่องกง ➡️ การแสดงโฆษณาบนหน้าจอล็อกเริ่มกลายเป็นแนวโน้มในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ‼️ คำเตือนจากข่าวนี้ ⛔ บทความที่แสดงอาจไม่มีคุณภาพหรือแหล่งอ้างอิง ⛔ ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณา ⛔ ความโปร่งใสของ Nothing ถูกตั้งคำถาม ⛔ ฟีเจอร์นี้อาจขัดกับภาพลักษณ์ “UX สะอาด” ที่ Nothing เคยโปรโมต https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/watch-out-lock-screen-ads-are-coming-to-smartphones-and-nothings-are-the-strangest-ones-yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • Substrate เปิดตัวเทคโนโลยี X-ray Lithography ด้วยเครื่องเร่งอนุภาค ตั้งเป้าผลิตชิประดับ 2nm ด้วยต้นทุนแค่ 10% ของ EUV!

    สตาร์ทอัพอเมริกันชื่อ Substrate สร้างความฮือฮาด้วยการพัฒนาเครื่องพิมพ์ชิปแบบใหม่ที่ใช้แหล่งกำเนิดแสงจากเครื่องเร่งอนุภาค แทนที่เทคโนโลยี EUV ของ ASML โดยตั้งเป้าผลิตชิประดับ 2nm-class ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าถึง 10 เท่า และคุณภาพที่อาจเหนือกว่าในบางด้าน

    Substrate ไม่ได้ขายเครื่องพิมพ์ชิปให้บริษัทอื่น แต่จะสร้างโรงงานของตัวเองและให้บริการผลิตชิปแบบ foundry โดยใช้ระบบ X-ray Lithography (XRL) ที่พัฒนาเอง ซึ่งใช้แหล่งกำเนิดแสงจากเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็ก

    หลักการทำงานคือยิงอิเล็กตรอนด้วยคลื่นวิทยุให้เคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง แล้วปล่อยผ่านสนามแม่เหล็กที่สลับทิศทาง ทำให้เกิดแสง X-ray ที่มีความเข้มสูงมาก จากนั้นใช้ชุดกระจกสะท้อนแบบ grazing-incidence เพื่อโฟกัสแสงไปยังแผ่นซิลิกอน

    Substrate อ้างว่าสามารถพิมพ์โครงสร้างขนาด 12nm CD และ 13nm T2T spacing ได้ด้วยความแม่นยำสูง ซึ่งเหนือกว่าเครื่อง EUV รุ่น Low-NA ในปัจจุบัน และอาจลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ที่ซับซ้อน

    เทคโนโลยีของ Substrate
    ใช้เครื่องเร่งอนุภาคสร้างแสง X-ray สำหรับ lithography
    ไม่ใช้ reticle แบบเดิม อาจเป็น direct-write หรือ maskless
    ใช้กระจกสะท้อนแบบ grazing-incidence เพื่อโฟกัสแสง
    พิมพ์โครงสร้างระดับ 2nm-class ได้โดยไม่ต้อง multi-patterning

    ผลการทดสอบเบื้องต้น
    พิมพ์ CD ขนาด 12nm และ T2T spacing 13nm ได้ด้วยความแม่นยำสูง
    มีภาพตัวอย่างของ logic contact array และ random vias
    อ้างว่า overlay accuracy ต่ำกว่า 1.6nm และ CDU 0.25nm

    เป้าหมายของบริษัท
    สร้างโรงงานของตัวเองในสหรัฐฯ
    ให้บริการผลิตชิปแบบ foundry ไม่ขายเครื่องมือ
    ตั้งเป้าลดต้นทุน wafer จาก $100,000 เหลือ $10,000 ภายในปี 2030

    ความท้าทายที่ยังต้องแก้
    ต้องพัฒนา photoresist ที่ทนแสง X-ray ได้
    ต้องผลิตกระจกสะท้อน X-ray แบบ mass production
    ต้องแก้ปัญหา overlay accuracy ให้ต่ำกว่า 1nm
    ต้องพิสูจน์ว่า throughput และ yield เหมาะกับการผลิตจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/american-startup-substrate-promises-2nm-class-chipmaking-with-particle-accelerators-at-a-tenth-of-the-cost-of-euv-x-ray-lithography-system-has-potential-to-surpass-asmls-euv-scanners
    ⚡🔬 Substrate เปิดตัวเทคโนโลยี X-ray Lithography ด้วยเครื่องเร่งอนุภาค ตั้งเป้าผลิตชิประดับ 2nm ด้วยต้นทุนแค่ 10% ของ EUV! สตาร์ทอัพอเมริกันชื่อ Substrate สร้างความฮือฮาด้วยการพัฒนาเครื่องพิมพ์ชิปแบบใหม่ที่ใช้แหล่งกำเนิดแสงจากเครื่องเร่งอนุภาค แทนที่เทคโนโลยี EUV ของ ASML โดยตั้งเป้าผลิตชิประดับ 2nm-class ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าถึง 10 เท่า และคุณภาพที่อาจเหนือกว่าในบางด้าน Substrate ไม่ได้ขายเครื่องพิมพ์ชิปให้บริษัทอื่น แต่จะสร้างโรงงานของตัวเองและให้บริการผลิตชิปแบบ foundry โดยใช้ระบบ X-ray Lithography (XRL) ที่พัฒนาเอง ซึ่งใช้แหล่งกำเนิดแสงจากเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเล็ก หลักการทำงานคือยิงอิเล็กตรอนด้วยคลื่นวิทยุให้เคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง แล้วปล่อยผ่านสนามแม่เหล็กที่สลับทิศทาง ทำให้เกิดแสง X-ray ที่มีความเข้มสูงมาก จากนั้นใช้ชุดกระจกสะท้อนแบบ grazing-incidence เพื่อโฟกัสแสงไปยังแผ่นซิลิกอน Substrate อ้างว่าสามารถพิมพ์โครงสร้างขนาด 12nm CD และ 13nm T2T spacing ได้ด้วยความแม่นยำสูง ซึ่งเหนือกว่าเครื่อง EUV รุ่น Low-NA ในปัจจุบัน และอาจลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ที่ซับซ้อน ✅ เทคโนโลยีของ Substrate ➡️ ใช้เครื่องเร่งอนุภาคสร้างแสง X-ray สำหรับ lithography ➡️ ไม่ใช้ reticle แบบเดิม อาจเป็น direct-write หรือ maskless ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแบบ grazing-incidence เพื่อโฟกัสแสง ➡️ พิมพ์โครงสร้างระดับ 2nm-class ได้โดยไม่ต้อง multi-patterning ✅ ผลการทดสอบเบื้องต้น ➡️ พิมพ์ CD ขนาด 12nm และ T2T spacing 13nm ได้ด้วยความแม่นยำสูง ➡️ มีภาพตัวอย่างของ logic contact array และ random vias ➡️ อ้างว่า overlay accuracy ต่ำกว่า 1.6nm และ CDU 0.25nm ✅ เป้าหมายของบริษัท ➡️ สร้างโรงงานของตัวเองในสหรัฐฯ ➡️ ให้บริการผลิตชิปแบบ foundry ไม่ขายเครื่องมือ ➡️ ตั้งเป้าลดต้นทุน wafer จาก $100,000 เหลือ $10,000 ภายในปี 2030 ✅ ความท้าทายที่ยังต้องแก้ ➡️ ต้องพัฒนา photoresist ที่ทนแสง X-ray ได้ ➡️ ต้องผลิตกระจกสะท้อน X-ray แบบ mass production ➡️ ต้องแก้ปัญหา overlay accuracy ให้ต่ำกว่า 1nm ➡️ ต้องพิสูจน์ว่า throughput และ yield เหมาะกับการผลิตจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/american-startup-substrate-promises-2nm-class-chipmaking-with-particle-accelerators-at-a-tenth-of-the-cost-of-euv-x-ray-lithography-system-has-potential-to-surpass-asmls-euv-scanners
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์

    บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน

    สาระสำคัญจากบทความ
    ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง

    Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม

    หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม

    ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

    แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

    เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet
    กรอง Spam และตรวจสอบความจริง
    mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม
    CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา

    สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง
    phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด
    Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ

    ปกป้องการท่องเว็บ
    DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam
    RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง

    ข้อคิดจากผู้เขียน
    แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว”

    https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    🧠📉 บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน 🧩 สาระสำคัญจากบทความ 💠 ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง 💠 Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม 💠 หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม 💠 ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 💠 แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 🛠️ เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet 💠 กรอง Spam และตรวจสอบความจริง 🎗️ mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม 🎗️ CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา 💠 สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง 🎗️ phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด 🎗️ Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ 💠 ปกป้องการท่องเว็บ 🎗️ DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam 🎗️ RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง 🧭 ข้อคิดจากผู้เขียน แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว” https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Internet is Dying. We Can Still Stop It
    Almost 50% of all internet traffic are non-human already. Unchecked, it could lead to a zombie internet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 5

    คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา

    ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย

    แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ

    Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค
    Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ

    เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน

    เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 6

    เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน

    เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย

    นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust

    ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง

    เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส

    ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย

    ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ

    มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ
    Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin”

    Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust

    ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว

    สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต

    อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 5 คณะกรรมาธิการ 1919 the Senate Overman Committee ได้ลงความเห็นว่า Guaranty Trust มี บทบาทสูง และทำอย่างสม่ำเสมอ ในการสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นการปฏิบัติตัวอย่างไม่เป็นกลาง ตามคำให้การของนาย Becker เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา ที่สำคัญ การสนับสนุนทางการเงิน แก่เยอรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการผิดกฏหมายเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันนั้น Guaranty Trust ก็ให้การสนับสนุนทางการเงิน กับฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้นด้วย มันเป็นเรื่องของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดจรรยาบรรณ อย่างร้ายแรงของ Guaranty Trust อีกด้วย แต่ฤทธิเดชความพลิกแพลงของนักการเงินวอลสตรีท ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ยังมีตัวละครสำคัญอีกหลายราย ที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของกลุ่มการเงินวอลสตรีท ประสบความสำเร็จ Count Jacques Minotto เป็นตัวละครอีกรายหนึ่ง ที่โยงการปฏิวัติ Bolsheviks ในรัสเซียกับกลุ่มธนาคารเยอรมัน และการจารกรรมในอเมริกา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์ค Jacques Minotto เกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1891 ที่เบอร์ลิน พ่อเป็นชาวออสเตรียนที่มีเชื้อเจ้า ส่วนแม่เป็นเยอรมัน Minotto เรียนหนังสือที่เบอร์ลิน เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานที่ Deutsche Bank ในเบอร์ลินเมื่อปี 1912 ทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ เขาก็ถูกส่งตัวมาเป็นผู้ช่วยของ Hugo Schmidt ซึ่งเป็นกรรมการของธนาคาร และเป็นตัวแทนของ Deutsche Bank ที่นิวยอร์ค เรียกว่าเป็นเด็กเส้น อยู่นิวยอร์คได้ 1 ปี นาย Minotto เด็กเส้นก็ถูกส่งไปอยู่ Deutsche Bank ที่ลอนดอน ทำให้เขาได้วนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูง ของนักการเมืองและนักการฑูต เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มก่อตัว Minotto กลับมาอยู่ที่อเมริกา และได้มีโอกาสพบกับ Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมันประจำอเมริกา หลังจากนั้น Minotto ก็เลยเปลี่ยนที่ทำงาน ย้ายมาทำงานหน้าที่ Guaranty Trust Company ในนิวยอร์คแทน และอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาย Max May ซึ่งเป็นกรรมการด้านนโยบายฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust เป็น Max May ที่ Olof Aschberg นายธนาคารของพวก Bolsheviks เดินตามต้อยๆ เดือนตุลาคม 1914 Guaranty Trust ส่ง Minotto ไปอเมริกาใต้ เพื่อไปทำการสำรวจ และวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ธุรกิจการเงิน และการค้าในแถบนั้น และก็เหมือนชีวิตในลอนดอน และนิวยอร์ค Minotto พาตัวเองเข้าสู่สังคมชั้นสูง แท้จริงแล้ว ภาระกิจของ Minotto ในลาตินอเมริกาคือ หาทางให้ Guaranty Trust สามารถเป็นตัวกลาง ในการระดมเงินทุนให้เยอรมัน แทนตลาดลอนดอน ซึ่งขณะนั้นปฏิเสธที่จะทำ เนื่องจากอังกฤษกำลังทำสงครามอยู่กับเยอรมัน เอะ คราวนี้อังกฤษเกิดมีจรรยาบรรณ อย่าเพิ่งเข้าใจเป็นอย่างนั้น อังกฤษไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยอรมันมากกว่า อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเยอรมัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ทางใด อังกฤษจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มากว่าร้อยปี เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่อีกเรื่องนึง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 6 เมื่อ Minotto เดินทางกลับมานิวยอร์ค เขากลับมาคบค้ากับ Count Von Berntorff ต่อ และพยายาม สมัครเข้าไปอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ของกองทัพเรืออเมริกัน แต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้น เขาถูกจับ ข้อหาจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมเยอรมัน ขณะถูกจับ Minotto ทำงานอยู่ที่โรงงานในชิคาโก ให้กับพ่อตาของเขา Louis Swift เจ้าของบริษัท Swift & Co ซึ่งทำอุตสาหกรรมส่งเนื้อสัตว์แช่แข็ง พ่อตาใช้พันธบัตร จำนวน 50,000 เหรียญ ประกัน Minotto ออกมา แต่ตอนหลังคุณพ่อตา ก็ถูกจับข้อหาโปรเยอรมันเช่นเดียวกัน เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไม่ แน่ใจ แต่คุณพ่อตานี้ เป็นพี่ชาย ของ Major Harold H. Swift ที่ร่วมเดินทางไป Petrograd กับ William Boyce Thompson ในคณะภารกิจกาชาด Red Cross Mission เพื่อรัสเซีย ในปี 1917 ที่จะเล่าต่อไปด้วย นาย Josef Caillaux เป็นนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เขารู้จักและเที่ยวเตร่กับ Minotto ที่ลาตินอเมริกา เมื่อตอนที่ Minotto ไปทำภาระกิจให้ Guaranty Trust ปี 1911 Caillaux ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง และในปีเดียวกัน เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส และมี John Louis Malvy เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเขา หลังจากนั้นไม่กี่ปี คุณนาย Caillaux ก็ปฏิบัติการฆาตกรรม นาย Calmette บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดังของฝรั่งเศส Figaro อัยการตั้งข้อหาว่า คุณนาย Caillaux ฆ่า Calmette เพื่อปิดปากไม่ให้ Calmette ตีพิมพ์เอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้นาย Caillaux และคุณนายใจโหด หนีออกไปจากฝรั่งเศส และไปอยู่ที่แถบลาตินอเมริกา จน Minotto ได้ไปพบ และในที่สุด Minotto กับครอบครัว Caillaux ก็สนิทสนมกลมเกลียว ท่องเที่ยวด้วยกันไปทั่วอเมริกาใต้ เมื่อได้กลับมาฝรั่งเศสอีกครั้ง ครอบครัว Caillaux พักอยู่ที่ Biarrtiz ในฐานะแขกของ Paul Bolo-Pasha ซึ่งเป็นสายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในฝรั่งเศส ในเดือนกรกฏาคม 1915 Minotto เดินทางจากอิตาลีมาฝรั่งเศสและพบกับครอบครัว Caillaux ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัว Caillauxเป็นแขกรับเชิญของ Bolo-Pasha และพักที่ Biarrtiz อย่างเคย ภาระกิจของ Bolo-Pasha ที่ฝรั่งเศสคือ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเยอรมัน ผ่านหนังสือพิมพ์ชั้นนำของฝรั่งเศสคือ Le Temps และ Figaro หลังจากนั้น Bolo-Pasha ก็เดินทางไปนิวยอร์ค เพื่อพบกับ Von Pavenstedt สายลับระดับหัวหน้าของเยอรมัน ที่ปฏิบัติภาระกิจอยู่ในอเมริกา และเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธุ์ระดับลึก กับ Amsinck & Co ของ Guaranty Trust ที่ กลุ่ม Morgan เป็นเจ้าของ มันเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ของพวกโคตรแสบและชั่วจริงๆ Severance Johnson เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Enemy Within เกี่ยวกับ Caillaux และ Malvy ซึ่งพยายามทำการปฏิวัติที่เรี ยกว่า French Bolsheviks ในฝรั่งเศสปี 1918 แต่ไม่สำเร็จว่า “ถ้าการปฏิวัติทำสำเร็จ Malvy ก็คงจะเป็น Trotsky แห่งฝรั่งเศส และ Caillaux ก็คงจะเป็น Lenin” Caillaux และ Malvy ได้ ร่วมกันตั้งพรรคสังคมนิยมหัวรุนแรงขึ้นในฝรั่งเศส โดยใช้เงินทุนของเยอรมัน และถูกจับตัวขึ้นศาล ในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากการไต่สวนของศาล เกี่ยวกับการกระทำเป็นสายลับในฝรั่งเศสในปี 1919 และมีการสืบพยานเกี่ยวกับธนาคารในนิวยอร์ค และสัมพันธ์ของพวกธนาคารกับพวก สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งระบุว่า มีการเชื่อมโยงระหว่าง Count Minotto กับ Caillaux และ Guaranty Trust กับDeutsche Bank และการร่วมมือระหว่าง Hugo Schimdt ของ Deutsche Bank กับ Max May ของ Guaranty Trust ต่อมาในปลายปี 1922 Max May ได้เป็นกรรมการของธนาคาร Ruskombank และเป็นตัวแทนของกลุ่ม Guaranty Trust ซึ่งถือหุ้นอยู่ในธนาคารดังกล่าว สรุปว่า นาย Max May ของ Guaranty Trust เกี่ยวโยงกับการระดมเงินทุน อย่างไม่ถูกกฏหมายให้แก่เยอรมัน เพื่อทำการจารกรรมในอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Max May ก็เกี่ยวโยง โดยทางอ้อมกับพวกปฏิวัติ Bolsheviks และเกี่ยวโดยตรงกับการตั้งธนาคาร Ruskombank ธนาคารระหว่างประเทศแห่งแรกในสหภาพโซเวียต อาจจะยังเร็วไป ที่จะสรุปว่า การกระทำ ที่ทั้งผิดกฏหมายและผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรงเหล่านี้ มีคำอธิบายอย่างไร อาจมีผู้สรุปชั้นแรกตรงไปตรงมา ว่า น่าจะมาจากความต้องการทำกำไร ความงกในการทำธุรกิจ ของกลุ่มนักการเงิน แต่มันจะเป็นแค่นั้นแน่หรือ… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 3

    นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร

    แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร

    ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้

    ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้
    ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

    ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน !

    หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง

    แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ :

    “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย”
    หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต

    สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก”

    ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank

    แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต

    ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 4

    นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ
    แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้

    ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin

    รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน

    เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ

    – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน

    Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน
    – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ

    – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ

    เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก

    Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้”

    Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ

    Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ

    เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 3 นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้ ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน ! หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ : “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย” หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก” ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 4 นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้ ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้” Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 1

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก

    กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย

    ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ
    J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย

    ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan

    เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ

    ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย

    มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey

    “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ”

    “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….”
    เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย

    กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์

    นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917

    การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ
    อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915

    การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks

    และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก

    รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล

    การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา

    การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 2

    ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด

    และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย

    อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย !

    J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม

    จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา

    ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน
    นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ

    แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ

    เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว

    มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ” “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….” เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์ นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917 การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915 การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 2 ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย ! J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง!

    เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ!

    Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี!

    Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210
    นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP!

    ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น!

    ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ

    ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด!

    สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง!

    Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ!

    ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!

    ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น.
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    🔪🧊 ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง! 👋 เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? 🤦‍♀️ มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ! 🚨 Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี! ✨ Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210 นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP! ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น! 🥶 ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ 📐 ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด! 🛡️ สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง! 🚨 Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ! 🔥 ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ! 🛒 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น. โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล?

    คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H

    X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20%
    255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว

    ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง

    คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H
    X7 ได้ประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000
    ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000

    สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น
    358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores
    255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores
    LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    จุดเด่นของ Panther Lake
    เน้น iGPU มากกว่า CPU
    ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060
    อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case
    ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น

    https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    ⚙️📉 หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล? คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H 💠 X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000 💠 5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20% 💠 255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง ✅ คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H ➡️ X7 ได้ประมาณ 20,000 ➡️ 5 338H ได้ประมาณ 16,000 ➡️ ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000 ✅ สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น ➡️ 358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores ➡️ 255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores ➡️ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ เน้น iGPU มากกว่า CPU ➡️ ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060 ➡️ อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case ➡️ ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Leaked Intel Core Ultra X7 358H and Ultra 5 338H Cinebench R23 Scores Reveal Concerning CPU Performance
    Intel's upcoming Panther Lake laptop CPU configurations previously leaked, revealing a line-up ranging from the modest Core Ultra 3 320U, with 2 P-Cores and 4 LPE-Cores to the notably higher-end Core Ultra X9 388H, featuring 4 P-Cores, 8 E-Cores, and 4 LPE-Cores. Now, performance figures for the mor...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts