• “Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดเรื่อง BIOS บนเครื่อง Dell — ผู้ดูแลระบบทั่วโลกปวดหัวกับการอัปเดตที่ไม่จำเป็น”

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 ผู้ดูแลระบบหลายองค์กรทั่วโลกเริ่มพบปัญหาแปลกจาก Microsoft Defender for Endpoint ซึ่งแจ้งเตือนว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell นั้นล้าสมัยและต้องอัปเดต ทั้งที่จริงแล้วเครื่องเหล่านั้นใช้เวอร์ชันล่าสุดอยู่แล้ว

    Microsoft ยืนยันว่าเป็น “บั๊กในตรรกะของโค้ด” ที่ใช้ตรวจสอบช่องโหว่บนอุปกรณ์ Dell โดยระบบดึงข้อมูล BIOS มาประเมินผิดพลาด ทำให้เกิดการแจ้งเตือนแบบ false positive ซึ่งสร้างความสับสนและภาระงานให้กับทีม IT ที่ต้องตรวจสอบทีละเครื่อง

    ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521 และแม้ว่า Microsoft จะพัฒนาแพตช์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาในระบบจริง ทำให้ผู้ใช้ต้องรอการอัปเดตในรอบถัดไป โดยในระหว่างนี้ ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบสถานะ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะว่าเป็นการแจ้งเตือนผิดหรือไม่

    ความผิดพลาดนี้ไม่ได้เกิดจาก BIOS ของ Dell เอง แต่เป็นข้อผิดพลาดในการประมวลผลของ Defender ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรที่ใช้ระบบ Microsoft 365 และมีการใช้งาน Defender for Endpoint ในการตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์

    นักวิเคราะห์เตือนว่า false alert แบบนี้อาจนำไปสู่ “alert fatigue” หรือภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนจริง เพราะถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการปล่อยให้ภัยคุกคามจริงหลุดรอดไปได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell ล้าสมัย
    สาเหตุเกิดจากบั๊กในตรรกะของโค้ดที่ใช้ประเมินช่องโหว่
    ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521
    Microsoft พัฒนาแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยใช้งานจริง
    ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะ false alert
    ปัญหานี้เกิดเฉพาะกับอุปกรณ์ Dell ที่ใช้ Defender for Endpoint
    ไม่ใช่ช่องโหว่ใน BIOS ของ Dell แต่เป็นข้อผิดพลาดในระบบของ Microsoft
    ส่งผลให้เกิดภาระงานและความสับสนในทีม IT
    Microsoft Defender for Endpoint เป็นระบบ XDR ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BIOS คือระบบพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ก่อนเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ
    การอัปเดต BIOS มีความสำคัญต่อความปลอดภัยระดับล่างของระบบ
    Alert fatigue เป็นภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนเพราะเจอ false alert บ่อย
    Defender for Endpoint ใช้ในองค์กรภาครัฐ การเงิน และสาธารณสุขอย่างแพร่หลาย
    การตรวจสอบ BIOS ควรทำผ่านช่องทางของ Dell โดยตรงเพื่อความแม่นยำ

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-scrambles-to-fix-annoying-defender-issue-that-demands-users-update-their-devices
    🛠️ “Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดเรื่อง BIOS บนเครื่อง Dell — ผู้ดูแลระบบทั่วโลกปวดหัวกับการอัปเดตที่ไม่จำเป็น” ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 ผู้ดูแลระบบหลายองค์กรทั่วโลกเริ่มพบปัญหาแปลกจาก Microsoft Defender for Endpoint ซึ่งแจ้งเตือนว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell นั้นล้าสมัยและต้องอัปเดต ทั้งที่จริงแล้วเครื่องเหล่านั้นใช้เวอร์ชันล่าสุดอยู่แล้ว Microsoft ยืนยันว่าเป็น “บั๊กในตรรกะของโค้ด” ที่ใช้ตรวจสอบช่องโหว่บนอุปกรณ์ Dell โดยระบบดึงข้อมูล BIOS มาประเมินผิดพลาด ทำให้เกิดการแจ้งเตือนแบบ false positive ซึ่งสร้างความสับสนและภาระงานให้กับทีม IT ที่ต้องตรวจสอบทีละเครื่อง ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521 และแม้ว่า Microsoft จะพัฒนาแพตช์แก้ไขเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาในระบบจริง ทำให้ผู้ใช้ต้องรอการอัปเดตในรอบถัดไป โดยในระหว่างนี้ ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบสถานะ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะว่าเป็นการแจ้งเตือนผิดหรือไม่ ความผิดพลาดนี้ไม่ได้เกิดจาก BIOS ของ Dell เอง แต่เป็นข้อผิดพลาดในการประมวลผลของ Defender ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรที่ใช้ระบบ Microsoft 365 และมีการใช้งาน Defender for Endpoint ในการตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์ นักวิเคราะห์เตือนว่า false alert แบบนี้อาจนำไปสู่ “alert fatigue” หรือภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนจริง เพราะถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการปล่อยให้ภัยคุกคามจริงหลุดรอดไปได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft Defender for Endpoint แจ้งเตือนผิดพลาดว่า BIOS บนอุปกรณ์ Dell ล้าสมัย ➡️ สาเหตุเกิดจากบั๊กในตรรกะของโค้ดที่ใช้ประเมินช่องโหว่ ➡️ ปัญหานี้ถูกติดตามภายใต้รหัส DZ1163521 ➡️ Microsoft พัฒนาแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ยังไม่ได้ปล่อยใช้งานจริง ➡️ ผู้ดูแลระบบต้องตรวจสอบ BIOS ด้วยตนเองเพื่อแยกแยะ false alert ➡️ ปัญหานี้เกิดเฉพาะกับอุปกรณ์ Dell ที่ใช้ Defender for Endpoint ➡️ ไม่ใช่ช่องโหว่ใน BIOS ของ Dell แต่เป็นข้อผิดพลาดในระบบของ Microsoft ➡️ ส่งผลให้เกิดภาระงานและความสับสนในทีม IT ➡️ Microsoft Defender for Endpoint เป็นระบบ XDR ที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BIOS คือระบบพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ก่อนเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ ➡️ การอัปเดต BIOS มีความสำคัญต่อความปลอดภัยระดับล่างของระบบ ➡️ Alert fatigue เป็นภาวะที่ผู้ดูแลระบบเริ่มละเลยการแจ้งเตือนเพราะเจอ false alert บ่อย ➡️ Defender for Endpoint ใช้ในองค์กรภาครัฐ การเงิน และสาธารณสุขอย่างแพร่หลาย ➡️ การตรวจสอบ BIOS ควรทำผ่านช่องทางของ Dell โดยตรงเพื่อความแม่นยำ https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-scrambles-to-fix-annoying-defender-issue-that-demands-users-update-their-devices
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • “Steam อัปเดตใหม่ รองรับจอย DualSense บน Linux ดีขึ้น — พร้อมอุดช่องโหว่ Unity และปรับปรุงหลายระบบเกม”

    Valve ปล่อยอัปเดต Steam Client เวอร์ชันเสถียรล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งมาพร้อมการปรับปรุงสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการรองรับจอย DualSense ของ PlayStation บนระบบ Linux ที่เคยมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อแล้วเกิด crash เมื่อจอยอยู่ในสถานะ idle — ตอนนี้ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์รองรับ dual gyros สำหรับ Joycons ของ Nintendo Switch เมื่อใช้งานในโหมด combined ซึ่งช่วยให้การควบคุมเกมมีความแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยเฉพาะในเกมที่ใช้การเคลื่อนไหวเป็นหลัก

    อัปเดตนี้ยังเพิ่มความสามารถในการสลับแท็บในเบราว์เซอร์ภายใน Steam ด้วย CTRL+TAB, ปรับปรุงการแสดงผลแบบ High Contrast ในหน้าค้นหาเกม และเพิ่มประสิทธิภาพการบันทึกวิดีโอเกมที่ใช้ Vulkan rendering

    ที่สำคัญคือ Valve ได้เพิ่มการป้องกันช่องโหว่ CVE-2025-59489 ซึ่งเป็นช่องโหว่ใน Unity engine โดย Steam Client จะบล็อกการเปิดเกมทันทีหากตรวจพบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการโจมตีผ่านช่องโหว่นี้

    ฝั่ง Windows ก็มีการเพิ่มระบบตรวจสอบ Secure Boot และ TPM ซึ่งจะแสดงในเมนู Help > System Information และถูกนำไปใช้ใน Steam Hardware Survey เพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัยของระบบผู้ใช้

    Steam ยังแก้ไขปัญหาการสตรีมที่คลิกแล้วไม่ทำงาน, ปรับปรุง overlay ในเกมที่ใช้ D3D12 ให้ไม่ crash เมื่อเปิด/ปิดหลายส่วนอย่างรวดเร็ว และแก้ปัญหา SteamVR ที่ suppress การแจ้งเตือนหลังออกจากโหมด VR

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Steam Client อัปเดตใหม่รองรับจอย DualSense บน Linux ได้ดีขึ้น
    แก้ปัญหา crash เมื่อจอยอยู่ในสถานะ idle
    เพิ่มการรองรับ dual gyros สำหรับ Joycons ในโหมด combined
    ปรับปรุงการสลับแท็บในเบราว์เซอร์ด้วย CTRL+TAB
    ปรับปรุงการแสดงผล High Contrast ในหน้าค้นหาเกม
    เพิ่มประสิทธิภาพการบันทึกวิดีโอเกมที่ใช้ Vulkan rendering
    เพิ่มการป้องกันช่องโหว่ CVE-2025-59489 ใน Unity engine
    Steam จะบล็อกการเปิดเกมหากตรวจพบการโจมตีผ่านช่องโหว่
    เพิ่มการตรวจสอบ Secure Boot และ TPM บน Windows
    แก้ปัญหาการสตรีม, overlay D3D12 และ SteamVR ที่ suppress การแจ้งเตือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DualSense เป็นจอยของ PlayStation 5 ที่มีระบบ haptic feedback และ adaptive triggers
    Joycons ของ Nintendo Switch มี gyroscope แยกในแต่ละข้าง ซึ่งเมื่อรวมกันจะให้การควบคุมที่แม่นยำ
    Vulkan เป็น API กราฟิกที่ให้ประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อยกว่า DirectX
    CVE-2025-59489 เป็นช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ inject โค้ดผ่าน Unity engine
    Secure Boot และ TPM เป็นระบบความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันการโจมตีระดับ firmware

    https://9to5linux.com/latest-steam-client-update-improves-support-for-dualsense-controllers-on-linux
    🎮 “Steam อัปเดตใหม่ รองรับจอย DualSense บน Linux ดีขึ้น — พร้อมอุดช่องโหว่ Unity และปรับปรุงหลายระบบเกม” Valve ปล่อยอัปเดต Steam Client เวอร์ชันเสถียรล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งมาพร้อมการปรับปรุงสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการรองรับจอย DualSense ของ PlayStation บนระบบ Linux ที่เคยมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อแล้วเกิด crash เมื่อจอยอยู่ในสถานะ idle — ตอนนี้ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์รองรับ dual gyros สำหรับ Joycons ของ Nintendo Switch เมื่อใช้งานในโหมด combined ซึ่งช่วยให้การควบคุมเกมมีความแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยเฉพาะในเกมที่ใช้การเคลื่อนไหวเป็นหลัก อัปเดตนี้ยังเพิ่มความสามารถในการสลับแท็บในเบราว์เซอร์ภายใน Steam ด้วย CTRL+TAB, ปรับปรุงการแสดงผลแบบ High Contrast ในหน้าค้นหาเกม และเพิ่มประสิทธิภาพการบันทึกวิดีโอเกมที่ใช้ Vulkan rendering ที่สำคัญคือ Valve ได้เพิ่มการป้องกันช่องโหว่ CVE-2025-59489 ซึ่งเป็นช่องโหว่ใน Unity engine โดย Steam Client จะบล็อกการเปิดเกมทันทีหากตรวจพบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการโจมตีผ่านช่องโหว่นี้ ฝั่ง Windows ก็มีการเพิ่มระบบตรวจสอบ Secure Boot และ TPM ซึ่งจะแสดงในเมนู Help > System Information และถูกนำไปใช้ใน Steam Hardware Survey เพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัยของระบบผู้ใช้ Steam ยังแก้ไขปัญหาการสตรีมที่คลิกแล้วไม่ทำงาน, ปรับปรุง overlay ในเกมที่ใช้ D3D12 ให้ไม่ crash เมื่อเปิด/ปิดหลายส่วนอย่างรวดเร็ว และแก้ปัญหา SteamVR ที่ suppress การแจ้งเตือนหลังออกจากโหมด VR ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Steam Client อัปเดตใหม่รองรับจอย DualSense บน Linux ได้ดีขึ้น ➡️ แก้ปัญหา crash เมื่อจอยอยู่ในสถานะ idle ➡️ เพิ่มการรองรับ dual gyros สำหรับ Joycons ในโหมด combined ➡️ ปรับปรุงการสลับแท็บในเบราว์เซอร์ด้วย CTRL+TAB ➡️ ปรับปรุงการแสดงผล High Contrast ในหน้าค้นหาเกม ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการบันทึกวิดีโอเกมที่ใช้ Vulkan rendering ➡️ เพิ่มการป้องกันช่องโหว่ CVE-2025-59489 ใน Unity engine ➡️ Steam จะบล็อกการเปิดเกมหากตรวจพบการโจมตีผ่านช่องโหว่ ➡️ เพิ่มการตรวจสอบ Secure Boot และ TPM บน Windows ➡️ แก้ปัญหาการสตรีม, overlay D3D12 และ SteamVR ที่ suppress การแจ้งเตือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DualSense เป็นจอยของ PlayStation 5 ที่มีระบบ haptic feedback และ adaptive triggers ➡️ Joycons ของ Nintendo Switch มี gyroscope แยกในแต่ละข้าง ซึ่งเมื่อรวมกันจะให้การควบคุมที่แม่นยำ ➡️ Vulkan เป็น API กราฟิกที่ให้ประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อยกว่า DirectX ➡️ CVE-2025-59489 เป็นช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ inject โค้ดผ่าน Unity engine ➡️ Secure Boot และ TPM เป็นระบบความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันการโจมตีระดับ firmware https://9to5linux.com/latest-steam-client-update-improves-support-for-dualsense-controllers-on-linux
    9TO5LINUX.COM
    Latest Steam Client Update Improves Support for DualSense Controllers on Linux - 9to5Linux
    Valve released a new Steam Client stable update that improves support for DualSense controllers on Linux systems and fixes various bugs.
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • EP 21

    NASDAQ Updated ติดลบ 63 จุด

    ติดตามหุ้นที่ซื้อ

    AMZN
    NXPI
    PG

    รายละดูใน VDO

    BY.
    EP 21 NASDAQ Updated ติดลบ 63 จุด ติดตามหุ้นที่ซื้อ AMZN NXPI PG รายละดูใน VDO BY.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 0 Reviews
  • EP 20
    SET update วิ่งไปแตะ 1300 จุดได้แว็ปเดียว แล้วถอยมา +5.xx

    NER ติดตามตัวที่ซื้อ

    หุ้นพวกที่ทำจุดต่ำ ๆ ใกล้ new low
    SNNP
    AU
    VIG
    SISB
    BCH
    BDMS
    EP 20 SET update วิ่งไปแตะ 1300 จุดได้แว็ปเดียว แล้วถอยมา +5.xx NER ติดตามตัวที่ซื้อ หุ้นพวกที่ทำจุดต่ำ ๆ ใกล้ new low SNNP AU VIG SISB BCH BDMS
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 0 Reviews
  • “Raspberry Pi OS รีเบสสู่ Debian 13 ‘Trixie’ — ปรับโฉมใหม่หมด เพิ่มความยืดหยุ่น พร้อมฟีเจอร์จัดการระบบแบบรวมศูนย์”

    Raspberry Pi OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมสำหรับบอร์ด Raspberry Pi ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 โดยรีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานหลัก พร้อมยังคงใช้ Linux Kernel 6.12 LTS เพื่อความเสถียรในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแค่ปรับปรุงด้านเทคนิค แต่ยังมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่ทันสมัยและฟีเจอร์จัดการระบบที่รวมศูนย์มากขึ้น

    หนึ่งในจุดเด่นของเวอร์ชันใหม่นี้คือการปรับโครงสร้างการติดตั้งแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพ ISO ได้ง่ายขึ้น เช่น การแปลงจากเวอร์ชัน Lite ไปเป็น Desktop หรือกลับกัน ซึ่งไม่เคยรองรับอย่างเป็นทางการมาก่อน

    ด้านการออกแบบ UI มีการเพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ ได้แก่ PiXtrix (โหมดสว่าง) และ PiXonyx (โหมดมืด) พร้อมไอคอนใหม่และฟอนต์ระบบ “Nunito Sans Light” ที่ให้ความรู้สึกทันสมัยมากขึ้น รวมถึงภาพพื้นหลังใหม่ที่เข้ากับธีมโดยรวม

    ระบบ taskbar ได้รับการปรับปรุงด้วย System Monitor plugin สำหรับแจ้งเตือนพลังงานและสถานะอื่น ๆ และมีการรวม Clock plugin ให้ใช้งานร่วมกันระหว่าง wf-panel-pi และ lxpanel-pi ซึ่งเป็นเวอร์ชัน fork ของ LXDE Panel ที่ตัดปลั๊กอินที่ไม่รองรับออกไป

    ที่สำคัญคือการเปิดตัว Control Centre แบบใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในที่เดียว แทนที่แอปแยกย่อยเดิม เช่น Raspberry Pi Configuration, Appearance Settings, Mouse and Keyboard Settings ฯลฯ ทำให้การจัดการระบบสะดวกขึ้นมาก

    ยังมีการเพิ่มเครื่องมือ command-line ใหม่ ได้แก่ rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update สำหรับปรับแต่งและอัปเดตคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ ส่วนแอป Bookshelf ก็ได้รับการปรับปรุงให้แสดงเนื้อหาพิเศษสำหรับผู้สนับสนุน พร้อมระบบปลดล็อกผ่านการ “Contribute”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Raspberry Pi OS รีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux Kernel 6.12 LTS
    ปรับโครงสร้างแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular เพื่อความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
    เพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ: PiXtrix และ PiXonyx พร้อมไอคอนและฟอนต์ใหม่
    Taskbar มี System Monitor plugin และ Clock plugin แบบรวมศูนย์
    LXDE Panel ถูก fork เป็น lxpanel-pi และลบปลั๊กอินที่ไม่รองรับ
    เปิดตัว Control Centre ใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในแอปเดียว
    เพิ่มเครื่องมือ command-line: rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update
    แอป Bookshelf แสดงเนื้อหาพิเศษพร้อมระบบปลดล็อกผ่านการสนับสนุน
    รองรับ Raspberry Pi ทุกรุ่น ตั้งแต่ 1A+ ถึง CM4 และ Zero 2 W
    ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่านคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Debian 13 “Trixie” มาพร้อมการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Modular package layout ช่วยให้การสร้าง image แบบ custom ง่ายขึ้นมาก
    ฟอนต์ Nunito Sans Light เป็นฟอนต์แบบ open-source ที่เน้นความอ่านง่าย
    Control Centre แบบรวมศูนย์เป็นแนวทางที่นิยมในระบบ desktop สมัยใหม่ เช่น GNOME และ KDE
    การ fork lxpanel ช่วยให้ทีม Raspberry Pi สามารถควบคุมการพัฒนาได้เต็มที่

    https://9to5linux.com/raspberry-pi-os-is-now-based-on-debian-13-trixie-with-fresh-new-look
    🍓 “Raspberry Pi OS รีเบสสู่ Debian 13 ‘Trixie’ — ปรับโฉมใหม่หมด เพิ่มความยืดหยุ่น พร้อมฟีเจอร์จัดการระบบแบบรวมศูนย์” Raspberry Pi OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมสำหรับบอร์ด Raspberry Pi ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 โดยรีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานหลัก พร้อมยังคงใช้ Linux Kernel 6.12 LTS เพื่อความเสถียรในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแค่ปรับปรุงด้านเทคนิค แต่ยังมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่ทันสมัยและฟีเจอร์จัดการระบบที่รวมศูนย์มากขึ้น หนึ่งในจุดเด่นของเวอร์ชันใหม่นี้คือการปรับโครงสร้างการติดตั้งแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพ ISO ได้ง่ายขึ้น เช่น การแปลงจากเวอร์ชัน Lite ไปเป็น Desktop หรือกลับกัน ซึ่งไม่เคยรองรับอย่างเป็นทางการมาก่อน ด้านการออกแบบ UI มีการเพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ ได้แก่ PiXtrix (โหมดสว่าง) และ PiXonyx (โหมดมืด) พร้อมไอคอนใหม่และฟอนต์ระบบ “Nunito Sans Light” ที่ให้ความรู้สึกทันสมัยมากขึ้น รวมถึงภาพพื้นหลังใหม่ที่เข้ากับธีมโดยรวม ระบบ taskbar ได้รับการปรับปรุงด้วย System Monitor plugin สำหรับแจ้งเตือนพลังงานและสถานะอื่น ๆ และมีการรวม Clock plugin ให้ใช้งานร่วมกันระหว่าง wf-panel-pi และ lxpanel-pi ซึ่งเป็นเวอร์ชัน fork ของ LXDE Panel ที่ตัดปลั๊กอินที่ไม่รองรับออกไป ที่สำคัญคือการเปิดตัว Control Centre แบบใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในที่เดียว แทนที่แอปแยกย่อยเดิม เช่น Raspberry Pi Configuration, Appearance Settings, Mouse and Keyboard Settings ฯลฯ ทำให้การจัดการระบบสะดวกขึ้นมาก ยังมีการเพิ่มเครื่องมือ command-line ใหม่ ได้แก่ rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update สำหรับปรับแต่งและอัปเดตคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ ส่วนแอป Bookshelf ก็ได้รับการปรับปรุงให้แสดงเนื้อหาพิเศษสำหรับผู้สนับสนุน พร้อมระบบปลดล็อกผ่านการ “Contribute” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Raspberry Pi OS รีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ ปรับโครงสร้างแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular เพื่อความยืดหยุ่นในการติดตั้ง ➡️ เพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ: PiXtrix และ PiXonyx พร้อมไอคอนและฟอนต์ใหม่ ➡️ Taskbar มี System Monitor plugin และ Clock plugin แบบรวมศูนย์ ➡️ LXDE Panel ถูก fork เป็น lxpanel-pi และลบปลั๊กอินที่ไม่รองรับ ➡️ เปิดตัว Control Centre ใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในแอปเดียว ➡️ เพิ่มเครื่องมือ command-line: rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update ➡️ แอป Bookshelf แสดงเนื้อหาพิเศษพร้อมระบบปลดล็อกผ่านการสนับสนุน ➡️ รองรับ Raspberry Pi ทุกรุ่น ตั้งแต่ 1A+ ถึง CM4 และ Zero 2 W ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่านคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Debian 13 “Trixie” มาพร้อมการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Modular package layout ช่วยให้การสร้าง image แบบ custom ง่ายขึ้นมาก ➡️ ฟอนต์ Nunito Sans Light เป็นฟอนต์แบบ open-source ที่เน้นความอ่านง่าย ➡️ Control Centre แบบรวมศูนย์เป็นแนวทางที่นิยมในระบบ desktop สมัยใหม่ เช่น GNOME และ KDE ➡️ การ fork lxpanel ช่วยให้ทีม Raspberry Pi สามารถควบคุมการพัฒนาได้เต็มที่ https://9to5linux.com/raspberry-pi-os-is-now-based-on-debian-13-trixie-with-fresh-new-look
    9TO5LINUX.COM
    Raspberry Pi OS Is Now Based on Debian 13 "Trixie" with Fresh New Look - 9to5Linux
    Raspberry Pi OS 2025-10-01 is now available for download with based on Debian 13 "Trixie" and featuring new GTK and icon themes.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที”

    Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร

    นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ
    CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
    ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google
    ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000
    Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine
    เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac
    Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D
    Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ
    Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล
    V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย
    Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด

    https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    🛡️ “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที” Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้ ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ ➡️ CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ➡️ ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google ➡️ ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000 ➡️ Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine ➡️ เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac ➡️ Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D ➡️ Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ ➡️ Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล ➡️ V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย ➡️ Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 141 Stable Channel Update Patches High-Severity Vulnerabilities (CVE-2025-11205 & CVE-2025-11206)
    Google promoted Chrome 141 to Stable, patching 21 flaws including a High-severity Heap Buffer Overflow (CVE-2025-11205) in WebGPU that could lead to RCE.
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/MF7PUDw2Y-E?si=PBPday26Qv7o7mcF
    https://youtu.be/MF7PUDw2Y-E?si=PBPday26Qv7o7mcF
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์”

    ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก

    เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก

    แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้
    กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี
    การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์
    Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี
    โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี
    Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025
    ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้
    Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014
    การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์
    การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก
    Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้

    https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    🖥️ “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์” ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ ➡️ กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี ➡️ การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ ➡️ Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี ➡️ โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี ➡️ Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014 ➡️ การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์ ➡️ การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ➡️ Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้ https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hundreds of businesses beg Microsoft not to kill off free Windows 10 updates
    533 signatories ask Microsoft to reconsider Windows 10’s EOL
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • EP 17
    Update SET รอบเช้า + 14-16 จุด

    NER 4.24-4.26 บาท
    AU 5.80-5.85 บาท
    SNNP 8.95 - 9.00 บาท

    EP 17 Update SET รอบเช้า + 14-16 จุด NER 4.24-4.26 บาท AU 5.80-5.85 บาท SNNP 8.95 - 9.00 บาท
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 0 Reviews
  • “Django ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ SQL Injection ร้ายแรงใน MySQL/MariaDB พร้อมเตือนภัย Directory Traversal”

    ทีมพัฒนา Django ได้ออกอัปเดตความปลอดภัยครั้งสำคัญในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่สองรายการที่ส่งผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูลและการตั้งค่าโปรเจกต์ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-59681 ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับ “ร้ายแรง” เนื่องจากเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่ง SQL ผ่านฟังก์ชันยอดนิยมของ Django ORM ได้แก่ annotate(), alias(), aggregate() และ extra() เมื่อใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL หรือ MariaDB

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม ทำให้ attacker สามารถส่ง key ที่มีคำสั่ง SQL แฝงเข้าไปเป็น column alias ได้โดยตรง เช่น malicious_alias; DROP TABLE users; -- ซึ่งจะถูกแปลเป็นคำสั่ง SQL และรันทันทีหากระบบไม่มีการป้องกัน

    อีกหนึ่งช่องโหว่ CVE-2025-59682 แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่า แต่ก็อันตรายไม่น้อย โดยเกิดจากฟังก์ชัน django.utils.archive.extract() ที่ใช้ในการสร้างโปรเจกต์หรือแอปผ่าน template ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อโจมตีแบบ directory traversal ได้ หากไฟล์ใน archive มี path ที่คล้ายกับโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น ../../config.py อาจทำให้ไฟล์สำคัญถูกเขียนทับได้

    Django ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13 และ 4.2.25 รวมถึงสาขา main และ 6.0 alpha โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรตรวจสอบโค้ดที่ใช้ฟังก์ชันดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Django ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-59681 และ CVE-2025-59682
    CVE-2025-59681 เป็นช่องโหว่ SQL Injection ในฟังก์ชัน ORM เช่น annotate(), alias(), aggregate(), extra()
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
    ส่งผลเฉพาะกับฐานข้อมูล MySQL และ MariaDB ไม่กระทบ PostgreSQL หรือ SQLite
    CVE-2025-59682 เป็นช่องโหว่ directory traversal ในฟังก์ชัน extract() ที่ใช้ใน startapp และ startproject
    Django ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13, 4.2.25 และสาขา main/6.0 alpha
    แนะนำให้อัปเดตทันที หรือหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Django ORM เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ framework ที่ช่วยป้องกัน SQL injection ได้ดี แต่ช่องโหว่นี้หลุดจากการตรวจสอบ alias
    การใช้ dictionary ที่มี key จาก user input เป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในระบบ dynamic query
    Directory traversal เป็นเทคนิคที่ใช้ path เช่น ../ เพื่อเข้าถึงไฟล์นอกโฟลเดอร์เป้าหมาย
    ช่องโหว่ลักษณะนี้สามารถใช้ร่วมกับ template ที่ฝังมัลแวร์เพื่อโจมตีในขั้นตอน setup
    Django มีระบบแจ้งช่องโหว่ผ่านอีเมล security@djangoproject.com เพื่อให้แก้ไขได้รวดเร็ว

    https://securityonline.info/django-security-alert-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-59681-fixed-in-latest-updates/
    🛡️ “Django ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ SQL Injection ร้ายแรงใน MySQL/MariaDB พร้อมเตือนภัย Directory Traversal” ทีมพัฒนา Django ได้ออกอัปเดตความปลอดภัยครั้งสำคัญในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่สองรายการที่ส่งผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูลและการตั้งค่าโปรเจกต์ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-59681 ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับ “ร้ายแรง” เนื่องจากเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่ง SQL ผ่านฟังก์ชันยอดนิยมของ Django ORM ได้แก่ annotate(), alias(), aggregate() และ extra() เมื่อใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL หรือ MariaDB ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม ทำให้ attacker สามารถส่ง key ที่มีคำสั่ง SQL แฝงเข้าไปเป็น column alias ได้โดยตรง เช่น malicious_alias; DROP TABLE users; -- ซึ่งจะถูกแปลเป็นคำสั่ง SQL และรันทันทีหากระบบไม่มีการป้องกัน อีกหนึ่งช่องโหว่ CVE-2025-59682 แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่า แต่ก็อันตรายไม่น้อย โดยเกิดจากฟังก์ชัน django.utils.archive.extract() ที่ใช้ในการสร้างโปรเจกต์หรือแอปผ่าน template ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อโจมตีแบบ directory traversal ได้ หากไฟล์ใน archive มี path ที่คล้ายกับโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น ../../config.py อาจทำให้ไฟล์สำคัญถูกเขียนทับได้ Django ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13 และ 4.2.25 รวมถึงสาขา main และ 6.0 alpha โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรตรวจสอบโค้ดที่ใช้ฟังก์ชันดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Django ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-59681 และ CVE-2025-59682 ➡️ CVE-2025-59681 เป็นช่องโหว่ SQL Injection ในฟังก์ชัน ORM เช่น annotate(), alias(), aggregate(), extra() ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ➡️ ส่งผลเฉพาะกับฐานข้อมูล MySQL และ MariaDB ไม่กระทบ PostgreSQL หรือ SQLite ➡️ CVE-2025-59682 เป็นช่องโหว่ directory traversal ในฟังก์ชัน extract() ที่ใช้ใน startapp และ startproject ➡️ Django ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13, 4.2.25 และสาขา main/6.0 alpha ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันที หรือหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Django ORM เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ framework ที่ช่วยป้องกัน SQL injection ได้ดี แต่ช่องโหว่นี้หลุดจากการตรวจสอบ alias ➡️ การใช้ dictionary ที่มี key จาก user input เป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในระบบ dynamic query ➡️ Directory traversal เป็นเทคนิคที่ใช้ path เช่น ../ เพื่อเข้าถึงไฟล์นอกโฟลเดอร์เป้าหมาย ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้สามารถใช้ร่วมกับ template ที่ฝังมัลแวร์เพื่อโจมตีในขั้นตอน setup ➡️ Django มีระบบแจ้งช่องโหว่ผ่านอีเมล security@djangoproject.com เพื่อให้แก้ไขได้รวดเร็ว https://securityonline.info/django-security-alert-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-59681-fixed-in-latest-updates/
    SECURITYONLINE.INFO
    Django Security Alert: High-Severity SQL Injection Flaw (CVE-2025-59681) Fixed in Latest Updates
    The Django team released urgent updates (v5.2.7, 5.1.13, 4.2.25) to fix a High-severity SQL Injection flaw (CVE-2025-59681) affecting QuerySet methods in MySQL/MariaDB.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตที่เบากว่าอากาศ แต่มีผลต่อการสนับสนุนระยะยาว”

    Microsoft ปล่อยอัปเดตประจำปีสำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 แต่กลับสร้างความแปลกใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก เพราะมันแทบไม่มีอะไรใหม่เลยเมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า 24H2

    อัปเดตนี้มาในรูปแบบ “enablement package” ซึ่งหมายความว่าเครื่องที่ใช้ 24H2 อยู่แล้วมีฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดอยู่ในระบบแล้ว เพียงแค่เปิดใช้งานผ่านการรีบูต ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่หรือรอการติดตั้งนาน

    ฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกพูดถึง เช่น การปรับปรุง Start Menu ให้สามารถปิดคำแนะนำจาก Microsoft ได้ และการเพิ่มฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะ 25H2 เพราะผู้ใช้ 24H2 ก็จะได้รับฟีเจอร์เหล่านี้ผ่านอัปเดต KB5065789 เช่นกัน

    สิ่งที่ 25H2 มีเหนือกว่า คือการรีเซ็ต “นาฬิกาการสนับสนุน” โดยผู้ใช้ Home และ Pro จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มอีก 24 เดือน ส่วน Enterprise และ Education จะได้ถึง 36 เดือน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับองค์กรที่ต้องการวางแผนระยะยาว

    ด้านความปลอดภัย Microsoft ระบุว่า 25H2 มีการปรับปรุงระบบตรวจจับช่องโหว่ทั้งในขั้นตอน build และ runtime โดยใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ดอย่างปลอดภัย รวมถึงการลบฟีเจอร์เก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMI command line ที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

    แม้จะดูเหมือนอัปเดตที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่สำหรับผู้ดูแลระบบหรือองค์กร การเปลี่ยนไปใช้ 25H2 อาจเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเลิกสนับสนุน Windows 10 และการปรับนโยบายด้านความปลอดภัยให้ทันสมัย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 11 25H2 เป็นอัปเดตแบบ enablement package ที่เปิดฟีเจอร์ผ่านการรีบูต
    ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Start Menu แบบปรับแต่งได้ และ AI Actions ใน File Explorer มีใน 24H2 ด้วย
    อัปเดต KB5065789 สำหรับ 24H2 มีฟีเจอร์เดียวกับ 25H2
    25H2 รีเซ็ตระยะเวลาการสนับสนุน: Home/Pro ได้ 24 เดือน, Enterprise/Education ได้ 36 เดือน
    มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI และการลบฟีเจอร์เก่า
    การติดตั้งใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่
    Microsoft ใช้ระบบ rollout แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดูจากความเข้ากันได้ของเครื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบ enablement package เคยใช้ใน Windows 10 เช่น การอัปเดตจาก 1903 ไป 1909
    ฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer รวมถึง Visual Search, ลบพื้นหลัง, เบลอภาพ และลบวัตถุ
    การอัปเดตผ่าน eKB ช่วยลดขนาดไฟล์ลงถึง 40% และลดความเสี่ยงจากการติดตั้ง
    การรีเซ็ตการสนับสนุนช่วยให้องค์กรวางแผนการใช้งานได้ยาวนานขึ้น
    ผู้ใช้ที่เปิด “Get the latest updates as soon as they’re available” จะได้รับ 25H2 ก่อน

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-25h2-update-is-out-now-but-be-warned-this-is-one-of-the-strangest-upgrades-ever
    🪟 “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตที่เบากว่าอากาศ แต่มีผลต่อการสนับสนุนระยะยาว” Microsoft ปล่อยอัปเดตประจำปีสำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 แต่กลับสร้างความแปลกใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก เพราะมันแทบไม่มีอะไรใหม่เลยเมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า 24H2 อัปเดตนี้มาในรูปแบบ “enablement package” ซึ่งหมายความว่าเครื่องที่ใช้ 24H2 อยู่แล้วมีฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดอยู่ในระบบแล้ว เพียงแค่เปิดใช้งานผ่านการรีบูต ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่หรือรอการติดตั้งนาน ฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกพูดถึง เช่น การปรับปรุง Start Menu ให้สามารถปิดคำแนะนำจาก Microsoft ได้ และการเพิ่มฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะ 25H2 เพราะผู้ใช้ 24H2 ก็จะได้รับฟีเจอร์เหล่านี้ผ่านอัปเดต KB5065789 เช่นกัน สิ่งที่ 25H2 มีเหนือกว่า คือการรีเซ็ต “นาฬิกาการสนับสนุน” โดยผู้ใช้ Home และ Pro จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มอีก 24 เดือน ส่วน Enterprise และ Education จะได้ถึง 36 เดือน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับองค์กรที่ต้องการวางแผนระยะยาว ด้านความปลอดภัย Microsoft ระบุว่า 25H2 มีการปรับปรุงระบบตรวจจับช่องโหว่ทั้งในขั้นตอน build และ runtime โดยใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ดอย่างปลอดภัย รวมถึงการลบฟีเจอร์เก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMI command line ที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป แม้จะดูเหมือนอัปเดตที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่สำหรับผู้ดูแลระบบหรือองค์กร การเปลี่ยนไปใช้ 25H2 อาจเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเลิกสนับสนุน Windows 10 และการปรับนโยบายด้านความปลอดภัยให้ทันสมัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 11 25H2 เป็นอัปเดตแบบ enablement package ที่เปิดฟีเจอร์ผ่านการรีบูต ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Start Menu แบบปรับแต่งได้ และ AI Actions ใน File Explorer มีใน 24H2 ด้วย ➡️ อัปเดต KB5065789 สำหรับ 24H2 มีฟีเจอร์เดียวกับ 25H2 ➡️ 25H2 รีเซ็ตระยะเวลาการสนับสนุน: Home/Pro ได้ 24 เดือน, Enterprise/Education ได้ 36 เดือน ➡️ มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI และการลบฟีเจอร์เก่า ➡️ การติดตั้งใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ➡️ Microsoft ใช้ระบบ rollout แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดูจากความเข้ากันได้ของเครื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบ enablement package เคยใช้ใน Windows 10 เช่น การอัปเดตจาก 1903 ไป 1909 ➡️ ฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer รวมถึง Visual Search, ลบพื้นหลัง, เบลอภาพ และลบวัตถุ ➡️ การอัปเดตผ่าน eKB ช่วยลดขนาดไฟล์ลงถึง 40% และลดความเสี่ยงจากการติดตั้ง ➡️ การรีเซ็ตการสนับสนุนช่วยให้องค์กรวางแผนการใช้งานได้ยาวนานขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่เปิด “Get the latest updates as soon as they’re available” จะได้รับ 25H2 ก่อน https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-25h2-update-is-out-now-but-be-warned-this-is-one-of-the-strangest-upgrades-ever
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • หนูไม่ใช่เป็ด"หนูไม่ง่อย" ไม่หลงอำนาจผิดไม่เลี้ยง : [NEWS UPDATE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ขอบคุณสมาชิกรัฐสภาร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นในการ แถลงนโยบายของรัฐบาล เป็น 2 วันที่มีค่า ยอมรับเสียใจต้องตอบโต้บางคนที่ทำงานร่วมกันมา เพราะคำว่าการเมือง ให้คำขาดหากใครทำผิดกฏหมายจะลงโทษตั้งแต่เบอร์ 1-36 นี่หนูไม่ใช่เป็ดดังนั้น"หนูไม่ง่อย" ไม่หลงใหลอำนาจ ไม่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง มองเวลา 4 เดือน ฝ่ายการเมืองจะทะเลาะกันไม่ได้ ประชาชนเสียประโยชน์
    ขอให้อโหสิกัน ออกไปด้วยรอยยิ้ม แข่งกันทำความดีให้ประชาชนตัดสินใจในสนามเลือกตั้ง ไม่เคยเอามีดตัดมือตัวเอง มีแต่รัฐบาลที่แล้วเอามีดตัดมือตัวเอง



    ทุ่นระเบิดเกลื่อนชายแดน

    ใช้การทูต-ทหาร ข่มเขมร

    ฟาดเคยขอซบกล้าธรรม

    ไม่ค้านตั้งกองทุนมั่งคั่ง
    หนูไม่ใช่เป็ด"หนูไม่ง่อย" ไม่หลงอำนาจผิดไม่เลี้ยง : [NEWS UPDATE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ขอบคุณสมาชิกรัฐสภาร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นในการ แถลงนโยบายของรัฐบาล เป็น 2 วันที่มีค่า ยอมรับเสียใจต้องตอบโต้บางคนที่ทำงานร่วมกันมา เพราะคำว่าการเมือง ให้คำขาดหากใครทำผิดกฏหมายจะลงโทษตั้งแต่เบอร์ 1-36 นี่หนูไม่ใช่เป็ดดังนั้น"หนูไม่ง่อย" ไม่หลงใหลอำนาจ ไม่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง มองเวลา 4 เดือน ฝ่ายการเมืองจะทะเลาะกันไม่ได้ ประชาชนเสียประโยชน์ ขอให้อโหสิกัน ออกไปด้วยรอยยิ้ม แข่งกันทำความดีให้ประชาชนตัดสินใจในสนามเลือกตั้ง ไม่เคยเอามีดตัดมือตัวเอง มีแต่รัฐบาลที่แล้วเอามีดตัดมือตัวเอง ทุ่นระเบิดเกลื่อนชายแดน ใช้การทูต-ทหาร ข่มเขมร ฟาดเคยขอซบกล้าธรรม ไม่ค้านตั้งกองทุนมั่งคั่ง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 0 Reviews
  • “Ubuntu Touch 24.04 LTS มาแล้ว! มือถือโอเพ่นซอร์สยกระดับความปลอดภัยและความลื่นไหล พร้อมรองรับอุปกรณ์หลากหลาย”

    หลังจากรอคอยกันมานาน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ของระบบปฏิบัติการมือถือ Ubuntu Touch เวอร์ชัน 24.04-1.0 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ระบบนี้อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) โดยการเปลี่ยนฐานระบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเบื้องหลัง แต่เป็นการเปิดประตูสู่ฟีเจอร์ใหม่ ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือระบบ “การเข้ารหัสข้อมูลส่วนตัว” แบบ experimental ที่ใช้รหัสผ่านของผู้ใช้ในการเปิดข้อมูลทุกครั้งที่บูตเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับที่มือถือโอเพ่นซอร์สไม่เคยมีมาก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้าน UI และ UX หลายจุด เช่น การเปลี่ยนธีมของแอปแบบสด (live-switching), การตั้งค่าการหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง, การแชร์อินเทอร์เน็ตผ่าน USB, การแสดง MAC address ใน Bluetooth, และการย้ายแอประหว่าง workspace ด้วยคีย์ลัด Ctrl+Alt+Shift

    แอป Contacts ถูกปรับให้ไม่กระพริบขณะโหลด avatar, ส่วน System Settings ก็มีการเปลี่ยนชื่อหน้า About เป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI เพื่อความเป็นส่วนตัว และแสดงข้อมูลเครือข่ายเพิ่มเติมในหน้า Wi-Fi

    อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่ Fairphone, Pixel, OnePlus, Xiaomi ไปจนถึง Rabbit R1 และ Volla Tablet โดยผู้ใช้ที่อยู่ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ Updates ในแอป System Settings ซึ่งจะทยอยปล่อยให้ครบทุกเครื่องในช่วงสัปดาห์นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubuntu Touch 24.04-1.0 เป็นเวอร์ชันแรกที่อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS
    เพิ่มฟีเจอร์เข้ารหัสข้อมูลส่วนตัวแบบ experimental โดยใช้รหัสผ่านของผู้ใช้
    รองรับการเปลี่ยนธีมแบบสด (live-switching) และปรับธีมผ่าน System Settings
    ปรับ UI ของแอป Phone ให้เหมาะกับหน้าจอใหญ่
    เพิ่มโหมด USB สำหรับแชร์อินเทอร์เน็ต และแสดง MAC address ใน Bluetooth
    เพิ่มปุ่มหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง และสแกน Bluetooth ใหม่แบบ manual
    ตั้งเสียงเตือนปฏิทินได้, เลือกแสดงสัปดาห์/กิจกรรม/นาฬิกาในเมนูเวลา
    ย้ายแอประหว่าง workspace ด้วย Ctrl+Alt+Shift+ลูกศร
    หน้า About เปลี่ยนชื่อเป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI
    แอป Contacts ไม่กระพริบขณะโหลด avatar และปรับ Workspace สำหรับ convergence
    ปิด auto-capitalization, auto-correction และ auto-punctuation บนคีย์บอร์ดโดยค่าเริ่มต้น
    รองรับอุปกรณ์หลากหลาย เช่น Pixel 3a, OnePlus 6, Xiaomi Redmi Note 9, Rabbit R1 ฯลฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ubuntu Touch เป็นระบบมือถือโอเพ่นซอร์สที่เน้นความเป็นส่วนตัวและไม่มีการติดตามผู้ใช้
    Lomiri คือ desktop environment ที่ใช้ใน Ubuntu Touch ซึ่งรองรับการใช้งานแบบ convergence
    UBports Foundation เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแลการพัฒนา Ubuntu Touch
    การอัปเดตจาก Ubuntu 20.04 เป็น 24.04 ช่วยให้ระบบรองรับซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น Qt 5.15
    ระบบ installer ของ UBports ช่วยให้ติดตั้ง Ubuntu Touch ได้ง่ายบนอุปกรณ์ที่รองรับ

    https://9to5linux.com/ubuntu-touch-mobile-linux-os-is-now-finally-based-on-ubuntu-24-04-lts
    📱 “Ubuntu Touch 24.04 LTS มาแล้ว! มือถือโอเพ่นซอร์สยกระดับความปลอดภัยและความลื่นไหล พร้อมรองรับอุปกรณ์หลากหลาย” หลังจากรอคอยกันมานาน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ของระบบปฏิบัติการมือถือ Ubuntu Touch เวอร์ชัน 24.04-1.0 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ระบบนี้อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) โดยการเปลี่ยนฐานระบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเบื้องหลัง แต่เป็นการเปิดประตูสู่ฟีเจอร์ใหม่ ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือระบบ “การเข้ารหัสข้อมูลส่วนตัว” แบบ experimental ที่ใช้รหัสผ่านของผู้ใช้ในการเปิดข้อมูลทุกครั้งที่บูตเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับที่มือถือโอเพ่นซอร์สไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้าน UI และ UX หลายจุด เช่น การเปลี่ยนธีมของแอปแบบสด (live-switching), การตั้งค่าการหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง, การแชร์อินเทอร์เน็ตผ่าน USB, การแสดง MAC address ใน Bluetooth, และการย้ายแอประหว่าง workspace ด้วยคีย์ลัด Ctrl+Alt+Shift แอป Contacts ถูกปรับให้ไม่กระพริบขณะโหลด avatar, ส่วน System Settings ก็มีการเปลี่ยนชื่อหน้า About เป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI เพื่อความเป็นส่วนตัว และแสดงข้อมูลเครือข่ายเพิ่มเติมในหน้า Wi-Fi อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่ Fairphone, Pixel, OnePlus, Xiaomi ไปจนถึง Rabbit R1 และ Volla Tablet โดยผู้ใช้ที่อยู่ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ Updates ในแอป System Settings ซึ่งจะทยอยปล่อยให้ครบทุกเครื่องในช่วงสัปดาห์นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubuntu Touch 24.04-1.0 เป็นเวอร์ชันแรกที่อิงจาก Ubuntu 24.04 LTS ➡️ เพิ่มฟีเจอร์เข้ารหัสข้อมูลส่วนตัวแบบ experimental โดยใช้รหัสผ่านของผู้ใช้ ➡️ รองรับการเปลี่ยนธีมแบบสด (live-switching) และปรับธีมผ่าน System Settings ➡️ ปรับ UI ของแอป Phone ให้เหมาะกับหน้าจอใหญ่ ➡️ เพิ่มโหมด USB สำหรับแชร์อินเทอร์เน็ต และแสดง MAC address ใน Bluetooth ➡️ เพิ่มปุ่มหมุนหน้าจอแบบ 1 ครั้ง และสแกน Bluetooth ใหม่แบบ manual ➡️ ตั้งเสียงเตือนปฏิทินได้, เลือกแสดงสัปดาห์/กิจกรรม/นาฬิกาในเมนูเวลา ➡️ ย้ายแอประหว่าง workspace ด้วย Ctrl+Alt+Shift+ลูกศร ➡️ หน้า About เปลี่ยนชื่อเป็น System Information พร้อมฟีเจอร์ซ่อน IMEI ➡️ แอป Contacts ไม่กระพริบขณะโหลด avatar และปรับ Workspace สำหรับ convergence ➡️ ปิด auto-capitalization, auto-correction และ auto-punctuation บนคีย์บอร์ดโดยค่าเริ่มต้น ➡️ รองรับอุปกรณ์หลากหลาย เช่น Pixel 3a, OnePlus 6, Xiaomi Redmi Note 9, Rabbit R1 ฯลฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ubuntu Touch เป็นระบบมือถือโอเพ่นซอร์สที่เน้นความเป็นส่วนตัวและไม่มีการติดตามผู้ใช้ ➡️ Lomiri คือ desktop environment ที่ใช้ใน Ubuntu Touch ซึ่งรองรับการใช้งานแบบ convergence ➡️ UBports Foundation เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแลการพัฒนา Ubuntu Touch ➡️ การอัปเดตจาก Ubuntu 20.04 เป็น 24.04 ช่วยให้ระบบรองรับซอฟต์แวร์ใหม่ เช่น Qt 5.15 ➡️ ระบบ installer ของ UBports ช่วยให้ติดตั้ง Ubuntu Touch ได้ง่ายบนอุปกรณ์ที่รองรับ https://9to5linux.com/ubuntu-touch-mobile-linux-os-is-now-finally-based-on-ubuntu-24-04-lts
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu Touch Mobile Linux OS Is Now Finally Based on Ubuntu 24.04 LTS - 9to5Linux
    Ubuntu Touch 24.04 1.0 is now rolling out to all supported devices based on Ubuntu 24.04 LTS with new features and improvements.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • EP 12
    Updated SET
    ติดลบหนัก 12-15 จุด

    ์NER ลงมาใกล้ตำแหน่งที่ซื้อ
    AU และ SNNP กำลังทำฐานเพื่อเป็นขาขึ้น
    ของแถม BTS ควรเป็นขาขึ้นแต่ SET ติดลบ
    EP 12 Updated SET ติดลบหนัก 12-15 จุด ์NER ลงมาใกล้ตำแหน่งที่ซื้อ AU และ SNNP กำลังทำฐานเพื่อเป็นขาขึ้น ของแถม BTS ควรเป็นขาขึ้นแต่ SET ติดลบ
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 0 Reviews
  • “บั๊ก Windows 11 ที่ทำให้ Intel รุ่น 11th Gen อัปเดตไม่ได้ ถูกแก้แล้ว — แต่ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม”

    ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ Intel รุ่น 11th Gen แล้วพยายามอัปเดตเป็น Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่ติดปัญหาไม่สามารถอัปเดตได้เสียที ตอนนี้ข่าวดีมาแล้ว — Microsoft ประกาศว่าได้ปลดล็อกการอัปเดตให้กับเครื่องที่เคยถูก “compatibility hold” หลังจากที่ Intel แก้ไขปัญหาไดรเวอร์เสียง Smart Sound Technology (SST) ที่เป็นต้นเหตุของบั๊กนี้เรียบร้อยแล้ว

    ปัญหานี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และส่งผลให้เครื่องที่ใช้ชิป Rocket Lake หรือ Tiger Lake ไม่สามารถอัปเดตได้ เพราะไดรเวอร์ SST รุ่นเก่าอาจทำให้เกิด Blue Screen of Death (หรือในเวอร์ชันใหม่คือ Black Screen) เมื่อพยายามติดตั้งเวอร์ชัน 24H2

    Microsoft ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เพราะเป็นปัญหาที่อยู่ฝั่ง Intel จึงต้องรอให้ Intel ปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ซึ่งกว่าจะออกมาก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ผ่าน Windows Update และหลังจากนั้นจึงตรวจสอบอีกครั้งเพื่อรับอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งอาจใช้เวลาระบบในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 48 ชั่วโมง

    น่าสนใจคือ ปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ซึ่งหมายความว่า Intel SST เคยเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก และการแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีกในเวอร์ชัน 25H2 ที่กำลังจะมาในปลายปีนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บั๊กใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เกิดจากไดรเวอร์ Intel Smart Sound Technology (SST) รุ่นเก่า
    ส่งผลให้เครื่องที่ใช้ Intel 11th Gen (Rocket Lake, Tiger Lake) ไม่สามารถอัปเดตได้
    Microsoft ใช้ “compatibility hold” เพื่อบล็อกการอัปเดตในเครื่องที่มีไดรเวอร์ที่มีปัญหา
    Intel ใช้เวลาหนึ่งปีในการแก้ไขและปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่
    ไดรเวอร์ที่ปลอดภัยคือเวอร์ชัน 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป
    Microsoft ประกาศปลดล็อกการอัปเดตเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update และรอประมาณ 48 ชั่วโมงเพื่อรับอัปเดต
    ปัญหานี้เคยเกิดในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel SST เป็นระบบควบคุมเสียงที่ฝังอยู่ในหลายรุ่นของชิป Intel เพื่อจัดการไมโครโฟนและลำโพง
    Compatibility hold เป็นมาตรการของ Microsoft เพื่อป้องกันการอัปเดตที่อาจทำให้ระบบพัง
    Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นอัปเดตใหญ่ที่รวมฟีเจอร์ใหม่ เช่น AI integration และระบบประหยัดพลังงาน
    ผู้ใช้ Intel 11th Gen ยังมีอยู่มากถึง 10–15% ของผู้ใช้ Windows ทั่วโลก
    การอัปเดตไดรเวอร์เสียงมีผลต่อการใช้งาน Windows Hello และแอปที่ใช้ไมโครโฟน

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-bug-that-stopped-some-intel-pcs-from-getting-the-24h2-update-is-fixed-but-it-took-a-whole-year
    🧩 “บั๊ก Windows 11 ที่ทำให้ Intel รุ่น 11th Gen อัปเดตไม่ได้ ถูกแก้แล้ว — แต่ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม” ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ Intel รุ่น 11th Gen แล้วพยายามอัปเดตเป็น Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่ติดปัญหาไม่สามารถอัปเดตได้เสียที ตอนนี้ข่าวดีมาแล้ว — Microsoft ประกาศว่าได้ปลดล็อกการอัปเดตให้กับเครื่องที่เคยถูก “compatibility hold” หลังจากที่ Intel แก้ไขปัญหาไดรเวอร์เสียง Smart Sound Technology (SST) ที่เป็นต้นเหตุของบั๊กนี้เรียบร้อยแล้ว ปัญหานี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และส่งผลให้เครื่องที่ใช้ชิป Rocket Lake หรือ Tiger Lake ไม่สามารถอัปเดตได้ เพราะไดรเวอร์ SST รุ่นเก่าอาจทำให้เกิด Blue Screen of Death (หรือในเวอร์ชันใหม่คือ Black Screen) เมื่อพยายามติดตั้งเวอร์ชัน 24H2 Microsoft ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เพราะเป็นปัญหาที่อยู่ฝั่ง Intel จึงต้องรอให้ Intel ปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ซึ่งกว่าจะออกมาก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ผ่าน Windows Update และหลังจากนั้นจึงตรวจสอบอีกครั้งเพื่อรับอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งอาจใช้เวลาระบบในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 48 ชั่วโมง น่าสนใจคือ ปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ซึ่งหมายความว่า Intel SST เคยเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก และการแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีกในเวอร์ชัน 25H2 ที่กำลังจะมาในปลายปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บั๊กใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เกิดจากไดรเวอร์ Intel Smart Sound Technology (SST) รุ่นเก่า ➡️ ส่งผลให้เครื่องที่ใช้ Intel 11th Gen (Rocket Lake, Tiger Lake) ไม่สามารถอัปเดตได้ ➡️ Microsoft ใช้ “compatibility hold” เพื่อบล็อกการอัปเดตในเครื่องที่มีไดรเวอร์ที่มีปัญหา ➡️ Intel ใช้เวลาหนึ่งปีในการแก้ไขและปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ➡️ ไดรเวอร์ที่ปลอดภัยคือเวอร์ชัน 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป ➡️ Microsoft ประกาศปลดล็อกการอัปเดตเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update และรอประมาณ 48 ชั่วโมงเพื่อรับอัปเดต ➡️ ปัญหานี้เคยเกิดในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel SST เป็นระบบควบคุมเสียงที่ฝังอยู่ในหลายรุ่นของชิป Intel เพื่อจัดการไมโครโฟนและลำโพง ➡️ Compatibility hold เป็นมาตรการของ Microsoft เพื่อป้องกันการอัปเดตที่อาจทำให้ระบบพัง ➡️ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นอัปเดตใหญ่ที่รวมฟีเจอร์ใหม่ เช่น AI integration และระบบประหยัดพลังงาน ➡️ ผู้ใช้ Intel 11th Gen ยังมีอยู่มากถึง 10–15% ของผู้ใช้ Windows ทั่วโลก ➡️ การอัปเดตไดรเวอร์เสียงมีผลต่อการใช้งาน Windows Hello และแอปที่ใช้ไมโครโฟน https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-bug-that-stopped-some-intel-pcs-from-getting-the-24h2-update-is-fixed-but-it-took-a-whole-year
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • EP 11
    Updated SET
    NER
    AU
    SNNP

    MRK
    EP 11 Updated SET NER AU SNNP MRK
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 0 Reviews
  • นายกฯ ยันปิดด่านจนกว่าเขมรจะหมดฤทธิ์ เมินยกหูคุยผู้นำกัมพูชา (26/9/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #ไทยกัมพูชา
    #ไทยเขมร
    #เปิดด่านไทยเขมร
    #ชายแดนไทยเขมร
    #นายกอนุทิน
    #นายกหนู
    #เทรนวันนี้
    #ข่าว
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #ข่าวnews1
    #newsupdate
    นายกฯ ยันปิดด่านจนกว่าเขมรจะหมดฤทธิ์ เมินยกหูคุยผู้นำกัมพูชา (26/9/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ไทยกัมพูชา #ไทยเขมร #เปิดด่านไทยเขมร #ชายแดนไทยเขมร #นายกอนุทิน #นายกหนู #เทรนวันนี้ #ข่าว #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #ข่าวnews1 #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 0 Reviews
  • “Oktane 2025: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้ — Okta และ Auth0 เปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ Agentic AI แบบครบวงจร”

    ในงาน Oktane 2025 ที่ลาสเวกัส Okta และ Auth0 ได้เปิดตัวชุดเครื่องมือใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ AI agents ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคใหม่ของ “Agentic AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา

    Todd McKinnon ซีอีโอของ Okta เปิดเวทีด้วยแนวคิด “ถ้าคุณจะทำ AI ให้ถูก คุณต้องทำ Identity ให้ถูกก่อน” โดยเน้นว่า AI agents ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ผู้ใช้” ที่ต้องมีการจัดการสิทธิ์ การตรวจสอบ และการป้องกันภัยคุกคามเหมือนกับมนุษย์

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวคือ “Cross App Access” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agents สามารถเข้าถึงหลายแอปได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอขออนุญาตซ้ำ ๆ อีกต่อไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมสิทธิ์ได้จากศูนย์กลาง และยกเลิกการเข้าถึงแบบถาวรได้ทันที

    Auth0 ก็ไม่น้อยหน้า โดยเปิดตัว “Auth0 for AI Agents” ที่จะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนหน้า พร้อมระบบที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตน, การเรียก API อย่างปลอดภัย, การตรวจสอบการทำงานแบบ asynchronous และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบละเอียด

    นอกจากนี้ Okta ยังประกาศขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก และเปิดตัวระบบ “Identity Governance” ที่ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติระหว่างการยืนยันตัวตน เช่น bot attacks หรือการปลอมแปลง credential

    งานนี้ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก AI agent ของ McDonald’s ที่ชื่อ McHire ซึ่งถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ด้านรหัสผ่านและการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่รัดกุม — เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI ที่ไม่มีการจัดการ Identity อย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กรได้ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Okta เปิดตัวระบบ Identity สำหรับ AI agents โดยเน้นความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ
    ฟีเจอร์ Cross App Access ช่วยให้ AI agents เข้าถึงหลายแอปโดยไม่ต้องขออนุญาตซ้ำ
    ผู้ดูแลสามารถควบคุมสิทธิ์และยกเลิกการเข้าถึงได้จากศูนย์กลาง
    Auth0 เปิดตัว Auth0 for AI Agents พร้อมระบบ 4 ด้านหลักเพื่อความปลอดภัย
    Okta ขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย
    เปิดตัวระบบ Identity Governance ที่ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ
    มีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก McHire เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการ Identity
    งาน Oktane 2025 มีการสาธิตระบบ audit trail สำหรับติดตามการทำงานของ AI agents

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์
    การจัดการ Identity สำหรับ AI agents ต้องครอบคลุมทั้งสิทธิ์, การตรวจสอบ และการควบคุม
    Cross App Access เป็นการต่อยอดจาก OAuth ที่ลดความซับซ้อนของการขอสิทธิ์
    การใช้ AI ใน Identity Governance ช่วยลด false positive และเพิ่มความแม่นยำ
    การขยายศูนย์ข้อมูลช่วยลด latency และเพิ่มความมั่นคงในการให้บริการระดับโลก

    https://www.techradar.com/pro/live/oktane-2025-all-the-news-and-updates-as-they-happen
    🔐 “Oktane 2025: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้ — Okta และ Auth0 เปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ Agentic AI แบบครบวงจร” ในงาน Oktane 2025 ที่ลาสเวกัส Okta และ Auth0 ได้เปิดตัวชุดเครื่องมือใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ AI agents ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคใหม่ของ “Agentic AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา Todd McKinnon ซีอีโอของ Okta เปิดเวทีด้วยแนวคิด “ถ้าคุณจะทำ AI ให้ถูก คุณต้องทำ Identity ให้ถูกก่อน” โดยเน้นว่า AI agents ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ผู้ใช้” ที่ต้องมีการจัดการสิทธิ์ การตรวจสอบ และการป้องกันภัยคุกคามเหมือนกับมนุษย์ หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวคือ “Cross App Access” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agents สามารถเข้าถึงหลายแอปได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอขออนุญาตซ้ำ ๆ อีกต่อไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมสิทธิ์ได้จากศูนย์กลาง และยกเลิกการเข้าถึงแบบถาวรได้ทันที Auth0 ก็ไม่น้อยหน้า โดยเปิดตัว “Auth0 for AI Agents” ที่จะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนหน้า พร้อมระบบที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตน, การเรียก API อย่างปลอดภัย, การตรวจสอบการทำงานแบบ asynchronous และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบละเอียด นอกจากนี้ Okta ยังประกาศขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก และเปิดตัวระบบ “Identity Governance” ที่ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติระหว่างการยืนยันตัวตน เช่น bot attacks หรือการปลอมแปลง credential งานนี้ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก AI agent ของ McDonald’s ที่ชื่อ McHire ซึ่งถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ด้านรหัสผ่านและการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่รัดกุม — เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI ที่ไม่มีการจัดการ Identity อย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กรได้ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Okta เปิดตัวระบบ Identity สำหรับ AI agents โดยเน้นความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ ➡️ ฟีเจอร์ Cross App Access ช่วยให้ AI agents เข้าถึงหลายแอปโดยไม่ต้องขออนุญาตซ้ำ ➡️ ผู้ดูแลสามารถควบคุมสิทธิ์และยกเลิกการเข้าถึงได้จากศูนย์กลาง ➡️ Auth0 เปิดตัว Auth0 for AI Agents พร้อมระบบ 4 ด้านหลักเพื่อความปลอดภัย ➡️ Okta ขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย ➡️ เปิดตัวระบบ Identity Governance ที่ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ ➡️ มีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก McHire เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการ Identity ➡️ งาน Oktane 2025 มีการสาธิตระบบ audit trail สำหรับติดตามการทำงานของ AI agents ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ➡️ การจัดการ Identity สำหรับ AI agents ต้องครอบคลุมทั้งสิทธิ์, การตรวจสอบ และการควบคุม ➡️ Cross App Access เป็นการต่อยอดจาก OAuth ที่ลดความซับซ้อนของการขอสิทธิ์ ➡️ การใช้ AI ใน Identity Governance ช่วยลด false positive และเพิ่มความแม่นยำ ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลช่วยลด latency และเพิ่มความมั่นคงในการให้บริการระดับโลก https://www.techradar.com/pro/live/oktane-2025-all-the-news-and-updates-as-they-happen
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร”

    รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ

    Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
    API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ
    การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call
    SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้
    6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage
    37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส
    SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้
    Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ
    การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้
    การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย
    การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    📱 “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร” รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ➡️ API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ ➡️ การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call ➡️ SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้ ➡️ 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage ➡️ 37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส ➡️ SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด ➡️ อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ ➡️ การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้ ➡️ การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • นายกคาดหวัง SET พุ่งสูงขึ้น (26/09/68) #news1 #ข่าวtiktok #newsupdate #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    นายกคาดหวัง SET พุ่งสูงขึ้น (26/09/68) #news1 #ข่าวtiktok #newsupdate #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 0 Reviews
  • EP 7
    มาติดตาม NER กันช่วงบ่ายค่อย Update กันใหม่
    ถ้า SET ไม่แย่ได้ต้องคัดลอส น่าจะไปต่อได้

    วันศุกร์แล้วขอให้โชคดี

    BY
    EP 7 มาติดตาม NER กันช่วงบ่ายค่อย Update กันใหม่ ถ้า SET ไม่แย่ได้ต้องคัดลอส น่าจะไปต่อได้ วันศุกร์แล้วขอให้โชคดี BY
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 0 Reviews
  • ต้องผลักดันเขมร ทวงคืนแผ่นดินไทย : [NEWS UPDATE]

    พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติอวยพรวันเกิด เป็นปีสุดท้ายของการรับราชการ หลังจากนี้จะใช้ชีวิตทำคุณประโยชน์กับประเทศชาติเหมือนเดิม ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดสระแก้วที่จะผลักดันในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ เป็นหน้าที่กองทัพภาคที่ 1 ในการวางแผนกับรัฐบาล เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นประชาชนต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการ แต่เป็นแผ่นดินไทยก็ต้องเอาคืน ส่วนจะบานปลายมายังพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ไม่เป็นกังวลเพราะเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ถ้าปัญหาลุกลามมาก็พร้อมเผชิญทันที

    -แยกกันเดินร่วมกันตี

    -เขตแดน 42,43 เป็นของไทย

    -77 ปี กองทัพภาคที่ 2

    -เตือนดินสไลด์-น้ำป่า
    ต้องผลักดันเขมร ทวงคืนแผ่นดินไทย : [NEWS UPDATE] พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติอวยพรวันเกิด เป็นปีสุดท้ายของการรับราชการ หลังจากนี้จะใช้ชีวิตทำคุณประโยชน์กับประเทศชาติเหมือนเดิม ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดสระแก้วที่จะผลักดันในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ เป็นหน้าที่กองทัพภาคที่ 1 ในการวางแผนกับรัฐบาล เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นประชาชนต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการ แต่เป็นแผ่นดินไทยก็ต้องเอาคืน ส่วนจะบานปลายมายังพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ไม่เป็นกังวลเพราะเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ถ้าปัญหาลุกลามมาก็พร้อมเผชิญทันที -แยกกันเดินร่วมกันตี -เขตแดน 42,43 เป็นของไทย -77 ปี กองทัพภาคที่ 2 -เตือนดินสไลด์-น้ำป่า
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 0 Reviews
  • “Zen Browser 1.16b อัปเดตใหม่ เพิ่ม Command Bar และฟีเจอร์ Productivity — เบราว์เซอร์สายมินิมอลที่ไม่หยุดพัฒนา”

    Zen Browser ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ที่พัฒนาต่อยอดจาก Firefox และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่ายและเน้นการทำงาน ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 1.16b โดยมีการเปลี่ยนฐานจาก Firefox 142 เป็น Firefox 143 พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านคีย์บอร์ดและการจัดการแท็บอย่างมีประสิทธิภาพ

    ฟีเจอร์เด่นของเวอร์ชันนี้คือ “Command Bar” ซึ่งคล้ายกับ Command Palette ที่ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งลงในช่อง URL เพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น เปิดแท็บใหม่, สลับโหมด Compact, เปิดส่วนขยาย, แบ่งหน้าจอแบบ Split View หรือปักหมุดแท็บ โดยไม่ต้องใช้เมาส์เลย

    Split View ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยเพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับแบ่งหน้าจอ พร้อมปรับปรุง UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มความลื่นไหลในการลากวางแท็บเพื่อสร้างมุมมองแบบหลายหน้าต่าง

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการแสดงผล เช่น การเปลี่ยนโหมด Compact แบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่, การปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นขึ้น และการออกแบบช่อง URL ใหม่ให้แสดงผลได้ชัดเจนและใช้งานง่ายขึ้น

    Zen Browser ยังคงรักษาคำมั่นในการเป็นเบราว์เซอร์ที่เน้น productivity และ UI ที่ปรับแต่งได้ โดยเปิดรับการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Zen Browser 1.16b
    เพิ่ม Command Bar สำหรับพิมพ์คำสั่งตรงในช่อง URL เช่น toggle compact mode, เปิดแท็บ, เปิด extension
    รองรับการเปิดส่วนขยายด้วยการพิมพ์ชื่อในช่อง URL โดยตรง
    เพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับสร้าง Split View
    ปรับปรุง UI ของ Split View ให้ใช้งานง่ายขึ้นและลากวางแท็บได้ลื่นขึ้น
    ปรับปรุงการเปลี่ยนโหมด Compact ให้เปลี่ยนแบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่
    ปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นและเร็วขึ้น
    ออกแบบช่อง URL ใหม่ให้ใช้งานง่ายและแสดงผลได้ชัดเจน
    ปรับปรุงคีย์ลัดบน macOS ให้ใช้สัญลักษณ์ระบบแบบ native
    ปรับปรุงการลากเพื่อแบ่งหน้าจอให้ลื่นขึ้นและแม่นยำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Split View รองรับการแบ่งหน้าจอได้สูงสุด 4 แท็บพร้อมกัน
    ผู้ใช้สามารถปรับ layout ของ Split View เป็นแนวนอน แนวตั้ง หรือแบบ grid ได้
    Zen Browser ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Linux และผู้ที่เลิกใช้เบราว์เซอร์แบบ Chromium
    Command Bar ช่วยให้ผู้ใช้ที่เน้นคีย์บอร์ดสามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้เมาส์
    Zen Browser เปิดให้ผู้ใช้เสนอฟีเจอร์ใหม่ผ่าน GitHub และ Reddit

    https://www.techpowerup.com/341237/zen-browser-1-16b-adds-command-bar-and-updates-to-firefox-143
    🧭 “Zen Browser 1.16b อัปเดตใหม่ เพิ่ม Command Bar และฟีเจอร์ Productivity — เบราว์เซอร์สายมินิมอลที่ไม่หยุดพัฒนา” Zen Browser ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ที่พัฒนาต่อยอดจาก Firefox และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่ายและเน้นการทำงาน ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 1.16b โดยมีการเปลี่ยนฐานจาก Firefox 142 เป็น Firefox 143 พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านคีย์บอร์ดและการจัดการแท็บอย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์เด่นของเวอร์ชันนี้คือ “Command Bar” ซึ่งคล้ายกับ Command Palette ที่ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งลงในช่อง URL เพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น เปิดแท็บใหม่, สลับโหมด Compact, เปิดส่วนขยาย, แบ่งหน้าจอแบบ Split View หรือปักหมุดแท็บ โดยไม่ต้องใช้เมาส์เลย Split View ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยเพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับแบ่งหน้าจอ พร้อมปรับปรุง UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มความลื่นไหลในการลากวางแท็บเพื่อสร้างมุมมองแบบหลายหน้าต่าง นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการแสดงผล เช่น การเปลี่ยนโหมด Compact แบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่, การปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นขึ้น และการออกแบบช่อง URL ใหม่ให้แสดงผลได้ชัดเจนและใช้งานง่ายขึ้น Zen Browser ยังคงรักษาคำมั่นในการเป็นเบราว์เซอร์ที่เน้น productivity และ UI ที่ปรับแต่งได้ โดยเปิดรับการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Zen Browser 1.16b ➡️ เพิ่ม Command Bar สำหรับพิมพ์คำสั่งตรงในช่อง URL เช่น toggle compact mode, เปิดแท็บ, เปิด extension ➡️ รองรับการเปิดส่วนขยายด้วยการพิมพ์ชื่อในช่อง URL โดยตรง ➡️ เพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับสร้าง Split View ➡️ ปรับปรุง UI ของ Split View ให้ใช้งานง่ายขึ้นและลากวางแท็บได้ลื่นขึ้น ➡️ ปรับปรุงการเปลี่ยนโหมด Compact ให้เปลี่ยนแบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่ ➡️ ปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นและเร็วขึ้น ➡️ ออกแบบช่อง URL ใหม่ให้ใช้งานง่ายและแสดงผลได้ชัดเจน ➡️ ปรับปรุงคีย์ลัดบน macOS ให้ใช้สัญลักษณ์ระบบแบบ native ➡️ ปรับปรุงการลากเพื่อแบ่งหน้าจอให้ลื่นขึ้นและแม่นยำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Split View รองรับการแบ่งหน้าจอได้สูงสุด 4 แท็บพร้อมกัน ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับ layout ของ Split View เป็นแนวนอน แนวตั้ง หรือแบบ grid ได้ ➡️ Zen Browser ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Linux และผู้ที่เลิกใช้เบราว์เซอร์แบบ Chromium ➡️ Command Bar ช่วยให้ผู้ใช้ที่เน้นคีย์บอร์ดสามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้เมาส์ ➡️ Zen Browser เปิดให้ผู้ใช้เสนอฟีเจอร์ใหม่ผ่าน GitHub และ Reddit https://www.techpowerup.com/341237/zen-browser-1-16b-adds-command-bar-and-updates-to-firefox-143
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Zen Browser 1.16b Adds Command Bar and Updates to Firefox 143
    Zen browser, the Firefox-based desktop web browser often recommended to those fleeing the abandoned Arc browser, has received its latest update, which adds an interesting text-based control feature and a number of smaller updates and security fixes. The latest version of Zen Browser (version 1.16b) ...
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ Firebox CVE-2025-9242 คะแนน 9.3 — เมื่อไฟร์วอลล์กลายเป็นประตูหลังให้แฮกเกอร์”

    WatchGuard ได้ออกประกาศแจ้งเตือนความปลอดภัยระดับวิกฤตเกี่ยวกับช่องโหว่ใหม่ในอุปกรณ์ไฟร์วอลล์รุ่น Firebox ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Fireware OS โดยช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-9242 และได้รับคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.3 จาก 10 ตามมาตรฐาน CVSS

    ช่องโหว่นี้เป็นประเภท “out-of-bounds write” ซึ่งหมายถึงการเขียนข้อมูลลงในหน่วยความจำที่ไม่ควรเข้าถึง ส่งผลให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายบนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้อยู่ในกระบวนการ iked ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ VPN แบบ IKEv2 ที่ใช้สร้างการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยระหว่างเครือข่าย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ผู้ใช้จะลบการตั้งค่า VPN แบบ IKEv2 ไปแล้ว อุปกรณ์ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี หากยังมีการตั้งค่า VPN แบบ branch office ที่ใช้ static gateway peer อยู่ โดยช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Fireware OS เวอร์ชัน 11.10.2 ถึง 11.12.4_Update1, 12.0 ถึง 12.11.3 และ 2025.1 รวมถึงอุปกรณ์ในซีรีส์ T, M และ Firebox Cloud

    WatchGuard ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 12.3.1_Update3, 12.5.13, 12.11.4 และ 2025.1.1 พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบเวอร์ชันของอุปกรณ์และอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ในทันที ควรใช้วิธีชั่วคราว เช่น ปิดการใช้งาน dynamic peer VPN และตั้งนโยบายไฟร์วอลล์ใหม่เพื่อจำกัดการเข้าถึง

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหลายคนออกมาเตือนว่า ช่องโหว่ในไฟร์วอลล์ถือเป็น “ชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์” ของแฮกเกอร์ เพราะมันคือจุดเข้าเครือข่ายที่สำคัญที่สุด และมักถูกโจมตีภายในไม่กี่วันหลังจากมีการเปิดเผยช่องโหว่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-9242 เป็นประเภท out-of-bounds write ในกระบวนการ iked ของ Fireware OS
    ได้รับคะแนนความรุนแรง 9.3 จาก 10 ตามมาตรฐาน CVSS
    ส่งผลกระทบต่อ Fireware OS เวอร์ชัน 11.10.2–11.12.4_Update1, 12.0–12.11.3 และ 2025.1
    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบรวมถึง Firebox T15, T35 และรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์ T, M และ Cloud

    การแก้ไขและคำแนะนำ
    WatchGuard ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 12.3.1_Update3, 12.5.13, 12.11.4 และ 2025.1.1
    แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีจากระยะไกล
    หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ให้ปิด dynamic peer VPN และตั้งนโยบายไฟร์วอลล์ใหม่
    WatchGuard ยกย่องนักวิจัย “btaol” ที่ค้นพบช่องโหว่นี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่ใน VPN gateway มักถูกโจมตีภายในไม่กี่วันหลังการเปิดเผย
    การโจมตีไฟร์วอลล์สามารถนำไปสู่การเคลื่อนย้ายภายในเครือข่ายและติดตั้ง ransomware
    การตั้งค่า VPN ที่ลบไปแล้วอาจยังทิ้งช่องโหว่ไว้ หากมีการตั้งค่าอื่นที่เกี่ยวข้อง
    การใช้แนวทาง Zero Trust และการแบ่งเครือข่ายช่วยลดความเสียหายหากถูกเจาะ

    https://hackread.com/watchguard-fix-for-firebox-firewall-vulnerability/
    🧱 “ช่องโหว่ Firebox CVE-2025-9242 คะแนน 9.3 — เมื่อไฟร์วอลล์กลายเป็นประตูหลังให้แฮกเกอร์” WatchGuard ได้ออกประกาศแจ้งเตือนความปลอดภัยระดับวิกฤตเกี่ยวกับช่องโหว่ใหม่ในอุปกรณ์ไฟร์วอลล์รุ่น Firebox ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Fireware OS โดยช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-9242 และได้รับคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.3 จาก 10 ตามมาตรฐาน CVSS ช่องโหว่นี้เป็นประเภท “out-of-bounds write” ซึ่งหมายถึงการเขียนข้อมูลลงในหน่วยความจำที่ไม่ควรเข้าถึง ส่งผลให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดอันตรายบนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้อยู่ในกระบวนการ iked ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ VPN แบบ IKEv2 ที่ใช้สร้างการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยระหว่างเครือข่าย สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ผู้ใช้จะลบการตั้งค่า VPN แบบ IKEv2 ไปแล้ว อุปกรณ์ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี หากยังมีการตั้งค่า VPN แบบ branch office ที่ใช้ static gateway peer อยู่ โดยช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Fireware OS เวอร์ชัน 11.10.2 ถึง 11.12.4_Update1, 12.0 ถึง 12.11.3 และ 2025.1 รวมถึงอุปกรณ์ในซีรีส์ T, M และ Firebox Cloud WatchGuard ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 12.3.1_Update3, 12.5.13, 12.11.4 และ 2025.1.1 พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบเวอร์ชันของอุปกรณ์และอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ในทันที ควรใช้วิธีชั่วคราว เช่น ปิดการใช้งาน dynamic peer VPN และตั้งนโยบายไฟร์วอลล์ใหม่เพื่อจำกัดการเข้าถึง ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหลายคนออกมาเตือนว่า ช่องโหว่ในไฟร์วอลล์ถือเป็น “ชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์” ของแฮกเกอร์ เพราะมันคือจุดเข้าเครือข่ายที่สำคัญที่สุด และมักถูกโจมตีภายในไม่กี่วันหลังจากมีการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-9242 เป็นประเภท out-of-bounds write ในกระบวนการ iked ของ Fireware OS ➡️ ได้รับคะแนนความรุนแรง 9.3 จาก 10 ตามมาตรฐาน CVSS ➡️ ส่งผลกระทบต่อ Fireware OS เวอร์ชัน 11.10.2–11.12.4_Update1, 12.0–12.11.3 และ 2025.1 ➡️ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบรวมถึง Firebox T15, T35 และรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์ T, M และ Cloud ✅ การแก้ไขและคำแนะนำ ➡️ WatchGuard ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 12.3.1_Update3, 12.5.13, 12.11.4 และ 2025.1.1 ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีจากระยะไกล ➡️ หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ให้ปิด dynamic peer VPN และตั้งนโยบายไฟร์วอลล์ใหม่ ➡️ WatchGuard ยกย่องนักวิจัย “btaol” ที่ค้นพบช่องโหว่นี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่ใน VPN gateway มักถูกโจมตีภายในไม่กี่วันหลังการเปิดเผย ➡️ การโจมตีไฟร์วอลล์สามารถนำไปสู่การเคลื่อนย้ายภายในเครือข่ายและติดตั้ง ransomware ➡️ การตั้งค่า VPN ที่ลบไปแล้วอาจยังทิ้งช่องโหว่ไว้ หากมีการตั้งค่าอื่นที่เกี่ยวข้อง ➡️ การใช้แนวทาง Zero Trust และการแบ่งเครือข่ายช่วยลดความเสียหายหากถูกเจาะ https://hackread.com/watchguard-fix-for-firebox-firewall-vulnerability/
    HACKREAD.COM
    WatchGuard Issues Fix for 9.3-Rated Firebox Firewall Vulnerability
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • “IPFire 2.29 อัปเดตครั้งใหญ่ ปรับปรุง OpenVPN ทั้งระบบ — เสริมความปลอดภัย พร้อมลดพลังงาน CPU”

    IPFire 2.29 Core Update 197 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบไฟร์วอลล์แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ดูแลระบบและองค์กรทั่วโลก จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุง OpenVPN ครั้งใหญ่ โดยอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.6 ซึ่งมาพร้อมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น รองรับลูกค้าได้หลากหลายขึ้น และมีโค้ดเบสที่ทันสมัยมากขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนค่าคอนฟิกเดิมของผู้ใช้เลย

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน OpenVPN ได้แก่ การรวมไฟล์คอนฟิกทั้งหมดไว้ในไฟล์เดียว (ไม่ต้องใช้ ZIP), การยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย, และการเปลี่ยนรูปแบบการจัดสรร IP จาก subnet topology เป็นแบบ IP เดี่ยวต่อ client ซึ่งช่วยเพิ่มขนาด pool ได้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนค่าคอนฟิกได้โดยไม่ต้องหยุดบริการ road warrior ก่อน และเมื่อเซิร์ฟเวอร์รีสตาร์ต ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนและเชื่อมต่อใหม่ทันที

    นอกจาก OpenVPN แล้ว IPFire ยังอัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับการนำเข้าไฟล์คอนฟิกที่มี line break แบบ Windows และไม่สนใจเส้นทาง IPv6 ที่ไม่จำเป็น พร้อมเพิ่มระบบมอนิเตอร์การเชื่อมต่อ WireGuard และฟีเจอร์ ARP ping สำหรับตรวจสอบ gateway และตำแหน่งของ IPFire

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับระบบ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยใช้ Intel P-State หรือ schedutil governor ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและความร้อน โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการส่งต่อแพ็กเก็ตตามผลทดสอบของทีมพัฒนา

    เวอร์ชันนี้ยังเพิ่มการรองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB, เพิ่มเครื่องมือจำลอง TPM 2.0 สำหรับ VM ที่ใช้ Windows 11 ขึ้นไป, และเพิ่ม arpwatch สำหรับแจ้งเตือนเมื่อมี host ใหม่ในเครือข่ายท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจจำนวนมาก เช่น Apache, OpenSSL, SQLite, Suricata, Bash, Git, HAProxy และอื่น ๆ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    อัปเดต OpenVPN เป็นเวอร์ชัน 2.6 พร้อมปรับปรุงความปลอดภัยและความเข้ากันได้
    รวมไฟล์คอนฟิกไว้ในไฟล์เดียว ไม่ต้องใช้ ZIP container
    ยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย
    เปลี่ยนจาก subnet topology เป็น IP เดี่ยวต่อ client เพื่อเพิ่มขนาด pool

    ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ
    ปรับ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานด้วย Intel P-State หรือ schedutil governor
    อัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับ line break แบบ Windows และไม่สนใจ IPv6 route
    เพิ่มระบบมอนิเตอร์ WireGuard และ ARP ping สำหรับ gateway และ location
    รองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenVPN 2.6 รองรับ cipher negotiation และใช้ SHA512 เป็นค่าเริ่มต้นเมื่อไม่มี AEAD
    การยกเลิก compression เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการป้องกันช่องโหว่ CRIME
    การจำลอง TPM 2.0 ช่วยให้ VM สามารถติดตั้ง Windows 11 ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์จริง
    IPFire ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนและองค์กรทั่วโลกในฐานะไฟร์วอลล์ที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น

    https://9to5linux.com/ipfire-2-29-core-update-197-introduces-a-complete-openvpn-overhaul
    🛡️ “IPFire 2.29 อัปเดตครั้งใหญ่ ปรับปรุง OpenVPN ทั้งระบบ — เสริมความปลอดภัย พร้อมลดพลังงาน CPU” IPFire 2.29 Core Update 197 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบไฟร์วอลล์แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ดูแลระบบและองค์กรทั่วโลก จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุง OpenVPN ครั้งใหญ่ โดยอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.6 ซึ่งมาพร้อมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น รองรับลูกค้าได้หลากหลายขึ้น และมีโค้ดเบสที่ทันสมัยมากขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนค่าคอนฟิกเดิมของผู้ใช้เลย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน OpenVPN ได้แก่ การรวมไฟล์คอนฟิกทั้งหมดไว้ในไฟล์เดียว (ไม่ต้องใช้ ZIP), การยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย, และการเปลี่ยนรูปแบบการจัดสรร IP จาก subnet topology เป็นแบบ IP เดี่ยวต่อ client ซึ่งช่วยเพิ่มขนาด pool ได้ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนค่าคอนฟิกได้โดยไม่ต้องหยุดบริการ road warrior ก่อน และเมื่อเซิร์ฟเวอร์รีสตาร์ต ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนและเชื่อมต่อใหม่ทันที นอกจาก OpenVPN แล้ว IPFire ยังอัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับการนำเข้าไฟล์คอนฟิกที่มี line break แบบ Windows และไม่สนใจเส้นทาง IPv6 ที่ไม่จำเป็น พร้อมเพิ่มระบบมอนิเตอร์การเชื่อมต่อ WireGuard และฟีเจอร์ ARP ping สำหรับตรวจสอบ gateway และตำแหน่งของ IPFire อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับระบบ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยใช้ Intel P-State หรือ schedutil governor ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและความร้อน โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการส่งต่อแพ็กเก็ตตามผลทดสอบของทีมพัฒนา เวอร์ชันนี้ยังเพิ่มการรองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB, เพิ่มเครื่องมือจำลอง TPM 2.0 สำหรับ VM ที่ใช้ Windows 11 ขึ้นไป, และเพิ่ม arpwatch สำหรับแจ้งเตือนเมื่อมี host ใหม่ในเครือข่ายท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจจำนวนมาก เช่น Apache, OpenSSL, SQLite, Suricata, Bash, Git, HAProxy และอื่น ๆ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ อัปเดต OpenVPN เป็นเวอร์ชัน 2.6 พร้อมปรับปรุงความปลอดภัยและความเข้ากันได้ ➡️ รวมไฟล์คอนฟิกไว้ในไฟล์เดียว ไม่ต้องใช้ ZIP container ➡️ ยกเลิกการใช้ compression เพื่อความปลอดภัย ➡️ เปลี่ยนจาก subnet topology เป็น IP เดี่ยวต่อ client เพื่อเพิ่มขนาด pool ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ ➡️ ปรับ CPU ให้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานด้วย Intel P-State หรือ schedutil governor ➡️ อัปเดต WireGuard VPN ให้รองรับ line break แบบ Windows และไม่สนใจ IPv6 route ➡️ เพิ่มระบบมอนิเตอร์ WireGuard และ ARP ping สำหรับ gateway และ location ➡️ รองรับการ restore backup ผ่านเว็บ UI ที่มีขนาดเกิน 2 GB ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenVPN 2.6 รองรับ cipher negotiation และใช้ SHA512 เป็นค่าเริ่มต้นเมื่อไม่มี AEAD ➡️ การยกเลิก compression เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการป้องกันช่องโหว่ CRIME ➡️ การจำลอง TPM 2.0 ช่วยให้ VM สามารถติดตั้ง Windows 11 ได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์จริง ➡️ IPFire ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนและองค์กรทั่วโลกในฐานะไฟร์วอลล์ที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น https://9to5linux.com/ipfire-2-29-core-update-197-introduces-a-complete-openvpn-overhaul
    9TO5LINUX.COM
    IPFire 2.29 Core Update 197 Introduces a Complete OpenVPN Overhaul - 9to5Linux
    IPFire 2.29 Update 197 firewall distribution is now available for download with a complete OpenVPN overhaul and performance tweaks.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
More Results