• “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง

    เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน
    เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด

    🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน
    ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว
    วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ
    โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello”

    ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด
    เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก
    แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป
    วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง

    มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ
    มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง
    แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น
    ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ

    Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก
    Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย
    เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
    นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา
    ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
    แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่

    “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า
    สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก
    มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
    และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้

    จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่
    แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด
    หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา

    “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น—
    “Hello… is it me you’re looking for?”
    และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    💿🕺 “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง 💘 เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด 🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello” 🎖️ ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง 📺 มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ 📝 มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ 🧑‍🎤 Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่ 🎵 “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้ 🛣️ จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่ แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น— “Hello… is it me you’re looking for?” และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • มือถือรุ่นเก่าเสี่ยงหมดสิทธิ์ใช้ Android Auto

    Google ได้เริ่มบังคับใช้ข้อกำหนดใหม่ที่เคยประกาศตั้งแต่ปี 2024 ว่า Android Auto จะรองรับเฉพาะสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android 9 ขึ้นไป เท่านั้น หลังจากเลื่อนการบังคับใช้มานานกว่า 1 ปี ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปล่อย Android Auto 15.5 (Beta) ซึ่งตัดการรองรับอุปกรณ์ที่ยังใช้ Android 8 หรือเวอร์ชันก่อนหน้า

    สำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้มือถือรุ่นเก่า การอัปเดตไปยัง Android Auto 15.5 จะทำให้ฟีเจอร์นี้หยุดทำงานทันที แม้ว่าในตอนนี้เวอร์ชันเสถียรจะยังอยู่ที่ Android Auto 15.2 แต่เมื่อการอัปเดตใหม่ถูกปล่อยอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้ Android 8 จะได้รับผลกระทบแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้จะกระทบผู้ใช้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะปัจจุบันมีเพียงประมาณ 1% ของผู้ใช้ Android ทั่วโลก ที่ยังคงใช้ Android 8 อยู่ ซึ่งหมายความว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ Android 9 หรือใหม่กว่าจะยังสามารถใช้งาน Android Auto ได้ตามปกติ

    สำหรับผู้ที่ยังใช้ Android 8 ทางเลือกมีเพียงสองอย่าง คือ ไม่อัปเดต Android Auto (ซึ่งไม่แนะนำ เพราะอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย) หรือ เปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับ Android 9 ขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งาน Android Auto จะไม่สะดุด

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงของ Google
    Android Auto 15.5 จะไม่รองรับ Android 8 และเวอร์ชันก่อนหน้า
    ข้อกำหนดนี้เคยประกาศตั้งแต่ปี 2024 แต่เพิ่งเริ่มบังคับจริงในปี 2025

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้ Android 9 หรือใหม่กว่า ยังใช้งานได้ตามปกติ
    ผู้ใช้ Android 8 จะสูญเสียการใช้งาน Android Auto หากอัปเดต

    สถานการณ์ทั่วโลก
    มีเพียง ~1% ของผู้ใช้ Android ที่ยังใช้ Android 8
    ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับผลกระทบ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android 8
    การเลือกไม่อัปเดตอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและฟีเจอร์ใหม่
    ทางออกที่มั่นคงคือการเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับ Android 9+

    https://www.slashgear.com/2014243/phones-losing-android-auto-15-5-support/
    🚗 มือถือรุ่นเก่าเสี่ยงหมดสิทธิ์ใช้ Android Auto Google ได้เริ่มบังคับใช้ข้อกำหนดใหม่ที่เคยประกาศตั้งแต่ปี 2024 ว่า Android Auto จะรองรับเฉพาะสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android 9 ขึ้นไป เท่านั้น หลังจากเลื่อนการบังคับใช้มานานกว่า 1 ปี ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปล่อย Android Auto 15.5 (Beta) ซึ่งตัดการรองรับอุปกรณ์ที่ยังใช้ Android 8 หรือเวอร์ชันก่อนหน้า 📱 สำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้มือถือรุ่นเก่า การอัปเดตไปยัง Android Auto 15.5 จะทำให้ฟีเจอร์นี้หยุดทำงานทันที แม้ว่าในตอนนี้เวอร์ชันเสถียรจะยังอยู่ที่ Android Auto 15.2 แต่เมื่อการอัปเดตใหม่ถูกปล่อยอย่างเต็มรูปแบบ ผู้ใช้ Android 8 จะได้รับผลกระทบแน่นอน 🌍 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้จะกระทบผู้ใช้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะปัจจุบันมีเพียงประมาณ 1% ของผู้ใช้ Android ทั่วโลก ที่ยังคงใช้ Android 8 อยู่ ซึ่งหมายความว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ Android 9 หรือใหม่กว่าจะยังสามารถใช้งาน Android Auto ได้ตามปกติ ⚠️ สำหรับผู้ที่ยังใช้ Android 8 ทางเลือกมีเพียงสองอย่าง คือ ไม่อัปเดต Android Auto (ซึ่งไม่แนะนำ เพราะอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย) หรือ เปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับ Android 9 ขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งาน Android Auto จะไม่สะดุด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงของ Google ➡️ Android Auto 15.5 จะไม่รองรับ Android 8 และเวอร์ชันก่อนหน้า ➡️ ข้อกำหนดนี้เคยประกาศตั้งแต่ปี 2024 แต่เพิ่งเริ่มบังคับจริงในปี 2025 ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ Android 9 หรือใหม่กว่า ยังใช้งานได้ตามปกติ ➡️ ผู้ใช้ Android 8 จะสูญเสียการใช้งาน Android Auto หากอัปเดต ✅ สถานการณ์ทั่วโลก ➡️ มีเพียง ~1% ของผู้ใช้ Android ที่ยังใช้ Android 8 ➡️ ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับผลกระทบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android 8 ⛔ การเลือกไม่อัปเดตอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและฟีเจอร์ใหม่ ⛔ ทางออกที่มั่นคงคือการเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับ Android 9+ https://www.slashgear.com/2014243/phones-losing-android-auto-15-5-support/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Some Phones Could Soon Lose Android Auto Support – Here's How To Know If Yours Is One - SlashGear
    Users with older devices may soon lose support with Android Auto, and this is what it means.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนมือถือ Android หมายถึงอะไร?

    หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นตัวเลขเล็ก ๆ เช่น 5, 6 หรือ 7 ปรากฏอยู่ข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนหน้าจอสมาร์ทโฟน Android แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร จริง ๆ แล้วตัวเลขเหล่านี้บอกถึง “รุ่นของมาตรฐาน Wi-Fi” ที่อุปกรณ์และเราเตอร์กำลังเชื่อมต่ออยู่ เช่น Wi-Fi 5 (802.11ac), Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Wi-Fi 7 (802.11be) ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างด้านความเร็ว ความหน่วง และประสิทธิภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น

    Wi-Fi รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะเร็วเสมอไป หากเราเตอร์ที่ใช้อยู่ยังเป็นรุ่นเก่า แม้โทรศัพท์จะรองรับ Wi-Fi 7 ก็จะเชื่อมต่อได้เพียง Wi-Fi 6 หรือ Wi-Fi 5 เท่านั้น ดังนั้นการอัปเกรดเราเตอร์จึงมีความสำคัญพอ ๆ กับการใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    นอกจากนี้ บางรุ่นของสมาร์ทโฟน เช่น Xiaomi หรือ OnePlus ยังมีฟีเจอร์พิเศษที่แสดงตัวเลขวิ่งขึ้นลงข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi ซึ่งเป็น “ตัวบ่งชี้การรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์” โดยตัวเลขนี้ไม่ได้บอกความเร็วสูงสุด แต่แสดงปริมาณข้อมูลที่กำลังอัปโหลดหรือดาวน์โหลดในขณะนั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ามีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่หรือไม่

    อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เครือข่าย Wi-Fi ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการ และการเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม (2.4 GHz หรือ 5 GHz) เพื่อให้ได้ความเร็วและความเสถียรที่ดีที่สุด โดย Wi-Fi 7 ยังมีฟีเจอร์ Multi-Link Operation ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรและลดการหลุดของสัญญาณ

    สรุปสาระสำคัญ
    ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บน Android
    บอกถึงรุ่นมาตรฐาน Wi-Fi (5, 6, 7) ที่อุปกรณ์เชื่อมต่ออยู่

    ความแตกต่างของ Wi-Fi แต่ละรุ่น
    Wi-Fi 5: ใช้ 802.11ac
    Wi-Fi 6: ใช้ 802.11ax, ลดความหน่วงและรองรับผู้ใช้มากขึ้น
    Wi-Fi 7: ใช้ 802.11be, มี Multi-Link Operation เพิ่มความเสถียร

    ฟีเจอร์เสริมในบางสมาร์ทโฟน
    ตัวเลขวิ่งขึ้นลงแสดงการรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ฟีเจอร์ Dual Wi-Fi acceleration ในบางรุ่น เช่น OnePlus

    ข้อควรระวังในการใช้งาน Wi-Fi
    โทรศัพท์รุ่นใหม่อาจเชื่อมต่อได้เพียงมาตรฐานเก่า หากเราเตอร์ไม่รองรับ
    ความเร็วจริงขึ้นอยู่กับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่รุ่น Wi-Fi
    การเลือกย่านความถี่ผิด (เช่นใช้ 2.4 GHz ในพื้นที่แออัด) อาจทำให้สัญญาณช้าหรือไม่เสถียร

    https://www.slashgear.com/2007604/number-next-wi-fi-symbol-meaning-android/
    📡 ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนมือถือ Android หมายถึงอะไร? หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นตัวเลขเล็ก ๆ เช่น 5, 6 หรือ 7 ปรากฏอยู่ข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บนหน้าจอสมาร์ทโฟน Android แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร จริง ๆ แล้วตัวเลขเหล่านี้บอกถึง “รุ่นของมาตรฐาน Wi-Fi” ที่อุปกรณ์และเราเตอร์กำลังเชื่อมต่ออยู่ เช่น Wi-Fi 5 (802.11ac), Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Wi-Fi 7 (802.11be) ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างด้านความเร็ว ความหน่วง และประสิทธิภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น 📶 Wi-Fi รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะเร็วเสมอไป หากเราเตอร์ที่ใช้อยู่ยังเป็นรุ่นเก่า แม้โทรศัพท์จะรองรับ Wi-Fi 7 ก็จะเชื่อมต่อได้เพียง Wi-Fi 6 หรือ Wi-Fi 5 เท่านั้น ดังนั้นการอัปเกรดเราเตอร์จึงมีความสำคัญพอ ๆ กับการใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 🌐 นอกจากนี้ บางรุ่นของสมาร์ทโฟน เช่น Xiaomi หรือ OnePlus ยังมีฟีเจอร์พิเศษที่แสดงตัวเลขวิ่งขึ้นลงข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi ซึ่งเป็น “ตัวบ่งชี้การรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์” โดยตัวเลขนี้ไม่ได้บอกความเร็วสูงสุด แต่แสดงปริมาณข้อมูลที่กำลังอัปโหลดหรือดาวน์โหลดในขณะนั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ามีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่หรือไม่ ⚠️ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เครือข่าย Wi-Fi ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการ และการเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสม (2.4 GHz หรือ 5 GHz) เพื่อให้ได้ความเร็วและความเสถียรที่ดีที่สุด โดย Wi-Fi 7 ยังมีฟีเจอร์ Multi-Link Operation ที่ช่วยให้เชื่อมต่อหลายย่านความถี่พร้อมกัน เพิ่มความเสถียรและลดการหลุดของสัญญาณ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตัวเลขข้างสัญลักษณ์ Wi-Fi บน Android ➡️ บอกถึงรุ่นมาตรฐาน Wi-Fi (5, 6, 7) ที่อุปกรณ์เชื่อมต่ออยู่ ✅ ความแตกต่างของ Wi-Fi แต่ละรุ่น ➡️ Wi-Fi 5: ใช้ 802.11ac ➡️ Wi-Fi 6: ใช้ 802.11ax, ลดความหน่วงและรองรับผู้ใช้มากขึ้น ➡️ Wi-Fi 7: ใช้ 802.11be, มี Multi-Link Operation เพิ่มความเสถียร ✅ ฟีเจอร์เสริมในบางสมาร์ทโฟน ➡️ ตัวเลขวิ่งขึ้นลงแสดงการรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ฟีเจอร์ Dual Wi-Fi acceleration ในบางรุ่น เช่น OnePlus ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน Wi-Fi ⛔ โทรศัพท์รุ่นใหม่อาจเชื่อมต่อได้เพียงมาตรฐานเก่า หากเราเตอร์ไม่รองรับ ⛔ ความเร็วจริงขึ้นอยู่กับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่รุ่น Wi-Fi ⛔ การเลือกย่านความถี่ผิด (เช่นใช้ 2.4 GHz ในพื้นที่แออัด) อาจทำให้สัญญาณช้าหรือไม่เสถียร https://www.slashgear.com/2007604/number-next-wi-fi-symbol-meaning-android/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Here's What The Number Next To The Wi-Fi Symbol On Your Android Device Means - SlashGear
    Wi-Fi generations previously used confusing number and letter names, but things are much simpler today. Here's what the number next to the Wi-Fi symbol means.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mesa 25.3 อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับเกมจำนวนมากบน Linux

    ทีมพัฒนา Mesa ได้ปล่อย Mesa 25.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Open-Source Graphics Stack โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งในด้าน Vulkan และ OpenGL drivers รวมถึงการรองรับเกมใหม่ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกมที่เคยมีปัญหากับการเรนเดอร์หรือประสิทธิภาพได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม

    หนึ่งในไฮไลท์คือการเพิ่มการรองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver, การปรับปรุง NVK driver ให้รองรับ Blackwell GPUs, และการเพิ่ม Vulkan extensions ใน PanVK, ANV, RADV, NVK, HoneyKrisp และ PVR drivers นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง OpenGL extensions สำหรับ V3D, Panfrost, R300, Zink และ RadeonSI drivers ซึ่งช่วยให้การทำงานของเกมและแอปพลิเคชันที่ใช้กราฟิกขั้นสูงมีความเสถียรมากขึ้น

    ในด้านการเล่นเกม Mesa 25.3 ได้เพิ่มการรองรับเกมใหม่ๆ เช่น Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4: Separate Ways DLC, Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Hades 2, Cyberpunk 2077, Ghost of Tsushima และ Red Dead Redemption 2 รวมถึงเกมอินดี้และเกม AAA อีกหลายรายการที่ผู้ใช้ Linux รอคอย

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Mesa 25.3 source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ หรือรอให้เวอร์ชันนี้เข้าสู่ stable repositories ของดิสทริบิวชัน Linux ต่างๆ เช่น Ubuntu, Fedora และ Arch Linux เพื่อใช้งานได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การปรับปรุงใน Mesa 25.3
    รองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver
    เพิ่ม Vulkan และ OpenGL extensions ในหลาย driver

    การรองรับเกมใหม่
    Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4 DLC
    Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Cyberpunk 2077

    การใช้งานและการติดตั้ง
    ดาวน์โหลด source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ
    รออัปเดตใน stable repositories ของ Linux distros

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้ Mesa เวอร์ชันเก่า อาจพบปัญหากับเกมใหม่และประสิทธิภาพต่ำ
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ไม่สามารถเล่นเกมที่รองรับใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    https://9to5linux.com/mesa-25-3-open-source-graphics-stack-improves-support-for-many-video-games
    🎮 Mesa 25.3 อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับเกมจำนวนมากบน Linux ทีมพัฒนา Mesa ได้ปล่อย Mesa 25.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Open-Source Graphics Stack โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งในด้าน Vulkan และ OpenGL drivers รวมถึงการรองรับเกมใหม่ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกมที่เคยมีปัญหากับการเรนเดอร์หรือประสิทธิภาพได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม หนึ่งในไฮไลท์คือการเพิ่มการรองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver, การปรับปรุง NVK driver ให้รองรับ Blackwell GPUs, และการเพิ่ม Vulkan extensions ใน PanVK, ANV, RADV, NVK, HoneyKrisp และ PVR drivers นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง OpenGL extensions สำหรับ V3D, Panfrost, R300, Zink และ RadeonSI drivers ซึ่งช่วยให้การทำงานของเกมและแอปพลิเคชันที่ใช้กราฟิกขั้นสูงมีความเสถียรมากขึ้น ในด้านการเล่นเกม Mesa 25.3 ได้เพิ่มการรองรับเกมใหม่ๆ เช่น Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4: Separate Ways DLC, Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Hades 2, Cyberpunk 2077, Ghost of Tsushima และ Red Dead Redemption 2 รวมถึงเกมอินดี้และเกม AAA อีกหลายรายการที่ผู้ใช้ Linux รอคอย ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Mesa 25.3 source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ หรือรอให้เวอร์ชันนี้เข้าสู่ stable repositories ของดิสทริบิวชัน Linux ต่างๆ เช่น Ubuntu, Fedora และ Arch Linux เพื่อใช้งานได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การปรับปรุงใน Mesa 25.3 ➡️ รองรับ Vulkan 1.2 สำหรับ PVR driver ➡️ เพิ่ม Vulkan และ OpenGL extensions ในหลาย driver ✅ การรองรับเกมใหม่ ➡️ Indiana Jones and the Great Circle, Borderlands 4, Resident Evil 4 DLC ➡️ Doom: The Dark Ages, Baldur’s Gate 3, Final Fantasy XVI, Cyberpunk 2077 ✅ การใช้งานและการติดตั้ง ➡️ ดาวน์โหลด source tarball ได้จากเว็บไซต์ทางการ ➡️ รออัปเดตใน stable repositories ของ Linux distros ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้ Mesa เวอร์ชันเก่า อาจพบปัญหากับเกมใหม่และประสิทธิภาพต่ำ ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ไม่สามารถเล่นเกมที่รองรับใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ https://9to5linux.com/mesa-25-3-open-source-graphics-stack-improves-support-for-many-video-games
    9TO5LINUX.COM
    Mesa 25.3 Open-Source Graphics Stack Improves Support for Many Video Games - 9to5Linux
    Mesa 25.3 open-source graphics stack is now available for download with numerous new features and improvements for existing graphics drivers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • Proton 10 เปิดตัว รองรับเกมใหม่หลากหลายบน Linux

    Valve ได้ประกาศเปิดตัว Proton 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมือ Steam Play Compatibility Layer ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกม Windows ได้อย่างราบรื่น การอัปเดตครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่มการรองรับเกมใหม่จำนวนมาก รวมถึงแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

    หนึ่งในเกมที่ถูกเพิ่มการรองรับคือ Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest, Viking Rise: Valhalla และ Starlight Re:Volver นอกจากนี้ยังมีเกมอื่นๆ เช่น Mary Skelter: Nightmares, Fairy Fencer F Advent Dark Force และ Gemstones ที่สามารถเล่นได้บน Linux ผ่าน Proton 10 แล้ว

    Proton 10 ยังแก้ไขปัญหาการทำงานของเกมยอดนิยมหลายเกม เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village, God of War: Ragnarok และ Rocket League รวมถึงปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์ DualSense และแก้ไขปัญหาการเปิดใช้งาน Epic Games Store บน Proton

    ภายใน Proton 10 ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่น Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1 และการปรับปรุงอื่นๆ ที่ช่วยให้การเล่นเกมบน Linux มีความเสถียรและใกล้เคียงกับประสบการณ์บน Windows มากขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Valve ในการผลักดัน Linux ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่แข็งแกร่ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Proton 10 เปิดตัว
    รองรับเกมใหม่ เช่น Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest
    เพิ่มความสามารถในการเล่นเกม Windows บน Linux

    การแก้ไขและปรับปรุง
    แก้บั๊กในเกมดัง เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village
    ปรับปรุงการรองรับ DualSense และ Epic Games Store

    เทคโนโลยีภายใน
    ใช้ Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1
    เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการเล่นเกม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต Proton อาจไม่สามารถเล่นเกมใหม่หรือแก้บั๊กที่มีอยู่ได้
    ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าอาจพบปัญหาความเข้ากันได้และประสิทธิภาพต่ำ

    https://9to5linux.com/proton-10-released-with-support-for-far-horizon-the-riftbreaker-and-other-games
    🎮 Proton 10 เปิดตัว รองรับเกมใหม่หลากหลายบน Linux Valve ได้ประกาศเปิดตัว Proton 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมือ Steam Play Compatibility Layer ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นเกม Windows ได้อย่างราบรื่น การอัปเดตครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่มการรองรับเกมใหม่จำนวนมาก รวมถึงแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน หนึ่งในเกมที่ถูกเพิ่มการรองรับคือ Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest, Viking Rise: Valhalla และ Starlight Re:Volver นอกจากนี้ยังมีเกมอื่นๆ เช่น Mary Skelter: Nightmares, Fairy Fencer F Advent Dark Force และ Gemstones ที่สามารถเล่นได้บน Linux ผ่าน Proton 10 แล้ว Proton 10 ยังแก้ไขปัญหาการทำงานของเกมยอดนิยมหลายเกม เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village, God of War: Ragnarok และ Rocket League รวมถึงปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์ DualSense และแก้ไขปัญหาการเปิดใช้งาน Epic Games Store บน Proton ภายใน Proton 10 ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่น Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1 และการปรับปรุงอื่นๆ ที่ช่วยให้การเล่นเกมบน Linux มีความเสถียรและใกล้เคียงกับประสบการณ์บน Windows มากขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Valve ในการผลักดัน Linux ให้เป็นแพลตฟอร์มเกมที่แข็งแกร่ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Proton 10 เปิดตัว ➡️ รองรับเกมใหม่ เช่น Far Horizon, Grim Fandango Remastered, The Crew Motorfest ➡️ เพิ่มความสามารถในการเล่นเกม Windows บน Linux ✅ การแก้ไขและปรับปรุง ➡️ แก้บั๊กในเกมดัง เช่น Diablo IV, Doom Eternal, Resident Evil Village ➡️ ปรับปรุงการรองรับ DualSense และ Epic Games Store ✅ เทคโนโลยีภายใน ➡️ ใช้ Wine 10, DXVK 2.6.2, vkd3d-proton 2.14.1 ➡️ เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการเล่นเกม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต Proton อาจไม่สามารถเล่นเกมใหม่หรือแก้บั๊กที่มีอยู่ได้ ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าอาจพบปัญหาความเข้ากันได้และประสิทธิภาพต่ำ https://9to5linux.com/proton-10-released-with-support-for-far-horizon-the-riftbreaker-and-other-games
    9TO5LINUX.COM
    Proton 10 Released with Support for Far Horizon, The Riftbreaker, and Other Games - 9to5Linux
    Proton 10 is now available with support for Mary Skelter: Nightmares, Fairy Fencer F Advent Dark Force, Far Horizon, and many other games.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • Symfony ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ PATH_INFO (CVE-2025-64500)

    Symfony ซึ่งเป็น PHP Framework ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ได้ประกาศออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ใหม่ที่ถูกค้นพบใน HTTP Foundation component โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-64500 มีคะแนนความรุนแรง CVSS 7.3 ถือว่าอยู่ในระดับสูง ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่คลาส Request ของ Symfony มีการตีความค่า PATH_INFO ไม่ถูกต้อง ทำให้บาง URL ถูกประมวลผลโดยไม่มีเครื่องหมาย / นำหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่การ Authorization Bypass หรือการเลี่ยงกฎการเข้าถึงได้ในบางระบบที่ใช้การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยโครงสร้าง URL

    การแก้ไขครั้งนี้ครอบคลุมหลายเวอร์ชันของ Symfony โดยทีมพัฒนาได้ออกอัปเดตในเวอร์ชัน 5.4.50, 6.4.29 และ 7.3.7 เพื่อบังคับให้ URL ทุกเส้นทางต้องเริ่มต้นด้วย / อย่างถูกต้อง การอัปเดตนี้ถือเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีใช้ช่องโหว่เพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือฟังก์ชันที่ควรถูกจำกัดสิทธิ์

    นอกจาก Symfony แล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการ URL Normalization ในระบบเว็บแอปพลิเคชัน เพราะแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อย เช่น การมีหรือไม่มีเครื่องหมาย / ก็สามารถสร้างช่องโหว่ที่ร้ายแรงได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า ผู้พัฒนาควรตรวจสอบการตีความ URL และการจัดการเส้นทางอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้การตรวจสอบสิทธิ์ผ่านโครงสร้าง URL

    ในภาพรวม ช่องโหว่ลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การเกิดขึ้นใน Framework ที่มีการใช้งานกว้างขวางอย่าง Symfony ทำให้มีผลกระทบในวงกว้างต่อหลายองค์กรทั่วโลก การอัปเดตแพตช์จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน และควรถูกนำไปใช้ทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-64500 ใน Symfony
    เกิดจากการตีความ PATH_INFO ไม่ถูกต้อง ทำให้ URL บางเส้นทางไม่มี / นำหน้า
    ส่งผลให้เกิดการ Authorization Bypass ได้

    การแก้ไขและแพตช์
    Symfony ได้ออกอัปเดตในเวอร์ชัน 5.4.50, 6.4.29 และ 7.3.7
    ปรับปรุงคลาส Request ให้บังคับ URL เริ่มต้นด้วย /

    ความสำคัญต่อผู้พัฒนา
    แสดงให้เห็นว่าการจัดการ URL Normalization เป็นเรื่องสำคัญ
    แม้รายละเอียดเล็กน้อยก็อาจสร้างช่องโหว่ร้ายแรงได้

    คำเตือนต่อองค์กรและผู้ใช้งาน
    หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ระบบที่ใช้ Symfony ในเวอร์ชันเก่าอาจถูกเจาะผ่านการเลี่ยงกฎการเข้าถึง

    https://securityonline.info/symfony-patches-path_info-parsing-flaw-leading-to-authorization-bypass-cve-2025-64500/
    🛡️ Symfony ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ PATH_INFO (CVE-2025-64500) Symfony ซึ่งเป็น PHP Framework ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ได้ประกาศออกแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ใหม่ที่ถูกค้นพบใน HTTP Foundation component โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-64500 มีคะแนนความรุนแรง CVSS 7.3 ถือว่าอยู่ในระดับสูง ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่คลาส Request ของ Symfony มีการตีความค่า PATH_INFO ไม่ถูกต้อง ทำให้บาง URL ถูกประมวลผลโดยไม่มีเครื่องหมาย / นำหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่การ Authorization Bypass หรือการเลี่ยงกฎการเข้าถึงได้ในบางระบบที่ใช้การตรวจสอบสิทธิ์ด้วยโครงสร้าง URL การแก้ไขครั้งนี้ครอบคลุมหลายเวอร์ชันของ Symfony โดยทีมพัฒนาได้ออกอัปเดตในเวอร์ชัน 5.4.50, 6.4.29 และ 7.3.7 เพื่อบังคับให้ URL ทุกเส้นทางต้องเริ่มต้นด้วย / อย่างถูกต้อง การอัปเดตนี้ถือเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีใช้ช่องโหว่เพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือฟังก์ชันที่ควรถูกจำกัดสิทธิ์ นอกจาก Symfony แล้ว เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการ URL Normalization ในระบบเว็บแอปพลิเคชัน เพราะแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อย เช่น การมีหรือไม่มีเครื่องหมาย / ก็สามารถสร้างช่องโหว่ที่ร้ายแรงได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า ผู้พัฒนาควรตรวจสอบการตีความ URL และการจัดการเส้นทางอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้การตรวจสอบสิทธิ์ผ่านโครงสร้าง URL ในภาพรวม ช่องโหว่ลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การเกิดขึ้นใน Framework ที่มีการใช้งานกว้างขวางอย่าง Symfony ทำให้มีผลกระทบในวงกว้างต่อหลายองค์กรทั่วโลก การอัปเดตแพตช์จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน และควรถูกนำไปใช้ทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-64500 ใน Symfony ➡️ เกิดจากการตีความ PATH_INFO ไม่ถูกต้อง ทำให้ URL บางเส้นทางไม่มี / นำหน้า ➡️ ส่งผลให้เกิดการ Authorization Bypass ได้ ✅ การแก้ไขและแพตช์ ➡️ Symfony ได้ออกอัปเดตในเวอร์ชัน 5.4.50, 6.4.29 และ 7.3.7 ➡️ ปรับปรุงคลาส Request ให้บังคับ URL เริ่มต้นด้วย / ✅ ความสำคัญต่อผู้พัฒนา ➡️ แสดงให้เห็นว่าการจัดการ URL Normalization เป็นเรื่องสำคัญ ➡️ แม้รายละเอียดเล็กน้อยก็อาจสร้างช่องโหว่ร้ายแรงได้ ‼️ คำเตือนต่อองค์กรและผู้ใช้งาน ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ระบบที่ใช้ Symfony ในเวอร์ชันเก่าอาจถูกเจาะผ่านการเลี่ยงกฎการเข้าถึง https://securityonline.info/symfony-patches-path_info-parsing-flaw-leading-to-authorization-bypass-cve-2025-64500/
    SECURITYONLINE.INFO
    Symfony Patches PATH_INFO Parsing Flaw Leading to Authorization Bypass (CVE-2025-64500)
    Symfony patched a High-severity flaw (CVE-2025-64500) in its Request component. Improper PATH_INFO parsing allows attackers to bypass access control rules in vulnerable applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ก้าวขึ้นสู่ 25% ของตลาด x86 CPU

    ข้อมูลจาก Mercury Research ระบุว่า AMD มีส่วนแบ่งตลาดรวมของ x86 CPU อยู่ที่ 25.6% เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ในไตรมาสก่อน และจาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการบรรลุ milestone สำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    เดสก์ท็อป: จุดแข็งของ AMD
    ในตลาดเดสก์ท็อป AMD ทำผลงานโดดเด่นด้วยซีรีส์ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับ enthusiast และ performance ทำให้ AMD ครองส่วนแบ่งถึง 33.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.2% ในไตรมาสก่อน และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2024

    ตลาดโน้ตบุ๊กและเซิร์ฟเวอร์
    แม้ AMD จะเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในตลาดโน้ตบุ๊กเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมีส่วนแบ่ง 21.9% ขณะที่ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AMD ยังคงขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีส่วนแบ่ง 27.8% ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของซีรีส์ EPYC Turin

    Intel ยังคงครองตลาดแต่ถูกกดดัน
    Intel ยังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า 74% ของตลาดรวม แต่กำลังเผชิญปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ทำให้ AMD สามารถแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปที่ Intel สูญเสียความนิยมในรุ่น Core Raptor Lake

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AMD ครอง 25.6% ของตลาด x86 CPU รวม
    เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY

    AMD ครอง 33.6% ของตลาดเดสก์ท็อป
    Ryzen 9000 “Granite Ridge” ได้รับความนิยมสูง

    AMD มีส่วนแบ่ง 21.9% ในตลาดโน้ตบุ๊ก
    เริ่มกลับมาแข็งแกร่งหลังจากเสียส่วนแบ่งก่อนหน้านี้

    AMD มีส่วนแบ่ง 27.8% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์
    EPYC Turin ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น

    Intel สูญเสียความนิยมในบางเซ็กเมนต์
    ปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์

    การแข่งขันรุนแรงในตลาดเดสก์ท็อป
    Intel ถูกกดดันจาก Ryzen รุ่นใหม่ที่ครองใจผู้ใช้ enthusiast

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-continues-to-chip-away-at-intels-x86-market-share-company-now-sells-over-25-percent-of-all-x86-chips-and-powers-33-percent-of-all-desktop-systems
    📊 AMD ก้าวขึ้นสู่ 25% ของตลาด x86 CPU ข้อมูลจาก Mercury Research ระบุว่า AMD มีส่วนแบ่งตลาดรวมของ x86 CPU อยู่ที่ 25.6% เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ในไตรมาสก่อน และจาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการบรรลุ milestone สำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 🖥️ เดสก์ท็อป: จุดแข็งของ AMD ในตลาดเดสก์ท็อป AMD ทำผลงานโดดเด่นด้วยซีรีส์ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับ enthusiast และ performance ทำให้ AMD ครองส่วนแบ่งถึง 33.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.2% ในไตรมาสก่อน และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2024 💻 ตลาดโน้ตบุ๊กและเซิร์ฟเวอร์ แม้ AMD จะเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในตลาดโน้ตบุ๊กเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมีส่วนแบ่ง 21.9% ขณะที่ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AMD ยังคงขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีส่วนแบ่ง 27.8% ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของซีรีส์ EPYC Turin ⚡ Intel ยังคงครองตลาดแต่ถูกกดดัน Intel ยังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า 74% ของตลาดรวม แต่กำลังเผชิญปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ทำให้ AMD สามารถแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปที่ Intel สูญเสียความนิยมในรุ่น Core Raptor Lake 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AMD ครอง 25.6% ของตลาด x86 CPU รวม ➡️ เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY ✅ AMD ครอง 33.6% ของตลาดเดสก์ท็อป ➡️ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ได้รับความนิยมสูง ✅ AMD มีส่วนแบ่ง 21.9% ในตลาดโน้ตบุ๊ก ➡️ เริ่มกลับมาแข็งแกร่งหลังจากเสียส่วนแบ่งก่อนหน้านี้ ✅ AMD มีส่วนแบ่ง 27.8% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ➡️ EPYC Turin ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น ‼️ Intel สูญเสียความนิยมในบางเซ็กเมนต์ ⛔ ปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ‼️ การแข่งขันรุนแรงในตลาดเดสก์ท็อป ⛔ Intel ถูกกดดันจาก Ryzen รุ่นใหม่ที่ครองใจผู้ใช้ enthusiast https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-continues-to-chip-away-at-intels-x86-market-share-company-now-sells-over-25-percent-of-all-x86-chips-and-powers-33-percent-of-all-desktop-systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์

    หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s

    พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย
    Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต
    แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031

    ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน
    การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor
    รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต

    อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า
    ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS

    ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class
    มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s

    การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป
    อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล
    อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    🖥️ Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์ หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s ⚡ พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล 🏭 ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031 🌐 ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor ➡️ รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต ✅ อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า ➡️ ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS ✅ ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class ➡️ มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s ‼️ การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ⛔ อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล ‼️ ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล ⛔ อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว

    แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ

    โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน
    เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร

    มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ
    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว
    ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย

    เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ
    บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก

    Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด
    เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต

    ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก
    ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    🌏 สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ ⚙️ โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย 🔒 ความกังวลด้านความมั่นคง แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร 🏛️ มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว ➡️ ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย ✅ เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ ➡️ บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด ➡️ เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ⛔ บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต ‼️ ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก ⛔ ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese AI startup gets access to 2,300 banned Blackwell GPUs by exploiting cloud loophole — rents compute from Indonesian firm with 32 Nvidia GB200 server racks
    The company isn't listed in the U.S. Entity List, but some are concerned that blacklisted companies might use this route to gain access to the latest Nvidia hardware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • CAAT คุมเข้มสั่งห้ามโดรนบิน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับความมั่นคง 16-30 พ.ย. นี้
    วันนี้ (14 พ.ย.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 10 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

    อ่านต่อ…https://news1live.com/detail/9680000109042

    #News1 #news1live #ข่าวnews1 #ห้ามบินโดรน #โดรน #ไทยกัมพูชา
    CAAT คุมเข้มสั่งห้ามโดรนบิน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับความมั่นคง 16-30 พ.ย. นี้ วันนี้ (14 พ.ย.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 10 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อ่านต่อ…https://news1live.com/detail/9680000109042 #News1 #news1live #ข่าวnews1 #ห้ามบินโดรน #โดรน #ไทยกัมพูชา
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤติ RAM – ผู้ผลิตไม่เพิ่มกำลังผลิตแม้ขาดตลาด

    ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญวิกฤติรุนแรง ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170% ภายในปีเดียว เนื่องจากความต้องการจาก AI Data Center ที่มหาศาล ผู้ผลิตรายใหญ่เช่น Samsung, SK Hynix และ Micron เลือกลงทุนไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้ใน AI Accelerator มากกว่าการผลิต RAM สำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    รายงานล่าสุดเผยว่า Hyperscaler ในสหรัฐฯ และจีนได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50% ขณะเดียวกันผู้ใช้ทั่วไปก็เริ่มได้รับผลกระทบ ราคาของ DDR5 สำหรับ PC พุ่งขึ้น 20–40% และมีแนวโน้มจะสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2027

    นักวิเคราะห์เตือนว่านี่อาจเป็น “ทศวรรษแห่งการขาดแคลนหน่วยความจำ” เพราะโครงการใหญ่เช่น OpenAI Stargate ใช้ DRAM ถึง 40% ของกำลังผลิตโลก ทำให้แม้จะสร้างโรงงานใหม่ก็ยังไม่ทันต่อความต้องการ

    สรุป
    ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170%
    สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในปีเดียว

    Hyperscaler ได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ
    แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50%

    ผู้ผลิตหันไปลงทุนใน HBM สำหรับ AI
    ทิ้งตลาด RAM ผู้ใช้ทั่วไปให้ขาดแคลน

    ผู้ใช้ทั่วไปจะเจอราคาคอมพิวเตอร์สูงขึ้นต่อเนื่อง
    การสร้าง PC หรืออัปเกรดจะมีต้นทุนสูงมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/memory-makers-have-no-plans-to-increase-production-despite-crushing-ram-shortages-modest-2026-increase-predicted-as-dram-makers-hedge-their-ai-bets
    💾 วิกฤติ RAM – ผู้ผลิตไม่เพิ่มกำลังผลิตแม้ขาดตลาด ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญวิกฤติรุนแรง ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170% ภายในปีเดียว เนื่องจากความต้องการจาก AI Data Center ที่มหาศาล ผู้ผลิตรายใหญ่เช่น Samsung, SK Hynix และ Micron เลือกลงทุนไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้ใน AI Accelerator มากกว่าการผลิต RAM สำหรับผู้ใช้ทั่วไป รายงานล่าสุดเผยว่า Hyperscaler ในสหรัฐฯ และจีนได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50% ขณะเดียวกันผู้ใช้ทั่วไปก็เริ่มได้รับผลกระทบ ราคาของ DDR5 สำหรับ PC พุ่งขึ้น 20–40% และมีแนวโน้มจะสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2027 นักวิเคราะห์เตือนว่านี่อาจเป็น “ทศวรรษแห่งการขาดแคลนหน่วยความจำ” เพราะโครงการใหญ่เช่น OpenAI Stargate ใช้ DRAM ถึง 40% ของกำลังผลิตโลก ทำให้แม้จะสร้างโรงงานใหม่ก็ยังไม่ทันต่อความต้องการ 📌 สรุป ✅ ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170% ➡️ สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในปีเดียว ✅ Hyperscaler ได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ ➡️ แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50% ✅ ผู้ผลิตหันไปลงทุนใน HBM สำหรับ AI ➡️ ทิ้งตลาด RAM ผู้ใช้ทั่วไปให้ขาดแคลน ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปจะเจอราคาคอมพิวเตอร์สูงขึ้นต่อเนื่อง ⛔ การสร้าง PC หรืออัปเกรดจะมีต้นทุนสูงมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/memory-makers-have-no-plans-to-increase-production-despite-crushing-ram-shortages-modest-2026-increase-predicted-as-dram-makers-hedge-their-ai-bets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เตรียมขาย “AI Server” ทั้งชุด – แผนใหญ่ของ Jensen Huang

    เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกฮาร์ดแวร์ AI เมื่อ JP Morgan วิเคราะห์ว่า Nvidia กำลังจะไม่ขายแค่ GPU หรือชิ้นส่วน แต่จะขาย “AI Server” ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปีหน้า การทำเช่นนี้หมายถึง Nvidia จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และเหล่า ODM หรือผู้ผลิตรายอื่นจะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับการที่บริษัทไม่เพียงขายชิ้นส่วน แต่ขาย “หัวใจของระบบ” ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าไม่สามารถสร้างความแตกต่างทางฮาร์ดแวร์ได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ขณะเดียวกัน GPU รุ่น Rubin ยังใช้พลังงานสูงขึ้นถึง 1.8–2.3 kW ต่อชิป ซึ่งทำให้ระบบระบายความร้อนต้องซับซ้อนขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ Nvidia เลือกขายเป็นชุดสำเร็จรูป

    นอกจากนี้ JP Morgan ยังเผยว่า ชิป Vera Rubin ทั้ง 6 รุ่นได้เข้าสู่ขั้นตอน pre-production ที่ TSMC แล้ว และยังไม่มีการเลื่อนกำหนดการเปิดตัวในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าความต้องการ AI ยังคงสูงมาก และ Nvidia กำลังเดินเกมเพื่อครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ

    สรุป
    Nvidia เตรียมขาย AI Server ทั้งชุด
    เริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่รวม CPU, GPU, ระบบระบายความร้อน

    ODM จะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้าย
    เช่น ติดตั้งแชสซี, ระบบไฟ, และการทดสอบ

    Rubin GPU ใช้พลังงานสูงขึ้น
    จาก 1.4 kW เป็น 1.8–2.3 kW ต่อชิป

    ความเสี่ยงคือคู่ค้าเสียโอกาสสร้างความแตกต่าง
    อาจทำให้ตลาดแข่งขันน้อยลงและ Nvidia ครองอำนาจมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jp-morgan-says-nvidia-is-gearing-up-to-sell-entire-ai-servers-instead-of-just-ai-gpus-and-componentry-jensens-master-plan-of-vertical-integration-will-boost-profits-purportedly-starting-with-vera-rubin
    🖥️ Nvidia เตรียมขาย “AI Server” ทั้งชุด – แผนใหญ่ของ Jensen Huang เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกฮาร์ดแวร์ AI เมื่อ JP Morgan วิเคราะห์ว่า Nvidia กำลังจะไม่ขายแค่ GPU หรือชิ้นส่วน แต่จะขาย “AI Server” ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปีหน้า การทำเช่นนี้หมายถึง Nvidia จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และเหล่า ODM หรือผู้ผลิตรายอื่นจะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับการที่บริษัทไม่เพียงขายชิ้นส่วน แต่ขาย “หัวใจของระบบ” ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าไม่สามารถสร้างความแตกต่างทางฮาร์ดแวร์ได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ขณะเดียวกัน GPU รุ่น Rubin ยังใช้พลังงานสูงขึ้นถึง 1.8–2.3 kW ต่อชิป ซึ่งทำให้ระบบระบายความร้อนต้องซับซ้อนขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ Nvidia เลือกขายเป็นชุดสำเร็จรูป นอกจากนี้ JP Morgan ยังเผยว่า ชิป Vera Rubin ทั้ง 6 รุ่นได้เข้าสู่ขั้นตอน pre-production ที่ TSMC แล้ว และยังไม่มีการเลื่อนกำหนดการเปิดตัวในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าความต้องการ AI ยังคงสูงมาก และ Nvidia กำลังเดินเกมเพื่อครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ 📌 สรุป ✅ Nvidia เตรียมขาย AI Server ทั้งชุด ➡️ เริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่รวม CPU, GPU, ระบบระบายความร้อน ✅ ODM จะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้าย ➡️ เช่น ติดตั้งแชสซี, ระบบไฟ, และการทดสอบ ✅ Rubin GPU ใช้พลังงานสูงขึ้น ➡️ จาก 1.4 kW เป็น 1.8–2.3 kW ต่อชิป ‼️ ความเสี่ยงคือคู่ค้าเสียโอกาสสร้างความแตกต่าง ⛔ อาจทำให้ตลาดแข่งขันน้อยลงและ Nvidia ครองอำนาจมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jp-morgan-says-nvidia-is-gearing-up-to-sell-entire-ai-servers-instead-of-just-ai-gpus-and-componentry-jensens-master-plan-of-vertical-integration-will-boost-profits-purportedly-starting-with-vera-rubin
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ

    ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี

    สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม

    แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก

    สรุปประเด็น
    ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP
    พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ

    Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก
    มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่

    สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ
    แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน

    หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที
    GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี

    ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    🚀 ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก 📌 สรุปประเด็น ✅ ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP ➡️ พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ ✅ Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก ➡️ มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่ ✅ สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ ➡️ แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน ‼️ หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที ⛔ GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี ‼️ ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทปแม่เหล็กยังไม่ตาย! LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB

    แม้โลกจะเข้าสู่ยุค SSD และ Cloud แต่เทปแม่เหล็กยังคงมีชีวิตอยู่ ล่าสุดกลุ่มผู้พัฒนา LTO (Linear Tape-Open) ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ LTO-10 ที่มีความจุสูงถึง 40TB แบบ native และสามารถบีบอัดได้ถึง 100TB ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยีหัวอ่านใหม่และวัสดุ Aramid base film ที่ทำให้เทปบางและเรียบขึ้น จึงสามารถบรรจุข้อมูลได้มากขึ้นในขนาดเดิม จุดเด่นคือยังคงความน่าเชื่อถือและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่องค์กรใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและหน่วยงานวิจัยยังคงใช้เทปในการเก็บข้อมูลระยะยาว

    สิ่งที่น่าสนใจคือ LTO มีแผนพัฒนาไปถึงรุ่น LTO-14 ที่จะมีความจุสูงสุดถึง 913TB ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า นี่สะท้อนว่าการเก็บข้อมูลแบบเทปยังคงมีอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ทำให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมหาศาลทุกวัน

    สรุปประเด็น
    LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB
    บีบอัดได้ถึง 100TB ด้วย compression 2.5:1

    ใช้เทคโนโลยี Aramid film และหัวอ่านใหม่
    ทำให้เทปบางขึ้นและเก็บข้อมูลได้มากขึ้น

    แผนอนาคตไปถึง LTO-14 ความจุ 913TB
    คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายใน 7 ปี

    เทปยังคงถูกมองว่า “ล้าสมัย”
    อาจถูกท้าทายจาก SSD และ Cloud ที่เร็วกว่า

    หากองค์กรไม่ปรับตัว อาจเจอปัญหาความเข้ากันได้
    ต้องลงทุนอุปกรณ์ใหม่เพื่อรองรับมาตรฐาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/tape-keeps-kicking-breakthrough-40tb-native-spec-announced-lto-10-tapes-claim-up-to-100tb-compressed-data-capacity-hold-2-2x-more-data-than-previous-spec
    💾 เทปแม่เหล็กยังไม่ตาย! LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB แม้โลกจะเข้าสู่ยุค SSD และ Cloud แต่เทปแม่เหล็กยังคงมีชีวิตอยู่ ล่าสุดกลุ่มผู้พัฒนา LTO (Linear Tape-Open) ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ LTO-10 ที่มีความจุสูงถึง 40TB แบบ native และสามารถบีบอัดได้ถึง 100TB ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยีหัวอ่านใหม่และวัสดุ Aramid base film ที่ทำให้เทปบางและเรียบขึ้น จึงสามารถบรรจุข้อมูลได้มากขึ้นในขนาดเดิม จุดเด่นคือยังคงความน่าเชื่อถือและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่องค์กรใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและหน่วยงานวิจัยยังคงใช้เทปในการเก็บข้อมูลระยะยาว สิ่งที่น่าสนใจคือ LTO มีแผนพัฒนาไปถึงรุ่น LTO-14 ที่จะมีความจุสูงสุดถึง 913TB ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า นี่สะท้อนว่าการเก็บข้อมูลแบบเทปยังคงมีอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data ทำให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมหาศาลทุกวัน 📌 สรุปประเด็น ✅ LTO-10 เปิดตัวความจุ 40TB ➡️ บีบอัดได้ถึง 100TB ด้วย compression 2.5:1 ✅ ใช้เทคโนโลยี Aramid film และหัวอ่านใหม่ ➡️ ทำให้เทปบางขึ้นและเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ✅ แผนอนาคตไปถึง LTO-14 ความจุ 913TB ➡️ คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายใน 7 ปี ‼️ เทปยังคงถูกมองว่า “ล้าสมัย” ⛔ อาจถูกท้าทายจาก SSD และ Cloud ที่เร็วกว่า ‼️ หากองค์กรไม่ปรับตัว อาจเจอปัญหาความเข้ากันได้ ⛔ ต้องลงทุนอุปกรณ์ใหม่เพื่อรองรับมาตรฐาน https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/tape-keeps-kicking-breakthrough-40tb-native-spec-announced-lto-10-tapes-claim-up-to-100tb-compressed-data-capacity-hold-2-2x-more-data-than-previous-spec
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน

    ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer

    เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ

    Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ
    โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
    สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว

    การตอบโต้ของ Meta
    ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ

    ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง
    อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification

    https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    📱 มิจฉาชีพใช้ฟีเจอร์ Screen Sharing บน WhatsApp ขโมย OTP และเงิน ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วคือการหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอผ่าน WhatsApp โดยมิจฉาชีพจะโทรเข้ามาในรูปแบบวิดีโอคอล แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือฝ่ายสนับสนุนของ Meta แล้วสร้างความตื่นตระหนกว่าบัญชีถูกแฮ็กหรือมีการใช้บัตรเครดิตผิดปกติ จากนั้นจึงขอให้เหยื่อแชร์หน้าจอหรือแม้แต่ติดตั้งแอปควบคุมระยะไกลอย่าง AnyDesk หรือ TeamViewer เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและแชร์หน้าจอ มิจฉาชีพสามารถเห็นรหัสผ่าน ข้อมูลธนาคาร และที่สำคัญคือ OTP (One-Time Password) ที่ปรากฏขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงบัญชีและเงินได้ทันที มีกรณีในฮ่องกงที่เหยื่อสูญเงินกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ Meta เองก็พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ หากผู้ใช้แชร์หน้าจอกับเบอร์ที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ พร้อมทั้งลบแอคเคานต์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงไปแล้วหลายล้านราย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่แชร์หน้าจอหรือรหัสใด ๆ กับคนแปลกหน้า และควรเปิดการยืนยันสองขั้นตอนใน WhatsApp เพื่อเพิ่มความปลอดภัย 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ➡️ โทรวิดีโอคอล, แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่, ขอแชร์หน้าจอ ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ➡️ สูญเงินมหาศาล, ขโมย OTP และข้อมูลส่วนตัว ✅ การตอบโต้ของ Meta ➡️ ระบบแจ้งเตือน, ลบแอคเคานต์ปลอม, ใช้ AI ตรวจสอบ ‼️ ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ต้องระวัง ⛔ อย่าแชร์หน้าจอหรือรหัสกับคนแปลกหน้า, เปิด Two-Step Verification https://hackread.com/whatsapp-screen-sharing-scammers-steal-otps-funds/
    HACKREAD.COM
    Scammers Abuse WhatsApp Screen Sharing to Steal OTPs and Funds
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรงใน NVIDIA NeMo Framework เสี่ยง Code Injection และ Privilege Escalation

    รายละเอียดช่องโหว่
    NVIDIA ได้ออกประกาศเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน NeMo Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning โดยพบว่า มี 2 ช่องโหว่หลัก ได้แก่

    CVE-2025-23361: เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในสคริปต์ ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ crafted ขึ้นมาเพื่อควบคุมการสร้างโค้ดได้

    CVE-2025-33178: เกิดในส่วนของ BERT services component ที่เปิดทางให้เกิด Code Injection ผ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี

    ทั้งสองช่องโหว่สามารถนำไปสู่การ รันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต, การยกระดับสิทธิ์, การเปิดเผยข้อมูล และการแก้ไขข้อมูล

    ความรุนแรงและผลกระทบ
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดระดับ CVSS 7.8 (High Severity) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น Shared Development Machines, Research Clusters และ AI Inference Servers หากถูกโจมตีสำเร็จ อาจทำให้ระบบ AI pipeline ถูกควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกดัดแปลงหรือรั่วไหล

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข
    ได้รับผลกระทบ: ทุกเวอร์ชันของ NeMo Framework ก่อน 2.5.0
    แก้ไขแล้ว: เวอร์ชัน 2.5.0 ที่ NVIDIA ได้ปล่อยแพตช์ออกมาแล้วบน GitHub และ PyPI

    ความสำคัญต่อวงการ AI
    การโจมตีที่เกิดขึ้นใน AI pipeline ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังอาจทำให้โมเดลที่ถูกฝึกหรือใช้งานในงานวิจัยและการผลิตถูกบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายต่อองค์กรที่พึ่งพา AI ในการตัดสินใจ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-23361: ช่องโหว่ในสคริปต์ที่ตรวจสอบอินพุตไม่เพียงพอ
    CVE-2025-33178: ช่องโหว่ใน BERT services component เปิดทาง Code Injection

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตและการยกระดับสิทธิ์
    อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกแก้ไข

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุกเวอร์ชันก่อน NeMo 2.5.0
    NVIDIA ได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.5.0

    แนวทางแก้ไข
    รีบอัปเดตเป็น NeMo Framework 2.5.0
    ตรวจสอบระบบ AI pipeline ที่ใช้งานร่วมกัน

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบ AI pipeline ถูกควบคุม
    การโจมตีอาจบิดเบือนผลลัพธ์ของโมเดล AI และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ

    https://securityonline.info/high-severity-nvidia-nemo-framework-flaws-allow-code-injection-and-privilege-escalation-in-ai-pipelines/
    ⚠️ ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรงใน NVIDIA NeMo Framework เสี่ยง Code Injection และ Privilege Escalation 🧩 รายละเอียดช่องโหว่ NVIDIA ได้ออกประกาศเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน NeMo Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning โดยพบว่า มี 2 ช่องโหว่หลัก ได้แก่ 🪲 CVE-2025-23361: เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในสคริปต์ ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ crafted ขึ้นมาเพื่อควบคุมการสร้างโค้ดได้ 🪲 CVE-2025-33178: เกิดในส่วนของ BERT services component ที่เปิดทางให้เกิด Code Injection ผ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี ทั้งสองช่องโหว่สามารถนำไปสู่การ รันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต, การยกระดับสิทธิ์, การเปิดเผยข้อมูล และการแก้ไขข้อมูล 🔥 ความรุนแรงและผลกระทบ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดระดับ CVSS 7.8 (High Severity) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น Shared Development Machines, Research Clusters และ AI Inference Servers หากถูกโจมตีสำเร็จ อาจทำให้ระบบ AI pipeline ถูกควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกดัดแปลงหรือรั่วไหล 🛠️ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข 🪛 ได้รับผลกระทบ: ทุกเวอร์ชันของ NeMo Framework ก่อน 2.5.0 🪛 แก้ไขแล้ว: เวอร์ชัน 2.5.0 ที่ NVIDIA ได้ปล่อยแพตช์ออกมาแล้วบน GitHub และ PyPI 🌐 ความสำคัญต่อวงการ AI การโจมตีที่เกิดขึ้นใน AI pipeline ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังอาจทำให้โมเดลที่ถูกฝึกหรือใช้งานในงานวิจัยและการผลิตถูกบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายต่อองค์กรที่พึ่งพา AI ในการตัดสินใจ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-23361: ช่องโหว่ในสคริปต์ที่ตรวจสอบอินพุตไม่เพียงพอ ➡️ CVE-2025-33178: ช่องโหว่ใน BERT services component เปิดทาง Code Injection ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตและการยกระดับสิทธิ์ ➡️ อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกแก้ไข ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อน NeMo 2.5.0 ➡️ NVIDIA ได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.5.0 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ รีบอัปเดตเป็น NeMo Framework 2.5.0 ➡️ ตรวจสอบระบบ AI pipeline ที่ใช้งานร่วมกัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบ AI pipeline ถูกควบคุม ⛔ การโจมตีอาจบิดเบือนผลลัพธ์ของโมเดล AI และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ https://securityonline.info/high-severity-nvidia-nemo-framework-flaws-allow-code-injection-and-privilege-escalation-in-ai-pipelines/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity NVIDIA NeMo Framework Flaws Allow Code Injection and Privilege Escalation in AI Pipelines
    NVIDIA patched two High-severity flaws in its NeMo Framework. CVE-2025-23361 and CVE-2025-33178 allow local code injection and privilege escalation in AI training environments. Update to v2.5.0.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon Threat Intelligence เปิดเผยการโจมตีขั้นสูงที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day พร้อมกันสองตัว

    ทีม Amazon Threat Intelligence ตรวจพบการโจมตีผ่านเครือข่าย MadPot Honeypot ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ช่องโหว่ Citrix Bleed Two ก่อนที่จะมีการประกาศ CVE อย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่าผู้โจมตีมี exploit ที่พร้อมใช้งาน ตั้งแต่ก่อนเปิดเผยสาธารณะ และในระหว่างการวิเคราะห์ยังพบช่องโหว่ใหม่ใน Cisco ISE ที่เปิดทางให้เกิด Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    หลังจากเจาะระบบได้ ผู้โจมตีติดตั้ง Web Shell แบบ custom ที่ชื่อว่า IdentityAuditAction ซึ่งทำงานแบบ in-memory เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ไม่ทิ้งไฟล์บนดิสก์ ใช้ Java Reflection เพื่อแทรกตัวเองใน thread ของ Tomcat และเข้ารหัส payload ด้วย DES + Base64 แบบ custom ทำให้การตรวจจับยากขึ้นอย่างมาก ลักษณะนี้บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มที่มีทรัพยากรสูงหรืออาจเกี่ยวข้องกับรัฐ

    ผลกระทบต่อองค์กร
    การโจมตีนี้ไม่ได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะองค์กรใด แต่มีการ mass scanning ทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่อหาช่องโหว่ในระบบ Citrix และ Cisco ISE ที่ยังไม่ได้แพตช์ หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถควบคุมระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่าย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานองค์กร

    แนวทางป้องกัน
    Cisco และ Citrix ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยองค์กรควรรีบอัปเดตทันที พร้อมตรวจสอบระบบที่เกี่ยวข้องกับ Identity Services Engine และ NetScaler Gateway รวมถึงติดตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก เพื่อป้องกันการโจมตีที่ใช้เทคนิคขั้นสูงเช่นนี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบการโจมตี Zero-Day
    Citrix Bleed Two (CVE-2025-5777) ถูกใช้ก่อนการเปิดเผย
    Cisco ISE RCE (CVE-2025-20337) เปิดทางให้รีโมตเข้าถึงโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    เทคนิคการโจมตี
    ใช้ Web Shell แบบ custom (IdentityAuditAction) ทำงานในหน่วยความจำ
    Payload เข้ารหัสด้วย DES + Base64 แบบ custom

    ผลกระทบต่อองค์กร
    ระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่ายเสี่ยงถูกควบคุม
    มีการ mass scanning หาช่องโหว่ทั่วอินเทอร์เน็ต

    แนวทางแก้ไข
    รีบอัปเดตแพตช์จาก Cisco และ Citrix
    ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบยืนยันตัวตนถูกยึดครอง
    การโจมตีขั้นสูงนี้บ่งชี้ถึงกลุ่มที่มีทรัพยากรสูง อาจเกี่ยวข้องกับรัฐ

    https://securityonline.info/amazon-exposes-advanced-apt-exploiting-cisco-ise-rce-and-citrix-bleed-two-as-simultaneous-zero-days/
    🕵️‍♀️ Amazon Threat Intelligence เปิดเผยการโจมตีขั้นสูงที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day พร้อมกันสองตัว ทีม Amazon Threat Intelligence ตรวจพบการโจมตีผ่านเครือข่าย MadPot Honeypot ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการใช้ช่องโหว่ Citrix Bleed Two ก่อนที่จะมีการประกาศ CVE อย่างเป็นทางการ นั่นหมายความว่าผู้โจมตีมี exploit ที่พร้อมใช้งาน ตั้งแต่ก่อนเปิดเผยสาธารณะ และในระหว่างการวิเคราะห์ยังพบช่องโหว่ใหม่ใน Cisco ISE ที่เปิดทางให้เกิด Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ⚡ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน หลังจากเจาะระบบได้ ผู้โจมตีติดตั้ง Web Shell แบบ custom ที่ชื่อว่า IdentityAuditAction ซึ่งทำงานแบบ in-memory เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ไม่ทิ้งไฟล์บนดิสก์ ใช้ Java Reflection เพื่อแทรกตัวเองใน thread ของ Tomcat และเข้ารหัส payload ด้วย DES + Base64 แบบ custom ทำให้การตรวจจับยากขึ้นอย่างมาก ลักษณะนี้บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มที่มีทรัพยากรสูงหรืออาจเกี่ยวข้องกับรัฐ 🌐 ผลกระทบต่อองค์กร การโจมตีนี้ไม่ได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะองค์กรใด แต่มีการ mass scanning ทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่อหาช่องโหว่ในระบบ Citrix และ Cisco ISE ที่ยังไม่ได้แพตช์ หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถควบคุมระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่าย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานองค์กร 🛠️ แนวทางป้องกัน Cisco และ Citrix ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยองค์กรควรรีบอัปเดตทันที พร้อมตรวจสอบระบบที่เกี่ยวข้องกับ Identity Services Engine และ NetScaler Gateway รวมถึงติดตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก เพื่อป้องกันการโจมตีที่ใช้เทคนิคขั้นสูงเช่นนี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบการโจมตี Zero-Day ➡️ Citrix Bleed Two (CVE-2025-5777) ถูกใช้ก่อนการเปิดเผย ➡️ Cisco ISE RCE (CVE-2025-20337) เปิดทางให้รีโมตเข้าถึงโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ใช้ Web Shell แบบ custom (IdentityAuditAction) ทำงานในหน่วยความจำ ➡️ Payload เข้ารหัสด้วย DES + Base64 แบบ custom ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ ระบบยืนยันตัวตนและการเข้าถึงเครือข่ายเสี่ยงถูกควบคุม ➡️ มีการ mass scanning หาช่องโหว่ทั่วอินเทอร์เน็ต ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ รีบอัปเดตแพตช์จาก Cisco และ Citrix ➡️ ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติในทราฟฟิก ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบยืนยันตัวตนถูกยึดครอง ⛔ การโจมตีขั้นสูงนี้บ่งชี้ถึงกลุ่มที่มีทรัพยากรสูง อาจเกี่ยวข้องกับรัฐ https://securityonline.info/amazon-exposes-advanced-apt-exploiting-cisco-ise-rce-and-citrix-bleed-two-as-simultaneous-zero-days/
    SECURITYONLINE.INFO
    Amazon Exposes Advanced APT Exploiting Cisco ISE (RCE) and Citrix Bleed Two as Simultaneous Zero-Days
    Amazon uncovered an advanced APT simultaneously exploiting Cisco ISE RCE (CVE-2025-20337) and Citrix Bleed Two (CVE-2025-5777) as zero-days. The attacker deployed a custom in-memory web shell on Cisco ISE.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: Apple Wallet รองรับ “Digital Passport” ใช้ผ่านด่าน TSA ได้แล้ว

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเดินทาง
    Apple ได้อัปเดต Apple Wallet ให้สามารถเก็บ หนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Passport) ได้โดยตรงบน iPhone และ Apple Watch เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ด่านตรวจความปลอดภัยของ TSA ในสนามบินสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกพาหนังสือเดินทางเล่มจริงสำหรับการบินภายในประเทศอีกต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้อัปเกรดบัตรขับขี่เป็น Real ID

    วิธีการใช้งานและข้อจำกัด
    การตั้งค่า Digital Passport ทำได้ง่าย เพียงเปิดแอป Wallet และทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น การถ่ายเซลฟีและการเคลื่อนไหวศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศยังคงต้องใช้หนังสือเดินทางเล่มจริงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง

    ความปลอดภัยและการรองรับ
    Apple ยืนยันว่าระบบนี้ใช้การตรวจสอบตัวตนด้วย Face ID และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ในช่วงแรกยังไม่ใช่ทุกสนามบินที่มีเครื่องสแกนรองรับ ทำให้ผู้โดยสารควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยเพื่อป้องกันปัญหา ขณะเดียวกัน Google Wallet ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ยังรองรับเฉพาะบางสนามบินเช่นกัน

    วิสัยทัศน์ในอนาคต
    Apple มีแผนจะขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่การตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนในร้านค้า เพื่อผลักดันแนวคิด “กระเป๋าสตางค์ไร้กระดาษ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นและลดการพึ่งพาเอกสารจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Apple Wallet รองรับ Digital Passport
    ใช้ได้กับ iPhone และ Apple Watch
    ใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ TSA สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ

    วิธีการตั้งค่าและใช้งาน
    ทำผ่านแอป Wallet ด้วยการถ่ายเซลฟีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ
    ใช้ Face ID และระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย

    ข้อจำกัดของระบบ
    ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ
    สนามบินบางแห่งยังไม่รองรับเครื่องสแกน

    แผนการในอนาคตของ Apple
    ขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่ร้านค้าและการตรวจสอบอายุ
    มุ่งสู่การสร้างกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    คำเตือนสำหรับผู้โดยสาร
    ควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    การเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เอกสารจริงเสมอ

    https://securityonline.info/apple-wallet-now-stores-digital-passports-for-tsa-checkpoints/
    📱 ข่าวใหญ่: Apple Wallet รองรับ “Digital Passport” ใช้ผ่านด่าน TSA ได้แล้ว ✈️ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเดินทาง Apple ได้อัปเดต Apple Wallet ให้สามารถเก็บ หนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Passport) ได้โดยตรงบน iPhone และ Apple Watch เพื่อใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ด่านตรวจความปลอดภัยของ TSA ในสนามบินสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องพกพาหนังสือเดินทางเล่มจริงสำหรับการบินภายในประเทศอีกต่อไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้อัปเกรดบัตรขับขี่เป็น Real ID 🔧 วิธีการใช้งานและข้อจำกัด การตั้งค่า Digital Passport ทำได้ง่าย เพียงเปิดแอป Wallet และทำตามขั้นตอนที่กำหนด เช่น การถ่ายเซลฟีและการเคลื่อนไหวศีรษะเพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น ผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศยังคงต้องใช้หนังสือเดินทางเล่มจริงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง 🛡️ ความปลอดภัยและการรองรับ Apple ยืนยันว่าระบบนี้ใช้การตรวจสอบตัวตนด้วย Face ID และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ในช่วงแรกยังไม่ใช่ทุกสนามบินที่มีเครื่องสแกนรองรับ ทำให้ผู้โดยสารควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยเพื่อป้องกันปัญหา ขณะเดียวกัน Google Wallet ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ยังรองรับเฉพาะบางสนามบินเช่นกัน 🌐 วิสัยทัศน์ในอนาคต Apple มีแผนจะขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่การตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนในร้านค้า เพื่อผลักดันแนวคิด “กระเป๋าสตางค์ไร้กระดาษ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นและลดการพึ่งพาเอกสารจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Apple Wallet รองรับ Digital Passport ➡️ ใช้ได้กับ iPhone และ Apple Watch ➡️ ใช้เป็นบัตรแสดงตนที่ TSA สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ ✅ วิธีการตั้งค่าและใช้งาน ➡️ ทำผ่านแอป Wallet ด้วยการถ่ายเซลฟีและตรวจสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ ➡️ ใช้ Face ID และระบบเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ✅ ข้อจำกัดของระบบ ➡️ ใช้ได้เฉพาะเที่ยวบินภายในประเทศสหรัฐฯ ➡️ สนามบินบางแห่งยังไม่รองรับเครื่องสแกน ✅ แผนการในอนาคตของ Apple ➡️ ขยายการใช้งาน Digital ID ไปสู่ร้านค้าและการตรวจสอบอายุ ➡️ มุ่งสู่การสร้างกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้โดยสาร ⛔ ควรพกหนังสือเดินทางจริงไว้ด้วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน ⛔ การเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เอกสารจริงเสมอ https://securityonline.info/apple-wallet-now-stores-digital-passports-for-tsa-checkpoints/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apple Wallet Now Stores Digital Passports for TSA Checkpoints
    Apple Wallet now supports digital US Passports for TSA identity checks on domestic flights, eliminating the need for a physical passport or Real ID-compliant license.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับมาของ Valve ในตลาด VR

    หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ

    สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น
    Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest

    เทคโนโลยี Foveated Streaming
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Steam Frame VR
    เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026
    เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC

    สเปกและระบบภายใน
    Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS

    ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming
    ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง
    Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล
    จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน
    ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone

    https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    🎮 การกลับมาของ Valve ในตลาด VR หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ ⚡ สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest 👀 เทคโนโลยี Foveated Streaming หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม 🔊 การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Steam Frame VR ➡️ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026 ➡️ เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC ✅ สเปกและระบบภายใน ➡️ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming ➡️ ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง ➡️ Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า ✅ การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ➡️ น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล ➡️ จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน ⛔ ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    SECURITYONLINE.INFO
    Steam Frame VR Unveiled: Valve's Standalone Headset Targets Quest with Snapdragon & Foveated Streaming
    Valve unveiled Steam Frame VR, a standalone headset with Snapdragon 8 Gen 3, SteamOS, and Foveated Streaming, set to launch in early 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าว Techradar

    Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่
    ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้

    Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง
    Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้

    iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์
    ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก

    หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด
    โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย

    VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ
    อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง
    หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่

    Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

    แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี
    แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่

    Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก
    กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง

    PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร
    หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP

    🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต
    บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์

    ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว
    บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก

    Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้
    Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    🔰📌 รวมข่าว Techradar 📌🔰 📺 Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่ ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้ 💻 Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้ 📱 iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์ ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก 🤖 หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย 🔒 VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ 🦠 มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่ 🕵️ Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ 🛡️ แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่ 📸 Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง 💳 PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP 🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์ 🧑‍💻 ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก 🎧 Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้ Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • Xbox 360 ครบรอบ 20 ปี – เปิดภาพเครื่องพิเศษ Launch Team 05

    Larry Hryb หรือที่รู้จักกันในชื่อ Major Nelson ได้เผยภาพเครื่อง Xbox 360 รุ่นพิเศษ “Launch Team 05” ที่เขาได้รับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2005 แต่ไม่เคยเปิดใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถือเป็นการย้อนรำลึกถึงการเปิดยุค HD Gaming ที่ Xbox 360 มีบทบาทสำคัญ

    แม้จะมีข้อถกเถียงว่า PlayStation 3 เป็นเครื่องแรกที่รองรับ HDMI แต่ Xbox 360 ก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเล่นเกมออนไลน์ผ่าน Xbox Live และระบบ Achievement ที่กลายเป็นมาตรฐานในวงการเกม อีกทั้งยังเป็นยุคที่เริ่มมี DLC และการดาวน์โหลดเกมดิจิทัล

    นอกจากนี้ Xbox 360 ยังมีนวัตกรรมอย่าง Kinect ที่สร้างกระแสเกมแบบไม่ใช้คอนโทรลเลอร์ แม้สุดท้ายจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นการทดลองที่น่าสนใจ และสะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้เล่น

    Xbox 360 รุ่นพิเศษ “Launch Team 05” ถูกเผยภาพครั้งแรก
    Major Nelson ไม่เคยเปิดใช้งานเครื่องนี้เลย

    Xbox 360 มีบทบาทสำคัญในยุค HD Gaming
    ผลักดัน Xbox Live, Achievement และการดาวน์โหลดเกมดิจิทัล

    Kinect แม้ขายดีช่วงแรกแต่ไม่ยั่งยืน
    ความล่าช้าและเกมรองรับน้อยทำให้กระแสหมดไป

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/first-images-of-xbox-360-project-leaders-launch-console-shared-ahead-of-hd-gaming-pioneers-20th-anniversary-major-nelson-admits-he-has-never-powered-on-launch-team-05-console
    🎮 Xbox 360 ครบรอบ 20 ปี – เปิดภาพเครื่องพิเศษ Launch Team 05 Larry Hryb หรือที่รู้จักกันในชื่อ Major Nelson ได้เผยภาพเครื่อง Xbox 360 รุ่นพิเศษ “Launch Team 05” ที่เขาได้รับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2005 แต่ไม่เคยเปิดใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถือเป็นการย้อนรำลึกถึงการเปิดยุค HD Gaming ที่ Xbox 360 มีบทบาทสำคัญ แม้จะมีข้อถกเถียงว่า PlayStation 3 เป็นเครื่องแรกที่รองรับ HDMI แต่ Xbox 360 ก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเล่นเกมออนไลน์ผ่าน Xbox Live และระบบ Achievement ที่กลายเป็นมาตรฐานในวงการเกม อีกทั้งยังเป็นยุคที่เริ่มมี DLC และการดาวน์โหลดเกมดิจิทัล นอกจากนี้ Xbox 360 ยังมีนวัตกรรมอย่าง Kinect ที่สร้างกระแสเกมแบบไม่ใช้คอนโทรลเลอร์ แม้สุดท้ายจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นการทดลองที่น่าสนใจ และสะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้เล่น ✅ Xbox 360 รุ่นพิเศษ “Launch Team 05” ถูกเผยภาพครั้งแรก ➡️ Major Nelson ไม่เคยเปิดใช้งานเครื่องนี้เลย ✅ Xbox 360 มีบทบาทสำคัญในยุค HD Gaming ➡️ ผลักดัน Xbox Live, Achievement และการดาวน์โหลดเกมดิจิทัล ‼️ Kinect แม้ขายดีช่วงแรกแต่ไม่ยั่งยืน ⛔ ความล่าช้าและเกมรองรับน้อยทำให้กระแสหมดไป https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/first-images-of-xbox-360-project-leaders-launch-console-shared-ahead-of-hd-gaming-pioneers-20th-anniversary-major-nelson-admits-he-has-never-powered-on-launch-team-05-console
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์

    หน่วยงานความปลอดภัยไซเบอร์ของจีน (CVERC) กล่าวหาว่าสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin จำนวน 127,272 เหรียญ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์ จากการแฮ็กในปี 2020 โดยเชื่อมโยงกับบริษัท Prince Group ของ Chen Zhi ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกิจหลอกลวงในกัมพูชา ขณะที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงินและการฉ้อโกง

    สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนคือ Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้การยึดหรือการอ้างสิทธิ์เป็นเรื่องยากต่อการพิสูจน์ และยังมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ประเด็นนี้ร้อนแรงขึ้น

    กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงของการถือครองคริปโต เพราะแม้จะมีมูลค่ามหาศาล แต่หากถูกยึดหรือแฮ็กก็ยากที่จะติดตามหรือเรียกร้องสิทธิ์คืนได้ และยังมีประเด็นว่าการแฮ็กครั้งนี้อาจเป็นการปฏิบัติการระดับรัฐ ไม่ใช่แค่แฮ็กเกอร์ทั่วไป

    จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin 127,272 เหรียญ
    มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์

    สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงิน
    เชื่อมโยงกับ Chen Zhi และ Prince Group

    ความเสี่ยงของการถือครองคริปโต
    ไม่มีเขตอำนาจชัดเจน ทำให้ยากต่อการปกป้องสิทธิ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/china-accuses-washington-of-stealing-usd13-billion-worth-of-bitcoin-in-alleged-hack-127-272-tokens-seized-from-prince-group-after-owner-chen-zhi-was-indicted-for-wire-fraud-and-money-laundering-u-s-alleges
    💰 จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์ หน่วยงานความปลอดภัยไซเบอร์ของจีน (CVERC) กล่าวหาว่าสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin จำนวน 127,272 เหรียญ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์ จากการแฮ็กในปี 2020 โดยเชื่อมโยงกับบริษัท Prince Group ของ Chen Zhi ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกิจหลอกลวงในกัมพูชา ขณะที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงินและการฉ้อโกง สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนคือ Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้การยึดหรือการอ้างสิทธิ์เป็นเรื่องยากต่อการพิสูจน์ และยังมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ประเด็นนี้ร้อนแรงขึ้น กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงของการถือครองคริปโต เพราะแม้จะมีมูลค่ามหาศาล แต่หากถูกยึดหรือแฮ็กก็ยากที่จะติดตามหรือเรียกร้องสิทธิ์คืนได้ และยังมีประเด็นว่าการแฮ็กครั้งนี้อาจเป็นการปฏิบัติการระดับรัฐ ไม่ใช่แค่แฮ็กเกอร์ทั่วไป ✅ จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin 127,272 เหรียญ ➡️ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์ ✅ สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงิน ➡️ เชื่อมโยงกับ Chen Zhi และ Prince Group ‼️ ความเสี่ยงของการถือครองคริปโต ⛔ ไม่มีเขตอำนาจชัดเจน ทำให้ยากต่อการปกป้องสิทธิ์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/china-accuses-washington-of-stealing-usd13-billion-worth-of-bitcoin-in-alleged-hack-127-272-tokens-seized-from-prince-group-after-owner-chen-zhi-was-indicted-for-wire-fraud-and-money-laundering-u-s-alleges
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ Type-C “Plug and Stay”

    SanDisk ได้เปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา โดยมีความจุสูงสุดถึง 1TB และราคาประมาณ 120 ดอลลาร์ จุดเด่นคือความเร็วในการโอนข้อมูลสูงถึง 400MB/s ซึ่งแม้จะไม่เร็วเท่า SSD NVMe แต่ก็ใกล้เคียงกับ SATA III ทำให้สามารถใช้เล่นเกมหรือเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้สะดวก

    แฟลชไดรฟ์นี้ออกแบบเป็นทรง L ขนาดเล็ก ทำให้ไม่เกะกะเมื่อเสียบกับโน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ต เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่ง Cloud หรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ภายในเครื่อง

    สรุปเป็นหัวข้อ:

    จุดเด่นของ SanDisk Plug and Stay
    ความจุสูงสุด 1TB ราคาประหยัด
    ความเร็ว 400MB/s ใกล้เคียง SATA III

    การใช้งาน
    ออกแบบให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา
    เหมาะกับโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตที่ไม่มี SD card reader

    ข้อควรระวัง
    ความเร็วไม่เทียบเท่า SSD NVMe
    รุ่นความจุสูงอาจขาดตลาดหรือหมดสต็อกเร็ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/usb-flash-drives/sandisk-debuts-type-c-plug-and-stay-flash-drive-that-never-needs-to-be-taken-out-of-your-laptop-get-up-to-1tb-of-extra-storage-for-just-usd120-with-400mb-s-transfer-speeds
    💾 SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ Type-C “Plug and Stay” SanDisk ได้เปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา โดยมีความจุสูงสุดถึง 1TB และราคาประมาณ 120 ดอลลาร์ จุดเด่นคือความเร็วในการโอนข้อมูลสูงถึง 400MB/s ซึ่งแม้จะไม่เร็วเท่า SSD NVMe แต่ก็ใกล้เคียงกับ SATA III ทำให้สามารถใช้เล่นเกมหรือเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้สะดวก แฟลชไดรฟ์นี้ออกแบบเป็นทรง L ขนาดเล็ก ทำให้ไม่เกะกะเมื่อเสียบกับโน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ต เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่ง Cloud หรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ภายในเครื่อง สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ จุดเด่นของ SanDisk Plug and Stay ➡️ ความจุสูงสุด 1TB ราคาประหยัด ➡️ ความเร็ว 400MB/s ใกล้เคียง SATA III ✅ การใช้งาน ➡️ ออกแบบให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา ➡️ เหมาะกับโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตที่ไม่มี SD card reader ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ความเร็วไม่เทียบเท่า SSD NVMe ⛔ รุ่นความจุสูงอาจขาดตลาดหรือหมดสต็อกเร็ว https://www.tomshardware.com/pc-components/usb-flash-drives/sandisk-debuts-type-c-plug-and-stay-flash-drive-that-never-needs-to-be-taken-out-of-your-laptop-get-up-to-1tb-of-extra-storage-for-just-usd120-with-400mb-s-transfer-speeds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0

    DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต

    จุดเด่นของ BTF 3.0
    ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W
    ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ

    ความเข้ากันได้
    รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์
    ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้

    ข้อควรระวัง
    ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้
    ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    🔌อนาคตของ PC ไร้สาย – BTF 3.0 DIY-APE ได้เปิดตัวมาตรฐานใหม่ชื่อ BTF 3.0 (Back to Future) ที่ตั้งเป้าจะทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์ไร้สายจริง ๆ โดยใช้ คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว ที่สามารถส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 2,145W เพียงพอสำหรับ CPU และ GPU รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน จุดเด่นคือการรวมสายไฟทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ นอกจากนั้น BTF 3.0 ยังออกแบบให้รองรับ backward compatibility และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ GPU ที่ยังไม่รองรับมาตรฐานนี้ เช่น อะแดปเตอร์แบบมุมฉากเพื่อเชื่อมต่อสาย PCIe เข้ากับบอร์ดใหม่ ถือเป็นแนวคิดที่อาจเปลี่ยนวิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ในอนาคต ✅ จุดเด่นของ BTF 3.0 ➡️ ใช้คอนเน็กเตอร์ 50-pin เดียว รองรับไฟสูงสุด 2,145W ➡️ ลดสายไฟ ทำให้เครื่องดูสะอาดและง่ายต่อการประกอบ ✅ ความเข้ากันได้ ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่าผ่านอะแดปเตอร์ ➡️ ใช้ร่วมกับ ATX 3.0/3.1 ได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังเป็นเพียงต้นแบบ ต้องรอผู้ผลิตจริงนำไปใช้ ⛔ ความร้อนและความปลอดภัยของคอนเน็กเตอร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องทดสอบ https://www.tomshardware.com/pc-components/btf-3-0-reveals-the-future-of-cable-less-pc-builds-single-50-pin-connector-supports-up-to-2-145-watts-to-power-a-cpu-and-gpu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Roadmap ใหม่ – Zen 6 และ Zen 7

    AMD ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา CPU รุ่นใหม่ โดย Zen 6 จะเปิดตัวในปี 2026 ใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ด้าน AI ให้มากขึ้นทั้งใน Ryzen และ EPYC ส่วน Zen 7 ถูกวางตัวให้เป็น “Next-Generation Leap” ที่แท้จริง โดยจะมาพร้อม Matrix Engine ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ คาดว่าจะเปิดตัวราวปี 2027–2028

    สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD กำลังเน้นหนักไปที่การผสาน AI เข้ากับ CPU และ GPU มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของอุตสาหกรรมที่กำลังแข่งขันกันในด้าน AI acceleration ไม่ใช่แค่การเพิ่มความเร็ว IPC หรือจำนวนคอร์เท่านั้น

    Zen 6 (ปี 2026)
    ใช้กระบวนการผลิต 2nm ของ TSMC
    เพิ่มฟีเจอร์ AI และปรับปรุง IPC

    Zen 7 (ปี 2027–2028)
    มาพร้อม Matrix Engine สำหรับ AI
    ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ AMD

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    ข้อมูลยังไม่ชัดเจน อาจเปลี่ยนแปลงได้
    การแข่งขันกับ Intel และ NVIDIA ในด้าน AI อาจกดดัน AMD

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-reveals-new-roadmap-for-its-ryzen-cpus-teasing-zen-7-as-the-true-next-generation-leap-with-2nm-lineup-confirms-2026-release-for-zen-6-coming-with-expanded-ai-features
    ⚙️ AMD Roadmap ใหม่ – Zen 6 และ Zen 7 AMD ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา CPU รุ่นใหม่ โดย Zen 6 จะเปิดตัวในปี 2026 ใช้เทคโนโลยีการผลิต 2nm ของ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ด้าน AI ให้มากขึ้นทั้งใน Ryzen และ EPYC ส่วน Zen 7 ถูกวางตัวให้เป็น “Next-Generation Leap” ที่แท้จริง โดยจะมาพร้อม Matrix Engine ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ คาดว่าจะเปิดตัวราวปี 2027–2028 สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD กำลังเน้นหนักไปที่การผสาน AI เข้ากับ CPU และ GPU มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของอุตสาหกรรมที่กำลังแข่งขันกันในด้าน AI acceleration ไม่ใช่แค่การเพิ่มความเร็ว IPC หรือจำนวนคอร์เท่านั้น ✅ Zen 6 (ปี 2026) ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 2nm ของ TSMC ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ AI และปรับปรุง IPC ✅ Zen 7 (ปี 2027–2028) ➡️ มาพร้อม Matrix Engine สำหรับ AI ➡️ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ AMD ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง ⛔ ข้อมูลยังไม่ชัดเจน อาจเปลี่ยนแปลงได้ ⛔ การแข่งขันกับ Intel และ NVIDIA ในด้าน AI อาจกดดัน AMD https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-reveals-new-roadmap-for-its-ryzen-cpus-teasing-zen-7-as-the-true-next-generation-leap-with-2nm-lineup-confirms-2026-release-for-zen-6-coming-with-expanded-ai-features
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts