• Google ได้พยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Trump ให้ละเว้นแผนการแยกส่วนบริษัท โดยอ้างว่าอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ การพูดคุยนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ DoJ ภายใต้การบริหารของ Biden เคยดำเนินการตรวจสอบ Google และตัดสินว่า Google ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (antitrust laws) ด้วยข้อตกลงการค้นหาของตน

    Google ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้นหากับพันธมิตรทางเทคโนโลยีเพื่อจำกัดมาตรการแก้ไขที่ DoJ คิดไว้ และในขณะนี้ Google กำลังพยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมภายใต้การบริหารของ Trump ให้มีแนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาด

    Peter Schottenfels โฆษกของ Google ได้กล่าวว่า การแยกส่วนธุรกิจของ Google จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Google กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

    แนวทางของ Google สอดคล้องกับการแถลงล่าสุดของประธานาธิบดี Trump และ VP JD Vance ที่ต่อต้านการกำกับดูแลที่มากเกินไปจากรัฐบาล โดยทำเนียบขาวเคยชี้ให้เห็นว่านโยบายของยุโรปเกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีและเรื่องต่างๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น Digital Markets Act และ Digital Services Act กำลังพยายามเปลี่ยนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ให้เป็นแหล่งรายได้

    Google กำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการแยกส่วนบริษัทและรักษาสถานะการผูกขาดของตน โดยการพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีกับการบริหารของ Trump และการอ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าว

    https://www.techspot.com/news/107036-google-asks-trump-administration-avoid-tearing-company-apart.html
    Google ได้พยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Trump ให้ละเว้นแผนการแยกส่วนบริษัท โดยอ้างว่าอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ การพูดคุยนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ DoJ ภายใต้การบริหารของ Biden เคยดำเนินการตรวจสอบ Google และตัดสินว่า Google ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (antitrust laws) ด้วยข้อตกลงการค้นหาของตน Google ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้นหากับพันธมิตรทางเทคโนโลยีเพื่อจำกัดมาตรการแก้ไขที่ DoJ คิดไว้ และในขณะนี้ Google กำลังพยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมภายใต้การบริหารของ Trump ให้มีแนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาด Peter Schottenfels โฆษกของ Google ได้กล่าวว่า การแยกส่วนธุรกิจของ Google จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Google กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ แนวทางของ Google สอดคล้องกับการแถลงล่าสุดของประธานาธิบดี Trump และ VP JD Vance ที่ต่อต้านการกำกับดูแลที่มากเกินไปจากรัฐบาล โดยทำเนียบขาวเคยชี้ให้เห็นว่านโยบายของยุโรปเกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีและเรื่องต่างๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น Digital Markets Act และ Digital Services Act กำลังพยายามเปลี่ยนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ให้เป็นแหล่งรายได้ Google กำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการแยกส่วนบริษัทและรักษาสถานะการผูกขาดของตน โดยการพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีกับการบริหารของ Trump และการอ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าว https://www.techspot.com/news/107036-google-asks-trump-administration-avoid-tearing-company-apart.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google presses Trump's DOJ to abandon breakup plans, citing national security
    Google is trying to convince the Trump administration that breaking up the company could have chilling effects on US national security. Quoting unnamed sources familiar with the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ

    📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498

    ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม

    📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙
    สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม

    🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป

    🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน

    🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม

    🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism)
    ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ
    ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม
    ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ

    📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน
    ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
    ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ
    ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

    🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
    ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม
    ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา
    ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน

    🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
    ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่
    ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น
    ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ

    🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
    ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย
    ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว
    ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง

    🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน
    🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว
    🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น
    🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน)

    🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake
    🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
    🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน
    🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด

    💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง
    🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google
    🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media)

    🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน
    🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ
    🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด

    ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย
    ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล
    ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม
    ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร
    ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล

    🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย
    👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม
    📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ
    🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
    📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย

    💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568

    🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ 📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม 📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม 🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป 🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน 🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม 🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism) ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ 📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน 🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่ ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ 🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง 🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน 🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว 🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น 🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน) 🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake 🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว 🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน 🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด 💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง 🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google 🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media) 🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน 🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ 🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล 🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย 👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม 📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ 🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย 💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568 🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำในระดับอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในซอฟต์แวร์ การละเมิดความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำกำลังเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในบรรดาบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้เรียกร้องให้ผู้พัฒนากำจัดข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับ buffer overflow

    Google ชี้ว่า การละเมิดความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำได้ทำลายความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและก่อให้เกิดความเสียหายนับพันล้านดอลลาร์ แนวทางดั้งเดิมที่ใช้ในการเสริมความแข็งแกร่งของภาษาการเขียนโปรแกรมที่เป็นที่นิยมยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการละเมิดความปลอดภัยเหล่านี้ ภาษาโปรแกรมมิ่งใหม่ๆ เช่น Rust และ Kotlin หรือส่วนขยายเฉพาะสำหรับภาษาเก่าๆ เช่น Safe Buffers สำหรับ C++ ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความปลอดภัยตั้งแต่ต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยลดข้อบกพร่องใน Android

    Google ได้เสนอข้อผูกพันรวมใหม่เพื่อกำจัดประเภทของข้อบกพร่องนี้โดยใช้แนวทางการเขียนโปรแกรมที่ปลอดภัยโดยการออกแบบ CISA ได้แนะนำแนวทางนี้ด้วย แต่ Google กำลังขยายเป้าหมายให้กว้างขึ้นด้วยการออกแบบแนวทางที่เหมาะสมสำหรับทุกเครื่องมือ

    การพัฒนามาตรฐานนี้ต้องการความมุ่งมั่นจากอุตสาหกรรมร่วมกัน Google กล่าวว่าเราจำเป็นต้องสร้างอนาคตที่ความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำไม่ใช่เรื่องคิดหลัง แต่เป็นหลักการพื้นฐาน เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้รับโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/107006-google-calls-industry-wide-memory-safety-standards-enhance.html
    Google ได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำในระดับอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในซอฟต์แวร์ การละเมิดความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำกำลังเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในบรรดาบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้เรียกร้องให้ผู้พัฒนากำจัดข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับ buffer overflow Google ชี้ว่า การละเมิดความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำได้ทำลายความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและก่อให้เกิดความเสียหายนับพันล้านดอลลาร์ แนวทางดั้งเดิมที่ใช้ในการเสริมความแข็งแกร่งของภาษาการเขียนโปรแกรมที่เป็นที่นิยมยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการละเมิดความปลอดภัยเหล่านี้ ภาษาโปรแกรมมิ่งใหม่ๆ เช่น Rust และ Kotlin หรือส่วนขยายเฉพาะสำหรับภาษาเก่าๆ เช่น Safe Buffers สำหรับ C++ ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความปลอดภัยตั้งแต่ต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยลดข้อบกพร่องใน Android Google ได้เสนอข้อผูกพันรวมใหม่เพื่อกำจัดประเภทของข้อบกพร่องนี้โดยใช้แนวทางการเขียนโปรแกรมที่ปลอดภัยโดยการออกแบบ CISA ได้แนะนำแนวทางนี้ด้วย แต่ Google กำลังขยายเป้าหมายให้กว้างขึ้นด้วยการออกแบบแนวทางที่เหมาะสมสำหรับทุกเครื่องมือ การพัฒนามาตรฐานนี้ต้องการความมุ่งมั่นจากอุตสาหกรรมร่วมกัน Google กล่าวว่าเราจำเป็นต้องสร้างอนาคตที่ความปลอดภัยในการจัดการหน่วยความจำไม่ใช่เรื่องคิดหลัง แต่เป็นหลักการพื้นฐาน เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้รับโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยโดยการออกแบบตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/107006-google-calls-industry-wide-memory-safety-standards-enhance.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google calls for industry-wide memory safety standards to enhance software security
    Security vulnerabilities related to memory safety are becoming increasingly troublesome among companies and organizations dealing with software products. The US Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) recently...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้ประกาศว่ารุ่นถัดไปของ Android มีกำหนดการเปิดตัวในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่เคยเป็นมา ในอดีต Android มักจะเปิดตัวเวอร์ชันล่าสุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งมักจะตรงกับการเปิดตัวโทรศัพท์ Pixel รุ่นใหม่ด้วย

    ทั้งนี้ Google ได้เปิดตัว Android 15 ในวันที่ 15 ตุลาคม 2024 และ Android 14 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2023 อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันเบต้าของ Android 16 ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว โดยรุ่นแรกเปิดตัวเมื่อวันที่ 24 มกราคม และรุ่นที่สองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

    สิ่งที่ทำให้กำหนดการเปิดตัว Android 16 เร็วขึ้นก็คือกระบวนการพัฒนาใหม่ที่เรียกว่า "Trunk Stable" ซึ่งทำให้การสร้างและทดสอบฟีเจอร์ใหม่ๆ เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยทาง Sameer Samat ประธานของ Android ecosystem ของ Google กล่าวว่า ทุกคนที่ทำงานบน Android จะทำงานบนสาขาเดียวกันของโค้ดแทนที่จะทำงานบนสาขาต่างๆ และทำการรวมในภายหลัง

    สำหรับสิ่งที่ Android 16 จะนำมาให้นั้นยังไม่ค่อยมีข้อมูลแน่ชัด แต่ในเบต้าที่ออกมาแล้วเราได้เห็นการแนะนำ Live Updates, การแจ้งเตือนรูปแบบใหม่, การทำให้การเข้าถึง Google Wallet ง่ายขึ้น, การสนับสนุน APV (Advanced Professional Video) codec และการปรับปรุงซอฟต์แวร์กล้องต่างๆ

    และยังมีการคาดการณ์ว่าในงาน Google I/O ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20-21 พฤษภาคมนี้ น่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะมาพร้อมกับ Android 16

    https://www.zdnet.com/article/android-16-is-on-track-to-arrive-earlier-than-ever-heres-what-we-know/
    Google ได้ประกาศว่ารุ่นถัดไปของ Android มีกำหนดการเปิดตัวในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่เคยเป็นมา ในอดีต Android มักจะเปิดตัวเวอร์ชันล่าสุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งมักจะตรงกับการเปิดตัวโทรศัพท์ Pixel รุ่นใหม่ด้วย ทั้งนี้ Google ได้เปิดตัว Android 15 ในวันที่ 15 ตุลาคม 2024 และ Android 14 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2023 อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันเบต้าของ Android 16 ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว โดยรุ่นแรกเปิดตัวเมื่อวันที่ 24 มกราคม และรุ่นที่สองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้กำหนดการเปิดตัว Android 16 เร็วขึ้นก็คือกระบวนการพัฒนาใหม่ที่เรียกว่า "Trunk Stable" ซึ่งทำให้การสร้างและทดสอบฟีเจอร์ใหม่ๆ เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยทาง Sameer Samat ประธานของ Android ecosystem ของ Google กล่าวว่า ทุกคนที่ทำงานบน Android จะทำงานบนสาขาเดียวกันของโค้ดแทนที่จะทำงานบนสาขาต่างๆ และทำการรวมในภายหลัง สำหรับสิ่งที่ Android 16 จะนำมาให้นั้นยังไม่ค่อยมีข้อมูลแน่ชัด แต่ในเบต้าที่ออกมาแล้วเราได้เห็นการแนะนำ Live Updates, การแจ้งเตือนรูปแบบใหม่, การทำให้การเข้าถึง Google Wallet ง่ายขึ้น, การสนับสนุน APV (Advanced Professional Video) codec และการปรับปรุงซอฟต์แวร์กล้องต่างๆ และยังมีการคาดการณ์ว่าในงาน Google I/O ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20-21 พฤษภาคมนี้ น่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะมาพร้อมกับ Android 16 https://www.zdnet.com/article/android-16-is-on-track-to-arrive-earlier-than-ever-heres-what-we-know/
    WWW.ZDNET.COM
    Android 16 release is way ahead of schedule - and here's why
    The mobile OS's next update is expected earlier than ever. Its accelerated schedule is one Google imposed on itself.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลับมาคุยกันต่อถึงภาพที่ 9 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี

    ภาพที่เราจะคุยกันในวันนี้มีชื่อว่า ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ (樊姬谏猎 / ฝานจีเตือนสติให้หยุดล่าสัตว์) ถูกพระราชทานไปที่พระตำหนักหย่งเหอกง ภาพจริงหน้าตาอย่างไร Storyฯ หาไม่พบเพราะมันสูญหายไปแล้ว ภาพที่นำมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกัน แต่มีชื่อเรียกว่า ‘ฝานจีก่านจวง’ (ฝานจีดลใจจวงหวาง) ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของภาพม้วนยาว ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ) ผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอกที่มี 9 ตอนจากเดิม 12 ตอน

    Storyฯ เคยกล่าวถึงภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้มาบ้างแล้วในบทความก่อนๆ เกี่ยวกับกงซวิ่นถู แต่ไม่ได้เล่าว่า ภาพทั้ง 12 ตอนของ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้วาดขึ้นตามเนื้อหาจากบันทึก ‘เลี่ยหนี่ว์จ้วน’ (列女传 / บันทึกเรื่องราวสตรีตัวอย่าง) ที่จัดทำขึ้นในสมัยฮั่นตะวันตกโดยหลี่เซี่ยง แบ่งเป็น 7 หมวดรวมเหตุการณ์ที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่างของจรรยาที่สตรีพึงมี จัดเป็นงานวรรณกรรมจำพวก ‘เหวินเหยียนเหวิน’ หรืองานวรรณกรรมภาษาโบราณ ปัจจุบันเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจมากขึ้นถึงมุมมองของสังคมในสมัยนั้น

    ‘ฝานจี’ ที่กล่าวถึงในภาพ ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ นี้ก็เป็นพระธิดาของกษัตริย์ผู้ครองแคว้นฝานและเป็นพระภรรยาของฉู่จวงหวาง (จวงอ๋อง) กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ในสมัยชุนชิว (ประมาณ 613-691 ปีก่อนคริสตกาล) จวงหวางแห่งแคว้นฉู่นี้ต่อมาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในห้าของผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยชุนชิว หรือที่เรียกว่า ‘ชุนชิวอู่ป้า’ (霸 /ป้า แปลได้ประมาณว่า เจ้าผู้ครองโลก)

    หลี่เซี่ยงเคยเขียนถึงจวงหวางไว้ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี”

    ฝานจีไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรที่จะช่วยจวงหวางยึดครองอาณาจักร ที่นางได้รับการยกย่องอย่างนี้เป็นเพราะนางคอยเตือนสติให้จวงหวางใส่ใจการบริหารบ้านเมือง ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องใดหรือใครจนทำให้ละเลยการบริหารบ้านเมือง แม้แต่สนมนางในฝานจีก็เป็นคนคัดเลือกเอง เพราะต้องการให้คนใกล้ชิดจวงหวางล้วนเป็นคนที่มีจรรยาและวางตัวได้ดี ไม่ยั่วยวนฉู่จวงหวางให้ลุ่มหลงมัวเมา (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้)

    มีหลายเหตุการณ์เกี่ยวกับการเตือนสติของฝานจีได้รับการบันทึกไว้และเล่ากันต่อมา แต่ ‘ผลงานสำคัญ’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอัครมหาเสนาบดีอวี๋ชิวจื่อ เขาเป็นขุนนางที่มีฝีมือและจงรักภักดี เป็นที่เคารพยกย่องและมีอิทธิพลมากในราชสำนัก... ว่ากันว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งจวงหวางโปรดปรานอวี๋ชิวจื่อมากจนเสวนาด้วยจนดึกดื่นทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งฝานจีเห็นจวงหวางกลับดึกมากจึงถามไถ่สาเหตุ จวงหวางตอบว่าอวี๋ซิวจื่อคนนี้มิเพียงฉลาดปราดเปรื่อง หากยังจงรักภักดี จึงชอบเสวนาด้วย แต่ฝานจีกลับหัวเราะขบขันแล้วยกตัวอย่างว่า ตัวนางเองก็เป็นที่โปรดปรานของจวงหวาง แต่ยังไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งจวงหวางไว้กับตนเพียงผู้เดียว หากแต่ยังช่วยสรรหาหญิงที่งามพร้อมจรรยามาช่วยดูแลปรนนิบัติ อวี๋ซิวจื่อผู้นี้แม้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่สิบปีที่ผ่านมาไม่เปิดโอกาสให้คนดีมีฝีมือนอกแวดวงของเขาเข้ามารับราชการ เสนอชื่อแต่เพียงคนใกล้ชิดและลูกศิษย์ให้เจริญก้าวหน้าไม่ลงโทษหนักแม้ทำผิด จะเรียกว่าจงรักภักดีทำเพื่อคุณประโยชน์ของประเทศได้อย่างไร?

    เป็นเรื่องเล่าต่อมาอีกว่า วันรุ่งขึ้นจวงหวางเล่าให้อวี๋ซิวจื่อฟังถึงคำพูดของฝานจี อวี๋ซิวจื่อได้ยินก็ฉุกใจคิดคล้อยตาม รู้สึกละอายใจจนเก็บตัวเงียบหลายวัน หลังจากนั้นเขาสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือใหม่ๆ เข้าราชสำนัก สุดท้ายค้นพบและเสนอชื่อซุนซูเอ้าให้มารับหน้าที่อัครมหาเสนาบดีแทนตน จากนั้นก็ขอเกษียณจากราชการ

    เหตุการณ์นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนโฉมแคว้นฉู่ ซุนซูเอ้าผู้นี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองและอัครมหาเสนาบดีที่เก่งกาจที่สุดในยุคสมัยนั้น เขาวางตนสมถะ ชี้นำให้จวงหวางยึดถือความสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้คำปรึกษาที่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจการเมืองและการทหาร กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แคว้นฉู่เจริญยิ่งใหญ่จนกลายเป็นหนึ่งในห้าแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดในสมัยนั้น

    จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี”

    เหตุการณ์ที่เล่าถึงในภาพกงซวิ่นถูนี้ เป็นการกล่าวถึงสมัยที่ฉู่จวงหวางขึ้นครองราชย์แคว้นฉู่ใหม่ๆ หลงรักการล่าสัตว์จนละเลยกิจการบ้านเมือง ฝานจีทั้งเตือนทั้งหว่านล้อมให้รามือหันมาดูแลบ้านเมืองเท่าไหร่ก็ไม่ใส่ใจ สุดท้ายนางจึงงดกินเนื้อสัตว์เป็นการประท้วงจนจวงหวางได้คิด เลิกเห็นการล่าสัตว์เป็นเรื่องบันเทิงและหันกลับมาให้เวลากับการบริหารบ้านเมือง

    ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘อี๋เจาซูเจิ้น’ (仪昭淑慎) แปลได้ประมาณว่า โอบอ้อมอารีมีสติ รักษาไว้ซึ่งจรรยาและพิธีการอันดีงาม Storyฯ เหมือนผ่านตาว่าวรรคนี้มีการพูดถึงและอธิบายไว้ในละครเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> ด้วย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/40578846
    https://kknews.cc/zh-hk/news/m6lqj5g.html#google_vignette
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/列女传/869659
    http://www.guoxue.com/?people=fanji
    https://baike.baidu.com/item/樊姬/10584406
    http://dzrb.dzng.com/articleContent/17_1032125.html
    https://hk.epochtimes.com/news/2018-05-29/28583343
    https://baike.baidu.com/item/孙叔敖/669927

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ฝานจี #ฉู่จวงหวาง #ชุนชิวอู่ป้า #ฝานจีเจี้ยนเลี่ย #หนีว์สื่อเจิน #เลี่ยหนี่ว์จ้วน #หลี่เซี่ยง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    กลับมาคุยกันต่อถึงภาพที่ 9 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี ภาพที่เราจะคุยกันในวันนี้มีชื่อว่า ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ (樊姬谏猎 / ฝานจีเตือนสติให้หยุดล่าสัตว์) ถูกพระราชทานไปที่พระตำหนักหย่งเหอกง ภาพจริงหน้าตาอย่างไร Storyฯ หาไม่พบเพราะมันสูญหายไปแล้ว ภาพที่นำมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกัน แต่มีชื่อเรียกว่า ‘ฝานจีก่านจวง’ (ฝานจีดลใจจวงหวาง) ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของภาพม้วนยาว ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ) ผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอกที่มี 9 ตอนจากเดิม 12 ตอน Storyฯ เคยกล่าวถึงภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้มาบ้างแล้วในบทความก่อนๆ เกี่ยวกับกงซวิ่นถู แต่ไม่ได้เล่าว่า ภาพทั้ง 12 ตอนของ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้วาดขึ้นตามเนื้อหาจากบันทึก ‘เลี่ยหนี่ว์จ้วน’ (列女传 / บันทึกเรื่องราวสตรีตัวอย่าง) ที่จัดทำขึ้นในสมัยฮั่นตะวันตกโดยหลี่เซี่ยง แบ่งเป็น 7 หมวดรวมเหตุการณ์ที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่างของจรรยาที่สตรีพึงมี จัดเป็นงานวรรณกรรมจำพวก ‘เหวินเหยียนเหวิน’ หรืองานวรรณกรรมภาษาโบราณ ปัจจุบันเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจมากขึ้นถึงมุมมองของสังคมในสมัยนั้น ‘ฝานจี’ ที่กล่าวถึงในภาพ ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ นี้ก็เป็นพระธิดาของกษัตริย์ผู้ครองแคว้นฝานและเป็นพระภรรยาของฉู่จวงหวาง (จวงอ๋อง) กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ในสมัยชุนชิว (ประมาณ 613-691 ปีก่อนคริสตกาล) จวงหวางแห่งแคว้นฉู่นี้ต่อมาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในห้าของผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยชุนชิว หรือที่เรียกว่า ‘ชุนชิวอู่ป้า’ (霸 /ป้า แปลได้ประมาณว่า เจ้าผู้ครองโลก) หลี่เซี่ยงเคยเขียนถึงจวงหวางไว้ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี” ฝานจีไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรที่จะช่วยจวงหวางยึดครองอาณาจักร ที่นางได้รับการยกย่องอย่างนี้เป็นเพราะนางคอยเตือนสติให้จวงหวางใส่ใจการบริหารบ้านเมือง ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องใดหรือใครจนทำให้ละเลยการบริหารบ้านเมือง แม้แต่สนมนางในฝานจีก็เป็นคนคัดเลือกเอง เพราะต้องการให้คนใกล้ชิดจวงหวางล้วนเป็นคนที่มีจรรยาและวางตัวได้ดี ไม่ยั่วยวนฉู่จวงหวางให้ลุ่มหลงมัวเมา (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) มีหลายเหตุการณ์เกี่ยวกับการเตือนสติของฝานจีได้รับการบันทึกไว้และเล่ากันต่อมา แต่ ‘ผลงานสำคัญ’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอัครมหาเสนาบดีอวี๋ชิวจื่อ เขาเป็นขุนนางที่มีฝีมือและจงรักภักดี เป็นที่เคารพยกย่องและมีอิทธิพลมากในราชสำนัก... ว่ากันว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งจวงหวางโปรดปรานอวี๋ชิวจื่อมากจนเสวนาด้วยจนดึกดื่นทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งฝานจีเห็นจวงหวางกลับดึกมากจึงถามไถ่สาเหตุ จวงหวางตอบว่าอวี๋ซิวจื่อคนนี้มิเพียงฉลาดปราดเปรื่อง หากยังจงรักภักดี จึงชอบเสวนาด้วย แต่ฝานจีกลับหัวเราะขบขันแล้วยกตัวอย่างว่า ตัวนางเองก็เป็นที่โปรดปรานของจวงหวาง แต่ยังไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งจวงหวางไว้กับตนเพียงผู้เดียว หากแต่ยังช่วยสรรหาหญิงที่งามพร้อมจรรยามาช่วยดูแลปรนนิบัติ อวี๋ซิวจื่อผู้นี้แม้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่สิบปีที่ผ่านมาไม่เปิดโอกาสให้คนดีมีฝีมือนอกแวดวงของเขาเข้ามารับราชการ เสนอชื่อแต่เพียงคนใกล้ชิดและลูกศิษย์ให้เจริญก้าวหน้าไม่ลงโทษหนักแม้ทำผิด จะเรียกว่าจงรักภักดีทำเพื่อคุณประโยชน์ของประเทศได้อย่างไร? เป็นเรื่องเล่าต่อมาอีกว่า วันรุ่งขึ้นจวงหวางเล่าให้อวี๋ซิวจื่อฟังถึงคำพูดของฝานจี อวี๋ซิวจื่อได้ยินก็ฉุกใจคิดคล้อยตาม รู้สึกละอายใจจนเก็บตัวเงียบหลายวัน หลังจากนั้นเขาสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือใหม่ๆ เข้าราชสำนัก สุดท้ายค้นพบและเสนอชื่อซุนซูเอ้าให้มารับหน้าที่อัครมหาเสนาบดีแทนตน จากนั้นก็ขอเกษียณจากราชการ เหตุการณ์นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนโฉมแคว้นฉู่ ซุนซูเอ้าผู้นี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองและอัครมหาเสนาบดีที่เก่งกาจที่สุดในยุคสมัยนั้น เขาวางตนสมถะ ชี้นำให้จวงหวางยึดถือความสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้คำปรึกษาที่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจการเมืองและการทหาร กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แคว้นฉู่เจริญยิ่งใหญ่จนกลายเป็นหนึ่งในห้าแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดในสมัยนั้น จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี” เหตุการณ์ที่เล่าถึงในภาพกงซวิ่นถูนี้ เป็นการกล่าวถึงสมัยที่ฉู่จวงหวางขึ้นครองราชย์แคว้นฉู่ใหม่ๆ หลงรักการล่าสัตว์จนละเลยกิจการบ้านเมือง ฝานจีทั้งเตือนทั้งหว่านล้อมให้รามือหันมาดูแลบ้านเมืองเท่าไหร่ก็ไม่ใส่ใจ สุดท้ายนางจึงงดกินเนื้อสัตว์เป็นการประท้วงจนจวงหวางได้คิด เลิกเห็นการล่าสัตว์เป็นเรื่องบันเทิงและหันกลับมาให้เวลากับการบริหารบ้านเมือง ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘อี๋เจาซูเจิ้น’ (仪昭淑慎) แปลได้ประมาณว่า โอบอ้อมอารีมีสติ รักษาไว้ซึ่งจรรยาและพิธีการอันดีงาม Storyฯ เหมือนผ่านตาว่าวรรคนี้มีการพูดถึงและอธิบายไว้ในละครเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> ด้วย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/40578846 https://kknews.cc/zh-hk/news/m6lqj5g.html#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/列女传/869659 http://www.guoxue.com/?people=fanji https://baike.baidu.com/item/樊姬/10584406 http://dzrb.dzng.com/articleContent/17_1032125.html https://hk.epochtimes.com/news/2018-05-29/28583343 https://baike.baidu.com/item/孙叔敖/669927 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ฝานจี #ฉู่จวงหวาง #ชุนชิวอู่ป้า #ฝานจีเจี้ยนเลี่ย #หนีว์สื่อเจิน #เลี่ยหนี่ว์จ้วน #หลี่เซี่ยง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า "Taara chip" ซึ่งเป็นชิปที่สามารถใช้แสงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากร ชิป Taara นี้เป็นการย่อส่วนของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วยแสงที่ช่วยให้มีความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น

    โปรเจค Taara ของ Google เป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย Loon LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alphabet มาใช้ในการสร้างต้นแบบของ "moonshot technologies" หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงแต่สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้

    เทคโนโลยี Taara ใช้ชุด Taara Lightbridge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้กระจก เซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เพื่อทำการส่องแสงและสร้างการเชื่อมต่อ เมื่อชุด Lightbridge สองชุดสามารถเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถส่งข้อมูลดิจิทัลได้อย่างเสถียร

    อย่างไรก็ตาม ชิป Taara ใหม่ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนกลไกมากเท่ารุ่นก่อน ๆ โดยใช้เทคโนโลยี optical phased array ที่มีความแม่นยำสูงในการควบคุมการส่งแสง ทำให้สามารถติดตั้งชิปได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ชิป Taara สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10 Gbps ในระยะทาง 1 กิโลเมตรในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับการส่งข้อมูลด้วยชิปโฟโตนิกส์

    โปรเจคนี้ของ Google มีแผนที่จะนำชิป Taara ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายเมชทั่วโลกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ในศูนย์ข้อมูล ยานพาหนะอัตโนมัติ และอื่น ๆ

    การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ยังเปิดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีแสงในการสื่อสารอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    https://www.techspot.com/news/106987-google-taara-chip-miniaturizes-light-based-connectivity-faster.html
    Google ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า "Taara chip" ซึ่งเป็นชิปที่สามารถใช้แสงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากร ชิป Taara นี้เป็นการย่อส่วนของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วยแสงที่ช่วยให้มีความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น โปรเจค Taara ของ Google เป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย Loon LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alphabet มาใช้ในการสร้างต้นแบบของ "moonshot technologies" หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงแต่สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ เทคโนโลยี Taara ใช้ชุด Taara Lightbridge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้กระจก เซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เพื่อทำการส่องแสงและสร้างการเชื่อมต่อ เมื่อชุด Lightbridge สองชุดสามารถเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถส่งข้อมูลดิจิทัลได้อย่างเสถียร อย่างไรก็ตาม ชิป Taara ใหม่ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนกลไกมากเท่ารุ่นก่อน ๆ โดยใช้เทคโนโลยี optical phased array ที่มีความแม่นยำสูงในการควบคุมการส่งแสง ทำให้สามารถติดตั้งชิปได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ชิป Taara สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10 Gbps ในระยะทาง 1 กิโลเมตรในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับการส่งข้อมูลด้วยชิปโฟโตนิกส์ โปรเจคนี้ของ Google มีแผนที่จะนำชิป Taara ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายเมชทั่วโลกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ในศูนย์ข้อมูล ยานพาหนะอัตโนมัติ และอื่น ๆ การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ยังเปิดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีแสงในการสื่อสารอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น https://www.techspot.com/news/106987-google-taara-chip-miniaturizes-light-based-connectivity-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's Taara chip miniaturizes light-based connectivity for faster internet in underserved areas
    Google's X company is working on the next generation of Taara, a silicon photonics technology designed to bring fast broadband speeds to some underdeveloped areas of the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sergey Brin หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Google กล่าวว่า การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่สำนักงานเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Google

    Brin กล่าวในบันทึกที่เผยแพร่โดย The New York Times ว่าพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ AI ของ Google ควรทำงานไม่ต่ำกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเขาเรียกว่า "sweet spot of productivity" หรือจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด Brin เชื่อว่า การที่พนักงานทำงานมากขึ้นจะช่วยให้ Google สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่มีการแข่งขันสูงได้

    ในบันทึกดังกล่าว Brin กล่าวถึงความสำคัญของการอยู่ในสำนักงานทุกวัน ซึ่งสวนทางกับนโยบายการทำงานจากที่บ้านที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน Brin แนะนำว่าพนักงานควรอยู่ที่สำนักงานอย่างน้อยทุกวันในสัปดาห์ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าการทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ก็ตาม

    นอกจากนี้ Brin ยังเน้นถึงการแข่งขันที่เร่งตัวขึ้นในวงการ AI และเชื่อว่า Google มีส่วนประกอบทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อชนะการแข่งขันนี้ เขาเรียกร้องให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้เครื่องมือ AI ของบริษัทเอง

    เรื่องที่น่าสนใจคือ Brin ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานในสำนักงานเพื่อสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าบันทึกของเขาอาจไม่ส่งผลให้ CEO Sundar Pichai เปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานจากที่บ้านหรือเพิ่มจำนวนชั่วโมงขั้นต่ำของพนักงาน AI แต่ Brin ก็ยังมีอิทธิพลต่อบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง

    https://www.techspot.com/news/106988-sergey-brin-60-hour-office-weeks-key-google.html
    Sergey Brin หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Google กล่าวว่า การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่สำนักงานเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Google Brin กล่าวในบันทึกที่เผยแพร่โดย The New York Times ว่าพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ AI ของ Google ควรทำงานไม่ต่ำกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเขาเรียกว่า "sweet spot of productivity" หรือจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด Brin เชื่อว่า การที่พนักงานทำงานมากขึ้นจะช่วยให้ Google สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ที่มีการแข่งขันสูงได้ ในบันทึกดังกล่าว Brin กล่าวถึงความสำคัญของการอยู่ในสำนักงานทุกวัน ซึ่งสวนทางกับนโยบายการทำงานจากที่บ้านที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน Brin แนะนำว่าพนักงานควรอยู่ที่สำนักงานอย่างน้อยทุกวันในสัปดาห์ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าการทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ก็ตาม นอกจากนี้ Brin ยังเน้นถึงการแข่งขันที่เร่งตัวขึ้นในวงการ AI และเชื่อว่า Google มีส่วนประกอบทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อชนะการแข่งขันนี้ เขาเรียกร้องให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้เครื่องมือ AI ของบริษัทเอง เรื่องที่น่าสนใจคือ Brin ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานในสำนักงานเพื่อสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าบันทึกของเขาอาจไม่ส่งผลให้ CEO Sundar Pichai เปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานจากที่บ้านหรือเพิ่มจำนวนชั่วโมงขั้นต่ำของพนักงาน AI แต่ Brin ก็ยังมีอิทธิพลต่อบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง https://www.techspot.com/news/106988-sergey-brin-60-hour-office-weeks-key-google.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sergey Brin says 60-hour in-office weeks are key to Google's AI push
    Brin called for Googlers working on the company's AI products to increase their hours in a memo seen by The New York Times.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • แท็บเล็ตรุ่นใหม่จาก TCL ที่ชื่อว่า Nxtpaper 11 Plus ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่พัฒนาไปอีกขั้นโดยสามารถเปลี่ยนหน้าจอจากสีเต็มไปเป็นหน้าจอแบบกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ได้ในทันที

    Nxtpaper 11 Plus ใช้หน้าจอขนาด 11.5 นิ้ว ความละเอียด 2.2K และมีอัตรารีเฟรชเรท 120Hz นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่หลากหลาย เช่น Text Assist, Writing Assist, และ Circle to Search จาก Google ทำให้สามารถสร้างบทบรรยายและสรุปสำหรับ Voice Memos และการแปลแบบเรียลไทม์ได้

    ที่น่าสนใจคือ หน้าจอสามารถเปลี่ยนจากการแสดงผลแบบปกติเป็นหน้าจอกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยยังมีโหมด Smart Eye Comfort ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าของตา ฟีเจอร์นี้จะปรับความสว่าง, คอนทราสต์, และอัตรารีเฟรชตามการใช้งาน

    นอกจากนี้ ยังมีโหมด Personalized Eye Comfort ที่วิเคราะห์ความชอบของผู้ใช้ผ่านภาพต่าง ๆ เพื่อปรับแต่งโทนสีให้เหมาะสมกับการดูของผู้ใช้

    แท็บเล็ตรุ่นนี้ใช้โปรเซสเซอร์ MediaTek Helio G100 และมีแบตเตอรี่ขนาด 8,000mAh พร้อม RAM ขนาด 8GB และ 12GB และที่เก็บข้อมูลภายใน 256GB

    ราคาของ Nxtpaper 11 Plus ในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ $260 เท่านั้น ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่มองหาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า

    https://www.zdnet.com/article/the-tablet-that-replaced-my-kindle-and-ipad-is-finally-getting-a-successor/
    แท็บเล็ตรุ่นใหม่จาก TCL ที่ชื่อว่า Nxtpaper 11 Plus ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่พัฒนาไปอีกขั้นโดยสามารถเปลี่ยนหน้าจอจากสีเต็มไปเป็นหน้าจอแบบกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ได้ในทันที Nxtpaper 11 Plus ใช้หน้าจอขนาด 11.5 นิ้ว ความละเอียด 2.2K และมีอัตรารีเฟรชเรท 120Hz นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่หลากหลาย เช่น Text Assist, Writing Assist, และ Circle to Search จาก Google ทำให้สามารถสร้างบทบรรยายและสรุปสำหรับ Voice Memos และการแปลแบบเรียลไทม์ได้ ที่น่าสนใจคือ หน้าจอสามารถเปลี่ยนจากการแสดงผลแบบปกติเป็นหน้าจอกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยยังมีโหมด Smart Eye Comfort ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าของตา ฟีเจอร์นี้จะปรับความสว่าง, คอนทราสต์, และอัตรารีเฟรชตามการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีโหมด Personalized Eye Comfort ที่วิเคราะห์ความชอบของผู้ใช้ผ่านภาพต่าง ๆ เพื่อปรับแต่งโทนสีให้เหมาะสมกับการดูของผู้ใช้ แท็บเล็ตรุ่นนี้ใช้โปรเซสเซอร์ MediaTek Helio G100 และมีแบตเตอรี่ขนาด 8,000mAh พร้อม RAM ขนาด 8GB และ 12GB และที่เก็บข้อมูลภายใน 256GB ราคาของ Nxtpaper 11 Plus ในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ $260 เท่านั้น ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่มองหาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า https://www.zdnet.com/article/the-tablet-that-replaced-my-kindle-and-ipad-is-finally-getting-a-successor/
    WWW.ZDNET.COM
    The tablet that replaced my Kindle and iPad is finally getting a successor
    The TCL Nxtpaper 11 Plus tablet will transition from full color to an ink paper display in seconds, giving Android tablets and Kindles a run for their money.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง

    เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้

    ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้

    เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร

    มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

    ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง

    ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้

    หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl)

    หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง

    พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา

    แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า

    ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง

    เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา

    เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jitapuji.com/5258.html
    https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》
    https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/news/8yly6nl.html
    https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette
    https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394
    https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499
    https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx

    #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้ ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้ เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้ หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl) หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.jitapuji.com/5258.html https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》 https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/news/8yly6nl.html https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394 https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499 https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7 https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผู้นำไม่ยอมแพ้ทั้งที่สู้ไม่ได้ คนที่รับเคราะห์คือประชาชน

    เซเลนสกีไม่ต้องการให้ผลลัพธ์จบต่างไปจากที่เค้าต้องการ โดยมีจุดมุ่งหมายว่า ประชาชนจะได้เห็นว่าเค้าตัดสินใจไม่ผิดที่พาประเทศเข้าสู่สงคราม

    ถ้าสงครามจบในแบบอื่น เซเลนสกีคงอยู่ยูเครนไม่ได้ และอาจต้องเผชิญกับคดีอาญาตามมาอีกมากมาย

    ในลิงก์ Google Drive นี้ เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจภายใต้การปกครองของเซเลนสกี ที่มีการบังคับจับตัวชาวยูเครนเพื่อระดมพลเข้าสู่แนวหน้า

    https://drive.google.com/drive/folders/1-3b3uTxDDsB8ti0dNCe91aFDUpBxkDYV
    เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผู้นำไม่ยอมแพ้ทั้งที่สู้ไม่ได้ คนที่รับเคราะห์คือประชาชน เซเลนสกีไม่ต้องการให้ผลลัพธ์จบต่างไปจากที่เค้าต้องการ โดยมีจุดมุ่งหมายว่า ประชาชนจะได้เห็นว่าเค้าตัดสินใจไม่ผิดที่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ถ้าสงครามจบในแบบอื่น เซเลนสกีคงอยู่ยูเครนไม่ได้ และอาจต้องเผชิญกับคดีอาญาตามมาอีกมากมาย ในลิงก์ Google Drive นี้ เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจภายใต้การปกครองของเซเลนสกี ที่มีการบังคับจับตัวชาวยูเครนเพื่อระดมพลเข้าสู่แนวหน้า https://drive.google.com/drive/folders/1-3b3uTxDDsB8ti0dNCe91aFDUpBxkDYV
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • 2/3/68

    “เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร

    ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต

    รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที

    “ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล”

    พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน”แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด

    ่“สายสุดท้าย” ปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1994 พ่อรายงานอาการของทารกน้อยให้หมอวันดีฟังอย่างเช่นทุกๆวัน ก่อนเสียงปลายสายของหมอตอบกลับ “ยินดีด้วยนะลูกคุณหายแล้ว” ภาพไซส์งานเบื้องหน้าพ่อของทารกน้อยขาวโพลนทันใด เสียงเงียบก็เข้าครอบคลุมสายโทรศัพท์ทั้งสองฝ่าย เข้าสู่อารมณ์เอ่อล้นที่ยากจะพรรณนา แม้สัมผัสได้แต่เพียงเสียงปลายสาย แต่ภาพมรสุมกว่า 3 เดือนไล่ย้อนไปเป็นฉากๆ จนปากพูดอะไรไม่ออก “ผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง” ไม่เพียงไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า และหมอท่านนี้ก็ไม่ได้แม้แต่ผลตอบแทนใดๆ แล้วจากไปด้วยคำทิ้งท้ายสั้นๆ “ดูแลลูกให้ดี ขอให้โตมาเป็นเด็กดีนะ ขอให้โชคดี”และสายก็ถูกตัดไป แต่เสียงยังตราตรึงใจ ไม่รู้ลืมไปตลอดกาล

    “กระดาษโน้ตความทรงจำ” รายละเอียดการรักษาพ่อยังคงเก็บไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแสนนาน จนเด็กทารกน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นย่างเข้าวัย 32 ปี ระหว่างกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาในช่วงวันหยุด ก่อนจะสะดุดสายตากับกล่องพิลึกพิลั่นในห้องของพ่อ

    เปิดออกมาดูพบกระดาษโน้ตเก่าๆหลายแผ่นชวนฉงนใจ “พ่อ..พวกนี่คืออะไร” หลังพ่อได้เห็นกระดาษโน้ตเก่าความทรงจำในอดีตพรั่งพรูก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันสุดมหัศจรรย์กับการชุบชีวิตทารกน้อย ผ่านสายโทรศัพท์ของหมอเทวดาท่านหนึ่ง “หมอวันดี โรงพยาบาลรามา” พ่อเอ่ยชื่อก่อนทิ้งท้าย “ตอนนี้อยู่ไหนแล้วพ่อไม่รู้นะ น่าจะอายุมากแล้ว” จะทันไหมนะ ทารกน้อยในวัยหนุ่มครุ่นคิดในใจ

    “ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

    เขาออกตระเวนถามหาบ้าน จนมาถึงหน้าบ้านเก่าๆ สุดสมถะ บรรยากาศเงียบสงบ

    “มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก หญิงชราเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยใบหน้าสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาทำให้ทารกน้อยในวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้น ก้มลงกราบโดยอัตโนมัติ ก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้ไหม ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน๊ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย”

    หมอวันดีหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของฉันจริงๆ ด้วย ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยในวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว”

    เรื่องเล่าของทารกน้อยจากแดนไกลคนนี้ ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ที่เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆ แอดๆ และแพทย์ใน จ.พิษณุโลก วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห้งใกล้เสียชีวิต แท้จริงเป็นโรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น

    สารวัตรแจ๊ะ ได้รับการรักษาจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.วันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” โดยได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทราย จนทำให้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี 1993...!!!

    Cr : line
    :ภาพจากgoogle
    2/3/68 “เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที “ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล” พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน”แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด ่“สายสุดท้าย” ปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1994 พ่อรายงานอาการของทารกน้อยให้หมอวันดีฟังอย่างเช่นทุกๆวัน ก่อนเสียงปลายสายของหมอตอบกลับ “ยินดีด้วยนะลูกคุณหายแล้ว” ภาพไซส์งานเบื้องหน้าพ่อของทารกน้อยขาวโพลนทันใด เสียงเงียบก็เข้าครอบคลุมสายโทรศัพท์ทั้งสองฝ่าย เข้าสู่อารมณ์เอ่อล้นที่ยากจะพรรณนา แม้สัมผัสได้แต่เพียงเสียงปลายสาย แต่ภาพมรสุมกว่า 3 เดือนไล่ย้อนไปเป็นฉากๆ จนปากพูดอะไรไม่ออก “ผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง” ไม่เพียงไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า และหมอท่านนี้ก็ไม่ได้แม้แต่ผลตอบแทนใดๆ แล้วจากไปด้วยคำทิ้งท้ายสั้นๆ “ดูแลลูกให้ดี ขอให้โตมาเป็นเด็กดีนะ ขอให้โชคดี”และสายก็ถูกตัดไป แต่เสียงยังตราตรึงใจ ไม่รู้ลืมไปตลอดกาล “กระดาษโน้ตความทรงจำ” รายละเอียดการรักษาพ่อยังคงเก็บไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแสนนาน จนเด็กทารกน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นย่างเข้าวัย 32 ปี ระหว่างกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาในช่วงวันหยุด ก่อนจะสะดุดสายตากับกล่องพิลึกพิลั่นในห้องของพ่อ เปิดออกมาดูพบกระดาษโน้ตเก่าๆหลายแผ่นชวนฉงนใจ “พ่อ..พวกนี่คืออะไร” หลังพ่อได้เห็นกระดาษโน้ตเก่าความทรงจำในอดีตพรั่งพรูก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันสุดมหัศจรรย์กับการชุบชีวิตทารกน้อย ผ่านสายโทรศัพท์ของหมอเทวดาท่านหนึ่ง “หมอวันดี โรงพยาบาลรามา” พ่อเอ่ยชื่อก่อนทิ้งท้าย “ตอนนี้อยู่ไหนแล้วพ่อไม่รู้นะ น่าจะอายุมากแล้ว” จะทันไหมนะ ทารกน้อยในวัยหนุ่มครุ่นคิดในใจ “ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เขาออกตระเวนถามหาบ้าน จนมาถึงหน้าบ้านเก่าๆ สุดสมถะ บรรยากาศเงียบสงบ “มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก หญิงชราเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยใบหน้าสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาทำให้ทารกน้อยในวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้น ก้มลงกราบโดยอัตโนมัติ ก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้ไหม ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน๊ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย” หมอวันดีหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของฉันจริงๆ ด้วย ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยในวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว” เรื่องเล่าของทารกน้อยจากแดนไกลคนนี้ ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ที่เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆ แอดๆ และแพทย์ใน จ.พิษณุโลก วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห้งใกล้เสียชีวิต แท้จริงเป็นโรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น สารวัตรแจ๊ะ ได้รับการรักษาจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.วันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” โดยได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทราย จนทำให้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี 1993...!!! Cr : line :ภาพจากgoogle
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้นักวิจัยและบรรดาผู้นำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) โดย WSJ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลจีนเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอเหล่านี้อาจจะไปเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านเอไอของจีนให้ประเทศคู่แข่งรับรู้
    .
    ทางการปักกิ่งยังกลัวว่า พวกผู้บริหารเหล่านี้อาจจะถูกจับและถูกใช้เป็นชิปต่อรองในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เหมือนเช่นกรณีของ เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารหัวเว่ย (Huawei) ที่เคยถูกแคนาดากักขังตามใบสั่งสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงรัฐบาลทรัมป์หนึ่ง
    .
    ทำเนียบขาวและสำนักงานสารนิเทศแห่งคณะรัฐมนตรีจีน (China’s State Council Information Office) ยังไม่ออกมาตอบข้อซักถามของรอยเตอร์ในประเด็นนี้
    .
    ผู้บริหารบริษัทเอไอชั้นนำของจีนและอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ เช่น หุ่นยนต์ เป็นต้น ต่างก็ได้รับคำสั่งให้งดเว้นการเดินทางไปสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรอื่นๆ ของอเมริกา เว้นแต่จะมีความจำเป็นยิ่งยวดจริงๆ ตามรายงานของ WSJ
    .
    สำหรับผู้บริหารที่ตัดสินใจเดินทางจะต้องมีการแจ้งแผนการเดินทางให้รัฐบาลทราบล่วงหน้า และเมื่อกลับมาแล้วก็จะต้องแจ้งต่อทางการจีนว่าไปทำอะไร และพบใครมาบ้าง
    .
    ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัปเอไอ DeepSeek ก็เคยปฏิเสธหนังสือเชิญไปเข้าร่วมการประชุมซัมมิตเอไอที่กรุงปารีสเมื่อเดือน ก.พ. มาแล้ว ขณะที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปเอไอชั้นนำอีกรายหนึ่งก็ยกเลิกแผนเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2024 หลังได้รับใบสั่งจากปักกิ่ง ตามข้อมูลของ WSJ
    .
    จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในด้านเทคโนโลยีเอไอ โดยเมื่อไม่นานมานี้ DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดลเอไอหลายรุ่นที่อ้างว่ามีศักยภาพเทียบเคียงหรือเหนือกว่าโมเดลเอไอของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI และ Google โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ากันหลายเท่า
    .
    เมื่อเดือน ก.พ. ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เรียกประชุมผู้นำภาคธุรกิจเทคโนโลยีของจีน และเรียกร้องให้นักธุรกิจเหล่านี้ "แสดงพรสวรรค์" ออกตนออกมา และขอให้เชื่อมั่นในพลังของรูปแบบและตลาดจีน
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000020106
    .......
    Sondhi X
    รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้นักวิจัยและบรรดาผู้นำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) โดย WSJ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลจีนเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอเหล่านี้อาจจะไปเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านเอไอของจีนให้ประเทศคู่แข่งรับรู้ . ทางการปักกิ่งยังกลัวว่า พวกผู้บริหารเหล่านี้อาจจะถูกจับและถูกใช้เป็นชิปต่อรองในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เหมือนเช่นกรณีของ เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารหัวเว่ย (Huawei) ที่เคยถูกแคนาดากักขังตามใบสั่งสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงรัฐบาลทรัมป์หนึ่ง . ทำเนียบขาวและสำนักงานสารนิเทศแห่งคณะรัฐมนตรีจีน (China’s State Council Information Office) ยังไม่ออกมาตอบข้อซักถามของรอยเตอร์ในประเด็นนี้ . ผู้บริหารบริษัทเอไอชั้นนำของจีนและอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ เช่น หุ่นยนต์ เป็นต้น ต่างก็ได้รับคำสั่งให้งดเว้นการเดินทางไปสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรอื่นๆ ของอเมริกา เว้นแต่จะมีความจำเป็นยิ่งยวดจริงๆ ตามรายงานของ WSJ . สำหรับผู้บริหารที่ตัดสินใจเดินทางจะต้องมีการแจ้งแผนการเดินทางให้รัฐบาลทราบล่วงหน้า และเมื่อกลับมาแล้วก็จะต้องแจ้งต่อทางการจีนว่าไปทำอะไร และพบใครมาบ้าง . ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัปเอไอ DeepSeek ก็เคยปฏิเสธหนังสือเชิญไปเข้าร่วมการประชุมซัมมิตเอไอที่กรุงปารีสเมื่อเดือน ก.พ. มาแล้ว ขณะที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปเอไอชั้นนำอีกรายหนึ่งก็ยกเลิกแผนเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2024 หลังได้รับใบสั่งจากปักกิ่ง ตามข้อมูลของ WSJ . จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในด้านเทคโนโลยีเอไอ โดยเมื่อไม่นานมานี้ DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดลเอไอหลายรุ่นที่อ้างว่ามีศักยภาพเทียบเคียงหรือเหนือกว่าโมเดลเอไอของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI และ Google โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ากันหลายเท่า . เมื่อเดือน ก.พ. ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เรียกประชุมผู้นำภาคธุรกิจเทคโนโลยีของจีน และเรียกร้องให้นักธุรกิจเหล่านี้ "แสดงพรสวรรค์" ออกตนออกมา และขอให้เชื่อมั่นในพลังของรูปแบบและตลาดจีน . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000020106 ....... Sondhi X
    SONDHITALK.COM
    หวั่นซ้ำรอยลูกสาวหัวเว่ย! จีนสั่ง ‘นักวิจัย-ผู้นำธุรกิจเอไอ’ หลีกเลี่ยงเดินทางไปสหรัฐฯ-ชาติพันธมิตร
    รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้นักวิจัยและบรรดาผู้นำธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ของจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ)
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง

    ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10)

    Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง)

    บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้)

    เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง

    ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034

    ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร

    เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน

    ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย

    ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป

    ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน

    คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872)

    อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย

    เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง

    ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร

    ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9
    https://www.sohu.com/a/394407332_100120829
    https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://www.guoxue.com/?p=42472
    https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html
    https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5
    https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10) Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง) บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034 ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872) อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9 https://www.sohu.com/a/394407332_100120829 https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://www.guoxue.com/?p=42472 https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5 https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่จริงสัตว์ป่า สัตว์ทั่วๆ ไปนี้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็ฝึกจนเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่านก หรือกระรอก หรือสัตว์ใดๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสัตว์เหล่านี้มีความรู้สึกธรรมดาสามัญ ไม่เป็นศัตรูกัน เมื่ออาตมาอยู่ที่สวนโมกข์แห่งเก่าโน่น อาศัยอยู่ในเพิงที่ต่อออกไปจากโบสถ์ร้าง เสามันเป็นไม้เก่า มันกลวง มันเป็นโพรง ลูกตะกวดมันเข้าไปอยู่ในโพรง โต ลูกตะกวดนี้โตเกือบเท่าฝ่ามือ ไม่ถึงเท่าข้อมือแต่มันก็โตมาก และมันอยู่ในโพรง มันโผล่ศีรษะออกมาจากรูเสานั้น พออาตมาเดินเข้าไปในที่พักมันก็หลุบพลุบเลย พอเดินเข้าออกทีใดมันก็หลุบปุ๊บ แต่หลายหนเข้ามันก็ไม่ค่อยจะหลุบ จนกระทั่งว่าเดินผ่านเฉียดเข้าไปมันก็ไม่หลุบ เราเอามือไปถูกจมูกมัน มันจึงจะหลุบ เนี่ยความเคยชินเป็นมิตรมันมากขึ้น ทีนี้ในตอนหลังๆ เดิน มันไม่หลุบ เอามือไปถูกจมูกมัน มันหลับตาเสีย ลองคิดดูว่ามัน มันทำตนเป็นเพื่อนเหลือประมาณ ไม่ได้ให้อะไรกินนะ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ลูกตะกวดกิน ไม่มีความรู้ เพียงแต่เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกัน อาตมาก็อยู่ในเพิงนั้น เขาก็อยู่ที่เสานั่น มันก็เป็นเพื่อนกันได้ขนาดนี้
    .
    ก็ควรจะถือเป็นหลักว่า สัตว์เหล่านี้เอาไว้ฝึกความเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า อย่าไปฆ่า ไปอะไรมันเลย เว้นไว้แต่มันจะเหลือทนจริงๆจึงค่อยไล่ค่อยตะเพิดไปเสีย สัญชาตญาณของสัตว์มันไม่ต้องการจะเป็นศัตรูและมันไม่สันนิษฐานว่าใครจะเป็นศัตรู มันเพียงแต่ระวัง ระวังเชิง พอเห็นว่าไม่มีความเป็นศัตรูมันก็แสดงความเป็นมิตร ไก่ป่ามันก็มามากขึ้นเพราะว่ามันได้กินอะไรบ้าง อย่างนี้มันไม่เหมือนกับลูกตะกวดตัวนั้นซึ่งไม่ได้กินอะไรเลย มีไก่ป่าหลายสิบตัวมาคอยกินอาหาร เมื่อเราฉัน มันก็ไปอยู่ใต้ถุนร้านที่เรานั่งฉัน ซึ่งเป็นซีกฟาก มันก็มีมากจนนักเลงต่อไก่หรือนักเลงยิงไก่มาเห็นแล้ว มันก็เป็นอย่างที่เขาเรียกว่าน้ำลายไหล ทั้งที่มันยังเป็นๆ อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไร
    .
    พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน (ภาคบ่าย)
    ฟังได้ที่
    https://drive.google.com/file/d/1OZt32Fw_jfmgtR1tVBuV-b__-mIjvOeH/view?usp=drive_link
    ที่จริงสัตว์ป่า สัตว์ทั่วๆ ไปนี้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็ฝึกจนเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่านก หรือกระรอก หรือสัตว์ใดๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสัตว์เหล่านี้มีความรู้สึกธรรมดาสามัญ ไม่เป็นศัตรูกัน เมื่ออาตมาอยู่ที่สวนโมกข์แห่งเก่าโน่น อาศัยอยู่ในเพิงที่ต่อออกไปจากโบสถ์ร้าง เสามันเป็นไม้เก่า มันกลวง มันเป็นโพรง ลูกตะกวดมันเข้าไปอยู่ในโพรง โต ลูกตะกวดนี้โตเกือบเท่าฝ่ามือ ไม่ถึงเท่าข้อมือแต่มันก็โตมาก และมันอยู่ในโพรง มันโผล่ศีรษะออกมาจากรูเสานั้น พออาตมาเดินเข้าไปในที่พักมันก็หลุบพลุบเลย พอเดินเข้าออกทีใดมันก็หลุบปุ๊บ แต่หลายหนเข้ามันก็ไม่ค่อยจะหลุบ จนกระทั่งว่าเดินผ่านเฉียดเข้าไปมันก็ไม่หลุบ เราเอามือไปถูกจมูกมัน มันจึงจะหลุบ เนี่ยความเคยชินเป็นมิตรมันมากขึ้น ทีนี้ในตอนหลังๆ เดิน มันไม่หลุบ เอามือไปถูกจมูกมัน มันหลับตาเสีย ลองคิดดูว่ามัน มันทำตนเป็นเพื่อนเหลือประมาณ ไม่ได้ให้อะไรกินนะ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ลูกตะกวดกิน ไม่มีความรู้ เพียงแต่เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกัน อาตมาก็อยู่ในเพิงนั้น เขาก็อยู่ที่เสานั่น มันก็เป็นเพื่อนกันได้ขนาดนี้ . ก็ควรจะถือเป็นหลักว่า สัตว์เหล่านี้เอาไว้ฝึกความเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า อย่าไปฆ่า ไปอะไรมันเลย เว้นไว้แต่มันจะเหลือทนจริงๆจึงค่อยไล่ค่อยตะเพิดไปเสีย สัญชาตญาณของสัตว์มันไม่ต้องการจะเป็นศัตรูและมันไม่สันนิษฐานว่าใครจะเป็นศัตรู มันเพียงแต่ระวัง ระวังเชิง พอเห็นว่าไม่มีความเป็นศัตรูมันก็แสดงความเป็นมิตร ไก่ป่ามันก็มามากขึ้นเพราะว่ามันได้กินอะไรบ้าง อย่างนี้มันไม่เหมือนกับลูกตะกวดตัวนั้นซึ่งไม่ได้กินอะไรเลย มีไก่ป่าหลายสิบตัวมาคอยกินอาหาร เมื่อเราฉัน มันก็ไปอยู่ใต้ถุนร้านที่เรานั่งฉัน ซึ่งเป็นซีกฟาก มันก็มีมากจนนักเลงต่อไก่หรือนักเลงยิงไก่มาเห็นแล้ว มันก็เป็นอย่างที่เขาเรียกว่าน้ำลายไหล ทั้งที่มันยังเป็นๆ อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไร . พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน (ภาคบ่าย) ฟังได้ที่ https://drive.google.com/file/d/1OZt32Fw_jfmgtR1tVBuV-b__-mIjvOeH/view?usp=drive_link
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ได้เปิดตัวเทคโนโลยี "Age Assurance" ที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถแชร์อายุของบุตรหลานกับนักพัฒนาแอปได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น วันเกิดหรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นขณะที่นักกฎหมายในสหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายการยืนยันอายุสำหรับสื่อสังคมออนไลน์และแอปอื่น ๆ รัฐต่างๆ เช่น ยูทาห์ และเซาท์แคโรไลนา กำลังถกเถียงกันเรื่องกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ให้บริการแอปสโตร์ เช่น Apple และ Google ต้องตรวจสอบอายุของผู้ใช้

    Meta ได้สนับสนุนกฎหมายที่กำหนดให้แอปสโตร์ตรวจสอบอายุของเด็ก ๆ เมื่อดาวน์โหลดแอป แต่ Apple กล่าวว่าไม่ต้องการรับผิดชอบในการเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ Apple จึงเปิดตัวเทคโนโลยี "Age Assurance" ที่ให้ผู้ปกครองกรอกอายุของบุตรหลานเมื่อสร้างบัญชีเด็ก และสามารถเลือกที่จะแชร์ช่วงอายุแทนที่จะเป็นวันเกิดที่แน่นอนกับนักพัฒนาแอปของบุคคลที่สาม ผู้ปกครองยังสามารถปิดการแชร์ช่วงอายุนี้ได้ ซึ่งช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่สำคัญ

    Stephanie Otway โฆษกของ Meta กล่าวว่า เทคโนโลยีของ Apple เป็น "ก้าวแรกที่ดี" แต่ยังคงต้องให้เด็กแชร์ข้อมูลช่วงอายุกับนักพัฒนา ซึ่งทำให้การนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ยากขึ้น สำหรับ Meta พ่อแม่ยังต้องการมีคำพูดสุดท้ายในแอปที่ลูกของพวกเขาใช้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/apple-launches-039age-assurance039-tech-as-us-states-mull-social-media-laws
    Apple ได้เปิดตัวเทคโนโลยี "Age Assurance" ที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถแชร์อายุของบุตรหลานกับนักพัฒนาแอปได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น วันเกิดหรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นขณะที่นักกฎหมายในสหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายการยืนยันอายุสำหรับสื่อสังคมออนไลน์และแอปอื่น ๆ รัฐต่างๆ เช่น ยูทาห์ และเซาท์แคโรไลนา กำลังถกเถียงกันเรื่องกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ให้บริการแอปสโตร์ เช่น Apple และ Google ต้องตรวจสอบอายุของผู้ใช้ Meta ได้สนับสนุนกฎหมายที่กำหนดให้แอปสโตร์ตรวจสอบอายุของเด็ก ๆ เมื่อดาวน์โหลดแอป แต่ Apple กล่าวว่าไม่ต้องการรับผิดชอบในการเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ Apple จึงเปิดตัวเทคโนโลยี "Age Assurance" ที่ให้ผู้ปกครองกรอกอายุของบุตรหลานเมื่อสร้างบัญชีเด็ก และสามารถเลือกที่จะแชร์ช่วงอายุแทนที่จะเป็นวันเกิดที่แน่นอนกับนักพัฒนาแอปของบุคคลที่สาม ผู้ปกครองยังสามารถปิดการแชร์ช่วงอายุนี้ได้ ซึ่งช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่สำคัญ Stephanie Otway โฆษกของ Meta กล่าวว่า เทคโนโลยีของ Apple เป็น "ก้าวแรกที่ดี" แต่ยังคงต้องให้เด็กแชร์ข้อมูลช่วงอายุกับนักพัฒนา ซึ่งทำให้การนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ยากขึ้น สำหรับ Meta พ่อแม่ยังต้องการมีคำพูดสุดท้ายในแอปที่ลูกของพวกเขาใช้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/apple-launches-039age-assurance039-tech-as-us-states-mull-social-media-laws
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple launches 'age assurance' tech as US states mull social media laws
    (Reuters) -Apple on Thursday said it will introduce a way for parents to share the age of a child with app developers without revealing sensitive information such as birthdays or government identification numbers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ได้นำแนวคิดของผู้ช่วยเสียงแบบสนทนาไปสู่ระดับใหม่ด้วยการเปิดตัว Alexa+ ที่มีความสามารถในการดำเนินงานที่ทำให้เป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่ง โดย Alexa+ สามารถทำงานประจำวันให้กับคุณได้ นอกจากนี้ยังทำให้เทคโนโลยีผู้ช่วยเสียงเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งของ Amazon

    หากคุณเคยลองใช้ผู้ช่วยเสียง AI อื่น ๆ และยังไม่ประทับใจใน Alexa+ ต่อไปนี้คือเหตุผลที่อาจทำให้คุณเปลี่ยนใจ:

    = ความเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Alexa และ Prime =
    หนึ่งในจุดเด่นของ Alexa+ คือการที่ผู้ใช้สามารถสัมผัสประสบการณ์ AI เต็มรูปแบบได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ การอัปเกรดนี้ถูกนำมาใช้ร่วมกับการสมัครสมาชิก Amazon Prime ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น การจัดส่งฟรีแบบสองวันและการเข้าถึง Prime Video ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่แตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ

    = ผู้ช่วยเสียง AI ที่ล้ำหน้าที่สุด =
    Alexa+ ได้รับการออกแบบให้สามารถเข้าใจการสนทนาและกระบวนการคิดที่ไม่เป็นลำดับและการตอบสนองต่อคำถามหลายรอบ นอกจากนี้ Alexa+ ยังสามารถดำเนินการต่างๆ ด้วยคำสั่งเสียงง่ายๆ เช่น การจองร้านอาหารหรือการสั่งซื้อของชำผ่านบริการที่รวมเข้ากับระบบ

    = ความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ =
    Amazon ได้ร่วมมือกับบริษัทและบริการชั้นนำ เช่น Ticketmaster, OpenTable, Vagaro, Amazon Fresh, และ UberEats เพื่อให้ Alexa+ สามารถจัดการงานประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจองร้านอาหาร การซ่อมแซมอุปกรณ์ในครัว หรือการสั่งของชำ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จาก Alexa+ ได้มากยิ่งขึ้น

    https://www.zdnet.com/article/3-ways-amazon-just-leapfrogged-apple-google-and-chatgpt-in-the-ai-race/
    Amazon ได้นำแนวคิดของผู้ช่วยเสียงแบบสนทนาไปสู่ระดับใหม่ด้วยการเปิดตัว Alexa+ ที่มีความสามารถในการดำเนินงานที่ทำให้เป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่ง โดย Alexa+ สามารถทำงานประจำวันให้กับคุณได้ นอกจากนี้ยังทำให้เทคโนโลยีผู้ช่วยเสียงเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งของ Amazon หากคุณเคยลองใช้ผู้ช่วยเสียง AI อื่น ๆ และยังไม่ประทับใจใน Alexa+ ต่อไปนี้คือเหตุผลที่อาจทำให้คุณเปลี่ยนใจ: = ความเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Alexa และ Prime = หนึ่งในจุดเด่นของ Alexa+ คือการที่ผู้ใช้สามารถสัมผัสประสบการณ์ AI เต็มรูปแบบได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ การอัปเกรดนี้ถูกนำมาใช้ร่วมกับการสมัครสมาชิก Amazon Prime ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น การจัดส่งฟรีแบบสองวันและการเข้าถึง Prime Video ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่แตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ = ผู้ช่วยเสียง AI ที่ล้ำหน้าที่สุด = Alexa+ ได้รับการออกแบบให้สามารถเข้าใจการสนทนาและกระบวนการคิดที่ไม่เป็นลำดับและการตอบสนองต่อคำถามหลายรอบ นอกจากนี้ Alexa+ ยังสามารถดำเนินการต่างๆ ด้วยคำสั่งเสียงง่ายๆ เช่น การจองร้านอาหารหรือการสั่งซื้อของชำผ่านบริการที่รวมเข้ากับระบบ = ความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ = Amazon ได้ร่วมมือกับบริษัทและบริการชั้นนำ เช่น Ticketmaster, OpenTable, Vagaro, Amazon Fresh, และ UberEats เพื่อให้ Alexa+ สามารถจัดการงานประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจองร้านอาหาร การซ่อมแซมอุปกรณ์ในครัว หรือการสั่งของชำ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จาก Alexa+ ได้มากยิ่งขึ้น https://www.zdnet.com/article/3-ways-amazon-just-leapfrogged-apple-google-and-chatgpt-in-the-ai-race/
    WWW.ZDNET.COM
    3 ways Amazon just leapfrogged Apple, Google, and ChatGPT in the AI race
    The long-awaited Amazon Alexa+ upgrade is here, setting a new pace for AI voice assistants.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างมากครับ ลุงชอบ

    Google และ Qualcomm ได้ประกาศความร่วมมือในการปรับปรุงการสนับสนุนอุปกรณ์ Android อย่างมีนัยสำคัญ โดยเสนอการอัปเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยนานถึง แปดปี สำหรับอุปกรณ์ที่เข้าเกณฑ์ ข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการยืดอายุการใช้งานของสมาร์ทโฟน!

    แผนการสนับสนุนใหม่นี้จะครอบคลุมโทรศัพท์ที่ใช้แพลตฟอร์ม Snapdragon 8 Elite ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2024 และใช้ในผลิตภัณฑ์ล่าสุดเช่น OnePlus 13 และ Samsung Galaxy S25 ซึ่ง Android 15 จะเป็นระบบปฏิบัติการรุ่นแรกที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาวนี้ โดยในปีนี้อุปกรณ์ที่ใช้ชิป Snapdragon 8 และ 7-series จะเข้าร่วมแผนนี้ด้วย

    อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าแผนการสนับสนุนนี้ไม่ได้ครอบคลุมอุปกรณ์รุ่นเก่า และผู้ผลิตยังสามารถตัดสินใจว่าจะนำแผนการสนับสนุนนี้ไปใช้หรือไม่ แม้จะมีการรับประกันการเข้าถึงการอัปเดต Android รุ่นใหม่ แต่การตัดสินใจสุดท้ายยังขึ้นอยู่กับผู้ผลิต OEM

    ประโยชน์จากแผนนี้คืออะไร?

    การมีการอัปเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยนานขึ้น จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้ยาวนานขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยลดการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์และเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัด เช่น อุปกรณ์ราคาประหยัดที่ใช้ชิปของ Qualcomm อาจไม่ได้รับการอัปเดตเพิ่มเติม

    การขยายเวลาการสนับสนุนนี้ยังเป็นไปตามแนวคิดหลักในด้านความปลอดภัยที่สำคัญในสหรัฐฯ และยุโรป และสามารถปรับปรุงทั้งความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของผู้ผลิตในการนำแผนการสนับสนุนไปใช้

    https://www.techspot.com/news/106931-google-qualcomm-offering-up-eight-years-updates-newer.html
    เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างมากครับ ลุงชอบ Google และ Qualcomm ได้ประกาศความร่วมมือในการปรับปรุงการสนับสนุนอุปกรณ์ Android อย่างมีนัยสำคัญ โดยเสนอการอัปเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยนานถึง แปดปี สำหรับอุปกรณ์ที่เข้าเกณฑ์ ข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการยืดอายุการใช้งานของสมาร์ทโฟน! แผนการสนับสนุนใหม่นี้จะครอบคลุมโทรศัพท์ที่ใช้แพลตฟอร์ม Snapdragon 8 Elite ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2024 และใช้ในผลิตภัณฑ์ล่าสุดเช่น OnePlus 13 และ Samsung Galaxy S25 ซึ่ง Android 15 จะเป็นระบบปฏิบัติการรุ่นแรกที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาวนี้ โดยในปีนี้อุปกรณ์ที่ใช้ชิป Snapdragon 8 และ 7-series จะเข้าร่วมแผนนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าแผนการสนับสนุนนี้ไม่ได้ครอบคลุมอุปกรณ์รุ่นเก่า และผู้ผลิตยังสามารถตัดสินใจว่าจะนำแผนการสนับสนุนนี้ไปใช้หรือไม่ แม้จะมีการรับประกันการเข้าถึงการอัปเดต Android รุ่นใหม่ แต่การตัดสินใจสุดท้ายยังขึ้นอยู่กับผู้ผลิต OEM ประโยชน์จากแผนนี้คืออะไร? การมีการอัปเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยนานขึ้น จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้ยาวนานขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยลดการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์และเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัด เช่น อุปกรณ์ราคาประหยัดที่ใช้ชิปของ Qualcomm อาจไม่ได้รับการอัปเดตเพิ่มเติม การขยายเวลาการสนับสนุนนี้ยังเป็นไปตามแนวคิดหลักในด้านความปลอดภัยที่สำคัญในสหรัฐฯ และยุโรป และสามารถปรับปรุงทั้งความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของผู้ผลิตในการนำแผนการสนับสนุนไปใช้ https://www.techspot.com/news/106931-google-qualcomm-offering-up-eight-years-updates-newer.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google and Qualcomm offering up to eight years of updates on newer Android devices
    Qualcomm and Google have announced a partnership to significantly improve official Android support, offering "up to" eight years of software and security updates for eligible devices. Needless...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google นำเสนอความสามารถใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลบข้อมูลส่วนตัวจากผลการค้นหาได้อย่างง่ายและรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้งานสามารถร้องขอการลบข้อมูลได้โดยตรงจากหน้า Google Search

    หากคุณพบข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ หรืออีเมล ที่ปรากฏในผลการค้นหา Google คุณสามารถคลิกที่จุดสามจุดข้างข้อมูลนั้น แล้วเลือกตัวเลือก "Remove result" จากนั้นจะมีตัวเลือกให้คุณเลือกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องการให้ลบข้อมูลนี้ ถ้า Google พบว่าข้อมูลนั้นละเมิดนโยบายของบริษัท ข้อมูลจะถูกลบออกจากผลการค้นหาภายในไม่กี่นาที แต่ข้อมูลจะยังคงอยู่ในเว็บไซต์ต้นทางอยู่

    นอกจากนี้ Google ยังมีการเสนอการตรวจสอบเชิงรุกสำหรับข้อมูลส่วนตัวของคุณ โดยคุณสามารถสมัครรับการแจ้งเตือนเมื่อพบข้อมูลส่วนตัวของคุณออนไลน์ผ่านหน้า Results about you ที่ Google ได้ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามและจัดการข้อมูลส่วนตัวของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่นี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวในยุคดิจิทัล ที่การหลอกลวงและการขโมยข้อมูลกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

    ด้วยความสามารถใหม่นี้ ผู้ใช้สามารถมีอำนาจในการจัดการและควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ดีขึ้น และสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    https://www.zdnet.com/article/you-can-delete-personal-info-directly-from-google-search-now-and-its-shockingly-fast/
    Google นำเสนอความสามารถใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลบข้อมูลส่วนตัวจากผลการค้นหาได้อย่างง่ายและรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้งานสามารถร้องขอการลบข้อมูลได้โดยตรงจากหน้า Google Search หากคุณพบข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ หรืออีเมล ที่ปรากฏในผลการค้นหา Google คุณสามารถคลิกที่จุดสามจุดข้างข้อมูลนั้น แล้วเลือกตัวเลือก "Remove result" จากนั้นจะมีตัวเลือกให้คุณเลือกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องการให้ลบข้อมูลนี้ ถ้า Google พบว่าข้อมูลนั้นละเมิดนโยบายของบริษัท ข้อมูลจะถูกลบออกจากผลการค้นหาภายในไม่กี่นาที แต่ข้อมูลจะยังคงอยู่ในเว็บไซต์ต้นทางอยู่ นอกจากนี้ Google ยังมีการเสนอการตรวจสอบเชิงรุกสำหรับข้อมูลส่วนตัวของคุณ โดยคุณสามารถสมัครรับการแจ้งเตือนเมื่อพบข้อมูลส่วนตัวของคุณออนไลน์ผ่านหน้า Results about you ที่ Google ได้ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามและจัดการข้อมูลส่วนตัวของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่นี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวในยุคดิจิทัล ที่การหลอกลวงและการขโมยข้อมูลกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยความสามารถใหม่นี้ ผู้ใช้สามารถมีอำนาจในการจัดการและควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ดีขึ้น และสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด https://www.zdnet.com/article/you-can-delete-personal-info-directly-from-google-search-now-and-its-shockingly-fast/
    WWW.ZDNET.COM
    You can delete personal info directly from Google Search now - and it's shockingly fast
    This might be the simplest - and fastest - way to remove your personal information online.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท SK hynix กำลังจะเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการหน่วยความจำแฟลช NAND และธุรกิจจัดเก็บข้อมูลของ Intel ซึ่งกระบวนการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ห้าปีก่อน ด้วยมูลค่าข้อตกลง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    การซื้อกิจการครั้งนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะ ๆ โดยเฟสแรกเสร็จสิ้นในปลายปี 2021 โดยได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในเอเชีย การดำเนินการในครั้งนี้ทำให้ SK hynix ได้รับการออกแบบ SSD NAND ของ Intel และพนักงานในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยจัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ชื่อว่า Solidigm

    รายงานจาก BusinessKorea ระบุว่า SK hynix กำลังจะชำระเงินงวดสุดท้ายเป็นจำนวนเงิน 2.235 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการซื้อกิจการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การสำเร็จการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ SK hynix เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Samsung ในตลาด NAND flash

    การขยายกิจการของ SK hynix นี้ยังมีการเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ SSD สำหรับองค์กร เช่น Google และ Meta ที่กำลังดำเนินการอัพเกรดศูนย์ข้อมูลทั่วโลก BusinessKorea เชื่อว่าการขยายกิจการนี้จะช่วยให้ SK hynix มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต

    https://www.techpowerup.com/333108/reports-suggest-sk-hynix-finalizing-acquisition-of-intel-nand-business
    บริษัท SK hynix กำลังจะเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการหน่วยความจำแฟลช NAND และธุรกิจจัดเก็บข้อมูลของ Intel ซึ่งกระบวนการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ห้าปีก่อน ด้วยมูลค่าข้อตกลง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การซื้อกิจการครั้งนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะ ๆ โดยเฟสแรกเสร็จสิ้นในปลายปี 2021 โดยได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในเอเชีย การดำเนินการในครั้งนี้ทำให้ SK hynix ได้รับการออกแบบ SSD NAND ของ Intel และพนักงานในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยจัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ชื่อว่า Solidigm รายงานจาก BusinessKorea ระบุว่า SK hynix กำลังจะชำระเงินงวดสุดท้ายเป็นจำนวนเงิน 2.235 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการซื้อกิจการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การสำเร็จการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ SK hynix เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Samsung ในตลาด NAND flash การขยายกิจการของ SK hynix นี้ยังมีการเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ SSD สำหรับองค์กร เช่น Google และ Meta ที่กำลังดำเนินการอัพเกรดศูนย์ข้อมูลทั่วโลก BusinessKorea เชื่อว่าการขยายกิจการนี้จะช่วยให้ SK hynix มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต https://www.techpowerup.com/333108/reports-suggest-sk-hynix-finalizing-acquisition-of-intel-nand-business
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Reports Suggest SK hynix Finalizing Acquisition of Intel NAND Business
    Almost five years ago, SK hynix announced a planned $9 billion acquisition of Intel's NAND flash memory and storage business. The semiconductor giant's takeover process has been a gradual affair; the first phase was complete by the end of 2021, with Asian governing bodies—just before Christmas—givin...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mozilla ได้ตอกย้ำคำมั่นว่าจะสนับสนุนส่วนขยายที่ใช้ Manifest V2 ควบคู่ไปกับ Manifest V3 ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของส่วนขยายในเว็บเบราว์เซอร์ โดยจำกัดการร้องขอเครือข่ายและการโหลดเนื้อหาจากแหล่งภายนอก

    Manifest V3 ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้ส่วนขยายที่อนุญาตเกินไป แต่กลับจำกัดการทำงานของส่วนขยายบางประเภท เช่น โปรแกรมบล็อกโฆษณา ทำให้ความสามารถในการตรวจจับและบล็อกเนื้อหาโฆษณาลดลง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ uBlock Origin ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 38 ล้านครั้งบน Chrome Web Store ได้ถูกปิดใช้งานในขณะที่ Manifest V3 กำลังถูกบังคับใช้

    แม้ว่าเบราว์เซอร์อื่นๆ เช่น Microsoft Edge, Mozilla Firefox, และ Apple Safari ต่างยอมรับ Manifest V3 แต่พวกเขาก็ทำการปรับเปลี่ยนการใช้งานของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้ยังคงมีอิสระในการใช้ส่วนขยาย แต่การสนับสนุน Manifest V2 ยังคงเป็นวิธีเดียวสำหรับส่วนขยายรุ่นเก่า

    Mozilla ประกาศว่าจะยังคงสนับสนุนทั้ง API ของ blockingWebRequest และ declarativeNetRequest ที่สอดคล้องกับ Manifest V2 และ V3 ตามลำดับ โดยสาเหตุหลักคือการยึดมั่นต่อหลักการที่ 5 ของ Mozilla Manifesto ที่กล่าวว่า "บุคคลต้องมีความสามารถในการกำหนดอินเทอร์เน็ตและประสบการณ์ของตนเอง"

    แม้ว่า Mozilla จะประเมินการเลิกสนับสนุน Manifest V2 ในปลายปี 2023 แต่ด้วยความซับซ้อนทั้งด้านเทคนิคและปฏิบัติ ทำให้ Mozilla ยืนยันในเดือนมีนาคม 2024 ว่าจะไม่เลิกสนับสนุน Manifest V2 ในอนาคตอันใกล้ การประกาศล่าสุดนี้ย้ำให้เห็นว่า Firefox ยังคงเป็นหนึ่งในเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวที่ให้ผู้ใช้มีอิสระในการใช้ส่วนขยาย Manifest V2 ต่อไป

    ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีอิสระในการเลือกใช้ส่วนขยายที่ช่วยเสริมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ และการสนับสนุนจาก Mozilla ทำให้ผู้ใช้สามารถมีประสบการณ์การใช้งานเว็บที่ดียิ่งขึ้น

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/firefox-continues-manifest-v2-support-as-chrome-disables-mv2-ad-blockers/
    Mozilla ได้ตอกย้ำคำมั่นว่าจะสนับสนุนส่วนขยายที่ใช้ Manifest V2 ควบคู่ไปกับ Manifest V3 ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของส่วนขยายในเว็บเบราว์เซอร์ โดยจำกัดการร้องขอเครือข่ายและการโหลดเนื้อหาจากแหล่งภายนอก Manifest V3 ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้ส่วนขยายที่อนุญาตเกินไป แต่กลับจำกัดการทำงานของส่วนขยายบางประเภท เช่น โปรแกรมบล็อกโฆษณา ทำให้ความสามารถในการตรวจจับและบล็อกเนื้อหาโฆษณาลดลง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ uBlock Origin ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 38 ล้านครั้งบน Chrome Web Store ได้ถูกปิดใช้งานในขณะที่ Manifest V3 กำลังถูกบังคับใช้ แม้ว่าเบราว์เซอร์อื่นๆ เช่น Microsoft Edge, Mozilla Firefox, และ Apple Safari ต่างยอมรับ Manifest V3 แต่พวกเขาก็ทำการปรับเปลี่ยนการใช้งานของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้ยังคงมีอิสระในการใช้ส่วนขยาย แต่การสนับสนุน Manifest V2 ยังคงเป็นวิธีเดียวสำหรับส่วนขยายรุ่นเก่า Mozilla ประกาศว่าจะยังคงสนับสนุนทั้ง API ของ blockingWebRequest และ declarativeNetRequest ที่สอดคล้องกับ Manifest V2 และ V3 ตามลำดับ โดยสาเหตุหลักคือการยึดมั่นต่อหลักการที่ 5 ของ Mozilla Manifesto ที่กล่าวว่า "บุคคลต้องมีความสามารถในการกำหนดอินเทอร์เน็ตและประสบการณ์ของตนเอง" แม้ว่า Mozilla จะประเมินการเลิกสนับสนุน Manifest V2 ในปลายปี 2023 แต่ด้วยความซับซ้อนทั้งด้านเทคนิคและปฏิบัติ ทำให้ Mozilla ยืนยันในเดือนมีนาคม 2024 ว่าจะไม่เลิกสนับสนุน Manifest V2 ในอนาคตอันใกล้ การประกาศล่าสุดนี้ย้ำให้เห็นว่า Firefox ยังคงเป็นหนึ่งในเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวที่ให้ผู้ใช้มีอิสระในการใช้ส่วนขยาย Manifest V2 ต่อไป ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีอิสระในการเลือกใช้ส่วนขยายที่ช่วยเสริมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ และการสนับสนุนจาก Mozilla ทำให้ผู้ใช้สามารถมีประสบการณ์การใช้งานเว็บที่ดียิ่งขึ้น https://www.bleepingcomputer.com/news/security/firefox-continues-manifest-v2-support-as-chrome-disables-mv2-ad-blockers/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Firefox continues Manifest V2 support as Chrome disables MV2 ad-blockers
    Mozilla has renewed its promise to continue supporting Manifest V2 extensions alongside Manifest V3, giving users the freedom to use the extensions they want in their browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Drive เพิ่มความสะดวกในการใช้งานวิดีโอโดยการเพิ่มฟีเจอร์การค้นหาทรานสคริปต์ (searchable transcripts) สำหรับวิดีโอที่อัปโหลดไปยังบริการคลาวด์ของ Google Drive ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและอ้างอิงข้อความภายในวิดีโอได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

    ฟีเจอร์ใหม่นี้ถูกเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่ Google Drive ได้เปิดตัวความสามารถในการสร้างคำบรรยายอัตโนมัติสำหรับวิดีโอเมื่อปีที่แล้ว โดยฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างทรานสคริปต์ที่สามารถค้นหาได้สำหรับวิดีโอที่มีคำบรรยายฝังอยู่แล้ว

    หนึ่งในข้อดีหลักคือ การใช้แถบด้านข้างของวิดีโอเพลเยอร์เพื่อแสดงทรานสคริปต์และไฮไลท์ข้อความตามเวลาจริงขณะที่ผู้บรรยายพูด ผู้ใช้ยังสามารถคัดลอกและวางส่วนที่ต้องการลงในเอกสารได้ และยังสามารถค้นหาช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงในวิดีโอและข้ามไปยังช่วงเวลานั้นได้ทันที

    Google ระบุว่าการอัปเดตนี้จะมีผลกับผู้ใช้ทุกคนที่มีบัญชีส่วนตัวหรือบัญชี Workspace แม้ว่าจะเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงวิดีโอ แต่ผู้ใช้ยังไม่สามารถควบคุมฟีเจอร์นี้ผ่านเครื่องมือผู้ดูแลระบบได้ ทรานสคริปต์จะทำงานได้เฉพาะกับวิดีโอที่มีคำบรรยายฝังอยู่เท่านั้น ซึ่งสามารถสร้างคำบรรยายอัตโนมัติได้จากการอัปเดตเมื่อปีที่แล้ว

    ในปัจจุบัน นักพัฒนาได้เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์ทรานสคริปต์ในโดเมนที่ปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว (rapid-release domains) แต่อาจใช้เวลาถึง 15 วันในการเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบ การเปิดตัวในโดเมนที่มีกำหนดการจะเริ่มขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 26 มีนาคม

    นอกจากนี้ Google ยังเสนอเคล็ดลับและคำแนะนำในการสร้างคำบรรยายและเปิดใช้งานทรานสคริปต์สำหรับวิดีโอที่อัปโหลดไปยัง Drive รวมถึงคำแนะนำในการใช้ Drive เป็นแพลตฟอร์มโฮสติ้งและการแก้ไขวิดีโอผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    แม้ว่า Google Drive จะมีความสามารถใหม่นี้ แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสำหรับผู้ใช้บัญชีฟรี ซึ่งอาจทำให้การเก็บวิดีโอขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องท้าทาย

    https://www.techspot.com/news/106910-google-adds-searchable-transcripts-videos-uploaded-drive.html
    Google Drive เพิ่มความสะดวกในการใช้งานวิดีโอโดยการเพิ่มฟีเจอร์การค้นหาทรานสคริปต์ (searchable transcripts) สำหรับวิดีโอที่อัปโหลดไปยังบริการคลาวด์ของ Google Drive ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและอ้างอิงข้อความภายในวิดีโอได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ฟีเจอร์ใหม่นี้ถูกเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่ Google Drive ได้เปิดตัวความสามารถในการสร้างคำบรรยายอัตโนมัติสำหรับวิดีโอเมื่อปีที่แล้ว โดยฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างทรานสคริปต์ที่สามารถค้นหาได้สำหรับวิดีโอที่มีคำบรรยายฝังอยู่แล้ว หนึ่งในข้อดีหลักคือ การใช้แถบด้านข้างของวิดีโอเพลเยอร์เพื่อแสดงทรานสคริปต์และไฮไลท์ข้อความตามเวลาจริงขณะที่ผู้บรรยายพูด ผู้ใช้ยังสามารถคัดลอกและวางส่วนที่ต้องการลงในเอกสารได้ และยังสามารถค้นหาช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงในวิดีโอและข้ามไปยังช่วงเวลานั้นได้ทันที Google ระบุว่าการอัปเดตนี้จะมีผลกับผู้ใช้ทุกคนที่มีบัญชีส่วนตัวหรือบัญชี Workspace แม้ว่าจะเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงวิดีโอ แต่ผู้ใช้ยังไม่สามารถควบคุมฟีเจอร์นี้ผ่านเครื่องมือผู้ดูแลระบบได้ ทรานสคริปต์จะทำงานได้เฉพาะกับวิดีโอที่มีคำบรรยายฝังอยู่เท่านั้น ซึ่งสามารถสร้างคำบรรยายอัตโนมัติได้จากการอัปเดตเมื่อปีที่แล้ว ในปัจจุบัน นักพัฒนาได้เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์ทรานสคริปต์ในโดเมนที่ปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว (rapid-release domains) แต่อาจใช้เวลาถึง 15 วันในการเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบ การเปิดตัวในโดเมนที่มีกำหนดการจะเริ่มขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 26 มีนาคม นอกจากนี้ Google ยังเสนอเคล็ดลับและคำแนะนำในการสร้างคำบรรยายและเปิดใช้งานทรานสคริปต์สำหรับวิดีโอที่อัปโหลดไปยัง Drive รวมถึงคำแนะนำในการใช้ Drive เป็นแพลตฟอร์มโฮสติ้งและการแก้ไขวิดีโอผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แม้ว่า Google Drive จะมีความสามารถใหม่นี้ แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสำหรับผู้ใช้บัญชีฟรี ซึ่งอาจทำให้การเก็บวิดีโอขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องท้าทาย https://www.techspot.com/news/106910-google-adds-searchable-transcripts-videos-uploaded-drive.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google Drive adds searchable transcripts for video uploads
    Google Drive, the backbone of Google's cloud-based services, is rolling out a new tool to make navigating video content easier. Users can now generate searchable transcripts for...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anthropicบริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งโดยอดีตพนักงาน OpenAI ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Claude 3.7 Sonnet โมเดลใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีชื่อว่า Claude Code ซึ่งมีความสามารถในการค้นหาและอ่านโค้ด แก้ไขไฟล์ และทดสอบซอฟต์แวร์

    Anthropic อ้างว่า Claude 3.7 Sonnet นี้มีความสามารถในการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนมากขึ้น Jared Kaplan ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ของ Anthropic กล่าวว่า โมเดลใหม่นี้มีการพัฒนาโดยใช้ "hybrid reasoning model" ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่รวดเร็วและสามารถจัดการกับคำถามที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น

    โมเดล Claude 3.7 Sonnet นี้มีความสามารถในการปรับตัวตามปัญหาของลูกค้า และตอบสนองความต้องการในการพัฒนาโค้ดได้อย่างเหมาะสม นอกจากการพัฒนาโค้ดแล้ว โมเดลนี้ยังสามารถจัดการกับการวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาทางคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนได้อีกด้วย

    การเปิดตัวโมเดลใหม่นี้เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ กำลังแข่งขันกันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูงและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI อย่างมหาศาล Anthropic ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และ Google-parent Alphabet ซึ่งทำให้บริษัทสามารถพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/26/anthropic-releases-its-smartest-ai-model
    Anthropicบริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งโดยอดีตพนักงาน OpenAI ได้เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า Claude 3.7 Sonnet โมเดลใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีชื่อว่า Claude Code ซึ่งมีความสามารถในการค้นหาและอ่านโค้ด แก้ไขไฟล์ และทดสอบซอฟต์แวร์ Anthropic อ้างว่า Claude 3.7 Sonnet นี้มีความสามารถในการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนมากขึ้น Jared Kaplan ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ของ Anthropic กล่าวว่า โมเดลใหม่นี้มีการพัฒนาโดยใช้ "hybrid reasoning model" ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่รวดเร็วและสามารถจัดการกับคำถามที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น โมเดล Claude 3.7 Sonnet นี้มีความสามารถในการปรับตัวตามปัญหาของลูกค้า และตอบสนองความต้องการในการพัฒนาโค้ดได้อย่างเหมาะสม นอกจากการพัฒนาโค้ดแล้ว โมเดลนี้ยังสามารถจัดการกับการวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาทางคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนได้อีกด้วย การเปิดตัวโมเดลใหม่นี้เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ กำลังแข่งขันกันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูงและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI อย่างมหาศาล Anthropic ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และ Google-parent Alphabet ซึ่งทำให้บริษัทสามารถพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/26/anthropic-releases-its-smartest-ai-model
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Anthropic releases its 'smartest' AI model
    OpenAI rival Anthropic on Monday released what it said is its smartest artificial intelligence model to date, particularly when it comes to computer coding.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการอิตาลีได้ขยายการสอบสวนเรื่องภาษีของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปยังเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Elon Musk ที่ชื่อว่า X โดยการสอบสวนนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการสอบสวน Meta (Facebook และ Instagram) เพื่อดูว่าวิธีการที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ให้บริการเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีหรือไม่

    อิตาลีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก X จำนวน 12.5 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ X ทำได้ในปี 2023 แต่กรณีนี้สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับวิธีการที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ให้บริการ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในสหภาพยุโรปทั้งหมด

    ทางการอิตาลีอ้างว่า การลงทะเบียนผู้ใช้กับ X และแพลตฟอร์มของ Meta อาจถือเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนบัญชีสมาชิกเพื่อแลกกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งถ้าการตีความนี้ถูกต้อง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดำเนินธุรกิจและเสียภาษีในสหภาพยุโรป

    ทั้ง X และ Meta มีเวลาถึงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนในการตอบสนองต่อข้อสังเกตของหน่วยงานภาษีอิตาลี ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับการตีความนี้และไม่สามารถตกลงได้ อาจเกิดการพิจารณาคดีทางกฎหมายที่อาจใช้เวลาถึง 10 ปี

    การสอบสวนภาษีนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ยกประเด็นเกี่ยวกับการเก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และในขณะที่ Elon Musk มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายกรัฐมนตรีอิตาลี Giorgia Meloni และต้องการขยายธุรกิจ Starlink ในประเทศ

    การขยายการสอบสวนภาษีในครั้งนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตรวจสอบและกฎหมายภาษีในยุโรป โดยเฉพาะเมื่อ Google เพิ่งตกลงที่จะจ่ายเงิน 326 ล้านยูโรเพื่อปิดกรณีข้อเรียกร้องภาษีที่เกี่ยวข้องกับช่วงปี 2015 ถึง 2019

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/26/exclusive-italy-extends-big-tech-tax-probe-to-musk039s-x-social-network
    ทางการอิตาลีได้ขยายการสอบสวนเรื่องภาษีของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปยังเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Elon Musk ที่ชื่อว่า X โดยการสอบสวนนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการสอบสวน Meta (Facebook และ Instagram) เพื่อดูว่าวิธีการที่แพลตฟอร์มเหล่านี้ให้บริการเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีหรือไม่ อิตาลีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก X จำนวน 12.5 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ X ทำได้ในปี 2023 แต่กรณีนี้สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับวิธีการที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ให้บริการ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในสหภาพยุโรปทั้งหมด ทางการอิตาลีอ้างว่า การลงทะเบียนผู้ใช้กับ X และแพลตฟอร์มของ Meta อาจถือเป็นธุรกรรมที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนบัญชีสมาชิกเพื่อแลกกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งถ้าการตีความนี้ถูกต้อง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดำเนินธุรกิจและเสียภาษีในสหภาพยุโรป ทั้ง X และ Meta มีเวลาถึงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนในการตอบสนองต่อข้อสังเกตของหน่วยงานภาษีอิตาลี ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับการตีความนี้และไม่สามารถตกลงได้ อาจเกิดการพิจารณาคดีทางกฎหมายที่อาจใช้เวลาถึง 10 ปี การสอบสวนภาษีนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ยกประเด็นเกี่ยวกับการเก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และในขณะที่ Elon Musk มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายกรัฐมนตรีอิตาลี Giorgia Meloni และต้องการขยายธุรกิจ Starlink ในประเทศ การขยายการสอบสวนภาษีในครั้งนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตรวจสอบและกฎหมายภาษีในยุโรป โดยเฉพาะเมื่อ Google เพิ่งตกลงที่จะจ่ายเงิน 326 ล้านยูโรเพื่อปิดกรณีข้อเรียกร้องภาษีที่เกี่ยวข้องกับช่วงปี 2015 ถึง 2019 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/26/exclusive-italy-extends-big-tech-tax-probe-to-musk039s-x-social-network
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-Italy extends big tech tax probe to Musk's X social network
    MILAN (Reuters) - Italy is claiming 12.5 million euros ($13 million) from Elon Musk's social network X following a tax probe running parallel to one into Meta, four sources with direct knowledge of the matter said, the latest move in a potential test case for the tech sector in Europe.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้

    จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร?

    นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว

    ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม)

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง

    ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น

    ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์)

    ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด

    ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น

    ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html
    https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec
    https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942
    http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml
    https://www.sohu.com/a/221802957_752265
    https://www.sohu.com/a/365940296_348930

    บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้ จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร? นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์) ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942 http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml https://www.sohu.com/a/221802957_752265 https://www.sohu.com/a/365940296_348930 บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    《延禧攻略》全集-电视剧-免费在线观看
    电视剧《延禧攻略》高清免费在线播放,延禧攻略是是由惠楷栋;温德光导演,由秦岚,聂远,张嘉倪,吴谨言主演的中国大陆电视剧,剧情:乾隆六年,少女魏璎珞为寻求长姐死亡真相,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งเปิดตัวแอป Office เวอร์ชันฟรีที่รองรับโฆษณา สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Microsoft นำเสนอบริการนี้ฟรี นอกจากการใช้งานผ่านเว็บ ซึ่งมีให้ใช้ฟรีมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถใช้งาน Word, Excel, และ PowerPoint ได้ฟรี แต่จะมีโฆษณาแบบแบนเนอร์และวิดีโอ 15 วินาทีเล่นเป็นระยะ

    อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดหลายประการในการใช้แอปฟรีนี้ เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกไฟล์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องบันทึกใน OneDrive แทน และยังมีการตัดฟีเจอร์การจัดรูปแบบและตกแต่งเอกสารออกไปมากกว่า 30 ฟีเจอร์ เช่น การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัด การห่อข้อความ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ การบุ๊คมาร์ค และฟิลด์วันที่และเวลา เป็นต้น

    แม้แอปนี้จะมีฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้งานแอป Office เพื่อความเข้ากันได้กับงานที่ต้องการความเรียบร้อยในรูปแบบเดิม หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครัน ผู้ใช้ยังคงต้องหันไปใช้แอป Office แบบเสียเงิน หรือเลือกใช้แอปฟรีอื่นๆ อย่าง LibreOffice หรือ Google Docs

    การเปิดตัวแอป Office ฟรีที่รองรับโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดหลายประการที่มาพร้อมกับแอปเวอร์ชันนี้

    https://www.tomshardware.com/software/microsoft-office/microsofts-ad-supported-version-of-office-only-saves-to-onedrive
    Microsoft เพิ่งเปิดตัวแอป Office เวอร์ชันฟรีที่รองรับโฆษณา สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Microsoft นำเสนอบริการนี้ฟรี นอกจากการใช้งานผ่านเว็บ ซึ่งมีให้ใช้ฟรีมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถใช้งาน Word, Excel, และ PowerPoint ได้ฟรี แต่จะมีโฆษณาแบบแบนเนอร์และวิดีโอ 15 วินาทีเล่นเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดหลายประการในการใช้แอปฟรีนี้ เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกไฟล์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องบันทึกใน OneDrive แทน และยังมีการตัดฟีเจอร์การจัดรูปแบบและตกแต่งเอกสารออกไปมากกว่า 30 ฟีเจอร์ เช่น การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัด การห่อข้อความ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ การบุ๊คมาร์ค และฟิลด์วันที่และเวลา เป็นต้น แม้แอปนี้จะมีฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้งานแอป Office เพื่อความเข้ากันได้กับงานที่ต้องการความเรียบร้อยในรูปแบบเดิม หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครัน ผู้ใช้ยังคงต้องหันไปใช้แอป Office แบบเสียเงิน หรือเลือกใช้แอปฟรีอื่นๆ อย่าง LibreOffice หรือ Google Docs การเปิดตัวแอป Office ฟรีที่รองรับโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดหลายประการที่มาพร้อมกับแอปเวอร์ชันนี้ https://www.tomshardware.com/software/microsoft-office/microsofts-ad-supported-version-of-office-only-saves-to-onedrive
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts