• จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ

    จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

    ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง

    แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030)
    เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI
    ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่
    รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
    ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024
    กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP
    ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์
    เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค

    ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี
    บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ
    ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    🇨🇳 จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง ✅ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030) ➡️ เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI ➡️ ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ ➡️ รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ✅ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ➡️ ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024 ➡️ กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP ➡️ ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ➡️ เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค ✅ ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย ➡️ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ ⛔ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ⛔ การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ถึงเวลาย้ายภาระ! กฎหมายคุกกี้ควรควบคุมเบราว์เซอร์ ไม่ใช่โยนภาระให้เว็บไซต์อีกต่อไป”

    ทุกวันนี้เวลาเราเข้าเว็บไซต์ใหม่ ๆ สิ่งแรกที่เจอไม่ใช่เนื้อหาที่เราต้องการอ่าน แต่คือ “แบนเนอร์คุกกี้” ที่เด้งขึ้นมาทุกครั้ง พร้อมปุ่ม “Accept All” หรือ “Manage Preferences” ที่ซับซ้อนและน่ารำคาญสุด ๆ

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก “อะไร” แต่เกิดจาก “ใคร” คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น GDPR และ CCPA ที่มีเจตนาดี ต้องการให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตัวเองได้ แต่กลับวางภาระไว้ที่ “เว็บไซต์” แทนที่จะเป็น “เบราว์เซอร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือกลางที่ทุกคนใช้เข้าถึงเว็บ

    ลองนึกภาพว่า ถ้าเราต้องอนุญาตให้รถยนต์ใช้ล้อหรือน้ำมันทุกครั้งก่อนขับ มันจะน่ารำคาญแค่ไหน? นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำอยู่บนอินเทอร์เน็ตทุกวัน

    แนวคิดที่เสนอคือ ให้เบราว์เซอร์เป็นตัวกลางในการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น เลือกได้ตั้งแต่ “เฉพาะข้อมูลจำเป็น”, “วิเคราะห์การใช้งาน”, หรือ “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” แล้วเบราว์เซอร์จะเป็นคนจัดการให้ทุกเว็บไซต์ทำตามโดยอัตโนมัติ

    ข้อดีคือ ผู้ใช้จะได้ประสบการณ์ที่สะอาดขึ้น ไม่ต้องคลิกแบนเนอร์ซ้ำ ๆ ส่วนเว็บไซต์ก็ไม่ต้องเสียเงินจ้างทีมกฎหมายหรือใช้ปลั๊กอินราคาแพงเพื่อให้ comply กับกฎหมาย และที่สำคัญคือ หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวได้ง่ายกว่าการไล่ตรวจเว็บไซต์นับล้าน

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีความพยายามทำ “Do Not Track” มาก่อน แต่ล้มเหลวเพราะเว็บไซต์ไม่ยอมทำตาม แต่ถ้ากฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องเคารพการตั้งค่าของผู้ใช้จริง ๆ ก็จะเปลี่ยนเกมได้เลย

    ปัญหาของระบบคุกกี้ปัจจุบัน
    ผู้ใช้ต้องคลิกแบนเนอร์คุกกี้ซ้ำ ๆ ทุกเว็บไซต์
    เว็บไซต์ต้องลงทุนในระบบจัดการคุกกี้ที่ซับซ้อน
    การยินยอมกลายเป็นแค่ “พิธีกรรม” ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
    ผู้ใช้มักคลิก “Accept All” เพื่อให้เข้าเว็บได้เร็ว ๆ

    แนวคิดใหม่: ย้ายการควบคุมไปที่เบราว์เซอร์
    ผู้ใช้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวครั้งเดียวในเบราว์เซอร์
    เบราว์เซอร์จะบังคับใช้การตั้งค่านั้นกับทุกเว็บไซต์
    ลดภาระให้เว็บไซต์ ไม่ต้องสร้างแบนเนอร์หรือระบบจัดการคุกกี้
    หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่าเว็บไซต์

    ตัวอย่างการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเบราว์เซอร์
    “เฉพาะข้อมูลจำเป็น” – ใช้เฉพาะคุกกี้ที่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์
    “วิเคราะห์การใช้งาน” – อนุญาตให้เก็บข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตน
    “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” – อนุญาตให้ใช้ข้อมูลเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ
    “กำหนดเอง” – ผู้ใช้เลือกได้ละเอียดตามประเภทข้อมูล

    ประโยชน์ของระบบใหม่
    ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเจอแบนเนอร์
    เว็บไซต์ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการ comply
    ระบบมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
    ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเว็บไซต์ใหญ่กับเว็บไซต์เล็ก

    https://nednex.com/en/the-internets-biggest-annoyance-why-cookie-laws-should-target-browsers-not-websites/
    🧩 “ถึงเวลาย้ายภาระ! กฎหมายคุกกี้ควรควบคุมเบราว์เซอร์ ไม่ใช่โยนภาระให้เว็บไซต์อีกต่อไป” ทุกวันนี้เวลาเราเข้าเว็บไซต์ใหม่ ๆ สิ่งแรกที่เจอไม่ใช่เนื้อหาที่เราต้องการอ่าน แต่คือ “แบนเนอร์คุกกี้” ที่เด้งขึ้นมาทุกครั้ง พร้อมปุ่ม “Accept All” หรือ “Manage Preferences” ที่ซับซ้อนและน่ารำคาญสุด ๆ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก “อะไร” แต่เกิดจาก “ใคร” คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น GDPR และ CCPA ที่มีเจตนาดี ต้องการให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตัวเองได้ แต่กลับวางภาระไว้ที่ “เว็บไซต์” แทนที่จะเป็น “เบราว์เซอร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือกลางที่ทุกคนใช้เข้าถึงเว็บ ลองนึกภาพว่า ถ้าเราต้องอนุญาตให้รถยนต์ใช้ล้อหรือน้ำมันทุกครั้งก่อนขับ มันจะน่ารำคาญแค่ไหน? นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำอยู่บนอินเทอร์เน็ตทุกวัน แนวคิดที่เสนอคือ ให้เบราว์เซอร์เป็นตัวกลางในการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น เลือกได้ตั้งแต่ “เฉพาะข้อมูลจำเป็น”, “วิเคราะห์การใช้งาน”, หรือ “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” แล้วเบราว์เซอร์จะเป็นคนจัดการให้ทุกเว็บไซต์ทำตามโดยอัตโนมัติ ข้อดีคือ ผู้ใช้จะได้ประสบการณ์ที่สะอาดขึ้น ไม่ต้องคลิกแบนเนอร์ซ้ำ ๆ ส่วนเว็บไซต์ก็ไม่ต้องเสียเงินจ้างทีมกฎหมายหรือใช้ปลั๊กอินราคาแพงเพื่อให้ comply กับกฎหมาย และที่สำคัญคือ หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวได้ง่ายกว่าการไล่ตรวจเว็บไซต์นับล้าน แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีความพยายามทำ “Do Not Track” มาก่อน แต่ล้มเหลวเพราะเว็บไซต์ไม่ยอมทำตาม แต่ถ้ากฎหมายบังคับให้เบราว์เซอร์ต้องเคารพการตั้งค่าของผู้ใช้จริง ๆ ก็จะเปลี่ยนเกมได้เลย ✅ ปัญหาของระบบคุกกี้ปัจจุบัน ➡️ ผู้ใช้ต้องคลิกแบนเนอร์คุกกี้ซ้ำ ๆ ทุกเว็บไซต์ ➡️ เว็บไซต์ต้องลงทุนในระบบจัดการคุกกี้ที่ซับซ้อน ➡️ การยินยอมกลายเป็นแค่ “พิธีกรรม” ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ➡️ ผู้ใช้มักคลิก “Accept All” เพื่อให้เข้าเว็บได้เร็ว ๆ ✅ แนวคิดใหม่: ย้ายการควบคุมไปที่เบราว์เซอร์ ➡️ ผู้ใช้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวครั้งเดียวในเบราว์เซอร์ ➡️ เบราว์เซอร์จะบังคับใช้การตั้งค่านั้นกับทุกเว็บไซต์ ➡️ ลดภาระให้เว็บไซต์ ไม่ต้องสร้างแบนเนอร์หรือระบบจัดการคุกกี้ ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่าเว็บไซต์ ✅ ตัวอย่างการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเบราว์เซอร์ ➡️ “เฉพาะข้อมูลจำเป็น” – ใช้เฉพาะคุกกี้ที่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์ ➡️ “วิเคราะห์การใช้งาน” – อนุญาตให้เก็บข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตน ➡️ “โฆษณาแบบเฉพาะบุคคล” – อนุญาตให้ใช้ข้อมูลเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ ➡️ “กำหนดเอง” – ผู้ใช้เลือกได้ละเอียดตามประเภทข้อมูล ✅ ประโยชน์ของระบบใหม่ ➡️ ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเจอแบนเนอร์ ➡️ เว็บไซต์ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการ comply ➡️ ระบบมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเว็บไซต์ใหญ่กับเว็บไซต์เล็ก https://nednex.com/en/the-internets-biggest-annoyance-why-cookie-laws-should-target-browsers-not-websites/
    NEDNEX.COM
    The Internet's Biggest Annoyance:Why Cookie Laws Should Target Browsers, Not Websites | NEDNEX
    Save and Share: Click. Ugh. Another one. You know the drill. You land on a new website, eager to read an article or check a product price, and before the page even finishes loading, it appears: the dreaded cookie banner. A pop-up, a slide-in, a full-screen overlay demanding you “Accept All,” “Manage Preferences,” or navigate… Continue reading The Internet’s Biggest Annoyance:Why Cookie Laws Should Target Browsers, Not Websites
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Managed IT Services เสริมเกราะไซเบอร์องค์กร — จากการเฝ้าระวังถึงการฟื้นตัวหลังภัยคุกคาม” — เมื่อการจ้างผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบ IT กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ยุคใหม่

    ในยุคที่ธุรกิจพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วย ransomware, การหลอกลวงผ่าน phishing หรือการเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ หลายองค์กรพบว่าการรับมือด้วยทีมภายในเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ

    บทความจาก SecurityOnline.info ชี้ให้เห็นว่า “Managed IT Services” หรือบริการดูแลระบบ IT แบบครบวงจรจากภายนอก คือคำตอบที่ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนจากการรับมือแบบ “ตามเหตุการณ์” ไปสู่การป้องกันเชิงรุก โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามตลอดเวลา

    บริการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall และ endpoint protection, การอัปเดตแพตช์อย่างสม่ำเสมอ, การสำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบ ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์

    ที่สำคัญ Managed IT ยังช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA และ PCI-DSS ได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง

    Managed IT Services ช่วยเปลี่ยนการรับมือภัยไซเบอร์จากเชิงรับเป็นเชิงรุก
    มีการเฝ้าระวังและตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผิดปกติ
    ลดช่องว่างระหว่างการตรวจพบและการตอบสนอง

    ติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall, IDS, encryption
    ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร

    จัดการอัปเดตและแพตช์ระบบอย่างต่อเนื่อง
    ลดช่องโหว่จากซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย

    สำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ
    ใช้คลาวด์และระบบอัตโนมัติเพื่อฟื้นตัวเร็ว

    ฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์
    ลดความเสี่ยงจาก human error เช่น phishing หรือรหัสผ่านอ่อนแอ

    ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA
    มีการตรวจสอบและจัดทำเอกสารตามข้อกำหนด

    ลด downtime และเพิ่มความต่อเนื่องทางธุรกิจ
    มีแผนสำรองและระบบเฝ้าระวังที่ตอบสนองเร็ว

    องค์กรที่ไม่มีการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    ช่องโหว่จากซอฟต์แวร์เก่าเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์

    หากไม่มีแผนกู้คืนระบบ อาจสูญเสียข้อมูลสำคัญเมื่อเกิดภัยพิบัติ
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

    พนักงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอาจเป็นช่องทางให้ภัยไซเบอร์เข้าถึงระบบ
    เช่น คลิกลิงก์หลอกลวงหรือใช้รหัสผ่านซ้ำ

    การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยข้อมูลอาจนำไปสู่ค่าปรับมหาศาล
    และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

    https://securityonline.info/how-managed-it-services-strengthen-cybersecurity/
    🛡️ “Managed IT Services เสริมเกราะไซเบอร์องค์กร — จากการเฝ้าระวังถึงการฟื้นตัวหลังภัยคุกคาม” — เมื่อการจ้างผู้เชี่ยวชาญดูแลระบบ IT กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ยุคใหม่ ในยุคที่ธุรกิจพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วย ransomware, การหลอกลวงผ่าน phishing หรือการเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ หลายองค์กรพบว่าการรับมือด้วยทีมภายในเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ บทความจาก SecurityOnline.info ชี้ให้เห็นว่า “Managed IT Services” หรือบริการดูแลระบบ IT แบบครบวงจรจากภายนอก คือคำตอบที่ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนจากการรับมือแบบ “ตามเหตุการณ์” ไปสู่การป้องกันเชิงรุก โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามตลอดเวลา บริการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall และ endpoint protection, การอัปเดตแพตช์อย่างสม่ำเสมอ, การสำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบ ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ที่สำคัญ Managed IT ยังช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA และ PCI-DSS ได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง ✅ Managed IT Services ช่วยเปลี่ยนการรับมือภัยไซเบอร์จากเชิงรับเป็นเชิงรุก ➡️ มีการเฝ้าระวังและตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ ใช้เครื่องมืออัตโนมัติและ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผิดปกติ ➡️ ลดช่องว่างระหว่างการตรวจพบและการตอบสนอง ✅ ติดตั้งระบบป้องกันหลายชั้น เช่น firewall, IDS, encryption ➡️ ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร ✅ จัดการอัปเดตและแพตช์ระบบอย่างต่อเนื่อง ➡️ ลดช่องโหว่จากซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย ✅ สำรองข้อมูลและวางแผนกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ ➡️ ใช้คลาวด์และระบบอัตโนมัติเพื่อฟื้นตัวเร็ว ✅ ฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ➡️ ลดความเสี่ยงจาก human error เช่น phishing หรือรหัสผ่านอ่อนแอ ✅ ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น GDPR, HIPAA ➡️ มีการตรวจสอบและจัดทำเอกสารตามข้อกำหนด ✅ ลด downtime และเพิ่มความต่อเนื่องทางธุรกิจ ➡️ มีแผนสำรองและระบบเฝ้าระวังที่ตอบสนองเร็ว ‼️ องค์กรที่ไม่มีการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ ช่องโหว่จากซอฟต์แวร์เก่าเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ ‼️ หากไม่มีแผนกู้คืนระบบ อาจสูญเสียข้อมูลสำคัญเมื่อเกิดภัยพิบัติ ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและความต่อเนื่องทางธุรกิจ ‼️ พนักงานที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอาจเป็นช่องทางให้ภัยไซเบอร์เข้าถึงระบบ ⛔ เช่น คลิกลิงก์หลอกลวงหรือใช้รหัสผ่านซ้ำ ‼️ การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยข้อมูลอาจนำไปสู่ค่าปรับมหาศาล ⛔ และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร https://securityonline.info/how-managed-it-services-strengthen-cybersecurity/
    SECURITYONLINE.INFO
    How Managed IT Services Strengthen Cybersecurity?
    In today’s digital age, businesses depend heavily on technology to operate efficiently, but that reliance also introduces new
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบ 131 Chrome Extensions ใช้ WhatsApp Web ส่งสแปม — เบื้องหลังคือเครือข่ายรีเซลเลอร์ในบราซิล” — เมื่อการตลาดอัตโนมัติกลายเป็นช่องทางสแปม และ Chrome Web Store ถูกใช้เป็นเครื่องมือ

    รายงานจาก Socket เผยการดำเนินการสแปมขนาดใหญ่ที่ใช้ Chrome Extensions เป็นเครื่องมือ โดยพบว่า 131 ส่วนขยายบน Chrome Web Store ถูกออกแบบมาเพื่อฝัง JavaScript เข้าไปใน WhatsApp Web เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติแบบละเมิดนโยบาย

    แม้จะไม่ใช่มัลแวร์แบบคลาสสิก แต่ Socket ระบุว่า “เป็นสแปมแวร์ที่มีความเสี่ยงสูง” เพราะสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับของ WhatsApp ได้ และมีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย

    ที่น่าตกใจคือ ส่วนขยายทั้งหมดนี้มีโค้ดและโครงสร้างเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อ โลโก้ และหน้าเว็บ — สะท้อนว่าเป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน โดยมีผู้พัฒนาเพียง 2 รายที่ควบคุมทั้งหมด ได้แก่ suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br

    แบรนด์หลักที่ใช้คือ “WL Extensão” ซึ่งปรากฏใน 83 จาก 131 รายการ ส่วนที่เหลือใช้ชื่ออื่น เช่น YouSeller, Botflow, Organize-C และ performancemais

    Socket ระบุว่าโมเดลนี้คล้าย “แฟรนไชส์” โดยบริษัท DBX Tecnologia เปิดให้ธุรกิจขนาดเล็กในบราซิลซื้อสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000 (~$2,180) พร้อมสัญญาว่าจะได้กำไร 30–70% และรายได้ต่อเดือน R$30,000–R$84,000 (~$5,450–$15,270)

    เว็บไซต์เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br ใช้การมีอยู่ใน Chrome Web Store เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” เพื่อขายเครื่องมือให้ธุรกิจ โดยไม่เปิดเผยว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ DBX

    Socket เตือนว่าเครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp อย่างชัดเจน เพราะส่งข้อความโดยไม่มีการ opt-in จากผู้รับ และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    พบ 131 Chrome Extensions ที่ฝังโค้ดสแปมใน WhatsApp Web
    ใช้ JavaScript เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติ

    มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย
    Socket ยืนยันจาก telemetry และจำนวนดาวน์โหลด

    ส่วนขยายทั้งหมดมีโค้ดเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อและโลโก้
    เป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน

    ผู้พัฒนาเพียง 2 รายควบคุมทั้งหมด
    suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br

    DBX Tecnologia เปิดขายสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000
    พร้อมสัญญารายได้สูงถึง R$84,000 ต่อเดือน

    เว็บไซต์ขายเครื่องมือใช้ Chrome Web Store เป็นหลักฐานความปลอดภัย
    เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br

    เครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp
    เพราะไม่มีการ opt-in และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูล

    ธุรกิจขนาดเล็กอาจถูกหลอกให้ซื้อเครื่องมือที่ละเมิดนโยบาย
    เสี่ยงต่อการถูกแบนจาก WhatsApp และ Chrome

    ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายอาจไม่รู้ว่าข้อมูลถูกส่งออก
    เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว

    การใช้ Chrome Web Store เป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ
    อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปหลงเชื่อว่าเครื่องมือปลอดภัย

    การส่งข้อความโดยไม่มี opt-in อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายในหลายประเทศ
    เช่น GDPR หรือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    https://securityonline.info/131-chrome-extensions-found-abusing-whatsapp-web-for-spam-automation-in-massive-reseller-scheme/
    📣 “พบ 131 Chrome Extensions ใช้ WhatsApp Web ส่งสแปม — เบื้องหลังคือเครือข่ายรีเซลเลอร์ในบราซิล” — เมื่อการตลาดอัตโนมัติกลายเป็นช่องทางสแปม และ Chrome Web Store ถูกใช้เป็นเครื่องมือ รายงานจาก Socket เผยการดำเนินการสแปมขนาดใหญ่ที่ใช้ Chrome Extensions เป็นเครื่องมือ โดยพบว่า 131 ส่วนขยายบน Chrome Web Store ถูกออกแบบมาเพื่อฝัง JavaScript เข้าไปใน WhatsApp Web เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติแบบละเมิดนโยบาย แม้จะไม่ใช่มัลแวร์แบบคลาสสิก แต่ Socket ระบุว่า “เป็นสแปมแวร์ที่มีความเสี่ยงสูง” เพราะสามารถหลบเลี่ยงระบบตรวจจับของ WhatsApp ได้ และมีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย ที่น่าตกใจคือ ส่วนขยายทั้งหมดนี้มีโค้ดและโครงสร้างเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อ โลโก้ และหน้าเว็บ — สะท้อนว่าเป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน โดยมีผู้พัฒนาเพียง 2 รายที่ควบคุมทั้งหมด ได้แก่ suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br แบรนด์หลักที่ใช้คือ “WL Extensão” ซึ่งปรากฏใน 83 จาก 131 รายการ ส่วนที่เหลือใช้ชื่ออื่น เช่น YouSeller, Botflow, Organize-C และ performancemais Socket ระบุว่าโมเดลนี้คล้าย “แฟรนไชส์” โดยบริษัท DBX Tecnologia เปิดให้ธุรกิจขนาดเล็กในบราซิลซื้อสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000 (~$2,180) พร้อมสัญญาว่าจะได้กำไร 30–70% และรายได้ต่อเดือน R$30,000–R$84,000 (~$5,450–$15,270) เว็บไซต์เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br ใช้การมีอยู่ใน Chrome Web Store เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” เพื่อขายเครื่องมือให้ธุรกิจ โดยไม่เปิดเผยว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ DBX Socket เตือนว่าเครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp อย่างชัดเจน เพราะส่งข้อความโดยไม่มีการ opt-in จากผู้รับ และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ✅ พบ 131 Chrome Extensions ที่ฝังโค้ดสแปมใน WhatsApp Web ➡️ ใช้ JavaScript เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติ ✅ มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 20,000 ราย ➡️ Socket ยืนยันจาก telemetry และจำนวนดาวน์โหลด ✅ ส่วนขยายทั้งหมดมีโค้ดเหมือนกัน ต่างกันแค่ชื่อและโลโก้ ➡️ เป็นการรีแบรนด์จากเครื่องมือเดียวกัน ✅ ผู้พัฒนาเพียง 2 รายควบคุมทั้งหมด ➡️ suporte@grupoopt.com.br และ kaio.feitosa@grupoopt.com.br ✅ DBX Tecnologia เปิดขายสิทธิ์รีแบรนด์ในราคา R$12,000 ➡️ พร้อมสัญญารายได้สูงถึง R$84,000 ต่อเดือน ✅ เว็บไซต์ขายเครื่องมือใช้ Chrome Web Store เป็นหลักฐานความปลอดภัย ➡️ เช่น zapvende.com และ lobovendedor.com.br ✅ เครื่องมือเหล่านี้ละเมิดนโยบายของ Chrome และ WhatsApp ➡️ เพราะไม่มีการ opt-in และไม่เปิดเผยการส่งข้อมูล ‼️ ธุรกิจขนาดเล็กอาจถูกหลอกให้ซื้อเครื่องมือที่ละเมิดนโยบาย ⛔ เสี่ยงต่อการถูกแบนจาก WhatsApp และ Chrome ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายอาจไม่รู้ว่าข้อมูลถูกส่งออก ⛔ เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว ‼️ การใช้ Chrome Web Store เป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปหลงเชื่อว่าเครื่องมือปลอดภัย ‼️ การส่งข้อความโดยไม่มี opt-in อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายในหลายประเทศ ⛔ เช่น GDPR หรือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล https://securityonline.info/131-chrome-extensions-found-abusing-whatsapp-web-for-spam-automation-in-massive-reseller-scheme/
    SECURITYONLINE.INFO
    131 Chrome Extensions Found Abusing WhatsApp Web for Spam Automation in Massive Reseller Scheme
    A spamware network of 131 cloned Chrome extensions (YouSeller, Botflow) is abusing WhatsApp Web for automated messaging. The DBX Tecnologia reseller scheme affects 20K+ users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Paxos พิมพ์เหรียญ Stablecoin เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ” — มากกว่าสองเท่าของ GDP โลก!

    ในเหตุการณ์ที่ทำให้วงการคริปโตต้องตะลึง Paxos ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ PYUSD ให้กับ PayPal ได้พิมพ์เหรียญ stablecoin จำนวน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของ GDP โลกที่ประมาณ 125 ล้านล้านดอลลาร์

    เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. ตามเวลาสหรัฐฯ โดย Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอนภายในระบบ แม้จะรีบแก้ไขโดยการ “burn” เหรียญที่พิมพ์เกินไปภายใน 20 นาที แต่ก็สร้างความกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบ

    PYUSD เป็น stablecoin ที่อ้างว่า “ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาล และสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด” แต่จำนวนที่พิมพ์เกินไปนั้นไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้เลย

    แม้ Paxos จะยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัยและเงินของลูกค้าปลอดภัย แต่การสื่อสารของบริษัทกลับดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของระบบ stablecoin ที่ควรจะ “มั่นคง” ตามชื่อ

    ข้อมูลในข่าว
    Paxos พิมพ์เหรียญ PYUSD เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ
    เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. EST
    Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอน
    เหรียญถูก “burn” ภายใน 20 นาทีหลังพบข้อผิดพลาด
    PYUSD อ้างว่าได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากและพันธบัตร
    จำนวนที่พิมพ์เกินไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้
    Paxos ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย
    เงินของลูกค้าปลอดภัยตามคำแถลงของบริษัท
    การสื่อสารของ Paxos ดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก
    เหตุการณ์สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและความมั่นคงของระบบ stablecoin

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/paypal-crypto-partner-accidentally-mints-stablecoins-worth-double-the-worlds-total-gdp-paxos-undersells-usd300-trillion-incident-as-an-internal-technical-error
    💥 “Paxos พิมพ์เหรียญ Stablecoin เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ” — มากกว่าสองเท่าของ GDP โลก! ในเหตุการณ์ที่ทำให้วงการคริปโตต้องตะลึง Paxos ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ PYUSD ให้กับ PayPal ได้พิมพ์เหรียญ stablecoin จำนวน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของ GDP โลกที่ประมาณ 125 ล้านล้านดอลลาร์ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. ตามเวลาสหรัฐฯ โดย Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอนภายในระบบ แม้จะรีบแก้ไขโดยการ “burn” เหรียญที่พิมพ์เกินไปภายใน 20 นาที แต่ก็สร้างความกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบ PYUSD เป็น stablecoin ที่อ้างว่า “ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาล และสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด” แต่จำนวนที่พิมพ์เกินไปนั้นไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้เลย แม้ Paxos จะยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัยและเงินของลูกค้าปลอดภัย แต่การสื่อสารของบริษัทกลับดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของระบบ stablecoin ที่ควรจะ “มั่นคง” ตามชื่อ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Paxos พิมพ์เหรียญ PYUSD เกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์โดยไม่ตั้งใจ ➡️ เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 15:12 น. EST ➡️ Paxos ระบุว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางเทคนิคภายใน” ระหว่างการโอน ➡️ เหรียญถูก “burn” ภายใน 20 นาทีหลังพบข้อผิดพลาด ➡️ PYUSD อ้างว่าได้รับการสนับสนุนเต็มที่ด้วยเงินฝากและพันธบัตร ➡️ จำนวนที่พิมพ์เกินไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจริงได้ ➡️ Paxos ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย ➡️ เงินของลูกค้าปลอดภัยตามคำแถลงของบริษัท ➡️ การสื่อสารของ Paxos ดูเบาและไม่ให้รายละเอียดมากนัก ➡️ เหตุการณ์สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและความมั่นคงของระบบ stablecoin https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/paypal-crypto-partner-accidentally-mints-stablecoins-worth-double-the-worlds-total-gdp-paxos-undersells-usd300-trillion-incident-as-an-internal-technical-error
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล

    ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว
    https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด

    หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

    ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989 แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Data Exchange Platform Services Market Size, Industry Share
    Data Exchange Platform Services Market size is expected to reach USD 51.69 billion by 2034, growing at a CAGR of 17.91% during the forecast period 2025-2034.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน)

    บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust

    ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง

    จุดอ่อนของ CIA Triad
    โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล
    ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI
    ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว”

    ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว
    Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience”
    Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
    การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์

    โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model
    Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience
    Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance
    Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้
    โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์

    ประโยชน์ของ 3C Model
    ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR
    ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน
    เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad
    ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้
    เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน
    อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง
    การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม

    https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    🧠 “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน” ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน) บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง ✅ จุดอ่อนของ CIA Triad ➡️ โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล ➡️ ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI ➡️ ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว” ✅ ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว ➡️ Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience” ➡️ Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ➡️ การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ ✅ โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model ➡️ Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience ➡️ Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance ➡️ Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ➡️ โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์ ✅ ประโยชน์ของ 3C Model ➡️ ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR ➡️ ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน ➡️ เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad ⛔ ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน ⛔ อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง ⛔ การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CIA triad is dead — stop using a Cold War relic to fight 21st century threats
    CISOs stuck on CIA must accept reality: The world has shifted, and our cybersecurity models must shift, too. We need a model that is layered, contextual, and built for survival.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • “คลิป Airsoft บน YouTube อาจละเมิดสิทธิ — เมื่อความสนุกกลายเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายในยุคดิจิทัล”

    ในช่วงกันยายน 2025 มีการถกเถียงกันในวงการ Airsoft และผู้สร้างคอนเทนต์ YouTube ในสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ “สิทธิความเป็นส่วนตัว” ของผู้ที่ปรากฏในวิดีโอโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเฉพาะในคลิปที่ถ่ายกิจกรรม Airsoft ซึ่งมักเกิดในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนามแข่งขันหรือพื้นที่ฝึกซ้อม

    แม้กิจกรรม Airsoft จะถูกกฎหมายในสหราชอาณาจักรภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธจำลอง แต่การเผยแพร่ภาพบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้ โดยเฉพาะหากบุคคลนั้นสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจน เช่น ใบหน้า หมายเลขทะเบียนรถ หรือเสียงพูด

    YouTube ได้ปรับนโยบายใหม่ให้ผู้ที่ถูกถ่ายโดยไม่ได้รับความยินยอมสามารถยื่นคำร้องขอให้ลบวิดีโอผ่านระบบ Privacy Complaint ได้ โดยพิจารณาจากความชัดเจนในการระบุตัวตน, ความอ่อนไหวของเนื้อหา, และความจำเป็นในการเผยแพร่เพื่อสาธารณะ

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายดิจิทัลว่า ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือใช้วิธีเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องหรือถูกลบวิดีโอโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    คลิป Airsoft ที่เผยแพร่บน YouTube อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว หากถ่ายบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม
    YouTube เปิดระบบ Privacy Complaint ให้ผู้เสียหายร้องขอลบวิดีโอ
    การพิจารณาขึ้นอยู่กับการระบุตัวตนได้ชัดเจน และความอ่อนไหวของเนื้อหา
    กิจกรรม Airsoft ถูกกฎหมายใน UK ภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายอาวุธจำลอง
    ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่
    การถ่ายในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนาม Airsoft ยังต้องระวังเรื่องสิทธิส่วนบุคคล
    หากไม่สามารถตกลงกับผู้ถูกถ่ายได้ YouTube อาจลบวิดีโอตามคำร้องโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภายใต้กฎหมาย UK GDPR การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมถือว่าผิดกฎหมาย
    การถ่ายวิดีโอในที่สาธารณะไม่ผิดกฎหมาย แต่การเผยแพร่ที่ทำให้บุคคลเสียหายอาจเข้าข่ายละเมิด
    การใช้ AI สร้างภาพหรือเสียงของบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เข้าข่ายละเมิดสิทธิ
    YouTube พิจารณาความจำเป็นในการเผยแพร่ เช่น ความสนใจสาธารณะหรือเนื้อหาข่าว
    ผู้สร้างคอนเทนต์สามารถใช้เครื่องมือเบลอภาพและเสียงใน YouTube Studio เพื่อป้องกันปัญหา

    https://neilzone.co.uk/2025/09/what-if-i-dont-want-videos-of-my-hobby-time-available-to-the-entire-world/
    🎥 “คลิป Airsoft บน YouTube อาจละเมิดสิทธิ — เมื่อความสนุกกลายเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายในยุคดิจิทัล” ในช่วงกันยายน 2025 มีการถกเถียงกันในวงการ Airsoft และผู้สร้างคอนเทนต์ YouTube ในสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ “สิทธิความเป็นส่วนตัว” ของผู้ที่ปรากฏในวิดีโอโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเฉพาะในคลิปที่ถ่ายกิจกรรม Airsoft ซึ่งมักเกิดในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนามแข่งขันหรือพื้นที่ฝึกซ้อม แม้กิจกรรม Airsoft จะถูกกฎหมายในสหราชอาณาจักรภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธจำลอง แต่การเผยแพร่ภาพบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้ โดยเฉพาะหากบุคคลนั้นสามารถระบุตัวตนได้ชัดเจน เช่น ใบหน้า หมายเลขทะเบียนรถ หรือเสียงพูด YouTube ได้ปรับนโยบายใหม่ให้ผู้ที่ถูกถ่ายโดยไม่ได้รับความยินยอมสามารถยื่นคำร้องขอให้ลบวิดีโอผ่านระบบ Privacy Complaint ได้ โดยพิจารณาจากความชัดเจนในการระบุตัวตน, ความอ่อนไหวของเนื้อหา, และความจำเป็นในการเผยแพร่เพื่อสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายดิจิทัลว่า ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือใช้วิธีเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องหรือถูกลบวิดีโอโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ คลิป Airsoft ที่เผยแพร่บน YouTube อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว หากถ่ายบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม ➡️ YouTube เปิดระบบ Privacy Complaint ให้ผู้เสียหายร้องขอลบวิดีโอ ➡️ การพิจารณาขึ้นอยู่กับการระบุตัวตนได้ชัดเจน และความอ่อนไหวของเนื้อหา ➡️ กิจกรรม Airsoft ถูกกฎหมายใน UK ภายใต้ข้อกำหนดของ UKARA และกฎหมายอาวุธจำลอง ➡️ ผู้สร้างคอนเทนต์ควรขออนุญาตล่วงหน้า หรือเบลอใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวก่อนเผยแพร่ ➡️ การถ่ายในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น สนาม Airsoft ยังต้องระวังเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ➡️ หากไม่สามารถตกลงกับผู้ถูกถ่ายได้ YouTube อาจลบวิดีโอตามคำร้องโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภายใต้กฎหมาย UK GDPR การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมถือว่าผิดกฎหมาย ➡️ การถ่ายวิดีโอในที่สาธารณะไม่ผิดกฎหมาย แต่การเผยแพร่ที่ทำให้บุคคลเสียหายอาจเข้าข่ายละเมิด ➡️ การใช้ AI สร้างภาพหรือเสียงของบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เข้าข่ายละเมิดสิทธิ ➡️ YouTube พิจารณาความจำเป็นในการเผยแพร่ เช่น ความสนใจสาธารณะหรือเนื้อหาข่าว ➡️ ผู้สร้างคอนเทนต์สามารถใช้เครื่องมือเบลอภาพและเสียงใน YouTube Studio เพื่อป้องกันปัญหา https://neilzone.co.uk/2025/09/what-if-i-dont-want-videos-of-my-hobby-time-available-to-the-entire-world/
    NEILZONE.CO.UK
    What if I don't want videos of my hobby time available to the entire world?
    I am very much enjoying my newly-resurrected hobby of Airsoft.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Claude Opus 4.1 แซงหน้า GPT-5, Gemini และ Grok ในงานจริง — แม้เป็นงานวิจัยของ OpenAI เอง!”

    ในโลกที่ AI แข่งกันด้วยตัวเลข benchmark และการสาธิตที่ดูดีบนเวที OpenAI ได้เปิดตัวระบบประเมินใหม่ชื่อว่า “GDPval” เพื่อวัดความสามารถของ AI ในงานจริงที่มนุษย์ทำในชีวิตประจำวัน เช่น การตอบอีเมลลูกค้าที่ไม่พอใจ, การจัดตารางงานอีเวนต์ หรือการตรวจสอบใบสั่งซื้อที่มีราคาผิด

    ผลลัพธ์กลับพลิกความคาดหมาย — Claude Opus 4.1 จาก Anthropic กลายเป็นโมเดลที่ทำงานได้ดีที่สุดในงานจริง โดยมีอัตราชนะ (win rate) สูงถึง 47.6% เทียบกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ขณะที่ GPT-5 ของ OpenAI ตามมาเป็นอันดับสองที่ 38.8% และ Gemini 2.5 Pro กับ Grok 4 อยู่ในระดับกลาง ส่วน GPT-4o กลับรั้งท้ายที่ 12.4%

    Claude ทำคะแนนสูงสุดใน 8 จาก 9 อุตสาหกรรมที่ทดสอบ เช่น ภาครัฐ, สาธารณสุข และบริการสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลนี้มีความสามารถในการเข้าใจบริบทและตอบสนองอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ที่ซับซ้อน

    OpenAI ยอมรับผลการทดสอบนี้อย่างเปิดเผย โดยระบุว่า “การสื่อสารความก้าวหน้าของ AI อย่างโปร่งใสคือภารกิจของเรา” และหวังว่า GDPval จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการวัดความสามารถของ AI ในโลกจริง ไม่ใช่แค่ในห้องแล็บ

    การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่า 70% ของผู้ใช้ ChatGPT ใช้ AI ที่บ้านมากกว่าที่ทำงาน ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้ใช้ และทำให้ OpenAI ต้องปรับโฟกัสใหม่จากการเน้นเครื่องมือสำหรับงาน ไปสู่การใช้งานในชีวิตประจำวัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI เปิดตัวระบบประเมินใหม่ชื่อ GDPval เพื่อวัดความสามารถ AI ในงานจริง
    Claude Opus 4.1 ได้คะแนนสูงสุดในงานจริง โดยมี win rate 47.6%
    GPT-5 ได้อันดับสองที่ 38.8%, GPT-4o ได้ต่ำสุดที่ 12.4%
    Claude ทำคะแนนสูงสุดใน 8 จาก 9 อุตสาหกรรม เช่น รัฐบาลและสาธารณสุข
    ตัวอย่างงานที่ใช้ทดสอบ ได้แก่ การตอบอีเมลลูกค้า, จัดตารางงาน, ตรวจสอบใบสั่งซื้อ
    OpenAI ยอมรับผลการทดสอบอย่างโปร่งใส และหวังให้ GDPval เป็นมาตรฐานใหม่
    การศึกษานี้ร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์จาก Harvard และทีมวิจัยเศรษฐกิจของ OpenAI
    70% ของผู้ใช้ ChatGPT ใช้งานที่บ้านมากกว่าที่ทำงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Opus 4.1 มี cutoff ความรู้ล่าสุดถึงกรกฎาคม 2025 ซึ่งใหม่กว่าคู่แข่งหลายราย
    GPT-5 มี context window สูงถึง 400,000 tokens แต่ยังแพ้ Claude ในงานจริง
    Gemini 2.5 Pro มี context window ใหญ่ที่สุดถึง 1 ล้าน tokens เหมาะกับงานเอกสารยาว
    Grok 4 มีความสามารถด้านการเขียนโค้ดและข้อมูลเรียลไทม์ แต่ยังไม่โดดเด่นในงานทั่วไป
    Claude ใช้แนวคิด Constitutional AI ที่เน้นความปลอดภัยและการตอบสนองอย่างมีเหตุผล

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/claude-just-beat-gpt-5-gemini-and-grok-in-real-world-job-tasks-according-to-openais-own-study
    🏆 “Claude Opus 4.1 แซงหน้า GPT-5, Gemini และ Grok ในงานจริง — แม้เป็นงานวิจัยของ OpenAI เอง!” ในโลกที่ AI แข่งกันด้วยตัวเลข benchmark และการสาธิตที่ดูดีบนเวที OpenAI ได้เปิดตัวระบบประเมินใหม่ชื่อว่า “GDPval” เพื่อวัดความสามารถของ AI ในงานจริงที่มนุษย์ทำในชีวิตประจำวัน เช่น การตอบอีเมลลูกค้าที่ไม่พอใจ, การจัดตารางงานอีเวนต์ หรือการตรวจสอบใบสั่งซื้อที่มีราคาผิด ผลลัพธ์กลับพลิกความคาดหมาย — Claude Opus 4.1 จาก Anthropic กลายเป็นโมเดลที่ทำงานได้ดีที่สุดในงานจริง โดยมีอัตราชนะ (win rate) สูงถึง 47.6% เทียบกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ขณะที่ GPT-5 ของ OpenAI ตามมาเป็นอันดับสองที่ 38.8% และ Gemini 2.5 Pro กับ Grok 4 อยู่ในระดับกลาง ส่วน GPT-4o กลับรั้งท้ายที่ 12.4% Claude ทำคะแนนสูงสุดใน 8 จาก 9 อุตสาหกรรมที่ทดสอบ เช่น ภาครัฐ, สาธารณสุข และบริการสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลนี้มีความสามารถในการเข้าใจบริบทและตอบสนองอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ที่ซับซ้อน OpenAI ยอมรับผลการทดสอบนี้อย่างเปิดเผย โดยระบุว่า “การสื่อสารความก้าวหน้าของ AI อย่างโปร่งใสคือภารกิจของเรา” และหวังว่า GDPval จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการวัดความสามารถของ AI ในโลกจริง ไม่ใช่แค่ในห้องแล็บ การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่า 70% ของผู้ใช้ ChatGPT ใช้ AI ที่บ้านมากกว่าที่ทำงาน ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้ใช้ และทำให้ OpenAI ต้องปรับโฟกัสใหม่จากการเน้นเครื่องมือสำหรับงาน ไปสู่การใช้งานในชีวิตประจำวัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI เปิดตัวระบบประเมินใหม่ชื่อ GDPval เพื่อวัดความสามารถ AI ในงานจริง ➡️ Claude Opus 4.1 ได้คะแนนสูงสุดในงานจริง โดยมี win rate 47.6% ➡️ GPT-5 ได้อันดับสองที่ 38.8%, GPT-4o ได้ต่ำสุดที่ 12.4% ➡️ Claude ทำคะแนนสูงสุดใน 8 จาก 9 อุตสาหกรรม เช่น รัฐบาลและสาธารณสุข ➡️ ตัวอย่างงานที่ใช้ทดสอบ ได้แก่ การตอบอีเมลลูกค้า, จัดตารางงาน, ตรวจสอบใบสั่งซื้อ ➡️ OpenAI ยอมรับผลการทดสอบอย่างโปร่งใส และหวังให้ GDPval เป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ การศึกษานี้ร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์จาก Harvard และทีมวิจัยเศรษฐกิจของ OpenAI ➡️ 70% ของผู้ใช้ ChatGPT ใช้งานที่บ้านมากกว่าที่ทำงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Opus 4.1 มี cutoff ความรู้ล่าสุดถึงกรกฎาคม 2025 ซึ่งใหม่กว่าคู่แข่งหลายราย ➡️ GPT-5 มี context window สูงถึง 400,000 tokens แต่ยังแพ้ Claude ในงานจริง ➡️ Gemini 2.5 Pro มี context window ใหญ่ที่สุดถึง 1 ล้าน tokens เหมาะกับงานเอกสารยาว ➡️ Grok 4 มีความสามารถด้านการเขียนโค้ดและข้อมูลเรียลไทม์ แต่ยังไม่โดดเด่นในงานทั่วไป ➡️ Claude ใช้แนวคิด Constitutional AI ที่เน้นความปลอดภัยและการตอบสนองอย่างมีเหตุผล https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/claude-just-beat-gpt-5-gemini-and-grok-in-real-world-job-tasks-according-to-openais-own-study
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แว่นอัจฉริยะจาก Meta: เทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นภัยเงียบในที่ทำงาน”

    เมื่อ Mark Zuckerberg เปิดตัวแว่น Ray-Ban Display รุ่นใหม่จาก Meta โลกเทคโนโลยีต่างจับตามองว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้อาจเป็น “Next Big Thing” ที่มาแทนสมาร์ตโฟน ด้วยดีไซน์ที่ดูเหมือนแว่นธรรมดา แต่แฝงด้วยกล้อง ไมโครโฟน ลำโพง จอแสดงผลขนาดจิ๋ว และระบบ AI ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายของ Meta โดยตรง

    แต่ในขณะที่ผู้ใช้ทั่วไปตื่นเต้นกับความสามารถของแว่นที่สามารถสรุปข้อมูลจากเอกสาร หรือแปลภาษาบนป้ายได้ทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยและกฎหมายกลับเตือนว่า แว่นอัจฉริยะเหล่านี้อาจกลายเป็น “ช่องโหว่ความปลอดภัย” ที่ร้ายแรงในองค์กร หากไม่มีนโยบายควบคุมการใช้งานอย่างชัดเจน

    Louis Rosenberg นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เตือนว่า แว่นอัจฉริยะอาจทำให้พนักงานนำผู้ช่วย AI เข้ามาในห้องประชุมโดยไม่รู้ตัว และอาจบันทึกข้อมูลลับของบริษัท หรือแม้แต่ภาพ เสียง และวิดีโอของเพื่อนร่วมงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ

    ยิ่งไปกว่านั้น หากบริษัทกำลังเตรียม IPO หรือมีสัญญากับรัฐบาล การรั่วไหลของข้อมูลจากแว่นอัจฉริยะอาจสร้างความเสียหายมหาศาล โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เหล่านี้เริ่มแพร่หลาย และพนักงานเริ่ม “ชิน” กับการใช้งานโดยไม่ระวัง

    Meta ระบุว่าแว่นจะมีไฟแสดงสถานะเมื่อมีการบันทึกภาพหรือเสียง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไฟเล็ก ๆ นี้อาจไม่เพียงพอในการแจ้งเตือนผู้ที่อยู่รอบข้าง และไม่มีอะไรหยุดยั้งพนักงานที่ไม่หวังดีจากการใช้แว่นเพื่อจุดประสงค์ที่ผิดกฎหมาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เปิดตัวแว่น Ray-Ban Display ที่มีระบบ AI ในตัว
    แว่นมีฟีเจอร์กล้อง ไมโครโฟน ลำโพง และจอแสดงผลขนาดเล็ก
    สามารถใช้ AI เพื่อสรุปข้อมูลจากเอกสารหรือแปลภาษาบนป้ายได้ทันที
    Louis Rosenberg เตือนว่าแว่นอาจนำผู้ช่วย AI เข้ามาในห้องประชุมโดยไม่รู้ตัว
    แว่นสามารถบันทึกภาพ เสียง และวิดีโอของผู้คนโดยรอบ
    หากไม่มีนโยบายควบคุม อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลลับในองค์กร
    Meta ระบุว่าแว่นมีไฟแสดงสถานะเมื่อมีการบันทึก แต่ขนาดเล็กและอาจไม่สังเกตเห็น
    อุปกรณ์นี้วางจำหน่ายในราคา US$800 และคาดว่าจะได้รับความนิยมในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ
    บริษัทอื่นอย่าง Google และ Apple ก็กำลังพัฒนาแว่นอัจฉริยะเช่นกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่สามารถเชื่อมต่อกับ AI เพื่อช่วยในการทำงานแบบเรียลไทม์
    เทคโนโลยี wearable AI กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์พกพา
    หลายประเทศมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด เช่น GDPR ในยุโรป
    การบันทึกภาพหรือเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    การใช้แว่นในพื้นที่ทำงานอาจต้องมีการปรับปรุงนโยบาย HR และ IT

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/27/metas-new-smart-glasses-could-expose-your-company-to-legal-and-compliance-risks
    🕶️ “แว่นอัจฉริยะจาก Meta: เทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นภัยเงียบในที่ทำงาน” เมื่อ Mark Zuckerberg เปิดตัวแว่น Ray-Ban Display รุ่นใหม่จาก Meta โลกเทคโนโลยีต่างจับตามองว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้อาจเป็น “Next Big Thing” ที่มาแทนสมาร์ตโฟน ด้วยดีไซน์ที่ดูเหมือนแว่นธรรมดา แต่แฝงด้วยกล้อง ไมโครโฟน ลำโพง จอแสดงผลขนาดจิ๋ว และระบบ AI ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายของ Meta โดยตรง แต่ในขณะที่ผู้ใช้ทั่วไปตื่นเต้นกับความสามารถของแว่นที่สามารถสรุปข้อมูลจากเอกสาร หรือแปลภาษาบนป้ายได้ทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยและกฎหมายกลับเตือนว่า แว่นอัจฉริยะเหล่านี้อาจกลายเป็น “ช่องโหว่ความปลอดภัย” ที่ร้ายแรงในองค์กร หากไม่มีนโยบายควบคุมการใช้งานอย่างชัดเจน Louis Rosenberg นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เตือนว่า แว่นอัจฉริยะอาจทำให้พนักงานนำผู้ช่วย AI เข้ามาในห้องประชุมโดยไม่รู้ตัว และอาจบันทึกข้อมูลลับของบริษัท หรือแม้แต่ภาพ เสียง และวิดีโอของเพื่อนร่วมงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวในหลายประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น หากบริษัทกำลังเตรียม IPO หรือมีสัญญากับรัฐบาล การรั่วไหลของข้อมูลจากแว่นอัจฉริยะอาจสร้างความเสียหายมหาศาล โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์เหล่านี้เริ่มแพร่หลาย และพนักงานเริ่ม “ชิน” กับการใช้งานโดยไม่ระวัง Meta ระบุว่าแว่นจะมีไฟแสดงสถานะเมื่อมีการบันทึกภาพหรือเสียง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไฟเล็ก ๆ นี้อาจไม่เพียงพอในการแจ้งเตือนผู้ที่อยู่รอบข้าง และไม่มีอะไรหยุดยั้งพนักงานที่ไม่หวังดีจากการใช้แว่นเพื่อจุดประสงค์ที่ผิดกฎหมาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เปิดตัวแว่น Ray-Ban Display ที่มีระบบ AI ในตัว ➡️ แว่นมีฟีเจอร์กล้อง ไมโครโฟน ลำโพง และจอแสดงผลขนาดเล็ก ➡️ สามารถใช้ AI เพื่อสรุปข้อมูลจากเอกสารหรือแปลภาษาบนป้ายได้ทันที ➡️ Louis Rosenberg เตือนว่าแว่นอาจนำผู้ช่วย AI เข้ามาในห้องประชุมโดยไม่รู้ตัว ➡️ แว่นสามารถบันทึกภาพ เสียง และวิดีโอของผู้คนโดยรอบ ➡️ หากไม่มีนโยบายควบคุม อาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลลับในองค์กร ➡️ Meta ระบุว่าแว่นมีไฟแสดงสถานะเมื่อมีการบันทึก แต่ขนาดเล็กและอาจไม่สังเกตเห็น ➡️ อุปกรณ์นี้วางจำหน่ายในราคา US$800 และคาดว่าจะได้รับความนิยมในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ➡️ บริษัทอื่นอย่าง Google และ Apple ก็กำลังพัฒนาแว่นอัจฉริยะเช่นกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่สามารถเชื่อมต่อกับ AI เพื่อช่วยในการทำงานแบบเรียลไทม์ ➡️ เทคโนโลยี wearable AI กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์พกพา ➡️ หลายประเทศมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด เช่น GDPR ในยุโรป ➡️ การบันทึกภาพหรือเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ➡️ การใช้แว่นในพื้นที่ทำงานอาจต้องมีการปรับปรุงนโยบาย HR และ IT https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/27/metas-new-smart-glasses-could-expose-your-company-to-legal-and-compliance-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta’s new smart glasses could expose your company to legal and compliance risks
    Using AI-connected cameras on your face could transform many jobs, but they'll see and remember everything the wearer does at work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Perplexity เปิดตัว Email Assistant — ผู้ช่วย AI สำหรับกล่องจดหมาย แต่ค่าบริการแรงถึง $200 ต่อเดือน”

    Perplexity บริษัทด้าน AI ที่กำลังมาแรง ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ “Email Assistant” ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถจัดการกล่องจดหมายของคุณได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสรุปอีเมล, เขียนตอบกลับในสไตล์ของคุณ, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน หรือแม้แต่จัดหมวดหมู่อีเมลด้วย smart labels — ทั้งหมดนี้ทำงานได้ทั้งใน Gmail และ Outlook2

    ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะจะเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกระดับสูงสุด “Perplexity Max” ซึ่งมีค่าบริการถึง $200 ต่อเดือน โดยรวมฟีเจอร์ Email Assistant เข้าไปในแพ็กเกจที่มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลขั้นสูง, Labs ไม่จำกัด และฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร

    ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Email Assistant ได้ง่าย ๆ เพียงส่งอีเมลไปที่ assistant@perplexity.com หรือ CC เข้าไปในเธรดที่ต้องการให้ช่วยจัดการ ระบบจะรู้ทันทีว่าเป็นคุณ และเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบปฏิทิน, เสนอเวลานัดหมาย, ส่งคำเชิญประชุม หรือสรุปเนื้อหาอีเมลให้เข้าใจง่าย

    แม้ราคาจะสูง แต่ Perplexity เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง โดยระบบรองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสแบบ enterprise-grade และยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Perplexity เปิดตัว Email Assistant สำหรับ Gmail และ Outlook
    ฟีเจอร์รวมถึงการเขียนตอบอีเมล, สรุปเนื้อหา, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน
    ใช้งานผ่านการส่งอีเมลหรือ CC ไปที่ assistant@perplexity.com
    รองรับ smart labels เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลแบบอัตโนมัติ
    ใช้ได้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Perplexity Max ที่มีค่าบริการ $200/เดือน
    รองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสระดับองค์กร
    ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity Max ยังรวมฟีเจอร์ Comet browser และ Labs ไม่จำกัด
    Google Gemini และ Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์คล้ายกันใน Gmail และ Outlook
    ตลาด productivity software มีมูลค่ากว่า $50 พันล้าน และกำลังแข่งขันสูง
    AI agent แบบนี้สามารถลดเวลาทำงานของผู้ช่วยและฝ่ายบุคคลได้หลายชั่วโมงต่อวัน
    การจัดการอีเมลอัตโนมัติเป็นเทรนด์ใหม่ในองค์กรยุค AI

    https://www.techradar.com/pro/perplexity-launches-an-ai-assistant-for-your-inbox-but-you-wont-believe-how-much-it-costs
    📨 “Perplexity เปิดตัว Email Assistant — ผู้ช่วย AI สำหรับกล่องจดหมาย แต่ค่าบริการแรงถึง $200 ต่อเดือน” Perplexity บริษัทด้าน AI ที่กำลังมาแรง ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ “Email Assistant” ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถจัดการกล่องจดหมายของคุณได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสรุปอีเมล, เขียนตอบกลับในสไตล์ของคุณ, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน หรือแม้แต่จัดหมวดหมู่อีเมลด้วย smart labels — ทั้งหมดนี้ทำงานได้ทั้งใน Gmail และ Outlook2 ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะจะเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกระดับสูงสุด “Perplexity Max” ซึ่งมีค่าบริการถึง $200 ต่อเดือน โดยรวมฟีเจอร์ Email Assistant เข้าไปในแพ็กเกจที่มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลขั้นสูง, Labs ไม่จำกัด และฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Email Assistant ได้ง่าย ๆ เพียงส่งอีเมลไปที่ assistant@perplexity.com หรือ CC เข้าไปในเธรดที่ต้องการให้ช่วยจัดการ ระบบจะรู้ทันทีว่าเป็นคุณ และเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบปฏิทิน, เสนอเวลานัดหมาย, ส่งคำเชิญประชุม หรือสรุปเนื้อหาอีเมลให้เข้าใจง่าย แม้ราคาจะสูง แต่ Perplexity เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง โดยระบบรองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสแบบ enterprise-grade และยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Perplexity เปิดตัว Email Assistant สำหรับ Gmail และ Outlook ➡️ ฟีเจอร์รวมถึงการเขียนตอบอีเมล, สรุปเนื้อหา, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน ➡️ ใช้งานผ่านการส่งอีเมลหรือ CC ไปที่ assistant@perplexity.com ➡️ รองรับ smart labels เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลแบบอัตโนมัติ ➡️ ใช้ได้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Perplexity Max ที่มีค่าบริการ $200/เดือน ➡️ รองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสระดับองค์กร ➡️ ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity Max ยังรวมฟีเจอร์ Comet browser และ Labs ไม่จำกัด ➡️ Google Gemini และ Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์คล้ายกันใน Gmail และ Outlook ➡️ ตลาด productivity software มีมูลค่ากว่า $50 พันล้าน และกำลังแข่งขันสูง ➡️ AI agent แบบนี้สามารถลดเวลาทำงานของผู้ช่วยและฝ่ายบุคคลได้หลายชั่วโมงต่อวัน ➡️ การจัดการอีเมลอัตโนมัติเป็นเทรนด์ใหม่ในองค์กรยุค AI https://www.techradar.com/pro/perplexity-launches-an-ai-assistant-for-your-inbox-but-you-wont-believe-how-much-it-costs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เอกสารดิจิทัลไม่ใช่แค่ไฟล์ — เมื่อการแก้ไขอย่างปลอดภัยกลายเป็นเกราะป้องกันธุรกิจยุคใหม่”

    ในยุคที่ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสัญญา บันทึกทางการแพทย์ หรือแผนการเงิน การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย (Secure Document Editing) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นความรับผิดชอบระดับองค์กรที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง

    บทความจาก HackRead ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้บริหารคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ในเวิร์กช็อปว่า เอกสารนโยบายภายในองค์กรถูกดักฟังระหว่างการแก้ไข ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลและเกิดความเสียหายถาวร เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแก้ไขเอกสารที่มีการเข้ารหัสและระบบควบคุมสิทธิ์อย่างรัดกุม

    ภัยคุกคามไม่ได้มาจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการสิทธิ์ภายในที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านอีเมลหรือคลาวด์โดยไม่มีการควบคุม ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผลตรวจสุขภาพหรือข้อมูลลูกค้า ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์

    การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนจึงเป็นหัวใจของการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลพุ่งสูงถึง 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 และกฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA, GDPR, SOX ต่างกำหนดให้การเข้ารหัสไม่ใช่แค่ “แนะนำ” แต่เป็น “ข้อบังคับ”

    นอกจากเรื่องกฎหมาย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบแก้ไขเอกสารแบบเข้ารหัสและมีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและแนะนำบริการต่อ

    สุดท้าย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยควรถูกฝังอยู่ใน workflow ขององค์กร ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม โดยควรมีระบบเซ็นชื่อดิจิทัล การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท และการเก็บเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ลดระดับความปลอดภัย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    เอกสารดิจิทัล เช่น สัญญาและข้อมูลสุขภาพ ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด
    การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยต้องมีการเข้ารหัสและควบคุมสิทธิ์
    ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023
    กฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA และ GDPR กำหนดให้การเข้ารหัสเป็นข้อบังคับ

    แนวทางการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย
    ใช้ระบบที่รองรับการเซ็นชื่อดิจิทัลและการควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท
    มีระบบติดตามเวอร์ชันและประวัติการแก้ไข (audit trail)
    ควรฝังระบบความปลอดภัยไว้ใน workflow ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม
    การใช้ระบบที่ใช้งานง่ายช่วยลดการหลีกเลี่ยงจากผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มาตรฐานการเข้ารหัสที่แนะนำในปี 2025 ได้แก่ AES-256 และ RSA-4096
    การเข้ารหัสแบบ zero-knowledge ช่วยป้องกันแม้แต่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
    การปฏิบัติตาม GDPR ต้องแจ้งเหตุรั่วไหลภายใน 72 ชั่วโมง และมีสิทธิ์ลบข้อมูลตามคำขอผู้ใช้
    การไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้ทั่วโลก

    https://hackread.com/why-secure-document-editing-important-than-ever/
    📄 “เอกสารดิจิทัลไม่ใช่แค่ไฟล์ — เมื่อการแก้ไขอย่างปลอดภัยกลายเป็นเกราะป้องกันธุรกิจยุคใหม่” ในยุคที่ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นสัญญา บันทึกทางการแพทย์ หรือแผนการเงิน การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย (Secure Document Editing) จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นความรับผิดชอบระดับองค์กรที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง บทความจาก HackRead ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้บริหารคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ในเวิร์กช็อปว่า เอกสารนโยบายภายในองค์กรถูกดักฟังระหว่างการแก้ไข ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลและเกิดความเสียหายถาวร เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องมือแก้ไขเอกสารที่มีการเข้ารหัสและระบบควบคุมสิทธิ์อย่างรัดกุม ภัยคุกคามไม่ได้มาจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการจัดการสิทธิ์ภายในที่ไม่เหมาะสม เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านอีเมลหรือคลาวด์โดยไม่มีการควบคุม ทำให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ผลตรวจสุขภาพหรือข้อมูลลูกค้า ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนจึงเป็นหัวใจของการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลพุ่งสูงถึง 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 และกฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA, GDPR, SOX ต่างกำหนดให้การเข้ารหัสไม่ใช่แค่ “แนะนำ” แต่เป็น “ข้อบังคับ” นอกจากเรื่องกฎหมาย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบแก้ไขเอกสารแบบเข้ารหัสและมีระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและแนะนำบริการต่อ สุดท้าย การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยควรถูกฝังอยู่ใน workflow ขององค์กร ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม โดยควรมีระบบเซ็นชื่อดิจิทัล การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท และการเก็บเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ลดระดับความปลอดภัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ เอกสารดิจิทัล เช่น สัญญาและข้อมูลสุขภาพ ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด ➡️ การแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัยต้องมีการเข้ารหัสและควบคุมสิทธิ์ ➡️ ค่าเสียหายจากการรั่วไหลข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ล้านดอลลาร์ต่อกรณีในปี 2023 ➡️ กฎหมายใหม่ในปี 2025 เช่น HIPAA และ GDPR กำหนดให้การเข้ารหัสเป็นข้อบังคับ ✅ แนวทางการแก้ไขเอกสารอย่างปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบที่รองรับการเซ็นชื่อดิจิทัลและการควบคุมสิทธิ์ตามบทบาท ➡️ มีระบบติดตามเวอร์ชันและประวัติการแก้ไข (audit trail) ➡️ ควรฝังระบบความปลอดภัยไว้ใน workflow ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือเสริม ➡️ การใช้ระบบที่ใช้งานง่ายช่วยลดการหลีกเลี่ยงจากผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มาตรฐานการเข้ารหัสที่แนะนำในปี 2025 ได้แก่ AES-256 และ RSA-4096 ➡️ การเข้ารหัสแบบ zero-knowledge ช่วยป้องกันแม้แต่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ➡️ การปฏิบัติตาม GDPR ต้องแจ้งเหตุรั่วไหลภายใน 72 ชั่วโมง และมีสิทธิ์ลบข้อมูลตามคำขอผู้ใช้ ➡️ การไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของรายได้ทั่วโลก https://hackread.com/why-secure-document-editing-important-than-ever/
    HACKREAD.COM
    Why Secure Document Editing is More Important than Ever
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก AirPods Pro 3 ถึง GDPR: เมื่อฟีเจอร์แปลภาษาถูกกฎหมายยุโรปขวางไว้ก่อนเปิดใช้งาน

    Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Translation” สำหรับ AirPods Pro 3 และรุ่นเก่าบางรุ่น เช่น AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี Active Noise Cancellation โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบข้ามภาษาได้ทันทีผ่านหูฟัง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแปลเอง

    เมื่อผู้ใช้พูดผ่าน AirPods ระบบจะประมวลผลเสียงและแสดงคำแปลแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ iPhone หรือส่งเสียงแปลกลับผ่านหูฟังอีกข้าง หากทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ฟีเจอร์จะทำงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมลดเสียงรบกวนจากคู่สนทนาเพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเสียงแปลได้ชัดเจน

    แต่สิ่งที่ทำให้ชุมชนผู้ใช้ในยุโรปต้องสะดุดคือ Apple ประกาศว่า Live Translation จะ “ไม่สามารถใช้งานได้” หากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU จริง ๆ โดยไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ

    นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหลักมาจากกฎหมายของ EU เช่น GDPR และ AI Act ที่กำหนดให้บริการแปลภาษาต้องมีการจัดการข้อมูลเสียง, ความยินยอม, การไหลของข้อมูล และสิทธิของผู้ใช้อย่างเข้มงวด ซึ่ง Apple อาจยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดการทำงานของระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์นี้

    นอกจากนี้ Apple ยังเคยถูกปรับจาก EU หลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจเลือก “บล็อกฟีเจอร์ไว้ก่อน” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกปรับซ้ำ

    ฟีเจอร์ Live Translation บน AirPods
    รองรับ AirPods Pro 3, AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี ANC
    แปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านเสียงและข้อความบน iPhone
    ใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ

    เงื่อนไขการใช้งาน
    ต้องใช้ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence และ iOS 26 ขึ้นไป
    ต้องอัปเดต firmware ของ AirPods ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    รองรับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล), และสเปน
    จะเพิ่มภาษาอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนในภายหลัง

    ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ใน EU
    ฟีเจอร์จะถูกบล็อกหากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU
    Apple ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นผลจากกฎหมาย GDPR และ AI Act
    ยังไม่มีกำหนดว่าจะปลดล็อกฟีเจอร์เมื่อใด

    https://www.macrumors.com/2025/09/11/airpods-live-translation-eu-restricted/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AirPods Pro 3 ถึง GDPR: เมื่อฟีเจอร์แปลภาษาถูกกฎหมายยุโรปขวางไว้ก่อนเปิดใช้งาน Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Translation” สำหรับ AirPods Pro 3 และรุ่นเก่าบางรุ่น เช่น AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี Active Noise Cancellation โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนาแบบข้ามภาษาได้ทันทีผ่านหูฟัง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแปลเอง เมื่อผู้ใช้พูดผ่าน AirPods ระบบจะประมวลผลเสียงและแสดงคำแปลแบบเรียลไทม์บนหน้าจอ iPhone หรือส่งเสียงแปลกลับผ่านหูฟังอีกข้าง หากทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ฟีเจอร์จะทำงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมลดเสียงรบกวนจากคู่สนทนาเพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเสียงแปลได้ชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้ชุมชนผู้ใช้ในยุโรปต้องสะดุดคือ Apple ประกาศว่า Live Translation จะ “ไม่สามารถใช้งานได้” หากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU จริง ๆ โดยไม่มีการให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ นักวิเคราะห์คาดว่าเหตุผลหลักมาจากกฎหมายของ EU เช่น GDPR และ AI Act ที่กำหนดให้บริการแปลภาษาต้องมีการจัดการข้อมูลเสียง, ความยินยอม, การไหลของข้อมูล และสิทธิของผู้ใช้อย่างเข้มงวด ซึ่ง Apple อาจยังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดการทำงานของระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์นี้ นอกจากนี้ Apple ยังเคยถูกปรับจาก EU หลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจเลือก “บล็อกฟีเจอร์ไว้ก่อน” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกปรับซ้ำ ✅ ฟีเจอร์ Live Translation บน AirPods ➡️ รองรับ AirPods Pro 3, AirPods Pro 2 และ AirPods 4 ที่มี ANC ➡️ แปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านเสียงและข้อความบน iPhone ➡️ ใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อทั้งสองฝ่ายใช้ AirPods ที่รองรับ ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ ต้องใช้ iPhone ที่รองรับ Apple Intelligence และ iOS 26 ขึ้นไป ➡️ ต้องอัปเดต firmware ของ AirPods ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ รองรับภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล), และสเปน ➡️ จะเพิ่มภาษาอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีนในภายหลัง ✅ ข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ใน EU ➡️ ฟีเจอร์จะถูกบล็อกหากผู้ใช้มีบัญชี Apple ที่ตั้งภูมิภาคเป็น EU และอยู่ใน EU ➡️ Apple ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นผลจากกฎหมาย GDPR และ AI Act ➡️ ยังไม่มีกำหนดว่าจะปลดล็อกฟีเจอร์เมื่อใด https://www.macrumors.com/2025/09/11/airpods-live-translation-eu-restricted/
    WWW.MACRUMORS.COM
    AirPods Live Translation Blocked for EU Users With EU Apple Accounts
    Apple's new Live Translation feature for AirPods will be off-limits to millions of European users when it arrives next week, with strict EU...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม GDPโต แต่พ่อค้าแม่ค้ายังบ่นอุบ ?
    ทำไม GDPโต แต่พ่อค้าแม่ค้ายังบ่นอุบ ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล

    TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว

    แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน

    TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล

    ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป

    การเติบโตของ TikTok ในยุโรป
    มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ
    เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
    คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด

    สถานะของ TikTok ทั่วโลก
    มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
    เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง
    ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B

    ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล
    ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน
    หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน
    มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน

    การตอบสนองของ TikTok
    ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน
    ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023
    กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 175 ล้านสู่ 200 ล้าน: เมื่อ TikTok กลายเป็นสื่อหลักของยุโรป แต่ต้องแลกด้วยค่าปรับมหาศาล TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่พัฒนาโดย ByteDance จากจีน ประกาศว่ามีผู้ใช้งานประจำในยุโรปมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนแล้วในเดือนกันยายน 2025 เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดยครอบคลุมผู้ใช้ใน 32 ประเทศทั่วทวีป—เท่ากับประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด การเติบโตนี้สะท้อนถึงความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้ TikTok เป็นช่องทางหลักในการรับข่าวสาร ความบันเทิง และการแสดงออกส่วนตัว ขณะเดียวกัน TikTok ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือนแล้ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่ TikTok ถูกปรับเป็นเงิน 530 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยเฉพาะการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เยาวชน และการเข้าถึงข้อมูลจากพนักงานในจีน TikTok ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลตามมาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเปิดการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในจีน ซึ่งอาจขัดต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและอธิปไตยข้อมูล ในขณะเดียวกัน ByteDance กำลังเตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน ซึ่งจะประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่กว่า 330 พันล้านดอลลาร์—สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของแพลตฟอร์ม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ✅ การเติบโตของ TikTok ในยุโรป ➡️ มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 200 ล้านคนต่อเดือนใน 32 ประเทศ ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 175 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ➡️ คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของประชากรยุโรปทั้งหมด ✅ สถานะของ TikTok ทั่วโลก ➡️ มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ➡️ เป็นแพลตฟอร์มหลักของวัยรุ่นในการรับข่าวสารและความบันเทิง ➡️ ByteDance เตรียมเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มูลค่าบริษัทกว่า $330B ✅ ปัญหาด้านข้อมูลและการกำกับดูแล ➡️ ถูกปรับ 530 ล้านยูโรจากการละเมิด GDPR โดยเฉพาะข้อมูลเยาวชน ➡️ หน่วยงาน EU กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลโดยพนักงานในจีน ➡️ มีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์จีน ✅ การตอบสนองของ TikTok ➡️ ยืนยันว่าใช้มาตรฐาน EU และไม่เคยส่งข้อมูลให้รัฐบาลจีน ➡️ ใช้สัญญาแบบ EU-standard clauses และระบบความปลอดภัยที่ปรับปรุงในปี 2023 ➡️ กำลังอุทธรณ์คำตัดสินและเตือนว่าอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อบริษัทระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/05/tiktok-users-top-200-million-in-europe-firm-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    TikTok users top 200 million in Europe, firm says
    LONDON (Reuters) -TikTok has more than 200 million monthly users in Europe, or roughly one in three citizens on the continent, the short video app platform said on Friday, the latest sign of its rapid growth among teenagers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร

    จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย

    รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP

    แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง

    Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้

    สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์
    69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี
    การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง
    การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว
    ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web
    ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร
    โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP
    บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข
    CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา

    แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร
    CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO
    เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ
    CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน

    ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที
    การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง
    อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016

    https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้ ✅ สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์ ➡️ 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี ➡️ การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง ➡️ การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย ✅ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว ➡️ ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web ➡️ ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร ➡️ โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP ➡️ บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข ➡️ CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา ✅ แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร ➡️ CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO ➡️ เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ ➡️ CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน ✅ ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที ➡️ การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง ➡️ อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016 https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Pressure on CISOs to stay silent about security incidents growing
    A recent survey found that 69% of CISOs have been told to keep quiet about breaches by their employers, up from 42% just two years ago.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่เงียบใน Copilot – เมื่อ AI ละเลยความปลอดภัยโดยไม่มีใครรู้

    ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 Zack Korman นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากบริษัท Pistachio พบช่องโหว่ใน Microsoft 365 Copilot ที่น่าตกใจ: เขาสามารถขอให้ Copilot สรุปเนื้อหาไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับไปยังไฟล์นั้น และผลคือ...ไม่มีการบันทึกใน audit log เลย

    นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่ใช้ Copilot เพื่อเข้าถึงไฟล์ สามารถทำได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบตรวจสอบขององค์กร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น HIPAA หรือ GDPR

    แม้ว่า Microsoft จะได้รับรายงานและแก้ไขช่องโหว่นี้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 แต่พวกเขากลับไม่แจ้งลูกค้า ไม่ออก CVE และไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยอ้างว่าเป็นช่องโหว่ระดับ “สำคัญ” ไม่ใช่ “วิกฤต” และการแก้ไขถูกส่งอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องแจ้ง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ และอาจมีองค์กรจำนวนมากที่มี audit log ไม่สมบูรณ์ โดยไม่รู้ตัวเลย

    ข้อมูลในข่าว
    พบช่องโหว่ใน M365 Copilot ที่ทำให้เข้าถึงไฟล์โดยไม่บันทึกใน audit log
    ช่องโหว่เกิดจากการสั่งให้ Copilot สรุปไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับ
    ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจจากผู้ใช้ทั่วไป
    Zack Korman รายงานช่องโหว่ผ่าน MSRC ของ Microsoft
    Microsoft แก้ไขช่องโหว่ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025
    ช่องโหว่ถูกจัดระดับ “Important” ไม่ใช่ “Critical”
    Microsoft ไม่ออก CVE และไม่แจ้งลูกค้า
    ช่องโหว่นี้กระทบต่อองค์กรที่ต้องใช้ audit log เพื่อความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่นี้เคยถูกพบโดย Michael Bargury จาก Zenity ตั้งแต่ปี 2024
    ช่องโหว่ถูกนำเสนอในงาน Black Hat โดยใช้เทคนิค jailbreak ด้วย caret (^)
    Microsoft มีนโยบายใหม่ที่ไม่ออก CVE หากไม่ต้องอัปเดตด้วยตนเอง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเรียกร้องให้รัฐบาลกดดันให้ cloud providers เปิดเผยช่องโหว่ทั้งหมด
    ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ในการฟ้องร้องหรือสอบสวนทางกฎหมาย หาก audit log ไม่สมบูรณ์

    https://pistachioapp.com/blog/copilot-broke-your-audit-log
    📖 ช่องโหว่เงียบใน Copilot – เมื่อ AI ละเลยความปลอดภัยโดยไม่มีใครรู้ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 Zack Korman นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากบริษัท Pistachio พบช่องโหว่ใน Microsoft 365 Copilot ที่น่าตกใจ: เขาสามารถขอให้ Copilot สรุปเนื้อหาไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับไปยังไฟล์นั้น และผลคือ...ไม่มีการบันทึกใน audit log เลย นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่ใช้ Copilot เพื่อเข้าถึงไฟล์ สามารถทำได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบตรวจสอบขององค์กร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น HIPAA หรือ GDPR แม้ว่า Microsoft จะได้รับรายงานและแก้ไขช่องโหว่นี้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 แต่พวกเขากลับไม่แจ้งลูกค้า ไม่ออก CVE และไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยอ้างว่าเป็นช่องโหว่ระดับ “สำคัญ” ไม่ใช่ “วิกฤต” และการแก้ไขถูกส่งอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องแจ้ง สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ และอาจมีองค์กรจำนวนมากที่มี audit log ไม่สมบูรณ์ โดยไม่รู้ตัวเลย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ พบช่องโหว่ใน M365 Copilot ที่ทำให้เข้าถึงไฟล์โดยไม่บันทึกใน audit log ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการสั่งให้ Copilot สรุปไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับ ➡️ ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจจากผู้ใช้ทั่วไป ➡️ Zack Korman รายงานช่องโหว่ผ่าน MSRC ของ Microsoft ➡️ Microsoft แก้ไขช่องโหว่ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 ➡️ ช่องโหว่ถูกจัดระดับ “Important” ไม่ใช่ “Critical” ➡️ Microsoft ไม่ออก CVE และไม่แจ้งลูกค้า ➡️ ช่องโหว่นี้กระทบต่อองค์กรที่ต้องใช้ audit log เพื่อความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่นี้เคยถูกพบโดย Michael Bargury จาก Zenity ตั้งแต่ปี 2024 ➡️ ช่องโหว่ถูกนำเสนอในงาน Black Hat โดยใช้เทคนิค jailbreak ด้วย caret (^) ➡️ Microsoft มีนโยบายใหม่ที่ไม่ออก CVE หากไม่ต้องอัปเดตด้วยตนเอง ➡️ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเรียกร้องให้รัฐบาลกดดันให้ cloud providers เปิดเผยช่องโหว่ทั้งหมด ➡️ ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ในการฟ้องร้องหรือสอบสวนทางกฎหมาย หาก audit log ไม่สมบูรณ์ https://pistachioapp.com/blog/copilot-broke-your-audit-log
    PISTACHIOAPP.COM
    Copilot Broke Your Audit Log, but Microsoft Won’t Tell You
    Copilot Broke Your Audit Log, but Microsoft Won’t Tell You
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • GDPไทยไตรมาส 2/68 โต 2.8 % รวมครึ่งปีแรกโต 3.0% สภาพัฒน์ เพิ่มเป้าGDPทั้งปี 68 จาก 1.3-2.3 เป็น 1.8-2.3% ผลจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี หลังไทยได้อัตราภาษีสหรัฐ ใกล้เคียงอาเซียน จับตาปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง จากความผันผวนของการค้าโลก ,ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และข้อจำกัดจากปัจจัยภายใน!
    GDPไทยไตรมาส 2/68 โต 2.8 % รวมครึ่งปีแรกโต 3.0% สภาพัฒน์ เพิ่มเป้าGDPทั้งปี 68 จาก 1.3-2.3 เป็น 1.8-2.3% ผลจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี หลังไทยได้อัตราภาษีสหรัฐ ใกล้เคียงอาเซียน จับตาปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง จากความผันผวนของการค้าโลก ,ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และข้อจำกัดจากปัจจัยภายใน!
    Haha
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • AI ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป: เทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างโลก

    ลองนึกภาพว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่เครื่องจักรจะเข้าใจภาษาเรา เขียนโปรแกรม หรือหาข้อผิดพลาดในโค้ดที่มนุษย์มองข้าม ยังเป็นเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่วันนี้ AI ทำสิ่งเหล่านั้นได้จริง แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ

    ผู้เขียนชี้ว่า แม้ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ยังประเมินผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในแง่การมองข้ามความก้าวหน้า หรือคาดหวังเกินจริง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ AI กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอาจไม่หยุดอยู่แค่ “เครื่องมือช่วยงาน” แต่กลายเป็น “ผู้เล่นหลัก” ที่เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจทั้งหมด

    ตลาดหุ้นยังคงขึ้นอย่างไม่สนใจความไม่แน่นอนของ AI หรือสงครามในโลก แต่ผู้เขียนเตือนว่า หาก AI สามารถแทนที่แรงงานจำนวนมากได้จริง ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันอาจไม่สามารถรับมือได้ และอาจต้องเปลี่ยนไปสู่ระบบใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

    ข้อมูลจาก MIT Sloan เสริมว่า แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ในระยะ 10 ปีข้างหน้า อาจมีผลต่อ GDP เพียง 1–2% เท่านั้น เพราะมีเพียง 5% ของงานทั้งหมดที่สามารถใช้ AI ได้อย่างคุ้มค่า

    IMF ก็เตือนว่า AI จะกระทบต่อ 40% ของงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากขึ้น หากไม่มีนโยบายรองรับที่ดี

    ความก้าวหน้าของ AI
    AI สามารถเข้าใจภาษา เขียนโปรแกรม และหาข้อผิดพลาดในโค้ด
    ความสามารถเหล่านี้เคยเป็นเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์
    การพัฒนาเกิดขึ้นแม้ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินผิด

    ความไม่แน่นอนของอนาคต AI
    ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า AI จะไปถึงไหน
    หาก AI ไม่หยุดพัฒนา อาจกลายเป็นผู้เล่นหลักในระบบเศรษฐกิจ
    การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เหมือนการปฏิวัติเทคโนโลยีที่ผ่านมา

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
    ตลาดหุ้นยังคงขึ้น แม้มีความไม่แน่นอน
    หาก AI แทนแรงงานจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจอาจต้องเปลี่ยน
    บริษัทอาจไม่จ้างบริการภายนอก หาก AI ภายในทำงานได้เอง

    ข้อมูลเสริมจาก MIT Sloan
    AI อาจเพิ่ม GDP เพียง 1–2% ใน 10 ปีข้างหน้า
    มีเพียง 5% ของงานที่สามารถใช้ AI ได้อย่างคุ้มค่า
    ผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมอาจต่ำกว่าที่คาด

    ข้อมูลเสริมจาก IMF
    AI กระทบต่อ 40% ของงานทั่วโลก
    ประเทศพัฒนาแล้วมีความเสี่ยงสูงกว่า
    อาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การพัฒนา AI อาจทำให้แรงงานจำนวนมากตกงาน
    ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันอาจไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
    หากไม่มีนโยบายรองรับ อาจเกิดความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง
    ตลาดหุ้นอาจไม่สะท้อนความจริงของเศรษฐกิจในระยะยาว
    การพึ่งพา AI จากบริษัทใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง อาจสร้างความเสี่ยงต่ออำนาจรวมศูนย์

    https://www.antirez.com/news/155
    🧠 AI ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป: เทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างโลก ลองนึกภาพว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่เครื่องจักรจะเข้าใจภาษาเรา เขียนโปรแกรม หรือหาข้อผิดพลาดในโค้ดที่มนุษย์มองข้าม ยังเป็นเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่วันนี้ AI ทำสิ่งเหล่านั้นได้จริง แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ ผู้เขียนชี้ว่า แม้ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ยังประเมินผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในแง่การมองข้ามความก้าวหน้า หรือคาดหวังเกินจริง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ AI กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอาจไม่หยุดอยู่แค่ “เครื่องมือช่วยงาน” แต่กลายเป็น “ผู้เล่นหลัก” ที่เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ตลาดหุ้นยังคงขึ้นอย่างไม่สนใจความไม่แน่นอนของ AI หรือสงครามในโลก แต่ผู้เขียนเตือนว่า หาก AI สามารถแทนที่แรงงานจำนวนมากได้จริง ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันอาจไม่สามารถรับมือได้ และอาจต้องเปลี่ยนไปสู่ระบบใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ข้อมูลจาก MIT Sloan เสริมว่า แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ในระยะ 10 ปีข้างหน้า อาจมีผลต่อ GDP เพียง 1–2% เท่านั้น เพราะมีเพียง 5% ของงานทั้งหมดที่สามารถใช้ AI ได้อย่างคุ้มค่า IMF ก็เตือนว่า AI จะกระทบต่อ 40% ของงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากขึ้น หากไม่มีนโยบายรองรับที่ดี ✅ ความก้าวหน้าของ AI ➡️ AI สามารถเข้าใจภาษา เขียนโปรแกรม และหาข้อผิดพลาดในโค้ด ➡️ ความสามารถเหล่านี้เคยเป็นเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์ ➡️ การพัฒนาเกิดขึ้นแม้ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินผิด ✅ ความไม่แน่นอนของอนาคต AI ➡️ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า AI จะไปถึงไหน ➡️ หาก AI ไม่หยุดพัฒนา อาจกลายเป็นผู้เล่นหลักในระบบเศรษฐกิจ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เหมือนการปฏิวัติเทคโนโลยีที่ผ่านมา ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ➡️ ตลาดหุ้นยังคงขึ้น แม้มีความไม่แน่นอน ➡️ หาก AI แทนแรงงานจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจอาจต้องเปลี่ยน ➡️ บริษัทอาจไม่จ้างบริการภายนอก หาก AI ภายในทำงานได้เอง ✅ ข้อมูลเสริมจาก MIT Sloan ➡️ AI อาจเพิ่ม GDP เพียง 1–2% ใน 10 ปีข้างหน้า ➡️ มีเพียง 5% ของงานที่สามารถใช้ AI ได้อย่างคุ้มค่า ➡️ ผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมอาจต่ำกว่าที่คาด ✅ ข้อมูลเสริมจาก IMF ➡️ AI กระทบต่อ 40% ของงานทั่วโลก ➡️ ประเทศพัฒนาแล้วมีความเสี่ยงสูงกว่า ➡️ อาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การพัฒนา AI อาจทำให้แรงงานจำนวนมากตกงาน ⛔ ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันอาจไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ⛔ หากไม่มีนโยบายรองรับ อาจเกิดความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง ⛔ ตลาดหุ้นอาจไม่สะท้อนความจริงของเศรษฐกิจในระยะยาว ⛔ การพึ่งพา AI จากบริษัทใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง อาจสร้างความเสี่ยงต่ออำนาจรวมศูนย์ https://www.antirez.com/news/155
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ทุ่มงบ $100 พันล้านในศูนย์ข้อมูล: มากกว่าจีดีพีของประเทศทั้งประเทศ

    ลองจินตนาการว่า Amazon ไม่ใช่แค่ร้านค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการคลาวด์ แต่กลายเป็น “ประเทศแห่งศูนย์ข้อมูล” ที่มีงบลงทุนสูงกว่าจีดีพีของประเทศอย่างลักเซมเบิร์ก ลิทัวเนีย หรือแม้แต่คอสตาริกา

    ข้อมูลล่าสุดจาก Omdia ระบุว่า Amazon Web Services (AWS) ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอย่าง Google ($82B), Microsoft ($75B) และ Meta ($69B) อย่างชัดเจน และคาดว่าภายในปี 2025 การลงทุนทั่วโลกในศูนย์ข้อมูลจะพุ่งถึง $657 พันล้าน—เกือบสองเท่าจากปี 2023

    AWS ยังครองส่วนแบ่งตลาดคลาวด์โลกถึง 32% ในไตรมาสแรกของปี 2025 มากกว่ารวมกันของ Microsoft (23%) และ Google (12%) โดยมีการเร่งขยายบริการ AI เช่น Bedrock ที่รองรับโมเดลใหม่อย่าง Claude 3.7 และ Llama 4 พร้อมเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลีด้วยงบ $4 พันล้าน และลงทุนอีก $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล

    แม้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีคำเตือนจากนักวิเคราะห์ว่า การลงทุนมหาศาลนี้อาจไม่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น และอาจกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ หากการใช้งาน AI ไม่เติบโตตามที่คาดไว้

    การลงทุนของ Amazon ในศูนย์ข้อมูล
    AWS ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน
    มากกว่าจีดีพีของประเทศอย่างคอสตาริกา ลักเซมเบิร์ก และลิทัวเนีย
    คู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ Meta ลงทุนน้อยกว่าชัดเจน
    คาดว่าการลงทุนทั่วโลกในปี 2025 จะพุ่งถึง $657 พันล้าน

    ส่วนแบ่งตลาดและการเติบโตของ AWS
    AWS ครองตลาดคลาวด์โลก 32% ใน Q1 2025
    รายได้ AWS โต 17.5% จากปีก่อน รวม $30.9 พันล้าน
    ขยายบริการ Bedrock รองรับ Claude 3.7 และ Llama 4
    ลงทุน $4 พันล้านเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลี
    ลงทุนเพิ่ม $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายรัฐบาล

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม AI
    การลงทุนในศูนย์ข้อมูลมีผลต่อจีดีพีมากกว่าการบริโภคของประชาชน
    ความต้องการ compute สำหรับ AI ยังสูงกว่าซัพพลาย
    การพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น GPT-5 ทำให้ต้องใช้พลังงานและพื้นที่มากขึ้น
    ผู้ให้บริการต้องลงทุนในระบบพลังงานและการระบายความร้อนใหม่

    นักวิเคราะห์บางรายกังวลว่า AI ยังไม่ให้ผลตอบแทนที่ชัดเจนในระยะสั้น
    Meta ระบุว่าระบบแนะนำแบบดั้งเดิมยังทำเงินมากกว่า generative AI
    การลงทุนมหาศาลอาจกลายเป็นภาระหาก AI ไม่เติบโตตามที่คาด
    ความหนาแน่นของ compute ใน data hall สูงขึ้น อาจกระทบระบบพลังงาน
    ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ เช่น microgrid-as-a-service เพื่อรองรับการใช้พลังงาน

    https://www.techradar.com/pro/amazons-data-center-spend-tops-usd100bn-more-than-the-gdp-of-most-countries
    🏗️ Amazon ทุ่มงบ $100 พันล้านในศูนย์ข้อมูล: มากกว่าจีดีพีของประเทศทั้งประเทศ ลองจินตนาการว่า Amazon ไม่ใช่แค่ร้านค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการคลาวด์ แต่กลายเป็น “ประเทศแห่งศูนย์ข้อมูล” ที่มีงบลงทุนสูงกว่าจีดีพีของประเทศอย่างลักเซมเบิร์ก ลิทัวเนีย หรือแม้แต่คอสตาริกา ข้อมูลล่าสุดจาก Omdia ระบุว่า Amazon Web Services (AWS) ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอย่าง Google ($82B), Microsoft ($75B) และ Meta ($69B) อย่างชัดเจน และคาดว่าภายในปี 2025 การลงทุนทั่วโลกในศูนย์ข้อมูลจะพุ่งถึง $657 พันล้าน—เกือบสองเท่าจากปี 2023 AWS ยังครองส่วนแบ่งตลาดคลาวด์โลกถึง 32% ในไตรมาสแรกของปี 2025 มากกว่ารวมกันของ Microsoft (23%) และ Google (12%) โดยมีการเร่งขยายบริการ AI เช่น Bedrock ที่รองรับโมเดลใหม่อย่าง Claude 3.7 และ Llama 4 พร้อมเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลีด้วยงบ $4 พันล้าน และลงทุนอีก $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล แม้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีคำเตือนจากนักวิเคราะห์ว่า การลงทุนมหาศาลนี้อาจไม่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น และอาจกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ หากการใช้งาน AI ไม่เติบโตตามที่คาดไว้ ✅ การลงทุนของ Amazon ในศูนย์ข้อมูล ➡️ AWS ใช้งบลงทุนในศูนย์ข้อมูลทะลุ $100 พันล้าน ➡️ มากกว่าจีดีพีของประเทศอย่างคอสตาริกา ลักเซมเบิร์ก และลิทัวเนีย ➡️ คู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ Meta ลงทุนน้อยกว่าชัดเจน ➡️ คาดว่าการลงทุนทั่วโลกในปี 2025 จะพุ่งถึง $657 พันล้าน ✅ ส่วนแบ่งตลาดและการเติบโตของ AWS ➡️ AWS ครองตลาดคลาวด์โลก 32% ใน Q1 2025 ➡️ รายได้ AWS โต 17.5% จากปีก่อน รวม $30.9 พันล้าน ➡️ ขยายบริการ Bedrock รองรับ Claude 3.7 และ Llama 4 ➡️ ลงทุน $4 พันล้านเปิดภูมิภาคคลาวด์ใหม่ในชิลี ➡️ ลงทุนเพิ่ม $30 พันล้านในสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายรัฐบาล ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม AI ➡️ การลงทุนในศูนย์ข้อมูลมีผลต่อจีดีพีมากกว่าการบริโภคของประชาชน ➡️ ความต้องการ compute สำหรับ AI ยังสูงกว่าซัพพลาย ➡️ การพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น GPT-5 ทำให้ต้องใช้พลังงานและพื้นที่มากขึ้น ➡️ ผู้ให้บริการต้องลงทุนในระบบพลังงานและการระบายความร้อนใหม่ ⛔ นักวิเคราะห์บางรายกังวลว่า AI ยังไม่ให้ผลตอบแทนที่ชัดเจนในระยะสั้น ⛔ Meta ระบุว่าระบบแนะนำแบบดั้งเดิมยังทำเงินมากกว่า generative AI ⛔ การลงทุนมหาศาลอาจกลายเป็นภาระหาก AI ไม่เติบโตตามที่คาด ⛔ ความหนาแน่นของ compute ใน data hall สูงขึ้น อาจกระทบระบบพลังงาน ⛔ ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ เช่น microgrid-as-a-service เพื่อรองรับการใช้พลังงาน https://www.techradar.com/pro/amazons-data-center-spend-tops-usd100bn-more-than-the-gdp-of-most-countries
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อเกมแห่งโชคต้องพึ่งพาความปลอดภัยระดับ Zero Trust

    ในยุคที่แม้แต่ลอตเตอรี่แห่งชาติยังต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล LONACI หรือสำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติของโกตดิวัวร์ ได้จับมือกับสองยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์—AccuKnox และ SecuVerse.ai—เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบเกมและข้อมูลผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ

    AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud Native Application Protection Platform) ได้ร่วมกับ SecuVerse.ai จากโมร็อกโก เพื่อส่งมอบโซลูชัน ASPM (Application Security Posture Management) ที่ผสานเทคโนโลยี SAST, DAST และ SCA เข้าด้วยกัน พร้อมระบบ AI ที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบเจาะจงตามบริบทของแต่ละระบบ

    เป้าหมายของ LONACI คือการรวมเครื่องมือที่กระจัดกระจายให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น PCI-DSS, ISO 27001 และ GDPR เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลระยะยาวถึงปี 2030

    CNAPP คือแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันบนคลาวด์
    ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการใช้งานจริง

    Zero Trust คือแนวคิดที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ
    ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบและอนุญาตอย่างเข้มงวด

    AccuKnox เป็นผู้ร่วมพัฒนา KubeArmor ซึ่งมีการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง
    เป็นระบบรักษาความปลอดภัย runtime สำหรับ Kubernetes

    การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยช่วยลดภาระของทีมงาน
    ทำให้สามารถโฟกัสกับภัยคุกคามที่สำคัญได้มากขึ้น

    LONACI จับมือ AccuKnox และ SecuVerse.ai เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบลอตเตอรี่แห่งชาติ
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัล 2025–2030

    โซลูชันที่ใช้คือ ASPM ที่รวม SAST, DAST และ SCA
    ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดทั้งแบบสถิตและแบบไดนามิก

    ใช้ AI เพื่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบอัตโนมัติ
    ลดเวลาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา

    มีระบบ SOAR สำหรับจัดการแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ
    ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยตอบสนองได้เร็วขึ้น

    LONACI ต้องการรวมเครื่องมือหลายตัวให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    เพื่อเพิ่ม ROI และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ

    AccuKnox มีความสามารถในการปกป้องทั้ง public cloud และ private cloud
    รองรับ Kubernetes, AI/LLM, Edge/IoT และ VM แบบดั้งเดิม

    SecuVerse.ai มีเครือข่ายในแอฟริกาเหนือ ตะวันตก และกลาง
    ให้บริการด้าน AppSec, CloudSec, DataSec และโครงสร้างพื้นฐาน

    https://hackread.com/accuknox-partners-with-secuverse-ai-to-deliver-zero-trust-cnapp-security-for-national-gaming-infrastructure/
    🎰🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อเกมแห่งโชคต้องพึ่งพาความปลอดภัยระดับ Zero Trust ในยุคที่แม้แต่ลอตเตอรี่แห่งชาติยังต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล LONACI หรือสำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติของโกตดิวัวร์ ได้จับมือกับสองยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์—AccuKnox และ SecuVerse.ai—เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบเกมและข้อมูลผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud Native Application Protection Platform) ได้ร่วมกับ SecuVerse.ai จากโมร็อกโก เพื่อส่งมอบโซลูชัน ASPM (Application Security Posture Management) ที่ผสานเทคโนโลยี SAST, DAST และ SCA เข้าด้วยกัน พร้อมระบบ AI ที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบเจาะจงตามบริบทของแต่ละระบบ เป้าหมายของ LONACI คือการรวมเครื่องมือที่กระจัดกระจายให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น PCI-DSS, ISO 27001 และ GDPR เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลระยะยาวถึงปี 2030 ✅ CNAPP คือแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการใช้งานจริง ✅ Zero Trust คือแนวคิดที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ ➡️ ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบและอนุญาตอย่างเข้มงวด ✅ AccuKnox เป็นผู้ร่วมพัฒนา KubeArmor ซึ่งมีการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง ➡️ เป็นระบบรักษาความปลอดภัย runtime สำหรับ Kubernetes ✅ การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยช่วยลดภาระของทีมงาน ➡️ ทำให้สามารถโฟกัสกับภัยคุกคามที่สำคัญได้มากขึ้น ✅ LONACI จับมือ AccuKnox และ SecuVerse.ai เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบลอตเตอรี่แห่งชาติ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัล 2025–2030 ✅ โซลูชันที่ใช้คือ ASPM ที่รวม SAST, DAST และ SCA ➡️ ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดทั้งแบบสถิตและแบบไดนามิก ✅ ใช้ AI เพื่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ➡️ ลดเวลาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา ✅ มีระบบ SOAR สำหรับจัดการแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยตอบสนองได้เร็วขึ้น ✅ LONACI ต้องการรวมเครื่องมือหลายตัวให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว ➡️ เพื่อเพิ่ม ROI และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ ✅ AccuKnox มีความสามารถในการปกป้องทั้ง public cloud และ private cloud ➡️ รองรับ Kubernetes, AI/LLM, Edge/IoT และ VM แบบดั้งเดิม ✅ SecuVerse.ai มีเครือข่ายในแอฟริกาเหนือ ตะวันตก และกลาง ➡️ ให้บริการด้าน AppSec, CloudSec, DataSec และโครงสร้างพื้นฐาน https://hackread.com/accuknox-partners-with-secuverse-ai-to-deliver-zero-trust-cnapp-security-for-national-gaming-infrastructure/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เวียดนามแซงไทย”! “ดร.เอ้ สุชัชวีร์” ชี้ข้อมูล “GDP-เงินลงทุน-ทุนมนุษย์” ยืนยัน...จี้ไทยต้องเร่งพัฒนา “การศึกษา” ด่วน!
    https://www.thai-tai.tv/news/20820/
    .
    #เวียดนาม #เศรษฐกิจ #การศึกษา #เอ้สุชัชวีร์ #ประเทศไทย #เอ้สุชัชวีร์ #เวียดนามแซงไทย #เศรษฐกิจ #การศึกษา #ทุนมนุษย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #ไทยไท
    “เวียดนามแซงไทย”! “ดร.เอ้ สุชัชวีร์” ชี้ข้อมูล “GDP-เงินลงทุน-ทุนมนุษย์” ยืนยัน...จี้ไทยต้องเร่งพัฒนา “การศึกษา” ด่วน! https://www.thai-tai.tv/news/20820/ . #เวียดนาม #เศรษฐกิจ #การศึกษา #เอ้สุชัชวีร์ #ประเทศไทย #เอ้สุชัชวีร์ #เวียดนามแซงไทย #เศรษฐกิจ #การศึกษา #ทุนมนุษย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

    กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU

    ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ

    หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น

    สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์

    CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ
    โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ

    องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU
    หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ

    การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล”
    เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล

    https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    🌐🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์ ‼️ CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ‼️ องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU ⛔ หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล” ⛔ เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    “ข้อมูลอยู่ไหน ใครเข้าถึงได้บ้าง” ทำไม US CLOUD Act อาจเป็นแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยไซเบอร์ไทย และเราควรรับมืออย่างไร
    โดย นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล (AFONcyber) อุปนายกสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอเวอเร้นท์ จำกัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย?

    หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง

    แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน

    ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน”

    แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband
    อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน
    Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม

    ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก
    เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia
    ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน

    EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025
    มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย
    ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU
    คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act
    ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ

    เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป
    ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต
    ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย? หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน” แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband ➡️ อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน ➡️ Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม ✅ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก ➡️ เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia ➡️ ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน ✅ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย ➡️ ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU ➡️ คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act ➡️ ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ ✅ เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป ➡️ ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต ➡️ ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Network fee on Big Tech not a viable solution to boost EU digital rollout, EU says
    BRUSSELS (Reuters) -The European Commission does not think that imposing a network fee on Big Tech companies is a viable solution to the debate over who should fund the rollout of 5G and broadband, a spokesman for the EU executive said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts