• 🏭 การควบรวมกิจการของ Hygon และ Sugon: ความท้าทายใหม่ต่ออุตสาหกรรมชิป
    สองบริษัทออกแบบชิปชั้นนำของจีน Hygon และ Sugon ได้ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดจีน

    Hygon มีรากฐานจาก ข้อตกลงการอนุญาตเทคโนโลยี Zen 1 กับ AMD ในปี 2016 ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา Dhyana CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86-64 และได้รับการสนับสนุนจาก นักพัฒนา Linux และ Tencent

    Sugon เคยใช้ Dhyana processors ในระบบต่าง ๆ รวมถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัท อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Hygon และ Sugon ควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia
    - Hygon เคยได้รับสิทธิ์ใช้สถาปัตยกรรม Zen 1 จาก AMD ในปี 2016
    - Sugon ใช้ Dhyana processors ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500
    - ทั้งสองบริษัทอยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน
    - Hygon อาจพัฒนา SMT4 (Simultaneous Multithreading 4 threads per core) ซึ่งเคยใช้ใน IBM POWER7

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีการควบรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าชิปใหม่จะสามารถแข่งขันกับ AMD Threadripper หรือ Intel Xeon ได้
    - การอยู่ใน Entity List อาจทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา SMT4 จะสามารถทำให้ Hygon ก้าวเข้าสู่ตลาด CPU ระดับสูงได้หรือไม่
    - การควบรวมอาจช่วยให้จีนมีทางเลือกด้านเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา

    การควบรวมของ Hygon และ Sugon อาจช่วยให้ จีนมีความสามารถในการพัฒนา CPU ที่แข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จะสามารถลดช่องว่างกับ Intel และ AMD ได้หรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/two-of-chinas-biggest-chip-designers-just-merged-to-compete-better-against-intel-amd-and-nvidia
    🏭 การควบรวมกิจการของ Hygon และ Sugon: ความท้าทายใหม่ต่ออุตสาหกรรมชิป สองบริษัทออกแบบชิปชั้นนำของจีน Hygon และ Sugon ได้ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดจีน Hygon มีรากฐานจาก ข้อตกลงการอนุญาตเทคโนโลยี Zen 1 กับ AMD ในปี 2016 ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา Dhyana CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86-64 และได้รับการสนับสนุนจาก นักพัฒนา Linux และ Tencent Sugon เคยใช้ Dhyana processors ในระบบต่าง ๆ รวมถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัท อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Hygon และ Sugon ควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia - Hygon เคยได้รับสิทธิ์ใช้สถาปัตยกรรม Zen 1 จาก AMD ในปี 2016 - Sugon ใช้ Dhyana processors ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 - ทั้งสองบริษัทอยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน - Hygon อาจพัฒนา SMT4 (Simultaneous Multithreading 4 threads per core) ซึ่งเคยใช้ใน IBM POWER7 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีการควบรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าชิปใหม่จะสามารถแข่งขันกับ AMD Threadripper หรือ Intel Xeon ได้ - การอยู่ใน Entity List อาจทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา SMT4 จะสามารถทำให้ Hygon ก้าวเข้าสู่ตลาด CPU ระดับสูงได้หรือไม่ - การควบรวมอาจช่วยให้จีนมีทางเลือกด้านเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา การควบรวมของ Hygon และ Sugon อาจช่วยให้ จีนมีความสามารถในการพัฒนา CPU ที่แข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จะสามารถลดช่องว่างกับ Intel และ AMD ได้หรือไม่ https://www.techradar.com/pro/two-of-chinas-biggest-chip-designers-just-merged-to-compete-better-against-intel-amd-and-nvidia
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • 🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo

    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM
    - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
    - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่
    - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM
    - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027
    - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่
    - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM
    - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

    หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/news/live/chip-news
    🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027 - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร https://www.tomshardware.com/news/live/chip-news
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • 🚀 Qualcomm Snapdragon X2 Elite: ชิปใหม่ที่เพิ่มจำนวนคอร์ 50%
    Qualcomm กำลังพัฒนา Snapdragon X2 Elite ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Snapdragon X Elite โดยมีจำนวนคอร์เพิ่มขึ้น 50% และรองรับ RAM สูงสุด 64GB

    Snapdragon X2 Elite ใช้ สถาปัตยกรรม Oryon V3 และมี 18 คอร์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนที่มี 12 คอร์ โดยคาดว่า จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ Qualcomm กำลัง ทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น หม้อน้ำ 120mm AiO ซึ่งอาจบ่งบอกว่า Snapdragon X2 Elite อาจถูกนำไปใช้ในเดสก์ท็อปหรือเซิร์ฟเวอร์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Snapdragon X2 Elite มี 18 คอร์ เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน
    - ใช้สถาปัตยกรรม Oryon V3 และรองรับ RAM สูงสุด 64GB
    - Qualcomm กำลังทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง
    - อาจมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Snapdragon Summit 2025 เดือนกันยายน
    - Qualcomm อาจพยายามขยายตลาดไปยังเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Qualcomm เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิปนี้
    - ต้องติดตามว่าการเพิ่มจำนวนคอร์จะส่งผลต่อการใช้พลังงานและความร้อนอย่างไร
    - AMD และ Intel อาจตอบโต้ด้วยชิปที่มี AI/NPU-enhanced เพื่อแข่งขันในตลาด
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะนำ Snapdragon X2 Elite ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่

    Snapdragon X2 Elite อาจช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ AMD และ Intel ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Windows-on-Arm อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าชิปนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/qualcomm-snapdragon-x2-elite-variant-rumors-surface-new-chip-with-18-cores-and-64gb-ram-is-reportedly-already-in-testing
    🚀 Qualcomm Snapdragon X2 Elite: ชิปใหม่ที่เพิ่มจำนวนคอร์ 50% Qualcomm กำลังพัฒนา Snapdragon X2 Elite ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Snapdragon X Elite โดยมีจำนวนคอร์เพิ่มขึ้น 50% และรองรับ RAM สูงสุด 64GB Snapdragon X2 Elite ใช้ สถาปัตยกรรม Oryon V3 และมี 18 คอร์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนที่มี 12 คอร์ โดยคาดว่า จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ Qualcomm กำลัง ทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง เช่น หม้อน้ำ 120mm AiO ซึ่งอาจบ่งบอกว่า Snapdragon X2 Elite อาจถูกนำไปใช้ในเดสก์ท็อปหรือเซิร์ฟเวอร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Snapdragon X2 Elite มี 18 คอร์ เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน - ใช้สถาปัตยกรรม Oryon V3 และรองรับ RAM สูงสุด 64GB - Qualcomm กำลังทดสอบชิปนี้ในอุปกรณ์ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูง - อาจมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน Snapdragon Summit 2025 เดือนกันยายน - Qualcomm อาจพยายามขยายตลาดไปยังเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก Qualcomm เกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของชิปนี้ - ต้องติดตามว่าการเพิ่มจำนวนคอร์จะส่งผลต่อการใช้พลังงานและความร้อนอย่างไร - AMD และ Intel อาจตอบโต้ด้วยชิปที่มี AI/NPU-enhanced เพื่อแข่งขันในตลาด - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตอุปกรณ์จะนำ Snapdragon X2 Elite ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ Snapdragon X2 Elite อาจช่วยให้ Qualcomm แข่งขันกับ AMD และ Intel ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาด Windows-on-Arm อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าชิปนี้จะสามารถสร้างความแตกต่างได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/qualcomm-snapdragon-x2-elite-variant-rumors-surface-new-chip-with-18-cores-and-64gb-ram-is-reportedly-already-in-testing
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • 🏭 TSMC กับยุคใหม่ของเซมิคอนดักเตอร์: ราคาชิป 2nm พุ่งสูงถึง $30,000
    TSMC กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดย ชิป 2nm รุ่นล่าสุดมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อเวเฟอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm และอาจเป็นสัญญาณว่า Moore's Law กำลังถึงจุดสิ้นสุด

    TSMC ได้พัฒนา กระบวนการผลิต N2 ซึ่งใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อช่วยลด การรั่วไหลของพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของชิป

    แม้ว่า ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น แต่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm ยังคงวางแผนสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้

    นอกจากนี้ TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027 ตามลำดับ โดย N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10%

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC ตั้งราคาชิป 2nm ที่ $30,000 ต่อเวเฟอร์ เพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm
    - กระบวนการผลิต N2 ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อลดการรั่วไหลของพลังงาน
    - Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm เตรียมสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้
    - TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027
    - N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10%

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ราคาชิปที่สูงขึ้นอาจทำให้เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้
    - Moore's Law อาจถึงจุดสิ้นสุด เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่อทรานซิสเตอร์ไม่ได้ลดลงอีกต่อไป
    - TSMC ต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงงาน 2nm ซึ่งมีต้นทุนสูงถึง $725 ล้าน
    - Intel กำลังพัฒนา A18 node ซึ่งอาจแข่งขันกับ TSMC ในอนาคต

    การพัฒนาเทคโนโลยี 2nm อาจช่วยให้ ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง แต่ราคาที่สูงขึ้นอาจทำให้ เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Intel และผู้ผลิตรายอื่นจะสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108158-tsmc-2nm-wafer-prices-hit-30000-sram-yields.html
    🏭 TSMC กับยุคใหม่ของเซมิคอนดักเตอร์: ราคาชิป 2nm พุ่งสูงถึง $30,000 TSMC กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดย ชิป 2nm รุ่นล่าสุดมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อเวเฟอร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm และอาจเป็นสัญญาณว่า Moore's Law กำลังถึงจุดสิ้นสุด TSMC ได้พัฒนา กระบวนการผลิต N2 ซึ่งใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อช่วยลด การรั่วไหลของพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของชิป แม้ว่า ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น แต่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm ยังคงวางแผนสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027 ตามลำดับ โดย N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10% ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC ตั้งราคาชิป 2nm ที่ $30,000 ต่อเวเฟอร์ เพิ่มขึ้น 66% จากชิป 3nm - กระบวนการผลิต N2 ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor architectures เพื่อลดการรั่วไหลของพลังงาน - Apple, Intel, Nvidia, AMD และ Qualcomm เตรียมสั่งซื้อชิป 2nm ก่อนสิ้นปีนี้ - TSMC กำลังพัฒนา N2P และ N2X ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 และ 2027 - N2P จะเพิ่มประสิทธิภาพ 18% และลดการใช้พลังงานลง 36% ส่วน N2X จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาอีก 10% ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ราคาชิปที่สูงขึ้นอาจทำให้เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ - Moore's Law อาจถึงจุดสิ้นสุด เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่อทรานซิสเตอร์ไม่ได้ลดลงอีกต่อไป - TSMC ต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงงาน 2nm ซึ่งมีต้นทุนสูงถึง $725 ล้าน - Intel กำลังพัฒนา A18 node ซึ่งอาจแข่งขันกับ TSMC ในอนาคต การพัฒนาเทคโนโลยี 2nm อาจช่วยให้ ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง แต่ราคาที่สูงขึ้นอาจทำให้ เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Intel และผู้ผลิตรายอื่นจะสามารถแข่งขันกับ TSMC ได้หรือไม่ https://www.techspot.com/news/108158-tsmc-2nm-wafer-prices-hit-30000-sram-yields.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    TSMC's 2nm wafer prices hit $30,000 as SRAM yields reportedly hit 90%
    The Commercial Times reports that TSMC's upcoming N2 2nm semiconductors will cost $30,000 per wafer, a roughly 66% increase over the company's 3nm chips. Future nodes are...
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • 🛡️ Microsoft เตือน! ดาวน์โหลด ISO ติดตั้ง Windows 11/10 ต้องมีอัปเดต Defender
    Microsoft ได้เผยแพร่ อัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ที่จำเป็นสำหรับ ไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจเกิดขึ้นจาก ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยชั่วคราว เนื่องจาก Microsoft Defender ที่รวมอยู่ในไฟล์ติดตั้งอาจเป็นเวอร์ชันเก่า ทำให้ระบบ ไม่ได้รับการป้องกันจากภัยคุกคามล่าสุด

    Microsoft จึงได้ออก แพ็กเกจอัปเดตความปลอดภัย ผ่าน Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 ซึ่งช่วยปิดช่องโหว่ดังกล่าว โดยอัปเดต anti-malware client, anti-malware engine และ signature versions

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft ออกอัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ในไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server
    - อัปเดตนี้ช่วยปิดช่องโหว่ที่เกิดจากซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย
    - Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 เป็นแพ็กเกจล่าสุดที่ต้องติดตั้ง
    - อัปเดตนี้ช่วยป้องกันภัยคุกคาม เช่น Lumma infostealer ที่ส่งผลกระทบต่อ 394,000 เครื่องทั่วโลก
    - รองรับ Windows 11, Windows 10 (Enterprise, Pro, Home), Windows Server 2022, 2019 และ 2016

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - หากติดตั้ง Windows โดยใช้ ISO ที่ไม่มีอัปเดต Defender อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - มัลแวร์ Lumma infostealer สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์หลัก เช่น Chrome, Firefox และ Edge
    - ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้ง Windows มี Security Intelligence Update ล่าสุดก่อนใช้งาน
    - Microsoft Defender เวอร์ชันเก่าอาจไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การอัปเดตนี้ช่วยให้ Windows ที่ติดตั้งใหม่มีการป้องกันที่ทันสมัยขึ้น และลดความเสี่ยงจาก มัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ในระบบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้งมีอัปเดตล่าสุดก่อนใช้งาน

    https://www.neowin.net/news/microsoft-warns-new-windows-1110-installation-iso-downloads-must-have-this-defender-update/
    🛡️ Microsoft เตือน! ดาวน์โหลด ISO ติดตั้ง Windows 11/10 ต้องมีอัปเดต Defender Microsoft ได้เผยแพร่ อัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ที่จำเป็นสำหรับ ไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจเกิดขึ้นจาก ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยชั่วคราว เนื่องจาก Microsoft Defender ที่รวมอยู่ในไฟล์ติดตั้งอาจเป็นเวอร์ชันเก่า ทำให้ระบบ ไม่ได้รับการป้องกันจากภัยคุกคามล่าสุด Microsoft จึงได้ออก แพ็กเกจอัปเดตความปลอดภัย ผ่าน Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 ซึ่งช่วยปิดช่องโหว่ดังกล่าว โดยอัปเดต anti-malware client, anti-malware engine และ signature versions ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft ออกอัปเดตใหม่สำหรับ Microsoft Defender ในไฟล์ติดตั้ง Windows 11/10 และ Windows Server - อัปเดตนี้ช่วยปิดช่องโหว่ที่เกิดจากซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ล้าสมัย - Security Intelligence Update เวอร์ชัน 1.429.122.0 เป็นแพ็กเกจล่าสุดที่ต้องติดตั้ง - อัปเดตนี้ช่วยป้องกันภัยคุกคาม เช่น Lumma infostealer ที่ส่งผลกระทบต่อ 394,000 เครื่องทั่วโลก - รองรับ Windows 11, Windows 10 (Enterprise, Pro, Home), Windows Server 2022, 2019 และ 2016 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - หากติดตั้ง Windows โดยใช้ ISO ที่ไม่มีอัปเดต Defender อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - มัลแวร์ Lumma infostealer สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์หลัก เช่น Chrome, Firefox และ Edge - ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้ง Windows มี Security Intelligence Update ล่าสุดก่อนใช้งาน - Microsoft Defender เวอร์ชันเก่าอาจไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอัปเดตนี้ช่วยให้ Windows ที่ติดตั้งใหม่มีการป้องกันที่ทันสมัยขึ้น และลดความเสี่ยงจาก มัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ในระบบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องตรวจสอบว่าไฟล์ติดตั้งมีอัปเดตล่าสุดก่อนใช้งาน https://www.neowin.net/news/microsoft-warns-new-windows-1110-installation-iso-downloads-must-have-this-defender-update/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft warns new Windows 11/10 installation ISO downloads must have this Defender update
    Microsoft released a new Windows Defender update for new Windows installation media. However, the latest update is crucial as it saves against the deadly Lumma malware.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • 🎮 Microsoft Agility SDK DirectX: การอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Ray Tracing
    Microsoft ได้เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ Shader Execution Reordering (SER) และ Opacity Micromaps (OMM) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Ray Tracing บนฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA

    Agility SDK DirectX มี สองเวอร์ชันหลัก ได้แก่ 1.717-preview และ 1.616-retail โดยแต่ละเวอร์ชันมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเกมที่ใช้ Ray Tracing ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    Shader Execution Reordering (SER) ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพื่อให้การประมวลผลมีความต่อเนื่องมากขึ้น ลดความแตกต่างของการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า

    Opacity Micromaps (OMM) ช่วยให้ ฮาร์ดแวร์สามารถจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสได้ดีขึ้น ลดการเรียกใช้ AnyHit shader และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า

    นอกจากนี้ยังมี Direct3D Video Encoding Updates ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น HEVC Reference List extension และ การเข้ารหัสแบบสองรอบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ที่รองรับ SER และ OMM
    - SER ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า
    - OMM ช่วยให้ฮาร์ดแวร์จัดการวัตถุโปร่งใสได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า
    - Direct3D Video Encoding Updates เพิ่มฟีเจอร์ HEVC Reference List extension และการเข้ารหัสแบบสองรอบ
    - NVIDIA เป็นผู้ผลิตรายแรกที่รองรับ OMM บน RTX GPUs

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SER และ OMM ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้บน GPU รุ่นเก่า
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่น เช่น AMD และ Intel จะเพิ่มการรองรับ OMM หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกมที่ใช้ Ray Tracing ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่
    - ต้องรอดูว่าการอัปเดตนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมในระยะยาวอย่างไร

    Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ช่วยให้ Ray Tracing มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจทำให้ เกมที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถรันได้เร็วขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาเกมจะนำฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้มากน้อยเพียงใด

    https://wccftech.com/microsoft-agility-sdk-directx-shader-execution-reordering-opacity-micromaps-support-huge-ray-tracing-improvements-on-nvidia/
    🎮 Microsoft Agility SDK DirectX: การอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Ray Tracing Microsoft ได้เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับ Shader Execution Reordering (SER) และ Opacity Micromaps (OMM) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Ray Tracing บนฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA Agility SDK DirectX มี สองเวอร์ชันหลัก ได้แก่ 1.717-preview และ 1.616-retail โดยแต่ละเวอร์ชันมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเกมที่ใช้ Ray Tracing ได้อย่างมีนัยสำคัญ Shader Execution Reordering (SER) ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพื่อให้การประมวลผลมีความต่อเนื่องมากขึ้น ลดความแตกต่างของการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า Opacity Micromaps (OMM) ช่วยให้ ฮาร์ดแวร์สามารถจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสได้ดีขึ้น ลดการเรียกใช้ AnyHit shader และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า นอกจากนี้ยังมี Direct3D Video Encoding Updates ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น HEVC Reference List extension และ การเข้ารหัสแบบสองรอบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ที่รองรับ SER และ OMM - SER ช่วยให้ GPU สามารถจัดเรียงเธรดใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2 เท่า - OMM ช่วยให้ฮาร์ดแวร์จัดการวัตถุโปร่งใสได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด 2.3 เท่า - Direct3D Video Encoding Updates เพิ่มฟีเจอร์ HEVC Reference List extension และการเข้ารหัสแบบสองรอบ - NVIDIA เป็นผู้ผลิตรายแรกที่รองรับ OMM บน RTX GPUs ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SER และ OMM ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้บน GPU รุ่นเก่า - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่น เช่น AMD และ Intel จะเพิ่มการรองรับ OMM หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกมที่ใช้ Ray Tracing ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อใช้ฟีเจอร์ใหม่ - ต้องรอดูว่าการอัปเดตนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกมในระยะยาวอย่างไร Agility SDK DirectX รุ่นใหม่ช่วยให้ Ray Tracing มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจทำให้ เกมที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถรันได้เร็วขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาเกมจะนำฟีเจอร์เหล่านี้ไปใช้มากน้อยเพียงใด https://wccftech.com/microsoft-agility-sdk-directx-shader-execution-reordering-opacity-micromaps-support-huge-ray-tracing-improvements-on-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Agility SDK DirectX Now Adds Shader Execution Reordering & Opacity Micromaps Support, Huge Ray Tracing Improvements On NVIDIA Hardware
    Microsoft has released its latest Agility SDK, DirectX, which brings major ray tracing improvements with SER & OMM support.
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • 🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo

    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM
    - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
    - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่
    - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM
    - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027
    - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่
    - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM
    - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

    หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-and-softbank-collaborate-on-power-efficient-hbm-substitute-for-ai-data-centers-says-report
    🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027 - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-and-softbank-collaborate-on-power-efficient-hbm-substitute-for-ai-data-centers-says-report
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • 🚀 HighPoint RocketStor 8631CW: กล่อง eGPU ที่ให้พลัง RTX 5090 แบบไร้ข้อจำกัด

    HighPoint ได้เปิดตัว RocketStor 8631CW ซึ่งเป็น กล่อง eGPU ที่รองรับ PCIe Gen5 x16 โดยสามารถเชื่อมต่อกับ กราฟิกการ์ดระดับเดสก์ท็อป ผ่านสาย CopprLink CDFP ความยาว 1 เมตร

    RocketStor 8631CW ใช้ Rocket 1634D host interface card ซึ่งมี Broadcom PEX 89048 switch เพื่อรักษาการเชื่อมต่อ Gen5 x16 ที่มี ความเร็วสูงสุด 64GB/s

    ตัวกล่อง รองรับ GPU แบบ dual-slot และ triple-slot จาก Nvidia, AMD และ Intel โดยสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 600W พร้อมระบบ ระบายความร้อนแบบ dual-fan และ การตรวจสอบพลังงานแบบเรียลไทม์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - RocketStor 8631CW รองรับ PCIe Gen5 x16 และให้ความเร็วสูงสุด 64GB/s
    - ใช้สาย CopprLink CDFP ความยาว 1 เมตรเพื่อเชื่อมต่อกับ GPU
    - รองรับ GPU จาก Nvidia, AMD และ Intel แบบ dual-slot และ triple-slot
    - สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 600W พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ dual-fan
    - ไม่มีไดรเวอร์หรือซอฟต์แวร์เพิ่มเติม—เสียบแล้วใช้งานได้ทันที

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ราคาสูงถึง $1,999 ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - ต้องมี PCIe slot ในระบบเพื่อใช้งาน Rocket 1634D host interface card
    - อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกและพกพาได้ง่าย
    - ตลาด eGPU กำลังเปลี่ยนแปลง และอาจมีตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าในอนาคต

    RocketStor 8631CW เป็นโซลูชันที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ใช้ที่ต้องการพลัง GPU ระดับเดสก์ท็อปบนแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ราคาสูงและข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อ อาจทำให้ผู้ใช้ต้องพิจารณาทางเลือกอื่น

    https://www.techradar.com/pro/want-to-carry-an-nvidia-geforce-rtx-5090-to-your-laptop-heres-an-egpu-chassis-that-should-do-the-trick-and-it-aint-cheap
    🚀 HighPoint RocketStor 8631CW: กล่อง eGPU ที่ให้พลัง RTX 5090 แบบไร้ข้อจำกัด HighPoint ได้เปิดตัว RocketStor 8631CW ซึ่งเป็น กล่อง eGPU ที่รองรับ PCIe Gen5 x16 โดยสามารถเชื่อมต่อกับ กราฟิกการ์ดระดับเดสก์ท็อป ผ่านสาย CopprLink CDFP ความยาว 1 เมตร RocketStor 8631CW ใช้ Rocket 1634D host interface card ซึ่งมี Broadcom PEX 89048 switch เพื่อรักษาการเชื่อมต่อ Gen5 x16 ที่มี ความเร็วสูงสุด 64GB/s ตัวกล่อง รองรับ GPU แบบ dual-slot และ triple-slot จาก Nvidia, AMD และ Intel โดยสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 600W พร้อมระบบ ระบายความร้อนแบบ dual-fan และ การตรวจสอบพลังงานแบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - RocketStor 8631CW รองรับ PCIe Gen5 x16 และให้ความเร็วสูงสุด 64GB/s - ใช้สาย CopprLink CDFP ความยาว 1 เมตรเพื่อเชื่อมต่อกับ GPU - รองรับ GPU จาก Nvidia, AMD และ Intel แบบ dual-slot และ triple-slot - สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 600W พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ dual-fan - ไม่มีไดรเวอร์หรือซอฟต์แวร์เพิ่มเติม—เสียบแล้วใช้งานได้ทันที ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ราคาสูงถึง $1,999 ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - ต้องมี PCIe slot ในระบบเพื่อใช้งาน Rocket 1634D host interface card - อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกและพกพาได้ง่าย - ตลาด eGPU กำลังเปลี่ยนแปลง และอาจมีตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าในอนาคต RocketStor 8631CW เป็นโซลูชันที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ใช้ที่ต้องการพลัง GPU ระดับเดสก์ท็อปบนแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ราคาสูงและข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อ อาจทำให้ผู้ใช้ต้องพิจารณาทางเลือกอื่น https://www.techradar.com/pro/want-to-carry-an-nvidia-geforce-rtx-5090-to-your-laptop-heres-an-egpu-chassis-that-should-do-the-trick-and-it-aint-cheap
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • 🖥️ Mozilla ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU ใน Firefox
    Mozilla ได้ปล่อย Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกที่เกิดขึ้นกับ Nvidia GPU โดยเฉพาะใน ระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน

    ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเคยถูกจำกัดการใช้งานบน Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ ส่งผลให้เกิด อาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อมีการเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง

    ผู้ใช้บางรายพบวิธีแก้ไขชั่วคราวโดย ปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ใน Bugzilla แต่ Mozilla ตัดสินใจออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหาโดยตรง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Mozilla ออก Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU
    - ปัญหานี้เกิดขึ้นกับระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน
    - เกิดอาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง
    - Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา
    - สามารถอัปเดต Firefox ได้โดยไปที่เมนู Help > About Firefox

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไม Mozilla จึงปลดบล็อก DirectComposition
    - ปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ใช้ Intel หรือ AMD GPU หรือระบบที่มีหน้าจอเดียว
    - ต้องติดตามว่าแพตช์นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่
    - ผู้ใช้ที่ยังพบปัญหาอาจต้องปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ด้วยตนเอง

    การอัปเดตนี้ช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ใช้ Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ อย่างไรก็ตาม Mozilla ยังต้องตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ Firefox ในระยะยาวหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/mozilla-fires-off-emergency-patch-to-fix-nvidia-gpu-artifacting-bugs-in-firefox
    🖥️ Mozilla ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU ใน Firefox Mozilla ได้ปล่อย Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกที่เกิดขึ้นกับ Nvidia GPU โดยเฉพาะใน ระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเคยถูกจำกัดการใช้งานบน Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ ส่งผลให้เกิด อาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อมีการเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง ผู้ใช้บางรายพบวิธีแก้ไขชั่วคราวโดย ปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ใน Bugzilla แต่ Mozilla ตัดสินใจออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหาโดยตรง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Mozilla ออก Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU - ปัญหานี้เกิดขึ้นกับระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน - เกิดอาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง - Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา - สามารถอัปเดต Firefox ได้โดยไปที่เมนู Help > About Firefox ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไม Mozilla จึงปลดบล็อก DirectComposition - ปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ใช้ Intel หรือ AMD GPU หรือระบบที่มีหน้าจอเดียว - ต้องติดตามว่าแพตช์นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ - ผู้ใช้ที่ยังพบปัญหาอาจต้องปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ด้วยตนเอง การอัปเดตนี้ช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ใช้ Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ อย่างไรก็ตาม Mozilla ยังต้องตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ Firefox ในระยะยาวหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/mozilla-fires-off-emergency-patch-to-fix-nvidia-gpu-artifacting-bugs-in-firefox
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Mozilla fires off emergency patch to fix Nvidia GPU artifacting bugs in Firefox
    Only affects multi-monitor setups with different refresh rates and Nvidia GPUs.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • 🚀 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna: ก้าวใหม่ของ AI และวิทยาศาสตร์
    กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ AI

    Doudna ได้รับการตั้งชื่อตาม Jennifer Doudna นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR gene editing

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะใช้ แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยใช้ ซีพียู Arm-based และ ชิป Rubin AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการจำลองข้อมูล

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Doudna จะตั้งอยู่ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory และเริ่มใช้งานในปี 2026
    - Dell Technologies ได้รับเลือกให้สร้างระบบนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    - ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์
    - Doudna จะเร็วกว่า Perlmutter ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันกว่า 10 เท่า
    - ระบบนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนในการวิจัยด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพและควอนตัมคอมพิวติ้ง

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการจำลองข้อมูลอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณแบบดั้งเดิม
    - การเปลี่ยนจากซีพียู Intel และ AMD ไปใช้ Arm-based อาจมีผลต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องปรับตัว
    - ต้องติดตามว่าการรวม AI เข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อความแม่นยำของการจำลองข้อมูลอย่างไร
    - การลงทุนในระบบนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในอนาคต

    Doudna เป็นตัวอย่างของการผสานรวม AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากระบบนี้สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง

    https://www.techspot.com/news/108119-energy-department-doudna-supercomputer-signals-new-era-ai.html
    🚀 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna: ก้าวใหม่ของ AI และวิทยาศาสตร์ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ AI Doudna ได้รับการตั้งชื่อตาม Jennifer Doudna นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR gene editing ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะใช้ แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยใช้ ซีพียู Arm-based และ ชิป Rubin AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการจำลองข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - Doudna จะตั้งอยู่ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory และเริ่มใช้งานในปี 2026 - Dell Technologies ได้รับเลือกให้สร้างระบบนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ - ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ - Doudna จะเร็วกว่า Perlmutter ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันกว่า 10 เท่า - ระบบนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนในการวิจัยด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพและควอนตัมคอมพิวติ้ง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการจำลองข้อมูลอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณแบบดั้งเดิม - การเปลี่ยนจากซีพียู Intel และ AMD ไปใช้ Arm-based อาจมีผลต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องปรับตัว - ต้องติดตามว่าการรวม AI เข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อความแม่นยำของการจำลองข้อมูลอย่างไร - การลงทุนในระบบนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในอนาคต Doudna เป็นตัวอย่างของการผสานรวม AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากระบบนี้สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง https://www.techspot.com/news/108119-energy-department-doudna-supercomputer-signals-new-era-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Dell, Nvidia, and Department of Energy join forces on "Doudna" supercomputer for science and AI
    The advanced system, to be housed at Lawrence Berkeley National Laboratory and scheduled to become operational in 2026, will be named "Doudna" in honor of Nobel laureate...
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • ⚖️ Intel ชนะคดีสำคัญกับ VLSI ในข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร
    Intel ได้รับชัยชนะในคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "Patent Troll" หรือบริษัทที่ใช้สิทธิบัตรเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยโดยไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีจริง

    VLSI เป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรที่ได้มาจาก NXP Semiconductors NV โดยอ้างว่าเทคโนโลยีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกระบวนการออกแบบชิป

    ในปี 2022 Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ จากการละเมิดสิทธิบัตรของ VLSI อย่างไรก็ตาม Intel โต้แย้งว่าข้อตกลงด้านสิทธิบัตรที่ทำไว้กับ Finjan Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress เช่นเดียวกัน ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel ชนะคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งอาจทำให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ถูกยกเลิก
    - VLSI อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตร
    - Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 แต่โต้แย้งว่าข้อตกลงกับ Finjan Inc. ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท
    - คดีนี้อาจส่งผลให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ถูกยกเลิก
    - Fortress เคยใช้กลยุทธ์ฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Apple และ HTC

    🏛️ สิทธิบัตรและบทบาทของ Patent Troll
    Patent Troll คือบริษัทที่ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีเอง แต่ซื้อสิทธิบัตรมาเพื่อฟ้องร้องบริษัทอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชย โดยมักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อสร้างรายได้จากการฟ้องร้อง

    Fortress Investment Group ถูกวิจารณ์ว่าใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเรียกร้องเงินจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Intel, Apple และ HTC อย่างไรก็ตาม คำตัดสินล่าสุดอาจทำให้กลยุทธ์นี้ต้องถูกปรับเปลี่ยน

    https://www.techspot.com/news/108123-intel-wins-crucial-verdict-legal-fight-against-patent.html
    ⚖️ Intel ชนะคดีสำคัญกับ VLSI ในข้อพิพาทด้านสิทธิบัตร Intel ได้รับชัยชนะในคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "Patent Troll" หรือบริษัทที่ใช้สิทธิบัตรเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยโดยไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีจริง VLSI เป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรที่ได้มาจาก NXP Semiconductors NV โดยอ้างว่าเทคโนโลยีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกระบวนการออกแบบชิป ในปี 2022 Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ จากการละเมิดสิทธิบัตรของ VLSI อย่างไรก็ตาม Intel โต้แย้งว่าข้อตกลงด้านสิทธิบัตรที่ทำไว้กับ Finjan Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress เช่นเดียวกัน ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel ชนะคดีความกับ VLSI Technology LLC ซึ่งอาจทำให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ถูกยกเลิก - VLSI อยู่ภายใต้การควบคุมของ Fortress Investment Group ซึ่งเคยฟ้องร้อง Intel ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตร - Intel ถูกสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 แต่โต้แย้งว่าข้อตกลงกับ Finjan Inc. ครอบคลุมสิทธิบัตรที่เป็นข้อพิพาท - คดีนี้อาจส่งผลให้คำตัดสินก่อนหน้านี้ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ถูกยกเลิก - Fortress เคยใช้กลยุทธ์ฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Apple และ HTC 🏛️ สิทธิบัตรและบทบาทของ Patent Troll Patent Troll คือบริษัทที่ไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีเอง แต่ซื้อสิทธิบัตรมาเพื่อฟ้องร้องบริษัทอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชย โดยมักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อสร้างรายได้จากการฟ้องร้อง Fortress Investment Group ถูกวิจารณ์ว่าใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเรียกร้องเงินจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Intel, Apple และ HTC อย่างไรก็ตาม คำตัดสินล่าสุดอาจทำให้กลยุทธ์นี้ต้องถูกปรับเปลี่ยน https://www.techspot.com/news/108123-intel-wins-crucial-verdict-legal-fight-against-patent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel wins crucial verdict in legal fight against patent troll VLSI
    After a three-day jury trial, the U.S. District Court for the Western District of Texas ruled that VLSI Technology LLC and Finjan Inc. are both under the...
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ซึ่งเป็น CPU รุ่นใหม่ ที่ใช้ LGA-1954 socket โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการจัดการพลังงาน

    Nova Lake-S จะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป

    นอกจากนี้ Intel ยังเน้น AI acceleration โดยเพิ่ม Neural Processing Units (NPUs) เพื่อรองรับงานด้าน AI-based photo editing, real-time video effects และ generative AI tools

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nova Lake-S ใช้ LGA-1954 socket ซึ่งมี 1,954 contact pads
    - Core configuration ประกอบด้วย 16 P-cores (Coyote Cove), 32 E-cores (Arctic Wolf) และ 4 low-power E-cores
    - ใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป
    - 900-series chipsets เช่น Z990 และ H970 จะรองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5
    - AI acceleration จะเป็นจุดเด่น โดยมี NPUs ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน AI

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องใช้เมนบอร์ดใหม่ เนื่องจาก LGA-1954 ไม่รองรับ CPU รุ่นเก่า
    - แม้จะใช้ขนาด socket เดิม แต่การออกแบบ heat spreader อาจต้องใช้ mounting kits ใหม่
    - การแข่งขันกับ AMD Zen 6 อาจทำให้ตลาด CPU มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน

    Nova Lake-S และ LGA-1954 เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการพัฒนา CPU ที่รองรับ AI และ multi-threaded workloads อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร

    https://computercity.com/hardware/processors/intels-lga-1954-socket-and-nova-lake-s-cpus
    Intel กำลังเตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ซึ่งเป็น CPU รุ่นใหม่ ที่ใช้ LGA-1954 socket โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการจัดการพลังงาน Nova Lake-S จะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ในสถาปัตยกรรมของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป นอกจากนี้ Intel ยังเน้น AI acceleration โดยเพิ่ม Neural Processing Units (NPUs) เพื่อรองรับงานด้าน AI-based photo editing, real-time video effects และ generative AI tools ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nova Lake-S ใช้ LGA-1954 socket ซึ่งมี 1,954 contact pads - Core configuration ประกอบด้วย 16 P-cores (Coyote Cove), 32 E-cores (Arctic Wolf) และ 4 low-power E-cores - ใช้ 14A (1.4nm-class) node สำหรับ compute tiles และอาจใช้ TSMC 2nm สำหรับบางส่วนของชิป - 900-series chipsets เช่น Z990 และ H970 จะรองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 - AI acceleration จะเป็นจุดเด่น โดยมี NPUs ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้าน AI ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องใช้เมนบอร์ดใหม่ เนื่องจาก LGA-1954 ไม่รองรับ CPU รุ่นเก่า - แม้จะใช้ขนาด socket เดิม แต่การออกแบบ heat spreader อาจต้องใช้ mounting kits ใหม่ - การแข่งขันกับ AMD Zen 6 อาจทำให้ตลาด CPU มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน Nova Lake-S และ LGA-1954 เป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการพัฒนา CPU ที่รองรับ AI และ multi-threaded workloads อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องจับตาดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร https://computercity.com/hardware/processors/intels-lga-1954-socket-and-nova-lake-s-cpus
    COMPUTERCITY.COM
    Intel’s LGA-1954 Socket and Nova Lake-S CPUs
    Intel is preparing for another leap in desktop computing with the upcoming Nova Lake-S processors and a brand-new socket: LGA-1954. Despite just launching the
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังวางแผน เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการ โดยแทนที่จะใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม เช่น iOS 19 บริษัทอาจเปลี่ยนไปใช้ iOS 26 เพื่อให้สอดคล้องกับปีที่เปิดตัว ซึ่งจะมีผลกับ iPadOS, macOS, watchOS, tvOS และ visionOS

    Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อซอฟต์แวร์ Samsung เคยเปลี่ยนจาก Galaxy S10 เป็น Galaxy S20 และ Microsoft ก็เคยทดลองใช้แนวทางนี้ก่อนจะกลับไปใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม

    นอกจากนี้ Apple ยังเตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า "Solarium" ซึ่งจะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงการปรับปรุง Apple Intelligence และอาจมีแอปเกมใหม่สำหรับ iPhone, iPad และ Mac

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Apple อาจเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการเป็น iOS 26, macOS 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดความสับสนและสร้างความเป็นเอกภาพในแบรนด์
    - Apple เตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ "Solarium" ที่จะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์ม
    - อาจมีการเปิดตัว แอปเกมใหม่ สำหรับ iPhone, iPad และ Mac
    - Apple Intelligence อาจถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อ อาจทำให้ผู้ใช้สับสนในช่วงแรก
    - Apple Intelligence อาจเปิดตัวล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ของบริษัท
    - การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ อาจทำให้บางฟีเจอร์ถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออก
    - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน WWDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2025

    Apple กำลังเตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานและการรับรู้แบรนด์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องรอดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร

    https://www.techradar.com/computing/software/apple-might-be-about-to-make-a-major-change-to-how-it-names-its-operating-systems
    Apple กำลังวางแผน เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการ โดยแทนที่จะใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม เช่น iOS 19 บริษัทอาจเปลี่ยนไปใช้ iOS 26 เพื่อให้สอดคล้องกับปีที่เปิดตัว ซึ่งจะมีผลกับ iPadOS, macOS, watchOS, tvOS และ visionOS Apple ไม่ใช่บริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อซอฟต์แวร์ Samsung เคยเปลี่ยนจาก Galaxy S10 เป็น Galaxy S20 และ Microsoft ก็เคยทดลองใช้แนวทางนี้ก่อนจะกลับไปใช้เลขเวอร์ชันแบบเดิม นอกจากนี้ Apple ยังเตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า "Solarium" ซึ่งจะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงการปรับปรุง Apple Intelligence และอาจมีแอปเกมใหม่สำหรับ iPhone, iPad และ Mac ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple อาจเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการเป็น iOS 26, macOS 26, iPadOS 26, watchOS 26, tvOS 26 และ visionOS 26 - การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดความสับสนและสร้างความเป็นเอกภาพในแบรนด์ - Apple เตรียมเปิดตัว ดีไซน์ใหม่ "Solarium" ที่จะส่งผลต่อทุกแพลตฟอร์ม - อาจมีการเปิดตัว แอปเกมใหม่ สำหรับ iPhone, iPad และ Mac - Apple Intelligence อาจถูกเลื่อนเปิดตัวไปปี 2026 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนรูปแบบการตั้งชื่อ อาจทำให้ผู้ใช้สับสนในช่วงแรก - Apple Intelligence อาจเปิดตัวล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนา AI ของบริษัท - การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ อาจทำให้บางฟีเจอร์ถูกปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออก - ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน WWDC 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2025 Apple กำลังเตรียมปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับระบบปฏิบัติการของตน ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานและการรับรู้แบรนด์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องรอดูว่าผู้ใช้จะตอบรับอย่างไร https://www.techradar.com/computing/software/apple-might-be-about-to-make-a-major-change-to-how-it-names-its-operating-systems
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • TSMC ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิตชิป 1.4nm-class โดยบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือลิเธียกราฟีรุ่นใหม่

    High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การผลิตชิปมีความแม่นยำมากขึ้น โดย Intel เป็นบริษัทที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยลดจำนวนขั้นตอนการผลิต อย่างไรก็ตาม TSMC เชื่อว่าการพัฒนาโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet gate-all-around และ standard cell architecture สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC ไม่ใช้ High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิต A16 (1.6nm-class) และ A14 (1.4nm-class)
    - A14 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% และลดการใช้พลังงานลง 25-30% เมื่อเทียบกับ N2
    - A14 เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ขึ้น 20-23%
    - A14 จะเริ่มผลิตในปี 2028 และจะมีรุ่นปรับปรุงในปี 2029
    - TSMC อาจใช้ High-NA EUV ในอนาคต แต่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในตอนนี้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Intel กำลังใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี
    - TSMC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตชิป 1.4nm-class ได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV
    - การใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อการแข่งขันระหว่าง Intel และ TSMC ในอนาคต
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง และต้องจับตาดูว่า TSMC จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่

    TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปโดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจาก Intel อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องติดตามว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ TSMC รักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reiterates-it-doesnt-need-high-na-euv-for-1-4nm-class-process-technology
    TSMC ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิตชิป 1.4nm-class โดยบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือลิเธียกราฟีรุ่นใหม่ High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การผลิตชิปมีความแม่นยำมากขึ้น โดย Intel เป็นบริษัทที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยลดจำนวนขั้นตอนการผลิต อย่างไรก็ตาม TSMC เชื่อว่าการพัฒนาโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet gate-all-around และ standard cell architecture สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC ไม่ใช้ High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิต A16 (1.6nm-class) และ A14 (1.4nm-class) - A14 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% และลดการใช้พลังงานลง 25-30% เมื่อเทียบกับ N2 - A14 เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ขึ้น 20-23% - A14 จะเริ่มผลิตในปี 2028 และจะมีรุ่นปรับปรุงในปี 2029 - TSMC อาจใช้ High-NA EUV ในอนาคต แต่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในตอนนี้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Intel กำลังใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี - TSMC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตชิป 1.4nm-class ได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV - การใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อการแข่งขันระหว่าง Intel และ TSMC ในอนาคต - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง และต้องจับตาดูว่า TSMC จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่ TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปโดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจาก Intel อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องติดตามว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ TSMC รักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reiterates-it-doesnt-need-high-na-euv-for-1-4nm-class-process-technology
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • Sparkle กำลังพัฒนา Intel Arc B60 รุ่น Dual-GPU ซึ่งเป็นการ์ดจอที่ใช้ BMG-G21 GPU พร้อม 2560 stream processors และ 24GB GDDR6 memory โดยมุ่งเป้าไปที่ AI inference, CAD, งานกราฟิกระดับมืออาชีพ และการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ

    การ์ดจอ Dual-GPU กำลังได้รับความสนใจในตลาด AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้โดยใช้พลังงานน้อยลง นอกจากนี้ Sparkle ยังนำเสนอ 3 ระบบระบายความร้อน ได้แก่ Blower, Passive และ Liquid Cooling เพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Sparkle กำลังพัฒนา Intel Arc B60 รุ่น Dual-GPU
    - ใช้ BMG-G21 GPU พร้อม 2560 stream processors และ 24GB GDDR6 memory
    - รองรับ AI inference, CAD, งานกราฟิกระดับมืออาชีพ และการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ
    - มี 3 ระบบระบายความร้อน ได้แก่ Blower, Passive และ Liquid Cooling
    - Liquid-cooled รุ่น Prototype B ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - BMG-G21 เป็น GPU ระดับเริ่มต้น อาจไม่สามารถแข่งขันกับการ์ดจอระดับสูงของ Nvidia หรือ AMD ได้
    - การ์ดจอ Dual-GPU อาจมีราคาสูง และต้องรอดูว่าตลาดจะมีความต้องการมากพอหรือไม่
    - Liquid Cooling อาจไม่จำเป็น เนื่องจากการ์ดมี TDP เพียง 200W และ Blower อาจเพียงพอสำหรับการระบายความร้อน
    - ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่าย ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม

    Sparkle กำลังผลักดัน Intel Arc B60 รุ่น Dual-GPU เพื่อเข้าสู่ตลาด AI และการประมวลผลระดับมืออาชีพ แต่ยังต้องจับตาดูว่าการพัฒนานี้จะสามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/dual-gpu-versions-of-the-intel-arc-b60-in-the-works-at-sparkle-as-company-unveils-passive-liquid-cooled-and-blower-options
    Sparkle กำลังพัฒนา Intel Arc B60 รุ่น Dual-GPU ซึ่งเป็นการ์ดจอที่ใช้ BMG-G21 GPU พร้อม 2560 stream processors และ 24GB GDDR6 memory โดยมุ่งเป้าไปที่ AI inference, CAD, งานกราฟิกระดับมืออาชีพ และการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ การ์ดจอ Dual-GPU กำลังได้รับความสนใจในตลาด AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้โดยใช้พลังงานน้อยลง นอกจากนี้ Sparkle ยังนำเสนอ 3 ระบบระบายความร้อน ได้แก่ Blower, Passive และ Liquid Cooling เพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sparkle กำลังพัฒนา Intel Arc B60 รุ่น Dual-GPU - ใช้ BMG-G21 GPU พร้อม 2560 stream processors และ 24GB GDDR6 memory - รองรับ AI inference, CAD, งานกราฟิกระดับมืออาชีพ และการเข้ารหัส/ถอดรหัสสื่อ - มี 3 ระบบระบายความร้อน ได้แก่ Blower, Passive และ Liquid Cooling - Liquid-cooled รุ่น Prototype B ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - BMG-G21 เป็น GPU ระดับเริ่มต้น อาจไม่สามารถแข่งขันกับการ์ดจอระดับสูงของ Nvidia หรือ AMD ได้ - การ์ดจอ Dual-GPU อาจมีราคาสูง และต้องรอดูว่าตลาดจะมีความต้องการมากพอหรือไม่ - Liquid Cooling อาจไม่จำเป็น เนื่องจากการ์ดมี TDP เพียง 200W และ Blower อาจเพียงพอสำหรับการระบายความร้อน - ยังไม่มีข้อมูลราคาหรือวันวางจำหน่าย ต้องรอติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม Sparkle กำลังผลักดัน Intel Arc B60 รุ่น Dual-GPU เพื่อเข้าสู่ตลาด AI และการประมวลผลระดับมืออาชีพ แต่ยังต้องจับตาดูว่าการพัฒนานี้จะสามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/dual-gpu-versions-of-the-intel-arc-b60-in-the-works-at-sparkle-as-company-unveils-passive-liquid-cooled-and-blower-options
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • พนักงานจำนวนมากขึ้นกำลังต่อต้านนโยบาย กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยผลสำรวจล่าสุดจาก King's College London (KCL) พบว่า น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อกำหนดนี้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงและพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด

    การทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 และหลายบริษัทเลือกใช้ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Google, Intel และ Amazon กำลังผลักดันให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยอ้างว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าผลสำรวจหลายฉบับจะชี้ว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ลดประสิทธิภาพลง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - 42% ของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ลดลงจาก 54% ในปี 2022
    - 50% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะหางานใหม่แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2022
    - 10% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะลาออกทันทีหากถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ
    - ผู้หญิงมีแนวโน้มลาออกมากกว่าผู้ชาย โดย 55% ของผู้หญิง ระบุว่าจะหางานใหม่ เทียบกับ 43% ของผู้ชาย
    - พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมากที่สุด โดย เพียง 33% ของแม่ที่มีลูกเล็ก ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - บริษัทที่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อาจเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น
    - แรงงานที่มีภาระครอบครัว อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้
    - ความไม่เท่าเทียมในสถานที่ทำงาน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางกลุ่มแรงงานยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศมากกว่ากลุ่มอื่น
    - บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังลดโอกาสการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต

    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของบริษัทต่างๆ กำลังส่งผลต่อแรงงานทั่วโลก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่

    https://www.techspot.com/news/108084-more-workers-theyll-quit-instead-going-back-office.html
    พนักงานจำนวนมากขึ้นกำลังต่อต้านนโยบาย กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยผลสำรวจล่าสุดจาก King's College London (KCL) พบว่า น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อกำหนดนี้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงและพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด การทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 และหลายบริษัทเลือกใช้ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Google, Intel และ Amazon กำลังผลักดันให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยอ้างว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าผลสำรวจหลายฉบับจะชี้ว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ลดประสิทธิภาพลง ✅ ข้อมูลจากข่าว - 42% ของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ลดลงจาก 54% ในปี 2022 - 50% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะหางานใหม่แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2022 - 10% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะลาออกทันทีหากถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ - ผู้หญิงมีแนวโน้มลาออกมากกว่าผู้ชาย โดย 55% ของผู้หญิง ระบุว่าจะหางานใหม่ เทียบกับ 43% ของผู้ชาย - พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมากที่สุด โดย เพียง 33% ของแม่ที่มีลูกเล็ก ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - บริษัทที่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อาจเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น - แรงงานที่มีภาระครอบครัว อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้ - ความไม่เท่าเทียมในสถานที่ทำงาน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางกลุ่มแรงงานยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศมากกว่ากลุ่มอื่น - บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังลดโอกาสการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของบริษัทต่างๆ กำลังส่งผลต่อแรงงานทั่วโลก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่ https://www.techspot.com/news/108084-more-workers-theyll-quit-instead-going-back-office.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    More workers say they'll quit instead of going back to the office full time
    The report comes from researchers at King's College London (KCL) and King's Business School. They analyzed over a million data points from the UK government's Labour Force...
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • OpenAI ปรับปรุง Operator ด้วยโมเดล o3 เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานบนเว็บ

    OpenAI ได้อัปเกรด AI Agent ที่ชื่อว่า Operator โดยเปลี่ยนจาก GPT-4o เป็นโมเดล o3 ซึ่งช่วยให้ Agent มีความสามารถด้านตรรกะและการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น โดย Operator สามารถกรอกแบบฟอร์ม, สั่งซื้อสินค้า และจัดการงานออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการอัปเกรด Operator
    ✅ Operator ใช้โมเดล o3 ซึ่งมีความสามารถด้านตรรกะและการคิดเป็นขั้นตอนที่ดีขึ้น
    - ช่วยให้ AI สามารถจัดการกับอุปสรรคบนเว็บ เช่น CAPTCHA และหน้าต่างล็อกอินได้ดีขึ้น

    ✅ Operator สามารถทำงานที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การจองโรงแรมและการชำระค่าปรับจราจร
    - ทำให้ AI มีความสามารถในการดำเนินงานที่หลากหลายมากขึ้น

    ✅ OpenAI คาดหวังว่าโมเดล o3 จะช่วยให้ Operator มีความแม่นยำและความต่อเนื่องในการทำงานบนเว็บ
    - ลดโอกาสที่ AI จะหยุดทำงานกลางคันเมื่อเจออุปสรรค

    ✅ Operator มีให้ใช้งานเฉพาะผู้ใช้ ChatGPT Pro ที่จ่ายค่าบริการ 200 ดอลลาร์ต่อเดือน
    - OpenAI อาจพิจารณาปรับราคาหรือเปิดให้ผู้ใช้ ChatGPT Plus เข้าถึงได้ในอนาคต

    ✅ แม้ว่า Operator จะช่วยให้การทำงานออนไลน์สะดวกขึ้น แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านความคุ้มค่า
    - ผู้ใช้ทั่วไป อาจไม่เห็นความจำเป็นในการจ่ายเงินเพื่อใช้บริการนี้

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/openai-operator-is-getting-bigger-brains-to-control-the-ai-agents-virtual-hands
    OpenAI ปรับปรุง Operator ด้วยโมเดล o3 เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานบนเว็บ OpenAI ได้อัปเกรด AI Agent ที่ชื่อว่า Operator โดยเปลี่ยนจาก GPT-4o เป็นโมเดล o3 ซึ่งช่วยให้ Agent มีความสามารถด้านตรรกะและการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น โดย Operator สามารถกรอกแบบฟอร์ม, สั่งซื้อสินค้า และจัดการงานออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการอัปเกรด Operator ✅ Operator ใช้โมเดล o3 ซึ่งมีความสามารถด้านตรรกะและการคิดเป็นขั้นตอนที่ดีขึ้น - ช่วยให้ AI สามารถจัดการกับอุปสรรคบนเว็บ เช่น CAPTCHA และหน้าต่างล็อกอินได้ดีขึ้น ✅ Operator สามารถทำงานที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การจองโรงแรมและการชำระค่าปรับจราจร - ทำให้ AI มีความสามารถในการดำเนินงานที่หลากหลายมากขึ้น ✅ OpenAI คาดหวังว่าโมเดล o3 จะช่วยให้ Operator มีความแม่นยำและความต่อเนื่องในการทำงานบนเว็บ - ลดโอกาสที่ AI จะหยุดทำงานกลางคันเมื่อเจออุปสรรค ✅ Operator มีให้ใช้งานเฉพาะผู้ใช้ ChatGPT Pro ที่จ่ายค่าบริการ 200 ดอลลาร์ต่อเดือน - OpenAI อาจพิจารณาปรับราคาหรือเปิดให้ผู้ใช้ ChatGPT Plus เข้าถึงได้ในอนาคต ✅ แม้ว่า Operator จะช่วยให้การทำงานออนไลน์สะดวกขึ้น แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านความคุ้มค่า - ผู้ใช้ทั่วไป อาจไม่เห็นความจำเป็นในการจ่ายเงินเพื่อใช้บริการนี้ https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/openai-operator-is-getting-bigger-brains-to-control-the-ai-agents-virtual-hands
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • Hygon และ Sugon รวมตัวเป็นยักษ์ใหญ่ด้านซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีน

    จีน กำลังสร้างอาณาจักรซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น ด้วยการควบรวม Hygon Information Technology ซึ่งเป็นผู้พัฒนาชิป และ Sugon ซึ่งเป็นผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยการควบรวมนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่จำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจากตะวันตก

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการควบรวม Hygon และ Sugon
    ✅ Hygon เป็นบริษัทที่เคยใช้สถาปัตยกรรม Zen ของ AMD แต่ปัจจุบันพัฒนาไมโครอาร์คิเทคเจอร์ของตนเอง
    - ล่าสุด เปิดตัวชิป C86-5G ที่มี 128 คอร์ และรองรับ DDR5-5600

    ✅ Sugon เป็นผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Chinese Academy of Sciences
    - ช่วยให้ จีนติดอันดับ 3 ของโลกในด้านซูเปอร์คอมพิวเตอร์

    ✅ การควบรวมนี้เป็นการแลกเปลี่ยนหุ้น โดยหุ้นของทั้งสองบริษัทจะถูกนำออกจากตลาดเป็นเวลา 10 วัน
    - หลังจากนั้น บริษัทใหม่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้

    ✅ ทั้ง Hygon และ Sugon อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถเข้าถึงชิปจาก AMD, Intel และ Nvidia ได้โดยตรง
    - การควบรวมนี้ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองได้เร็วขึ้น

    ✅ นักวิเคราะห์คาดว่าการควบรวมนี้จะช่วยให้จีนสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และ Big Data ได้แข็งแกร่งขึ้น
    - เป็น ส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีนในการลดการพึ่งพาตะวันตก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/chinas-hygon-and-sugon-merge-to-form-a-vertically-integrated-supercomputing-giant-as-they-fend-off-us-sanctions
    Hygon และ Sugon รวมตัวเป็นยักษ์ใหญ่ด้านซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีน จีน กำลังสร้างอาณาจักรซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น ด้วยการควบรวม Hygon Information Technology ซึ่งเป็นผู้พัฒนาชิป และ Sugon ซึ่งเป็นผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยการควบรวมนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่จำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีจากตะวันตก 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการควบรวม Hygon และ Sugon ✅ Hygon เป็นบริษัทที่เคยใช้สถาปัตยกรรม Zen ของ AMD แต่ปัจจุบันพัฒนาไมโครอาร์คิเทคเจอร์ของตนเอง - ล่าสุด เปิดตัวชิป C86-5G ที่มี 128 คอร์ และรองรับ DDR5-5600 ✅ Sugon เป็นผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Chinese Academy of Sciences - ช่วยให้ จีนติดอันดับ 3 ของโลกในด้านซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ✅ การควบรวมนี้เป็นการแลกเปลี่ยนหุ้น โดยหุ้นของทั้งสองบริษัทจะถูกนำออกจากตลาดเป็นเวลา 10 วัน - หลังจากนั้น บริษัทใหม่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ✅ ทั้ง Hygon และ Sugon อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถเข้าถึงชิปจาก AMD, Intel และ Nvidia ได้โดยตรง - การควบรวมนี้ อาจช่วยให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองได้เร็วขึ้น ✅ นักวิเคราะห์คาดว่าการควบรวมนี้จะช่วยให้จีนสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และ Big Data ได้แข็งแกร่งขึ้น - เป็น ส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีนในการลดการพึ่งพาตะวันตก https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/chinas-hygon-and-sugon-merge-to-form-a-vertically-integrated-supercomputing-giant-as-they-fend-off-us-sanctions
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • ปูตินเรียกร้องให้รัสเซียลดการใช้ Microsoft และ Zoom พร้อมผลักดันซอฟต์แวร์ภายในประเทศ

    ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แสดงจุดยืนว่าบริษัทตะวันตกที่ออกจากรัสเซียหลังสงครามยูเครน ไม่ควรได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจในประเทศอีกต่อไป โดยระบุว่า Microsoft และ Zoom ควรถูก "จำกัด" และ "กำจัด" ในรัสเซีย พร้อมผลักดันให้ประเทศพัฒนา ซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มของตนเอง

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับนโยบายเทคโนโลยีของรัสเซีย
    ✅ Microsoft และ Zoom ยังคงถูกใช้งานในรัสเซีย แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะถอนตัวจากตลาดแล้ว
    - บริษัทในรัสเซีย ยังคงใช้ผลิตภัณฑ์ของ Microsoft และ Zoom แม้ว่าจะไม่มีการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ

    ✅ ปูตินระบุว่ารัสเซียต้องพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อรักษาอธิปไตยทางเทคโนโลยี
    - รัสเซีย มี MyOffice ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์ที่คล้ายกับ Microsoft Office

    ✅ รัสเซียกำลังพัฒนาเครื่องเล่นเกมที่ใช้ระบบปฏิบัติการและบริการคลาวด์ของตนเอง
    - เครื่องเล่นเกมบางรุ่น ใช้ชิป Elbrus ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ

    ✅ แม้ว่ารัสเซียจะพยายามลดการพึ่งพาผลิตภัณฑ์ตะวันตก แต่ยังคงมีการนำเข้า Intel และ AMD ผ่านช่องทางอื่น
    - ชิปเหล่านี้ ถูกนำเข้าผ่านประเทศที่สามและมักถูกรีแบรนด์เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

    ✅ รัสเซียเคยทดสอบการตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตโลกในปี 2024
    - แม้แต่ VPN ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดนี้ได้

    https://www.techspot.com/news/108070-putin-calls-throttling-microsoft-zoom-russia-urges-development.html
    ปูตินเรียกร้องให้รัสเซียลดการใช้ Microsoft และ Zoom พร้อมผลักดันซอฟต์แวร์ภายในประเทศ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แสดงจุดยืนว่าบริษัทตะวันตกที่ออกจากรัสเซียหลังสงครามยูเครน ไม่ควรได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจในประเทศอีกต่อไป โดยระบุว่า Microsoft และ Zoom ควรถูก "จำกัด" และ "กำจัด" ในรัสเซีย พร้อมผลักดันให้ประเทศพัฒนา ซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มของตนเอง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับนโยบายเทคโนโลยีของรัสเซีย ✅ Microsoft และ Zoom ยังคงถูกใช้งานในรัสเซีย แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะถอนตัวจากตลาดแล้ว - บริษัทในรัสเซีย ยังคงใช้ผลิตภัณฑ์ของ Microsoft และ Zoom แม้ว่าจะไม่มีการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ✅ ปูตินระบุว่ารัสเซียต้องพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อรักษาอธิปไตยทางเทคโนโลยี - รัสเซีย มี MyOffice ซึ่งเป็นชุดซอฟต์แวร์ที่คล้ายกับ Microsoft Office ✅ รัสเซียกำลังพัฒนาเครื่องเล่นเกมที่ใช้ระบบปฏิบัติการและบริการคลาวด์ของตนเอง - เครื่องเล่นเกมบางรุ่น ใช้ชิป Elbrus ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ✅ แม้ว่ารัสเซียจะพยายามลดการพึ่งพาผลิตภัณฑ์ตะวันตก แต่ยังคงมีการนำเข้า Intel และ AMD ผ่านช่องทางอื่น - ชิปเหล่านี้ ถูกนำเข้าผ่านประเทศที่สามและมักถูกรีแบรนด์เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร ✅ รัสเซียเคยทดสอบการตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตโลกในปี 2024 - แม้แต่ VPN ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดนี้ได้ https://www.techspot.com/news/108070-putin-calls-throttling-microsoft-zoom-russia-urges-development.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Putin calls for "throttling" Microsoft and Zoom in Russia, urges development of domestic alternatives
    Microsoft was one of many companies to suspend sales in Russia and start removing its presence from the country following the start of Putin's "special operation" in...
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • TSMC ยังไม่ตัดสินใจใช้เทคโนโลยี High-NA EUV ของ ASML แม้ Intel เตรียมใช้งาน

    TSMC ยังคงประเมินว่าเทคโนโลยี High-NA EUV ของ ASML จะคุ้มค่าต่อการใช้งานหรือไม่ แม้ว่าจะมีข้อดีด้าน ความเร็วและความแม่นยำในการผลิตชิป แต่ราคาของเครื่องจักรนี้สูงถึง 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสองเท่าของเครื่อง EUV รุ่นปัจจุบัน

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ High-NA EUV และการตัดสินใจของ TSMC
    ✅ High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้สามารถผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงขึ้น
    - มี ความแม่นยำมากกว่าเครื่อง EUV รุ่นปัจจุบัน

    ✅ TSMC ยังไม่พบเหตุผลที่จำเป็นต้องใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต A14
    - บริษัท ยังคงพัฒนาเทคนิคเพื่อขยายอายุการใช้งานของเครื่อง EUV รุ่นเดิม

    ✅ Intel วางแผนใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A เพื่อแข่งขันกับ TSMC
    - แต่ลูกค้าของ Intel ยังสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีเดิมได้

    ✅ ASML คาดว่าลูกค้าจะเริ่มทดสอบ High-NA EUV สำหรับการผลิตจำนวนมากในปี 2026-2027
    - ก่อนที่จะ นำไปใช้กับกระบวนการผลิตขั้นสูงในอนาคต

    ✅ TSMC เคยระบุว่า A16 จะไม่ใช้ High-NA EUV เนื่องจากราคาสูงเกินไป
    - ปัจจุบัน มีเพียง 5 เครื่องที่ถูกส่งไปยัง Intel, TSMC และ Samsung

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/27/tsmc-still-evaluating-asml039s-039high-na039-as-intel-eyes-future-use
    TSMC ยังไม่ตัดสินใจใช้เทคโนโลยี High-NA EUV ของ ASML แม้ Intel เตรียมใช้งาน TSMC ยังคงประเมินว่าเทคโนโลยี High-NA EUV ของ ASML จะคุ้มค่าต่อการใช้งานหรือไม่ แม้ว่าจะมีข้อดีด้าน ความเร็วและความแม่นยำในการผลิตชิป แต่ราคาของเครื่องจักรนี้สูงถึง 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสองเท่าของเครื่อง EUV รุ่นปัจจุบัน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ High-NA EUV และการตัดสินใจของ TSMC ✅ High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้สามารถผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงขึ้น - มี ความแม่นยำมากกว่าเครื่อง EUV รุ่นปัจจุบัน ✅ TSMC ยังไม่พบเหตุผลที่จำเป็นต้องใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต A14 - บริษัท ยังคงพัฒนาเทคนิคเพื่อขยายอายุการใช้งานของเครื่อง EUV รุ่นเดิม ✅ Intel วางแผนใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A เพื่อแข่งขันกับ TSMC - แต่ลูกค้าของ Intel ยังสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีเดิมได้ ✅ ASML คาดว่าลูกค้าจะเริ่มทดสอบ High-NA EUV สำหรับการผลิตจำนวนมากในปี 2026-2027 - ก่อนที่จะ นำไปใช้กับกระบวนการผลิตขั้นสูงในอนาคต ✅ TSMC เคยระบุว่า A16 จะไม่ใช้ High-NA EUV เนื่องจากราคาสูงเกินไป - ปัจจุบัน มีเพียง 5 เครื่องที่ถูกส่งไปยัง Intel, TSMC และ Samsung https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/27/tsmc-still-evaluating-asml039s-039high-na039-as-intel-eyes-future-use
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TSMC still evaluating ASML's 'High-NA' as Intel eyes future use
    AMSTERDAM (Reuters) -Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (2330.TW), the world's largest contract chipmaker, is still assessing when it will use ASML's cutting-edge high numerical aperture (NA) machines for its future process nodes, an executive said on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง

    ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล

    ChatGPT in the ASEAN Market

    Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent.

    In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users.

    Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics.

    To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups.

    Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment.

    Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ครั้งแรกที่ทดลองเขียนบทความโดยใช้ ChatGPT หาข้อมูล ช่วยตรวจ และทำภาพประกอบ แต่ยังคงสำนวนของเราเอง ลองแปลภาษาอังกฤษ อันนี้โคตรตื่นเต้น ใช้ ChatGPT แปล ChatGPT in the ASEAN Market Artificial intelligence (AI) is playing an increasingly significant role in everyday life—especially through platforms like ChatGPT, an interactive assistant capable of understanding and responding to human language in a wide variety of contexts. From planning and problem-solving to providing daily advice, ChatGPT has become a go-to tool for many. Currently, it boasts around 800 million users worldwide, with approximately 122 million daily active users. It operates in a competitive field alongside major technology platforms such as Google, Microsoft, and Meta, as well as rising competitors from Asia like DeepSeek, Baidu, Alibaba, and Tencent. In Thailand, while the core user base consists of coders, programmers, and those generating AI visuals, ChatGPT is gradually gaining broader recognition for its role in content creation and ideation. About 14% of Thailand's population of 65.89 million are estimated to be users. Looking across the ASEAN region, which has a combined population of roughly 600 million, Indonesia leads in user share with around 32% of its 283.48 million citizens using the platform. The Philippines follows with an estimated 28% of its population (roughly 119 million) engaging with ChatGPT. In Singapore, usage is widespread among high-income, well-educated groups, while Malaysia is seeing steady growth, particularly among tech-savvy users. However, the region still faces significant challenges, including disparities in access to high-speed internet, AI-compatible devices, and the relatively high cost of AI services for certain demographics. To address these barriers, OpenAI, the US-based AI company behind ChatGPT, has begun collaborating with telecom providers across Southeast Asia. For example, in Laos, ChatGPT is accessible via the Unitel network; in Malaysia, CelcomDigi is planning to introduce AI-powered add-on services; and in Singapore, Singtel has started bundling AI services into consumer packages. In the Philippines, usage remains limited, while Indonesia is piloting AI services with select customer groups. Although Thailand has not yet officially launched ChatGPT service packages, interest is high and discussions with major telecom providers are reportedly underway. Meanwhile, Vietnam, Cambodia, Myanmar, and Brunei remain in the early or pilot phases of deployment. Overall, ASEAN markets are showing increased interest and activity around AI services, even though adoption rates have yet to match those in Europe or the United States. Partnerships between OpenAI and regional telecom providers are expected to be key in expanding ChatGPT’s accessibility and integration across broader segments of the population.
    ChatGPT ในตลาดอาเซียน

    เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม ChatGPT ซึ่งเป็นผู้ช่วยโต้ตอบที่สามารถเข้าใจและตอบสนองภาษามนุษย์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในด้านการวางแผน แก้ปัญหา และให้คำแนะนำในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 800 ล้านคน โดยมีผู้ใช้งานประจำวันราว 122 ล้านคน ท่ามกลางการแข่งขันกับแพลตฟอร์มจากค่ายเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Google, Microsoft, Meta ตลอดจนคู่แข่งจากฝั่งเอเชีย เช่น DeepSeek, Baidu, Alibaba และ Tencent

    สำหรับประเทศไทย แม้กลุ่มผู้ใช้งานหลักจะอยู่ในสายโค้ดดิ้ง โปรแกรมมิ่ง หรือการสร้างภาพ AI แต่ ChatGPT ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้านการใช้สร้างสรรค์เนื้อหาและแนวคิดใหม่ๆ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานประมาณ 14% จากประชากร 65.89 ล้านคน

    หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอาเซียน ซึ่งมีประชากรรวมราว 600 ล้านคน พบว่า อินโดนีเซียมีสัดส่วนผู้ใช้งานสูงที่สุด ประมาณ 32% ของประชากร 283.48 ล้านคน รองลงมาคือฟิลิปปินส์ ที่มีผู้ใช้งานประมาณ 28% จากประชากรราว 119 ล้านคน ส่วนสิงคโปร์มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในกลุ่มที่มีรายได้สูงและการศึกษาดี ขณะที่มาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้สนใจเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของภูมิภาคนี้ยังอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ที่รองรับ AI และต้นทุนบริการที่ยังถือว่าสูงสำหรับประชากรบางส่วน

    ที่ผ่านมา OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทด้าน AI จากสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัวโครงการ “OpenAI for Countries” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการเข้าถึง ChatGPT ในระดับประเทศ ขณะที่สิงคโปร์ OpenAI ได้ประกาศความร่วมมือกับโครงการ AI Singapore ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างรัฐบาลและสถาบันการศึกษา เพื่อส่งเสริมการนำ AI มาใช้ในประเทศ ส่วนประเทศอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และผ่านเว็บไซต์

    โดยรวมแล้ว ตลาดอาเซียนกำลังตื่นตัวต่อบริการ AI มากขึ้น แม้ยังไม่เทียบเท่าตลาดยุโรปหรือสหรัฐฯ ความร่วมมือระหว่าง OpenAI กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในภูมิภาค จึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายการเข้าถึง ChatGPT ให้ครอบคลุมประชากรในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

    #Newskit
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
  • ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM ⁉️

    💡 ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้:

    ✅ ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ
    ✅ ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้
    ✅ การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน
    ✅ การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง

    💡 แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต
    RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้:
    ✅ การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม:
    👉 IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก
    👉 ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์
    👉 AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870
    👉 อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต
    ✅การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86
    ✅ การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ

    💡 โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต
    ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้:
    ✅ การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์
    ✅ การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล
    ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V
    ✅ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้

    💡 รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V
    การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:

    🛍️ การซื้อ ARM License
    ✅ ข้อดี:
    👉 มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
    👉 เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที
    👉 เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น

    ❌ ข้อเสีย:
    👉 ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee
    👉 ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง

    🛍️ การทุ่มกับ RISC-V
    ✅ ข้อดี:
    👉 ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน
    👉 สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย
    👉 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
    👉 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค

    ❌ ข้อเสีย:
    👉 Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา
    👉 มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

    💡 ข้อเสนอแนะ
    ⏲️ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ
    ⏲️ ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V
    ⏲️ แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม

    💡 บทสรุป
    RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    ประเทศไทย กับทางเลือก ด้านเทคโนโลยี CPU Processor - RISC-V หรือ ARM ⁉️ 💡 ความสำคัญของ CPU RISC-V ในปัจจุบัน RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมชุดคำสั่ง (Instruction Set Architecture - ISA) แบบ RISC ที่เป็นโอเพนซอร์ส ภายใต้ใบอนุญาต BSD ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถนำไปพัฒนา ปรับแต่ง หรือผลิตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์หรือค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ความสำคัญในปัจจุบันมีดังนี้: ✅ ลดต้นทุนการพัฒนา: ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ ✅ ความยืดหยุ่นสูง: ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งชุดคำสั่งให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางได้ ✅ การสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ: บริษัทใหญ่ เช่น Google, Alibaba, Qualcomm และ Intel ได้ให้ความสนใจและนำ RISC-V ไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ของตน ✅ การใช้งานที่หลากหลาย: ปัจจุบัน RISC-V ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ IoT ระบบฝังตัว และการประมวลผลขั้นสูง 💡 แนวโน้มการพัฒนาและใช้งานในอนาคต RISC-V มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าจะมีการส่งมอบ RISC-V cores ถึง 80 พันล้านอันภายในปี 2025 แนวโน้มที่น่าสนใจมีดังนี้: ✅ การขยายสู่หลากหลายอุตสาหกรรม: 👉 IoT: ด้วยความประหยัดพลังงานและขนาดเล็ก 👉 ยานยนต์: ใช้ในระบบควบคุมและเซ็นเซอร์ 👉 AI และคลาวด์: การพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูง เช่น SiFive P870 👉 อุปกรณ์พกพา: เช่น แล็ปท็อปและแท็บเล็ต ✅การพัฒนาประสิทธิภาพ: มีการออกแบบ RISC-V cores ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแข่งขันกับสถาปัตยกรรมอื่น เช่น ARM และ x86 ✅ การสนับสนุนจากชุมชนและรัฐบาล: หลายประเทศเริ่มลงทุนใน RISC-V เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ 💡 โอกาสของธุรกิจไทยในการพัฒนา ขาย หรือใช้งาน RISC-V ในอนาคต ธุรกิจไทยมีโอกาสที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จาก RISC-V ดังนี้: ✅ การพัฒนาฮาร์ดแวร์: สามารถออกแบบและผลิต CPU/MCU โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ และปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น IoT หรือยานยนต์ ✅ การแข่งขันในตลาดโลก: สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ RISC-V เพื่อส่งออกไปยังตลาดสากล ✅ การพัฒนาซอฟต์แวร์: สร้างแอปพลิเคชันและระบบที่รองรับ RISC-V ✅ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ธุรกิจไทยสามารถกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้ 💡 รัฐบาลไทยควรซื้อ ARM License หรือทุ่มกับ RISC-V การตัดสินใจของรัฐบาลไทยขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้: 🛍️ การซื้อ ARM License ✅ ข้อดี: 👉 มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก 👉 เอกชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับ ARM ได้ทันที 👉 เหมาะสำหรับการเข้าสู่ตลาดระยะสั้น ❌ ข้อเสีย: 👉 ค่าใช้จ่ายสูงทั้งในส่วนของไลเซนส์และ Royalty Fee 👉 ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งอาจขัดกับนโยบายพึ่งพาตนเอง 🛍️ การทุ่มกับ RISC-V ✅ ข้อดี: 👉 ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ช่วยลดต้นทุน 👉 สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของไทย 👉 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ 👉 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวและเป็นผู้นำในภูมิภาค ❌ ข้อเสีย: 👉 Ecosystem ยังไม่สมบูรณ์เท่า ARM อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา 👉 มีความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ 💡 ข้อเสนอแนะ ⏲️ระยะสั้น : การซื้อ ARM License อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้เอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้ทันที คล้ายกับที่มาเลเซียทำ ⏲️ ระยะยาว: รัฐบาลควรลงทุนใน RISC-V ควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำของ RISC-V ⏲️ แนวทางผสมผสาน: สนับสนุนทั้ง ARM และ RISC-V โดยให้เอกชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย RISC-V ในสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรม 💡 บทสรุป RISC-V มีความสำคัญในปัจจุบันจากความเป็นโอเพนซอร์สและการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ แนวโน้มในอนาคตแสดงถึงการเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจไทยมีโอกาสในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดโลกด้วย RISC-V ส่วนรัฐบาลไทยควรพิจารณาทั้ง ARM และ RISC-V โดยเน้น RISC-V ในระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • Linux 6.15 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ

    Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux 6.15 อย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การพัฒนาไดรเวอร์กราฟิก, ระบบไฟล์, เครือข่าย และความปลอดภัย รวมถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีข้อถกเถียงในชุมชนผู้พัฒนา

    🔍 ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญใน Linux 6.15
    ✅ Nova: ไดรเวอร์กราฟิกใหม่ที่ใช้ Rust สำหรับ NVIDIA GPUs รุ่นใหม่
    - เป็น ตัวแทนของ Nouveau ที่รองรับ GSP-based GPUs

    ✅ Intel Xe driver รองรับ Shared Virtual Memory (SVM) และสามารถรายงานอุณหภูมิ GPU และ VRAM
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอได้ดีขึ้น

    ✅ เพิ่ม fwctl subsystem เพื่อจัดการเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ใน user-space
    - แม้ว่าจะช่วยให้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา

    ✅ รองรับ Zero-copy receive (zcrx) ผ่าน io_uring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย
    - ลด การใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล

    ✅ เพิ่ม TCP_RTO_MAX_MS เพื่อควบคุมระยะเวลาการเชื่อมต่อใหม่ของ TCP
    - ช่วยให้ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสถียรมากขึ้น

    ✅ ระบบไฟล์ exFAT ลบไฟล์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
    - จาก 4 นาทีเหลือเพียง 1.6 วินาทีสำหรับไฟล์ขนาด 80GB

    ✅ Btrfs รองรับการบีบอัดแบบ zstd ระดับ -15 ถึง -1 เพื่อเพิ่มความเร็ว
    - แม้ว่าจะลดอัตราการบีบอัด แต่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น

    ✅ ARM และ RISC-V ได้รับการปรับปรุงให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Google Pixel Pro 6 และ Milk-V Jupiter ITX
    - เพิ่ม ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ

    ✅ รองรับ Apple Touch Bar บน MacBook Pro รุ่น Intel และ M1/M2
    - สามารถ ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ปุ่มฟังก์ชันและการควบคุมแสง

    ✅ ไดรเวอร์ใหม่สำหรับคอนโทรลเลอร์ Xbox และ PlayStation 5
    - รองรับ Turtle Beach Recon, Stealth Ultra และ PowerA Wired Controller

    ‼️ fwctl subsystem อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและแนวทางการพัฒนา
    - มีข้อถกเถียงว่า ควรใช้ API ที่มีอยู่แทนการสร้างระบบใหม่

    ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน io_uring อาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาความปลอดภัย
    - Linus Torvalds ตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของฟีเจอร์นี้

    https://www.omgubuntu.co.uk/2025/05/linux-6-15-kernel-released
    Linux 6.15 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux 6.15 อย่างเป็นทางการ โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การพัฒนาไดรเวอร์กราฟิก, ระบบไฟล์, เครือข่าย และความปลอดภัย รวมถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีข้อถกเถียงในชุมชนผู้พัฒนา 🔍 ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญใน Linux 6.15 ✅ Nova: ไดรเวอร์กราฟิกใหม่ที่ใช้ Rust สำหรับ NVIDIA GPUs รุ่นใหม่ - เป็น ตัวแทนของ Nouveau ที่รองรับ GSP-based GPUs ✅ Intel Xe driver รองรับ Shared Virtual Memory (SVM) และสามารถรายงานอุณหภูมิ GPU และ VRAM - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของการ์ดจอได้ดีขึ้น ✅ เพิ่ม fwctl subsystem เพื่อจัดการเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ใน user-space - แม้ว่าจะช่วยให้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา ✅ รองรับ Zero-copy receive (zcrx) ผ่าน io_uring เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย - ลด การใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการรับข้อมูล ✅ เพิ่ม TCP_RTO_MAX_MS เพื่อควบคุมระยะเวลาการเชื่อมต่อใหม่ของ TCP - ช่วยให้ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสถียรมากขึ้น ✅ ระบบไฟล์ exFAT ลบไฟล์เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก - จาก 4 นาทีเหลือเพียง 1.6 วินาทีสำหรับไฟล์ขนาด 80GB ✅ Btrfs รองรับการบีบอัดแบบ zstd ระดับ -15 ถึง -1 เพื่อเพิ่มความเร็ว - แม้ว่าจะลดอัตราการบีบอัด แต่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ✅ ARM และ RISC-V ได้รับการปรับปรุงให้รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Google Pixel Pro 6 และ Milk-V Jupiter ITX - เพิ่ม ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ใหม่ ๆ ✅ รองรับ Apple Touch Bar บน MacBook Pro รุ่น Intel และ M1/M2 - สามารถ ใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น ปุ่มฟังก์ชันและการควบคุมแสง ✅ ไดรเวอร์ใหม่สำหรับคอนโทรลเลอร์ Xbox และ PlayStation 5 - รองรับ Turtle Beach Recon, Stealth Ultra และ PowerA Wired Controller ‼️ fwctl subsystem อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและแนวทางการพัฒนา - มีข้อถกเถียงว่า ควรใช้ API ที่มีอยู่แทนการสร้างระบบใหม่ ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน io_uring อาจเพิ่มความซับซ้อนในการรักษาความปลอดภัย - Linus Torvalds ตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของฟีเจอร์นี้ https://www.omgubuntu.co.uk/2025/05/linux-6-15-kernel-released
    WWW.OMGUBUNTU.CO.UK
    Linux 6.15 Kernel Released, This is What's New
    Linux 6.15 kernel released with new NVIDIA Rust driver, major exFAT performance gains, controversial fwctl subsystem, and more hardware support.
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • Intel เปิดตัว Core Ultra 200: โปรเซสเซอร์เวิร์กสเตชันราคาประหยัดที่มาพร้อมประสิทธิภาพเหนือคู่แข่ง

    Intel เปิดตัวโปรเซสเซอร์ Core Ultra 200 สำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อปเวิร์กสเตชัน โดยชูจุดเด่นด้าน ประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งรวมถึง Core Ultra 200S สำหรับเดสก์ท็อป และ Core Ultra 200HX และ 200H สำหรับแล็ปท็อป

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Core Ultra 200
    ✅ Core Ultra 200S ให้ประสิทธิภาพมัลติเธรดสูงกว่า Ryzen 9 9950X ถึง 13%
    - ทดสอบด้วย Cinebench Multicore 2024

    ✅ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า Ryzen 9 9950X ถึง 11% ที่ 125W TDP
    - ช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ รองรับหน่วยความจำ DDR5 EEC สูงสุด 256GB-6400
    - พร้อม WiFi 6E และฟีเจอร์ Intel vPro สำหรับการจัดการระยะไกล

    ✅ Core Ultra 200HX ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า Ryzen AI 9 HX 375 ถึง 42% ในงานมัลติเธรด
    - และ สูงกว่า 8% ในงานซิงเกิลเธรด

    ✅ Core Ultra 200H มีแบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 21 ชั่วโมง
    - พร้อม Arc 140T iGPU สำหรับงานมืออาชีพและการเล่นเกม

    ✅ HP ZBook Furey 18 เป็นแล็ปท็อปเวิร์กสเตชันรุ่นแรกที่ใช้ Core Ultra 200HX
    - มีกำหนดวางจำหน่าย มิถุนายน 2025

    https://wccftech.com/intel-entry-level-workstation-desktops-laptops-core-ultra-200-arrow-lake-cpus/
    Intel เปิดตัว Core Ultra 200: โปรเซสเซอร์เวิร์กสเตชันราคาประหยัดที่มาพร้อมประสิทธิภาพเหนือคู่แข่ง Intel เปิดตัวโปรเซสเซอร์ Core Ultra 200 สำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อปเวิร์กสเตชัน โดยชูจุดเด่นด้าน ประสิทธิภาพสูงกว่าคู่แข่งในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งรวมถึง Core Ultra 200S สำหรับเดสก์ท็อป และ Core Ultra 200HX และ 200H สำหรับแล็ปท็อป 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Core Ultra 200 ✅ Core Ultra 200S ให้ประสิทธิภาพมัลติเธรดสูงกว่า Ryzen 9 9950X ถึง 13% - ทดสอบด้วย Cinebench Multicore 2024 ✅ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า Ryzen 9 9950X ถึง 11% ที่ 125W TDP - ช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ รองรับหน่วยความจำ DDR5 EEC สูงสุด 256GB-6400 - พร้อม WiFi 6E และฟีเจอร์ Intel vPro สำหรับการจัดการระยะไกล ✅ Core Ultra 200HX ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า Ryzen AI 9 HX 375 ถึง 42% ในงานมัลติเธรด - และ สูงกว่า 8% ในงานซิงเกิลเธรด ✅ Core Ultra 200H มีแบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 21 ชั่วโมง - พร้อม Arc 140T iGPU สำหรับงานมืออาชีพและการเล่นเกม ✅ HP ZBook Furey 18 เป็นแล็ปท็อปเวิร์กสเตชันรุ่นแรกที่ใช้ Core Ultra 200HX - มีกำหนดวางจำหน่าย มิถุนายน 2025 https://wccftech.com/intel-entry-level-workstation-desktops-laptops-core-ultra-200-arrow-lake-cpus/
    WCCFTECH.COM
    Intel Announces Entry-Level "Core Ultra 200" Workstation Desktop And Laptop CPUs
    Intel has unveiled a wide range of entry-level workstation solutions for consumers, featuring the Intel Arrow Lake "Core Ultra 200" CPUs.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • Smart App Control: ระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ของ Microsoft ที่ช่วยป้องกันมัลแวร์

    Microsoft เปิดตัว Smart App Control (SAC) ใน Windows 11 22H2 ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ ช่วยป้องกันแอปพลิเคชันที่ไม่ปลอดภัยและลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่อง โดยใช้แนวทาง "Guilty until proven innocent"

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Smart App Control
    ✅ SAC ใช้ระบบตรวจสอบแอปพลิเคชันผ่าน Microsoft Intelligence Security Graph
    - หากแอปพลิเคชัน ไม่มีข้อมูลความปลอดภัยที่ชัดเจน จะถูกบล็อกทันที

    ✅ SAC ทำงานร่วมกับ Windows Defender แต่มีแนวทางที่แตกต่างกัน
    - Windows Defender ใช้การตรวจสอบพฤติกรรมของแอปพลิเคชัน
    - SAC บล็อกแอปที่ไม่ผ่านการรับรองตั้งแต่แรก

    ✅ SAC ไม่สามารถปลดบล็อกแอปที่ถูกระบุว่าเป็นอันตรายได้
    - ต่างจาก Windows Defender ที่ สามารถตั้งค่าให้ยกเว้นบางแอปได้

    ✅ Microsoft ระบุว่า SAC ช่วยลดการใช้ทรัพยากรของเครื่องและเพิ่มความปลอดภัย
    - โดยเฉพาะ การป้องกันมัลแวร์แบบ Zero-Day และ Polymorphic Threats

    ✅ SAC มีช่วงทดลองใช้งานเพื่อประเมินว่าฟีเจอร์นี้เหมาะสมกับระบบของผู้ใช้หรือไม่
    - หาก SAC ถูกปิด จะไม่สามารถเปิดใช้งานใหม่ได้โดยไม่ติดตั้ง Windows ใหม่

    https://www.tomshardware.com/software/antivirus/microsofts-smart-app-control-blocks-malware-and-has-lighter-impact-on-your-pcs-performance
    Smart App Control: ระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ของ Microsoft ที่ช่วยป้องกันมัลแวร์ Microsoft เปิดตัว Smart App Control (SAC) ใน Windows 11 22H2 ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ ช่วยป้องกันแอปพลิเคชันที่ไม่ปลอดภัยและลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่อง โดยใช้แนวทาง "Guilty until proven innocent" 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Smart App Control ✅ SAC ใช้ระบบตรวจสอบแอปพลิเคชันผ่าน Microsoft Intelligence Security Graph - หากแอปพลิเคชัน ไม่มีข้อมูลความปลอดภัยที่ชัดเจน จะถูกบล็อกทันที ✅ SAC ทำงานร่วมกับ Windows Defender แต่มีแนวทางที่แตกต่างกัน - Windows Defender ใช้การตรวจสอบพฤติกรรมของแอปพลิเคชัน - SAC บล็อกแอปที่ไม่ผ่านการรับรองตั้งแต่แรก ✅ SAC ไม่สามารถปลดบล็อกแอปที่ถูกระบุว่าเป็นอันตรายได้ - ต่างจาก Windows Defender ที่ สามารถตั้งค่าให้ยกเว้นบางแอปได้ ✅ Microsoft ระบุว่า SAC ช่วยลดการใช้ทรัพยากรของเครื่องและเพิ่มความปลอดภัย - โดยเฉพาะ การป้องกันมัลแวร์แบบ Zero-Day และ Polymorphic Threats ✅ SAC มีช่วงทดลองใช้งานเพื่อประเมินว่าฟีเจอร์นี้เหมาะสมกับระบบของผู้ใช้หรือไม่ - หาก SAC ถูกปิด จะไม่สามารถเปิดใช้งานใหม่ได้โดยไม่ติดตั้ง Windows ใหม่ https://www.tomshardware.com/software/antivirus/microsofts-smart-app-control-blocks-malware-and-has-lighter-impact-on-your-pcs-performance
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
More Results