• เริ่มใช้ข้ออ้างเดิมๆเพื่อสะกัดกั้น แล้วบอกว่าประชาธิปไตย แข่งขันอย่างเสรีภาพ

    DeepSeek ได้ถูกถอดออกจาก App Store ของ Apple และ Google Play Store ในอิตาลีแล้ว

    ทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดแอปนี้ได้ แต่คนที่มีแอปอยู่แล้ว ยังสามารถใช้งานได้ปกติ

    หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลี (Garante) อ้างเหตุผลว่า มีความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ DeepSeek รวบรวมข้อมูลเหล่านี้ถูกจัดเก็บในจีนหรือไม่ ?

    นอกจากอิตาลีแล้ว ล่าสุด หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของ ไอร์แลนด์ ก็เริ่มตรวจสอบการเก็บและประมวลผลข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในไอร์แลนด์ ด้วยเช่นกัน

    ก่อนหน้านี้ทาง Microsoft และ OpenAI ออกมาระบุว่า กำลังสอบสวน DeepSeek ว่าอาจจะแอบดึงข้อมูลจาก OpenAI API ไปพัฒนาเทคโนโลยีตัวเอง โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ส่วนประเทศอื่นๆ ในยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร ยังไม่ได้ถอด DeepSeek ออกจาก App Store และ Google Play
    เริ่มใช้ข้ออ้างเดิมๆเพื่อสะกัดกั้น แล้วบอกว่าประชาธิปไตย แข่งขันอย่างเสรีภาพ DeepSeek ได้ถูกถอดออกจาก App Store ของ Apple และ Google Play Store ในอิตาลีแล้ว ทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดแอปนี้ได้ แต่คนที่มีแอปอยู่แล้ว ยังสามารถใช้งานได้ปกติ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลี (Garante) อ้างเหตุผลว่า มีความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ DeepSeek รวบรวมข้อมูลเหล่านี้ถูกจัดเก็บในจีนหรือไม่ ? นอกจากอิตาลีแล้ว ล่าสุด หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของ ไอร์แลนด์ ก็เริ่มตรวจสอบการเก็บและประมวลผลข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในไอร์แลนด์ ด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ทาง Microsoft และ OpenAI ออกมาระบุว่า กำลังสอบสวน DeepSeek ว่าอาจจะแอบดึงข้อมูลจาก OpenAI API ไปพัฒนาเทคโนโลยีตัวเอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนประเทศอื่นๆ ในยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร ยังไม่ได้ถอด DeepSeek ออกจาก App Store และ Google Play
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการทดสอบโดย NewsGuard เผยโมเดลเอไอของสตาร์ทอัปจีน DeepSeek ให้คำตอบเกี่ยวกับข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ถูกต้องเพียง 17% และถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 11 หรือ “รองบ๊วย” ในแง่ของความถูกต้องแม่นยำ เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลเอไอตะวันตกอย่าง ChatGPT ของค่าย OpenAI และ Gemini ของ Google

    NewsGuard ซึ่งเป็นระบบการให้คะแนนสำหรับเว็บไซต์ข่าวและข้อมูลได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันพุธ (29 ม.ค.) โดยระบุว่า แชตบอตของ DeepSeek มีการผลิตซ้ำข้อมูลเท็จถึง 30% และให้คำตอบแบบกว้างๆ หรือไม่เป็นประโยชน์ 53% ของเวลาทั้งหมดในการตอบสนองคำสั่งที่เกี่ยวกับข่าวสารต่างๆ ซึ่งเท่ากับว่ามีอัตราความล้มเหลวสูงถึง 83%

    ตัวเลขดังกล่าวถือว่าแย่กว่าค่าเฉลี่ยความล้มเหลว 62% ของแชตบอตจากค่ายตะวันตก และก่อให้เกิดคำถามว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ DeepSeek อ้างว่ามีศักยภาพเทียบเคียงหรือเหนือชั้นกว่า OpenAI ที่มีไมโครซอฟต์สนับสนุนด้วยต้นทุนที่ถูกกว่ากันหลายเท่าตัวนั้น เชื่อถือได้หรือไม่?

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000009654

    #MGROnline #DeepSeek #ChatGPT #OpenAI #Gemini #Google
    ผลการทดสอบโดย NewsGuard เผยโมเดลเอไอของสตาร์ทอัปจีน DeepSeek ให้คำตอบเกี่ยวกับข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ถูกต้องเพียง 17% และถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 10 จากทั้งหมด 11 หรือ “รองบ๊วย” ในแง่ของความถูกต้องแม่นยำ เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลเอไอตะวันตกอย่าง ChatGPT ของค่าย OpenAI และ Gemini ของ Google • NewsGuard ซึ่งเป็นระบบการให้คะแนนสำหรับเว็บไซต์ข่าวและข้อมูลได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันพุธ (29 ม.ค.) โดยระบุว่า แชตบอตของ DeepSeek มีการผลิตซ้ำข้อมูลเท็จถึง 30% และให้คำตอบแบบกว้างๆ หรือไม่เป็นประโยชน์ 53% ของเวลาทั้งหมดในการตอบสนองคำสั่งที่เกี่ยวกับข่าวสารต่างๆ ซึ่งเท่ากับว่ามีอัตราความล้มเหลวสูงถึง 83% • ตัวเลขดังกล่าวถือว่าแย่กว่าค่าเฉลี่ยความล้มเหลว 62% ของแชตบอตจากค่ายตะวันตก และก่อให้เกิดคำถามว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ DeepSeek อ้างว่ามีศักยภาพเทียบเคียงหรือเหนือชั้นกว่า OpenAI ที่มีไมโครซอฟต์สนับสนุนด้วยต้นทุนที่ถูกกว่ากันหลายเท่าตัวนั้น เชื่อถือได้หรือไม่? • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000009654 • #MGROnline #DeepSeek #ChatGPT #OpenAI #Gemini #Google •
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการอัพเดตเล็กๆ แต่ Feature นี้ลุงก็รออยู่นาน

    การอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ในแอป Google Photos ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้ โดยฟีเจอร์ใหม่นี้คือการ "พลิกภาพ" หรือ "mirror" ซึ่งเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่ควรมีตั้งแต่แรก แต่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในแอป Google Photos สำหรับ Android ส่วนผู้ใช้ iOS สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้จากแอป Photos ของ iOS เองก่อนที่จะอัปโหลดภาพไปยัง Google Photos

    ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์ในการเพิ่มความสมดุลและความสมมาตรให้กับภาพ หรือแก้ไขทิศทางของวัตถุในภาพ นอกจากนี้ Google Photos ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ "Ask Photos" ซึ่งใช้ AI ช่วยค้นหาภาพและให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพ เช่น บอกชื่ออาหารในภาพ ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นทดลองและเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

    การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้ทำให้ Google Photos เป็นแอปที่มีความสามารถมากขึ้นและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

    https://www.zdnet.com/article/google-photos-just-got-a-useful-editing-feature-that-shouldve-existed-since-the-beginning/
    มีการอัพเดตเล็กๆ แต่ Feature นี้ลุงก็รออยู่นาน การอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ในแอป Google Photos ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้ โดยฟีเจอร์ใหม่นี้คือการ "พลิกภาพ" หรือ "mirror" ซึ่งเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่ควรมีตั้งแต่แรก แต่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในแอป Google Photos สำหรับ Android ส่วนผู้ใช้ iOS สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้จากแอป Photos ของ iOS เองก่อนที่จะอัปโหลดภาพไปยัง Google Photos ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์ในการเพิ่มความสมดุลและความสมมาตรให้กับภาพ หรือแก้ไขทิศทางของวัตถุในภาพ นอกจากนี้ Google Photos ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ "Ask Photos" ซึ่งใช้ AI ช่วยค้นหาภาพและให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพ เช่น บอกชื่ออาหารในภาพ ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นทดลองและเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้ทำให้ Google Photos เป็นแอปที่มีความสามารถมากขึ้นและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น https://www.zdnet.com/article/google-photos-just-got-a-useful-editing-feature-that-shouldve-existed-since-the-beginning/
    WWW.ZDNET.COM
    Google Photos just got a useful editing feature that should've existed since the beginning
    It might not be the flashiest feature, but it does come in handy when you need it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดซอร์สโค้ดของ PebbleOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการของนาฬิกาอัจฉริยะ Pebble ให้สามารถดาวน์โหลดได้ภายใต้ใบอนุญาตโอเพ่นซอร์ส การตัดสินใจนี้เป็นการสนับสนุนกลุ่มอาสาสมัครที่ยังคงดูแลและพัฒนาฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์ Pebble แม้ว่าการสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Pebble จะถูกยกเลิกไปแล้วถึงแปดปี

    Pebble เริ่มต้นในปี 2012 ด้วยการระดมทุนผ่าน Kickstarter ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยขายนาฬิกาอัจฉริยะได้มากกว่าสองล้านเรือนในช่วงสี่ปี ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการโดย Fitbit และในที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินทางปัญญาของ Google

    แม้ว่า Pebble จะหยุดการสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปแล้ว แต่ยังคงมีแฟนๆ ที่ภักดีและกลุ่มอาสาสมัครจากโครงการ Rebble ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูฟังก์ชันการทำงานของ Pebble ผ่านบริการเว็บภายนอก การเปิดซอร์สโค้ดของ PebbleOS จะช่วยให้กลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้สามารถพัฒนาฟังก์ชันการทำงานของ Pebble ได้มากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม โค้ดที่เปิดเผยยังขาดส่วนประกอบสำคัญบางอย่าง เช่น การสนับสนุนชิปเซ็ตและฟังก์ชันการทำงานของ Bluetooth เนื่องจากโค้ดเหล่านี้เป็นโค้ดที่มีลิขสิทธิ์และไม่สามารถเผยแพร่บน GitHub ได้ แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ ฟังก์ชันหลักของนาฬิกาอัจฉริยะ เช่น การแจ้งเตือน การควบคุมสื่อ การติดตามการออกกำลังกาย และการสนับสนุนแอปพลิเคชันที่กำหนดเอง ยังคงสามารถใช้งานได้

    Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้ยืนยันความสนใจในการกลับเข้าสู่ตลาดนาฬิกาอัจฉริยะอีกครั้ง โดยมีแผนที่จะพัฒนา PebbleOS เวอร์ชันที่ทันสมัยและออกแบบนาฬิกา Pebble รุ่นใหม่ แม้ว่าตลาดนาฬิกาอัจฉริยะจะเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังคงต้องรอดูว่าผู้บริโภคจะยอมแลกนาฬิกา Android รุ่นปัจจุบันกับอุปกรณ์ Pebble ที่ปรับปรุงใหม่หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/106536-google-open-sources-pebble-smartwatch-software-framework.html
    Google ได้เปิดซอร์สโค้ดของ PebbleOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการของนาฬิกาอัจฉริยะ Pebble ให้สามารถดาวน์โหลดได้ภายใต้ใบอนุญาตโอเพ่นซอร์ส การตัดสินใจนี้เป็นการสนับสนุนกลุ่มอาสาสมัครที่ยังคงดูแลและพัฒนาฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์ Pebble แม้ว่าการสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Pebble จะถูกยกเลิกไปแล้วถึงแปดปี Pebble เริ่มต้นในปี 2012 ด้วยการระดมทุนผ่าน Kickstarter ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยขายนาฬิกาอัจฉริยะได้มากกว่าสองล้านเรือนในช่วงสี่ปี ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการโดย Fitbit และในที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินทางปัญญาของ Google แม้ว่า Pebble จะหยุดการสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปแล้ว แต่ยังคงมีแฟนๆ ที่ภักดีและกลุ่มอาสาสมัครจากโครงการ Rebble ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูฟังก์ชันการทำงานของ Pebble ผ่านบริการเว็บภายนอก การเปิดซอร์สโค้ดของ PebbleOS จะช่วยให้กลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้สามารถพัฒนาฟังก์ชันการทำงานของ Pebble ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม โค้ดที่เปิดเผยยังขาดส่วนประกอบสำคัญบางอย่าง เช่น การสนับสนุนชิปเซ็ตและฟังก์ชันการทำงานของ Bluetooth เนื่องจากโค้ดเหล่านี้เป็นโค้ดที่มีลิขสิทธิ์และไม่สามารถเผยแพร่บน GitHub ได้ แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ ฟังก์ชันหลักของนาฬิกาอัจฉริยะ เช่น การแจ้งเตือน การควบคุมสื่อ การติดตามการออกกำลังกาย และการสนับสนุนแอปพลิเคชันที่กำหนดเอง ยังคงสามารถใช้งานได้ Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้ยืนยันความสนใจในการกลับเข้าสู่ตลาดนาฬิกาอัจฉริยะอีกครั้ง โดยมีแผนที่จะพัฒนา PebbleOS เวอร์ชันที่ทันสมัยและออกแบบนาฬิกา Pebble รุ่นใหม่ แม้ว่าตลาดนาฬิกาอัจฉริยะจะเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังคงต้องรอดูว่าผู้บริโภคจะยอมแลกนาฬิกา Android รุ่นปัจจุบันกับอุปกรณ์ Pebble ที่ปรับปรุงใหม่หรือไม่ https://www.techspot.com/news/106536-google-open-sources-pebble-smartwatch-software-framework.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google open-sources Pebble smartwatch software framework
    Google has announced that PebbleOS is now available for download under an open-source license, signaling its support for volunteers who continue to maintain Pebble devices. In a...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ประกาศว่าจะยุติการใช้งานฟีเจอร์ Chrome Sync ในต้นปี 2025 สำหรับเวอร์ชันของ Chrome ที่มีอายุมากกว่าสี่ปี ฟีเจอร์ Chrome Sync ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซิงค์ข้อมูลต่างๆ เช่น บุ๊กมาร์ก รหัสผ่าน ประวัติการเข้าชม แท็บที่เปิดอยู่ การตั้งค่า และข้อมูลการชำระเงินของ Google Pay ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google เดียวกัน

    การยุติการใช้งานนี้มีเป้าหมายเพื่อบังคับให้ผู้ใช้ที่ยังคงใช้เวอร์ชันเก่าของ Chrome ที่มีช่องโหว่และไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยให้ทำการอัปเดตเบราว์เซอร์ของตนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด Google ระบุว่า ผู้ใช้ที่ยังคงใช้เวอร์ชันเก่าของ Chrome จะเริ่มเห็นข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่ระบุว่า "อัปเดต Chrome เพื่อเริ่มการซิงค์" หรือ "อัปเดต Chrome เพื่อใช้ข้อมูล Chrome ในบัญชี Google ของคุณต่อไป"

    ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ฟีเจอร์ Chrome Sync ต่อไปจะต้องอัปเดตเบราว์เซอร์ของตนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด หากไม่สามารถอัปเดตเบราว์เซอร์ได้ ผู้ใช้จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ Chrome Sync บนอุปกรณ์นั้นได้อีกต่อไป

    การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ Google ในการบังคับให้ผู้ใช้ที่ยังคงใช้เวอร์ชันเก่าของ Chrome ที่มีช่องโหว่และไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยให้ทำการอัปเดตเบราว์เซอร์ของตนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

    https://www.bleepingcomputer.com/news/google/google-to-kill-chrome-sync-on-older-chrome-browser-versions/
    Google ประกาศว่าจะยุติการใช้งานฟีเจอร์ Chrome Sync ในต้นปี 2025 สำหรับเวอร์ชันของ Chrome ที่มีอายุมากกว่าสี่ปี ฟีเจอร์ Chrome Sync ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซิงค์ข้อมูลต่างๆ เช่น บุ๊กมาร์ก รหัสผ่าน ประวัติการเข้าชม แท็บที่เปิดอยู่ การตั้งค่า และข้อมูลการชำระเงินของ Google Pay ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google เดียวกัน การยุติการใช้งานนี้มีเป้าหมายเพื่อบังคับให้ผู้ใช้ที่ยังคงใช้เวอร์ชันเก่าของ Chrome ที่มีช่องโหว่และไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยให้ทำการอัปเดตเบราว์เซอร์ของตนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด Google ระบุว่า ผู้ใช้ที่ยังคงใช้เวอร์ชันเก่าของ Chrome จะเริ่มเห็นข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่ระบุว่า "อัปเดต Chrome เพื่อเริ่มการซิงค์" หรือ "อัปเดต Chrome เพื่อใช้ข้อมูล Chrome ในบัญชี Google ของคุณต่อไป" ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ฟีเจอร์ Chrome Sync ต่อไปจะต้องอัปเดตเบราว์เซอร์ของตนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด หากไม่สามารถอัปเดตเบราว์เซอร์ได้ ผู้ใช้จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ Chrome Sync บนอุปกรณ์นั้นได้อีกต่อไป การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ Google ในการบังคับให้ผู้ใช้ที่ยังคงใช้เวอร์ชันเก่าของ Chrome ที่มีช่องโหว่และไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยให้ทำการอัปเดตเบราว์เซอร์ของตนให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด https://www.bleepingcomputer.com/news/google/google-to-kill-chrome-sync-on-older-chrome-browser-versions/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Google to kill Chrome Sync on older Chrome browser versions
    Google announced that the Chrome Sync feature will be discontinued in early 2025 for Chrome versions older than four years.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ Google เคยพบ ซึ่งทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้

    Zach Latta, โปรแกรมเมอร์ของ Google, ได้เตือนในบล็อกโพสต์ล่าสุดว่า "มีคนพยายามโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ฉันเคยเห็น ฉันเกือบจะตกหลุมพรางนี้" การโจมตีเริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์จาก Caller ID ที่แสดงว่าเป็น 'Google' ซึ่งทำให้ Latta เกือบจะกดปุ่มเดียวเพื่อทำให้เกิดความเสียหาย

    การโจมตีนี้มีความน่าเชื่อถือมาก โดยมี 'วิศวกรของ Google' ชื่อ Chloe โทรมาและถามว่าเขาได้พยายามเข้าสู่ระบบจากแฟรงก์เฟิร์ต, เยอรมนีหรือไม่ จากนั้น Chloe ได้ส่งอีเมลที่ดูเป็นทางการมากจากที่อยู่อีเมล 'workspace-noreply@google.com' พร้อมกับหมายเลขเคส

    Latta ได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และพบว่ามันเป็นหมายเลขที่ถูกต้องของ Google ซึ่งทำให้เขาเชื่อถือมากขึ้น แต่เมื่อเขาตรวจสอบบันทึกการใช้งานของ Google Workspace เอง เขาไม่พบกิจกรรมที่น่าสงสัยใดๆ

    การโจมตีนี้ทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกัน โดย Google ได้ระงับบัญชีที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้ และย้ำว่า Google จะไม่โทรหาผู้ใช้เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านหรือแก้ไขปัญหาบัญชี

    การโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นของการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคสูงก็ยังอาจตกเป็นเหยื่อได้

    https://www.techradar.com/pro/security/google-stepping-up-defenses-against-most-sophisticated-attack-its-ever-seen
    บทความนี้กล่าวถึงการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ Google เคยพบ ซึ่งทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้ Zach Latta, โปรแกรมเมอร์ของ Google, ได้เตือนในบล็อกโพสต์ล่าสุดว่า "มีคนพยายามโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ฉันเคยเห็น ฉันเกือบจะตกหลุมพรางนี้" การโจมตีเริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์จาก Caller ID ที่แสดงว่าเป็น 'Google' ซึ่งทำให้ Latta เกือบจะกดปุ่มเดียวเพื่อทำให้เกิดความเสียหาย การโจมตีนี้มีความน่าเชื่อถือมาก โดยมี 'วิศวกรของ Google' ชื่อ Chloe โทรมาและถามว่าเขาได้พยายามเข้าสู่ระบบจากแฟรงก์เฟิร์ต, เยอรมนีหรือไม่ จากนั้น Chloe ได้ส่งอีเมลที่ดูเป็นทางการมากจากที่อยู่อีเมล 'workspace-noreply@google.com' พร้อมกับหมายเลขเคส Latta ได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และพบว่ามันเป็นหมายเลขที่ถูกต้องของ Google ซึ่งทำให้เขาเชื่อถือมากขึ้น แต่เมื่อเขาตรวจสอบบันทึกการใช้งานของ Google Workspace เอง เขาไม่พบกิจกรรมที่น่าสงสัยใดๆ การโจมตีนี้ทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกัน โดย Google ได้ระงับบัญชีที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้ และย้ำว่า Google จะไม่โทรหาผู้ใช้เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านหรือแก้ไขปัญหาบัญชี การโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นของการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคสูงก็ยังอาจตกเป็นเหยื่อได้ https://www.techradar.com/pro/security/google-stepping-up-defenses-against-most-sophisticated-attack-its-ever-seen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมิชิแกนได้ผ่านกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้โรงเรียนมัธยมทุกแห่งในรัฐต้องเปิดสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งวิชาเริ่มตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนสำหรับงานในอนาคต

    กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Amazon และ Microsoft รวมถึงกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรที่พวกเขาสนับสนุน เช่น Code.org นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสมาคมครูวิทยาการคอมพิวเตอร์และกลุ่มล็อบบี้อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น TechNet ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทใหญ่ๆ เช่น Apple, Google, Meta และอื่นๆ

    กฎหมายนี้กำหนดให้โรงเรียนมัธยมทุกแห่งในรัฐมิชิแกนต้องมีการสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในรูปแบบการเรียนการสอนในห้องเรียนตามมาตรฐานที่กำหนดโดยคณะกรรมการการศึกษาของรัฐ หากไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ สามารถใช้ตัวเลือกการเรียนการสอนแบบเสมือนจริงได้ ยกเว้นโรงเรียนที่เป็นออนไลน์ทั้งหมด

    นอกจากนี้ รัฐมิชิแกนยังได้ผ่านกฎหมายอีกฉบับที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ตั้งอยู่ในรัฐ กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างงานในรัฐมิชิแกน

    การที่รัฐมิชิแกนกำหนดให้มีการสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนมัธยมแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนสำหรับงานในอนาคตและการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐ

    https://www.techspot.com/news/106514-michigan-passes-law-mandating-computer-science-classes-high.html
    รัฐมิชิแกนได้ผ่านกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้โรงเรียนมัธยมทุกแห่งในรัฐต้องเปิดสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งวิชาเริ่มตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนสำหรับงานในอนาคต กฎหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Amazon และ Microsoft รวมถึงกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรที่พวกเขาสนับสนุน เช่น Code.org นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสมาคมครูวิทยาการคอมพิวเตอร์และกลุ่มล็อบบี้อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น TechNet ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทใหญ่ๆ เช่น Apple, Google, Meta และอื่นๆ กฎหมายนี้กำหนดให้โรงเรียนมัธยมทุกแห่งในรัฐมิชิแกนต้องมีการสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในรูปแบบการเรียนการสอนในห้องเรียนตามมาตรฐานที่กำหนดโดยคณะกรรมการการศึกษาของรัฐ หากไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ สามารถใช้ตัวเลือกการเรียนการสอนแบบเสมือนจริงได้ ยกเว้นโรงเรียนที่เป็นออนไลน์ทั้งหมด นอกจากนี้ รัฐมิชิแกนยังได้ผ่านกฎหมายอีกฉบับที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ตั้งอยู่ในรัฐ กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างงานในรัฐมิชิแกน การที่รัฐมิชิแกนกำหนดให้มีการสอนวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนมัธยมแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนสำหรับงานในอนาคตและการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐ https://www.techspot.com/news/106514-michigan-passes-law-mandating-computer-science-classes-high.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Michigan new law mandates Computer Science classes in high schools
    The bipartisan bill, signed into law last week by Governor Gretchen Whitmer, aims to increase technological literacy across the state. It mandates that every Michigan high school...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34,000,000,000,000 บาท (อ่านว่า 34 ล้านล้านบาท) นี่คือมูลค่าบริษัทที่หายไปในคืนเดียว ของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ-ยุโรป จากการที่ราคาหุ้น Panic ร่วงหนัก..

    หลังการมาของ DeepSeek บริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI มาสู้กับ ChatGPT ของ OpenAI
    ซึ่งมากับความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่ต้นทุนต่ำกว่ามหาศาล ทั้งในแง่ของการพัฒนาโมเดล และการใช้งานถาม-ตอบ

    จึงฉุดให้นักลงทุนตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และยุโรป เช่น Nvidia, ASML ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาหลายเท่าตัว

    และกังขาเกี่ยวกับงบลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ ที่บริษัทต่าง ๆ เช่น Microsoft, Meta, Alphabet (Google) วางแผนจะใช้กับการลงทุนด้าน AI

    เพราะ DeepSeek กำลังแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาโมเดล AI ที่ทรงพลัง ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านั้น เป็นไปได้

    และนี่ก็อาจพลิกโฉมภาพของอุตสาหกรรม AI และการลงทุนของทั้งซัปพลายเชน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายมหาศาล จากบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง

    ซึ่งการมาของ DeepSeek ก็กำลังทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เทคโนโลยี AI ของจีน ไม่ได้ตามหลังสหรัฐฯ เหมือนที่คิดไว้

    และมาตรการกีดกันเทคโนโลยีต่าง ๆ ของสหรัฐฯ นั้น ก็ไม่มีผลต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน

    รวมถึงทำให้ต้องคิดใหม่ว่า เกมชิงความเป็นผู้นำในสมรภูมิแห่ง AI ยังไม่จบ แต่กำลังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น..

    .
    https://www.facebook.com/share/p/1FQ2W9GAPv/
    34,000,000,000,000 บาท (อ่านว่า 34 ล้านล้านบาท) นี่คือมูลค่าบริษัทที่หายไปในคืนเดียว ของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ-ยุโรป จากการที่ราคาหุ้น Panic ร่วงหนัก.. หลังการมาของ DeepSeek บริษัทจีนที่พัฒนาโมเดล AI มาสู้กับ ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งมากับความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่ต้นทุนต่ำกว่ามหาศาล ทั้งในแง่ของการพัฒนาโมเดล และการใช้งานถาม-ตอบ จึงฉุดให้นักลงทุนตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และยุโรป เช่น Nvidia, ASML ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาหลายเท่าตัว และกังขาเกี่ยวกับงบลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ ที่บริษัทต่าง ๆ เช่น Microsoft, Meta, Alphabet (Google) วางแผนจะใช้กับการลงทุนด้าน AI เพราะ DeepSeek กำลังแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาโมเดล AI ที่ทรงพลัง ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านั้น เป็นไปได้ และนี่ก็อาจพลิกโฉมภาพของอุตสาหกรรม AI และการลงทุนของทั้งซัปพลายเชน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายมหาศาล จากบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งการมาของ DeepSeek ก็กำลังทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เทคโนโลยี AI ของจีน ไม่ได้ตามหลังสหรัฐฯ เหมือนที่คิดไว้ และมาตรการกีดกันเทคโนโลยีต่าง ๆ ของสหรัฐฯ นั้น ก็ไม่มีผลต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน รวมถึงทำให้ต้องคิดใหม่ว่า เกมชิงความเป็นผู้นำในสมรภูมิแห่ง AI ยังไม่จบ แต่กำลังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น.. . https://www.facebook.com/share/p/1FQ2W9GAPv/
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!"

    ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek

    DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา

    จุดพลิกเกม
    DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน:
    1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง
    2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า)
    3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน

    แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว

    เบื้องหลังความสำเร็จ
    • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40%
    • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน
    • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50%

    สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก
    ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า
    "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'"
    ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า
    "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง"

    อนาคตที่จับตาของ DeepSeek
    บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน:
    1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026
    2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
    3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน
    ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก!

    ล่าสุด
    จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์)
    เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง

    ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่
    https://x.com/zizhpan
    https://x.com/deepseek_ai

    ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี):
    https://chat.deepseek.com/

    อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!" ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา จุดพลิกเกม DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน: 1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง 2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า) 3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว เบื้องหลังความสำเร็จ • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40% • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50% สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'" ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง" อนาคตที่จับตาของ DeepSeek บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน: 1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026 2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก! ล่าสุด จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่ https://x.com/zizhpan https://x.com/deepseek_ai ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี): https://chat.deepseek.com/ อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • การปรับปรุงเล็กๆ แต่ทรงพลังในเคอร์เนลของ Linux ที่สามารถลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลได้ถึง 30% การปรับปรุงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากการคำนวณในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 5% ของการใช้พลังงานรายวันทั่วโลก โดยศูนย์ข้อมูลเป็นผู้ใช้พลังงานหลัก

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู นำโดยศาสตราจารย์มาร์ติน คาร์สเตน และปีเตอร์ ไค ได้ระบุถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลการจราจรเครือข่ายสำหรับแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ที่มีการสื่อสารขนาดใหญ่ การแก้ปัญหาของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการจัดเรียงการดำเนินการภายในสแต็กเครือข่ายของ Linux ใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงทั้งในด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน

    การปรับปรุงนี้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 45% ในบางสถานการณ์โดยไม่กระทบต่อความหน่วงของการตอบสนอง ศาสตราจารย์คาร์สเตนเปรียบเทียบการปรับปรุงนี้กับการเพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิตในโรงงาน ซึ่งทำให้การใช้แคช CPU ของศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้ประกอบด้วยโค้ดเพียง 30 บรรทัด แต่มีผลกระทบอย่างมากต่อการลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล ฟีเจอร์หลักของการปรับปรุงนี้คือการระงับการขอขัดจังหวะ (IRQ suspension) ซึ่งช่วยปรับสมดุลการใช้พลังงานของ CPU กับการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

    การปรับปรุงนี้ได้รับการทดสอบและรวมเข้ากับเคอร์เนล Linux เวอร์ชัน 6.13 ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการนำไปใช้ในวงกว้างในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ศาสตราจารย์คาร์สเตนเน้นย้ำถึงผลกระทบระดับโลกของการพัฒนานี้ โดยกล่าวว่าหากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เช่น Amazon, Google และ Meta เลือกใช้วิธีนี้ในศูนย์ข้อมูลของพวกเขา จะสามารถประหยัดพลังงานได้หลายกิกะวัตต์ชั่วโมงทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/106501-linux-kernel-upgrade-promises-up-30-energy-savings.html
    การปรับปรุงเล็กๆ แต่ทรงพลังในเคอร์เนลของ Linux ที่สามารถลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลได้ถึง 30% การปรับปรุงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากการคำนวณในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 5% ของการใช้พลังงานรายวันทั่วโลก โดยศูนย์ข้อมูลเป็นผู้ใช้พลังงานหลัก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู นำโดยศาสตราจารย์มาร์ติน คาร์สเตน และปีเตอร์ ไค ได้ระบุถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลการจราจรเครือข่ายสำหรับแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ที่มีการสื่อสารขนาดใหญ่ การแก้ปัญหาของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการจัดเรียงการดำเนินการภายในสแต็กเครือข่ายของ Linux ใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงทั้งในด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน การปรับปรุงนี้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 45% ในบางสถานการณ์โดยไม่กระทบต่อความหน่วงของการตอบสนอง ศาสตราจารย์คาร์สเตนเปรียบเทียบการปรับปรุงนี้กับการเพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิตในโรงงาน ซึ่งทำให้การใช้แคช CPU ของศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ประกอบด้วยโค้ดเพียง 30 บรรทัด แต่มีผลกระทบอย่างมากต่อการลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล ฟีเจอร์หลักของการปรับปรุงนี้คือการระงับการขอขัดจังหวะ (IRQ suspension) ซึ่งช่วยปรับสมดุลการใช้พลังงานของ CPU กับการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงนี้ได้รับการทดสอบและรวมเข้ากับเคอร์เนล Linux เวอร์ชัน 6.13 ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการนำไปใช้ในวงกว้างในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ศาสตราจารย์คาร์สเตนเน้นย้ำถึงผลกระทบระดับโลกของการพัฒนานี้ โดยกล่าวว่าหากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เช่น Amazon, Google และ Meta เลือกใช้วิธีนี้ในศูนย์ข้อมูลของพวกเขา จะสามารถประหยัดพลังงานได้หลายกิกะวัตต์ชั่วโมงทั่วโลก https://www.techspot.com/news/106501-linux-kernel-upgrade-promises-up-30-energy-savings.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers claim Linux kernel tweak could reduce data center energy use by 30%
    Researchers at the University of Waterloo's Cheriton School of Computer Science, led by Professor Martin Karsten and including Peter Cai, identified inefficiencies in network traffic processing for...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังผลักดันแผนการระดับโลกเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานและผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและการใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต

    Kent Walker ประธานฝ่ายกิจการทั่วโลกของ Alphabet กล่าวว่า การทำให้ผู้คนและองค์กร รวมถึงรัฐบาล คุ้นเคยกับ AI และการใช้เครื่องมือ AI จะช่วยให้เกิดนโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ Google กำลังแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ เช่น Microsoft-backed OpenAI และ Meta ในด้าน AI และต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลในธุรกิจโฆษณาและการค้นหา

    ในสหภาพยุโรป Google ได้เสนอขายส่วนหนึ่งของธุรกิจโฆษณาเพื่อเอาใจหน่วยงานกำกับดูแล ในสหรัฐอเมริกา กระทรวงยุติธรรมกำลังพยายามบังคับให้แยกธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome ออกเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลกกำลังร่างกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจาก AI เช่น ลิขสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว.

    Google ได้ประกาศลงทุน 120 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพื่อสร้างโปรแกรมการศึกษา AI และกำลังขยายโปรแกรม Grow with Google ซึ่งเป็นโปรแกรมออนไลน์และในสถานที่ที่ให้เครื่องมือการฝึกอบรมสำหรับธุรกิจและสอนทักษะต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการสนับสนุนด้านไอที โปรแกรมนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายโอกาสในการทำงานในสาขาเทคนิค

    ในระยะยาว Walker คาดว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในงานส่วนใหญ่ในบางรูปแบบ และ Google กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยการจ้างนักเศรษฐศาสตร์ David Autor เป็นนักวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่อแรงงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/26/google-pushes-global-agenda-to-educate-workers-lawmakers-on-ai
    Google กำลังผลักดันแผนการระดับโลกเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานและผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและการใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต Kent Walker ประธานฝ่ายกิจการทั่วโลกของ Alphabet กล่าวว่า การทำให้ผู้คนและองค์กร รวมถึงรัฐบาล คุ้นเคยกับ AI และการใช้เครื่องมือ AI จะช่วยให้เกิดนโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ Google กำลังแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ เช่น Microsoft-backed OpenAI และ Meta ในด้าน AI และต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลในธุรกิจโฆษณาและการค้นหา ในสหภาพยุโรป Google ได้เสนอขายส่วนหนึ่งของธุรกิจโฆษณาเพื่อเอาใจหน่วยงานกำกับดูแล ในสหรัฐอเมริกา กระทรวงยุติธรรมกำลังพยายามบังคับให้แยกธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome ออกเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลกกำลังร่างกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจาก AI เช่น ลิขสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว. Google ได้ประกาศลงทุน 120 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพื่อสร้างโปรแกรมการศึกษา AI และกำลังขยายโปรแกรม Grow with Google ซึ่งเป็นโปรแกรมออนไลน์และในสถานที่ที่ให้เครื่องมือการฝึกอบรมสำหรับธุรกิจและสอนทักษะต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการสนับสนุนด้านไอที โปรแกรมนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายโอกาสในการทำงานในสาขาเทคนิค ในระยะยาว Walker คาดว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในงานส่วนใหญ่ในบางรูปแบบ และ Google กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยการจ้างนักเศรษฐศาสตร์ David Autor เป็นนักวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่อแรงงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/26/google-pushes-global-agenda-to-educate-workers-lawmakers-on-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Google pushes global agenda to educate workers, lawmakers on AI
    SAN FRANCISCO -Alphabet’s Google, already facing an unprecedented regulatory onslaught, is looking to shape public perception and policies on artificial intelligence ahead of a global wave of AI regulation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ
    .
    พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ
    .
    พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง
    .
    นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง
    .
    ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย
    .
    ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
    .
    วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ
    .
    นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก
    .
    ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก . เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ . พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ . พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง . นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง . ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย . ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ . วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ . นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก . ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    Like
    Love
    Haha
    29
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon เปิดตัวบริการเช่าเวิร์กสเตชันเสมือนที่มี 32 คอร์ในระบบคลาวด์ในราคา $4.40 ต่อชั่วโมง โดยผู้ใช้ยังคงต้องมีคอมพิวเตอร์ เพื่อเข้าถึงบริการนี้ บริการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวของ AWS WorkSpaces ซึ่งเป็นบริการเดสก์ท็อปเสมือนที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับงานที่ต้องการทรัพยากรมาก เช่น การพัฒนาโปรแกรม การวิเคราะห์ทางการเงิน และการจำลองทางวิทยาศาสตร์

    AWS ได้เปิดตัวอินสแตนซ์ใหม่สองประเภทคือ GeneralPurpose.4xlarge และ GeneralPurpose.8xlarge ซึ่งมี 16 และ 32 คอร์เสมือนตามลำดับ พร้อมกับหน่วยความจำ 64GB และ 128GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 275GB อินสแตนซ์เหล่านี้เหมาะสำหรับนักพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ นักวิเคราะห์ทางการเงิน และวิศวกรที่ต้องการรันแอปพลิเคชันที่ต้องการทรัพยากรมาก

    แม้ว่าบริการนี้จะมีราคาที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับ Azure และ Google Cloud แต่ก็ยังมีราคาสูงกว่าการใช้งานในสถานที่สำหรับการใช้งานระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังต้องมีอุปกรณ์แยกต่างหากเพื่อเข้าถึงเดสก์ท็อปเสมือนเหล่านี้

    https://www.techradar.com/pro/amazon-wants-to-rent-you-a-32-core-virtual-workstation-in-the-cloud-for-usd4-40-per-hour-and-yes-youd-still-need-to-have-a-thin-client-to-access-it
    Amazon เปิดตัวบริการเช่าเวิร์กสเตชันเสมือนที่มี 32 คอร์ในระบบคลาวด์ในราคา $4.40 ต่อชั่วโมง โดยผู้ใช้ยังคงต้องมีคอมพิวเตอร์ เพื่อเข้าถึงบริการนี้ บริการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวของ AWS WorkSpaces ซึ่งเป็นบริการเดสก์ท็อปเสมือนที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับงานที่ต้องการทรัพยากรมาก เช่น การพัฒนาโปรแกรม การวิเคราะห์ทางการเงิน และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ AWS ได้เปิดตัวอินสแตนซ์ใหม่สองประเภทคือ GeneralPurpose.4xlarge และ GeneralPurpose.8xlarge ซึ่งมี 16 และ 32 คอร์เสมือนตามลำดับ พร้อมกับหน่วยความจำ 64GB และ 128GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 275GB อินสแตนซ์เหล่านี้เหมาะสำหรับนักพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ นักวิเคราะห์ทางการเงิน และวิศวกรที่ต้องการรันแอปพลิเคชันที่ต้องการทรัพยากรมาก แม้ว่าบริการนี้จะมีราคาที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับ Azure และ Google Cloud แต่ก็ยังมีราคาสูงกว่าการใช้งานในสถานที่สำหรับการใช้งานระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังต้องมีอุปกรณ์แยกต่างหากเพื่อเข้าถึงเดสก์ท็อปเสมือนเหล่านี้ https://www.techradar.com/pro/amazon-wants-to-rent-you-a-32-core-virtual-workstation-in-the-cloud-for-usd4-40-per-hour-and-yes-youd-still-need-to-have-a-thin-client-to-access-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในระบบไมโครโค้ดของ AMD ที่ถูกเปิดเผยโดยบังเอิญผ่านการอัปเดต BIOS เบต้าจาก Asus ช่องโหว่นี้ถูกเรียกว่า "ช่องโหว่การตรวจสอบลายเซ็นไมโครโค้ด" ซึ่งถูกค้นพบก่อนที่ AMD จะสามารถเปิดเผยได้อย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดความกังวลในชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์

    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Tavis Ormandy นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Google's Project Zero ซึ่งพบการอ้างอิงถึงช่องโหว่นี้ในบันทึกการอัปเดต BIOS เบต้าของ Asus สำหรับเมนบอร์ดเกมมิ่งรุ่นหนึ่ง AMD ได้ยอมรับปัญหานี้และกำลังพัฒนามาตรการแก้ไข

    การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ต้องการการเข้าถึงระบบในระดับผู้ดูแลระบบและความสามารถในการพัฒนาและเรียกใช้ไมโครโค้ดที่เป็นอันตราย ซึ่งทำให้การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้โจมตีทั่วไป

    https://www.techspot.com/news/106500-amd-confirms-microcode-vulnerability-revealed-beta-bios-update.html
    มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในระบบไมโครโค้ดของ AMD ที่ถูกเปิดเผยโดยบังเอิญผ่านการอัปเดต BIOS เบต้าจาก Asus ช่องโหว่นี้ถูกเรียกว่า "ช่องโหว่การตรวจสอบลายเซ็นไมโครโค้ด" ซึ่งถูกค้นพบก่อนที่ AMD จะสามารถเปิดเผยได้อย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดความกังวลในชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Tavis Ormandy นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Google's Project Zero ซึ่งพบการอ้างอิงถึงช่องโหว่นี้ในบันทึกการอัปเดต BIOS เบต้าของ Asus สำหรับเมนบอร์ดเกมมิ่งรุ่นหนึ่ง AMD ได้ยอมรับปัญหานี้และกำลังพัฒนามาตรการแก้ไข การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ต้องการการเข้าถึงระบบในระดับผู้ดูแลระบบและความสามารถในการพัฒนาและเรียกใช้ไมโครโค้ดที่เป็นอันตราย ซึ่งทำให้การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้โจมตีทั่วไป https://www.techspot.com/news/106500-amd-confirms-microcode-vulnerability-revealed-beta-bios-update.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD confirms microcode vulnerability revealed in beta BIOS update
    The vulnerability was first noticed by Tavis Ormandy, a security researcher at Google's Project Zero. Ormandy spotted a reference to the flaw in the release notes of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คือสิ่งที่กองกำลังอิสราเอลสร้างไว้ใน Beit Hanoun กาซาตอนเหนือ เมื่อมองดูจาก Google Maps

    พิกัด:
    31.5433321, 34.5446688
    นี่คือสิ่งที่กองกำลังอิสราเอลสร้างไว้ใน Beit Hanoun กาซาตอนเหนือ เมื่อมองดูจาก Google Maps พิกัด: 31.5433321, 34.5446688
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ของอิตาลีที่ชื่อว่า "Piracy Shield" ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่เปิดตัวในต้นปี 2024 ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาโดยการบล็อกโดเมนและที่อยู่ IP ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างรวดเร็ว แม้ว่าระบบนี้จะสามารถบล็อกแหล่งที่มาของการละเมิดลิขสิทธิ์ได้หลายแห่ง แต่ก็มีปัญหาการบล็อกเกินไปด้วย

    มีรายงานว่าบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Google Drive และ Cloudflare ถูกบล็อกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในอิตาลีได้รับผลกระทบ เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2024 เมื่อ Google Drive ถูกบล็อกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผู้ใช้ในอิตาลีไม่สามารถเข้าถึงได้เป็นเวลาสามชั่วโมง และมีผลกระทบต่อผู้ใช้บางส่วนแม้หลังจาก 12 ชั่วโมง

    อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับระบบนี้ โดยสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร (CCIA) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Amazon, Cloudflare และ Google ได้ส่งจดหมายถึงคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อแสดงความกังวล CCIA ระบุว่ามาตรการบล็อก DNS และ IP ของ Piracy Shield นั้นกว้างเกินไปและอาจเป็นอันตรายได้

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ของอิตาลีที่เพิ่มข้อกำหนดการรายงานใหม่สำหรับผู้ให้บริการตัวกลาง ซึ่งรวมถึงบทลงโทษทางอาญาสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจขัดแย้งกับกฎหมายของสหภาพยุโรปและสร้างผลกระทบต่อการแสดงออกทางออนไลน์และนวัตกรรม

    https://www.techspot.com/news/106483-tech-giants-urge-eu-review-italy-anti-piracy.html
    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ของอิตาลีที่ชื่อว่า "Piracy Shield" ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่เปิดตัวในต้นปี 2024 ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาโดยการบล็อกโดเมนและที่อยู่ IP ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างรวดเร็ว แม้ว่าระบบนี้จะสามารถบล็อกแหล่งที่มาของการละเมิดลิขสิทธิ์ได้หลายแห่ง แต่ก็มีปัญหาการบล็อกเกินไปด้วย มีรายงานว่าบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Google Drive และ Cloudflare ถูกบล็อกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในอิตาลีได้รับผลกระทบ เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2024 เมื่อ Google Drive ถูกบล็อกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผู้ใช้ในอิตาลีไม่สามารถเข้าถึงได้เป็นเวลาสามชั่วโมง และมีผลกระทบต่อผู้ใช้บางส่วนแม้หลังจาก 12 ชั่วโมง อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับระบบนี้ โดยสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร (CCIA) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Amazon, Cloudflare และ Google ได้ส่งจดหมายถึงคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อแสดงความกังวล CCIA ระบุว่ามาตรการบล็อก DNS และ IP ของ Piracy Shield นั้นกว้างเกินไปและอาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ของอิตาลีที่เพิ่มข้อกำหนดการรายงานใหม่สำหรับผู้ให้บริการตัวกลาง ซึ่งรวมถึงบทลงโทษทางอาญาสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจขัดแย้งกับกฎหมายของสหภาพยุโรปและสร้างผลกระทบต่อการแสดงออกทางออนไลน์และนวัตกรรม https://www.techspot.com/news/106483-tech-giants-urge-eu-review-italy-anti-piracy.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech giants urge EU to review Italy's anti-piracy measures amid overblocking concerns
    While Piracy Shield has successfully blocked numerous pirate sources, it has also been plagued by incidents of overblocking. Reports indicate that legitimate services such as Google Drive...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta กำลังทดสอบการแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Threads ในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น! การทดสอบนี้เริ่มต้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยจะมีโฆษณาภาพปรากฏในฟีดหน้าแรกของ Threads สำหรับผู้ใช้บางส่วน Meta จะติดตามผลการทดสอบอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะขยายการแสดงโฆษณาให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจยังสามารถขยายแคมเปญโฆษณาที่มีอยู่ใน Meta ไปยัง Threads ได้ด้วย

    Meta ยังได้เริ่มทดสอบฟิลเตอร์สำหรับโฆษณาใน Threads ซึ่งใช้ AI เพื่อให้ผู้ลงโฆษณาสามารถควบคุมระดับความไวของเนื้อหาที่โฆษณาของพวกเขาปรากฏอยู่ข้างๆ การเปิดตัวโฆษณาบน Threads เกิดขึ้นหลังจากที่ Meta ได้ปรับปรุงการตรวจสอบเนื้อหา ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงโฆษณาบางรายกังวล แต่ความไม่แน่นอนที่ TikTok ทำให้แบรนด์ต่างๆ มองหาทางเลือกอื่น และ Meta ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะนำ Threads เข้ามาในตลาด

    Threads ถูกเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2023 เพื่อแข่งขันกับ X (เดิมชื่อ Twitter) ในช่วงที่ Elon Musk เข้าซื้อกิจการ แม้ว่า Meta จะไม่คาดหวังว่า Threads จะเป็นแหล่งรายได้หลักในปี 2025 แต่บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินสูงถึง 65 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ OpenAI และ Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/25/meta-to-test-ads-on-threads-in-us-and-japan
    Meta กำลังทดสอบการแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Threads ในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น! การทดสอบนี้เริ่มต้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยจะมีโฆษณาภาพปรากฏในฟีดหน้าแรกของ Threads สำหรับผู้ใช้บางส่วน Meta จะติดตามผลการทดสอบอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะขยายการแสดงโฆษณาให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจยังสามารถขยายแคมเปญโฆษณาที่มีอยู่ใน Meta ไปยัง Threads ได้ด้วย Meta ยังได้เริ่มทดสอบฟิลเตอร์สำหรับโฆษณาใน Threads ซึ่งใช้ AI เพื่อให้ผู้ลงโฆษณาสามารถควบคุมระดับความไวของเนื้อหาที่โฆษณาของพวกเขาปรากฏอยู่ข้างๆ การเปิดตัวโฆษณาบน Threads เกิดขึ้นหลังจากที่ Meta ได้ปรับปรุงการตรวจสอบเนื้อหา ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงโฆษณาบางรายกังวล แต่ความไม่แน่นอนที่ TikTok ทำให้แบรนด์ต่างๆ มองหาทางเลือกอื่น และ Meta ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะนำ Threads เข้ามาในตลาด Threads ถูกเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2023 เพื่อแข่งขันกับ X (เดิมชื่อ Twitter) ในช่วงที่ Elon Musk เข้าซื้อกิจการ แม้ว่า Meta จะไม่คาดหวังว่า Threads จะเป็นแหล่งรายได้หลักในปี 2025 แต่บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินสูงถึง 65 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ OpenAI และ Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/25/meta-to-test-ads-on-threads-in-us-and-japan
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta to test ads on Threads in US and Japan
    (Reuters) - Meta Platforms will begin test launching ads on its social media platform Threads with a few brands in the U.S. and Japan, it said on Friday, as the app hits over 300 million monthly active users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทดสอบ AI ที่เรียกว่า "Humanity's Last Exam" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความสามารถของระบบ AI ในการตอบคำถามที่ซับซ้อนในหลากหลายสาขาวิชา เช่น ปรัชญาเชิงวิเคราะห์และวิศวกรรมจรวด การทดสอบนี้ประกอบด้วยคำถามแบบหลายตัวเลือกและคำถามแบบตอบสั้นๆ ประมาณ 3,000 ข้อ

    Dan Hendrycks, นักวิจัยด้านความปลอดภัยของ AI และผู้อำนวยการของ Center for AI Safety, ได้ร่วมมือกับ Scale AI ในการสร้างการทดสอบนี้ คำถามถูกส่งโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักคณิตศาสตร์ที่ได้รับรางวัล การทดสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อวัดความสามารถของ AI ในการตอบคำถามที่ซับซ้อนและให้คะแนนความฉลาดทั่วไปของ AI

    การทดสอบนี้ถูกนำไปใช้กับโมเดล AI ชั้นนำ 6 โมเดล รวมถึง Google’s Gemini 1.5 Pro และ Anthropic’s Claude 3.5 Sonnet ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกโมเดลล้มเหลวในการทดสอบนี้ โดยโมเดลของ OpenAI ได้คะแนนสูงสุดที่ 8.3% Hendrycks คาดว่าคะแนนเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจเกิน 50% ภายในสิ้นปีนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/opinion-when-ai-passes-this-test-look-out
    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทดสอบ AI ที่เรียกว่า "Humanity's Last Exam" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความสามารถของระบบ AI ในการตอบคำถามที่ซับซ้อนในหลากหลายสาขาวิชา เช่น ปรัชญาเชิงวิเคราะห์และวิศวกรรมจรวด การทดสอบนี้ประกอบด้วยคำถามแบบหลายตัวเลือกและคำถามแบบตอบสั้นๆ ประมาณ 3,000 ข้อ Dan Hendrycks, นักวิจัยด้านความปลอดภัยของ AI และผู้อำนวยการของ Center for AI Safety, ได้ร่วมมือกับ Scale AI ในการสร้างการทดสอบนี้ คำถามถูกส่งโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักคณิตศาสตร์ที่ได้รับรางวัล การทดสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อวัดความสามารถของ AI ในการตอบคำถามที่ซับซ้อนและให้คะแนนความฉลาดทั่วไปของ AI การทดสอบนี้ถูกนำไปใช้กับโมเดล AI ชั้นนำ 6 โมเดล รวมถึง Google’s Gemini 1.5 Pro และ Anthropic’s Claude 3.5 Sonnet ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกโมเดลล้มเหลวในการทดสอบนี้ โดยโมเดลของ OpenAI ได้คะแนนสูงสุดที่ 8.3% Hendrycks คาดว่าคะแนนเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจเกิน 50% ภายในสิ้นปีนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/opinion-when-ai-passes-this-test-look-out
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: When AI passes this test, look out
    If you’re looking for a new reason to be nervous about artificial intelligence, try this: Some of the smartest humans in the world are struggling to create tests that AI systems can’t pass.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดตัวแอป Gemini ที่สามารถควบคุมบ้านอัจฉริยะผ่านส่วนขยายของ Google Home แอปนี้สามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติและทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้พูดได้ เช่น ถ้าคุณบอกว่า "แสงสว่างเกินไป" Gemini จะหรี่ไฟให้โดยไม่ต้องระบุระดับแสงที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น "หรี่ไฟในห้องนั่งเล่น เปิดโคมไฟในห้องนอน และลดม่านลง" Gemini จะเข้าใจและทำตามคำสั่งทั้งหมดนี้ได้

    Gemini ยังสามารถควบคุมการเล่นสื่อ เช่น ปรับระดับเสียงและการเล่นเพลงหรือวิดีโอ และสามารถเปิดแอป Google Home อัตโนมัติเมื่อมีการจัดการกล้องและล็อคเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่สามารถตอบคำถามเช่น "ฉันทิ้งไฟหน้าบ้านเปิดไว้หรือเปล่า" Gemini จะตรวจสอบและแจ้งให้คุณทราบ

    Google หวังว่า Gemini จะทำให้บ้านอัจฉริยะมีความสะดวกสบายและง่ายต่อการจัดการมากขึ้น และในอนาคตอาจมีการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น เช่น ถ้าคุณบอกว่า "ฉันเครียด" บ้านอาจจะชงชาให้คุณ หรี่ไฟ และเปิดเพลงผ่อนคลาย

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/google-gemini-is-your-new-smart-home-butler
    Google ได้เปิดตัวแอป Gemini ที่สามารถควบคุมบ้านอัจฉริยะผ่านส่วนขยายของ Google Home แอปนี้สามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติและทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้พูดได้ เช่น ถ้าคุณบอกว่า "แสงสว่างเกินไป" Gemini จะหรี่ไฟให้โดยไม่ต้องระบุระดับแสงที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น "หรี่ไฟในห้องนั่งเล่น เปิดโคมไฟในห้องนอน และลดม่านลง" Gemini จะเข้าใจและทำตามคำสั่งทั้งหมดนี้ได้ Gemini ยังสามารถควบคุมการเล่นสื่อ เช่น ปรับระดับเสียงและการเล่นเพลงหรือวิดีโอ และสามารถเปิดแอป Google Home อัตโนมัติเมื่อมีการจัดการกล้องและล็อคเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่สามารถตอบคำถามเช่น "ฉันทิ้งไฟหน้าบ้านเปิดไว้หรือเปล่า" Gemini จะตรวจสอบและแจ้งให้คุณทราบ Google หวังว่า Gemini จะทำให้บ้านอัจฉริยะมีความสะดวกสบายและง่ายต่อการจัดการมากขึ้น และในอนาคตอาจมีการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น เช่น ถ้าคุณบอกว่า "ฉันเครียด" บ้านอาจจะชงชาให้คุณ หรี่ไฟ และเปิดเพลงผ่อนคลาย https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/google-gemini-is-your-new-smart-home-butler
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung กำลังพัฒนาโครงการใหม่ชื่อว่า Project Moohan ซึ่งเป็นอุปกรณ์สวมศีรษะ XR (Extended Reality) ที่มีลักษณะคล้ายกับ Apple Vision Pro แม้ว่า Apple Vision Pro จะไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง และ Samsung กำลังพยายามตามให้ทันคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟนนี้

    Project Moohan จะใช้ชิปเซ็ต Snapdragon XR2+ Gen 2 ที่พัฒนาโดยความร่วมมือระหว่าง Google และ Samsung ชิปเซ็ตนี้สามารถรองรับความละเอียด 4.3K ต่อจอที่ 90FPS และสามารถถอดรหัสวิดีโอ 8K 60FPS และเข้ารหัสวิดีโอ 8K 30FPS หรือ 4K 60FPS นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ซึ่งช่วยลดความหน่วงได้อย่างมาก

    แม้ว่า Samsung จะเปิดตัว Project Moohan ในงาน Galaxy Unpacked แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเปกของอุปกรณ์นี้ Samsung วางแผนที่จะให้ชุดหูฟังนี้แก่ผู้พัฒนาก่อน และคาดว่าจะมีการอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดตัวในภายหลัง

    น่าสนใจที่เห็นว่า Samsung กำลังพยายามพัฒนาเทคโนโลยี XR ให้มีความสามารถและประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อแข่งขันกับ Apple Vision Pro และอุปกรณ์อื่นๆ ในตลาด

    https://wccftech.com/samsung-project-moohan-xr-headset-teased-looks-somewhat-similar-to-apple-vision-pro/
    Samsung กำลังพัฒนาโครงการใหม่ชื่อว่า Project Moohan ซึ่งเป็นอุปกรณ์สวมศีรษะ XR (Extended Reality) ที่มีลักษณะคล้ายกับ Apple Vision Pro แม้ว่า Apple Vision Pro จะไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง และ Samsung กำลังพยายามตามให้ทันคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟนนี้ Project Moohan จะใช้ชิปเซ็ต Snapdragon XR2+ Gen 2 ที่พัฒนาโดยความร่วมมือระหว่าง Google และ Samsung ชิปเซ็ตนี้สามารถรองรับความละเอียด 4.3K ต่อจอที่ 90FPS และสามารถถอดรหัสวิดีโอ 8K 60FPS และเข้ารหัสวิดีโอ 8K 30FPS หรือ 4K 60FPS นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ซึ่งช่วยลดความหน่วงได้อย่างมาก แม้ว่า Samsung จะเปิดตัว Project Moohan ในงาน Galaxy Unpacked แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเปกของอุปกรณ์นี้ Samsung วางแผนที่จะให้ชุดหูฟังนี้แก่ผู้พัฒนาก่อน และคาดว่าจะมีการอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดตัวในภายหลัง น่าสนใจที่เห็นว่า Samsung กำลังพยายามพัฒนาเทคโนโลยี XR ให้มีความสามารถและประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อแข่งขันกับ Apple Vision Pro และอุปกรณ์อื่นๆ ในตลาด https://wccftech.com/samsung-project-moohan-xr-headset-teased-looks-somewhat-similar-to-apple-vision-pro/
    WCCFTECH.COM
    Samsung’s Project Moohan Bears Some Resemblance To The Apple Vision Pro, But The XR Headset Will Not Be Powered By The Company’s Custom Hardware Or Software
    An Apple Vision Pro competitor in the form of Samsung’s Project Moohan was recently teased, but it will not feature any proprietary hardware or software
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการที่ Google ได้เปิดตัว Chrome Web Store สำหรับองค์กร ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถสร้างรายการส่วนขยายที่ผ่านการตรวจสอบแล้วสำหรับพนักงานได้ การเปิดตัวนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงที่พนักงานจะติดตั้งส่วนขยายที่เป็นอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจ

    ปัญหาส่วนขยายที่เป็นอันตรายบน Chrome มีมานานแล้ว โดยมีผู้ไม่หวังดีปล่อยหรือแฮ็กส่วนขยายที่มีอยู่เพื่อใส่โค้ดที่เป็นอันตราย เมื่อเดือนที่แล้ว มีส่วนขยาย 35 รายการที่ถูกแฮ็กหลังจากนักพัฒนาถูกโจมตีด้วยฟิชชิง ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถอัปโหลดเวอร์ชันที่มีสคริปต์ขโมยข้อมูลได้

    Google ได้ประกาศเปิดตัว Chrome Web Store สำหรับองค์กรในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถสร้างรายการส่วนขยายที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว และลดความเสี่ยงที่พนักงานจะติดตั้งส่วนขยายที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถปรับแต่ง Web Store ให้แสดงโลโก้บริษัทและเน้นส่วนขยายที่จำเป็นสำหรับงานขององค์กรได

    Google ยังได้แนะนำเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถมองเห็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับส่วนขยายได้มากขึ้น โดยแสดงคะแนนความเสี่ยงที่ได้รับจาก Spin ในปลายปีนี้ Google จะเปิดตัวฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถลบส่วนขยายออกจากเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ได้จากระยะไกล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น

    น่าสนใจที่เห็นว่า Google กำลังพยายามเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ Chrome โดยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากส่วนขยายที่เป็นอันตราย การที่องค์กรสามารถสร้างรายการส่วนขยายที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและปรับแต่ง Web Store ได้ตามต้องการ จะช่วยให้การใช้งาน Chrome ในองค์กรมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.bleepingcomputer.com/news/google/google-launches-customizable-web-store-for-enterprise-extensions/
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการที่ Google ได้เปิดตัว Chrome Web Store สำหรับองค์กร ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถสร้างรายการส่วนขยายที่ผ่านการตรวจสอบแล้วสำหรับพนักงานได้ การเปิดตัวนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงที่พนักงานจะติดตั้งส่วนขยายที่เป็นอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจ ปัญหาส่วนขยายที่เป็นอันตรายบน Chrome มีมานานแล้ว โดยมีผู้ไม่หวังดีปล่อยหรือแฮ็กส่วนขยายที่มีอยู่เพื่อใส่โค้ดที่เป็นอันตราย เมื่อเดือนที่แล้ว มีส่วนขยาย 35 รายการที่ถูกแฮ็กหลังจากนักพัฒนาถูกโจมตีด้วยฟิชชิง ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถอัปโหลดเวอร์ชันที่มีสคริปต์ขโมยข้อมูลได้ Google ได้ประกาศเปิดตัว Chrome Web Store สำหรับองค์กรในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถสร้างรายการส่วนขยายที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว และลดความเสี่ยงที่พนักงานจะติดตั้งส่วนขยายที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถปรับแต่ง Web Store ให้แสดงโลโก้บริษัทและเน้นส่วนขยายที่จำเป็นสำหรับงานขององค์กรได Google ยังได้แนะนำเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถมองเห็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับส่วนขยายได้มากขึ้น โดยแสดงคะแนนความเสี่ยงที่ได้รับจาก Spin ในปลายปีนี้ Google จะเปิดตัวฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถลบส่วนขยายออกจากเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ได้จากระยะไกล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น น่าสนใจที่เห็นว่า Google กำลังพยายามเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ Chrome โดยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากส่วนขยายที่เป็นอันตราย การที่องค์กรสามารถสร้างรายการส่วนขยายที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและปรับแต่ง Web Store ได้ตามต้องการ จะช่วยให้การใช้งาน Chrome ในองค์กรมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.bleepingcomputer.com/news/google/google-launches-customizable-web-store-for-enterprise-extensions/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Google launches customizable Web Store for Enterprise extensions
    Google has officially launched its Chrome Web Store for Enterprises, allowing organizations to create a curated list of extensions that can be installed in employees' web browsers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟมาเลย์ KLIA Ekspres เพิ่มตั๋วใน Google Wallet ได้แล้ว

    เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 บริการรถไฟ KLIA Ekspres (เคแอลไอเอ เอ็กซ์เพรส) ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ถึงสถานี KL Sentral สามารถเพิ่มตั๋วโดยสารลงใน Google Wallet กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการพกตั๋วโดยสารโดยไม่ต้องเปิดอีเมล และไม่ต้องพิมพ์ตั๋วแบบกระดาษออกมาอีก

    ผู้โดยสารที่สำรองที่นั่งและชำระเงินผ่านเว็บไซต์ www.KLIAekspres.com ผ่านมือถือเรียบร้อยแล้ว จะมีปุ่ม Add to Google Wallet ให้กดเข้าไป ระบบจะเพิ่มบัตรลงใน Google Wallet กดเข้าไปที่ View pass เพื่อดูตั๋วโดยสาร จากนั้นเมื่อถึงประตูทางเข้า (Boarding Gate) ให้เปิด Google Wallet เลือกตั๋วโดยสาร แล้วนำ QR Code มาสแกนที่ประตูทางเข้า แล้วประตูจะเปิดออกมา เมื่อถึงสถานีปลายทางให้นำ QR Code มาสแกนที่ประตูทางออก ปัจจุบันให้บริการเฉพาะตั๋ว Standard Tickets ทั้งบริการ KLIA Ekspres และ KLIA Transit ประเภทบุคคลทั่วไปและประเภทเด็กเท่านั้น

    สำหรับรถไฟ KLIA Ekspres ระยะทาง 57 กิโลเมตร มีให้เลือก 2 ประเภท ได้แก่ บริการ KLIA Ekspres จอดเฉพาะอาคาร KLIA2, KLIA1 และสถานี KL Sentral โดยไม่จอดสถานีอื่น ใช้เวลาเดินทาง 28 นาที ค่าโดยสารบุคคลทั่วไป เที่ยวเดียว 55 ริงกิต ไป-กลับ 100 ริงกิต เด็กอายุ 6-15 ปี เที่ยวเดียว 25 ริงกิต ไป-กลับ 45 ริงกิต ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยสารฟรีสูงสุด 3 คนต่อผู้ใหญ่ 1 คน ให้บริการทุก 20 นาที จากต้นทางอาคาร KLIA2 เที่ยวแรก 04.55 น. เที่ยวสุดท้าย 00.00 น. จากต้นทางสถานี KL Sentral เที่ยวแรก 05.00 น. เที่ยวสุดท้าย 00.00 น.

    ส่วนบริการ KLIA Transit จอดส่งผู้โดยสารสถานีซาลักติงกิ (Salak Tinggi), สถานีปุตราจายาและไซเบอร์จายา (Putrajaya & Cyberjaya) และสถานีบันดาร์ตาซิกเซลาตัน (Bandar Tasik Selatan) ใช้เวลาจากต้นทางถึงปลายทาง 39 นาที ค่าโดยสารคิดตามระยะทาง (เช่น จากอาคาร KLIA2 ไป Putrajaya & Cyberjaya ราคา 9.40 ริงกิต) ให้บริการทุก 15 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน และ 30 นาทีนอกชั่วโมงเร่งด่วนและวันหยุด จากต้นทางอาคาร KLIA2 เที่ยวแรก 05.18 น. เที่ยวสุดท้าย 00.30 น. จากต้นทางสถานี KL Sentral เที่ยวแรก 05.03 น. เที่ยวสุดท้าย 00.03 น.

    คำแนะนำ : สามารถใช้บริการ KLIA Transit จากอาคาร KLIA2 ไปสถานี Putrajaya & Cyberjaya แล้วต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Putrajaya ลงที่สถานี Ampang Park ค่าโดยสาร 4.40 ริงกิต (ถ้าใช้บัตร TNG ลดเหลือ 3.80 ริงกิต) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya ได้

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    รถไฟมาเลย์ KLIA Ekspres เพิ่มตั๋วใน Google Wallet ได้แล้ว เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 บริการรถไฟ KLIA Ekspres (เคแอลไอเอ เอ็กซ์เพรส) ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ถึงสถานี KL Sentral สามารถเพิ่มตั๋วโดยสารลงใน Google Wallet กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการพกตั๋วโดยสารโดยไม่ต้องเปิดอีเมล และไม่ต้องพิมพ์ตั๋วแบบกระดาษออกมาอีก ผู้โดยสารที่สำรองที่นั่งและชำระเงินผ่านเว็บไซต์ www.KLIAekspres.com ผ่านมือถือเรียบร้อยแล้ว จะมีปุ่ม Add to Google Wallet ให้กดเข้าไป ระบบจะเพิ่มบัตรลงใน Google Wallet กดเข้าไปที่ View pass เพื่อดูตั๋วโดยสาร จากนั้นเมื่อถึงประตูทางเข้า (Boarding Gate) ให้เปิด Google Wallet เลือกตั๋วโดยสาร แล้วนำ QR Code มาสแกนที่ประตูทางเข้า แล้วประตูจะเปิดออกมา เมื่อถึงสถานีปลายทางให้นำ QR Code มาสแกนที่ประตูทางออก ปัจจุบันให้บริการเฉพาะตั๋ว Standard Tickets ทั้งบริการ KLIA Ekspres และ KLIA Transit ประเภทบุคคลทั่วไปและประเภทเด็กเท่านั้น สำหรับรถไฟ KLIA Ekspres ระยะทาง 57 กิโลเมตร มีให้เลือก 2 ประเภท ได้แก่ บริการ KLIA Ekspres จอดเฉพาะอาคาร KLIA2, KLIA1 และสถานี KL Sentral โดยไม่จอดสถานีอื่น ใช้เวลาเดินทาง 28 นาที ค่าโดยสารบุคคลทั่วไป เที่ยวเดียว 55 ริงกิต ไป-กลับ 100 ริงกิต เด็กอายุ 6-15 ปี เที่ยวเดียว 25 ริงกิต ไป-กลับ 45 ริงกิต ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยสารฟรีสูงสุด 3 คนต่อผู้ใหญ่ 1 คน ให้บริการทุก 20 นาที จากต้นทางอาคาร KLIA2 เที่ยวแรก 04.55 น. เที่ยวสุดท้าย 00.00 น. จากต้นทางสถานี KL Sentral เที่ยวแรก 05.00 น. เที่ยวสุดท้าย 00.00 น. ส่วนบริการ KLIA Transit จอดส่งผู้โดยสารสถานีซาลักติงกิ (Salak Tinggi), สถานีปุตราจายาและไซเบอร์จายา (Putrajaya & Cyberjaya) และสถานีบันดาร์ตาซิกเซลาตัน (Bandar Tasik Selatan) ใช้เวลาจากต้นทางถึงปลายทาง 39 นาที ค่าโดยสารคิดตามระยะทาง (เช่น จากอาคาร KLIA2 ไป Putrajaya & Cyberjaya ราคา 9.40 ริงกิต) ให้บริการทุก 15 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน และ 30 นาทีนอกชั่วโมงเร่งด่วนและวันหยุด จากต้นทางอาคาร KLIA2 เที่ยวแรก 05.18 น. เที่ยวสุดท้าย 00.30 น. จากต้นทางสถานี KL Sentral เที่ยวแรก 05.03 น. เที่ยวสุดท้าย 00.03 น. คำแนะนำ : สามารถใช้บริการ KLIA Transit จากอาคาร KLIA2 ไปสถานี Putrajaya & Cyberjaya แล้วต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Putrajaya ลงที่สถานี Ampang Park ค่าโดยสาร 4.40 ริงกิต (ถ้าใช้บัตร TNG ลดเหลือ 3.80 ริงกิต) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya ได้ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI กำลังเตรียมเปิดตัว AI ตัวใหม่ที่ชื่อว่า "Operator" ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานซับซ้อนได้อย่างอัตโนมัติ! Operator นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ในการจัดการงานที่ต้องการความรู้และความเข้าใจลึกซึ้ง โดยมีความสามารถเทียบเท่ากับระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว

    การเปิดตัว Operator นี้เป็นการก้าวสำคัญในวงการ AI เพราะมันสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันในวงการ AI ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เพราะบริษัทอื่น ๆ อย่าง Anthropic และ Google ก็กำลังพัฒนา AI ที่มีความสามารถคล้ายกัน

    https://wccftech.com/meet-operator-openais-game-changing-autonomous-ai-super-agent-for-tackling-complex-tasks/
    OpenAI กำลังเตรียมเปิดตัว AI ตัวใหม่ที่ชื่อว่า "Operator" ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานซับซ้อนได้อย่างอัตโนมัติ! Operator นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ในการจัดการงานที่ต้องการความรู้และความเข้าใจลึกซึ้ง โดยมีความสามารถเทียบเท่ากับระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว การเปิดตัว Operator นี้เป็นการก้าวสำคัญในวงการ AI เพราะมันสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันในวงการ AI ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เพราะบริษัทอื่น ๆ อย่าง Anthropic และ Google ก็กำลังพัฒนา AI ที่มีความสามารถคล้ายกัน https://wccftech.com/meet-operator-openais-game-changing-autonomous-ai-super-agent-for-tackling-complex-tasks/
    WCCFTECH.COM
    Meet 'Operator,' OpenAI's Game-Changing Autonomous AI Super Agent For Tackling Complex Tasks
    OpenAI is said to be working on advanced AI agents that are said to offer super intelligence by handling tasks autonomously for users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • 𝑲𝒂𝒑𝒐𝒐𝒌 𝑼𝑲 𝑴𝒐𝒏𝒆𝒚 𝑻𝒓𝒂𝒏𝒔𝒇𝒆𝒓 𝑨𝒑𝒑
    https://kapookeu.com/kapookapp
    🤑 เปย์ได้สบายใจ ค่าธรรมเนียมไม่แรง!

    โอนเงินกลับไทย ครอบคลุม 59 ประเทศ
    ค่าบริการ 1.50 ปอนด์ และ 2.00 ยูโร
    รองรับ 5 สกุลเงิน 𝙂𝘽𝙋, 𝙀𝙐𝙍, 𝙉𝙊𝙆, 𝘿𝙆𝙆, 𝙎𝙀𝙆

    ปลายทางรับเงินไว ภายใน 5 นาที

    เลือกชำระเงินได้หลายช่องทาง
    ▪️ 𝗔𝗽𝗽𝗹𝗲 𝗣𝗔𝗬 และ 𝗚𝗼𝗼𝗴𝗹𝗲 𝗣𝗔𝗬
    ▪️ 𝗢𝗻𝗹𝗶𝗻𝗲 𝗣𝗮𝘆𝗺𝗲𝗻𝘁
    ▪️ 𝗗𝗲𝗯𝗶𝘁 𝗖𝗿𝗲𝗱𝗶𝘁 𝗖𝗮𝗿𝗱
    .
    โอนได้ทุกวัน 𝟎𝟗.𝟎𝟎 𝐀𝐌. - 𝟎𝟓.𝟎𝟎 𝐏𝐌.
    (ตามเวลาประเทศอังกฤษ)
    --------------------------------------------
    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่.. Inbox : m.me/kapookuk
    ☎️ Tel : 02035158885
    📱 IG : https://www.instagram.com/kapook.uk
    🌐 https://www.kapookeu.com

    #kapookmoneytransfer
    #kapookuk
    #welovekapook
    #โอนเงินกลับไทย
    #โอนเงินต่างประเทศ
    𝑲𝒂𝒑𝒐𝒐𝒌 𝑼𝑲 𝑴𝒐𝒏𝒆𝒚 𝑻𝒓𝒂𝒏𝒔𝒇𝒆𝒓 𝑨𝒑𝒑 https://kapookeu.com/kapookapp 🤑 เปย์ได้สบายใจ ค่าธรรมเนียมไม่แรง! โอนเงินกลับไทย ครอบคลุม 59 ประเทศ ค่าบริการ 1.50 ปอนด์ และ 2.00 ยูโร รองรับ 5 สกุลเงิน 𝙂𝘽𝙋, 𝙀𝙐𝙍, 𝙉𝙊𝙆, 𝘿𝙆𝙆, 𝙎𝙀𝙆 ปลายทางรับเงินไว ภายใน 5 นาที เลือกชำระเงินได้หลายช่องทาง ▪️ 𝗔𝗽𝗽𝗹𝗲 𝗣𝗔𝗬 และ 𝗚𝗼𝗼𝗴𝗹𝗲 𝗣𝗔𝗬 ▪️ 𝗢𝗻𝗹𝗶𝗻𝗲 𝗣𝗮𝘆𝗺𝗲𝗻𝘁 ▪️ 𝗗𝗲𝗯𝗶𝘁 𝗖𝗿𝗲𝗱𝗶𝘁 𝗖𝗮𝗿𝗱 . โอนได้ทุกวัน 𝟎𝟗.𝟎𝟎 𝐀𝐌. - 𝟎𝟓.𝟎𝟎 𝐏𝐌. (ตามเวลาประเทศอังกฤษ) -------------------------------------------- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่.. Inbox : m.me/kapookuk ☎️ Tel : 02035158885 📱 IG : https://www.instagram.com/kapook.uk 🌐 https://www.kapookeu.com #kapookmoneytransfer #kapookuk #welovekapook #โอนเงินกลับไทย #โอนเงินต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Apple, Google, Microsoft, Meta, Amazon, OpenAI และ Uber กำลังถูกตั้งคำถามจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เกี่ยวกับการบริจาคเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Donald Trump! วุฒิสมาชิก Elizabeth Warren และ Michael Bennet กำลังสงสัยว่าการบริจาคเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อ "ซื้อความโปรดปราน" จากรัฐบาลใหม่หรือไม่

    การบริจาคเงินจำนวนมากนี้ทำให้เกิดความสงสัย เนื่องจากเงินที่บริจาคให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Trump สูงกว่าที่บริจาคให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Biden อย่างมาก ตัวอย่างเช่น Apple บริจาคเงินให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Trump ถึง 23 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาคให้กับ Biden

    นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่าผู้บริหารบางคน เช่น Mark Zuckerberg จาก Meta ได้พบกับ Donald Trump และจัดงานเลี้ยงฉลองการเข้ารับตำแหน่งของเขา วุฒิสมาชิก Warren และ Bennet ได้ส่งจดหมายถึงบริษัทเหล่านี้เพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับการบริจาคเงินจำนวนมากนี้

    https://wccftech.com/us-senators-are-questioning-apple-google-microsoft-others-over-the-1-million-trump-donation/
    บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Apple, Google, Microsoft, Meta, Amazon, OpenAI และ Uber กำลังถูกตั้งคำถามจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เกี่ยวกับการบริจาคเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Donald Trump! วุฒิสมาชิก Elizabeth Warren และ Michael Bennet กำลังสงสัยว่าการบริจาคเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อ "ซื้อความโปรดปราน" จากรัฐบาลใหม่หรือไม่ การบริจาคเงินจำนวนมากนี้ทำให้เกิดความสงสัย เนื่องจากเงินที่บริจาคให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Trump สูงกว่าที่บริจาคให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Biden อย่างมาก ตัวอย่างเช่น Apple บริจาคเงินให้กับการเข้ารับตำแหน่งของ Trump ถึง 23 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาคให้กับ Biden นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่าผู้บริหารบางคน เช่น Mark Zuckerberg จาก Meta ได้พบกับ Donald Trump และจัดงานเลี้ยงฉลองการเข้ารับตำแหน่งของเขา วุฒิสมาชิก Warren และ Bennet ได้ส่งจดหมายถึงบริษัทเหล่านี้เพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับการบริจาคเงินจำนวนมากนี้ https://wccftech.com/us-senators-are-questioning-apple-google-microsoft-others-over-the-1-million-trump-donation/
    WCCFTECH.COM
    Apple, Google, Microsoft and Others Are Under The Prying Eyes Of U.S. Senators For Their $1 Million Donations To Trump’s Inauguration, Seemingly To ‘Buy Favor’
    Two U.S. senators are questioning why technology giants like Apple, Google and Microsoft donating high amounts to the Trump administration
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts