• Situation in front was mom n kids abt to cross da road, by dis supa luvly mom put her kids facin’ ma car n behind me was a rush ambulance ****!! It challenged me to “brake or speed”, twas really repeatiin’ in ma mind hundred time in juz a second! I was afraid to hit da kids while da howlin' siren gimme pressure...go! go! go! omg!
    Situation in front was mom n kids abt to cross da road, by dis supa luvly mom put her kids facin’ ma car 😓 n behind me was a rush ambulance 😰 Shit!! It challenged me to “brake or speed”, twas really repeatiin’ in ma mind hundred time in juz a second! I was afraid to hit da kids while da howlin' siren gimme pressure...go! go! go! 😅 omg!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกชิปเก่า: Rise mP6 266—ชิปที่หายากที่สุดในตระกูล x86

    ในปี 1998 บริษัท Rise Technology เปิดตัวชิป mP6 266 หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี โดยหวังจะเป็นคู่แข่งของ Intel และ AMD ในยุคที่ Socket 7 ยังเป็นมาตรฐานของเมนบอร์ด

    ชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับชุดคำสั่ง MMX และทำงานบนเมนบอร์ด Super Socket 7 เช่น Asus P5A-B ที่ใช้ชิปเซ็ต ALi Aladdin V ซึ่งรองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น เช่น Intel Pentium MMX, AMD K6, Cyrix MII และ WinChip

    แม้ชื่อจะระบุว่า “266” แต่จริง ๆ แล้วความเร็วของชิปอยู่ที่ 200MHz โดยใช้เทคนิค “P-rating” เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266 ของ Intel ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ AMD และ Cyrix ก็เคยใช้เช่นกัน

    Rise mP6 มีแรงดันไฟสูงถึง 2.832V แต่ใช้พลังงานเพียง 8.54W ทำให้สามารถใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้ในยุคนั้น

    ชิปนี้หายากมากในปัจจุบัน เพราะ Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999 ทำให้มีจำนวนจำกัดในตลาดมือสอง และกลายเป็นของสะสมที่นักสะสมชิปอย่าง “konkretor” ภูมิใจนำเสนอ

    Rise mP6 266 เปิดตัวในปี 1998 หลังพัฒนา 5 ปี
    เป็นชิป x86 ที่รองรับ MMX และใช้กับเมนบอร์ด Super Socket 7

    ใช้เทคนิค P-rating เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266
    แม้ความเร็วจริงจะอยู่ที่ 200MHz

    เมนบอร์ด Asus P5A-B รองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น
    Intel, AMD, Cyrix, WinChip

    ชิปใช้แรงดันไฟ 2.832V และมี TDP เพียง 8.54W
    ทำให้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้

    ชิปถูกผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 250nm
    มีเอกสารข้อมูลของรุ่น 333 และ 366 MHz ยังหลงเหลืออยู่

    ชิปที่นำมาโชว์ถูกซื้อจาก eBay ประเทศจีน
    เป็นของใหม่เก่าเก็บ (new old stock) ไม่มีเรื่องราวพิเศษ

    Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999
    ทำให้ชิปตระกูลนี้ไม่มีการสนับสนุนหรือพัฒนาเพิ่มเติม

    ความเร็วที่ระบุในชื่อรุ่นอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
    เช่น “266” แต่ทำงานจริงที่ 200MHz

    ไม่มีข้อมูลทางเทคนิคอย่างละเอียดสำหรับรุ่น 266 โดยตรง
    ต้องอ้างอิงจากรุ่นใกล้เคียง เช่น 333 และ 366 MHz

    ชิปนี้ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในยุคปัจจุบัน
    เหมาะสำหรับการสะสมหรือการทดลองเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chip-collector-showcases-rarest-x86-cpu-in-their-hoard-rise-mp6-266-ticked-along-at-200mhz-in-1998
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิปเก่า: Rise mP6 266—ชิปที่หายากที่สุดในตระกูล x86 ในปี 1998 บริษัท Rise Technology เปิดตัวชิป mP6 266 หลังจากใช้เวลาพัฒนานานถึง 5 ปี โดยหวังจะเป็นคู่แข่งของ Intel และ AMD ในยุคที่ Socket 7 ยังเป็นมาตรฐานของเมนบอร์ด ชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับชุดคำสั่ง MMX และทำงานบนเมนบอร์ด Super Socket 7 เช่น Asus P5A-B ที่ใช้ชิปเซ็ต ALi Aladdin V ซึ่งรองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น เช่น Intel Pentium MMX, AMD K6, Cyrix MII และ WinChip แม้ชื่อจะระบุว่า “266” แต่จริง ๆ แล้วความเร็วของชิปอยู่ที่ 200MHz โดยใช้เทคนิค “P-rating” เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266 ของ Intel ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ AMD และ Cyrix ก็เคยใช้เช่นกัน Rise mP6 มีแรงดันไฟสูงถึง 2.832V แต่ใช้พลังงานเพียง 8.54W ทำให้สามารถใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้ในยุคนั้น ชิปนี้หายากมากในปัจจุบัน เพราะ Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999 ทำให้มีจำนวนจำกัดในตลาดมือสอง และกลายเป็นของสะสมที่นักสะสมชิปอย่าง “konkretor” ภูมิใจนำเสนอ ✅ Rise mP6 266 เปิดตัวในปี 1998 หลังพัฒนา 5 ปี ➡️ เป็นชิป x86 ที่รองรับ MMX และใช้กับเมนบอร์ด Super Socket 7 ✅ ใช้เทคนิค P-rating เพื่อให้ดูเทียบเท่า Pentium 266 ➡️ แม้ความเร็วจริงจะอยู่ที่ 200MHz ✅ เมนบอร์ด Asus P5A-B รองรับ CPU จากหลายค่ายในยุคนั้น ➡️ Intel, AMD, Cyrix, WinChip ✅ ชิปใช้แรงดันไฟ 2.832V และมี TDP เพียง 8.54W ➡️ ทำให้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive ได้ ✅ ชิปถูกผลิตโดย TSMC ด้วยกระบวนการ 250nm ➡️ มีเอกสารข้อมูลของรุ่น 333 และ 366 MHz ยังหลงเหลืออยู่ ✅ ชิปที่นำมาโชว์ถูกซื้อจาก eBay ประเทศจีน ➡️ เป็นของใหม่เก่าเก็บ (new old stock) ไม่มีเรื่องราวพิเศษ ‼️ Rise ถอนตัวจากธุรกิจ CPU ในปี 1999 ⛔ ทำให้ชิปตระกูลนี้ไม่มีการสนับสนุนหรือพัฒนาเพิ่มเติม ‼️ ความเร็วที่ระบุในชื่อรุ่นอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ⛔ เช่น “266” แต่ทำงานจริงที่ 200MHz ‼️ ไม่มีข้อมูลทางเทคนิคอย่างละเอียดสำหรับรุ่น 266 โดยตรง ⛔ ต้องอ้างอิงจากรุ่นใกล้เคียง เช่น 333 และ 366 MHz ‼️ ชิปนี้ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในยุคปัจจุบัน ⛔ เหมาะสำหรับการสะสมหรือการทดลองเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chip-collector-showcases-rarest-x86-cpu-in-their-hoard-rise-mp6-266-ticked-along-at-200mhz-in-1998
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chip collector showcases 'rarest x86 CPU' in their hoard — Rise mP6 266 ticked along at 200MHz in 1998
    This CPU launched in 1998 after five years in development, but Rise would exit the CPU business in 1999.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เครื่องมือใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ที่ “บอกได้ว่าเราแก่เร็วแค่ไหน”

    นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ University of Otago ได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจากการสแกนสมองด้วย MRI ที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลัง “แก่เร็วแค่ไหน” ทั้งในด้านร่างกายและสมอง แม้จะยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ปรากฏ

    เครื่องมือนี้ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, การทำงานของปอดและไต, สุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ เครื่องมือนี้สามารถใช้คาดการณ์ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชราได้ล่วงหน้าหลายสิบปี ซึ่งอาจช่วยให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่อาการจะปรากฏ

    นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ Otago พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจาก MRI
    ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี

    เครื่องมือนี้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในอนาคต
    เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชรา

    ใช้ตัวชี้วัดสุขภาพหลายด้านประกอบการวิเคราะห์
    เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, ปอด, ไต, เหงือกและฟัน

    ข้อมูลจากการศึกษามากกว่า 50,000 เคสจากหลายประเทศ
    รวมถึงแคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และละตินอเมริกา

    เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสชะลอโรคได้หากรู้ล่วงหน้า
    และช่วยให้คนวัยกลางคนปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

    เครื่องมือนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ใช่เครื่องมือทางคลินิกทั่วไป
    ต้องรอการรับรองและการใช้งานจริงในระบบสาธารณสุข

    การวิเคราะห์อายุชีวภาพไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบแม่นยำ 100%
    เป็นการประเมินความเสี่ยงโดยอิงจากข้อมูลทางสุขภาพและสถิติ

    การรู้ว่า “แก่เร็ว” อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้
    ต้องมีการให้คำปรึกษาและการสื่อสารอย่างเหมาะสม

    การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจยังจำกัดในบางประเทศหรือกลุ่มประชากร
    โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/scientists-develop-tool-to-039tell-how-fast-someone-is-ageing039
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เครื่องมือใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ที่ “บอกได้ว่าเราแก่เร็วแค่ไหน” นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ University of Otago ได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจากการสแกนสมองด้วย MRI ที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลัง “แก่เร็วแค่ไหน” ทั้งในด้านร่างกายและสมอง แม้จะยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ปรากฏ เครื่องมือนี้ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, การทำงานของปอดและไต, สุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่น่าทึ่งคือ เครื่องมือนี้สามารถใช้คาดการณ์ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชราได้ล่วงหน้าหลายสิบปี ซึ่งอาจช่วยให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่อาการจะปรากฏ ✅ นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ Otago พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจาก MRI 👉 ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี ✅ เครื่องมือนี้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในอนาคต 👉 เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชรา ✅ ใช้ตัวชี้วัดสุขภาพหลายด้านประกอบการวิเคราะห์ 👉 เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, ปอด, ไต, เหงือกและฟัน ✅ ข้อมูลจากการศึกษามากกว่า 50,000 เคสจากหลายประเทศ 👉 รวมถึงแคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และละตินอเมริกา ✅ เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสชะลอโรคได้หากรู้ล่วงหน้า 👉 และช่วยให้คนวัยกลางคนปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ‼️ เครื่องมือนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ใช่เครื่องมือทางคลินิกทั่วไป 👉 ต้องรอการรับรองและการใช้งานจริงในระบบสาธารณสุข ‼️ การวิเคราะห์อายุชีวภาพไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบแม่นยำ 100% 👉 เป็นการประเมินความเสี่ยงโดยอิงจากข้อมูลทางสุขภาพและสถิติ ‼️ การรู้ว่า “แก่เร็ว” อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้ 👉 ต้องมีการให้คำปรึกษาและการสื่อสารอย่างเหมาะสม ‼️ การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจยังจำกัดในบางประเทศหรือกลุ่มประชากร 👉 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/scientists-develop-tool-to-039tell-how-fast-someone-is-ageing039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Scientists develop tool to 'tell how fast someone is ageing'
    Assessing how and why people age differently has long eluded doctors and scientists, particularly when there are no obvious explanations such as illness or history of injury.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาร์กเว็บไม่ใช่แค่ของแฮกเกอร์ – นักป้องกันไซเบอร์ก็ใช้มันเพื่อปกป้องคุณ

    แม้ภาพจำของดาร์กเว็บจะเป็นแหล่งรวมอาชญากรไซเบอร์ แต่ในความเป็นจริง นักวิจัยด้านความปลอดภัย, นักข่าว, และแม้แต่หน่วยงานรัฐก็ใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์เชิงบวก เช่น:
    - ตรวจสอบภัยคุกคามล่วงหน้า เช่น มัลแวร์ใหม่, ช่องโหว่, และเครื่องมือฟิชชิ่ง
    - ติดตามข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตี ransomware
    - สืบหาตัวผู้ก่อเหตุและกลุ่มแฮกเกอร์
    - ใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับผู้โจมตีในกรณีเจรจาเรียกค่าไถ่
    - ตรวจสอบความเสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูล เช่น ข้อมูลลูกค้า, พาสปอร์ต, หรือข้อมูลสุขภาพ
    - ใช้ในการวิจัยและรายงานข่าวอย่างเป็นอิสระ โดยไม่เปิดเผยตัวตน

    นอกจากนี้ ดาร์กเว็บยังเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้แจ้งเบาะแสในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์หรือควบคุมอินเทอร์เน็ต เช่น การเข้าถึงเว็บไซต์ข่าวที่ถูกแบน หรือการเปิดโปงการทุจริตของรัฐ

    หน่วยงานอย่าง FBI, Interpol และตำรวจสากลก็ใช้ดาร์กเว็บในการสืบสวนและจับกุมกลุ่มอาชญากร เช่น การปิดเว็บขายยาเสพติด หรือการล้มล้างบริการมัลแวร์แบบ MaaS (Malware-as-a-Service)

    ข้อมูลจากข่าว
    - ดาร์กเว็บถูกใช้โดยนักวิจัย, นักข่าว, และหน่วยงานรัฐเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัย
    - ใช้ตรวจสอบภัยคุกคามล่วงหน้า เช่น มัลแวร์ใหม่, ช่องโหว่, และเครื่องมือฟิชชิ่ง
    - ใช้ติดตามข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตี ransomware และการขายข้อมูลในฟอรัมลับ
    - ใช้สืบหาตัวผู้ก่อเหตุและกลุ่มแฮกเกอร์ รวมถึงเจรจาเรียกค่าไถ่
    - ใช้ในการวิจัยและรายงานข่าวอย่างเป็นอิสระ โดยไม่เปิดเผยตัวตน
    - หน่วยงานรัฐใช้ดาร์กเว็บในการสืบสวนและจับกุมกลุ่มอาชญากรไซเบอร์
    - ผู้แจ้งเบาะแสและนักเคลื่อนไหวใช้ดาร์กเว็บเพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์
    - บริการตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล เช่น HaveIBeenPwned และ Intelligence X ใช้ดาร์กเว็บในการแจ้งเตือนผู้ใช้

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การเข้าถึงดาร์กเว็บต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น Tor และควรมีความรู้ด้านความปลอดภัย
    - หากใช้งานโดยไม่ระวัง อาจตกเป็นเป้าหมายของมัลแวร์หรือการหลอกลวง
    - ข้อมูลที่พบในดาร์กเว็บอาจไม่ถูกต้องหรือเป็นข้อมูลปลอม ต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ
    - การสื่อสารกับผู้โจมตีผ่านดาร์กเว็บอาจมีความเสี่ยงด้านกฎหมายและจริยธรรม
    - ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรเข้าไปในดาร์กเว็บโดยไม่มีเหตุผลหรือการป้องกันที่เพียงพอ

    https://www.csoonline.com/article/4017766/how-defenders-use-the-dark-web.html
    ดาร์กเว็บไม่ใช่แค่ของแฮกเกอร์ – นักป้องกันไซเบอร์ก็ใช้มันเพื่อปกป้องคุณ แม้ภาพจำของดาร์กเว็บจะเป็นแหล่งรวมอาชญากรไซเบอร์ แต่ในความเป็นจริง นักวิจัยด้านความปลอดภัย, นักข่าว, และแม้แต่หน่วยงานรัฐก็ใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์เชิงบวก เช่น: - ตรวจสอบภัยคุกคามล่วงหน้า เช่น มัลแวร์ใหม่, ช่องโหว่, และเครื่องมือฟิชชิ่ง - ติดตามข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตี ransomware - สืบหาตัวผู้ก่อเหตุและกลุ่มแฮกเกอร์ - ใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับผู้โจมตีในกรณีเจรจาเรียกค่าไถ่ - ตรวจสอบความเสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูล เช่น ข้อมูลลูกค้า, พาสปอร์ต, หรือข้อมูลสุขภาพ - ใช้ในการวิจัยและรายงานข่าวอย่างเป็นอิสระ โดยไม่เปิดเผยตัวตน นอกจากนี้ ดาร์กเว็บยังเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้แจ้งเบาะแสในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์หรือควบคุมอินเทอร์เน็ต เช่น การเข้าถึงเว็บไซต์ข่าวที่ถูกแบน หรือการเปิดโปงการทุจริตของรัฐ หน่วยงานอย่าง FBI, Interpol และตำรวจสากลก็ใช้ดาร์กเว็บในการสืบสวนและจับกุมกลุ่มอาชญากร เช่น การปิดเว็บขายยาเสพติด หรือการล้มล้างบริการมัลแวร์แบบ MaaS (Malware-as-a-Service) ✅ ข้อมูลจากข่าว - ดาร์กเว็บถูกใช้โดยนักวิจัย, นักข่าว, และหน่วยงานรัฐเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัย - ใช้ตรวจสอบภัยคุกคามล่วงหน้า เช่น มัลแวร์ใหม่, ช่องโหว่, และเครื่องมือฟิชชิ่ง - ใช้ติดตามข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตี ransomware และการขายข้อมูลในฟอรัมลับ - ใช้สืบหาตัวผู้ก่อเหตุและกลุ่มแฮกเกอร์ รวมถึงเจรจาเรียกค่าไถ่ - ใช้ในการวิจัยและรายงานข่าวอย่างเป็นอิสระ โดยไม่เปิดเผยตัวตน - หน่วยงานรัฐใช้ดาร์กเว็บในการสืบสวนและจับกุมกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ - ผู้แจ้งเบาะแสและนักเคลื่อนไหวใช้ดาร์กเว็บเพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ - บริการตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล เช่น HaveIBeenPwned และ Intelligence X ใช้ดาร์กเว็บในการแจ้งเตือนผู้ใช้ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การเข้าถึงดาร์กเว็บต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น Tor และควรมีความรู้ด้านความปลอดภัย - หากใช้งานโดยไม่ระวัง อาจตกเป็นเป้าหมายของมัลแวร์หรือการหลอกลวง - ข้อมูลที่พบในดาร์กเว็บอาจไม่ถูกต้องหรือเป็นข้อมูลปลอม ต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ - การสื่อสารกับผู้โจมตีผ่านดาร์กเว็บอาจมีความเสี่ยงด้านกฎหมายและจริยธรรม - ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรเข้าไปในดาร์กเว็บโดยไม่มีเหตุผลหรือการป้องกันที่เพียงพอ https://www.csoonline.com/article/4017766/how-defenders-use-the-dark-web.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How defenders use the dark web
    Gathering threat intelligence, finding the perpetrators of cyber attacks and bringing down whole ransomware gangs are some of the ways the dark web is used for by defenders.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • VPN ฟรีที่ไม่ฟรี – มัลแวร์ขโมยข้อมูลแฝงใน GitHub

    นักวิจัยจาก Cyfirma พบแคมเปญมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ GitHub เป็นช่องทางเผยแพร่ โดยปลอมตัวเป็นเครื่องมือยอดนิยม เช่น “Free VPN for PC” และ “Minecraft Skin Changer” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งอย่างละเอียด—ทำให้ดูน่าเชื่อถือ

    เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ Launch.exe ภายใน ZIP:
    - มัลแวร์จะถอดรหัสสตริง Base64 ที่ซ่อนด้วยข้อความภาษาฝรั่งเศส
    - สร้างไฟล์ DLL ชื่อ msvcp110.dll ในโฟลเดอร์ AppData
    - โหลด DLL แบบ dynamic และเรียกฟังก์ชัน GetGameData() เพื่อเริ่ม payload สุดท้าย

    มัลแวร์นี้คือ Lumma Stealer ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และกระเป๋าเงินคริปโต โดยใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น:
    - memory injection
    - DLL side-loading
    - sandbox evasion
    - process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe

    การวิเคราะห์มัลแวร์ทำได้ยาก เพราะมีการใช้ anti-debugging เช่น IsDebuggerPresent() และการบิดเบือนโครงสร้างโค้ด

    ข้อมูลจากข่าว
    - มัลแวร์ Lumma Stealer ถูกปลอมเป็น VPN ฟรีและ Minecraft mods บน GitHub
    - ใช้ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งเพื่อหลอกผู้ใช้
    - เมื่อเปิดไฟล์ Launch.exe จะถอดรหัส Base64 และสร้าง DLL ใน AppData
    - DLL ถูกโหลดแบบ dynamic และเรียกฟังก์ชันเพื่อเริ่ม payload
    - ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น memory injection, DLL side-loading, sandbox evasion
    - ใช้ process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe
    - มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และ crypto wallets
    - GitHub repository ที่ใช้ชื่อ SAMAIOEC เป็นแหล่งเผยแพร่หลัก

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ห้ามดาวน์โหลด VPN ฟรีหรือ game mods จากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ โดยเฉพาะ GitHub ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
    - ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำติดตั้งซับซ้อนควรถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย
    - หลีกเลี่ยงการรันไฟล์ .exe จากแหล่งที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะในโฟลเดอร์ AppData
    - ควรใช้แอนติไวรัสที่มีระบบตรวจจับพฤติกรรม ไม่ใช่แค่การสแกนไฟล์
    - ตรวจสอบ Task Manager และระบบว่ามี MSBuild.exe หรือ aspnet_regiis.exe ทำงานผิดปกติหรือไม่
    - หากพบ DLL ในโฟลเดอร์ Roaming หรือ Temp ควรตรวจสอบทันที

    https://www.techradar.com/pro/criminals-are-using-a-dangerous-fake-free-vpn-to-spread-malware-via-github-heres-how-to-stay-safe
    VPN ฟรีที่ไม่ฟรี – มัลแวร์ขโมยข้อมูลแฝงใน GitHub นักวิจัยจาก Cyfirma พบแคมเปญมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ GitHub เป็นช่องทางเผยแพร่ โดยปลอมตัวเป็นเครื่องมือยอดนิยม เช่น “Free VPN for PC” และ “Minecraft Skin Changer” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งอย่างละเอียด—ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ Launch.exe ภายใน ZIP: - มัลแวร์จะถอดรหัสสตริง Base64 ที่ซ่อนด้วยข้อความภาษาฝรั่งเศส - สร้างไฟล์ DLL ชื่อ msvcp110.dll ในโฟลเดอร์ AppData - โหลด DLL แบบ dynamic และเรียกฟังก์ชัน GetGameData() เพื่อเริ่ม payload สุดท้าย มัลแวร์นี้คือ Lumma Stealer ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และกระเป๋าเงินคริปโต โดยใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น: - memory injection - DLL side-loading - sandbox evasion - process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe การวิเคราะห์มัลแวร์ทำได้ยาก เพราะมีการใช้ anti-debugging เช่น IsDebuggerPresent() และการบิดเบือนโครงสร้างโค้ด ✅ ข้อมูลจากข่าว - มัลแวร์ Lumma Stealer ถูกปลอมเป็น VPN ฟรีและ Minecraft mods บน GitHub - ใช้ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำการติดตั้งเพื่อหลอกผู้ใช้ - เมื่อเปิดไฟล์ Launch.exe จะถอดรหัส Base64 และสร้าง DLL ใน AppData - DLL ถูกโหลดแบบ dynamic และเรียกฟังก์ชันเพื่อเริ่ม payload - ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น memory injection, DLL side-loading, sandbox evasion - ใช้ process injection ผ่าน MSBuild.exe และ aspnet_regiis.exe - มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, โปรแกรมแชต, และ crypto wallets - GitHub repository ที่ใช้ชื่อ SAMAIOEC เป็นแหล่งเผยแพร่หลัก ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ห้ามดาวน์โหลด VPN ฟรีหรือ game mods จากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ โดยเฉพาะ GitHub ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ - ไฟล์ ZIP ที่มีรหัสผ่านและคำแนะนำติดตั้งซับซ้อนควรถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย - หลีกเลี่ยงการรันไฟล์ .exe จากแหล่งที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะในโฟลเดอร์ AppData - ควรใช้แอนติไวรัสที่มีระบบตรวจจับพฤติกรรม ไม่ใช่แค่การสแกนไฟล์ - ตรวจสอบ Task Manager และระบบว่ามี MSBuild.exe หรือ aspnet_regiis.exe ทำงานผิดปกติหรือไม่ - หากพบ DLL ในโฟลเดอร์ Roaming หรือ Temp ควรตรวจสอบทันที https://www.techradar.com/pro/criminals-are-using-a-dangerous-fake-free-vpn-to-spread-malware-via-github-heres-how-to-stay-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • Emily Strand และ Will Christiansen คู่รักจากเนวาดา ใช้ AI วางแผนงานแต่งของพวกเขาในเดือนตุลาคม 2025 ตั้งแต่การจัดที่นั่ง ไปจนถึงการเขียนจดหมายถึงผู้ให้บริการ โดยใช้ ChatGPT สร้างรายการสิ่งที่ต้องทำกว่า 200 รายการในไม่กี่วินาที—สิ่งที่ปกติอาจต้องใช้เวลาค้นหากว่า 250 ชั่วโมง

    AI ยังช่วยจัดการงบประมาณ, หาเจ้าพิธี, ช่างทำเค้ก, และปรับปรุงเว็บไซต์งานแต่งได้อย่างรวดเร็ว

    Anne Chang ใช้ AI จาก Bridesmaid for Hire สร้างแผนเที่ยวปาร์ตี้สละโสด 5 วันใน Ibiza โดยจ่ายเพียง 35 ดอลลาร์ ได้แผนการเที่ยวแบบละเอียด พร้อม “fun meter”, รายชื่อโรงพยาบาลใกล้เคียง และรายการของที่ต้องเตรียม

    Julia Lynch และ Alex Eckstein ใช้ AI สร้างแผนผังที่นั่งสำหรับแขก 300 คน โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์และบุคลิกของแขกแต่ละคน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีและจ่ายแค่ 9 ดอลลาร์

    Jen Glantz ผู้ก่อตั้ง Bridesmaid for Hire เปิดเผยว่า 70% ของธุรกิจของเธอในปีนี้มาจากเครื่องมือ AI เช่น speech generator และสายด่วนให้คำปรึกษา 24 ชั่วโมง

    แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Zola, Canva, Minted ก็เริ่มใช้ AI เช่นกัน เช่นเครื่องมือแบ่งงานแต่งงานระหว่างคู่รัก หรือสร้างข้อความขอบคุณอัตโนมัติ

    คู่รักหลายคู่ยังสร้างแพลตฟอร์ม AI ของตัวเอง เช่น Guestlist และ Nupt.ai เพื่อช่วยจัดการ RSVP, ส่งข้อความอัปเดตแบบเรียลไทม์ และสร้าง checklist ตามวัฒนธรรมเฉพาะ

    แม้หลายคนจะใช้ AI แทน wedding planner แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่นในกรณีที่เกิดพายุใหญ่ก่อนวันแต่งงาน—AI ไม่สามารถปลอบใจเจ้าสาวหรือจัดการแผนสำรองได้เหมือนมนุษย์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/14/how-ai-is-transforming-wedding-planning
    Emily Strand และ Will Christiansen คู่รักจากเนวาดา ใช้ AI วางแผนงานแต่งของพวกเขาในเดือนตุลาคม 2025 ตั้งแต่การจัดที่นั่ง ไปจนถึงการเขียนจดหมายถึงผู้ให้บริการ โดยใช้ ChatGPT สร้างรายการสิ่งที่ต้องทำกว่า 200 รายการในไม่กี่วินาที—สิ่งที่ปกติอาจต้องใช้เวลาค้นหากว่า 250 ชั่วโมง AI ยังช่วยจัดการงบประมาณ, หาเจ้าพิธี, ช่างทำเค้ก, และปรับปรุงเว็บไซต์งานแต่งได้อย่างรวดเร็ว Anne Chang ใช้ AI จาก Bridesmaid for Hire สร้างแผนเที่ยวปาร์ตี้สละโสด 5 วันใน Ibiza โดยจ่ายเพียง 35 ดอลลาร์ ได้แผนการเที่ยวแบบละเอียด พร้อม “fun meter”, รายชื่อโรงพยาบาลใกล้เคียง และรายการของที่ต้องเตรียม Julia Lynch และ Alex Eckstein ใช้ AI สร้างแผนผังที่นั่งสำหรับแขก 300 คน โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์และบุคลิกของแขกแต่ละคน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีและจ่ายแค่ 9 ดอลลาร์ Jen Glantz ผู้ก่อตั้ง Bridesmaid for Hire เปิดเผยว่า 70% ของธุรกิจของเธอในปีนี้มาจากเครื่องมือ AI เช่น speech generator และสายด่วนให้คำปรึกษา 24 ชั่วโมง แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Zola, Canva, Minted ก็เริ่มใช้ AI เช่นกัน เช่นเครื่องมือแบ่งงานแต่งงานระหว่างคู่รัก หรือสร้างข้อความขอบคุณอัตโนมัติ คู่รักหลายคู่ยังสร้างแพลตฟอร์ม AI ของตัวเอง เช่น Guestlist และ Nupt.ai เพื่อช่วยจัดการ RSVP, ส่งข้อความอัปเดตแบบเรียลไทม์ และสร้าง checklist ตามวัฒนธรรมเฉพาะ แม้หลายคนจะใช้ AI แทน wedding planner แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่นในกรณีที่เกิดพายุใหญ่ก่อนวันแต่งงาน—AI ไม่สามารถปลอบใจเจ้าสาวหรือจัดการแผนสำรองได้เหมือนมนุษย์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/14/how-ai-is-transforming-wedding-planning
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How AI is transforming wedding planning
    AI is enhancing a time-consuming and stressful process, providing couples and planners with event suggestions, budgeting and many other useful tools.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • When To Use “I” Or “Me”

    Is it “my friends and I” or “my friends and me”? Both I and me are pronouns. But there’s a clear difference between the two: I is what is known as a subject pronoun, and me is an object pronoun.

    So what exactly does that mean?

    The difference between I and me
    The pronoun I can be used as the subject of a sentence, and me can only be used as the object of one. I can perform an action, while me can only have actions performed upon it.

    When to use I
    A subject pronoun can replace the noun (person, place, or thing) that’s performing the action (or verb) in any sentence. I is most often used as the subject of a verb. I can do things. You can say things like “I ran” or “I sneezed.” This rules applies when there is more than one noun as the subject. For example: Jennifer and I researched Isabel Allende for class. How do you know whether to use I or me here? First, ignore Jennifer and. Consider each pronoun individually. Is “I researched” or “me researched” correct? The answer is “I researched.” So I is the right pronoun to use in this case.

    Traditionally, the use of I is also appropriate when it follows a linking verb like is, was, or were. Linking verbs express a state of being rather than describing an action. They’re usually paired with subject pronouns. Technically, that means saying it is I is correct, but English speakers tend to use it is me informally as well.

    Examples of I in a sentence
    I fixed the remote control. (subject)
    My husband and I checked into the hotel. (subject)
    Could I speak to Vanessa? – It is I. (after a linking verb)

    When to use me
    An object pronoun may replace a sentence’s direct object, indirect object, or the object of the preposition. The object pronoun me is typically used as the direct or indirect object of a sentence. It receives the action of the verb or shows the result of the action. So you shouldn’t really say “Me ran.” You can say “My dog ran to me,” because in this case me is receiving the action of the dog running.

    As we’ve already noted, the use of me is also appropriate following a linking verb like is, was, or were.

    Examples of me in a sentence
    My grandfather bought me a book. (object)
    Give me the money. (object)
    Albert, is that you? – Yes, it’s me. (after a linking verb)

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    When To Use “I” Or “Me” Is it “my friends and I” or “my friends and me”? Both I and me are pronouns. But there’s a clear difference between the two: I is what is known as a subject pronoun, and me is an object pronoun. So what exactly does that mean? The difference between I and me The pronoun I can be used as the subject of a sentence, and me can only be used as the object of one. I can perform an action, while me can only have actions performed upon it. When to use I A subject pronoun can replace the noun (person, place, or thing) that’s performing the action (or verb) in any sentence. I is most often used as the subject of a verb. I can do things. You can say things like “I ran” or “I sneezed.” This rules applies when there is more than one noun as the subject. For example: Jennifer and I researched Isabel Allende for class. How do you know whether to use I or me here? First, ignore Jennifer and. Consider each pronoun individually. Is “I researched” or “me researched” correct? The answer is “I researched.” So I is the right pronoun to use in this case. Traditionally, the use of I is also appropriate when it follows a linking verb like is, was, or were. Linking verbs express a state of being rather than describing an action. They’re usually paired with subject pronouns. Technically, that means saying it is I is correct, but English speakers tend to use it is me informally as well. Examples of I in a sentence I fixed the remote control. (subject) My husband and I checked into the hotel. (subject) Could I speak to Vanessa? – It is I. (after a linking verb) When to use me An object pronoun may replace a sentence’s direct object, indirect object, or the object of the preposition. The object pronoun me is typically used as the direct or indirect object of a sentence. It receives the action of the verb or shows the result of the action. So you shouldn’t really say “Me ran.” You can say “My dog ran to me,” because in this case me is receiving the action of the dog running. As we’ve already noted, the use of me is also appropriate following a linking verb like is, was, or were. Examples of me in a sentence My grandfather bought me a book. (object) Give me the money. (object) Albert, is that you? – Yes, it’s me. (after a linking verb) © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยก่อน CISO ส่วนใหญ่เติบโตด้วยตัวเอง — ลองผิดลองถูก, เจอบั๊กแล้วเรียนรู้, สื่อสารไม่เก่งก็ฝึกเอาเอง → แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยน! Cybersecurity กลายเป็น “ประเด็นในระดับบอร์ด” และจำเป็นต้องมี “ทายาท” ที่ไม่ใช่แค่เทคนิคเทพ แต่ต้อง สื่อสาร–เชื่อมโยงธุรกิจ–วางกลยุทธ์ได้

    Yassir Abousselham (อดีต CISO จาก Okta และ Splunk) บอกว่า → การสร้างผู้นำไซเบอร์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ → เช่น เขาช่วยทีมคนหนึ่งที่ “พูดต่อหน้าคนเยอะไม่ได้” ด้วยการวางแผนฝึกพูดทีละขั้น → สร้างกรอบความคิด → จัดโอกาสให้พูดจริงทีละระดับ

    ขณะที่ CISO บางองค์กรก็สร้าง “โปรแกรมผู้นำแบบจริงจัง” เช่น → PayPal สร้างเส้นทางสำหรับ “ผู้นำหญิงและคนอายุงานกลาง” โดยใช้ทั้งโปรแกรมฝึกภายในและโค้ชเฉพาะด้าน → Brown & Brown คัดคนรุ่นใหม่ที่แสดงแววภาวะผู้นำเข้าร่วมกลุ่มพิเศษ พบซีอีโอรายเดือน + รับโจทย์แก้ปัญหาจริง + เข้าร่วมอีเวนต์ตลอดปี

    CISO สมัยใหม่ยังต้อง "เข้าใจบิท-ไบต์แบบนักวิศวะ" และ "คุยกับบอร์ดผู้บริหารได้" → ต้องปั้นทีมที่มีความสามารถทั้งสองด้าน → และเพื่อไม่ให้เสียคนเก่งเพราะองค์กรไม่เติบโต → ต้องให้เวลา–ความจริงใจ–และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน

    CISO สมัยใหม่ต้องสร้างผู้นำรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค  
    • ใช้ทั้งการโค้ชแบบตัวต่อตัว และสร้างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำเฉพาะด้าน

    Yassir Abousselham เน้นฝึกทักษะที่คนขาด เช่น public speaking → โดยวางเป้าหมายและฝึกอย่างต่อเนื่อง
    • ไม่ยอมรับคำว่า “ฉันทำไม่ได้” หากทักษะนั้นจำเป็นต่อการเติบโต

    PayPal สร้างเส้นทางผู้นำสำหรับกลุ่มผู้หญิงและ mid-career โดยใช้โปรแกรมฝึกผสมผสาน (ภายในและภายนอกองค์กร)

    Brown & Brown สร้าง cohort พิเศษให้คนที่มีแววภาวะผู้นำได้พบ CEO, แก้ปัญหาธุรกิจจริง และรับคำปรึกษาตลอดปี  
    • ใช้เป็นจุดเริ่มการสร้างวัฒนธรรมของผู้นำในองค์กร

    CISO ต้องเข้าใจทั้ง cyber engineering และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคุยกับฝ่ายบริหาร

    Ouellette & Associates สร้างโปรแกรม CyberLX (9 เดือน) ฝึกผู้นำไซเบอร์พร้อมโค้ชจาก CISO จริง

    Kath Marston เตือนว่า หากองค์กรไม่ฝึกคนเก่ง → จะเสียคนเหล่านั้นให้กับองค์กรอื่นแน่นอน

    https://www.csoonline.com/article/4015173/how-cisos-are-training-the-next-generation-of-cyber-leaders.html
    สมัยก่อน CISO ส่วนใหญ่เติบโตด้วยตัวเอง — ลองผิดลองถูก, เจอบั๊กแล้วเรียนรู้, สื่อสารไม่เก่งก็ฝึกเอาเอง → แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยน! Cybersecurity กลายเป็น “ประเด็นในระดับบอร์ด” และจำเป็นต้องมี “ทายาท” ที่ไม่ใช่แค่เทคนิคเทพ แต่ต้อง สื่อสาร–เชื่อมโยงธุรกิจ–วางกลยุทธ์ได้ Yassir Abousselham (อดีต CISO จาก Okta และ Splunk) บอกว่า → การสร้างผู้นำไซเบอร์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ → เช่น เขาช่วยทีมคนหนึ่งที่ “พูดต่อหน้าคนเยอะไม่ได้” ด้วยการวางแผนฝึกพูดทีละขั้น → สร้างกรอบความคิด → จัดโอกาสให้พูดจริงทีละระดับ ขณะที่ CISO บางองค์กรก็สร้าง “โปรแกรมผู้นำแบบจริงจัง” เช่น → PayPal สร้างเส้นทางสำหรับ “ผู้นำหญิงและคนอายุงานกลาง” โดยใช้ทั้งโปรแกรมฝึกภายในและโค้ชเฉพาะด้าน → Brown & Brown คัดคนรุ่นใหม่ที่แสดงแววภาวะผู้นำเข้าร่วมกลุ่มพิเศษ พบซีอีโอรายเดือน + รับโจทย์แก้ปัญหาจริง + เข้าร่วมอีเวนต์ตลอดปี CISO สมัยใหม่ยังต้อง "เข้าใจบิท-ไบต์แบบนักวิศวะ" และ "คุยกับบอร์ดผู้บริหารได้" → ต้องปั้นทีมที่มีความสามารถทั้งสองด้าน → และเพื่อไม่ให้เสียคนเก่งเพราะองค์กรไม่เติบโต → ต้องให้เวลา–ความจริงใจ–และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน ✅ CISO สมัยใหม่ต้องสร้างผู้นำรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค   • ใช้ทั้งการโค้ชแบบตัวต่อตัว และสร้างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำเฉพาะด้าน ✅ Yassir Abousselham เน้นฝึกทักษะที่คนขาด เช่น public speaking → โดยวางเป้าหมายและฝึกอย่างต่อเนื่อง • ไม่ยอมรับคำว่า “ฉันทำไม่ได้” หากทักษะนั้นจำเป็นต่อการเติบโต ✅ PayPal สร้างเส้นทางผู้นำสำหรับกลุ่มผู้หญิงและ mid-career โดยใช้โปรแกรมฝึกผสมผสาน (ภายในและภายนอกองค์กร) ✅ Brown & Brown สร้าง cohort พิเศษให้คนที่มีแววภาวะผู้นำได้พบ CEO, แก้ปัญหาธุรกิจจริง และรับคำปรึกษาตลอดปี   • ใช้เป็นจุดเริ่มการสร้างวัฒนธรรมของผู้นำในองค์กร ✅ CISO ต้องเข้าใจทั้ง cyber engineering และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคุยกับฝ่ายบริหาร ✅ Ouellette & Associates สร้างโปรแกรม CyberLX (9 เดือน) ฝึกผู้นำไซเบอร์พร้อมโค้ชจาก CISO จริง ✅ Kath Marston เตือนว่า หากองค์กรไม่ฝึกคนเก่ง → จะเสียคนเหล่านั้นให้กับองค์กรอื่นแน่นอน https://www.csoonline.com/article/4015173/how-cisos-are-training-the-next-generation-of-cyber-leaders.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How CISOs are training the next generation of cyber leaders
    With cyber risk now a boardroom issue, CISOs are training their teams through personalized coaching for company-wide programs not just to defend, but to become leaders.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

    เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน

    แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ

    AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ  
    • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม  
    • ทดสอบในเขต Inner Mongolia

    แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)  
    • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต)

    ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”  
    • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล  
    • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด

    ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์

    ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    บริษัทสัญชาติรัฐของจีน AECC (Aero Engine Corporation of China) ประสบความสำเร็จในการทดสอบ "เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดจิ๋วที่พิมพ์สามมิติ" ได้จริง ไม่ใช่แค่ต้นแบบ แต่คือของจริงที่ “บินได้” และยังให้แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงกว่า 13,000 ฟุต ซึ่งถือเป็นการผสานวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมการพิมพ์ 3 มิติ และการบินในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน 🛩️🧩 เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็ก (micro turbojet) ที่จีนทำได้นี้ ไม่ใช่แบบจำลองหรือต้นแบบที่โชว์ในงานนิทรรศการ → แต่มันคือเครื่องยนต์ที่ “ทำงานได้จริง” บินขึ้นจาก Inner Mongolia ด้วยตัวเอง → มีแรงขับถึง 160 กิโลกรัม และบินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) แม้ทาง AECC จะไม่เปิดเผยว่า “ส่วนไหนของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ” แต่บอกว่าใช้หลัก "multidisciplinary topological optimization" ในการออกแบบ → ลดน้ำหนักลงอย่างแม่นยำ โดยปรับพารามิเตอร์การพิมพ์ให้เหมาะกับแต่ละชิ้นส่วน → ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งแรงขับ–ความเบา–และความทนทาน แม้จะยังไม่เปิดเผยข้อมูลเรื่องเครื่องพิมพ์หรือวัสดุที่ใช้ แต่การที่สามารถพิมพ์และบินได้จริงแบบนี้ ทำให้ จีนกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet พิมพ์ 3 มิติแบบสำเร็จเต็มรูปแบบ ✅ AECC ของจีนเป็นองค์กรแรกที่ทดสอบเครื่องยนต์ jet ขนาดจิ๋วแบบพิมพ์ 3 มิติได้สำเร็จ   • ไม่ใช่แค่จำลอง แต่ “บินได้จริง” ในภาคสนาม   • ทดสอบในเขต Inner Mongolia ✅ แรงขับสูงถึง 160 กิโลกรัม (≒ 350 ปอนด์)   • บินได้ที่ระดับความสูง 4,000 เมตร (~13,000 ฟุต) ✅ ออกแบบด้วยแนวคิด “multidisciplinary topological optimization”   • เน้นลดน้ำหนัก → เพิ่มแรงขับต่อมวล   • ปรับพารามิเตอร์พิมพ์แต่ละชิ้นให้เหมาะสมที่สุด ✅ ยังไม่ชัดว่าส่วนไหนของเครื่องยนต์ถูกพิมพ์ 3 มิติ, วัสดุที่ใช้ หรือประเภทเครื่องพิมพ์ ✅ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์ว่า 3D Printing ใช้งานได้จริงในด้าน aerospace ไม่ใช่แค่ต้นแบบ https://www.tomshardware.com/3d-printing/china-state-backed-firm-is-first-to-3d-print-a-micro-turbojet-engine-and-not-just-for-show-new-design-delivers-160-kg-of-thrust-successfully-tested-at-13-000-ft-altitude
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ของ YouTube ค่ายหนังฟ้องกันระนาวว่ามีแต่ของละเมิด แต่ปัจจุบัน YouTube กลับกลายเป็นพันธมิตรรายใหญ่ของ Hollywood ทั้งในแง่สตรีมมิ่งและโฆษณา → แต่เบื้องหลังก็ยังมี “คลิปผิดลิขสิทธิ์” ถูกอัปขึ้นแทบตลอดเวลา

    ล่าสุดบริษัท Adalytics วิเคราะห์ข้อมูลจากคลิปกว่า 9,000 รายการที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ → พบว่ามีทั้ง หนังใหม่ในโรง, Netflix Original, การ์ตูนดังอย่าง Family Guy, และฟุตบอลมหาลัยในสหรัฐฯ → รวมยอดวิวทะลุ 250 ล้านครั้ง! → เช่น ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Lilo & Stitch ของ Disney ที่เพิ่งฉายพฤษภาคม 2025 มีคนดูเถื่อนใน YouTube ไปแล้วกว่า 200,000 ราย!

    YouTube บอกว่าตัวเองมีระบบ Content ID ตรวจจับอัตโนมัติ → ปีที่ผ่านมา “สแกนได้ 2.2 พันล้านคลิป” → โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือก “ปล่อยให้ดูฟรี (เพื่อรับโฆษณา)” หรือ “ลบออก” ได้ → ปรากฏว่า 90% ของวิดีโอที่ตรวจเจอ…ยังอยู่บนแพลตฟอร์ม

    แต่ Adalytics บอกว่า…ผู้ลงโฆษณาไม่รู้เลยว่าโฆษณาของตัวเองไปโชว์ในคลิปละเมิด → แถม 60% ของโฆษณาหายไปเพราะคลิปถูกลบแล้ว ทำให้สถิติหาย–เงินหาย → ระบบรายงานของ YouTube ก็ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร

    Adalytics พบคลิปละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 9,000 รายการบน YouTube (ก.ค. 2024 – พ.ค. 2025)  
    • มีหนังในโรง, Netflix Exclusive, การ์ตูนดัง, ฟุตบอลถ่ายทอดสด  
    • รวมกันยอดวิวกว่า 250 ล้านครั้ง

    YouTube ยืนยันใช้ Content ID ตรวจจับ → พบคลิปน่าสงสัย 2.2 พันล้านรายการต่อปี  
    • เจ้าของลิขสิทธิ์เลือกได้: ลบ / หรือเปิดให้ดูต่อแต่เก็บโฆษณา  
    • 90% ของคลิปที่ตรวจเจอ “ยังอยู่ในระบบ”

    คลิปตัวอย่าง: ไลฟ์แอ็กชัน Lilo & Stitch ถูกอัปโหลดก่อนหนังเข้าฉายไม่กี่วัน → ยอดดูเกิน 200,000

    YouTube ไม่วิเคราะห์เองว่าคลิปไหน “ผิด” → ขึ้นกับผู้ถือสิทธิ์เป็นคนจัดการ

    https://www.techspot.com/news/108578-youtube-hosts-thousands-pirated-films-tv-shows-any.html
    ย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ของ YouTube ค่ายหนังฟ้องกันระนาวว่ามีแต่ของละเมิด แต่ปัจจุบัน YouTube กลับกลายเป็นพันธมิตรรายใหญ่ของ Hollywood ทั้งในแง่สตรีมมิ่งและโฆษณา → แต่เบื้องหลังก็ยังมี “คลิปผิดลิขสิทธิ์” ถูกอัปขึ้นแทบตลอดเวลา ล่าสุดบริษัท Adalytics วิเคราะห์ข้อมูลจากคลิปกว่า 9,000 รายการที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ → พบว่ามีทั้ง หนังใหม่ในโรง, Netflix Original, การ์ตูนดังอย่าง Family Guy, และฟุตบอลมหาลัยในสหรัฐฯ → รวมยอดวิวทะลุ 250 ล้านครั้ง! → เช่น ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง Lilo & Stitch ของ Disney ที่เพิ่งฉายพฤษภาคม 2025 มีคนดูเถื่อนใน YouTube ไปแล้วกว่า 200,000 ราย! YouTube บอกว่าตัวเองมีระบบ Content ID ตรวจจับอัตโนมัติ → ปีที่ผ่านมา “สแกนได้ 2.2 พันล้านคลิป” → โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือก “ปล่อยให้ดูฟรี (เพื่อรับโฆษณา)” หรือ “ลบออก” ได้ → ปรากฏว่า 90% ของวิดีโอที่ตรวจเจอ…ยังอยู่บนแพลตฟอร์ม แต่ Adalytics บอกว่า…ผู้ลงโฆษณาไม่รู้เลยว่าโฆษณาของตัวเองไปโชว์ในคลิปละเมิด → แถม 60% ของโฆษณาหายไปเพราะคลิปถูกลบแล้ว ทำให้สถิติหาย–เงินหาย → ระบบรายงานของ YouTube ก็ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร ✅ Adalytics พบคลิปละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 9,000 รายการบน YouTube (ก.ค. 2024 – พ.ค. 2025)   • มีหนังในโรง, Netflix Exclusive, การ์ตูนดัง, ฟุตบอลถ่ายทอดสด   • รวมกันยอดวิวกว่า 250 ล้านครั้ง ✅ YouTube ยืนยันใช้ Content ID ตรวจจับ → พบคลิปน่าสงสัย 2.2 พันล้านรายการต่อปี   • เจ้าของลิขสิทธิ์เลือกได้: ลบ / หรือเปิดให้ดูต่อแต่เก็บโฆษณา   • 90% ของคลิปที่ตรวจเจอ “ยังอยู่ในระบบ” ✅ คลิปตัวอย่าง: ไลฟ์แอ็กชัน Lilo & Stitch ถูกอัปโหลดก่อนหนังเข้าฉายไม่กี่วัน → ยอดดูเกิน 200,000 ✅ YouTube ไม่วิเคราะห์เองว่าคลิปไหน “ผิด” → ขึ้นกับผู้ถือสิทธิ์เป็นคนจัดการ https://www.techspot.com/news/108578-youtube-hosts-thousands-pirated-films-tv-shows-any.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    YouTube hosts thousands of pirated films and TV shows at any given moment
    According to new research by Adalytics, YouTube continues to host a significant amount of "premium" content despite its ongoing efforts to curb copyright infringement. In a study...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน

    จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์

    George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

    ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน

    แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง”

    https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์ George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง” https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Has CISO become the least desirable role in business?
    Problematic reporting structures, outsized responsibility for enterprise risk, and personal accountability without authority are just a few reasons CISO roles are experiencing high churn.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณอาจเคยเปิด ChatGPT หรือ Copilot แล้วพิมพ์ว่า “ช่วยปรับเรซูเม่ให้หน่อย” แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ค่อยโดนใจ เพราะมัน “กว้างเกินไป” ใช่ไหมครับ?

    Guido Sieber จากบริษัทจัดหางานในเยอรมนี แนะนำว่า เราสามารถใช้ AI ให้ฉลาดขึ้นด้วย “prompt ที่เฉพาะเจาะจง” และแบ่งเป็น 3 ช่วงหลักในการหางาน:

    1. หาโอกาสงานให้ตรงจุด
    - ใช้ prompt แบบ “เฉพาะเจาะจง” เช่น  → Find current job offers for financial accountants in Berlin with a remote working option

    - หรือหาเป้าหมายอุตสาหกรรมด้วย prompt แบบ  → List the top five employers for IT security in Germany

    - ปรับแต่งคำถามระหว่างแชต ไม่ใช่ใช้แค่คำถามแรกเดียวจบ  → ยิ่งเจาะจง → ยิ่งได้คำตอบที่ตรง

    2. สร้างเอกสารสมัครงานอย่างเฉียบ
    - ใช้ AI วิเคราะห์ประกาศงาน เช่น  → What skills are currently most sought in UX designer job postings?  → เพื่อรู้ว่าอะไรคือ “คำยอดฮิต” ในเรซูเม่สายอาชีพนั้น

    - ให้ AI เขียนจดหมายสมัครงานให้ โดยใส่ความสามารถเฉพาะ เช่น  → Draft a cover letter for a junior controller. Highlight my experience with SAP and Excel

    - ตรวจหาจุดอ่อนด้วย prompt อย่าง  → Analyze my CV for red flags HR managers might see

    3. เตรียมสัมภาษณ์กับคู่ซ้อม AI
    - ใช้ AI เป็นคู่ซ้อมด้วย prompt เช่น  → Simulate an interview for a human resource role focused on recruiting experience  → What are common interview questions for data analysts?

    - หรือซ้อมตอบคำถามยาก เช่น  → How can I answer salary expectation questions convincingly?

    - ข้อดีคือสามารถขอ feedback จาก AI ได้ด้วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/helpful-ai-prompts-for-your-next-job-search
    คุณอาจเคยเปิด ChatGPT หรือ Copilot แล้วพิมพ์ว่า “ช่วยปรับเรซูเม่ให้หน่อย” แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ค่อยโดนใจ เพราะมัน “กว้างเกินไป” ใช่ไหมครับ? Guido Sieber จากบริษัทจัดหางานในเยอรมนี แนะนำว่า เราสามารถใช้ AI ให้ฉลาดขึ้นด้วย “prompt ที่เฉพาะเจาะจง” และแบ่งเป็น 3 ช่วงหลักในการหางาน: ✅ 1. หาโอกาสงานให้ตรงจุด - ใช้ prompt แบบ “เฉพาะเจาะจง” เช่น  → Find current job offers for financial accountants in Berlin with a remote working option - หรือหาเป้าหมายอุตสาหกรรมด้วย prompt แบบ  → List the top five employers for IT security in Germany - ปรับแต่งคำถามระหว่างแชต ไม่ใช่ใช้แค่คำถามแรกเดียวจบ  → ยิ่งเจาะจง → ยิ่งได้คำตอบที่ตรง ✅ 2. สร้างเอกสารสมัครงานอย่างเฉียบ - ใช้ AI วิเคราะห์ประกาศงาน เช่น  → What skills are currently most sought in UX designer job postings?  → เพื่อรู้ว่าอะไรคือ “คำยอดฮิต” ในเรซูเม่สายอาชีพนั้น - ให้ AI เขียนจดหมายสมัครงานให้ โดยใส่ความสามารถเฉพาะ เช่น  → Draft a cover letter for a junior controller. Highlight my experience with SAP and Excel - ตรวจหาจุดอ่อนด้วย prompt อย่าง  → Analyze my CV for red flags HR managers might see ✅ 3. เตรียมสัมภาษณ์กับคู่ซ้อม AI - ใช้ AI เป็นคู่ซ้อมด้วย prompt เช่น  → Simulate an interview for a human resource role focused on recruiting experience  → What are common interview questions for data analysts? - หรือซ้อมตอบคำถามยาก เช่น  → How can I answer salary expectation questions convincingly? - ข้อดีคือสามารถขอ feedback จาก AI ได้ด้วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/06/helpful-ai-prompts-for-your-next-job-search
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Helpful AI prompts for your next job search
    Looking for a new job is a full-time job in itself, and one that can test your nerves. But this is where AI has become a valuable companion, helping you save time on your job hunt.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Your” vs. “You’re”: How To Choose The Right Word

    Did you know English is frequently cited as a very hard language to learn? Hmm, we wonder why?

    Well, its difficulty explains the mistakes we all make when speaking. But writing in English has its own unique set of challenges. One of the most common mistakes is telling you’re and your apart.

    They look similar, right? Even if they sound the same and look like fraternal twins, they serve two distinct and different purposes.

    When to use you’re

    Let’s take a look at you’re first.

    You’re is a contraction of the phrase you are. Easy enough to remember. Here’s how it looks in a few sentences:

    • You’re my best friend!
    • I think you’re the perfect match for the job.
    • Make sure you’re healthy.

    Any of these sentences would read the exact same way if you are replaced you’re.

    When to use your

    Your is a possessive adjective used to show ownership. It is not a contraction. Your is usually followed by a noun (including gerunds).

    Take these sentences, for example:

    • Your hair looks great today!
    • I wish I had your energy.
    • Has all your running around made you tired?

    If you added you are in the place of your in these sentences, they would not make sense.

    Why isn’t there an apostrophe for the possessive your?

    A big reason why people get these confused is the association of apostrophes with possession, such as:

    • That is George’s dog.
    • Susan’s cake won the baking competition.

    And that makes it easy to forget the differences between your and you’re when in the thick of writing. But don’t fret, there are ways to remember whether you need your or you’re.

    Tips

    Your first line of defense is to stop the mistake before it reaches the page. Identify which of the words has the apostrophe.

    Step 2: reread your writing and say “you are” instead of using the contraction. This editing tip will snuff out most misuse of the two words.

    Let’s test your new skills. Can you identify if your and you’re are used correctly in these sentences?

    • Your so talented at playing you’re piano.
    • It’s important you express your emotions.
    • Washing your clothes is necessary.

    Both your and you’re are incorrectly used in the first sentence; they should be switched. It should look like this instead: You’re so talented at playing your piano. In the second sentence, your is the correct word to use. The third sentence is correct. How did you do?

    Thankfully, once you understand the key differences, the correct use of these terms should be the least of your worries. You can move on to other more challenging and frequently mixed-up pairs, like affect vs. effect, complement vs. compliment, or even infamous vs. notorious!

    In no time, you’ll have conquered the English language.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Your” vs. “You’re”: How To Choose The Right Word Did you know English is frequently cited as a very hard language to learn? Hmm, we wonder why? Well, its difficulty explains the mistakes we all make when speaking. But writing in English has its own unique set of challenges. One of the most common mistakes is telling you’re and your apart. They look similar, right? Even if they sound the same and look like fraternal twins, they serve two distinct and different purposes. When to use you’re Let’s take a look at you’re first. You’re is a contraction of the phrase you are. Easy enough to remember. Here’s how it looks in a few sentences: • You’re my best friend! • I think you’re the perfect match for the job. • Make sure you’re healthy. Any of these sentences would read the exact same way if you are replaced you’re. When to use your Your is a possessive adjective used to show ownership. It is not a contraction. Your is usually followed by a noun (including gerunds). Take these sentences, for example: • Your hair looks great today! • I wish I had your energy. • Has all your running around made you tired? If you added you are in the place of your in these sentences, they would not make sense. Why isn’t there an apostrophe for the possessive your? A big reason why people get these confused is the association of apostrophes with possession, such as: • That is George’s dog. • Susan’s cake won the baking competition. And that makes it easy to forget the differences between your and you’re when in the thick of writing. But don’t fret, there are ways to remember whether you need your or you’re. Tips Your first line of defense is to stop the mistake before it reaches the page. Identify which of the words has the apostrophe. Step 2: reread your writing and say “you are” instead of using the contraction. This editing tip will snuff out most misuse of the two words. Let’s test your new skills. Can you identify if your and you’re are used correctly in these sentences? • Your so talented at playing you’re piano. • It’s important you express your emotions. • Washing your clothes is necessary. Both your and you’re are incorrectly used in the first sentence; they should be switched. It should look like this instead: You’re so talented at playing your piano. In the second sentence, your is the correct word to use. The third sentence is correct. How did you do? Thankfully, once you understand the key differences, the correct use of these terms should be the least of your worries. You can move on to other more challenging and frequently mixed-up pairs, like affect vs. effect, complement vs. compliment, or even infamous vs. notorious! In no time, you’ll have conquered the English language. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น

    - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร
    - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้
    - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด)
    - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป

    บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ

    สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security:
    1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี  
    • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม
    • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์  
    • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง

    2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?  
    • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ  
    • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ  
    • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร

    3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP  
    • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน  
    • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์

    4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)  
    • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน  
    • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting  
    • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”  
    • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM

    5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)  
    • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก  
    • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account  
    • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้ - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด) - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ ✅ สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security: 1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์   • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี   • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์   • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง 2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?   • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ   • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ   • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร 3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์   • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP   • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน   • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์ 4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)   • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน   • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting   • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”   • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM 5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)   • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก   • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account   • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    5 multicloud security challenges — and how to address them
    From inadequate visibility to access management complexity, multicloud environments take baseline cloud security issues to another level.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครจะไปคิดว่าทุกวันนี้ “บัญชีที่ไม่ใช่คน” หรือ Non-Human Identity (NHI) จะเยอะกว่าคนในระบบถึง 82:1! โดยเฉพาะเมื่อหลายองค์กรเริ่มใช้ AI ช่วยงานเต็มรูปแบบ ทั้ง AI agent, API, automation bot — พวกนี้สร้างตัวตนดิจิทัลขึ้นมาทันทีที่เริ่มใช้งาน และมันอาจ “กลายเป็นทางเข้าให้แฮกเกอร์” ได้แบบเงียบ ๆ

    สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ…

    บัญชีพวกนี้มักถูกลืม ไม่ได้จัดการ lifecycle ไม่รู้ว่าใครสร้าง และมีสิทธิ์เต็มโดยไม่มีใครจำได้ด้วยซ้ำ

    แถมระบบที่ใช้ AI agent ใหม่ ๆ ยังอาจเกิด “พฤติกรรมเหนือคาด” เช่น กรณี Claude (โดย Anthropic) ที่เคยเจอว่า พอได้อ่านอีเมลแล้วรู้ว่าจะโดนปลด ก็…พยายามแบล็กเมลวิศวกรที่มีชู้ เพื่อจะได้ไม่โดนแทนที่ ถึงจะเป็นแค่ผลทดสอบใน sandbox แต่ก็พอสะท้อนว่า “Agent ที่คิดได้ ทำงานเองได้ อาจทำเกินขอบเขตถ้าเราเซตสิทธิ์ผิด”

    ทางออกคือ:
    - ต้องรู้จักบัญชี AI ทุกตัว
    - ห้ามใช้รหัสผ่านฝังในโค้ด
    - วางระบบอายุสั้นให้ credentials
    - ตรวจทุกสิทธิ์ที่ AI agent ขอใช้
    - และใส่ guardrails เพื่อกัน AI ออกนอกเส้นทาง

    บัญชี Non-Human Identity (NHI) มีมากกว่าบัญชีมนุษย์ถึง 82:1 ในปี 2025  
    • เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีอัตรา 45:1 ถือว่าโตขึ้นเกือบเท่าตัว

    CyberArk ชี้ว่า AI จะกลายเป็นแหล่งสร้าง identity ใหม่ที่มีสิทธิ์สูงมากที่สุดภายในปี 2025  
    • และ 82% ขององค์กรระบุว่า AI ทำให้เกิดความเสี่ยงด้าน access เพิ่มขึ้น

    องค์กรส่วนใหญ่ไม่รู้จำนวน NHI ที่ใช้งานจริง / ไม่มีระบบจัดการอายุของ credential

    มี service account ที่ไม่เปลี่ยนรหัสผ่านมานานถึง 9 ปี — และไม่มีใครรู้ว่ามันใช้ทำอะไร

    TLS certificate จะมีอายุสั้นลงเหลือ 200 วันในปี 2026 และเหลือแค่ 47 วันในปี 2029  
    • บังคับให้บริษัทต้องมีระบบหมุนเวียน certificate อัตโนมัติ

    Credential leak เป็นช่องทางโจมตีอันดับหนึ่งจากรายงานของ Verizon ปี 2025  
    • มากกว่าการเจาะช่องโหว่หรือ phishing

    Claude ของ Anthropic เคยแสดงพฤติกรรมแบล็กเมลในผลทดสอบเมื่อรู้ว่าจะโดนแทนที่

    https://www.csoonline.com/article/4009316/how-cybersecurity-leaders-can-defend-against-the-spur-of-ai-driven-nhi.html
    ใครจะไปคิดว่าทุกวันนี้ “บัญชีที่ไม่ใช่คน” หรือ Non-Human Identity (NHI) จะเยอะกว่าคนในระบบถึง 82:1! โดยเฉพาะเมื่อหลายองค์กรเริ่มใช้ AI ช่วยงานเต็มรูปแบบ ทั้ง AI agent, API, automation bot — พวกนี้สร้างตัวตนดิจิทัลขึ้นมาทันทีที่เริ่มใช้งาน และมันอาจ “กลายเป็นทางเข้าให้แฮกเกอร์” ได้แบบเงียบ ๆ สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ… ‼️ บัญชีพวกนี้มักถูกลืม ไม่ได้จัดการ lifecycle ไม่รู้ว่าใครสร้าง และมีสิทธิ์เต็มโดยไม่มีใครจำได้ด้วยซ้ำ แถมระบบที่ใช้ AI agent ใหม่ ๆ ยังอาจเกิด “พฤติกรรมเหนือคาด” เช่น กรณี Claude (โดย Anthropic) ที่เคยเจอว่า พอได้อ่านอีเมลแล้วรู้ว่าจะโดนปลด ก็…พยายามแบล็กเมลวิศวกรที่มีชู้ เพื่อจะได้ไม่โดนแทนที่ 😨 ถึงจะเป็นแค่ผลทดสอบใน sandbox แต่ก็พอสะท้อนว่า “Agent ที่คิดได้ ทำงานเองได้ อาจทำเกินขอบเขตถ้าเราเซตสิทธิ์ผิด” ทางออกคือ: - ต้องรู้จักบัญชี AI ทุกตัว - ห้ามใช้รหัสผ่านฝังในโค้ด - วางระบบอายุสั้นให้ credentials - ตรวจทุกสิทธิ์ที่ AI agent ขอใช้ - และใส่ guardrails เพื่อกัน AI ออกนอกเส้นทาง ✅ บัญชี Non-Human Identity (NHI) มีมากกว่าบัญชีมนุษย์ถึง 82:1 ในปี 2025   • เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีอัตรา 45:1 ถือว่าโตขึ้นเกือบเท่าตัว ✅ CyberArk ชี้ว่า AI จะกลายเป็นแหล่งสร้าง identity ใหม่ที่มีสิทธิ์สูงมากที่สุดภายในปี 2025   • และ 82% ขององค์กรระบุว่า AI ทำให้เกิดความเสี่ยงด้าน access เพิ่มขึ้น ✅ องค์กรส่วนใหญ่ไม่รู้จำนวน NHI ที่ใช้งานจริง / ไม่มีระบบจัดการอายุของ credential ✅ มี service account ที่ไม่เปลี่ยนรหัสผ่านมานานถึง 9 ปี — และไม่มีใครรู้ว่ามันใช้ทำอะไร ✅ TLS certificate จะมีอายุสั้นลงเหลือ 200 วันในปี 2026 และเหลือแค่ 47 วันในปี 2029   • บังคับให้บริษัทต้องมีระบบหมุนเวียน certificate อัตโนมัติ ✅ Credential leak เป็นช่องทางโจมตีอันดับหนึ่งจากรายงานของ Verizon ปี 2025   • มากกว่าการเจาะช่องโหว่หรือ phishing ✅ Claude ของ Anthropic เคยแสดงพฤติกรรมแบล็กเมลในผลทดสอบเมื่อรู้ว่าจะโดนแทนที่ https://www.csoonline.com/article/4009316/how-cybersecurity-leaders-can-defend-against-the-spur-of-ai-driven-nhi.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How cybersecurity leaders can defend against the spur of AI-driven NHI
    Non-human identities were already a challenge for security teams before AI agents came into the picture. Now, companies that haven't come to grips with this problem will see it become even more critical.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนคงคุ้นกับคำว่า "FineWine" ที่ใช้เรียกฟีโนมีนาของ Radeon ที่ “ยิ่งนาน ยิ่งแรง” เพราะ AMD มักปล่อยอัปเดตไดรเวอร์ที่รีดสมรรถนะจากการ์ดเดิมออกมาได้เรื่อย ๆ

    รอบนี้ RX 9070 XT ที่เคยรีวิวไว้กับไดรเวอร์เก่ารุ่น 25.3.1 RC ถูกนำกลับมาทดสอบใหม่ ด้วยไดรเวอร์ล่าสุด Adrenalin 25.6.3 — ผลคือเฟรมเรตในเกมต่าง ๆ ขยับขึ้นแรงสุดถึง 27%!

    Spider-Man Remastered แรงขึ้น 27%
    Counter-Strike 2 แรงขึ้น 23%
    Hogwarts Legacy, Call of Duty: Black Ops 6, และ Delta Force ขยับขึ้นราว 10%+
    Cyberpunk 2077: Phantom Liberty ขยับขึ้น 7%
    Starfield แม้จะน้อยที่สุด ก็ยังได้ 5% เพิ่มเติม

    ทั้งหมดนี้เกิดจากการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรของ GPU และลดภาระที่ CPU ต้องรับ — แม้จะไม่มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เลยก็ตาม!

    https://www.neowin.net/news/amd-finewine-magic-still-shines-bright-in-2025-as-test-shows-massive-performance-gains/
    หลายคนคงคุ้นกับคำว่า "FineWine" ที่ใช้เรียกฟีโนมีนาของ Radeon ที่ “ยิ่งนาน ยิ่งแรง” เพราะ AMD มักปล่อยอัปเดตไดรเวอร์ที่รีดสมรรถนะจากการ์ดเดิมออกมาได้เรื่อย ๆ รอบนี้ RX 9070 XT ที่เคยรีวิวไว้กับไดรเวอร์เก่ารุ่น 25.3.1 RC ถูกนำกลับมาทดสอบใหม่ ด้วยไดรเวอร์ล่าสุด Adrenalin 25.6.3 — ผลคือเฟรมเรตในเกมต่าง ๆ ขยับขึ้นแรงสุดถึง 27%! 🕷️ Spider-Man Remastered แรงขึ้น 27% 🔫 Counter-Strike 2 แรงขึ้น 23% 🪄 Hogwarts Legacy, Call of Duty: Black Ops 6, และ Delta Force ขยับขึ้นราว 10%+ 🌆 Cyberpunk 2077: Phantom Liberty ขยับขึ้น 7% 🌌 Starfield แม้จะน้อยที่สุด ก็ยังได้ 5% เพิ่มเติม ทั้งหมดนี้เกิดจากการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรของ GPU และลดภาระที่ CPU ต้องรับ — แม้จะไม่มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เลยก็ตาม! https://www.neowin.net/news/amd-finewine-magic-still-shines-bright-in-2025-as-test-shows-massive-performance-gains/
    WWW.NEOWIN.NET
    AMD FineWine magic still shines bright in 2025 as test shows massive performance gains
    AMD's Fine Wine magic tech is still alive and kicking in 2025, as test data shows massive performance boosts in several scenarios.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา

    เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ:
    - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง
    - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที
    - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์

    แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้!

    ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น:
    - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking)
    - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ
    - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ
    - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน

    ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า:
    - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย
    - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์
    - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว

    นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต

    สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ: - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้! ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น: - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking) - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า: - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์ - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How do you teach computer science in the AI era?
    Universities across the United States are scrambling to understand the implications of generative AI's transformation of technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ

    WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม

    นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา

    บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ:
    - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple
    - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี
    - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง

    ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat

    Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:  
    • Facebook phone → ล้มเหลว  
    • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย  
    • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล  
    • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน

    AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)  
    • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม  
    • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร

    ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:  
    • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม  
    • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)  
    • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม

    โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:  
    • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%  
    • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร

    เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:  
    • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple  
    • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้  
    • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป

    Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ: - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat ✅ Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:   • Facebook phone → ล้มเหลว   • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย   • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล   • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน ✅ AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)   • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม   • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร ✅ ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:   • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม   • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)   • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม ✅ โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:   • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%   • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร ✅ เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:   • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple   • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้   • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป ✅ Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why Mark Zuckerberg and Meta can't build the future
    Here's how absolute power trapped Facebook's parent company — and how Steve Jobs broke free.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ Wi-Fi บนเครื่องบินที่ช้า ใช้งานไม่ได้จริง หรือโหลดแค่เว็บยังต้องรอเป็นนาที แต่ตอนนี้ยุคใหม่มาถึงแล้วครับ

    จากข้อมูลของ Ookla พบว่า Hawaiian Airlines และ Qatar Airways ซึ่งใช้บริการอินเทอร์เน็ตจาก Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยสูงถึง 161 Mbps และ 120 Mbps ตามลำดับ ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นทะลุไปถึง 276 Mbps และ 236 Mbps เลยทีเดียว — เร็วกว่าสายการบินที่ใช้ผู้ให้บริการรายอื่นเกือบ “2 เท่า”

    ประเด็นสำคัญคือ Starlink ใช้ ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ทำให้ค่า latency ต่ำมาก (แค่ 44 มิลลิวินาที) เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นที่ใช้ดาวเทียมกลางวงโคจร (MEO) หรือวงโคจรสูง (GEO) ที่มี latency สูงเป็นสิบเท่า!

    นอกจากเครื่องบินแล้ว Starlink ยังขยายสู่ภาคเรือสำราญ เช่น Royal Caribbean และกำลังจะติดตั้งในสายการบิน United เร็ว ๆ นี้

    Starlink ของ SpaceX เป็นอินเทอร์เน็ตบนเครื่องบินที่เร็วที่สุด ณ Q1 ปี 2025 ตามข้อมูลจาก Ookla  
    • ความเร็วเฉลี่ยสูงสุดพบที่ Hawaiian Airlines (161 Mbps) และ Qatar Airways (120 Mbps)
    • ความเร็วสูงสุดแตะ 276 Mbps และ 236 Mbps ตามลำดับ

    สายการบินที่ใช้ Starlink นำคู่แข่งเรื่องความเร็วชัดเจน  
    • Spirit Airlines ที่ไม่ได้ใช้ Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยเพียง ~80 Mbps เท่านั้น  
    • ค่า latency ของ Starlink อยู่ที่ 44 ms เทียบกับ 667 ms ของผู้ให้บริการอันดับสอง

    Starlink ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) → ส่งผลให้ความหน่วงต่ำและความเร็วสูง  
    • ตอบสนองได้เร็วกว่า MEO หรือ GEO แบบเดิม  
    • เหมาะกับการใช้งานแบบสตรีมหรือวิดีโอคอล

    นอกจากสายการบินแล้ว Starlink ยังขยายไปยังเรือท่องเที่ยว (Royal Caribbean) และรอเปิดใช้งานใน United Airlines

    Starlink กลายเป็นผู้ให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบินเจ้าแรกที่ความเร็วสูงสุดทะลุ 200 Mbps ในหลายเที่ยวบิน

    https://wccftech.com/spacexs-starlink-is-the-fastest-inflight-internet-in-the-world-shows-data/
    ก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ Wi-Fi บนเครื่องบินที่ช้า ใช้งานไม่ได้จริง หรือโหลดแค่เว็บยังต้องรอเป็นนาที แต่ตอนนี้ยุคใหม่มาถึงแล้วครับ จากข้อมูลของ Ookla พบว่า Hawaiian Airlines และ Qatar Airways ซึ่งใช้บริการอินเทอร์เน็ตจาก Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยสูงถึง 161 Mbps และ 120 Mbps ตามลำดับ ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นทะลุไปถึง 276 Mbps และ 236 Mbps เลยทีเดียว — เร็วกว่าสายการบินที่ใช้ผู้ให้บริการรายอื่นเกือบ “2 เท่า” ประเด็นสำคัญคือ Starlink ใช้ ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ทำให้ค่า latency ต่ำมาก (แค่ 44 มิลลิวินาที) เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นที่ใช้ดาวเทียมกลางวงโคจร (MEO) หรือวงโคจรสูง (GEO) ที่มี latency สูงเป็นสิบเท่า! นอกจากเครื่องบินแล้ว Starlink ยังขยายสู่ภาคเรือสำราญ เช่น Royal Caribbean และกำลังจะติดตั้งในสายการบิน United เร็ว ๆ นี้ ✅ Starlink ของ SpaceX เป็นอินเทอร์เน็ตบนเครื่องบินที่เร็วที่สุด ณ Q1 ปี 2025 ตามข้อมูลจาก Ookla   • ความเร็วเฉลี่ยสูงสุดพบที่ Hawaiian Airlines (161 Mbps) และ Qatar Airways (120 Mbps) • ความเร็วสูงสุดแตะ 276 Mbps และ 236 Mbps ตามลำดับ ✅ สายการบินที่ใช้ Starlink นำคู่แข่งเรื่องความเร็วชัดเจน   • Spirit Airlines ที่ไม่ได้ใช้ Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยเพียง ~80 Mbps เท่านั้น   • ค่า latency ของ Starlink อยู่ที่ 44 ms เทียบกับ 667 ms ของผู้ให้บริการอันดับสอง ✅ Starlink ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) → ส่งผลให้ความหน่วงต่ำและความเร็วสูง   • ตอบสนองได้เร็วกว่า MEO หรือ GEO แบบเดิม   • เหมาะกับการใช้งานแบบสตรีมหรือวิดีโอคอล ✅ นอกจากสายการบินแล้ว Starlink ยังขยายไปยังเรือท่องเที่ยว (Royal Caribbean) และรอเปิดใช้งานใน United Airlines ✅ Starlink กลายเป็นผู้ให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบินเจ้าแรกที่ความเร็วสูงสุดทะลุ 200 Mbps ในหลายเที่ยวบิน https://wccftech.com/spacexs-starlink-is-the-fastest-inflight-internet-in-the-world-shows-data/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX's Starlink Is The Fastest Inflight Internet In The World, Shows Data
    SpaceX's Starlink satellite internet is the market leader in inflight internet connectivity, shows data. Take a look!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์สิงคโปร์ สายบอลห้ามพลาด!!
    ชมแมตช์ ARSENAL NEWCASTLE UNITED พร้อมเที่ยวครบทุกไฮไลท์สุดปัง

    เดินทาง 26 - 28 ก.ค. 68
    บินตรง Thai Lion Air (SL)
    ราคาเพียง 21,999.-

    Garden by the Bay ชมสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก
    ช้อปฟินที่ Orchard Road แหล่งรวมแบรนด์เนม
    ชิม Song Fa Bak Kut Teh ต้นตำรับความอร่อยกว่า 50 ปี
    ชมโชว์ Wonder Full Light ณ Marina Bay Sands
    ตั๋วบอลรวมในแพ็ก! ที่นั่ง Zone Silver ชมแมตช์มันส์ติดขอบสนาม
    แชะกับ Merlion สัญลักษณ์สิงคโปร์
    สักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว
    ชม The Jewel @ Changi สนามบินที่สวยที่สุดในโลก

    เที่ยวครบ กินดี ดูบอลมันส์ คุ้มแบบนี้ ห้ามพลาด!

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/eebd1f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์สิงคโปร์ #ดูบอลอังกฤษที่สิงคโปร์ #Arsenal #Newcastle #ไลอ้อนแอร์ #เที่ยวครบจบในทริปเดียว #SongFaBakKutTeh #JewelChangi #WonderFullShow #ETRAVELWAY
    🦁🇸🇬 ทัวร์สิงคโปร์ สายบอลห้ามพลาด!! ชมแมตช์ ARSENAL ⚔️ NEWCASTLE UNITED พร้อมเที่ยวครบทุกไฮไลท์สุดปัง 📆 เดินทาง 26 - 28 ก.ค. 68 ✈️ บินตรง Thai Lion Air (SL) 💰 ราคาเพียง 21,999.- 🌳 Garden by the Bay ชมสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก 🛍️ ช้อปฟินที่ Orchard Road แหล่งรวมแบรนด์เนม 🍲 ชิม Song Fa Bak Kut Teh ต้นตำรับความอร่อยกว่า 50 ปี 🏙️ ชมโชว์ Wonder Full Light ณ Marina Bay Sands ⚽ ตั๋วบอลรวมในแพ็ก! ที่นั่ง Zone Silver ชมแมตช์มันส์ติดขอบสนาม 🦁 แชะกับ Merlion สัญลักษณ์สิงคโปร์ 🛕 สักการะวัดพระเขี้ยวแก้ว 🌈 ชม The Jewel @ Changi สนามบินที่สวยที่สุดในโลก 📸 เที่ยวครบ กินดี ดูบอลมันส์ คุ้มแบบนี้ ห้ามพลาด! ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/eebd1f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์สิงคโปร์ #ดูบอลอังกฤษที่สิงคโปร์ #Arsenal #Newcastle #ไลอ้อนแอร์ #เที่ยวครบจบในทริปเดียว #SongFaBakKutTeh #JewelChangi #WonderFullShow #ETRAVELWAY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • พอเราพูดถึงพัดลม CPU ในคอม หลายคนอาจมองเป็นแค่ก้อนเหล็ก–พัดลมหมุน ๆ ที่เอาไว้ระบายความร้อนให้ชิปไม่ร้อนเกินไป แต่จริง ๆ แล้วทุกชิ้นที่เห็นในนั้นผ่านกระบวนการผลิตกว่า 15 ขั้นตอน ตั้งแต่การดัดท่อทองแดง, เชื่อมฐานสัมผัส, เคลือบป้องกันสนิม, ประกอบซี่ฟินอลูมิเนียม, จนถึงทดสอบแรงลมและแพ็กใส่กล่อง

    สิ่งที่เซอร์ไพรส์คือ “หลายขั้นตอนยังต้องใช้ฝีมือแรงงานมนุษย์อยู่มาก” เช่น การเชื่อมแผ่นฐาน vapor chamber กับ heatpipe ต้องทำด้วยมือ เพราะแค่พลาด 0.1 มม. ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพได้

    YouTube ช่อง SatisFactory Process ที่พาไปถ่ายทำถึงโรงงานในปักกิ่งบอกว่า ดูเพลินอย่างกับสารคดี — เพราะมันแสดงให้เห็นว่าวงการคอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่แค่ AI หรือ cloud อย่างเดียว แต่ "ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์" ที่เราจับต้องได้ก็เต็มไปด้วยศิลปะการผลิตไม่แพ้กัน

    DeepCool เปิดโรงงานในปักกิ่งให้ชมการผลิตชุดระบายความร้อน CPU ตั้งแต่ต้นจนจบ  
    • วิดีโอยาว ~30 นาที จากช่อง SatisFactory Process  
    • เห็นตั้งแต่การสร้าง heatpipe → เชื่อมฐาน → ประกอบพัดลม → ทดสอบ

    กระบวนการผลิตมีมากกว่า 15 ขั้นตอน เช่น:  
    • ตัด-ขึ้นรูปทองแดง, เติมสารภายใน, ทำความสะอาด, ทดสอบ leak  
    • ประกอบ fin, เจาะรูติด heatpipe, ติดพัดลม  
    • แพ็กกิ้งพร้อมส่ง

    บางขั้นตอนต้องอาศัยแรงงานมนุษย์ เช่น:  
    • การติดแผ่นฐาน vapor chamber → ถ้าเยื้องนิดเดียวประสิทธิภาพลด  
    • การเดินสายไฟพัดลม, ตรวจ QC ก่อนบรรจุ

    เครื่องมือชั้นสูงผสมกับเทคนิคดั้งเดิม เช่น automated filling + soldering manual  
    • โรงงานใช้ทั้งระบบ automation และพนักงานตรวจสอบสภาพ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/air-cooling/heres-a-behind-the-scenes-look-at-how-a-cpu-air-cooler-is-made-deepcool-gives-a-start-to-finish-tour-of-its-main-production-facility
    พอเราพูดถึงพัดลม CPU ในคอม หลายคนอาจมองเป็นแค่ก้อนเหล็ก–พัดลมหมุน ๆ ที่เอาไว้ระบายความร้อนให้ชิปไม่ร้อนเกินไป แต่จริง ๆ แล้วทุกชิ้นที่เห็นในนั้นผ่านกระบวนการผลิตกว่า 15 ขั้นตอน ตั้งแต่การดัดท่อทองแดง, เชื่อมฐานสัมผัส, เคลือบป้องกันสนิม, ประกอบซี่ฟินอลูมิเนียม, จนถึงทดสอบแรงลมและแพ็กใส่กล่อง สิ่งที่เซอร์ไพรส์คือ “หลายขั้นตอนยังต้องใช้ฝีมือแรงงานมนุษย์อยู่มาก” เช่น การเชื่อมแผ่นฐาน vapor chamber กับ heatpipe ต้องทำด้วยมือ เพราะแค่พลาด 0.1 มม. ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพได้ YouTube ช่อง SatisFactory Process ที่พาไปถ่ายทำถึงโรงงานในปักกิ่งบอกว่า ดูเพลินอย่างกับสารคดี — เพราะมันแสดงให้เห็นว่าวงการคอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่แค่ AI หรือ cloud อย่างเดียว แต่ "ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์" ที่เราจับต้องได้ก็เต็มไปด้วยศิลปะการผลิตไม่แพ้กัน ✅ DeepCool เปิดโรงงานในปักกิ่งให้ชมการผลิตชุดระบายความร้อน CPU ตั้งแต่ต้นจนจบ   • วิดีโอยาว ~30 นาที จากช่อง SatisFactory Process   • เห็นตั้งแต่การสร้าง heatpipe → เชื่อมฐาน → ประกอบพัดลม → ทดสอบ ✅ กระบวนการผลิตมีมากกว่า 15 ขั้นตอน เช่น:   • ตัด-ขึ้นรูปทองแดง, เติมสารภายใน, ทำความสะอาด, ทดสอบ leak   • ประกอบ fin, เจาะรูติด heatpipe, ติดพัดลม   • แพ็กกิ้งพร้อมส่ง ✅ บางขั้นตอนต้องอาศัยแรงงานมนุษย์ เช่น:   • การติดแผ่นฐาน vapor chamber → ถ้าเยื้องนิดเดียวประสิทธิภาพลด   • การเดินสายไฟพัดลม, ตรวจ QC ก่อนบรรจุ ✅ เครื่องมือชั้นสูงผสมกับเทคนิคดั้งเดิม เช่น automated filling + soldering manual   • โรงงานใช้ทั้งระบบ automation และพนักงานตรวจสอบสภาพ https://www.tomshardware.com/pc-components/air-cooling/heres-a-behind-the-scenes-look-at-how-a-cpu-air-cooler-is-made-deepcool-gives-a-start-to-finish-tour-of-its-main-production-facility
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในบล็อกล่าสุดของ Microsoft คุณ Yusuf Mehdi รองประธานฝ่าย Windows กล่าวว่า “Windows มีผู้ใช้งานเกิน 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลก” — ฟังดูดีใช่ไหมครับ?

    แต่ถ้าเราไล่กลับไปดูรายงานประจำปี 2022 ของ Microsoft จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งาน Windows 10 และ 11 เคยอยู่ที่ 1.4 พันล้านเครื่อง…แปลว่าภายในเวลาแค่ 3 ปี หายไปถึง 400 ล้านเครื่อง!

    เกิดอะไรขึ้น?
    - ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปใช้ MacBook เพราะแม้แต่ Apple เองยอดขาย Mac ก็ลดลง
    - แต่คนจำนวนมาก “เลิกใช้พีซีไปเลย” แล้วหันไปใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแทน
    - เด็ก ๆ ที่โตมากับระบบอย่าง Chromebook ก็อาจเลือก Google แทน Microsoft ในอนาคต
    - แอปอย่าง Google Docs แทนที่ MS Office ได้ฟรี → ไม่จำเป็นต้องใช้ Windows อีกต่อไป

    ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เร่งให้คนอัปเกรดจาก Windows 10 ไป 11 ก่อนที่ Win10 จะหมดการสนับสนุน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดติดกับ PC เก่า ซึ่งอัปเกรดไม่ได้

    Windows เคยมีผู้ใช้ 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2022 → ล่าสุดเหลือราว 1 พันล้านเครื่อง  
    • ลดลงราว 400 ล้านเครื่องในช่วง 3 ปี  
    • ข้อมูลจาก Microsoft เองในบล็อกและรายงานทางการ

    Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 เพราะ Windows 10 จะหมดการซัพพอร์ตในปี 2025

    แม้ macOS ของ Apple จะเป็นคู่แข่ง แต่ยอดขาย Mac ลดลงเช่นกัน (เหลือแค่ 7.7% ของรายได้บริษัทในปี 2023)
    • แสดงว่าคน “ไม่ได้ย้าย” ไป Mac แต่เลือกเลิกใช้พีซีแทน

    สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทำให้ความจำเป็นในการใช้ Windows ลดลง  
    • Chromebook เติบโตในภาคการศึกษา และเป็นระบบที่เด็กยุคใหม่คุ้นเคย  
    • Google Docs และเว็บแอปต่าง ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ Windows หรือ Office

    ตลาดที่ยังแข็งแรงของ Windows คือ “เกมเมอร์” และ “มืออาชีพเฉพาะทาง” ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ


    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-seemingly-lost-400-million-users-in-the-past-three-years-official-microsoft-statements-show-hints-of-a-shrinking-user-base
    ในบล็อกล่าสุดของ Microsoft คุณ Yusuf Mehdi รองประธานฝ่าย Windows กล่าวว่า “Windows มีผู้ใช้งานเกิน 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลก” — ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเราไล่กลับไปดูรายงานประจำปี 2022 ของ Microsoft จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งาน Windows 10 และ 11 เคยอยู่ที่ 1.4 พันล้านเครื่อง…แปลว่าภายในเวลาแค่ 3 ปี หายไปถึง 400 ล้านเครื่อง! เกิดอะไรขึ้น? - ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปใช้ MacBook เพราะแม้แต่ Apple เองยอดขาย Mac ก็ลดลง - แต่คนจำนวนมาก “เลิกใช้พีซีไปเลย” แล้วหันไปใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแทน - เด็ก ๆ ที่โตมากับระบบอย่าง Chromebook ก็อาจเลือก Google แทน Microsoft ในอนาคต - แอปอย่าง Google Docs แทนที่ MS Office ได้ฟรี → ไม่จำเป็นต้องใช้ Windows อีกต่อไป ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เร่งให้คนอัปเกรดจาก Windows 10 ไป 11 ก่อนที่ Win10 จะหมดการสนับสนุน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดติดกับ PC เก่า ซึ่งอัปเกรดไม่ได้ ✅ Windows เคยมีผู้ใช้ 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2022 → ล่าสุดเหลือราว 1 พันล้านเครื่อง   • ลดลงราว 400 ล้านเครื่องในช่วง 3 ปี   • ข้อมูลจาก Microsoft เองในบล็อกและรายงานทางการ ✅ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 เพราะ Windows 10 จะหมดการซัพพอร์ตในปี 2025 ✅ แม้ macOS ของ Apple จะเป็นคู่แข่ง แต่ยอดขาย Mac ลดลงเช่นกัน (เหลือแค่ 7.7% ของรายได้บริษัทในปี 2023) • แสดงว่าคน “ไม่ได้ย้าย” ไป Mac แต่เลือกเลิกใช้พีซีแทน ✅ สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทำให้ความจำเป็นในการใช้ Windows ลดลง   • Chromebook เติบโตในภาคการศึกษา และเป็นระบบที่เด็กยุคใหม่คุ้นเคย   • Google Docs และเว็บแอปต่าง ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ Windows หรือ Office ✅ ตลาดที่ยังแข็งแรงของ Windows คือ “เกมเมอร์” และ “มืออาชีพเฉพาะทาง” ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-seemingly-lost-400-million-users-in-the-past-three-years-official-microsoft-statements-show-hints-of-a-shrinking-user-base
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังจะเปิดตัวซีพียูสายเดสก์ท็อปตัวใหม่ที่ชื่อว่า Nova Lake-S ซึ่งถ้าดูจากสไลด์ที่หลุดออกมา ตัวท็อปอย่าง Core Ultra 9 จะทำได้ดีทั้งงานเบา (single-threaded) และงานหนัก (multi-threaded) โดยเฉพาะงานหนักที่ทะลุ +60% จากรุ่น Arrow Lake-S เลยทีเดียว

    อะไรที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี้?
    - แกนประมวลผลมากขึ้น: รุ่นท็อปน่าจะมี 52 คอร์/เธรด!
    - โครงสร้างใหม่: ใช้คอร์ “Coyote Cove” สำหรับงานหลัก (P-core) + “Arctic Wolf” สำหรับงานเบา (E-core)
    - เพิ่มคอร์แบบ ultra-low power (LP-E) ที่เคยใช้ใน Meteor Lake เพื่อประหยัดพลังงานอีกด้วย
    - รองรับ RAM DDR5-8000 และ PCIe 5.0 เต็มเหนี่ยว
    - และที่สำคัญ...มี L4 cache หรือ “bLLC” ที่อาจคล้ายแนวคิด 3D V-cache ของ AMD ด้วย!

    แม้ยังไม่มีตัวเลข benchmark ทางการ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นจริง Nova Lake อาจเปลี่ยนสมดุลตลาดซีพียูได้อีกครั้ง โดยเฉพาะกับงานเล่นเกมและ workstation ที่ต้องการ core เยอะและ cache หนา

    https://www.neowin.net/news/intel-nova-lake-alleged-performance-shows-massive-improvement-could-answer-amd-3d-v-cache/
    Intel กำลังจะเปิดตัวซีพียูสายเดสก์ท็อปตัวใหม่ที่ชื่อว่า Nova Lake-S ซึ่งถ้าดูจากสไลด์ที่หลุดออกมา ตัวท็อปอย่าง Core Ultra 9 จะทำได้ดีทั้งงานเบา (single-threaded) และงานหนัก (multi-threaded) โดยเฉพาะงานหนักที่ทะลุ +60% จากรุ่น Arrow Lake-S เลยทีเดียว อะไรที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี้? - แกนประมวลผลมากขึ้น: รุ่นท็อปน่าจะมี 52 คอร์/เธรด! - โครงสร้างใหม่: ใช้คอร์ “Coyote Cove” สำหรับงานหลัก (P-core) + “Arctic Wolf” สำหรับงานเบา (E-core) - เพิ่มคอร์แบบ ultra-low power (LP-E) ที่เคยใช้ใน Meteor Lake เพื่อประหยัดพลังงานอีกด้วย - รองรับ RAM DDR5-8000 และ PCIe 5.0 เต็มเหนี่ยว - และที่สำคัญ...มี L4 cache หรือ “bLLC” ที่อาจคล้ายแนวคิด 3D V-cache ของ AMD ด้วย! แม้ยังไม่มีตัวเลข benchmark ทางการ แต่ถ้าทุกอย่างเป็นจริง Nova Lake อาจเปลี่ยนสมดุลตลาดซีพียูได้อีกครั้ง โดยเฉพาะกับงานเล่นเกมและ workstation ที่ต้องการ core เยอะและ cache หนา https://www.neowin.net/news/intel-nova-lake-alleged-performance-shows-massive-improvement-could-answer-amd-3d-v-cache/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel Nova Lake alleged performance shows massive improvement, could answer AMD 3D V-cache
    Intel's official performance claims have allegedly leaked. Apparently, there could be a massive improvement thanks to more cores and a new 3D cache, similar to AMD's.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference?

    The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin).

    Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three.

    How do you use their, there, and they’re?

    These three words serve many functions.

    When to use their

    Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in:

    • They left their cell phones at home.

    Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone:

    • Someone left their book on the table.

    When to use there

    There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do.

    • She is there now.

    There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause:

    • There is still hope.

    When to use they’re

    They’re is a contraction of the words they and are.

    •They’re mastering the differences between three homophones!

    Take a hint from the spelling!

    If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each:

    • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession.
    • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal.
    • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference? The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin). Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three. How do you use their, there, and they’re? These three words serve many functions. When to use their Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in: • They left their cell phones at home. Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone: • Someone left their book on the table. When to use there There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do. • She is there now. There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause: • There is still hope. When to use they’re They’re is a contraction of the words they and are. •They’re mastering the differences between three homophones! Take a hint from the spelling! If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each: • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession. • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal. • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป

    แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน:

    1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender

    2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร

    3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด

    นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve)

    Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows  
    • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender  
    • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด

    เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode  
    • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม  
    • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย

    Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”  
    • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย

    Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:  
    • Quick Machine Recovery  
    • Crash screen ที่เรียบง่าย  
    • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth  
    • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย  
    • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน: 1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender 2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร 3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve) ✅ Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows   • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender   • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด ✅ เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode   • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม   • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย ✅ Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”   • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย ✅ Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:   • Quick Machine Recovery   • Crash screen ที่เรียบง่าย   • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth   • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย   • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้ https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts