• โดรน Lancet ของรัสเซีย โจมตีโจมตีโดรนผิวน้ำของยูเครนที่พยายามโจมตีสะพานไครเมียวันนี้

    หลังจากการระเบิดที่สะพานไครเมีย ฝ่ายยูเครนพยายามส่งโดรนผิวน้ำเข้าโจมตีสะพานไครเมียอีกหลายระลอก แต่ถูกสกัดได้หมดจากฝ่ายรัสเซีย
    โดรน Lancet ของรัสเซีย โจมตีโจมตีโดรนผิวน้ำของยูเครนที่พยายามโจมตีสะพานไครเมียวันนี้ หลังจากการระเบิดที่สะพานไครเมีย ฝ่ายยูเครนพยายามส่งโดรนผิวน้ำเข้าโจมตีสะพานไครเมียอีกหลายระลอก แต่ถูกสกัดได้หมดจากฝ่ายรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • ละครสมัยราชวงศ์ชิงที่ออกฉายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีหลายเรื่องที่ดูจะมีความเนี้ยบด้านเสื้อผ้าหน้าผม วันนี้เลยเอารูปมาเปรียบเทียบให้ดู เพราะทุกเรื่องมีทั้งส่วนที่สมจริงและที่ไม่สมจริง แต่ความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ที่จะพูดถึงในวันนี้คือการทาปากของสาวๆ ในละครเหล่านี้ที่ดูจะเข้มข้นแตกต่างกันไป

    เพื่อนเพจหลายท่านอาจทราบอยู่แล้วว่า วัฒนธรรมจีนโบราณมีค่านิยมว่า ปากที่สวยต้องเล็ก ดังบทความข้างล่างว่า
    ...เว่ยอิงหลัวอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงสด แป้งผัดเบาบางดุจสายลมมาลูบไล้ด้วยหิมะ แก้มแดงระเรื่อดุจท้องฟ้าถูกเกลี่ยด้วยแสงอัสดง ส่วนริมฝีปากนั้นเล่า แต้มแดงชาดเพียงจุดเดียว โดดเด่นไม่อาจมองข้าม หากบุรุษบ้านใดได้แต่งเจ้าสาวงดงามเยี่ยงนี้ คงดีใจจนบ้าคลั่ง...
    - จากเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ผู้แต่ง เซี่ยวเหลี่ยนเม้า
    (หมายเหตุ ชื่อเรื่องตามชื่อแปลอย่างเป็นทางการโดยช่อง 3 ของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    แฟชั่นทาปากแบบไม่เต็มริมฝีปากหรือที่เรียกว่า “เตี่ยนฉุน” (点唇 หรือริมฝีปากแต้มจุดเดียว) นั้น มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (เห็นได้จากภาพที่แปะมาให้ดู) พอถึงยุคสมัยราชวงศ์ถังนิยมวาดเป็นดอกไม้ ถูกเปรียบเปรยในบทกวีในสมัยนั้นด้วยวลีที่ว่า “อิงเถาเสียวโข่ว” (樱桃小口) หรือปากเล็กดุจเชอร์รี่

    มีบันทึกเกร็ดชีวิตประจำวันโบราณสมัยปลายหมิงถึงชิง “เสียนฉิงโอ่วจี้” (闲情偶记) โดยหลี่อวี๋ (ค.ศ. 1611-1680) บรรยายถึงวิธีการทาปากไว้ว่า “การแต้มปากนั้น ใช้เพียงแตะเป็นจุดเดียว คล้ายผลเชอร์รี่ หากยังวาดต่อทำได้อีกเพียงสองสามแต้ม สลับยาวสั้นกว้างแคบ ประกอบเป็นพวงดอกเชอร์รี่ มิใช่เป็นรูปก้อนกลม”

    แต่อย่างที่เห็นจากรูปประกอบ รูปทรงของการทาปากเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์ชิงมีสามแบบหลักด้วยกัน คือ 1) ทาริมฝีปากบน ส่วนริมฝีปากล่างแต้มเพียงเล็กน้อย หรือ 2) วาดเป็นรูปกลีบดอกเชอรี่ (ห้ากลีบ) หรือ 3) เป็นแบบในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> คือทาริมฝีปากล่างแต่ไม่ทาริมฝีปากบน เรียกว่า “เตี่ยนเจี้ยงฉุน” (点绛唇) แบบหลังนี้มีหลักฐานเห็นชัดในรูปภาพวาดต่างๆ เช่นที่นำมาแปะให้ดูคือภาพของซูเฟย หนึ่งในพระชายาของเฉียนหลงฮ่องเต้ (ภาพแรกขวาบน)

    เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนอาจเหมือน Storyฯ ที่เข้าใจตามละครสมัยราชวงศ์ชิงหลายเรื่องว่าสมัยนั้นเน้นการแต่งหน้าเข้มควบคู่ไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่องที่หรูหรา โดยเฉพาะสาวในวัง แต่จริงๆ แล้วนิยามความงามสตรีในยุคสมัยนั้นคือ คิ้วโก่งบาง ไม่แต่งหน้าเข้ม และทาปากอ่อนๆ จึงนับว่าละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่แต่งหน้าได้ค่อนข้างตรงกับประวัติศาสตร์จริงพอสมควร (เฉพาะเรื่องแต่งหน้านะคะ เรื่องอื่นมีคนเคยวิจารณ์เปรียบเทียบว่ามีผิดเพี้ยนบ้างเหมือนกัน)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.elle.com/tw/entertainment/drama/g35859439/china-drama-the-legend-of-zhenhuan/
    https://www.baobuzz.com/info/621726.html
    https://www.sohu.com/a/253010194_100213042
    https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html
    https://imod-fms.csu.edu.tw/sysdata/doc/7/716d03a5b1b4e483/pdf.pdf
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_9398854
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html
    https://kknews.cc/fashion/qy55rgb.html
    http://www.guoxue123.com/biji/qing2/xqoj/014.htm
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/29773775

    #ตำหนักเหยียนสี่ #เว่ยอิงหลัว #หรูอี้ #เจินหวน #ราชวงศ์ชิง #แต่งหน้าจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ
    ละครสมัยราชวงศ์ชิงที่ออกฉายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีหลายเรื่องที่ดูจะมีความเนี้ยบด้านเสื้อผ้าหน้าผม วันนี้เลยเอารูปมาเปรียบเทียบให้ดู เพราะทุกเรื่องมีทั้งส่วนที่สมจริงและที่ไม่สมจริง แต่ความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ ที่จะพูดถึงในวันนี้คือการทาปากของสาวๆ ในละครเหล่านี้ที่ดูจะเข้มข้นแตกต่างกันไป เพื่อนเพจหลายท่านอาจทราบอยู่แล้วว่า วัฒนธรรมจีนโบราณมีค่านิยมว่า ปากที่สวยต้องเล็ก ดังบทความข้างล่างว่า ...เว่ยอิงหลัวอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงสด แป้งผัดเบาบางดุจสายลมมาลูบไล้ด้วยหิมะ แก้มแดงระเรื่อดุจท้องฟ้าถูกเกลี่ยด้วยแสงอัสดง ส่วนริมฝีปากนั้นเล่า แต้มแดงชาดเพียงจุดเดียว โดดเด่นไม่อาจมองข้าม หากบุรุษบ้านใดได้แต่งเจ้าสาวงดงามเยี่ยงนี้ คงดีใจจนบ้าคลั่ง... - จากเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ผู้แต่ง เซี่ยวเหลี่ยนเม้า (หมายเหตุ ชื่อเรื่องตามชื่อแปลอย่างเป็นทางการโดยช่อง 3 ของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) แฟชั่นทาปากแบบไม่เต็มริมฝีปากหรือที่เรียกว่า “เตี่ยนฉุน” (点唇 หรือริมฝีปากแต้มจุดเดียว) นั้น มีมาแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (เห็นได้จากภาพที่แปะมาให้ดู) พอถึงยุคสมัยราชวงศ์ถังนิยมวาดเป็นดอกไม้ ถูกเปรียบเปรยในบทกวีในสมัยนั้นด้วยวลีที่ว่า “อิงเถาเสียวโข่ว” (樱桃小口) หรือปากเล็กดุจเชอร์รี่ มีบันทึกเกร็ดชีวิตประจำวันโบราณสมัยปลายหมิงถึงชิง “เสียนฉิงโอ่วจี้” (闲情偶记) โดยหลี่อวี๋ (ค.ศ. 1611-1680) บรรยายถึงวิธีการทาปากไว้ว่า “การแต้มปากนั้น ใช้เพียงแตะเป็นจุดเดียว คล้ายผลเชอร์รี่ หากยังวาดต่อทำได้อีกเพียงสองสามแต้ม สลับยาวสั้นกว้างแคบ ประกอบเป็นพวงดอกเชอร์รี่ มิใช่เป็นรูปก้อนกลม” แต่อย่างที่เห็นจากรูปประกอบ รูปทรงของการทาปากเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์ชิงมีสามแบบหลักด้วยกัน คือ 1) ทาริมฝีปากบน ส่วนริมฝีปากล่างแต้มเพียงเล็กน้อย หรือ 2) วาดเป็นรูปกลีบดอกเชอรี่ (ห้ากลีบ) หรือ 3) เป็นแบบในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> คือทาริมฝีปากล่างแต่ไม่ทาริมฝีปากบน เรียกว่า “เตี่ยนเจี้ยงฉุน” (点绛唇) แบบหลังนี้มีหลักฐานเห็นชัดในรูปภาพวาดต่างๆ เช่นที่นำมาแปะให้ดูคือภาพของซูเฟย หนึ่งในพระชายาของเฉียนหลงฮ่องเต้ (ภาพแรกขวาบน) เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนอาจเหมือน Storyฯ ที่เข้าใจตามละครสมัยราชวงศ์ชิงหลายเรื่องว่าสมัยนั้นเน้นการแต่งหน้าเข้มควบคู่ไปกับการแต่งองค์ทรงเครื่องที่หรูหรา โดยเฉพาะสาวในวัง แต่จริงๆ แล้วนิยามความงามสตรีในยุคสมัยนั้นคือ คิ้วโก่งบาง ไม่แต่งหน้าเข้ม และทาปากอ่อนๆ จึงนับว่าละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> เป็นเรื่องที่แต่งหน้าได้ค่อนข้างตรงกับประวัติศาสตร์จริงพอสมควร (เฉพาะเรื่องแต่งหน้านะคะ เรื่องอื่นมีคนเคยวิจารณ์เปรียบเทียบว่ามีผิดเพี้ยนบ้างเหมือนกัน) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.elle.com/tw/entertainment/drama/g35859439/china-drama-the-legend-of-zhenhuan/ https://www.baobuzz.com/info/621726.html https://www.sohu.com/a/253010194_100213042 https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html https://imod-fms.csu.edu.tw/sysdata/doc/7/716d03a5b1b4e483/pdf.pdf https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_9398854 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/omn/20200203/20200203A0MHAR00.html https://kknews.cc/fashion/qy55rgb.html http://www.guoxue123.com/biji/qing2/xqoj/014.htm https://zhuanlan.zhihu.com/p/29773775 #ตำหนักเหยียนสี่ #เว่ยอิงหลัว #หรูอี้ #เจินหวน #ราชวงศ์ชิง #แต่งหน้าจีนโบราณ #วัฒนธรรมจีนโบราณ
    WWW.ELLE.COM
    《後宮甄嬛傳》前傳確定開拍!作者親揭《德妃傳》5大看點,比《如懿傳》更值得期待
    繼孫儷《甄嬛傳》、周迅《如懿傳》之後,同系列宮鬥劇又有一部衍生作品啦!
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ชี้ทักษิณพูดบาดใจ ทหารไทยรับไม่ได้ เสนอพื้นที่เขมรรุกรานทำเป็น No Man's Land จะได้ไม่เกิดกระทบกระทั่ง อ้างตรงนั้นไม่มีอะไร มีแต่ป่า

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000051946

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ชี้ทักษิณพูดบาดใจ ทหารไทยรับไม่ได้ เสนอพื้นที่เขมรรุกรานทำเป็น No Man's Land จะได้ไม่เกิดกระทบกระทั่ง อ้างตรงนั้นไม่มีอะไร มีแต่ป่า อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000051946 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • กิมซ้วน ก๋วยเตี๋ยวเป็ด #บางปะกง #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านอาหาร #กิน #อร่อย #อาหาร #ก๋วยเตี๋ยว #noodles #food #foodie #thaifood #streetfood #eatery #delicious #thailand #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    กิมซ้วน ก๋วยเตี๋ยวเป็ด #บางปะกง #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านอาหาร #กิน #อร่อย #อาหาร #ก๋วยเตี๋ยว #noodles #food #foodie #thaifood #streetfood #eatery #delicious #thailand #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ลุงหล่ะงงใจกับไต้หวัน บอกว่าตัวเองไม่ใช่จีน แต่จะทำอะไรต้องไปหารือสหรัฐฯ ?! คืออยากรัฐของอเมริกามากกว่า !??!

    🏭 TSMC อาจสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE: การเจรจากับสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง

    Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาการสร้าง โรงงานผลิตชิปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างใน รัฐแอริโซนา

    TSMC ได้พบกับ Steve Witkoff ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง และ MGX บริษัทลงทุนของรัฐบาล UAE เพื่อหารือเกี่ยวกับ การลงทุนและการสร้างโรงงานผลิตชิป

    ก่อนหน้านี้ Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การเจรจาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ UAE

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE
    - โรงงานอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างในรัฐแอริโซนา
    - TSMC พบกับ Steve Witkoff และ MGX เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน
    - Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในปี 2024 แต่การเจรจาไม่สำเร็จ
    - UAE ต้องการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และได้รับอนุมัติให้ซื้อ Nvidia AI GPUs ผ่าน G42

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา
    - UAE ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสร้างและดำเนินงานโรงงานผลิตชิป
    - การดึงบุคลากรจากโรงงานอื่นของ TSMC อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในสหรัฐฯ
    - ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง UAE กับจีนและอิหร่านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ

    UAE กำลังผลักดันให้ กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และหากโครงการนี้สำเร็จ อาจช่วยให้ภูมิภาคมีความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reopening-discussions-with-washington-to-build-chip-manufacturing-plant-in-uae-report
    ลุงหล่ะงงใจกับไต้หวัน บอกว่าตัวเองไม่ใช่จีน แต่จะทำอะไรต้องไปหารือสหรัฐฯ ?! คืออยากรัฐของอเมริกามากกว่า !??! 🏭 TSMC อาจสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE: การเจรจากับสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาการสร้าง โรงงานผลิตชิปในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างใน รัฐแอริโซนา TSMC ได้พบกับ Steve Witkoff ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง และ MGX บริษัทลงทุนของรัฐบาล UAE เพื่อหารือเกี่ยวกับ การลงทุนและการสร้างโรงงานผลิตชิป ก่อนหน้านี้ Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การเจรจาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของ UAE ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปใน UAE - โรงงานอาจมีขนาดใกล้เคียงกับโรงงานที่กำลังสร้างในรัฐแอริโซนา - TSMC พบกับ Steve Witkoff และ MGX เพื่อหารือเกี่ยวกับการลงทุน - Samsung และ TSMC เคยพิจารณาสร้างโรงงานใน UAE ในปี 2024 แต่การเจรจาไม่สำเร็จ - UAE ต้องการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และได้รับอนุมัติให้ซื้อ Nvidia AI GPUs ผ่าน G42 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการควบคุมโรงงานโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา - UAE ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสร้างและดำเนินงานโรงงานผลิตชิป - การดึงบุคลากรจากโรงงานอื่นของ TSMC อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในสหรัฐฯ - ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง UAE กับจีนและอิหร่านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ UAE กำลังผลักดันให้ กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตะวันออกกลาง และหากโครงการนี้สำเร็จ อาจช่วยให้ภูมิภาคมีความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reopening-discussions-with-washington-to-build-chip-manufacturing-plant-in-uae-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 การเติบโตของ AI Agent ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    AI Agent กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรายงานจาก EY Technology Pulse Poll พบว่า 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว และแนวโน้มการลงทุนใน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    AI Agent เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า Large Language Model (LLM) เช่น ChatGPT โดยสามารถ ดำเนินงานที่ซับซ้อนมากขึ้น และช่วยให้บริษัทสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Microsoft, Meta และ OpenAI กำลังลงทุนมหาศาลใน AI Agent โดย Google ได้ประกาศว่าจะใช้เงิน 100 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI รุ่นใหม่

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว
    - AI Agent สามารถดำเนินงานที่ซับซ้อนมากกว่า LLM เช่น ChatGPT
    - Google ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์ใน AI รุ่นใหม่
    - 92% ของผู้บริหารเทคโนโลยีวางแผนเพิ่มงบประมาณด้าน AI ในปีหน้า
    - AI Agent อาจสร้างรูปแบบการทำงานใหม่ในองค์กร

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI Agent อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างองค์กร
    - ต้องมีการพัฒนาแนวทางการกำกับดูแล AI เพื่อป้องกันการใช้งานที่ผิดพลาด
    - การนำ AI มาใช้ในองค์กรต้องมีการปรับตัวของพนักงานและการฝึกอบรมใหม่
    - AI อาจไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด

    🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของการทำงาน
    AI Agent กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทเทคโนโลยี และอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการกำกับดูแลและการปรับตัวของพนักงาน เพื่อให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/31/ai-agent-adoption-rates-are-at-50-in-tech-companies-is-this-the-future-of-work
    🤖 การเติบโตของ AI Agent ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI Agent กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรายงานจาก EY Technology Pulse Poll พบว่า 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว และแนวโน้มการลงทุนใน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว AI Agent เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า Large Language Model (LLM) เช่น ChatGPT โดยสามารถ ดำเนินงานที่ซับซ้อนมากขึ้น และช่วยให้บริษัทสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ได้อย่างมีนัยสำคัญ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Microsoft, Meta และ OpenAI กำลังลงทุนมหาศาลใน AI Agent โดย Google ได้ประกาศว่าจะใช้เงิน 100 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI รุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลจากข่าว - 50% ของบริษัทเทคโนโลยีได้เริ่มใช้งาน AI Agent แล้ว - AI Agent สามารถดำเนินงานที่ซับซ้อนมากกว่า LLM เช่น ChatGPT - Google ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์ใน AI รุ่นใหม่ - 92% ของผู้บริหารเทคโนโลยีวางแผนเพิ่มงบประมาณด้าน AI ในปีหน้า - AI Agent อาจสร้างรูปแบบการทำงานใหม่ในองค์กร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI Agent อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างองค์กร - ต้องมีการพัฒนาแนวทางการกำกับดูแล AI เพื่อป้องกันการใช้งานที่ผิดพลาด - การนำ AI มาใช้ในองค์กรต้องมีการปรับตัวของพนักงานและการฝึกอบรมใหม่ - AI อาจไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด 🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของการทำงาน AI Agent กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทเทคโนโลยี และอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการกำกับดูแลและการปรับตัวของพนักงาน เพื่อให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/31/ai-agent-adoption-rates-are-at-50-in-tech-companies-is-this-the-future-of-work
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI agent adoption rates are at 50% in tech companies. Is this the future of work?
    Technology executives have a more positive outlook on AI transformation than other business leaders, according to a new survey.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาคุยกันต่อเกี่ยวกับสมัยราชวงศ์ชิง เพื่อนเพจที่เคยดูละครยุคสมัยดังกล่าวจะต้องเคยเห็นผ้าแถบสีขาวที่ไขว้อยู่ที่คอของสตรีในวังหลัง บางคนเรียกมันว่า “หลิ่งจิง” (领巾) หรือผ้าแถบพันคอ แต่จริงๆ แล้วมันมีชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า “หลงหัว” (龙华)

    หลงหัวเป็นผ้าแถบสีขาวชายตรง ขนาดหน้ากว้างประมาณ 2 นิ้ว ส่วนใหญ่ทำจากผ้าแพร วิธีใส่ที่ถูกต้องคือชายหนึ่งปล่อยอิสระ แต่อีกชายหนึ่งต้องสอดเก็บเข้าไปในคอเสื้อ (ดังภาพที่นำมาแสดง แต่จะเห็นในละครหลายเรื่องเอาชายข้างหนึ่งพับทบแนบกลับไปกับแถบผ้าซึ่งเป็นวิธีใส่ที่ผิด)

    ประโยชน์ของหลงหัวคือไว้อุ่นคอและปิดคอของสตรีเนื่องจากเสื้อสมัยนั้นเป็นคอกลมไม่มีปก ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์ชิงนิยมใช้เสื้อมีปกจึงเลิกใช้หลงหัวไป (ประมาณช่วงปีค.ศ. 1862 เป็นต้นไป)

    เนื้อผ้าและลายปักของหลงหัวนั้น มีเกณฑ์กำหนดตามยศศักดิ์ ยิ่งมียศสูง เนื้อผ้าที่ใช้ก็จะยิ่งมีค่าและมีลายปักมากและอาจมีความกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย (ฉะนั้นที่เห็นพระสนมตำแหน่งสูงๆ หรือฮองเฮาใส่แบบเกลี้ยงๆ ในบางเรื่องจึงไม่ถูกต้องนะจ๊ะ) ดังนั้น ขันที นางกำนัลและแม้แต่ฮ่องเต้ยังอาศัยรูปแบบลายปักของหลงหัวมาจำแนกยศศักดิ์ของสตรีต่างๆ ในวังหลังได้อีกด้วย (อย่าลืมว่านางในมีจำนวนมากจนจำกันไม่ได้หมด)

    แต่ไม่ใช่อยากปักลายอะไรก็ปักได้ เรามาดูกันว่าแต่ละตำแหน่งมีลวดลายอะไรบ้าง

    เริ่มกันที่ไทเฮา มีภาพจริงของพระนางซูสีไทเฮามาให้ดู จะเห็นว่าหลงหัวมีการปักจนเต็มแถบ ลวดลายที่ปักนั้นคือคำว่า “โซ่ว” ซึ่งจะเห็นว่าละครเรื่อง <เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน> ทำเรื่องหลงหัวออกมาตรงตามแบบฉบับจริง (ดูรูปประกอบ) คือเป็นการสลับลายกลมที่เรียกว่า “ถวนโซ่ว” และลายอักษรที่เรียกว่า “ฉางโซ่ว” ซึ่งล้วนมีความหมายให้อายุยืน

    มาต่อกันที่ตำแหน่งอื่น ฮองเฮาสามารถปักลวดลายได้หลายชนิดจนเต็มแถบ ที่นิยมคือลายอักษร ‘โซ่ว’ ลายดอกโบตั๋น และลายเฟิ่งหวง ส่วนกุ้ยเฟยสามารถปักลวดลายได้หลายชนิดจนเต็มแถบเช่นกันเพียงแต่ห้ามปักลายอักษร สำหรับ ‘เฟย’ นั้น ให้ปักลายดอกไม้ดอกใหญ่ได้สี่ดอกเท่านั้น (ดูตัวอย่างในภาพ) และสำหรับพระสนมระดับต่างๆ ให้ใช้เป็นลายปักดอกไม้แต่จะเป็นดอกเล็กไม่เกินสามดอก อย่างเช่นตำแหน่ง ‘ฉางจ้าย’ มีลายดอกไม้ได้เพียงดอกเดียว ส่วนนางในที่ไม่ได้รับพระราชทานตำแหน่งและนางกำนัลไม่สามารถมีลายปักได้เลยและแบ่งยศด้วยความยาวของชายผ้า ยิ่งสั้นยิ่งเป็นนางกำนัลระดับล่าง

    (แก้ไขเพิ่มเติม: ในภาพที่นำมาแสดงมีคำบรรยายผิด กราบขออภัย 1) สะกดหลงหัวผิด 2) ในภาพเรียก 'เฟย' เป็นพระสนมแต่มีเพื่อนเพจใจดีช่วยบอกมาว่าเฟยเป็นพระชายา ไม่ใช่พระสนมแล้ว)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลจาก:
    https://www.wenshigu.com/fyrw/hgrw/323315.html
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/47119908
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/93071937
    https://kknews.cc/zh-sg/entertainment/5bl34xk.html
    https://www.sohu.com/a/254800788_100148471
    https://kknews.cc/fashion/9nbbz28.html

    #หลิ่งจิง #หลงหัว #เครื่องแต่งกายพระสนม #เครื่องแต่งกายราชวงศ์ชิง #ประวัติศาสตร์จีน #เจินหวน #หรูอี้
    วันนี้มาคุยกันต่อเกี่ยวกับสมัยราชวงศ์ชิง เพื่อนเพจที่เคยดูละครยุคสมัยดังกล่าวจะต้องเคยเห็นผ้าแถบสีขาวที่ไขว้อยู่ที่คอของสตรีในวังหลัง บางคนเรียกมันว่า “หลิ่งจิง” (领巾) หรือผ้าแถบพันคอ แต่จริงๆ แล้วมันมีชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า “หลงหัว” (龙华) หลงหัวเป็นผ้าแถบสีขาวชายตรง ขนาดหน้ากว้างประมาณ 2 นิ้ว ส่วนใหญ่ทำจากผ้าแพร วิธีใส่ที่ถูกต้องคือชายหนึ่งปล่อยอิสระ แต่อีกชายหนึ่งต้องสอดเก็บเข้าไปในคอเสื้อ (ดังภาพที่นำมาแสดง แต่จะเห็นในละครหลายเรื่องเอาชายข้างหนึ่งพับทบแนบกลับไปกับแถบผ้าซึ่งเป็นวิธีใส่ที่ผิด) ประโยชน์ของหลงหัวคือไว้อุ่นคอและปิดคอของสตรีเนื่องจากเสื้อสมัยนั้นเป็นคอกลมไม่มีปก ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์ชิงนิยมใช้เสื้อมีปกจึงเลิกใช้หลงหัวไป (ประมาณช่วงปีค.ศ. 1862 เป็นต้นไป) เนื้อผ้าและลายปักของหลงหัวนั้น มีเกณฑ์กำหนดตามยศศักดิ์ ยิ่งมียศสูง เนื้อผ้าที่ใช้ก็จะยิ่งมีค่าและมีลายปักมากและอาจมีความกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย (ฉะนั้นที่เห็นพระสนมตำแหน่งสูงๆ หรือฮองเฮาใส่แบบเกลี้ยงๆ ในบางเรื่องจึงไม่ถูกต้องนะจ๊ะ) ดังนั้น ขันที นางกำนัลและแม้แต่ฮ่องเต้ยังอาศัยรูปแบบลายปักของหลงหัวมาจำแนกยศศักดิ์ของสตรีต่างๆ ในวังหลังได้อีกด้วย (อย่าลืมว่านางในมีจำนวนมากจนจำกันไม่ได้หมด) แต่ไม่ใช่อยากปักลายอะไรก็ปักได้ เรามาดูกันว่าแต่ละตำแหน่งมีลวดลายอะไรบ้าง เริ่มกันที่ไทเฮา มีภาพจริงของพระนางซูสีไทเฮามาให้ดู จะเห็นว่าหลงหัวมีการปักจนเต็มแถบ ลวดลายที่ปักนั้นคือคำว่า “โซ่ว” ซึ่งจะเห็นว่าละครเรื่อง <เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน> ทำเรื่องหลงหัวออกมาตรงตามแบบฉบับจริง (ดูรูปประกอบ) คือเป็นการสลับลายกลมที่เรียกว่า “ถวนโซ่ว” และลายอักษรที่เรียกว่า “ฉางโซ่ว” ซึ่งล้วนมีความหมายให้อายุยืน มาต่อกันที่ตำแหน่งอื่น ฮองเฮาสามารถปักลวดลายได้หลายชนิดจนเต็มแถบ ที่นิยมคือลายอักษร ‘โซ่ว’ ลายดอกโบตั๋น และลายเฟิ่งหวง ส่วนกุ้ยเฟยสามารถปักลวดลายได้หลายชนิดจนเต็มแถบเช่นกันเพียงแต่ห้ามปักลายอักษร สำหรับ ‘เฟย’ นั้น ให้ปักลายดอกไม้ดอกใหญ่ได้สี่ดอกเท่านั้น (ดูตัวอย่างในภาพ) และสำหรับพระสนมระดับต่างๆ ให้ใช้เป็นลายปักดอกไม้แต่จะเป็นดอกเล็กไม่เกินสามดอก อย่างเช่นตำแหน่ง ‘ฉางจ้าย’ มีลายดอกไม้ได้เพียงดอกเดียว ส่วนนางในที่ไม่ได้รับพระราชทานตำแหน่งและนางกำนัลไม่สามารถมีลายปักได้เลยและแบ่งยศด้วยความยาวของชายผ้า ยิ่งสั้นยิ่งเป็นนางกำนัลระดับล่าง (แก้ไขเพิ่มเติม: ในภาพที่นำมาแสดงมีคำบรรยายผิด กราบขออภัย 1) สะกดหลงหัวผิด 2) ในภาพเรียก 'เฟย' เป็นพระสนมแต่มีเพื่อนเพจใจดีช่วยบอกมาว่าเฟยเป็นพระชายา ไม่ใช่พระสนมแล้ว) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลจาก: https://www.wenshigu.com/fyrw/hgrw/323315.html https://zhuanlan.zhihu.com/p/47119908 https://zhuanlan.zhihu.com/p/93071937 https://kknews.cc/zh-sg/entertainment/5bl34xk.html https://www.sohu.com/a/254800788_100148471 https://kknews.cc/fashion/9nbbz28.html #หลิ่งจิง #หลงหัว #เครื่องแต่งกายพระสนม #เครื่องแต่งกายราชวงศ์ชิง #ประวัติศาสตร์จีน #เจินหวน #หรูอี้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิ้มเย็นตาโฟ #ท่าข้ามพระราม2 #กรุงเทพ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านอาหาร #กิน #อร่อย #อาหาร #ก๋วยเตี๋ยว #noodles #food #foodie #thaifood #streetfood #eatery #delicious #thailand #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    คิ้มเย็นตาโฟ #ท่าข้ามพระราม2 #กรุงเทพ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ร้านอาหาร #กิน #อร่อย #อาหาร #ก๋วยเตี๋ยว #noodles #food #foodie #thaifood #streetfood #eatery #delicious #thailand #กินง่ายริมทาง #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • กองทัพว้าใต้ที่มีพื้นที่ติดกับภาคเหนือของไทย นำทหารใหม่ 2,000 นาย เดินสวนสนามแสดงแสนยานุภาพ ในวันเดียวกับที่ทักษิณ ชินวัตร ประกาศกร้าว ขู่จะจัดการว้าแดงด้วยตัวเอง

    วานนี้ (30 พ.ค.) เพจ Wa News Land ที่เป็นกระบอกเสียงของกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา ได้เผยแพร่ภาพพิธีสวนสนามและปฏิญานตนของทหารใหม่ สังกัดเขตทหาร 171 หรือกองทัพว้าใต้ ซึ่งเพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไปพูดในงานปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ"ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน" ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)

    โดยเนื้อหาในการปาฐกถาวันนั้น นายทักษิณได้กล่าวว่าพื้นที่ของกองทัพว้าในรัฐฉาน ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดหลักที่ส่งเข้ามาขายในประเทศไทย พร้อมขู่ว่าจะเข้าไปจัดการกับกองทัพว้าด้วยตนเอง เพราะถือว่าเป็นศัตรู

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000051097

    #MGROnline #กองทัพว้าใต้

    กองทัพว้าใต้ที่มีพื้นที่ติดกับภาคเหนือของไทย นำทหารใหม่ 2,000 นาย เดินสวนสนามแสดงแสนยานุภาพ ในวันเดียวกับที่ทักษิณ ชินวัตร ประกาศกร้าว ขู่จะจัดการว้าแดงด้วยตัวเอง • วานนี้ (30 พ.ค.) เพจ Wa News Land ที่เป็นกระบอกเสียงของกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา ได้เผยแพร่ภาพพิธีสวนสนามและปฏิญานตนของทหารใหม่ สังกัดเขตทหาร 171 หรือกองทัพว้าใต้ ซึ่งเพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไปพูดในงานปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ"ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน" ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) • โดยเนื้อหาในการปาฐกถาวันนั้น นายทักษิณได้กล่าวว่าพื้นที่ของกองทัพว้าในรัฐฉาน ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดหลักที่ส่งเข้ามาขายในประเทศไทย พร้อมขู่ว่าจะเข้าไปจัดการกับกองทัพว้าด้วยตนเอง เพราะถือว่าเป็นศัตรู • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000051097 • #MGROnline #กองทัพว้าใต้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔍 Western Digital เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027
    Western Digital หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลก ได้ประกาศแผนเปิดตัว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในปี 2027 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ให้สูงขึ้น

    🔬 เทคโนโลยี HAMR และการพัฒนา
    HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ก่อนที่จะเปิดตัว HAMR อย่างเต็มรูปแบบ Western Digital จะยังคงพัฒนา ePMR 2 (energy-assisted Perpendicular Magnetic Recording) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมที่หัวเขียน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Western Digital จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027
    - HAMR ใช้ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้แม่นยำขึ้น
    - ก่อนเปิดตัว HAMR บริษัทจะยังคงพัฒนา ePMR 2 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล
    - ฮาร์ดไดรฟ์ HAMR รุ่นแรกจะมีความจุ 36TB และ 40TB
    - Western Digital ตั้งเป้าผลิตฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเปิดตัว
    - Seagate กำลังนำหน้า Western Digital ในการพัฒนา HAMR และเริ่มทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว
    - SMR (Shingled Magnetic Recording) อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับ CMR (Conventional Magnetic Recording)
    - ต้องติดตามว่า Western Digital จะสามารถแข่งขันกับ Seagate ได้หรือไม่ในตลาดฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล
    การเปิดตัว HAMR ของ Western Digital อาจช่วยให้ตลาดฮาร์ดไดรฟ์สามารถแข่งขันกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้น ได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม

    https://www.techspot.com/news/108125-western-digital-plans-hamr-hard-disk-drives-materialize.html
    🔍 Western Digital เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027 Western Digital หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลก ได้ประกาศแผนเปิดตัว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในปี 2027 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ให้สูงขึ้น 🔬 เทคโนโลยี HAMR และการพัฒนา HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะเปิดตัว HAMR อย่างเต็มรูปแบบ Western Digital จะยังคงพัฒนา ePMR 2 (energy-assisted Perpendicular Magnetic Recording) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมที่หัวเขียน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Western Digital จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027 - HAMR ใช้ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้แม่นยำขึ้น - ก่อนเปิดตัว HAMR บริษัทจะยังคงพัฒนา ePMR 2 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล - ฮาร์ดไดรฟ์ HAMR รุ่นแรกจะมีความจุ 36TB และ 40TB - Western Digital ตั้งเป้าผลิตฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเปิดตัว - Seagate กำลังนำหน้า Western Digital ในการพัฒนา HAMR และเริ่มทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว - SMR (Shingled Magnetic Recording) อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับ CMR (Conventional Magnetic Recording) - ต้องติดตามว่า Western Digital จะสามารถแข่งขันกับ Seagate ได้หรือไม่ในตลาดฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล การเปิดตัว HAMR ของ Western Digital อาจช่วยให้ตลาดฮาร์ดไดรฟ์สามารถแข่งขันกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้น ได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม https://www.techspot.com/news/108125-western-digital-plans-hamr-hard-disk-drives-materialize.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Western Digital's plans for HAMR hard disk drives will materialize in 2027
    At the recent Computex trade show in Taipei, Western Digital confirmed that its first hard drives based on Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) technology are scheduled to debut...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 นักวิทยาศาสตร์ AI ที่ตั้งคำถามต่ออนาคตของ Generative AI
    Gary Marcus นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ Generative AI โดยเขาเชื่อว่า เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อบกพร่องมากเกินไป และอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างที่ Silicon Valley คาดหวัง

    Marcus เคยเป็นหนึ่งในผู้ที่เรียกร้องให้มีการกำกับดูแล AI ร่วมกับ Sam Altman CEO ของ OpenAI ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม Altman ได้เปลี่ยนท่าทีและหันไปหานักลงทุนจาก SoftBank และตะวันออกกลาง เพื่อผลักดัน ChatGPT ให้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามหาศาล

    Marcus เชื่อว่า Large Language Models (LLMs) มีข้อจำกัดที่แก้ไขไม่ได้ และอาจไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถระดับมนุษย์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Gary Marcus ยังคงตั้งคำถามต่อ Generative AI และเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ยังมีข้อบกพร่องมากเกินไป
    - Sam Altman เปลี่ยนท่าทีจากการเรียกร้องให้กำกับดูแล AI ไปสู่การหานักลงทุนรายใหม่
    - LLMs อาจไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถระดับมนุษย์
    - Marcus สนับสนุนแนวทาง Neurosymbolic AI ซึ่งเน้นการสร้างตรรกะของมนุษย์ขึ้นมาใหม่แทนการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่
    - เขาเชื่อว่า Generative AI จะมีบทบาทในงานที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การช่วยเขียนโค้ดและการระดมไอเดีย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - LLMs มีปัญหาเรื่อง "hallucination" หรือการสร้างข้อมูลผิดพลาด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานในระดับองค์กร
    - นักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถที่แท้จริงของ Generative AI
    - บริษัท AI อาจหันไปใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อสร้างรายได้แทน หากเทคโนโลยีไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่คาดหวัง
    - ต้องจับตาดูว่า Neurosymbolic AI จะสามารถแข่งขันกับ Generative AI ได้หรือไม่

    Generative AI กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับ ความแม่นยำและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงโลก แม้ว่าจะมีการลงทุนมหาศาล แต่ข้อบกพร่องของเทคโนโลยีอาจทำให้ต้องมีการปรับแนวทางใหม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/generative-ai039s-most-prominent-sceptic-doubles-down
    🤖 นักวิทยาศาสตร์ AI ที่ตั้งคำถามต่ออนาคตของ Generative AI Gary Marcus นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชื่อดัง ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ Generative AI โดยเขาเชื่อว่า เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อบกพร่องมากเกินไป และอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างที่ Silicon Valley คาดหวัง Marcus เคยเป็นหนึ่งในผู้ที่เรียกร้องให้มีการกำกับดูแล AI ร่วมกับ Sam Altman CEO ของ OpenAI ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม Altman ได้เปลี่ยนท่าทีและหันไปหานักลงทุนจาก SoftBank และตะวันออกกลาง เพื่อผลักดัน ChatGPT ให้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามหาศาล Marcus เชื่อว่า Large Language Models (LLMs) มีข้อจำกัดที่แก้ไขไม่ได้ และอาจไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Gary Marcus ยังคงตั้งคำถามต่อ Generative AI และเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ยังมีข้อบกพร่องมากเกินไป - Sam Altman เปลี่ยนท่าทีจากการเรียกร้องให้กำกับดูแล AI ไปสู่การหานักลงทุนรายใหม่ - LLMs อาจไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ - Marcus สนับสนุนแนวทาง Neurosymbolic AI ซึ่งเน้นการสร้างตรรกะของมนุษย์ขึ้นมาใหม่แทนการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ - เขาเชื่อว่า Generative AI จะมีบทบาทในงานที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การช่วยเขียนโค้ดและการระดมไอเดีย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - LLMs มีปัญหาเรื่อง "hallucination" หรือการสร้างข้อมูลผิดพลาด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานในระดับองค์กร - นักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถที่แท้จริงของ Generative AI - บริษัท AI อาจหันไปใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อสร้างรายได้แทน หากเทคโนโลยีไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่คาดหวัง - ต้องจับตาดูว่า Neurosymbolic AI จะสามารถแข่งขันกับ Generative AI ได้หรือไม่ Generative AI กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับ ความแม่นยำและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงโลก แม้ว่าจะมีการลงทุนมหาศาล แต่ข้อบกพร่องของเทคโนโลยีอาจทำให้ต้องมีการปรับแนวทางใหม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/generative-ai039s-most-prominent-sceptic-doubles-down
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Generative AI's most prominent sceptic doubles down
    Two and a half years since ChatGPT rocked the world, scientist and writer Gary Marcus still remains generative artificial intelligence's great sceptic, playing a counter-narrative to Silicon Valley's AI true believers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Worse” vs. “Worst”: Get A Better Understanding Of The Difference

    The words worse and worst are extremely useful. They are the main and often best way we can indicate that something is, well, more bad or most bad. But because they look and sound so similar, it can be easy to mix them up, especially in certain expressions.

    In this article, we’ll break down the difference between worse and worst, explain how they relate to comparative and superlative adjectives (and what those are), and clear up confusion around which word is the correct one to use in some common expressions.

    Quick summary

    Worse and worst are both forms of the word bad. Worse is what’s called the comparative form, basically meaning “more bad.” Worst is the superlative form, basically meaning “most bad.” Worse is used when making a comparison to only one other thing: Your breath is bad, but mine is worse or The situation was bad and it just got worse. Worst is used in comparisons of more than two things: Yours is bad, mine is worse, but his is the worst or That was the worst meal I’ve ever eaten.

    worse vs. worst

    Worse and worst are different words, but both are forms of the adjective bad. Worse is the comparative form and worst is the superlative form.

    A comparative adjective is typically used to compare two things. For example, My brother is bad at basketball, but honestly I’m worse.

    A superlative adjective is used to compare more than two things (as in Out of the five exam I have today, this one is going to be the worst) or state that something is the most extreme out of every possible option (as in That was the worst idea I have ever heard).

    Worse and worst are just like the words better and best, which are the comparative and superlative forms of the word good.

    In most cases, the comparative form of an adjective is made by either adding -er to the end (faster, smarter, bigger, etc.) or adding the word more or less before it (more impressive, less powerful, etc.).

    To form superlatives, it’s most common to add -est to the end of the word (fastest, smartest, biggest, etc.) or add most or least before it (most impressive, least powerful, etc.).

    Worse and worst don’t follow these rules, but you can see a remnant of the superlative ending -est at the end of worst and best, which can help you remember that they are superlatives.

    Worse is used in the expression from bad to worse, which means that something started bad and has only deteriorated in quality or condition, as in My handwriting has gone from bad to worse since I graduated high school.

    Let’s look at some other common questions people have about expressions that use worse or worst.

    Is it worse case or worst case?

    The phrase worst case is used in the two idiomatic expressions: in the worst case and worst-case scenario. Both of these phrases refer to a situation that is as bad as possible compared to any other possible situation, which is why it uses the superlative form worst.

    For example:

    - In the worst case, the beams will collapse instantly.
    - This isn’t what we expect to happen—it’s just the worst-case scenario.

    While it’s possible for the words worse and case to be paired together in a sentence (as in Jacob had a worse case of bronchitis than Melanie did), it’s not a set expression like worst case is.

    Is it if worse comes to worst or if worst comes to worst?

    There are actually two very similar versions of the expression that means “if the worst possible outcome happens”: if worse comes to worst or if worst comes to worst. However, if worst comes to worst is much more commonly used (even though it arguably makes less sense).

    Whatever form is used, the expression is usually accompanied by a proposed solution to the problem. For example:

    - If worse comes to worst and every door is locked, we’ll get in by opening a window.
    - I’m going to try to make it to the store before the storm starts, but if worst comes to worst, I’ll at least have my umbrella with me.

    Examples of worse and worst used in a sentence

    Let’s wrap things up by looking at some of the many different ways we can use worse and worst in a sentence.

    - I think the pink paint looks worse on the wall than the red paint did.
    - Out of all of us, Tom had the worst case of poison ivy.
    - Debra Deer had a worse finishing time than Charlie Cheetah, but Sam Sloth had the worst time by far.
    - My grades went from bad to worse after I missed a few classes.
    - If worst comes to worst and we miss the bus, we’ll just hail a cab.
    - It’s possible that the losses could lead to bankruptcy, but the company is doing everything it can to avoid this worst-case scenario.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Worse” vs. “Worst”: Get A Better Understanding Of The Difference The words worse and worst are extremely useful. They are the main and often best way we can indicate that something is, well, more bad or most bad. But because they look and sound so similar, it can be easy to mix them up, especially in certain expressions. In this article, we’ll break down the difference between worse and worst, explain how they relate to comparative and superlative adjectives (and what those are), and clear up confusion around which word is the correct one to use in some common expressions. Quick summary Worse and worst are both forms of the word bad. Worse is what’s called the comparative form, basically meaning “more bad.” Worst is the superlative form, basically meaning “most bad.” Worse is used when making a comparison to only one other thing: Your breath is bad, but mine is worse or The situation was bad and it just got worse. Worst is used in comparisons of more than two things: Yours is bad, mine is worse, but his is the worst or That was the worst meal I’ve ever eaten. worse vs. worst Worse and worst are different words, but both are forms of the adjective bad. Worse is the comparative form and worst is the superlative form. A comparative adjective is typically used to compare two things. For example, My brother is bad at basketball, but honestly I’m worse. A superlative adjective is used to compare more than two things (as in Out of the five exam I have today, this one is going to be the worst) or state that something is the most extreme out of every possible option (as in That was the worst idea I have ever heard). Worse and worst are just like the words better and best, which are the comparative and superlative forms of the word good. In most cases, the comparative form of an adjective is made by either adding -er to the end (faster, smarter, bigger, etc.) or adding the word more or less before it (more impressive, less powerful, etc.). To form superlatives, it’s most common to add -est to the end of the word (fastest, smartest, biggest, etc.) or add most or least before it (most impressive, least powerful, etc.). Worse and worst don’t follow these rules, but you can see a remnant of the superlative ending -est at the end of worst and best, which can help you remember that they are superlatives. Worse is used in the expression from bad to worse, which means that something started bad and has only deteriorated in quality or condition, as in My handwriting has gone from bad to worse since I graduated high school. Let’s look at some other common questions people have about expressions that use worse or worst. Is it worse case or worst case? The phrase worst case is used in the two idiomatic expressions: in the worst case and worst-case scenario. Both of these phrases refer to a situation that is as bad as possible compared to any other possible situation, which is why it uses the superlative form worst. For example: - In the worst case, the beams will collapse instantly. - This isn’t what we expect to happen—it’s just the worst-case scenario. While it’s possible for the words worse and case to be paired together in a sentence (as in Jacob had a worse case of bronchitis than Melanie did), it’s not a set expression like worst case is. Is it if worse comes to worst or if worst comes to worst? There are actually two very similar versions of the expression that means “if the worst possible outcome happens”: if worse comes to worst or if worst comes to worst. However, if worst comes to worst is much more commonly used (even though it arguably makes less sense). Whatever form is used, the expression is usually accompanied by a proposed solution to the problem. For example: - If worse comes to worst and every door is locked, we’ll get in by opening a window. - I’m going to try to make it to the store before the storm starts, but if worst comes to worst, I’ll at least have my umbrella with me. Examples of worse and worst used in a sentence Let’s wrap things up by looking at some of the many different ways we can use worse and worst in a sentence. - I think the pink paint looks worse on the wall than the red paint did. - Out of all of us, Tom had the worst case of poison ivy. - Debra Deer had a worse finishing time than Charlie Cheetah, but Sam Sloth had the worst time by far. - My grades went from bad to worse after I missed a few classes. - If worst comes to worst and we miss the bus, we’ll just hail a cab. - It’s possible that the losses could lead to bankruptcy, but the company is doing everything it can to avoid this worst-case scenario. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) แจง กรณีเพจปลอมปล่อยข่าวอ้างว่านิสิตติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยันเตรียมดำเนินคดีถึงที่สุด

    วันนี้ (30 พ.ค.) เพจ "Mahasarakham University Thailand" ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงกรณีเพจแอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัย เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริงรอบด้าน ดูแลนิสิตอย่างใกล้ชิด และดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด

    มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ขอชี้แจงกรณีเพจเฟซบุ๊ก “น้องใหม่ มมส 69” ซึ่งแอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัยและเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน โดยกล่าวอ้างว่านิสิตติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และมีการกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงในลักษณะที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000050826

    #MGROnline #มหาวิทยาลัยมหาสารคาม #มมส69
    มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) แจง กรณีเพจปลอมปล่อยข่าวอ้างว่านิสิตติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยันเตรียมดำเนินคดีถึงที่สุด • วันนี้ (30 พ.ค.) เพจ "Mahasarakham University Thailand" ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงกรณีเพจแอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัย เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริงรอบด้าน ดูแลนิสิตอย่างใกล้ชิด และดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด • มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ขอชี้แจงกรณีเพจเฟซบุ๊ก “น้องใหม่ มมส 69” ซึ่งแอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัยและเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน โดยกล่าวอ้างว่านิสิตติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และมีการกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงในลักษณะที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000050826 • #MGROnline #มหาวิทยาลัยมหาสารคาม #มมส69
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรน ZALA Lancet ของรัสเซีย กำลังโจมตีเป้าหมายซึ่งเป็นฐานทัพของยูเครน

    วิดีโอนี้ถ่ายจากเจ้าหน้าที่ยูเครนซึ่งกำลังพยายามยิงโดรนเพื่อหยุดการโจมตีแต่ไม่สำเร็จ
    โดรน ZALA Lancet ของรัสเซีย กำลังโจมตีเป้าหมายซึ่งเป็นฐานทัพของยูเครน วิดีโอนี้ถ่ายจากเจ้าหน้าที่ยูเครนซึ่งกำลังพยายามยิงโดรนเพื่อหยุดการโจมตีแต่ไม่สำเร็จ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛡️ McAfee เพิ่มฟีเจอร์ Scam Detector ในแผนป้องกันไวรัส
    McAfee ได้รวม Scam Detector ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันการหลอกลวงเข้าไปในแผนป้องกันไวรัสทั้งหมด โดยฟีเจอร์นี้สามารถตรวจจับ ข้อความ, อีเมล และวิดีโอที่เป็นภัย ได้แบบเรียลไทม์

    Scam Detector อ้างว่ามี ความแม่นยำ 99% ในการตรวจจับภัยคุกคามจากข้อความ และสามารถตรวจจับ deepfake บน YouTube และ TikTok ได้ 96%

    อย่างไรก็ตาม McAfee Scam Detector ต้องสมัครสมาชิก เพื่อใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากเครื่องมือฟรี เช่น Bitdefender Scamio ที่สามารถตรวจสอบลิงก์, ข้อความ และ QR codes ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

    Google ก็มีระบบตรวจจับการหลอกลวงด้วย AI แต่ยังอยู่ใน เวอร์ชันเบต้าสำหรับ Pixel phones เท่านั้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - McAfee รวม Scam Detector เข้าไปในแผนป้องกันไวรัสทั้งหมด
    - สามารถตรวจจับข้อความ, อีเมล และวิดีโอที่เป็นภัยได้แบบเรียลไทม์
    - มีความแม่นยำ 99% ในการตรวจจับภัยคุกคามจากข้อความ
    - สามารถตรวจจับ deepfake บน YouTube และ TikTok ได้ 96%
    - รองรับ WhatsApp, Messenger, Gmail และ Android SMS

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องสมัครสมาชิก McAfee เพื่อใช้งาน Scam Detector
    - Bitdefender Scamio เป็นเครื่องมือฟรีที่สามารถตรวจสอบลิงก์และข้อความได้
    - Google มีระบบตรวจจับการหลอกลวงด้วย AI แต่ยังอยู่ในเวอร์ชันเบต้าสำหรับ Pixel phones
    - Norton Genie Scam Protection ก็ต้องสมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเต็มรูปแบบ

    🔎 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์
    McAfee Scam Detector อาจช่วยให้ผู้ใช้มีเครื่องมือป้องกันภัยคุกคามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การที่ต้องสมัครสมาชิกอาจทำให้ผู้ใช้เลือกใช้ เครื่องมือฟรีที่มีฟีเจอร์ใกล้เคียงกัน แทน

    https://www.techradar.com/pro/mcafee-is-now-bundling-its-scam-detector-with-all-its-antivirus-plans-here-are-others-that-are-actually-totally-free
    🛡️ McAfee เพิ่มฟีเจอร์ Scam Detector ในแผนป้องกันไวรัส McAfee ได้รวม Scam Detector ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันการหลอกลวงเข้าไปในแผนป้องกันไวรัสทั้งหมด โดยฟีเจอร์นี้สามารถตรวจจับ ข้อความ, อีเมล และวิดีโอที่เป็นภัย ได้แบบเรียลไทม์ Scam Detector อ้างว่ามี ความแม่นยำ 99% ในการตรวจจับภัยคุกคามจากข้อความ และสามารถตรวจจับ deepfake บน YouTube และ TikTok ได้ 96% อย่างไรก็ตาม McAfee Scam Detector ต้องสมัครสมาชิก เพื่อใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากเครื่องมือฟรี เช่น Bitdefender Scamio ที่สามารถตรวจสอบลิงก์, ข้อความ และ QR codes ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย Google ก็มีระบบตรวจจับการหลอกลวงด้วย AI แต่ยังอยู่ใน เวอร์ชันเบต้าสำหรับ Pixel phones เท่านั้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - McAfee รวม Scam Detector เข้าไปในแผนป้องกันไวรัสทั้งหมด - สามารถตรวจจับข้อความ, อีเมล และวิดีโอที่เป็นภัยได้แบบเรียลไทม์ - มีความแม่นยำ 99% ในการตรวจจับภัยคุกคามจากข้อความ - สามารถตรวจจับ deepfake บน YouTube และ TikTok ได้ 96% - รองรับ WhatsApp, Messenger, Gmail และ Android SMS ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องสมัครสมาชิก McAfee เพื่อใช้งาน Scam Detector - Bitdefender Scamio เป็นเครื่องมือฟรีที่สามารถตรวจสอบลิงก์และข้อความได้ - Google มีระบบตรวจจับการหลอกลวงด้วย AI แต่ยังอยู่ในเวอร์ชันเบต้าสำหรับ Pixel phones - Norton Genie Scam Protection ก็ต้องสมัครสมาชิกเพื่อใช้งานเต็มรูปแบบ 🔎 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์ McAfee Scam Detector อาจช่วยให้ผู้ใช้มีเครื่องมือป้องกันภัยคุกคามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การที่ต้องสมัครสมาชิกอาจทำให้ผู้ใช้เลือกใช้ เครื่องมือฟรีที่มีฟีเจอร์ใกล้เคียงกัน แทน https://www.techradar.com/pro/mcafee-is-now-bundling-its-scam-detector-with-all-its-antivirus-plans-here-are-others-that-are-actually-totally-free
    WWW.TECHRADAR.COM
    Don’t get scammed! McAfee’s new AI tool sounds great, but you will need to pay for it
    McAfee Scam Detector tool is price-locked - here are some other options
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔍 Jumpbox: อุปกรณ์ที่อาจมาแทน VPN สำหรับธุรกิจ
    บริษัท Remote.It ได้เปิดตัว Jumpbox ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องใช้ VPN โดย Jumpbox ถูกออกแบบมาให้เป็นโซลูชัน plug-and-play ที่ไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายเพิ่มเติม

    🕵️‍♂️ จุดเด่นของ Jumpbox
    Jumpbox ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ ควบคุมและตรวจสอบเครือข่ายหลายเครือข่ายพร้อมกัน โดยไม่ต้องพึ่งพา VPN ซึ่งมักมีข้อจำกัด เช่น ต้องมีการตั้งค่าที่ซับซ้อน และอาจมีจุดอ่อนด้านความปลอดภัย

    อุปกรณ์นี้มาพร้อมกับ 2 USB 2.0 ports, 2 USB 3.0 ports, 1 Gigabit Ethernet port, 1 HDMI และ 3.5mm audio jack รวมถึงรองรับ Wi-Fi 6, 5G, Bluetooth และ Starlink

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Jumpbox เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ VPN
    - Remote.It พัฒนา Jumpbox ร่วมกับ Embedded Works เพื่อให้เป็นโซลูชันที่ง่ายต่อการใช้งาน
    - Jumpbox มาพร้อมกับ Remote.It software และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์
    - อุปกรณ์นี้มีราคา $99.99 และมาพร้อมกับ Remote.It Business Plan เป็นเวลา 1 ปี
    - Jumpbox มีฟีเจอร์ Zero Trust เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - VPN ยังคงเป็นที่นิยมในตลาด และ Jumpbox อาจไม่สามารถแทนที่ VPN ได้ทั้งหมด
    - Jumpbox ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโซลูชัน Zero Trust Network Access (ZTNA) อย่างเป็นทางการ
    - ต้องรอดูว่าธุรกิจจะยอมรับ Jumpbox แทน VPN หรือไม่
    - การใช้เครือข่ายเซลลูลาร์อาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าใช้จ่าย

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครือข่าย
    Jumpbox อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจที่ต้องการ ลดความยุ่งยากในการตั้งค่า VPN และเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงเครือข่าย อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าตลาดจะตอบรับเทคโนโลยีนี้อย่างไร และว่ามันจะสามารถแทนที่ VPN ได้จริงหรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/vpns-are-fragile-and-limited-startup-wants-to-replace-business-virtual-private-networks-with-physical-plug-and-play-device
    🔍 Jumpbox: อุปกรณ์ที่อาจมาแทน VPN สำหรับธุรกิจ บริษัท Remote.It ได้เปิดตัว Jumpbox ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องใช้ VPN โดย Jumpbox ถูกออกแบบมาให้เป็นโซลูชัน plug-and-play ที่ไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายเพิ่มเติม 🕵️‍♂️ จุดเด่นของ Jumpbox Jumpbox ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ ควบคุมและตรวจสอบเครือข่ายหลายเครือข่ายพร้อมกัน โดยไม่ต้องพึ่งพา VPN ซึ่งมักมีข้อจำกัด เช่น ต้องมีการตั้งค่าที่ซับซ้อน และอาจมีจุดอ่อนด้านความปลอดภัย อุปกรณ์นี้มาพร้อมกับ 2 USB 2.0 ports, 2 USB 3.0 ports, 1 Gigabit Ethernet port, 1 HDMI และ 3.5mm audio jack รวมถึงรองรับ Wi-Fi 6, 5G, Bluetooth และ Starlink ✅ ข้อมูลจากข่าว - Jumpbox เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ VPN - Remote.It พัฒนา Jumpbox ร่วมกับ Embedded Works เพื่อให้เป็นโซลูชันที่ง่ายต่อการใช้งาน - Jumpbox มาพร้อมกับ Remote.It software และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ - อุปกรณ์นี้มีราคา $99.99 และมาพร้อมกับ Remote.It Business Plan เป็นเวลา 1 ปี - Jumpbox มีฟีเจอร์ Zero Trust เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - VPN ยังคงเป็นที่นิยมในตลาด และ Jumpbox อาจไม่สามารถแทนที่ VPN ได้ทั้งหมด - Jumpbox ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโซลูชัน Zero Trust Network Access (ZTNA) อย่างเป็นทางการ - ต้องรอดูว่าธุรกิจจะยอมรับ Jumpbox แทน VPN หรือไม่ - การใช้เครือข่ายเซลลูลาร์อาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าใช้จ่าย 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครือข่าย Jumpbox อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจที่ต้องการ ลดความยุ่งยากในการตั้งค่า VPN และเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงเครือข่าย อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าตลาดจะตอบรับเทคโนโลยีนี้อย่างไร และว่ามันจะสามารถแทนที่ VPN ได้จริงหรือไม่ https://www.techradar.com/pro/vpns-are-fragile-and-limited-startup-wants-to-replace-business-virtual-private-networks-with-physical-plug-and-play-device
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่ามีการโจมตี Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด โดยแฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้าง botnet สำหรับขุดเหรียญ Dero cryptocurrency

    Docker เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรันแอปพลิเคชันใน containers ซึ่งช่วยให้การจัดการซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากตั้งค่า API ผิดพลาด อาจทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงและควบคุมระบบได้

    Dero เป็น privacy-focused blockchain ที่คล้ายกับ Monero โดยเน้นการทำธุรกรรมที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในหมู่แฮกเกอร์ที่ต้องการขุดเหรียญโดยไม่ถูกตรวจสอบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด ถูกใช้เป็น botnet ขุดเหรียญ Dero
    - แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต
    - มัลแวร์ที่ใช้มีสองส่วน ได้แก่ ตัวแพร่กระจาย (nginx) และ ตัวขุดเหรียญ
    - มัลแวร์ถูกเขียนด้วย Golang ทำให้ตรวจจับได้ยาก
    - แคมเปญนี้ไม่ใช้ command & control (C2) server แต่แพร่กระจายแบบ worm

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ Docker ควรตรวจสอบการตั้งค่า API และปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต
    - ควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง และเปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายขั้นตอน
    - ควรทำการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยง
    - แฮกเกอร์อาจใช้เทคนิคใหม่ในการโจมตี ดังนั้นผู้ดูแลระบบควรติดตามข่าวสารด้านความปลอดภัย

    การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตั้งค่าความปลอดภัยใน Docker instances และการป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยแฮกเกอร์

    https://www.techradar.com/pro/security/misconfigured-docker-instances-are-being-hacked-to-mine-cryptocurrency
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่ามีการโจมตี Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด โดยแฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้าง botnet สำหรับขุดเหรียญ Dero cryptocurrency Docker เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรันแอปพลิเคชันใน containers ซึ่งช่วยให้การจัดการซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากตั้งค่า API ผิดพลาด อาจทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงและควบคุมระบบได้ Dero เป็น privacy-focused blockchain ที่คล้ายกับ Monero โดยเน้นการทำธุรกรรมที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในหมู่แฮกเกอร์ที่ต้องการขุดเหรียญโดยไม่ถูกตรวจสอบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Docker instances ที่ตั้งค่าผิดพลาด ถูกใช้เป็น botnet ขุดเหรียญ Dero - แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของ Docker API ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต - มัลแวร์ที่ใช้มีสองส่วน ได้แก่ ตัวแพร่กระจาย (nginx) และ ตัวขุดเหรียญ - มัลแวร์ถูกเขียนด้วย Golang ทำให้ตรวจจับได้ยาก - แคมเปญนี้ไม่ใช้ command & control (C2) server แต่แพร่กระจายแบบ worm ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ Docker ควรตรวจสอบการตั้งค่า API และปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต - ควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง และเปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายขั้นตอน - ควรทำการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยง - แฮกเกอร์อาจใช้เทคนิคใหม่ในการโจมตี ดังนั้นผู้ดูแลระบบควรติดตามข่าวสารด้านความปลอดภัย การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตั้งค่าความปลอดภัยใน Docker instances และการป้องกันช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยแฮกเกอร์ https://www.techradar.com/pro/security/misconfigured-docker-instances-are-being-hacked-to-mine-cryptocurrency
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Aroundtown ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของเยอรมนี กำลังวางแผนเปลี่ยนอาคารสำนักงานเป็นศูนย์ข้อมูล (Data Centers) เนื่องจากความต้องการศูนย์ข้อมูลในยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้น แผนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากบริษัทสามารถเพิ่มกำไรไตรมาสแรกได้ถึงสามเท่า และกำลังพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาพื้นที่ว่างที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ยุคหลังโควิด

    ความต้องการศูนย์ข้อมูลในยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจ Cloud Computing และ AI ที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ตลาดศูนย์ข้อมูลกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน เนื่องจากการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ Aroundtown ต้องเจรจาเพื่อขออนุมัติจากผู้ให้บริการพลังงาน

    🔍 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Aroundtown มีปัญหาอัตราห้องว่างสูงในพื้นที่สำนักงานหลัง COVID-19
    - บริษัทกำลัง เริ่มกระบวนการขอใบอนุญาต เพื่อเปลี่ยนออฟฟิศให้เป็นศูนย์ข้อมูล
    - มีการ เปลี่ยนบางสำนักงานเป็นอพาร์ตเมนต์บริการ ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการปี 2026
    - กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจ Cloud Computing และ Autonomous Driving
    - ได้รับใบอนุญาตแรก ในแฟรงก์เฟิร์ต แต่ยังรอการอนุมัติด้านพลังงาน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนสำนักงานเป็นศูนย์ข้อมูลต้องใช้ระยะเวลา หลายปี กว่าจะได้รับอนุมัติครบ
    - ข้อจำกัดด้านพลังงานในเยอรมนีอาจเป็นอุปสรรคต่อโครงการของ Aroundtown
    - ลูกค้าในตลาดศูนย์ข้อมูลมี ความต้องการเฉพาะทางสูง หากไม่ตรงกับความต้องการ บริษัทอาจเสี่ยงต่อการไม่มีผู้เช่า
    - บริษัทอาจเลือก ขายทรัพย์สินแทนการลงทุน หากพบว่าโครงการไม่คุ้มค่า

    Aroundtown กำลังเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีความท้าทายสูง แต่หากสามารถปรับโครงสร้างธุรกิจได้อย่างเหมาะสม ก็อาจสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การแข่งขันและข้อจำกัดทางเทคนิคยังเป็นอุปสรรคที่ต้องจับตาดู

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/29/german-landlord-aroundtown-looks-to-convert-offices-into-data-centres
    บริษัท Aroundtown ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของเยอรมนี กำลังวางแผนเปลี่ยนอาคารสำนักงานเป็นศูนย์ข้อมูล (Data Centers) เนื่องจากความต้องการศูนย์ข้อมูลในยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้น แผนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากบริษัทสามารถเพิ่มกำไรไตรมาสแรกได้ถึงสามเท่า และกำลังพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาพื้นที่ว่างที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ยุคหลังโควิด ความต้องการศูนย์ข้อมูลในยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจ Cloud Computing และ AI ที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ตลาดศูนย์ข้อมูลกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน เนื่องจากการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ Aroundtown ต้องเจรจาเพื่อขออนุมัติจากผู้ให้บริการพลังงาน 🔍 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Aroundtown มีปัญหาอัตราห้องว่างสูงในพื้นที่สำนักงานหลัง COVID-19 - บริษัทกำลัง เริ่มกระบวนการขอใบอนุญาต เพื่อเปลี่ยนออฟฟิศให้เป็นศูนย์ข้อมูล - มีการ เปลี่ยนบางสำนักงานเป็นอพาร์ตเมนต์บริการ ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการปี 2026 - กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจ Cloud Computing และ Autonomous Driving - ได้รับใบอนุญาตแรก ในแฟรงก์เฟิร์ต แต่ยังรอการอนุมัติด้านพลังงาน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนสำนักงานเป็นศูนย์ข้อมูลต้องใช้ระยะเวลา หลายปี กว่าจะได้รับอนุมัติครบ - ข้อจำกัดด้านพลังงานในเยอรมนีอาจเป็นอุปสรรคต่อโครงการของ Aroundtown - ลูกค้าในตลาดศูนย์ข้อมูลมี ความต้องการเฉพาะทางสูง หากไม่ตรงกับความต้องการ บริษัทอาจเสี่ยงต่อการไม่มีผู้เช่า - บริษัทอาจเลือก ขายทรัพย์สินแทนการลงทุน หากพบว่าโครงการไม่คุ้มค่า Aroundtown กำลังเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีความท้าทายสูง แต่หากสามารถปรับโครงสร้างธุรกิจได้อย่างเหมาะสม ก็อาจสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การแข่งขันและข้อจำกัดทางเทคนิคยังเป็นอุปสรรคที่ต้องจับตาดู https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/29/german-landlord-aroundtown-looks-to-convert-offices-into-data-centres
    WWW.THESTAR.COM.MY
    German landlord Aroundtown looks to convert offices into data centres
    (Reuters) -Aroundtown, one of the largest German-listed landlords, is planning to convert office spaces into data centres as demand for them grows in Europe, the group said on Wednesday after announcing it had tripled its first-quarter profit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เชี่ยวชาญเตือน! แผนของ EU ที่ต้องการลดความปลอดภัยของการเข้ารหัสอาจส่งผลกระทบร้ายแรง

    กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ออกจดหมายเปิดผนึกถึงคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเรียกร้องให้ ทบทวนแผน ProtectEU ที่ต้องการสร้างช่องโหว่ในระบบเข้ารหัส โดยพวกเขาเตือนว่า การลดความปลอดภัยของการเข้ารหัสจะทำให้บุคคลและองค์กรเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแผน ProtectEU
    ✅ ProtectEU เป็นแผนของ EU ที่ต้องการสร้างช่องทางให้หน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เข้ารหัสได้
    - มีเป้าหมายเพื่อ ช่วยให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถตรวจสอบการสื่อสารที่เป็นภัยคุกคาม

    ✅ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์และผู้ให้บริการ VPN คัดค้านแผนนี้
    - รวมถึง Proton, Surfshark, Tuta Mail, Mozilla และ Element

    ✅ การเข้ารหัสเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและความปลอดภัยทางไซเบอร์
    - ใช้ใน บริการเช่น Signal, WhatsApp และ Proton Mail

    ✅ แม้ว่า FBI และ CISA ในสหรัฐฯ จะสนับสนุนการใช้การเข้ารหัสเพื่อป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ แต่ EU กลับต้องการลดความปลอดภัยของมัน
    - ขัดแย้งกับ แนวทางที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้

    ✅ ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปเคยตัดสินว่าการทำลายการเข้ารหัสเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    - เป็นอุปสรรคสำคัญต่อ ความพยายามของ EU ในการผลักดันแผนนี้

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/experts-deeply-concerned-by-the-eu-plan-to-weaken-encryption
    ผู้เชี่ยวชาญเตือน! แผนของ EU ที่ต้องการลดความปลอดภัยของการเข้ารหัสอาจส่งผลกระทบร้ายแรง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ออกจดหมายเปิดผนึกถึงคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเรียกร้องให้ ทบทวนแผน ProtectEU ที่ต้องการสร้างช่องโหว่ในระบบเข้ารหัส โดยพวกเขาเตือนว่า การลดความปลอดภัยของการเข้ารหัสจะทำให้บุคคลและองค์กรเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแผน ProtectEU ✅ ProtectEU เป็นแผนของ EU ที่ต้องการสร้างช่องทางให้หน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เข้ารหัสได้ - มีเป้าหมายเพื่อ ช่วยให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถตรวจสอบการสื่อสารที่เป็นภัยคุกคาม ✅ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์และผู้ให้บริการ VPN คัดค้านแผนนี้ - รวมถึง Proton, Surfshark, Tuta Mail, Mozilla และ Element ✅ การเข้ารหัสเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและความปลอดภัยทางไซเบอร์ - ใช้ใน บริการเช่น Signal, WhatsApp และ Proton Mail ✅ แม้ว่า FBI และ CISA ในสหรัฐฯ จะสนับสนุนการใช้การเข้ารหัสเพื่อป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ แต่ EU กลับต้องการลดความปลอดภัยของมัน - ขัดแย้งกับ แนวทางที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ✅ ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปเคยตัดสินว่าการทำลายการเข้ารหัสเป็นสิ่งผิดกฎหมาย - เป็นอุปสรรคสำคัญต่อ ความพยายามของ EU ในการผลักดันแผนนี้ https://www.techradar.com/computing/cyber-security/experts-deeply-concerned-by-the-eu-plan-to-weaken-encryption
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัวลาลัมเปอร์ใกล้ฉัน บาติกแอร์บินตรงดอนเมือง-ซูบัง

    สนามบินเก่าเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ ซูบัง (SZB) ในเมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังจะมีเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เมื่อสายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ จากท่าอากาศยานซูบัง ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ (DMK) วันละ 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินที่ OD532 ออกจากซูบัง 09.25 น. ถึงดอนเมือง 10.40 น. เที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ OD533 ออกจากดอนเมือง 11.40 น. ถึงซูบัง 14.45 น. ค่าโดยสารราคาเริ่มต้นที่ 259 ริงกิต เริ่มให้บริการในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป

    จันทราน รามา มูร์ธี (Chandran Rama Muthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบาติกแอร์ กล่าวกับสื่อในมาเลเซียว่า การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวจะมอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง และเข้าถึงเครือข่ายเส้นทางบินที่กำลังเติบโต โดยจะเปลี่ยนท่าอากาศยานซูบังให้กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ทันสมัย ซึ่งเส้นทางบินกรุงเทพฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเปิดเส้นทางไปยังเมืองกูชิ่ง (KCH) ในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว ที่จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศมาเลเซียจากกูชิ่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บาติกแอร์ยังให้บริการจากท่าอากาศยานสุบัง ไปยังปีนัง โกตาบาห์รู และโกตากินาบาลูอีกด้วย

    ท่าอากาศยานซูบังจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) เชื่อว่าจะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่ออุตสาหกรรมการบินในมาเลเซีย และใกล้ชิดกับผู้โดยสารในพื้นที่แคลงวัลเลย์ (Klang Valley) มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต่างๆ อาทิ เปตาลิง จายา, ชาห์ อลาม และกัวลาลัมเปอร์ ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านแคลงวัลเลย์ สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับสนามบินใหญ่ที่อยู่ห่างไกล คาดว่าเส้นทางซูบัง-ดอนเมือง จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ ที่มีวัฒนธรรม อาหาร ช้อปปิ้ง และการผจญภัยอันมีชีวิตชีวา

    การเดินทางจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังท่าอากาศยานซูบัง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Kajang ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport รถออกทุก 40-60 นาที ส่วนรถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

    #Newskit
    กัวลาลัมเปอร์ใกล้ฉัน บาติกแอร์บินตรงดอนเมือง-ซูบัง สนามบินเก่าเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ ซูบัง (SZB) ในเมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังจะมีเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เมื่อสายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ จากท่าอากาศยานซูบัง ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ (DMK) วันละ 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินที่ OD532 ออกจากซูบัง 09.25 น. ถึงดอนเมือง 10.40 น. เที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ OD533 ออกจากดอนเมือง 11.40 น. ถึงซูบัง 14.45 น. ค่าโดยสารราคาเริ่มต้นที่ 259 ริงกิต เริ่มให้บริการในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จันทราน รามา มูร์ธี (Chandran Rama Muthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบาติกแอร์ กล่าวกับสื่อในมาเลเซียว่า การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวจะมอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง และเข้าถึงเครือข่ายเส้นทางบินที่กำลังเติบโต โดยจะเปลี่ยนท่าอากาศยานซูบังให้กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ทันสมัย ซึ่งเส้นทางบินกรุงเทพฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเปิดเส้นทางไปยังเมืองกูชิ่ง (KCH) ในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว ที่จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศมาเลเซียจากกูชิ่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บาติกแอร์ยังให้บริการจากท่าอากาศยานสุบัง ไปยังปีนัง โกตาบาห์รู และโกตากินาบาลูอีกด้วย ท่าอากาศยานซูบังจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) เชื่อว่าจะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่ออุตสาหกรรมการบินในมาเลเซีย และใกล้ชิดกับผู้โดยสารในพื้นที่แคลงวัลเลย์ (Klang Valley) มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต่างๆ อาทิ เปตาลิง จายา, ชาห์ อลาม และกัวลาลัมเปอร์ ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านแคลงวัลเลย์ สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับสนามบินใหญ่ที่อยู่ห่างไกล คาดว่าเส้นทางซูบัง-ดอนเมือง จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ ที่มีวัฒนธรรม อาหาร ช้อปปิ้ง และการผจญภัยอันมีชีวิตชีวา การเดินทางจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังท่าอากาศยานซูบัง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Kajang ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport รถออกทุก 40-60 นาที ส่วนรถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น.
    • Call: 065-081-0581
    🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้
    ...................................
    #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover
    📍ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 09:30-19:30 น. • Call: 065-081-0581 🚗 รถยนต์ส่วนตัวสามารถขึ้นมาได้ ................................... #AoLuekOceanViewKrabi #AoLuekOceanView #aoluek #krabi #view #food #cake #cafekrabi #sunset #อ่าวลึกโอเชี่ยนวิว #อ่าวลึก #โอเชี่ยนวิว #coffeetime #coffeeaddict #cafe #คาเฟ่ #panoramaview #ไทยแลนด์ #AmazingThailand #Thailand #VisitThailand #Travel #Vacation #Travelphotography #Traveladdict #อย่าปิดการมองเห็น #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #sunsetlover #skylover
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • พอเพียง คือ พอดี พอประมาณ และพอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ โดยไม่โลภอย่างมาก และไม่อยากได้ในสิ่งที่เกินตัว

    ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักในการตัดสินใจ เพื่อความสมดุลของชีวิต และความสุขที่ยั่งยืน

    เรียบเรียงถ้อยคำจาก หนังสือใต้เบื้องพระยุคลบาท ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล โดย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ

    #มูลนิธิปิดทองหลังพระ

    #ทุกวิกฤตผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย

    #เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง

    #สืบสานพระราชปณิธาน

    #ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

    #พอเพียงเพื่อยั่งยืน

    มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ

    Website: www.pidthong.org

    Twitter: twitter.com/pidthong

    Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_

    Threads: threads.net/@pidthonglangphra_

    YouTube: https://youtube.com/@pidthong

    Line: https://bit.ly/3sumjTn

    Tiktok: https://bit.ly/3ZkPmXv
    พอเพียง คือ พอดี พอประมาณ และพอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ โดยไม่โลภอย่างมาก และไม่อยากได้ในสิ่งที่เกินตัว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักในการตัดสินใจ เพื่อความสมดุลของชีวิต และความสุขที่ยั่งยืน เรียบเรียงถ้อยคำจาก หนังสือใต้เบื้องพระยุคลบาท ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล โดย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ #มูลนิธิปิดทองหลังพระ #ทุกวิกฤตผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย #เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง #สืบสานพระราชปณิธาน #ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน #พอเพียงเพื่อยั่งยืน มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ Website: www.pidthong.org Twitter: twitter.com/pidthong Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_ Threads: threads.net/@pidthonglangphra_ YouTube: https://youtube.com/@pidthong Line: https://bit.ly/3sumjTn Tiktok: https://bit.ly/3ZkPmXv
    YOUTUBE.COM
    Pidthong
    มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ทำหน้าที่จัดการองค์ความรู้และส่งเสริมการพัฒนาตามแนวพระราชดําริอย่างเป็นระบบในวงกว้าง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักของประเทศ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง

    ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล

    ChatGPT in the ASEAN Market

    Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent.

    In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users.

    Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics.

    To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups.

    Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment.

    Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล ChatGPT in the ASEAN Market Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent. In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users. Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics. To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups. Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment. Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ChatGPT ในตลาดอาเซียน

    เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม ChatGPT ซึ่งเป็นผู้ช่วยโต้ตอบที่สามารถเข้าใจและตอบสนองภาษามนุษย์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในด้านการวางแผน แก้ปัญหา และให้คำแนะนำในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 800 ล้านคน โดยมีผู้ใช้งานประจำวันราว 122 ล้านคน ท่ามกลางการแข่งขันกับแพลตฟอร์มจากค่ายเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Google, Microsoft, Meta ตลอดจนคู่แข่งจากฝั่งเอเชีย เช่น DeepSeek, Baidu, Alibaba และ Tencent

    สำหรับประเทศไทย แม้กลุ่มผู้ใช้งานหลักจะอยู่ในสายโค้ดดิ้ง โปรแกรมมิ่ง หรือการสร้างภาพ AI แต่ ChatGPT ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้านการใช้สร้างสรรค์เนื้อหาและแนวคิดใหม่ๆ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานประมาณ 14% จากประชากร 65.89 ล้านคน

    หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอาเซียน ซึ่งมีประชากรรวมราว 600 ล้านคน พบว่า อินโดนีเซียมีสัดส่วนผู้ใช้งานสูงที่สุด ประมาณ 32% ของประชากร 283.48 ล้านคน รองลงมาคือฟิลิปปินส์ ที่มีผู้ใช้งานประมาณ 28% จากประชากรราว 119 ล้านคน ส่วนสิงคโปร์มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในกลุ่มที่มีรายได้สูงและการศึกษาดี ขณะที่มาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้สนใจเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของภูมิภาคนี้ยังอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ที่รองรับ AI และต้นทุนบริการที่ยังถือว่าสูงสำหรับประชากรบางส่วน

    ที่ผ่านมา OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทด้าน AI จากสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัวโครงการ “OpenAI for Countries” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการเข้าถึง ChatGPT ในระดับประเทศ ขณะที่สิงคโปร์ OpenAI ได้ประกาศความร่วมมือกับโครงการ AI Singapore ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างรัฐบาลและสถาบันการศึกษา เพื่อส่งเสริมการนำ AI มาใช้ในประเทศ ส่วนประเทศอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และผ่านเว็บไซต์

    โดยรวมแล้ว ตลาดอาเซียนกำลังตื่นตัวต่อบริการ AI มากขึ้น แม้ยังไม่เทียบเท่าตลาดยุโรปหรือสหรัฐฯ ความร่วมมือระหว่าง OpenAI กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในภูมิภาค จึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายการเข้าถึง ChatGPT ให้ครอบคลุมประชากรในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

    #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI กำลังช่วยให้ต้นไม้ "พูด" ได้ผ่านแอปพลิเคชันอัจฉริยะ

    เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์โต้ตอบกับพืช โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถ ระบุสายพันธุ์พืชจากภาพถ่ายและให้คำแนะนำในการดูแล อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำของ AI ในการจำแนกพืชยังมีข้อจำกัด และ ไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์จริงของนักปลูกต้นไม้ได้

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแอป AI สำหรับพืช
    ✅ แอป AI ใช้ Computer Vision และ Image Processing เพื่อระบุสายพันธุ์พืช
    - ใช้ Convolutional Neural Network (CNN) เพื่อวิเคราะห์รูปภาพและตรวจจับลักษณะเฉพาะของพืช

    ✅ ช่วยให้ผู้เริ่มต้นสามารถดูแลต้นไม้ได้ง่ายขึ้น
    - แอปสามารถ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน, การรดน้ำ และการดูแลพืชเบื้องต้น

    ✅ แอปยอดนิยม เช่น PictureThis, PlantNet และ Seek By iNaturalist มีฐานข้อมูลพืชขนาดใหญ่
    - สามารถ ช่วยระบุพืชและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแล

    ✅ บางแอปสามารถตรวจจับปัญหาสุขภาพของพืช เช่น ขาดสารอาหารหรือโรคพืช
    - เช่น Plantora ที่สามารถวิเคราะห์อาการของพืชและแนะนำวิธีแก้ไข

    ✅ AI สามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจพฤติกรรมของพืชได้ดีขึ้น
    - เช่น การเปลี่ยนสีใบไม้สามารถบ่งบอกถึงความต้องการแสงแดดหรือปริมาณน้ำที่เหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/26/leaf-it-to-tech-are-ai-powered-apps-giving-plants-a-voice
    AI กำลังช่วยให้ต้นไม้ "พูด" ได้ผ่านแอปพลิเคชันอัจฉริยะ เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์โต้ตอบกับพืช โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถ ระบุสายพันธุ์พืชจากภาพถ่ายและให้คำแนะนำในการดูแล อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำของ AI ในการจำแนกพืชยังมีข้อจำกัด และ ไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์จริงของนักปลูกต้นไม้ได้ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแอป AI สำหรับพืช ✅ แอป AI ใช้ Computer Vision และ Image Processing เพื่อระบุสายพันธุ์พืช - ใช้ Convolutional Neural Network (CNN) เพื่อวิเคราะห์รูปภาพและตรวจจับลักษณะเฉพาะของพืช ✅ ช่วยให้ผู้เริ่มต้นสามารถดูแลต้นไม้ได้ง่ายขึ้น - แอปสามารถ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน, การรดน้ำ และการดูแลพืชเบื้องต้น ✅ แอปยอดนิยม เช่น PictureThis, PlantNet และ Seek By iNaturalist มีฐานข้อมูลพืชขนาดใหญ่ - สามารถ ช่วยระบุพืชและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแล ✅ บางแอปสามารถตรวจจับปัญหาสุขภาพของพืช เช่น ขาดสารอาหารหรือโรคพืช - เช่น Plantora ที่สามารถวิเคราะห์อาการของพืชและแนะนำวิธีแก้ไข ✅ AI สามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจพฤติกรรมของพืชได้ดีขึ้น - เช่น การเปลี่ยนสีใบไม้สามารถบ่งบอกถึงความต้องการแสงแดดหรือปริมาณน้ำที่เหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/26/leaf-it-to-tech-are-ai-powered-apps-giving-plants-a-voice
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Leaf it to tech: Are AI-powered apps giving plants a voice?
    From smart sensors to AI apps, technology is giving green thumbs deeper insight into what their plants need to thrive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • NASA ใช้ต้นไม้เป็นตัวชี้วัดการปะทุของภูเขาไฟ

    นักวิทยาศาสตร์พบว่า ต้นไม้ใกล้ภูเขาไฟเปลี่ยนสีเมื่อภูเขาไฟเริ่มมีความเคลื่อนไหว โดย NASA และ Smithsonian Institution กำลังร่วมมือกันเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงนี้จากอวกาศ

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ต้นไม้เป็นตัวชี้วัดภูเขาไฟ
    ✅ ก่อนเกิดการปะทุ แมกมาที่เคลื่อนตัวใต้ดินจะปล่อยก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์
    - ต้นไม้ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ใบเขียวขึ้นและหนาขึ้น

    ✅ นักวิทยาศาสตร์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมจาก Landsat 8 เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้
    - รวมถึง ข้อมูลจากเครื่องมือบนอากาศยานในโครงการ AVUELO

    ✅ การติดตามต้นไม้ช่วยให้สามารถพยากรณ์การปะทุของภูเขาไฟได้ดีขึ้น
    - เป้าหมายคือ ทำให้ระบบเตือนภัยมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น

    ✅ ภูเขาไฟส่งผลกระทบต่อประชากรโลกกว่า 10%
    - ผู้ที่อาศัยใกล้ภูเขาไฟ เสี่ยงต่อหินร้อน, กลุ่มควันเถ้า และก๊าซพิษ

    ✅ การศึกษาต้นไม้ใกล้ภูเขาไฟช่วยให้สามารถตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของการปะทุได้ง่ายขึ้น
    - โดยเฉพาะ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของแมกมาที่เคลื่อนตัว

    ✅ นักวิจัยใช้ข้อมูลจาก Mount Etna ในอิตาลีและ Rincon de la Vieja ในคอสตาริกาเพื่อยืนยันผลการศึกษา
    - พบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างสีใบไม้กับระดับคาร์บอนไดออกไซด์

    https://www.neowin.net/news/nasa-explains-why-watching-trees-near-volcanoes-is-literally-the-best-thing-to-do/
    NASA ใช้ต้นไม้เป็นตัวชี้วัดการปะทุของภูเขาไฟ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ต้นไม้ใกล้ภูเขาไฟเปลี่ยนสีเมื่อภูเขาไฟเริ่มมีความเคลื่อนไหว โดย NASA และ Smithsonian Institution กำลังร่วมมือกันเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงนี้จากอวกาศ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ต้นไม้เป็นตัวชี้วัดภูเขาไฟ ✅ ก่อนเกิดการปะทุ แมกมาที่เคลื่อนตัวใต้ดินจะปล่อยก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ - ต้นไม้ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ใบเขียวขึ้นและหนาขึ้น ✅ นักวิทยาศาสตร์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมจาก Landsat 8 เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ - รวมถึง ข้อมูลจากเครื่องมือบนอากาศยานในโครงการ AVUELO ✅ การติดตามต้นไม้ช่วยให้สามารถพยากรณ์การปะทุของภูเขาไฟได้ดีขึ้น - เป้าหมายคือ ทำให้ระบบเตือนภัยมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ✅ ภูเขาไฟส่งผลกระทบต่อประชากรโลกกว่า 10% - ผู้ที่อาศัยใกล้ภูเขาไฟ เสี่ยงต่อหินร้อน, กลุ่มควันเถ้า และก๊าซพิษ ✅ การศึกษาต้นไม้ใกล้ภูเขาไฟช่วยให้สามารถตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของการปะทุได้ง่ายขึ้น - โดยเฉพาะ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของแมกมาที่เคลื่อนตัว ✅ นักวิจัยใช้ข้อมูลจาก Mount Etna ในอิตาลีและ Rincon de la Vieja ในคอสตาริกาเพื่อยืนยันผลการศึกษา - พบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างสีใบไม้กับระดับคาร์บอนไดออกไซด์ https://www.neowin.net/news/nasa-explains-why-watching-trees-near-volcanoes-is-literally-the-best-thing-to-do/
    WWW.NEOWIN.NET
    NASA explains why watching trees near volcanoes is literally the best thing to do
    If you live near a volcano then you may want to start watching trees more closely from now on. NASA has explained why that is.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts