• เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

    กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU

    ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ

    หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น

    สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์

    CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ
    โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ

    องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU
    หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ

    การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล”
    เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล

    https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    🌐🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์ ‼️ CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ‼️ องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU ⛔ หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล” ⛔ เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    “ข้อมูลอยู่ไหน ใครเข้าถึงได้บ้าง” ทำไม US CLOUD Act อาจเป็นแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยไซเบอร์ไทย และเราควรรับมืออย่างไร
    โดย นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล (AFONcyber) อุปนายกสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอเวอเร้นท์ จำกัด
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย?

    หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง

    แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน

    ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน”

    แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband
    อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน
    Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม

    ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก
    เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia
    ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน

    EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025
    มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย
    ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU
    คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act
    ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ

    เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป
    ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต
    ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย? หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน” แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband ➡️ อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน ➡️ Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม ✅ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก ➡️ เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia ➡️ ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน ✅ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย ➡️ ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU ➡️ คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act ➡️ ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ ✅ เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป ➡️ ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต ➡️ ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Network fee on Big Tech not a viable solution to boost EU digital rollout, EU says
    BRUSSELS (Reuters) -The European Commission does not think that imposing a network fee on Big Tech companies is a viable solution to the debate over who should fund the rollout of 5G and broadband, a spokesman for the EU executive said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Mailchimp โดนเจาะ” กับเบื้องหลังของ Everest ที่ไม่ธรรมดา

    Everest ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้โมเดล “double extortion” คือเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และขโมยข้อมูลไปเผยแพร่เพื่อกดดันให้จ่ายค่าไถ่ ล่าสุดพวกเขาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านรายทั่วโลก

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมีขนาด 767 MB รวมกว่า 943,536 บรรทัด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อมูลจากระบบ CRM หรือการส่งออกจากฐานข้อมูลลูกค้า มากกว่าจะเป็นข้อมูลภายในของ Mailchimp เอง เช่น ชื่อบริษัท, อีเมล, เบอร์โทร, โดเมน, เทคโนโลยีที่ใช้ (Shopify, WordPress, Google Cloud ฯลฯ)

    แม้จะไม่ใช่การเจาะระบบหลัก แต่การโจมตีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แรนซัมแวร์กำลังระบาดหนัก—ในเวลาใกล้กัน INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree และ GLOBAL GROUP อ้างว่าเจาะ Albavisión ได้ 400 GB ส่วน Medusa ก็เรียกค่าไถ่ NASCAR ถึง $4 ล้าน

    Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 943,536 รายการ
    ขนาดไฟล์รวม 767 MB ถูกเผยแพร่บน dark web
    ข้อมูลดูเหมือนมาจากระบบ CRM ไม่ใช่ระบบภายในของ Mailchimp

    ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยข้อมูลธุรกิจ เช่น โดเมน, อีเมล, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้
    มีข้อมูลเกี่ยวกับ GDPR, โซเชียลมีเดีย, และผู้ให้บริการ hosting
    จัดเรียงแบบ spreadsheet แสดงว่าอาจมาจากการส่งออกข้อมูลลูกค้า

    Everest ใช้โมเดล double extortion—เข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูล
    เคยโจมตี Coca-Cola ในเดือนพฤษภาคม 2025 และเผยแพร่ข้อมูลพนักงาน
    ใช้ dark web leak site เป็นเครื่องมือกดดันเหยื่อ

    Mailchimp เป็นบริษัทใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านราย และถูก Intuit ซื้อกิจการในปี 2021
    มีรายได้ปีละ $61 พันล้าน และถือครองตลาดอีเมลถึง 2 ใน 3
    การโจมตีแม้จะเล็ก แต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 มีการโจมตีหลายกรณีที่น่าจับตา
    INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree
    GLOBAL GROUP เจาะ Albavisión ได้ 400 GB
    Medusa เรียกค่าไถ่ NASCAR $4 ล้าน พร้อมขู่เปิดเผยข้อมูล

    https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Mailchimp โดนเจาะ” กับเบื้องหลังของ Everest ที่ไม่ธรรมดา Everest ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้โมเดล “double extortion” คือเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และขโมยข้อมูลไปเผยแพร่เพื่อกดดันให้จ่ายค่าไถ่ ล่าสุดพวกเขาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านรายทั่วโลก ข้อมูลที่ถูกขโมยมีขนาด 767 MB รวมกว่า 943,536 บรรทัด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อมูลจากระบบ CRM หรือการส่งออกจากฐานข้อมูลลูกค้า มากกว่าจะเป็นข้อมูลภายในของ Mailchimp เอง เช่น ชื่อบริษัท, อีเมล, เบอร์โทร, โดเมน, เทคโนโลยีที่ใช้ (Shopify, WordPress, Google Cloud ฯลฯ) แม้จะไม่ใช่การเจาะระบบหลัก แต่การโจมตีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แรนซัมแวร์กำลังระบาดหนัก—ในเวลาใกล้กัน INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree และ GLOBAL GROUP อ้างว่าเจาะ Albavisión ได้ 400 GB ส่วน Medusa ก็เรียกค่าไถ่ NASCAR ถึง $4 ล้าน ✅ Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 943,536 รายการ ➡️ ขนาดไฟล์รวม 767 MB ถูกเผยแพร่บน dark web ➡️ ข้อมูลดูเหมือนมาจากระบบ CRM ไม่ใช่ระบบภายในของ Mailchimp ✅ ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยข้อมูลธุรกิจ เช่น โดเมน, อีเมล, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ มีข้อมูลเกี่ยวกับ GDPR, โซเชียลมีเดีย, และผู้ให้บริการ hosting ➡️ จัดเรียงแบบ spreadsheet แสดงว่าอาจมาจากการส่งออกข้อมูลลูกค้า ✅ Everest ใช้โมเดล double extortion—เข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ เคยโจมตี Coca-Cola ในเดือนพฤษภาคม 2025 และเผยแพร่ข้อมูลพนักงาน ➡️ ใช้ dark web leak site เป็นเครื่องมือกดดันเหยื่อ ✅ Mailchimp เป็นบริษัทใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านราย และถูก Intuit ซื้อกิจการในปี 2021 ➡️ มีรายได้ปีละ $61 พันล้าน และถือครองตลาดอีเมลถึง 2 ใน 3 ➡️ การโจมตีแม้จะเล็ก แต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ✅ ในเดือนกรกฎาคม 2025 มีการโจมตีหลายกรณีที่น่าจับตา ➡️ INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree ➡️ GLOBAL GROUP เจาะ Albavisión ได้ 400 GB ➡️ Medusa เรียกค่าไถ่ NASCAR $4 ล้าน พร้อมขู่เปิดเผยข้อมูล https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims Mailchimp as New Victim in Relatively Small Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • ต่ำศักยภาพ!! เศรษฐกิจไทย : [Biz Talk]

    เศรษฐกิจไทย ในสายตา ธนาคารโลก? ไม่ค่อยดี คาดการณ์ GDP ปี 68 โตแค่ 1.8% และต่ำลงอีก มาอยู่ที่ 1.7% ปี 69 จากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลก ทำให้ภาคการส่งออกอ่อนแอ การบริโภคแผ่ว ภาคท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่หากความเชื่อมั่นด้านการลงทุนปรับตัวดีขึ้น จะดัน GDP ไทยปี 68 โตเพิ่มเป็น 2.2% ซึ่งยังต่ำกว่าศักยภาพที่ควรโต 3-4%
    ต่ำศักยภาพ!! เศรษฐกิจไทย : [Biz Talk] เศรษฐกิจไทย ในสายตา ธนาคารโลก? ไม่ค่อยดี คาดการณ์ GDP ปี 68 โตแค่ 1.8% และต่ำลงอีก มาอยู่ที่ 1.7% ปี 69 จากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลก ทำให้ภาคการส่งออกอ่อนแอ การบริโภคแผ่ว ภาคท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่หากความเชื่อมั่นด้านการลงทุนปรับตัวดีขึ้น จะดัน GDP ไทยปี 68 โตเพิ่มเป็น 2.2% ซึ่งยังต่ำกว่าศักยภาพที่ควรโต 3-4%
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 404 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ

    หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง:
    - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP
    - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\
    - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต
    - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm)

    ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ

    แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party

    XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ
    ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB

    ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\
    เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว

    Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน
    ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์

    บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก
    ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR
    เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear
    แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท

    บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ
    อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว

    XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB
    อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท
    ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที

    https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง: - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\ - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm) ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ✅ Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่ ➡️ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party ✅ XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB ✅ ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\ ➡️ เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว ✅ Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน ➡️ ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์ ✅ บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก ➡️ ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย ✅ ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR ➡️ เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ‼️ ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear ⛔ แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท ‼️ บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ ⛔ อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว ‼️ XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB ⛔ อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท ⛔ ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Malware found in Endgame's mouse config utility
    Endgame Gear recently distributed a malicious software package bundled with the official configuration tool for its OP1w 4K V2 wireless gaming mouse. Customers discovered the issue the...
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย

    Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น:

    - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน
    - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง
    - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด

    จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ

    แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น:
    - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end
    - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์
    - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน

    Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก

    Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI
    เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

    โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding
    สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม

    ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation
    ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป

    เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ
    เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้

    โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding
    เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google

    Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน
    เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic

    ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท
    หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ

    การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ
    ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย

    โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์
    ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ

    ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน
    อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang

    การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น: - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น: - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์ - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก ✅ Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI ➡️ เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ✅ โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding ➡️ สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม ✅ ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป ✅ เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ ➡️ เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ ✅ โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding ➡️ เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google ✅ Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน ➡️ เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic ‼️ ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท ⛔ หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ ⛔ ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย ‼️ โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์ ⛔ ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ ‼️ ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน ⛔ อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang ‼️ การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba launches open-source AI coding model, touted as its most advanced to date
    BEIJING (Reuters) -Alibaba has launched an open-source artificial intelligence coding model, called Qwen3-Coder, it said in a statement on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก GPU หลักล้าน: เมื่อการสร้าง AI ไม่ใช่แค่โมเดล แต่คือการสร้างโลกใหม่

    Altman โพสต์บน X ว่า OpenAI จะมี “มากกว่า 1 ล้าน GPU” ภายในสิ้นปีนี้ — เทียบกับ xAI ของ Elon Musk ที่ใช้เพียง 200,000 GPU ในโมเดล Grok 4 ถือว่า OpenAI มีพลังมากกว่า 5 เท่า

    แต่ Altman ไม่หยุดแค่นั้น เขาบอกว่า “ทีมต้องหาวิธีเพิ่มอีก 100 เท่า” ซึ่งหมายถึง 100 ล้าน GPU — คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือเท่ากับ GDP ของสหราชอาณาจักร)

    แม้จะดูเป็นเป้าหมายที่เกินจริง แต่ OpenAI ก็มีโครงการรองรับ เช่น:
    - ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสที่ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW ในปี 2026
    - ความร่วมมือกับ Oracle และ Microsoft Azure
    - การสำรวจการใช้ Google TPU และการพัฒนาชิป AI ของตัวเอง

    Altman มองว่า compute คือ “คอขวด” ของวงการ AI และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคือการสร้างความได้เปรียบระยะยาว

    OpenAI จะมีมากกว่า 1 ล้าน GPU สำหรับงาน AI ภายในสิ้นปี 2025
    มากกว่าคู่แข่งอย่าง xAI ที่ใช้เพียง 200,000 GPU

    Altman ตั้งเป้าในอนาคตว่าจะมีถึง 100 ล้าน GPU
    คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ GDP ของ UK

    ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสของ OpenAI ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW
    เทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้เมืองขนาดกลาง

    OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft Azure และ Oracle ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    และอาจใช้ Google TPU เพื่อกระจายความเสี่ยงด้าน compute

    Altman เคยกล่าวว่า GPT‑4.5 ต้องชะลอการเปิดตัวเพราะ “GPU ไม่พอ”
    ทำให้การขยาย compute กลายเป็นเป้าหมายหลักขององค์กร

    บริษัทอื่นอย่าง Meta, Amazon ก็กำลังพัฒนาชิป AI ของตัวเอง
    เพื่อแข่งขันในตลาดที่ compute คือทรัพยากรสำคัญที่สุด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/sam-altman-teases-100-million-gpu-scale-for-openai-that-could-cost-usd3-trillion-chatgpt-maker-to-cross-well-over-1-million-by-end-of-year
    🎙️ เรื่องเล่าจาก GPU หลักล้าน: เมื่อการสร้าง AI ไม่ใช่แค่โมเดล แต่คือการสร้างโลกใหม่ Altman โพสต์บน X ว่า OpenAI จะมี “มากกว่า 1 ล้าน GPU” ภายในสิ้นปีนี้ — เทียบกับ xAI ของ Elon Musk ที่ใช้เพียง 200,000 GPU ในโมเดล Grok 4 ถือว่า OpenAI มีพลังมากกว่า 5 เท่า แต่ Altman ไม่หยุดแค่นั้น เขาบอกว่า “ทีมต้องหาวิธีเพิ่มอีก 100 เท่า” ซึ่งหมายถึง 100 ล้าน GPU — คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือเท่ากับ GDP ของสหราชอาณาจักร) แม้จะดูเป็นเป้าหมายที่เกินจริง แต่ OpenAI ก็มีโครงการรองรับ เช่น: - ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสที่ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW ในปี 2026 - ความร่วมมือกับ Oracle และ Microsoft Azure - การสำรวจการใช้ Google TPU และการพัฒนาชิป AI ของตัวเอง Altman มองว่า compute คือ “คอขวด” ของวงการ AI และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคือการสร้างความได้เปรียบระยะยาว ✅ OpenAI จะมีมากกว่า 1 ล้าน GPU สำหรับงาน AI ภายในสิ้นปี 2025 ➡️ มากกว่าคู่แข่งอย่าง xAI ที่ใช้เพียง 200,000 GPU ✅ Altman ตั้งเป้าในอนาคตว่าจะมีถึง 100 ล้าน GPU ➡️ คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ GDP ของ UK ✅ ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสของ OpenAI ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW ➡️ เทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้เมืองขนาดกลาง ✅ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft Azure และ Oracle ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ และอาจใช้ Google TPU เพื่อกระจายความเสี่ยงด้าน compute ✅ Altman เคยกล่าวว่า GPT‑4.5 ต้องชะลอการเปิดตัวเพราะ “GPU ไม่พอ” ➡️ ทำให้การขยาย compute กลายเป็นเป้าหมายหลักขององค์กร ✅ บริษัทอื่นอย่าง Meta, Amazon ก็กำลังพัฒนาชิป AI ของตัวเอง ➡️ เพื่อแข่งขันในตลาดที่ compute คือทรัพยากรสำคัญที่สุด https://www.tomshardware.com/tech-industry/sam-altman-teases-100-million-gpu-scale-for-openai-that-could-cost-usd3-trillion-chatgpt-maker-to-cross-well-over-1-million-by-end-of-year
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากตำแหน่งผู้ใช้: เมื่อการล็อกอินไม่ใช่แค่รหัสผ่านอีกต่อไป

    ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และความผิดพลาดของมนุษย์ยังเป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหลข้อมูล นักพัฒนาจึงต้องหาวิธีเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับระบบล็อกอิน — หนึ่งในแนวทางที่ได้ผลคือการใช้ตำแหน่งของผู้ใช้ (geolocation) เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน

    หลักการคือ:
    - ระบบจะเก็บข้อมูลตำแหน่งจากการล็อกอินก่อนหน้า เช่น GPS, IP, หรือเครือข่าย
    - หากมีการพยายามล็อกอินจากตำแหน่งใหม่ ระบบจะตรวจสอบเพิ่มเติม เช่นถาม OTP หรือบล็อกการเข้าถึง
    - ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ที่ล็อกอินจากกรุงเทพเป็นประจำ หากมีการเข้าจากลอนดอนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ระบบจะถือว่า “ผิดปกติ”

    React มีโครงสร้างแบบ component ที่เหมาะกับการใช้ geolocation API ทั้งจาก HTML5 และ React Native — ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ โดยไม่กระทบ UX มากนัก

    Geolocation-based authentication ใช้ตำแหน่งของผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน
    ช่วยตรวจจับการเข้าถึงจากตำแหน่งที่ไม่คาดคิด และลดความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว

    React รองรับการใช้ geolocation API ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ
    เช่น HTML5 Geolocation API ที่ให้ตำแหน่งแม่นยำ และสามารถใช้ร่วมกับ React hooks ได้

    ระบบจะเก็บตำแหน่งล็อกอินก่อนหน้าเป็น baseline แล้วเปรียบเทียบกับตำแหน่งใหม่
    หากพบความผิดปกติ เช่นการเข้าจากประเทศอื่น จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมหรือบล็อก

    การใช้ geolocation ร่วมกับ multi-factor authentication ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอย่างมาก
    เช่นตรวจจับพฤติกรรมเดินทางที่เป็นไปไม่ได้ หรือการแชร์บัญชี

    การวิเคราะห์พฤติกรรมจากตำแหน่ง เช่น geographic velocity analysis สามารถตรวจจับการโจมตีได้แม่นยำ
    เช่นการล็อกอินจากนิวยอร์กแล้วอีก 10 นาทีจากโตเกียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทางกายภาพ

    การรวม geolocation เข้ากับระบบความปลอดภัยอื่น เช่น device fingerprinting และ risk analysis
    ช่วยให้ระบบตอบสนองตามระดับความเสี่ยง เช่นขอ OTP หรือบล็อกทันที

    การใช้ geolocation ยังช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น GDPR และ NIS2
    โดยมีข้อมูลตำแหน่งสำหรับการตรวจสอบการเข้าถึงย้อนหลัง

    https://hackread.com/why-geolocation-react-apps-authentication-process/
    🎙️ เรื่องเล่าจากตำแหน่งผู้ใช้: เมื่อการล็อกอินไม่ใช่แค่รหัสผ่านอีกต่อไป ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และความผิดพลาดของมนุษย์ยังเป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหลข้อมูล นักพัฒนาจึงต้องหาวิธีเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับระบบล็อกอิน — หนึ่งในแนวทางที่ได้ผลคือการใช้ตำแหน่งของผู้ใช้ (geolocation) เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน หลักการคือ: - ระบบจะเก็บข้อมูลตำแหน่งจากการล็อกอินก่อนหน้า เช่น GPS, IP, หรือเครือข่าย - หากมีการพยายามล็อกอินจากตำแหน่งใหม่ ระบบจะตรวจสอบเพิ่มเติม เช่นถาม OTP หรือบล็อกการเข้าถึง - ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ที่ล็อกอินจากกรุงเทพเป็นประจำ หากมีการเข้าจากลอนดอนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ระบบจะถือว่า “ผิดปกติ” React มีโครงสร้างแบบ component ที่เหมาะกับการใช้ geolocation API ทั้งจาก HTML5 และ React Native — ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ โดยไม่กระทบ UX มากนัก ✅ Geolocation-based authentication ใช้ตำแหน่งของผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน ➡️ ช่วยตรวจจับการเข้าถึงจากตำแหน่งที่ไม่คาดคิด และลดความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว ✅ React รองรับการใช้ geolocation API ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ ➡️ เช่น HTML5 Geolocation API ที่ให้ตำแหน่งแม่นยำ และสามารถใช้ร่วมกับ React hooks ได้ ✅ ระบบจะเก็บตำแหน่งล็อกอินก่อนหน้าเป็น baseline แล้วเปรียบเทียบกับตำแหน่งใหม่ ➡️ หากพบความผิดปกติ เช่นการเข้าจากประเทศอื่น จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมหรือบล็อก ✅ การใช้ geolocation ร่วมกับ multi-factor authentication ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอย่างมาก ➡️ เช่นตรวจจับพฤติกรรมเดินทางที่เป็นไปไม่ได้ หรือการแชร์บัญชี ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมจากตำแหน่ง เช่น geographic velocity analysis สามารถตรวจจับการโจมตีได้แม่นยำ ➡️ เช่นการล็อกอินจากนิวยอร์กแล้วอีก 10 นาทีจากโตเกียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทางกายภาพ ✅ การรวม geolocation เข้ากับระบบความปลอดภัยอื่น เช่น device fingerprinting และ risk analysis ➡️ ช่วยให้ระบบตอบสนองตามระดับความเสี่ยง เช่นขอ OTP หรือบล็อกทันที ✅ การใช้ geolocation ยังช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น GDPR และ NIS2 ➡️ โดยมีข้อมูลตำแหน่งสำหรับการตรวจสอบการเข้าถึงย้อนหลัง https://hackread.com/why-geolocation-react-apps-authentication-process/
    HACKREAD.COM
    Why You Should Use Geolocation in Your React App’s Authentication Process
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแนวรบความปลอดภัย: ทำไมองค์กรยุคใหม่ถึงหันมาใช้ MDR แทนการสร้าง SOC เอง?

    เมื่อองค์กรเจอกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อน, การขาดแคลนบุคลากร, และแรงกดดันด้านกฎหมาย — การตั้ง Security Operation Center (SOC) เองกลายเป็นเรื่องยากเกินไป จึงเกิดตลาด MDR ขึ้นเพื่อให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลเต็มระบบตลอด 24 ชั่วโมง

    8 แนวโน้มหลักที่กำลังเปลี่ยนตลาด MDR

    ช่องว่างทักษะเร่งดีมานด์ผู้เชี่ยวชาญภายนอก
    ขาดบุคลากรด้านไซเบอร์ทั่วโลก ทำให้องค์กรต้องพึ่ง MDR เพื่อเฝ้าระวังตลอด 24/7 และรับมือภัยคุกคามแบบมืออาชีพ

    การแปลงสภาพดิจิทัลทำให้พื้นผิวโจมตีซับซ้อนขึ้น
    การทำงานแบบ hybrid, cloud-native, และการใช้ IoT ทำให้ระบบยากต่อการปกป้อง จึงต้องใช้ MDR ที่ปรับขนาดได้และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล

    กฎเกณฑ์ด้านความเป็นส่วนตัวผลักดันธุรกิจเล็กเข้าสู่ MDR
    เช่น GDPR, CCPA และ NIS2 บีบให้องค์กรต้องตรวจจับและตอบสนองได้รวดเร็ว — แม้จะไม่มีทีม SOC ภายใน

    การรวม MDR เข้ากับ Zero Trust และ XDR
    สร้างโซลูชันที่ครอบคลุม endpoint, identity, cloud และ network แบบบูรณาการ พร้อมความสามารถในการตอบสนองเชิงบริบท

    การเปลี่ยนผ่านสู่ MDR ที่สร้างบนระบบ Cloud-native
    แทบทุก MDR ยุคใหม่เป็น SaaS ติดตั้งง่าย, ขยายตัวเร็ว, ทำงานร่วมกับ DevOps และ cloud provider ได้ดี เช่น AWS, Azure, GCP

    แนวโน้มใช้ TDIR (Threat Detection, Investigation, Response)
    แทนที่จะใช้ XDR แบบเน้น endpoint อย่างเดียว TDIR ให้ภาพรวมทุก stack และตอบสนองภัยในทุกมิติ

    AI/ML เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นและลดงานหนัก
    ใช้ machine learning ตรวจจับพฤติกรรมแปลก, ลด false positives, ช่วย analyst ตัดสินใจ และจัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์

    ตลาดเริ่มรวมตัวเพื่อสร้างโซลูชันแบบ End-to-End
    มีดีลควบรวมใหญ่ เช่น Sophos ซื้อ Secureworks, Zscaler ซื้อ Red Canary เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม endpoint, cloud, identity และ OT

    https://www.csoonline.com/article/4022854/8-trends-transforming-the-mdr-market-today.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากแนวรบความปลอดภัย: ทำไมองค์กรยุคใหม่ถึงหันมาใช้ MDR แทนการสร้าง SOC เอง? เมื่อองค์กรเจอกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อน, การขาดแคลนบุคลากร, และแรงกดดันด้านกฎหมาย — การตั้ง Security Operation Center (SOC) เองกลายเป็นเรื่องยากเกินไป จึงเกิดตลาด MDR ขึ้นเพื่อให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลเต็มระบบตลอด 24 ชั่วโมง 🔑 8 แนวโน้มหลักที่กำลังเปลี่ยนตลาด MDR ✅ ช่องว่างทักษะเร่งดีมานด์ผู้เชี่ยวชาญภายนอก ➡️ ขาดบุคลากรด้านไซเบอร์ทั่วโลก ทำให้องค์กรต้องพึ่ง MDR เพื่อเฝ้าระวังตลอด 24/7 และรับมือภัยคุกคามแบบมืออาชีพ ✅ การแปลงสภาพดิจิทัลทำให้พื้นผิวโจมตีซับซ้อนขึ้น ➡️ การทำงานแบบ hybrid, cloud-native, และการใช้ IoT ทำให้ระบบยากต่อการปกป้อง จึงต้องใช้ MDR ที่ปรับขนาดได้และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล ✅ กฎเกณฑ์ด้านความเป็นส่วนตัวผลักดันธุรกิจเล็กเข้าสู่ MDR ➡️ เช่น GDPR, CCPA และ NIS2 บีบให้องค์กรต้องตรวจจับและตอบสนองได้รวดเร็ว — แม้จะไม่มีทีม SOC ภายใน ✅ การรวม MDR เข้ากับ Zero Trust และ XDR ➡️ สร้างโซลูชันที่ครอบคลุม endpoint, identity, cloud และ network แบบบูรณาการ พร้อมความสามารถในการตอบสนองเชิงบริบท ✅ การเปลี่ยนผ่านสู่ MDR ที่สร้างบนระบบ Cloud-native ➡️ แทบทุก MDR ยุคใหม่เป็น SaaS ติดตั้งง่าย, ขยายตัวเร็ว, ทำงานร่วมกับ DevOps และ cloud provider ได้ดี เช่น AWS, Azure, GCP ✅ แนวโน้มใช้ TDIR (Threat Detection, Investigation, Response) ➡️ แทนที่จะใช้ XDR แบบเน้น endpoint อย่างเดียว TDIR ให้ภาพรวมทุก stack และตอบสนองภัยในทุกมิติ ✅ AI/ML เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นและลดงานหนัก ➡️ ใช้ machine learning ตรวจจับพฤติกรรมแปลก, ลด false positives, ช่วย analyst ตัดสินใจ และจัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ ✅ ตลาดเริ่มรวมตัวเพื่อสร้างโซลูชันแบบ End-to-End ➡️ มีดีลควบรวมใหญ่ เช่น Sophos ซื้อ Secureworks, Zscaler ซื้อ Red Canary เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม endpoint, cloud, identity และ OT https://www.csoonline.com/article/4022854/8-trends-transforming-the-mdr-market-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 trends transforming the MDR market today
    Skills gaps, increased regulatory pressures, and digital transformation are just a few of the factors pushing the growth of burgeoning managed detection and response (MDR) market.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

    การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น:
    - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025
    - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7%
    - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น

    ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ

    ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง?

    AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025
    ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง

    Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้
    โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200

    คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia
    คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน

    แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment
    ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services

    ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม
    เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft

    หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1%
    แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย

    การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น
    เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก

    โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย
    ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว

    การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง
    มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก

    การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่”
    หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต

    https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น: - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025 - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7% - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง? ✅ AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025 ➡️ ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง ✅ Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้ ➡️ โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200 ✅ คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia ➡️ คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน ✅ แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment ➡️ ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services ✅ ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม ➡️ เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft ✅ หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1% ➡️ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย ‼️ การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น ⛔ เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก ‼️ โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย ⛔ ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว ‼️ การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง ⛔ มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก ‼️ การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่” ⛔ หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    PAULKEDROSKY.COM
    Honey, AI Capex is Eating the Economy
    AI capex is so big that it's affecting economic statistics, boosting the economy, and beginning to approach the railroad boom
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • การผลิตเงินตราของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางสำคัญ 3 ประการ และแต่ละทิศทางมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้:

    ### 1. **การเปลี่ยนสู่เงินดิจิทัล (Digital Currencies)**
    - **ผลดี:**
    - **ความสะดวกและเร็ว:** การชำระเงินข้ามประเทศใช้เวลาไม่กี่วินาที (เดิมใช้วัน) เช่น ระบบ CBDC ของจีน (e-CNY)
    - **การเข้าถึงบริการทางการเงิน:** ช่วยให้ประชากร 1.4 พันล้านคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงระบบการเงิน (World Bank 2023)
    - **ลดต้นทุน:** ธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า CBDC ลดต้นทุนการจัดการเงินสดได้ 30%
    - **ผลเสีย:**
    - **ความเสี่ยงทางไซเบอร์:** แฮ็กระบบการเงินระดับชาติ เช่น เหตุการณ์แฮ็ก Cryptocurrency ที่สูญเสียกว่า 3.8 พันล้าน USD ในปี 2022 (Chainalysis)
    - **การละเมิดความเป็นส่วนตัว:** รัฐอาจติดตามทุกการทำธุรกรรมของประชาชน

    ### 2. **การลดบทบาทเงินสด (Cashless Society)**
    - **ผลดี:**
    - **ลดอาชญากรรม:** สวีเดนพบว่าการปล้นลดลง 85% หลังลดการใช้เงินสด (Riksbank รายงาน)
    - **ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ:** IMF ชี้ว่าประเทศไร้เงินสดเพิ่ม GDP ได้ 0.8-1.2% จากการลดต้นทุนการพิมพ์/ขนส่ง
    - **ผลเสีย:**
    - **การแบ่งแยกดิจิทัล:** ผู้สูงอายุหรือชุมชนห่างไกลในอินเดียกว่า 40% ยังไม่พร้อม (Reserve Bank of India)
    - **ความเสี่ยงต่อระบบ:** ไฟฟ้าดับหรือระบบล่มอาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก

    ### 3. **การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน (Private Cryptocurrencies & Stablecoins)**
    - **ผลดี:**
    - **นวัตกรรมทางการเงิน:** DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์) สร้างตลาดมูลค่า 80 พันล้าน USD ในปี 2023 (DeFi Llama)
    - **การป้องกันเงินเฟ้อ:** Stablecoin เช่น USDT ให้ทางเลือกในประเทศที่เงินเฟ้อสูง (เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา)
    - **ผลเสีย:**
    - **ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน:** การล่มสลายของ TerraUSD (2022) ทำลายมูลค่ากว่า 40 พันล้าน USD ใน 3 วัน
    - **การฟอกเงิน:** UN ประเมินว่ามีการฟอกเงินผ่านคริปโตกว่า 8.6 พันล้าน USD ในปี 2021

    ### ผลกระทบเชิงโครงสร้าง:
    - **ผลดีโดยรวม:**
    - เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเงินโลก
    - ส่งเสริมการรวมตัวทางการเงิน (Financial Inclusion)
    - ลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (เดิมเฉลี่ย 6.5% ลดเหลือต่ำกว่า 1%)

    - **ผลเสียโดยรวม:**
    - **ความไม่เสมอภาค:** ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกทิ้งห่าง (แอฟริกามีการใช้ CBDC เพียง 3 ประเทศเทียบกับ 114 ประเทศที่กำลังวิจัย)
    - **ภัยคุกคามต่ออธิปไตย:** สกุลเงินดิจิทัลเอกชนอาจลดทอนอำนาจนโยบายการเงินของรัฐ

    ### ตัวอย่างประเทศที่ชัดเจน:
    - **จีน (e-CNY):** ใช้ทดลองใน 26 เมืองใหญ่ คาดครอบคลุม 15% ของเศรษฐกิจภายในปี 2025 → เพิ่มการควบคุมทางการคลัง แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการสอดส่องประชาชน
    - **สวีเดน:** เงินสดเหลือเพียง 8% ของ GDP (2010 อยู่ที่ 40%) → ลดอาชญากรรมแต่เสี่ยงต่อ Cyberattack

    ### บทสรุป:
    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น **"ดาบสองคม"** โดยทิศทางหลักคือ **การทำให้เป็นดิจิทัล (Digitalization)** ซึ่งให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวอย่างเร่งด่วน อนาคตอาจเห็นระบบการเงินแบบผสมผสานระหว่าง CBDC, สกุลเงินดิจิทัลเอกชน และเงินสดแบบจำกัด โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบกฎเกณฑ์ที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองประชาชน
    การผลิตเงินตราของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางสำคัญ 3 ประการ และแต่ละทิศทางมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้: ### 1. **การเปลี่ยนสู่เงินดิจิทัล (Digital Currencies)** - **ผลดี:** - **ความสะดวกและเร็ว:** การชำระเงินข้ามประเทศใช้เวลาไม่กี่วินาที (เดิมใช้วัน) เช่น ระบบ CBDC ของจีน (e-CNY) - **การเข้าถึงบริการทางการเงิน:** ช่วยให้ประชากร 1.4 พันล้านคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงระบบการเงิน (World Bank 2023) - **ลดต้นทุน:** ธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า CBDC ลดต้นทุนการจัดการเงินสดได้ 30% - **ผลเสีย:** - **ความเสี่ยงทางไซเบอร์:** แฮ็กระบบการเงินระดับชาติ เช่น เหตุการณ์แฮ็ก Cryptocurrency ที่สูญเสียกว่า 3.8 พันล้าน USD ในปี 2022 (Chainalysis) - **การละเมิดความเป็นส่วนตัว:** รัฐอาจติดตามทุกการทำธุรกรรมของประชาชน ### 2. **การลดบทบาทเงินสด (Cashless Society)** - **ผลดี:** - **ลดอาชญากรรม:** สวีเดนพบว่าการปล้นลดลง 85% หลังลดการใช้เงินสด (Riksbank รายงาน) - **ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ:** IMF ชี้ว่าประเทศไร้เงินสดเพิ่ม GDP ได้ 0.8-1.2% จากการลดต้นทุนการพิมพ์/ขนส่ง - **ผลเสีย:** - **การแบ่งแยกดิจิทัล:** ผู้สูงอายุหรือชุมชนห่างไกลในอินเดียกว่า 40% ยังไม่พร้อม (Reserve Bank of India) - **ความเสี่ยงต่อระบบ:** ไฟฟ้าดับหรือระบบล่มอาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ### 3. **การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน (Private Cryptocurrencies & Stablecoins)** - **ผลดี:** - **นวัตกรรมทางการเงิน:** DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์) สร้างตลาดมูลค่า 80 พันล้าน USD ในปี 2023 (DeFi Llama) - **การป้องกันเงินเฟ้อ:** Stablecoin เช่น USDT ให้ทางเลือกในประเทศที่เงินเฟ้อสูง (เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา) - **ผลเสีย:** - **ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน:** การล่มสลายของ TerraUSD (2022) ทำลายมูลค่ากว่า 40 พันล้าน USD ใน 3 วัน - **การฟอกเงิน:** UN ประเมินว่ามีการฟอกเงินผ่านคริปโตกว่า 8.6 พันล้าน USD ในปี 2021 ### ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: - **ผลดีโดยรวม:** - เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเงินโลก - ส่งเสริมการรวมตัวทางการเงิน (Financial Inclusion) - ลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (เดิมเฉลี่ย 6.5% ลดเหลือต่ำกว่า 1%) - **ผลเสียโดยรวม:** - **ความไม่เสมอภาค:** ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกทิ้งห่าง (แอฟริกามีการใช้ CBDC เพียง 3 ประเทศเทียบกับ 114 ประเทศที่กำลังวิจัย) - **ภัยคุกคามต่ออธิปไตย:** สกุลเงินดิจิทัลเอกชนอาจลดทอนอำนาจนโยบายการเงินของรัฐ ### ตัวอย่างประเทศที่ชัดเจน: - **จีน (e-CNY):** ใช้ทดลองใน 26 เมืองใหญ่ คาดครอบคลุม 15% ของเศรษฐกิจภายในปี 2025 → เพิ่มการควบคุมทางการคลัง แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการสอดส่องประชาชน - **สวีเดน:** เงินสดเหลือเพียง 8% ของ GDP (2010 อยู่ที่ 40%) → ลดอาชญากรรมแต่เสี่ยงต่อ Cyberattack ### บทสรุป: การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น **"ดาบสองคม"** โดยทิศทางหลักคือ **การทำให้เป็นดิจิทัล (Digitalization)** ซึ่งให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวอย่างเร่งด่วน อนาคตอาจเห็นระบบการเงินแบบผสมผสานระหว่าง CBDC, สกุลเงินดิจิทัลเอกชน และเงินสดแบบจำกัด โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบกฎเกณฑ์ที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองประชาชน
    0 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง,
    ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า.

    https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    ..กฎหมายให้สัญชาติคนต่างชาติ เขียนออกมาหรือตีตราออกมาล้วนเป็นไปเพื่อไม่รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางเผ่าพันธุ์คนไทยตนเองเลย,อย่างน้อยพื้นฐานคือต้องเกิดบนแผ่นดินไทยของคนต่างชาติที่มาคลอดลูกในไทยโดยบังเอิญมิใช่ตั้งใจมาเพื่ออยากได้สัญชาติไทยจะยุติสัญชาติเชื้อสายดั่งเดิมได้,ให้เลือกแค่1สัญชาติเท่านั้นคือไทยหรือตามพ่อตามแม่กรณีบังเอิญมาเกิดบนแผ่นดินไทย จะสามารถมีสิทธิเสรีให้โอกาสเลือก,ต่างจากตั้งใจมาคลอดลูกในไทยจะผลักดันกลับไปทันที,และต่างชาติที่มีอายุทารกในท้องเกิน6เดือนห้ามเข้าประเทศไทยทันทีจะตัดตอนได้,การถือ2สัญชาติคือกฎหมายอัปรีย์ทำลายความมั่นคงทางอธิปไตยไทยชัดเจนไร้ความมั่นใจจะมาสมัครสมานสามัคคีร่วมกันคนไทยสัญชาติไทยจริงพร้อมทรยศแผ่นดินไทยได้ทุกเมื่อและพร้อมกับไปรับไปเป็นสัญชาติเดิมที่ไม่ยกเลิกนั้น,นั้นคือมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและทางมิดีในไทยได้อย่างราบรื่นแค่นััน,นักการเมืองมีสองสัญชาติยิ่งอันตรายแบบในอดีตจนสูงสุดเป็นถึงนายกฯประเทศไทย นัยยะการปฏิบัติยิ่งอันตรายสามารถทรยศเข้าด้วยกับศัตรูแล้วหนีภัยทางการเมืองไปประเทศสัญชาติที่2นั้นง่ายดายหลังจากทรยศหักหลังกับแผ่นดินอีกสัญชาติหนึ่ง,หรือเป็นไส้ศึกของข้าศึกศัตรูของบ้านของเมืองได้ง่ายจากการใช้สิทธิในการเข้าถึงใดๆเสมือนคนไทยสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนชาวไทยจริง, ..กฎหมายสัญชาติต้องฉีกทิ้งทั้งหมด เขียนใหม่ว่า เป็นพ่อแม่คนไทย เกิดจากพ่อแม่คนไทยบนแผ่นดินไทยเท่านั้นคือตัวหลัก,ต่อจึงอนุโลมลูกเกิดบนแผ่นดินไทยแต่พ่อแม่ อาจเป็นคนต่างชาติได้เพื่อมนุษยธรรม เช่น พ่อเป็นไทย แม่เป็นคนต่างชาติที่ได้สัญชาติไทยแล้วที่1,ที่2อาจยังไม่ได้สัญชาติไทยกรณีรักกันจริง,และห้ามฝ่ายชายมีหญิงอื่นเด็ดขาด,ค้ำประกันฝ่ายหญิงต่างชาตินั้นๆมิให้ถูกหลอกลวง และแม่ต่างชาตินั้นสามารถมีสัญชาติไทยได้ทันทีและทิ้งสัญชาติเดิมตนทันทีเช่นกันแม้หย่าร้างก็ให้สิทธิเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพ, หรือแม่เป็นคนไทยสัญชาติไทย สามีเป็นต่างชาติสามีต้องรักแม่คนเดียว,หากมีเมียคนใหม่ ความเป็นสัญชาติไทยจะสิ้นสุดทันทีป้องกันหญิงไทยถูกหลอกลวง,ไม่สามารถเป็นสัญชาติไทยตลอดชีพได้ ตัดสินใจแล้วมารักคนไทยหญิงไทยเราต้องปกป้องคนไทยด้วย,ที่เหลือจากเคสนี้มิอาจให้สัญชาติไทยได้อีกจะอยู่เป็น100ปีบนแผ่นดินไทยก็ให้ไม่ได้,ฝรั่งมาเดินเล่นๆออกๆเข้า5ปี15ปี20ปีอ้างแสวงหาประโยชน์มากมายบนแผ่นดินไทยอยากได้สัญชาติ มาอยู่ลักษณะนี้ใช้ไม่ได้ที่คนเขียนกฎหมายจะเขียนอัปรีย์ทรยศแบบนี้,นี้คือนัยยะให้สัญชาติง่ายดายนั้นล่ะ,เอาเงื่อนเวลาการอาศัยอยู่แดกในไทยมาอ้างแดกตลอดชีพทรยศเป็นไส้ศึกตลอดชีพก็ได้ พอจับถึงความผิดได้ก็แค่ย้ายคืนกลับไปเป็นอีกสัญชาติเดิมตนแต่ทิ้งความชิปหายบรรลัยไว้มากมายบนแผ่นดินไทย,เช่นสมมุติว่า เผาเลยพี่น้อง ผมจะรับผิดชอบเอง เกิดการเผาจริง บินหนีออกนอกประเทศเสีย สาระพัดไปมีสัญชาติอื่นทั่วโลกหลังจากทำความชิปหายบนแผ่นดินไทยหรือขุดเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยไปหมดแล้ว,ไร้รักแผ่นดินไทยห่าเหวอะไร ต่างจากคนไทยที่เกิดตายจริงบนแผ่นดินไทยตนนี้ที่พ่อแม่คือคนไทยสัญชาติไทยส่งต่อจริงจากรุ่นสู่รุ่น,และเรามิได้ป่าดงแบบในอดีต ไม่เจริญเหมือนในอดีตทะเบียนราษฎร์ก็ยังไม่จัดทำขึ้น,และตอนนี้สมบูรณ์แล้ว100%ที่ล่าสุดยุคสุดท้ายเก็บตกสำรวจคนภูคนดอยคนเขาครชายขอบตกสำรวจการเป็นคนไทยล่าสุด เรายื่นโอกาสสุดท้ายจบแล้วแก่การมีสัญชาติไทยกว่า400,000คนได้สัญชาติไทยใหม่ที่ตกสำรวจหรือลี้ภัยหนีเข้าไทยมานานก็ตาม เราประเทศไทยยื่นโอกาสการเป็นคนไทยแล้วครัังสุดท้าย,จึงกฎหมายสัญชาติไทยต้องเด็ดขาดจริงมิใช่เขียนเลอะเทอะแบบปัจจุบันและสมควรฉีกทิ้งด้วย,เขียนใหม่แบบที่ว่าชัดเจนแล้ว,จะให้โอกาสต่างชาติมามีสัญชาติไทยง่ายๆใช้ไม่ได้ มี2สัญชาติอีก บัดสบสมองหมาปัญญาควายคนเขียนตีตราออกมายกมือลงมติมากๆ,ฝันไปเลยว่าคนพวกนี้จะไม่ทรยศแผ่นดินไทยกูทำผิดบนแผ่นดินนี้ก็หนีไปแผ่นดินเดิมของกูมันว่าแบบนี้สบายมาก,จะสามัคคีฝันไปเลยเหมือนคนไทยสร้างสามัคคีมันง่ายต่างกันมากเพราะเราถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้วนั้นเอง.บ้านใครใครก็รัก เสือกให้ใครที่ไหนไม่รู้มาร่วมมาแดกในบ้านของตนแล้วหนีกลับบ้านมันสบายๆเมื่อสร้างสาระพะดเหี้ยชิปหายในไทยก็ว่า. https://youtube.com/watch?v=k4nUGdpxedw&si=xltAkOsHxwqnszY4
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • เศรษฐกิจในปี 2024 ไม่ได้โตจากรถสิบล้อวิ่งเข้าโรงงานอีกต่อไป…แต่โตจาก “การเทเงินเข้าไปที่ซอฟต์แวร์, โมเดล AI และสิทธิบัตรทางปัญญา” → รายงานร่วมจาก UN + Luiss Business School เผยว่า ประเทศกว่า 27 แห่งลงทุนในทรัพย์สินแบบไม่มีตัวตนถึง 7.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ → โตขึ้นจากปีที่แล้ว (~7.4 ล้านล้าน) แม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซา!

    ประเทศที่ทุ่มสุดคือ สหรัฐฯ → ลงทุนมากกว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น และอังกฤษรวมกัน → ส่วน “ประเทศที่เข้มข้นที่สุด” ในแง่สัดส่วน GDP คือ สวีเดน ที่การลงทุนแบบ intangible กินพื้นที่เศรษฐกิจถึง 16% → ตามด้วยสหรัฐฯ, ฝรั่งเศส และฟินแลนด์ (15%) → และอินเดียก็ขยับแซงหลายชาติ EU แล้วด้วยตัวเลขเกือบ 10%

    สิ่งที่โตเร็วที่สุดไม่ใช่แค่โมเดล AI → แต่คือ ซอฟต์แวร์ + ฐานข้อมูล ซึ่งโตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ปี 2013–2022 → เพราะระบบ AI ต้องการ “ดาต้าที่สะอาดและมีลิขสิทธิ์ชัดเจน” มาป้อนให้โมเดลเรียนรู้ → ซึ่งกลายเป็นหัวใจของมูลค่าทรัพย์สินใหม่โลกเทคโนโลยี

    นักวิจัย UN ยังทิ้งท้ายว่า… → ตอนนี้คือ “จุดเริ่มต้นของยุค AI” ไม่ใช่จุดกลางหรือจุดท้าย → ความเปลี่ยนแปลงที่ลึกกว่านี้อาจยังมาไม่ถึง แต่ต้องเตรียมรับตั้งแต่วันนี้

    การลงทุนในทรัพย์สินไม่มีตัวตน (intangible assets) โต 3 เท่าเมื่อเทียบกับทรัพย์สินจริง (machinery, buildings) ปี 2024  
    • รวมมูลค่าประมาณ $7.6T จาก 27 ประเทศ (โตจาก $7.4T ปี 2023)  
    • ปัจจัยที่ฉุด tangible asset = ดอกเบี้ยสูง, เศรษฐกิจฟื้นช้า

    ประเทศที่ลงทุนสูงสุดใน absolute คือ สหรัฐอเมริกา → มากกว่าทุกประเทศในกลุ่ม G7

    ประเทศที่มีความเข้มข้นสูงสุดด้านทรัพย์สินไร้ตัวตนต่อ GDP:  
    • สวีเดน (16%), สหรัฐฯ–ฝรั่งเศส–ฟินแลนด์ (15%), อินเดีย (~10%)

    ซอฟต์แวร์และฐานข้อมูล เป็นกลุ่มที่โตเร็วที่สุดในกลุ่ม intangible assets (โตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ 2013–2022)

    โมเดล AI ช่วยเร่งการลงทุนแบบ intangible → โดยเฉพาะด้านฐานข้อมูล, ทรัพย์สินทางปัญญา, และการเรียนรู้เชิงลึก

    การโตของ intangible asset มีความเสถียรตลอดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ปี 2008 หรือช่วงโควิด (โตเฉลี่ย 4% ต่อปี)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/10/un-investments-rise-in-data-ai-outpacing-physical-assets
    เศรษฐกิจในปี 2024 ไม่ได้โตจากรถสิบล้อวิ่งเข้าโรงงานอีกต่อไป…แต่โตจาก “การเทเงินเข้าไปที่ซอฟต์แวร์, โมเดล AI และสิทธิบัตรทางปัญญา” → รายงานร่วมจาก UN + Luiss Business School เผยว่า ประเทศกว่า 27 แห่งลงทุนในทรัพย์สินแบบไม่มีตัวตนถึง 7.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ → โตขึ้นจากปีที่แล้ว (~7.4 ล้านล้าน) แม้เศรษฐกิจโลกจะซบเซา! ประเทศที่ทุ่มสุดคือ สหรัฐฯ → ลงทุนมากกว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น และอังกฤษรวมกัน → ส่วน “ประเทศที่เข้มข้นที่สุด” ในแง่สัดส่วน GDP คือ สวีเดน ที่การลงทุนแบบ intangible กินพื้นที่เศรษฐกิจถึง 16% → ตามด้วยสหรัฐฯ, ฝรั่งเศส และฟินแลนด์ (15%) → และอินเดียก็ขยับแซงหลายชาติ EU แล้วด้วยตัวเลขเกือบ 10% สิ่งที่โตเร็วที่สุดไม่ใช่แค่โมเดล AI → แต่คือ ซอฟต์แวร์ + ฐานข้อมูล ซึ่งโตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ปี 2013–2022 → เพราะระบบ AI ต้องการ “ดาต้าที่สะอาดและมีลิขสิทธิ์ชัดเจน” มาป้อนให้โมเดลเรียนรู้ → ซึ่งกลายเป็นหัวใจของมูลค่าทรัพย์สินใหม่โลกเทคโนโลยี นักวิจัย UN ยังทิ้งท้ายว่า… → ตอนนี้คือ “จุดเริ่มต้นของยุค AI” ไม่ใช่จุดกลางหรือจุดท้าย → ความเปลี่ยนแปลงที่ลึกกว่านี้อาจยังมาไม่ถึง แต่ต้องเตรียมรับตั้งแต่วันนี้ ✅ การลงทุนในทรัพย์สินไม่มีตัวตน (intangible assets) โต 3 เท่าเมื่อเทียบกับทรัพย์สินจริง (machinery, buildings) ปี 2024   • รวมมูลค่าประมาณ $7.6T จาก 27 ประเทศ (โตจาก $7.4T ปี 2023)   • ปัจจัยที่ฉุด tangible asset = ดอกเบี้ยสูง, เศรษฐกิจฟื้นช้า ✅ ประเทศที่ลงทุนสูงสุดใน absolute คือ สหรัฐอเมริกา → มากกว่าทุกประเทศในกลุ่ม G7 ✅ ประเทศที่มีความเข้มข้นสูงสุดด้านทรัพย์สินไร้ตัวตนต่อ GDP:   • สวีเดน (16%), สหรัฐฯ–ฝรั่งเศส–ฟินแลนด์ (15%), อินเดีย (~10%) ✅ ซอฟต์แวร์และฐานข้อมูล เป็นกลุ่มที่โตเร็วที่สุดในกลุ่ม intangible assets (โตเฉลี่ย 7%/ปี ตั้งแต่ 2013–2022) ✅ โมเดล AI ช่วยเร่งการลงทุนแบบ intangible → โดยเฉพาะด้านฐานข้อมูล, ทรัพย์สินทางปัญญา, และการเรียนรู้เชิงลึก ✅ การโตของ intangible asset มีความเสถียรตลอดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ปี 2008 หรือช่วงโควิด (โตเฉลี่ย 4% ต่อปี) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/10/un-investments-rise-in-data-ai-outpacing-physical-assets
    0 Comments 0 Shares 343 Views 0 Reviews
  • เวลาพูดถึงปัญหาชิป ขาดตลาด เรามักนึกถึงโรงงานเจอวิกฤต หรือจีน–ไต้หวันมีเรื่องกัน แต่รอบนี้ PwC เผยว่า ภัยคุกคามตัวจริงที่กำลังมา คือความเสี่ยงเรื่อง "ทองแดง" (copper)

    ทองแดงไม่ใช่แค่วัตถุดิบทั่วไป → มันคือ "เส้นเลือด" ของชิปยุคใหม่ ใช้เป็นสายส่งสัญญาณในอินเตอร์คอนเน็กต์ระดับนาโน → เพราะเหนี่ยวนำกระแสไฟดี ทนความร้อนดี กว่าการใช้อลูมิเนียมแบบเดิม

    แต่ปัญหาคือ — เหมืองทองแดงต้องใช้น้ำมหาศาลในการสกัด → และประเทศผู้ผลิตหลักอย่าง ชิลี (อันดับ 1 ของโลก) กำลังเจอภาวะแห้งแล้งรุนแรง → PwC คาดว่า 25% ของกำลังผลิตทองแดงในชิลีจะเสี่ยงภายใน 2035 และแตะ 75–100% ภายใน 2050

    สถานการณ์จะยิ่งน่ากังวลขึ้น หากการปล่อยคาร์บอนไม่ลดลง → เพราะไม่ใช่แค่ชิลี — แต่ 17 ประเทศที่ส่งทองแดงให้วงการชิป จะเจอภัยแล้งใน 10 ปีข้างหน้า

    ในขณะที่บางประเทศเริ่มลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำทะเล และรีไซเคิลน้ำ → แต่ประเทศที่ไม่มีชายฝั่ง หรือน้ำทะเลใช้งานไม่ได้ ก็อาจหมดทางเลือก

    PwC คาดว่าภายในปี 2035 → 32% ของการผลิตชิปทั่วโลกจะพึ่งพาทองแดงจากแหล่งที่เสี่ยงภัยแล้ง  
    • และตัวเลขจะพุ่งเป็น 58% ในปี 2050 หากไม่ลดการปล่อยคาร์บอน

    ชิลีคือผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่สุดของโลก แต่ต้องพึ่งน้ำจำนวนมากในการทำเหมือง  
    • ปัจจุบัน 25% ของเหมืองในชิลีกำลังเผชิญภัยแล้ง  
    • อาจเพิ่มเป็น 75–100% ภายใน 2050

    ทองแดงคือวัสดุหลักของ “interconnects” ในชิปยุคใหม่  
    • เพราะค่าความต้านทานต่ำและทนการเสื่อมสภาพ (electromigration) ดีกว่าอลูมิเนียม

    PwC แนะให้แก้ปัญหา 3 ทาง:  
    • ลงทุนเทคโนโลยีรีไซเคิลน้ำและโรงกลั่นน้ำทะเล  
    • พัฒนา “วัสดุทดแทนทองแดง”  
    • กระจายซัพพลายเชน ไม่ให้กระจุกในประเทศที่เสี่ยงภัยแล้ง

    บทเรียนจากวิกฤตชิปในยุคโควิด-19 (2020):  
    • เสียหาย GDP สหรัฐฯ ไป 1% และเยอรมนี 2.4%  
    • ตอกย้ำความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน

    https://www.techspot.com/news/108596-drought-stricken-copper-mines-may-disrupt-one-third.html
    เวลาพูดถึงปัญหาชิป ขาดตลาด เรามักนึกถึงโรงงานเจอวิกฤต หรือจีน–ไต้หวันมีเรื่องกัน แต่รอบนี้ PwC เผยว่า ภัยคุกคามตัวจริงที่กำลังมา คือความเสี่ยงเรื่อง "ทองแดง" (copper) ทองแดงไม่ใช่แค่วัตถุดิบทั่วไป → มันคือ "เส้นเลือด" ของชิปยุคใหม่ ใช้เป็นสายส่งสัญญาณในอินเตอร์คอนเน็กต์ระดับนาโน → เพราะเหนี่ยวนำกระแสไฟดี ทนความร้อนดี กว่าการใช้อลูมิเนียมแบบเดิม แต่ปัญหาคือ — เหมืองทองแดงต้องใช้น้ำมหาศาลในการสกัด → และประเทศผู้ผลิตหลักอย่าง ชิลี (อันดับ 1 ของโลก) กำลังเจอภาวะแห้งแล้งรุนแรง → PwC คาดว่า 25% ของกำลังผลิตทองแดงในชิลีจะเสี่ยงภายใน 2035 และแตะ 75–100% ภายใน 2050 สถานการณ์จะยิ่งน่ากังวลขึ้น หากการปล่อยคาร์บอนไม่ลดลง → เพราะไม่ใช่แค่ชิลี — แต่ 17 ประเทศที่ส่งทองแดงให้วงการชิป จะเจอภัยแล้งใน 10 ปีข้างหน้า ในขณะที่บางประเทศเริ่มลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำทะเล และรีไซเคิลน้ำ → แต่ประเทศที่ไม่มีชายฝั่ง หรือน้ำทะเลใช้งานไม่ได้ ก็อาจหมดทางเลือก ✅ PwC คาดว่าภายในปี 2035 → 32% ของการผลิตชิปทั่วโลกจะพึ่งพาทองแดงจากแหล่งที่เสี่ยงภัยแล้ง   • และตัวเลขจะพุ่งเป็น 58% ในปี 2050 หากไม่ลดการปล่อยคาร์บอน ✅ ชิลีคือผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่สุดของโลก แต่ต้องพึ่งน้ำจำนวนมากในการทำเหมือง   • ปัจจุบัน 25% ของเหมืองในชิลีกำลังเผชิญภัยแล้ง   • อาจเพิ่มเป็น 75–100% ภายใน 2050 ✅ ทองแดงคือวัสดุหลักของ “interconnects” ในชิปยุคใหม่   • เพราะค่าความต้านทานต่ำและทนการเสื่อมสภาพ (electromigration) ดีกว่าอลูมิเนียม ✅ PwC แนะให้แก้ปัญหา 3 ทาง:   • ลงทุนเทคโนโลยีรีไซเคิลน้ำและโรงกลั่นน้ำทะเล   • พัฒนา “วัสดุทดแทนทองแดง”   • กระจายซัพพลายเชน ไม่ให้กระจุกในประเทศที่เสี่ยงภัยแล้ง ✅ บทเรียนจากวิกฤตชิปในยุคโควิด-19 (2020):   • เสียหาย GDP สหรัฐฯ ไป 1% และเยอรมนี 2.4%   • ตอกย้ำความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน https://www.techspot.com/news/108596-drought-stricken-copper-mines-may-disrupt-one-third.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Drought-stricken copper mines may disrupt one-third of global semiconductor production by 2035
    PricewaterhouseCoopers (PwC) writes that the global semiconductor industry is expected to reach $1 trillion by 2030. However, it adds that one-third (32%) of worldwide production will be...
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • เราคิดว่าอีเมลที่ส่งผ่าน Microsoft 365 หรือ Gmail ธุรกิจนั้น “ถูกเข้ารหัสตามมาตรฐานเสมอ” ใช่ไหมครับ? แต่ความจริงคือ ถ้ามีปัญหาการเข้ารหัสเกิดขึ้นระหว่างส่ง (เช่น ฝั่งรับไม่รองรับ TLS) — ระบบจะ:

    - Google Workspace: ยอมลดมาตรฐาน กลับไปใช้ TLS 1.0 หรือ 1.1 ที่เก่ามาก (เสี่ยงต่อการดักฟัง)
    - Microsoft 365: ถ้าหา TLS ที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย ก็ส่งออกไปเลย “แบบไม่เข้ารหัส” — โดยไม่มีการเตือนใด ๆ!

    ผลคือข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น Health Data, PHI, หรือเอกสารทางกฎหมาย อาจรั่วไหลโดยที่ทั้งผู้ใช้ และแอดมิน “ไม่รู้ตัวเลยว่ามันไม่ได้เข้ารหัส” — ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในวงการ Healthcare ที่ต้องทำตามกฎ HIPAA

    งานวิจัยจาก Paubox ยังพบว่า:
    - 43% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วใน Healthcare ปี 2024 เกี่ยวข้องกับ Microsoft 365
    - 31.1% ขององค์กรที่ถูกเจาะ มีการตั้ง “บังคับใช้ TLS” แล้ว — แต่ระบบก็ยัง fallback ลงมาโดยไม่แจ้งเตือน

    Microsoft 365 จะส่งอีเมลเป็น plain text หากเข้ารหัส TLS ไม่สำเร็จ  
    • ไม่มีการแจ้งผู้ส่ง หรือ log เตือน  
    • เสี่ยงละเมิดกฎข้อมูล เช่น HIPAA หรือ GDPR

    Google Workspace ยอมใช้ TLS เวอร์ชัน 1.0/1.1 ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ downgrade  
    • ไม่ปฏิเสธอีเมล ไม่แจ้งเตือนเช่นกัน

    รายงานจาก Paubox ชี้ว่าพฤติกรรม default เหล่านี้ก่อให้เกิด blind spot ร้ายแรง  
    • ให้ “ความมั่นใจจอมปลอม” (false sense of security) แก่ผู้ใช้งาน  
    • สุดท้ายเปิดช่องให้ข้อมูลรั่วไหลเงียบ ๆ

    กรณี Solara Medical (2021): อีเมลไม่มี encryption ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย 114,000 รายรั่ว — ถูกปรับกว่า $12 ล้าน

    หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น NSA เตือนห้ามใช้ TLS 1.0/1.1 เพราะมีช่องโหว่ downgrade attack

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-365-and-google-workspace-could-put-sensitive-data-at-risk-because-of-a-blind-spot-in-default-email-behavior
    เราคิดว่าอีเมลที่ส่งผ่าน Microsoft 365 หรือ Gmail ธุรกิจนั้น “ถูกเข้ารหัสตามมาตรฐานเสมอ” ใช่ไหมครับ? แต่ความจริงคือ ถ้ามีปัญหาการเข้ารหัสเกิดขึ้นระหว่างส่ง (เช่น ฝั่งรับไม่รองรับ TLS) — ระบบจะ: - Google Workspace: ยอมลดมาตรฐาน กลับไปใช้ TLS 1.0 หรือ 1.1 ที่เก่ามาก (เสี่ยงต่อการดักฟัง) - Microsoft 365: ถ้าหา TLS ที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย ก็ส่งออกไปเลย “แบบไม่เข้ารหัส” — โดยไม่มีการเตือนใด ๆ! ผลคือข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น Health Data, PHI, หรือเอกสารทางกฎหมาย อาจรั่วไหลโดยที่ทั้งผู้ใช้ และแอดมิน “ไม่รู้ตัวเลยว่ามันไม่ได้เข้ารหัส” — ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในวงการ Healthcare ที่ต้องทำตามกฎ HIPAA งานวิจัยจาก Paubox ยังพบว่า: - 43% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วใน Healthcare ปี 2024 เกี่ยวข้องกับ Microsoft 365 - 31.1% ขององค์กรที่ถูกเจาะ มีการตั้ง “บังคับใช้ TLS” แล้ว — แต่ระบบก็ยัง fallback ลงมาโดยไม่แจ้งเตือน ✅ Microsoft 365 จะส่งอีเมลเป็น plain text หากเข้ารหัส TLS ไม่สำเร็จ   • ไม่มีการแจ้งผู้ส่ง หรือ log เตือน   • เสี่ยงละเมิดกฎข้อมูล เช่น HIPAA หรือ GDPR ✅ Google Workspace ยอมใช้ TLS เวอร์ชัน 1.0/1.1 ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ downgrade   • ไม่ปฏิเสธอีเมล ไม่แจ้งเตือนเช่นกัน ✅ รายงานจาก Paubox ชี้ว่าพฤติกรรม default เหล่านี้ก่อให้เกิด blind spot ร้ายแรง   • ให้ “ความมั่นใจจอมปลอม” (false sense of security) แก่ผู้ใช้งาน   • สุดท้ายเปิดช่องให้ข้อมูลรั่วไหลเงียบ ๆ ✅ กรณี Solara Medical (2021): อีเมลไม่มี encryption ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย 114,000 รายรั่ว — ถูกปรับกว่า $12 ล้าน ✅ หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น NSA เตือนห้ามใช้ TLS 1.0/1.1 เพราะมีช่องโหว่ downgrade attack https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-365-and-google-workspace-could-put-sensitive-data-at-risk-because-of-a-blind-spot-in-default-email-behavior
    0 Comments 0 Shares 366 Views 0 Reviews
  • กนง. มองโลกสวย? หลังคาดGDP/68 โต2.3% (26/06/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้น #กนง. #GDP
    กนง. มองโลกสวย? หลังคาดGDP/68 โต2.3% (26/06/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้น #กนง. #GDP
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 535 Views 30 0 Reviews
  • Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล!

    ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น

    รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค

    เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น

    Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป  
    • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก  
    • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี

    คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม  
    • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ

    ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง  
    • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม

    ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก  
    • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030  
    • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035

    Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI  
    • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล

    หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร  
    • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre

    การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน  
    • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น

    หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล  
    • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว

    ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์  
    • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล! ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป   • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก   • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม   • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก   • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030   • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035 ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI   • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร   • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน   • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล   • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์   • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Poor grid planning could shift Europe's data centre geography, report says
    PARIS (Reuters) -Europe's leading data centre hubs face a major shift as developers will go wherever connection times are shortest, unless there is more proactive electricity grid planning, a report on Thursday by energy think-tank Ember showed.
    0 Comments 0 Shares 415 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก

    จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้:

    1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000  
    • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน  
    • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย

    2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000  
    • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR  
    • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน

    3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance  
    • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000  
    • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ

    4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม  
    • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000  
    • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM

    ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ

    รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง  
    • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%  
    • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security

    Security Engineer มาเป็นอันดับสอง  
    • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%  
    • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ

    สาย GRC ก็มาแรง  
    • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%  
    • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy

    Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น  
    • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%  
    • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity

    แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน  
    • Architect: CISSP, CCSP  
    • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH  
    • GRC: CRISC, CGRC  
    • Analyst: CySA+, SOC certs

    สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน  
    • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย

    คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร  
    • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้

    เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย  
    • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี

    บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer  
    • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill

    สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา  
    • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance

    https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้: 1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000   • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน   • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย 2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000   • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR   • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน 3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance   • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000   • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ 4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม   • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000   • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง   • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%   • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง   • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%   • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ ✅ สาย GRC ก็มาแรง   • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%   • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น   • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%   • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน   • Architect: CISSP, CCSP   • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH   • GRC: CRISC, CGRC   • Analyst: CySA+, SOC certs ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน   • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร   • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้ ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย   • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer   • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา   • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The highest-paying jobs in cybersecurity today
    According to a recent survey by IANS and Artico Search, risk/GRC specialists, along with security architects, analysts, and engineers, report the highest average annual cash compensation in cybersecurity.
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • องค์กรขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤตความปลอดภัยไซเบอร์
    รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด ทีม IT ที่ทำงานหนักเกินไป และภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้น

    องค์กรขนาดเล็ก ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำให้ ความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามลดลงอย่างมาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต
    - 35% ขององค์กรขนาดเล็กเชื่อว่าความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ของตนไม่เพียงพอ
    - ช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์เพิ่มขึ้น 8% โดย 2 ใน 3 ขององค์กรขาดบุคลากรที่มีความสามารถ
    - องค์กรขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีแบบ supply chain attack
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น phishing และ ransomware-as-a-service กำลังเพิ่มขึ้น

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    องค์กรขนาดเล็ก มักเข้าใจผิดว่าภัยไซเบอร์มุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - องค์กรขนาดเล็กมักไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า
    - การขาดการฝึกอบรมด้านไซเบอร์ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อ phishing และ social engineering
    - กฎระเบียบด้านไซเบอร์ เช่น NIS2 และ GDPR กำลังเพิ่มภาระให้กับองค์กรขนาดเล็ก
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ทำให้ภัยคุกคามมีความซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น

    องค์กรขนาดเล็ก สามารถใช้บริการรักษาความปลอดภัยแบบ managed security services เพื่อช่วย ลดภาระของทีม IT และเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/4003892/smaller-organizations-nearing-cybersecurity-breaking-point.html
    🔐 องค์กรขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤตความปลอดภัยไซเบอร์ รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด ทีม IT ที่ทำงานหนักเกินไป และภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้น องค์กรขนาดเล็ก ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำให้ ความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามลดลงอย่างมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต - 35% ขององค์กรขนาดเล็กเชื่อว่าความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ของตนไม่เพียงพอ - ช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์เพิ่มขึ้น 8% โดย 2 ใน 3 ขององค์กรขาดบุคลากรที่มีความสามารถ - องค์กรขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีแบบ supply chain attack - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น phishing และ ransomware-as-a-service กำลังเพิ่มขึ้น ⚠️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง องค์กรขนาดเล็ก มักเข้าใจผิดว่าภัยไซเบอร์มุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - องค์กรขนาดเล็กมักไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า - การขาดการฝึกอบรมด้านไซเบอร์ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อ phishing และ social engineering - กฎระเบียบด้านไซเบอร์ เช่น NIS2 และ GDPR กำลังเพิ่มภาระให้กับองค์กรขนาดเล็ก - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ทำให้ภัยคุกคามมีความซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น องค์กรขนาดเล็ก สามารถใช้บริการรักษาความปลอดภัยแบบ managed security services เพื่อช่วย ลดภาระของทีม IT และเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/4003892/smaller-organizations-nearing-cybersecurity-breaking-point.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Smaller organizations nearing cybersecurity breaking point
    Strained budgets, overstretched teams, and a rise in sophisticated threats is leading to plummeting security confidence among SMEs as cybercriminals increasingly target them in supply chain attacks.
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
  • OpenAI ถูกบังคับให้เก็บข้อมูล ChatGPT ไม่มีกำหนด ตามคำสั่งศาล
    OpenAI ได้ประกาศว่า ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก คดีฟ้องร้องโดย The New York Times ที่ต้องการตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่

    ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้หลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาล บังคับให้บริษัทต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อใช้ในการตรวจสอบทางกฎหมาย

    ข้อมูลจากข่าว
    - OpenAI ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด
    - The New York Times ฟ้องร้อง OpenAI เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่
    - ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลหลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาลบังคับให้เก็บข้อมูลทั้งหมด
    - OpenAI กำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งไปก่อน
    - ผู้ใช้ ChatGPT Enterprise และ ChatGPT Edu สามารถกำหนดนโยบายการเก็บข้อมูลได้เอง

    ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    OpenAI ยอมรับว่า นโยบายใหม่นี้อาจขัดแย้งกับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวของยุโรป (GDPR) และกำลัง หาทางปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายของสหภาพยุโรป

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT จะถูกเก็บไว้โดยไม่มีกำหนด อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัว
    - แม้ OpenAI จะเก็บข้อมูล แต่ไม่ได้แชร์กับ The New York Times หรือองค์กรอื่น ๆ
    - เฉพาะทีมกฎหมายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้
    - ต้องติดตามว่า OpenAI จะสามารถปรับนโยบายให้สอดคล้องกับ GDPR ได้หรือไม่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ OpenAI อาจส่งผลต่อแนวทางการจัดการข้อมูลของบริษัท AI อื่น ๆ และ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/108237-lawsuit-forces-openai-archive-all-chatgpt-chats.html
    🔒 OpenAI ถูกบังคับให้เก็บข้อมูล ChatGPT ไม่มีกำหนด ตามคำสั่งศาล OpenAI ได้ประกาศว่า ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก คดีฟ้องร้องโดย The New York Times ที่ต้องการตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้หลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาล บังคับให้บริษัทต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อใช้ในการตรวจสอบทางกฎหมาย ✅ ข้อมูลจากข่าว - OpenAI ต้องเก็บบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนด - The New York Times ฟ้องร้อง OpenAI เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า ChatGPT สามารถสร้างเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้หรือไม่ - ก่อนหน้านี้ OpenAI ลบข้อมูลหลัง 30 วัน แต่คำสั่งศาลบังคับให้เก็บข้อมูลทั้งหมด - OpenAI กำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งไปก่อน - ผู้ใช้ ChatGPT Enterprise และ ChatGPT Edu สามารถกำหนดนโยบายการเก็บข้อมูลได้เอง 🔥 ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ OpenAI ยอมรับว่า นโยบายใหม่นี้อาจขัดแย้งกับข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวของยุโรป (GDPR) และกำลัง หาทางปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายของสหภาพยุโรป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ข้อมูลการสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT จะถูกเก็บไว้โดยไม่มีกำหนด อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัว - แม้ OpenAI จะเก็บข้อมูล แต่ไม่ได้แชร์กับ The New York Times หรือองค์กรอื่น ๆ - เฉพาะทีมกฎหมายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ - ต้องติดตามว่า OpenAI จะสามารถปรับนโยบายให้สอดคล้องกับ GDPR ได้หรือไม่ 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ OpenAI อาจส่งผลต่อแนวทางการจัดการข้อมูลของบริษัท AI อื่น ๆ และ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต https://www.techspot.com/news/108237-lawsuit-forces-openai-archive-all-chatgpt-chats.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    OpenAI warns ChatGPT logs will be retained "indefinitely," blames court order
    ChatGPT is now one of the world's most visited websites. Millions of people use the service daily, and OpenAI will now store nearly every user interaction in...
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • Linux Foundation เปิดตัวแพลตฟอร์มกลางเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน WordPress
    Linux Foundation (LF) ได้เปิดตัว Fair Package Manager Project ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับ จัดการและเผยแพร่ปลั๊กอิน, ธีม และเครื่องมือของ WordPress โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine

    เหตุผลที่ Linux Foundation เข้ามาแทรกแซง
    Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress และ WP Engine มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ WordPress.org ซึ่งส่งผลให้ ชุมชน WordPress อาจแตกแยก LF จึงเสนอ แพลตฟอร์มกลางที่เป็นกลางและไม่ขึ้นกับบริษัทใด เพื่อให้ นักพัฒนาและผู้ใช้สามารถเข้าถึงปลั๊กอินและธีมได้อย่างเสรี

    ข้อมูลจากข่าว
    - Linux Foundation เปิดตัว Fair Package Manager Project เพื่อจัดการปลั๊กอินและธีมของ WordPress
    - แพลตฟอร์มนี้เป็นทางเลือกแทน WordPress.org ที่มีการควบคุมแบบรวมศูนย์
    - Fair สามารถใช้เป็นปลั๊กอินแยก หรือเป็น WordPress เวอร์ชันที่ติดตั้งปลั๊กอินนี้มาแล้ว
    - ช่วยลดการพึ่งพาแหล่งเดียวในการอัปเดต WordPress และปลั๊กอิน
    - แพลตฟอร์มนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับ GDPR และลดการส่งข้อมูลไปยังบริษัทเชิงพาณิชย์

    ความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine
    ในปี 2024 Mullenweg วิจารณ์ WP Engine ว่าใช้ทรัพยากรของ WordPress.org เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน ทำให้เกิดความขัดแย้งในชุมชน WordPress

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Fair Package Manager Project อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบนิเวศของ WordPress
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้และนักพัฒนาจะยอมรับแพลตฟอร์มใหม่นี้หรือไม่
    - WP Engine อาจตอบโต้ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อแข่งขัน
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพา WordPress.org ในการจัดการปลั๊กอินและธีม

    ผลกระทบต่ออนาคตของ WordPress
    Fair Package Manager Project อาจช่วยให้ WordPress มีความเป็นกลางมากขึ้น และ ลดความขัดแย้งภายในชุมชน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการพัฒนา WordPress ในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108233-linux-foundation-steps-neutral-solution-wordpress-crisis.html
    🔄 Linux Foundation เปิดตัวแพลตฟอร์มกลางเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน WordPress Linux Foundation (LF) ได้เปิดตัว Fair Package Manager Project ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับ จัดการและเผยแพร่ปลั๊กอิน, ธีม และเครื่องมือของ WordPress โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine 🔍 เหตุผลที่ Linux Foundation เข้ามาแทรกแซง Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress และ WP Engine มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของ WordPress.org ซึ่งส่งผลให้ ชุมชน WordPress อาจแตกแยก LF จึงเสนอ แพลตฟอร์มกลางที่เป็นกลางและไม่ขึ้นกับบริษัทใด เพื่อให้ นักพัฒนาและผู้ใช้สามารถเข้าถึงปลั๊กอินและธีมได้อย่างเสรี ✅ ข้อมูลจากข่าว - Linux Foundation เปิดตัว Fair Package Manager Project เพื่อจัดการปลั๊กอินและธีมของ WordPress - แพลตฟอร์มนี้เป็นทางเลือกแทน WordPress.org ที่มีการควบคุมแบบรวมศูนย์ - Fair สามารถใช้เป็นปลั๊กอินแยก หรือเป็น WordPress เวอร์ชันที่ติดตั้งปลั๊กอินนี้มาแล้ว - ช่วยลดการพึ่งพาแหล่งเดียวในการอัปเดต WordPress และปลั๊กอิน - แพลตฟอร์มนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับ GDPR และลดการส่งข้อมูลไปยังบริษัทเชิงพาณิชย์ 🔥 ความขัดแย้งระหว่าง WordPress.org และ WP Engine ในปี 2024 Mullenweg วิจารณ์ WP Engine ว่าใช้ทรัพยากรของ WordPress.org เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน ทำให้เกิดความขัดแย้งในชุมชน WordPress ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Fair Package Manager Project อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบนิเวศของ WordPress - ต้องติดตามว่าผู้ใช้และนักพัฒนาจะยอมรับแพลตฟอร์มใหม่นี้หรือไม่ - WP Engine อาจตอบโต้ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อแข่งขัน - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพา WordPress.org ในการจัดการปลั๊กอินและธีม 🚀 ผลกระทบต่ออนาคตของ WordPress Fair Package Manager Project อาจช่วยให้ WordPress มีความเป็นกลางมากขึ้น และ ลดความขัดแย้งภายในชุมชน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการพัฒนา WordPress ในระยะยาวอย่างไร https://www.techspot.com/news/108233-linux-foundation-steps-neutral-solution-wordpress-crisis.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Linux Foundation steps in with neutral solution to WordPress crisis
    While Matt Mullenweg and WP Engine are fighting for the heart (and money) of WordPress, the Linux Foundation (LF) is trying to bring some semblance of order...
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • ศาลเยอรมันตัดสินให้เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้

    ศาลปกครองเมืองฮันโนเวอร์ ออกคำตัดสินที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัลในเยอรมนี โดยกำหนดให้เว็บไซต์ ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้ หากมีปุ่ม "ยอมรับทั้งหมด" เพื่อป้องกันการออกแบบที่บิดเบือนให้ผู้ใช้ยอมรับคุกกี้โดยไม่ตั้งใจ

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมัน
    ศาลฮันโนเวอร์ตัดสินว่าเว็บไซต์ต้องให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่ชัดเจนในการปฏิเสธคุกกี้
    - ป้องกัน การออกแบบที่กดดันให้ผู้ใช้ยอมรับคุกกี้โดยไม่ตั้งใจ

    กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแห่งรัฐ Lower Saxony
    - หน่วยงาน สั่งให้บริษัทสื่อ NOZ ปรับปรุงแบนเนอร์คุกกี้ของตน

    ศาลพบว่าแบนเนอร์คุกกี้ของ NOZ ทำให้การปฏิเสธคุกกี้ยากกว่าการยอมรับ
    - เช่น ใช้คำว่า "ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด" เพื่อชักจูงให้กด "ยอมรับและปิด"

    คำตัดสินนี้อ้างอิงกฎหมายคุ้มครองข้อมูล GDPR และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลดิจิทัลของเยอรมนี
    - ระบุว่า การออกแบบที่บิดเบือนทำให้การยินยอมเป็นโมฆะ

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวหวังว่าคำตัดสินนี้จะเป็นแบบอย่างให้เว็บไซต์อื่น ๆ ปรับปรุงระบบยินยอมคุกกี้
    - หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลในบาวาเรีย พบว่าเว็บไซต์จำนวนมากยังคงใช้แบนเนอร์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน

    https://www.techspot.com/news/108043-german-court-takes-stand-against-manipulative-cookie-banners.html
    ศาลเยอรมันตัดสินให้เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้ ศาลปกครองเมืองฮันโนเวอร์ ออกคำตัดสินที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัลในเยอรมนี โดยกำหนดให้เว็บไซต์ ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้ หากมีปุ่ม "ยอมรับทั้งหมด" เพื่อป้องกันการออกแบบที่บิดเบือนให้ผู้ใช้ยอมรับคุกกี้โดยไม่ตั้งใจ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมัน ✅ ศาลฮันโนเวอร์ตัดสินว่าเว็บไซต์ต้องให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่ชัดเจนในการปฏิเสธคุกกี้ - ป้องกัน การออกแบบที่กดดันให้ผู้ใช้ยอมรับคุกกี้โดยไม่ตั้งใจ ✅ กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแห่งรัฐ Lower Saxony - หน่วยงาน สั่งให้บริษัทสื่อ NOZ ปรับปรุงแบนเนอร์คุกกี้ของตน ✅ ศาลพบว่าแบนเนอร์คุกกี้ของ NOZ ทำให้การปฏิเสธคุกกี้ยากกว่าการยอมรับ - เช่น ใช้คำว่า "ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด" เพื่อชักจูงให้กด "ยอมรับและปิด" ✅ คำตัดสินนี้อ้างอิงกฎหมายคุ้มครองข้อมูล GDPR และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลดิจิทัลของเยอรมนี - ระบุว่า การออกแบบที่บิดเบือนทำให้การยินยอมเป็นโมฆะ ✅ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวหวังว่าคำตัดสินนี้จะเป็นแบบอย่างให้เว็บไซต์อื่น ๆ ปรับปรุงระบบยินยอมคุกกี้ - หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลในบาวาเรีย พบว่าเว็บไซต์จำนวนมากยังคงใช้แบนเนอร์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน https://www.techspot.com/news/108043-german-court-takes-stand-against-manipulative-cookie-banners.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    German court rules cookie banners must offer "reject all" button
    Lower Saxony Data Protection Officer Denis Lehmkemper has won a legal battle in his push for fairer digital privacy practices in Germany. The Hanover Administrative Court ruled...
    0 Comments 0 Shares 335 Views 0 Reviews
  • ศาลเยอรมนีตัดสินให้เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้

    ศาลปกครองเมืองฮันโนเวอร์ ออกคำตัดสินที่เข้มงวดเกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัลในเยอรมนี โดยกำหนดให้ เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" ที่เห็นได้ชัดเจนบนแบนเนอร์คุกกี้ หากมีตัวเลือก "ยอมรับทั้งหมด"

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมนี
    เว็บไซต์ต้องให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่ชัดเจนและเป็นธรรมในการยอมรับหรือปฏิเสธคุกกี้
    - ห้ามใช้ แบนเนอร์ที่บีบให้ผู้ใช้ต้องยอมรับคุกกี้โดยไม่มีทางเลือกที่เท่าเทียมกัน

    กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในรัฐโลว์เออร์แซกโซนี
    - หน่วยงานพบว่า เว็บไซต์ของสื่อ NOZ ใช้แบนเนอร์ที่ทำให้การปฏิเสธคุกกี้ยากกว่าการยอมรับ

    ศาลระบุว่าแบนเนอร์คุกกี้ที่บิดเบือนข้อมูลถือเป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR
    - เช่น การใช้ข้อความที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า "ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด" เพื่อกระตุ้นให้กด "ยอมรับและปิด"

    คำตัดสินนี้อาจส่งผลให้เว็บไซต์อื่น ๆ ต้องปรับปรุงแบนเนอร์คุกกี้ให้สอดคล้องกับกฎหมาย
    - คาดว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการขอความยินยอมจากผู้ใช้ในยุโรป

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวสนับสนุนคำตัดสินนี้
    - มองว่า เป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้ใช้บนโลกออนไลน์

    https://www.techspot.com/news/108043-german-court-takes-stand-against-manipulative-cookie-banners.html
    ศาลเยอรมนีตัดสินให้เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" บนแบนเนอร์คุกกี้ ศาลปกครองเมืองฮันโนเวอร์ ออกคำตัดสินที่เข้มงวดเกี่ยวกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัลในเยอรมนี โดยกำหนดให้ เว็บไซต์ต้องมีปุ่ม "ปฏิเสธทั้งหมด" ที่เห็นได้ชัดเจนบนแบนเนอร์คุกกี้ หากมีตัวเลือก "ยอมรับทั้งหมด" 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมนี ✅ เว็บไซต์ต้องให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่ชัดเจนและเป็นธรรมในการยอมรับหรือปฏิเสธคุกกี้ - ห้ามใช้ แบนเนอร์ที่บีบให้ผู้ใช้ต้องยอมรับคุกกี้โดยไม่มีทางเลือกที่เท่าเทียมกัน ✅ กรณีนี้เกิดจากการร้องเรียนของหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในรัฐโลว์เออร์แซกโซนี - หน่วยงานพบว่า เว็บไซต์ของสื่อ NOZ ใช้แบนเนอร์ที่ทำให้การปฏิเสธคุกกี้ยากกว่าการยอมรับ ✅ ศาลระบุว่าแบนเนอร์คุกกี้ที่บิดเบือนข้อมูลถือเป็นการละเมิดกฎหมาย GDPR - เช่น การใช้ข้อความที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า "ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด" เพื่อกระตุ้นให้กด "ยอมรับและปิด" ✅ คำตัดสินนี้อาจส่งผลให้เว็บไซต์อื่น ๆ ต้องปรับปรุงแบนเนอร์คุกกี้ให้สอดคล้องกับกฎหมาย - คาดว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการขอความยินยอมจากผู้ใช้ในยุโรป ✅ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวสนับสนุนคำตัดสินนี้ - มองว่า เป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิของผู้ใช้บนโลกออนไลน์ https://www.techspot.com/news/108043-german-court-takes-stand-against-manipulative-cookie-banners.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    German court takes a stand against manipulative cookie banners
    Lower Saxony Data Protection Officer Denis Lehmkemper has won a legal battle in his push for fairer digital privacy practices in Germany. The Hanover Administrative Court ruled...
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • 20-05-68/01 : หมี CNN / หมีกุ๊กกู EP15

    ไอ้สัส! วอชิงตันขี้แตก S-500 ฉบับเตหะราน มีอะไรที่กูทำไม่ได้บ้าง อิหร่านโชว์พาวเดอร์เค็ก สุดจริง เต็มจริง อิหร่านยังมี แล้วจีนจะเหลือเหรอ? หมายังรู้ S-500 ทำลายทุกขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคบนโลกได้หมด แปลว่าอะไร? "นุ๊กมรึงตายตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มใช้ไงล่ะ" ยังไม่นับดาวเทียมพ่วงเลเซอร์ ที่พร้อมยิงถล่มดาวเทียมนำร่อง GPS มรึงทั้งอวกาศ STAR WARS ของจริง ขั้วใหม่ไปถึงแล้ว แต่มรึงยังคลำหาทางบินออกนอกโลกยังยากเลย NASA แค่ตัวตลกโลก ควายยังอาย หมายังเอือม อิหร่าน มาพร้อมเต็มสูบ ใครอยากวัดก็เข้ามา กำลังร้อนวิชา ของเค้าแรงจริง!

    อีแขกภาระตะกรี๊ด? อะไรน่ะ บราห์มอสเทพกู ยังสู้ ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคอีปากีไม่ได้ หันไปดู MADE IN CHINA นี่หว่า นี่มันน้องๆ ตงเฟิงเชียวน่ะมรึง มาได้ไงฟ่ะ? ถึงบางอ้อ..อีแขกพลาด หมากตานี้ จีนรวบทั้งกระดาน แผนรั่ว จะเปิดศึกแคช์เมียร์ ที่อีแขกเตรียมชงเปิดฉากรอ มาปลาตายน้ำตื้น หารู้ไม่ จีน-ปากี เค้ารอดักทางมรึงนานแล้ว นี่มันกับดักนี่หว่า? อีแขกเสียหมา อีเศษฝรั่งเสียมวย จีน-ปากี แจ้งเกิดเต็มเวทีโลก ขวัญกำลังใจอีปากีมาเต็ม ได้เวลาปล่อยตัวอิมราน ข่านยังล่ะ? จีนใช้อีปากี ทดสอบอาวุธจีน ในสมรภูมิจริง เพื่อเตือนสติอีแขก มรึงอย่าสำคัญตัวเองสูงส่งเกินไป หากกูเอาจริง นิวเดลี มุมไบ กูยึดได้ภายใน 48 ชั่วโมง อยากหมากว่านี้มั้ยล่ะ?

    ทรงมันมาแล้ว! กระแส "กลับคุก" คุกแน่ คุกส่องหล้า ปั่นเพื่อบีบให้มรึงจ่ายไงล่ะ จ่ายคือจบ แล้วไสหัวไปซะ หากช้า ศรีธนญชัยอาจเปลี่ยนใจ แล้วมรึงจะไม่ได้ออกไปอีกตลอดชีวิต เพราะจะกลายเป็นศพในคุกไงล่ะ คนจะฆ่ามรึงมีเป็นล้าน แค่ปล่อยให้โดนกระตืบคาคุก 10 นาทีก็ขึ้นเงินได้แล้ว อะไรที่เกิดในคุก ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรับผิดชอบ คนคุก มันก็อยู่ในคุก ทำผิดอีก จะส่งมันไปไหนได้อีกล่ะ? เข้าคุก คือตายนั่นเอง อีเมียกระบังลม ดิ้นเฮือกสุดท้าย จะเอาลูกสาวร่านเผ่นออกไปให้ได้ อีตัวพ่อเหลี่ยมชาติหมา มันคือเป้าหมายหลัก หากคิดจะเอาตัวรอด อีเมีย อีลูก ต้องเผ่นได้แล้วเวลานี้ ทางที่ดีที่สุด คือยอม หมอบ มอบ แค่นั้่นคือรอดตายในแผ่นดินนี้ แต่จะไปตายห่าที่ไหนก็เชิญ

    อีลูกสาวร่านจะดันให้ได้ แต่ครม. และพรรคร่วมเบรคตัวโก่ง เงิน 10000 เฟส3 ยังไม่คลอดซักกะที เพราะ GDP ติดลบ แถมถูกสว.จ้องเชือดรายตัว รายพรรค ไหนจะภาคประชาชนยื่นฟ้องเป็นหางว่าว วิบากกรรมนี้ หนียังไงก็ไม่พ้น ลูกน้องหักหลัง คนใกล้ตัวชิ่งหนีหมดแล้ว มีเงินแต่ไม่ได้ใช้ ใครมันจะโง่อยู่? วงในศาลไคฟง ส่งสัญญาน ไม่มีประกันตัวน่ะจ๊ะ งานนี้ คดีไหนก็ตาม เชือดอย่างเดียว ยาแรงเท่านั้น ใบสั่งตรงจากเบื้องบน "หากศาลยังพึ่งพาไม่ได้" กฎหมายก็ไม่ต้องมีมันแล้ว ชั้น 14 คือตราบาป ที่จะต้องทำให้กฎหมายกลับคืนความศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง อีเหลี่ยมดิ้นยาก จ่ายอย่างเดียว หากอยากจะรอด ช่องหมาลอดยังเปิดอยู่ แค่มรึงจ่ายก็จบ

    สัญญานเข้ม ทั้งตราเมืองธม ทั้งศรีสะเกษ ไม่ต้องสั่ง กูทำเอง? หน้าที่มีอยู่แล้ว อีขะแมร์ไม่กล้าดอก หากไทยเอาจริง เพราะอีฮุนเซน มันใกล้จะเสื่อมหนักเข้าทุกวัน ทหารอีขะแมร์ก็รู้ หากเปิดแลก ขนมกรุบสิจ๊ะ ทหารหน่วยเสื้อดำ มาเพื่อฆ่าอย่างเดียว งานถนัด ฝึกมาทั้งชีวิต เพื่อมาไล่ฆ่าเหี้ยผู้รุกรานเนี่ยแหละ ทหารเค้านับ 1 แล้วน่ะ ถึง 10 เมื่อไหร่ กูยิง และกวาดไปพร้อมกันให้หมดเลย ไอ้อีใครขายชาติตัวไหน จะถูกเรียกเช็คบิลหมด อย่ามาล้อเล่นกับดินแดน เพราะพ่ออยู่หัวจะไม่ยอมให้เสียดินแดนไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตรงกันข้าม อะไรที่พ่ออยู่หัวร.5 ทรงเสียพระทัยไป จะเรียกคืนดินแดนเก่าทั้งหมดกลับมาในไม่ช้านี้ มั่นใจ ทำได้แน่ สวรรค์เปิดทาง

    ผวาอาเพช! สวรรค์เตือนมรึงแล้วน่ะ ทั้งไอ้เหลี่ยมชาติหมา และอีฮุนเซนชาติชั่ว มรึงไม่แตกต่างจากพญาละแวกดอกน่ะ ครั้นนึงเป็นแค่ที่รองตรีนอโยธยา ตะบัดสัตย์ คิดคดทรยศ เหมือนกันทั้งคู่ เทวดาสาปส่ง ชาวอีขะแมร์ แห่ผวา แตกตื่นกันใหญ่ สัญญานผลัดใบ อีฮุนเซนกำลังจะถูกสวรรค์ลงโทษ เพราะกว่าจะได้บังลังก์ตัวนี้มา มันเที่ยวไล่ฆ่าคนมานับล้าน เฉกเช่นเดียวกับอีเหลี่ยมชั่ว ศีลเสมอกัน เหี้ยเสมอตัว อีขะแมร์ยุคไร้อีฮันเซน บ้านเมืองจะระส่ำระสาย ผู้คนแย่งชิง จะเอาตัวรอด สุดท้ายหนีไม่พ้นพึ่งใบบุญไทย เชิญบรรพกษัตริย์กลับมาเพื่อปกครอง และอยู่ภายใต้อาณัติอโยธยาศรีรามเทพนครดั่งเดิม สวรรค์เขียนบทมาเยี่ยงนี้

    ปล.กุนซือทั่วโลก ต่างมอง "เปิดเกมส์ยื้อสงครามกับจีน รัสเซีย มีแต่แพ้กับแพ้" เงินเอาจากไหน อาหารเอาจากใคร อาวุธใครผลิต ต้นทุนใครสูงกว่า โลจิสติคใครครอบครอง เสบียง กำลังพล ใครพร้อมกว่า พันธมิตร ใครมากกว่า ความชอบธรรม ใครดีกว่า เวทีโลก ใครเป็นที่ประจักษ์กว่า สงครามเกิด ทั้งโลกจะยืนอยู่ข้างผู้ชนะเท่านั้น และแน่นอนว่า เค้าได้เลือก "จีน รัสเซีย อิหร่าน ไปเรียบร้อยแล้ว" ไม่ว่า อีหน้าโง่ยุโรป จะเปิดศึกกับรัสเซียยังไง ก็รอวันแพ้ยับได้เลย อเมริกาถังแตก จะเล่นสงครามการค้าสู้ไม่ได้ ยิ่งเล่นสงครามในสมรภูมิรบยิ่งแพ้หนัก แค่เยเมน ทะเลแดงยังไม่มีปัญญาผ่าน แล้วมรึงยังจะหน้าด้านไปบุกเกาะสแปรดลี่ย์อีกเหรอ? ตงเฟงจ่อหัว ไม่มีรอดซักราย ส่งเรือรบไปกี่ลำ จมตามจำนวนหัวยิงนั่นแหละ เมื่อทรงมันมาทางเดียวกันหมด ไม่มีใครอยากรบกับรัสเซีย จีน ซึ่งหน้า คงมีแต่อียิวเสี้ยน ที่อยากจะตายคาตรีนอิหร่านขั้นสูงสุด ถึงได้พยายามยั่วยุ สุดติ่งกระดิ่งเหี้ย แต่จะพยายามอย่างไร แผนการรวบแดร๊กแหล่งแก็สนอกชายฝั่งฉนวนกาซ่าก็ไร้ผล เพราะเค้ารู้แล้วว่า มรึงต้องการอะไรแท้จริงกันแน่?

    ปล.2 ชั้นไม่ลับ ดีลผีอีโมแห้ว ดีลชั้น 14 วงแตก ดีลหนีขะแมร์ยกเลิก ดีลปิดจ็อบเงิน 10000 ไม่มา ดีลเคลียร์ DSI ไม่จบ ดีลสว.ฮั้ว ไม่เลิก ดีลยกดินแดน ไม่มีทาง ดีลกวาดล้างบางคอรัปชั่นทั่วไทย ไฟเขียว ดีลตึกสตง.ไม่ช่วย ดีลเลือกตั้งใหม่ไม่มา ดีลยุบพรรคไม่รามือ ดีลศาลไคฟง ไม่ปล่อย ดีลสร้างถนน ไม่จบ ทุกเรื่องราว มีใบสั่ง เรื่องถึงเกิด ใครสั่งขุด ใครสั่งรื้อ ใครสั่งลุย คำถามคือ "ต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าทุกคดีจะมาบรรจบกันที่ คุก" ศรีธนญชัยเล่นไปทีละตา เดินไปทีละก้าว หากจีน รัสเซีย อิหร่านเปิด ทุกคดีจะเร็วฟ้าผ่าอย่างที่คาดไม่ถึง มันคือการประกาศไปในตัว ว่าอโยธยาเลือกฝ่ายแล้วไงล่ะ? อย่าลืมว่า 93 ปี เหี้ย C และขี้ข้ายิวเหี้ยฝังตัวอยู่ในไทยมานาน เส้นสาย ลูกหม้อ มีกระจายไปทั่วทุกชนชั้น ทุกหน่วยงาน การจะล้างผป่าช้าได้จริงและสำเร็จ มันต้องจัดการปัจจัยหลักให้หมดก่อน ทั้งท่อน้ำเลี้ยง หัวเหี้ยที่ตั้งขึ้นมา รวมถึงความผิดที่สะสมกันมายาวนาน ข้าราชการไทย อยู่ได้เพราะเงินส่วย ใช้จ่ายเกินตัว หนี้สินเกินกำลัง ปัญหาใหญ่แท้จริง ในการจะปราบคอรัปชั่นได้ นั่นคือ "การล้างหนี้ก่อน" จะทำให้เงินนอกระบบเป็นโมฆะให้หมด จะทำให้หนี้ท่วมหัว กลายเป็นหนี้ที่เรียกคืนได้จริง ทุกอย่างต้องชัดเจน โปร่งใส ศาลไคฟงจะนำ การคลังจะตาม การต่างประเทศถึงจะเดินหน้าต่อได้ เด็กใคร สายใคร ต่อไป จะถูก SET 0 ใหม่หมด ทั้งองค์กร กจิกาใหม่จะมาเพื่อเลี่ยงการคอรัปชั่นระยะยาวอีก ทั้งหมดมาจากการเปลี่ยนรธน.ใหม่นั่นเอง วังมา คือจบ

    หมี CNN(กระแสพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนมาเต็ม แต่แนวโน้ม โลกยุคใหม่ พลังงานนิวเคลียร์คือคำตอบระยะสั้น ถูก แรง เร็ว และตอบสนองทันการ ทั่วโลกเริ่มโครงการโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์กันหมดแล้ว ทั้งเอเซีย อาเซียน แอฟริกา ตะวันออกกลาง ชาติลาติน แม้แต่ยุโรปฝั่งตะวันออก เพราะเพื่อลดการใช้น้ำมัน ที่ทำลาย มลพิษในอากาศ โลกร้อน แอฟเฟคที่ตามมา ไทยเราเองก็จะผลิตพลังงานสะอาดควบคู่ไป ยามเมื่อเกิดวิกฤตพลังงาน เราจะมีสแปร์สำรองไว้ก่อนเสมอ แสงแดด น้ำ คือสิ่งที่มีรอบตัวเรา น้ำท่วมบ่อยชิมิ? ใช้ประโยชน์จากแรงดันน้ำได้เลย ทุกอย่างทำได้จริง หากมรึงเลิกแดร๊กจริงจัง จะเอาเหี้ยอะไรได้หมด เชื่อกู?)
    20 พฤษภาคม 68
    12.18 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    20-05-68/01 : หมี CNN / หมีกุ๊กกู EP15 ไอ้สัส! วอชิงตันขี้แตก S-500 ฉบับเตหะราน มีอะไรที่กูทำไม่ได้บ้าง อิหร่านโชว์พาวเดอร์เค็ก สุดจริง เต็มจริง อิหร่านยังมี แล้วจีนจะเหลือเหรอ? หมายังรู้ S-500 ทำลายทุกขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคบนโลกได้หมด แปลว่าอะไร? "นุ๊กมรึงตายตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มใช้ไงล่ะ" ยังไม่นับดาวเทียมพ่วงเลเซอร์ ที่พร้อมยิงถล่มดาวเทียมนำร่อง GPS มรึงทั้งอวกาศ STAR WARS ของจริง ขั้วใหม่ไปถึงแล้ว แต่มรึงยังคลำหาทางบินออกนอกโลกยังยากเลย NASA แค่ตัวตลกโลก ควายยังอาย หมายังเอือม อิหร่าน มาพร้อมเต็มสูบ ใครอยากวัดก็เข้ามา กำลังร้อนวิชา ของเค้าแรงจริง! อีแขกภาระตะกรี๊ด? อะไรน่ะ บราห์มอสเทพกู ยังสู้ ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคอีปากีไม่ได้ หันไปดู MADE IN CHINA นี่หว่า นี่มันน้องๆ ตงเฟิงเชียวน่ะมรึง มาได้ไงฟ่ะ? ถึงบางอ้อ..อีแขกพลาด หมากตานี้ จีนรวบทั้งกระดาน แผนรั่ว จะเปิดศึกแคช์เมียร์ ที่อีแขกเตรียมชงเปิดฉากรอ มาปลาตายน้ำตื้น หารู้ไม่ จีน-ปากี เค้ารอดักทางมรึงนานแล้ว นี่มันกับดักนี่หว่า? อีแขกเสียหมา อีเศษฝรั่งเสียมวย จีน-ปากี แจ้งเกิดเต็มเวทีโลก ขวัญกำลังใจอีปากีมาเต็ม ได้เวลาปล่อยตัวอิมราน ข่านยังล่ะ? จีนใช้อีปากี ทดสอบอาวุธจีน ในสมรภูมิจริง เพื่อเตือนสติอีแขก มรึงอย่าสำคัญตัวเองสูงส่งเกินไป หากกูเอาจริง นิวเดลี มุมไบ กูยึดได้ภายใน 48 ชั่วโมง อยากหมากว่านี้มั้ยล่ะ? ทรงมันมาแล้ว! กระแส "กลับคุก" คุกแน่ คุกส่องหล้า ปั่นเพื่อบีบให้มรึงจ่ายไงล่ะ จ่ายคือจบ แล้วไสหัวไปซะ หากช้า ศรีธนญชัยอาจเปลี่ยนใจ แล้วมรึงจะไม่ได้ออกไปอีกตลอดชีวิต เพราะจะกลายเป็นศพในคุกไงล่ะ คนจะฆ่ามรึงมีเป็นล้าน แค่ปล่อยให้โดนกระตืบคาคุก 10 นาทีก็ขึ้นเงินได้แล้ว อะไรที่เกิดในคุก ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรับผิดชอบ คนคุก มันก็อยู่ในคุก ทำผิดอีก จะส่งมันไปไหนได้อีกล่ะ? เข้าคุก คือตายนั่นเอง อีเมียกระบังลม ดิ้นเฮือกสุดท้าย จะเอาลูกสาวร่านเผ่นออกไปให้ได้ อีตัวพ่อเหลี่ยมชาติหมา มันคือเป้าหมายหลัก หากคิดจะเอาตัวรอด อีเมีย อีลูก ต้องเผ่นได้แล้วเวลานี้ ทางที่ดีที่สุด คือยอม หมอบ มอบ แค่นั้่นคือรอดตายในแผ่นดินนี้ แต่จะไปตายห่าที่ไหนก็เชิญ อีลูกสาวร่านจะดันให้ได้ แต่ครม. และพรรคร่วมเบรคตัวโก่ง เงิน 10000 เฟส3 ยังไม่คลอดซักกะที เพราะ GDP ติดลบ แถมถูกสว.จ้องเชือดรายตัว รายพรรค ไหนจะภาคประชาชนยื่นฟ้องเป็นหางว่าว วิบากกรรมนี้ หนียังไงก็ไม่พ้น ลูกน้องหักหลัง คนใกล้ตัวชิ่งหนีหมดแล้ว มีเงินแต่ไม่ได้ใช้ ใครมันจะโง่อยู่? วงในศาลไคฟง ส่งสัญญาน ไม่มีประกันตัวน่ะจ๊ะ งานนี้ คดีไหนก็ตาม เชือดอย่างเดียว ยาแรงเท่านั้น ใบสั่งตรงจากเบื้องบน "หากศาลยังพึ่งพาไม่ได้" กฎหมายก็ไม่ต้องมีมันแล้ว ชั้น 14 คือตราบาป ที่จะต้องทำให้กฎหมายกลับคืนความศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง อีเหลี่ยมดิ้นยาก จ่ายอย่างเดียว หากอยากจะรอด ช่องหมาลอดยังเปิดอยู่ แค่มรึงจ่ายก็จบ สัญญานเข้ม ทั้งตราเมืองธม ทั้งศรีสะเกษ ไม่ต้องสั่ง กูทำเอง? หน้าที่มีอยู่แล้ว อีขะแมร์ไม่กล้าดอก หากไทยเอาจริง เพราะอีฮุนเซน มันใกล้จะเสื่อมหนักเข้าทุกวัน ทหารอีขะแมร์ก็รู้ หากเปิดแลก ขนมกรุบสิจ๊ะ ทหารหน่วยเสื้อดำ มาเพื่อฆ่าอย่างเดียว งานถนัด ฝึกมาทั้งชีวิต เพื่อมาไล่ฆ่าเหี้ยผู้รุกรานเนี่ยแหละ ทหารเค้านับ 1 แล้วน่ะ ถึง 10 เมื่อไหร่ กูยิง และกวาดไปพร้อมกันให้หมดเลย ไอ้อีใครขายชาติตัวไหน จะถูกเรียกเช็คบิลหมด อย่ามาล้อเล่นกับดินแดน เพราะพ่ออยู่หัวจะไม่ยอมให้เสียดินแดนไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตรงกันข้าม อะไรที่พ่ออยู่หัวร.5 ทรงเสียพระทัยไป จะเรียกคืนดินแดนเก่าทั้งหมดกลับมาในไม่ช้านี้ มั่นใจ ทำได้แน่ สวรรค์เปิดทาง ผวาอาเพช! สวรรค์เตือนมรึงแล้วน่ะ ทั้งไอ้เหลี่ยมชาติหมา และอีฮุนเซนชาติชั่ว มรึงไม่แตกต่างจากพญาละแวกดอกน่ะ ครั้นนึงเป็นแค่ที่รองตรีนอโยธยา ตะบัดสัตย์ คิดคดทรยศ เหมือนกันทั้งคู่ เทวดาสาปส่ง ชาวอีขะแมร์ แห่ผวา แตกตื่นกันใหญ่ สัญญานผลัดใบ อีฮุนเซนกำลังจะถูกสวรรค์ลงโทษ เพราะกว่าจะได้บังลังก์ตัวนี้มา มันเที่ยวไล่ฆ่าคนมานับล้าน เฉกเช่นเดียวกับอีเหลี่ยมชั่ว ศีลเสมอกัน เหี้ยเสมอตัว อีขะแมร์ยุคไร้อีฮันเซน บ้านเมืองจะระส่ำระสาย ผู้คนแย่งชิง จะเอาตัวรอด สุดท้ายหนีไม่พ้นพึ่งใบบุญไทย เชิญบรรพกษัตริย์กลับมาเพื่อปกครอง และอยู่ภายใต้อาณัติอโยธยาศรีรามเทพนครดั่งเดิม สวรรค์เขียนบทมาเยี่ยงนี้ ปล.กุนซือทั่วโลก ต่างมอง "เปิดเกมส์ยื้อสงครามกับจีน รัสเซีย มีแต่แพ้กับแพ้" เงินเอาจากไหน อาหารเอาจากใคร อาวุธใครผลิต ต้นทุนใครสูงกว่า โลจิสติคใครครอบครอง เสบียง กำลังพล ใครพร้อมกว่า พันธมิตร ใครมากกว่า ความชอบธรรม ใครดีกว่า เวทีโลก ใครเป็นที่ประจักษ์กว่า สงครามเกิด ทั้งโลกจะยืนอยู่ข้างผู้ชนะเท่านั้น และแน่นอนว่า เค้าได้เลือก "จีน รัสเซีย อิหร่าน ไปเรียบร้อยแล้ว" ไม่ว่า อีหน้าโง่ยุโรป จะเปิดศึกกับรัสเซียยังไง ก็รอวันแพ้ยับได้เลย อเมริกาถังแตก จะเล่นสงครามการค้าสู้ไม่ได้ ยิ่งเล่นสงครามในสมรภูมิรบยิ่งแพ้หนัก แค่เยเมน ทะเลแดงยังไม่มีปัญญาผ่าน แล้วมรึงยังจะหน้าด้านไปบุกเกาะสแปรดลี่ย์อีกเหรอ? ตงเฟงจ่อหัว ไม่มีรอดซักราย ส่งเรือรบไปกี่ลำ จมตามจำนวนหัวยิงนั่นแหละ เมื่อทรงมันมาทางเดียวกันหมด ไม่มีใครอยากรบกับรัสเซีย จีน ซึ่งหน้า คงมีแต่อียิวเสี้ยน ที่อยากจะตายคาตรีนอิหร่านขั้นสูงสุด ถึงได้พยายามยั่วยุ สุดติ่งกระดิ่งเหี้ย แต่จะพยายามอย่างไร แผนการรวบแดร๊กแหล่งแก็สนอกชายฝั่งฉนวนกาซ่าก็ไร้ผล เพราะเค้ารู้แล้วว่า มรึงต้องการอะไรแท้จริงกันแน่? ปล.2 ชั้นไม่ลับ ดีลผีอีโมแห้ว ดีลชั้น 14 วงแตก ดีลหนีขะแมร์ยกเลิก ดีลปิดจ็อบเงิน 10000 ไม่มา ดีลเคลียร์ DSI ไม่จบ ดีลสว.ฮั้ว ไม่เลิก ดีลยกดินแดน ไม่มีทาง ดีลกวาดล้างบางคอรัปชั่นทั่วไทย ไฟเขียว ดีลตึกสตง.ไม่ช่วย ดีลเลือกตั้งใหม่ไม่มา ดีลยุบพรรคไม่รามือ ดีลศาลไคฟง ไม่ปล่อย ดีลสร้างถนน ไม่จบ ทุกเรื่องราว มีใบสั่ง เรื่องถึงเกิด ใครสั่งขุด ใครสั่งรื้อ ใครสั่งลุย คำถามคือ "ต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าทุกคดีจะมาบรรจบกันที่ คุก" ศรีธนญชัยเล่นไปทีละตา เดินไปทีละก้าว หากจีน รัสเซีย อิหร่านเปิด ทุกคดีจะเร็วฟ้าผ่าอย่างที่คาดไม่ถึง มันคือการประกาศไปในตัว ว่าอโยธยาเลือกฝ่ายแล้วไงล่ะ? อย่าลืมว่า 93 ปี เหี้ย C และขี้ข้ายิวเหี้ยฝังตัวอยู่ในไทยมานาน เส้นสาย ลูกหม้อ มีกระจายไปทั่วทุกชนชั้น ทุกหน่วยงาน การจะล้างผป่าช้าได้จริงและสำเร็จ มันต้องจัดการปัจจัยหลักให้หมดก่อน ทั้งท่อน้ำเลี้ยง หัวเหี้ยที่ตั้งขึ้นมา รวมถึงความผิดที่สะสมกันมายาวนาน ข้าราชการไทย อยู่ได้เพราะเงินส่วย ใช้จ่ายเกินตัว หนี้สินเกินกำลัง ปัญหาใหญ่แท้จริง ในการจะปราบคอรัปชั่นได้ นั่นคือ "การล้างหนี้ก่อน" จะทำให้เงินนอกระบบเป็นโมฆะให้หมด จะทำให้หนี้ท่วมหัว กลายเป็นหนี้ที่เรียกคืนได้จริง ทุกอย่างต้องชัดเจน โปร่งใส ศาลไคฟงจะนำ การคลังจะตาม การต่างประเทศถึงจะเดินหน้าต่อได้ เด็กใคร สายใคร ต่อไป จะถูก SET 0 ใหม่หมด ทั้งองค์กร กจิกาใหม่จะมาเพื่อเลี่ยงการคอรัปชั่นระยะยาวอีก ทั้งหมดมาจากการเปลี่ยนรธน.ใหม่นั่นเอง วังมา คือจบ หมี CNN(กระแสพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนมาเต็ม แต่แนวโน้ม โลกยุคใหม่ พลังงานนิวเคลียร์คือคำตอบระยะสั้น ถูก แรง เร็ว และตอบสนองทันการ ทั่วโลกเริ่มโครงการโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์กันหมดแล้ว ทั้งเอเซีย อาเซียน แอฟริกา ตะวันออกกลาง ชาติลาติน แม้แต่ยุโรปฝั่งตะวันออก เพราะเพื่อลดการใช้น้ำมัน ที่ทำลาย มลพิษในอากาศ โลกร้อน แอฟเฟคที่ตามมา ไทยเราเองก็จะผลิตพลังงานสะอาดควบคู่ไป ยามเมื่อเกิดวิกฤตพลังงาน เราจะมีสแปร์สำรองไว้ก่อนเสมอ แสงแดด น้ำ คือสิ่งที่มีรอบตัวเรา น้ำท่วมบ่อยชิมิ? ใช้ประโยชน์จากแรงดันน้ำได้เลย ทุกอย่างทำได้จริง หากมรึงเลิกแดร๊กจริงจัง จะเอาเหี้ยอะไรได้หมด เชื่อกู?) 20 พฤษภาคม 68 12.18 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 Comments 0 Shares 994 Views 0 Reviews
  • Deepfake และความเสี่ยงของการอัปโหลดภาพใบหน้าสู่ AI

    การใช้ AI เพื่อสร้างภาพเซลฟี่ที่ดูสมจริงกำลังเป็นที่นิยม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การอัปโหลดภาพใบหน้าของคุณไปยัง AI อาจมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การสร้าง Deepfake หรือการโจมตีทางไซเบอร์

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงของ AI และ Deepfake
    AI สามารถนำภาพใบหน้าของคุณไปใช้ในการสร้าง Deepfake ได้
    - ภาพที่อัปโหลด อาจถูกนำไปใช้ในวิดีโอปลอม หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

    ผู้ให้บริการ AI อาจบันทึกข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น IP และอีเมล
    - ทำให้ คุณอาจเปิดเผยข้อมูลมากกว่าที่คิด

    AI สามารถวิเคราะห์ใบหน้า อายุ ท่าทาง และอารมณ์จากภาพที่อัปโหลด
    - เทคโนโลยีนี้ สามารถใช้ในการติดตามตัวบุคคลได้

    AI สามารถคาดเดาตำแหน่งของคุณจากภาพที่ไม่มีจุดสังเกตชัดเจน
    - แม้ไม่มีสถานที่ในพื้นหลัง AI ก็สามารถระบุตำแหน่งของคุณได้

    ข้อมูลที่อัปโหลดอาจถูกนำไปใช้ในการโจมตีแบบฟิชชิ่ง
    - เช่น การสร้างบัญชีปลอม หรือการหลอกลวงทางออนไลน์

    เด็กและเยาวชนมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกนำภาพไปใช้ในทางที่ผิด
    - ควรมี การให้ความรู้และการควบคุมการใช้งาน AI สำหรับเด็ก

    ภาพที่อัปโหลดไปยัง AI อาจไม่สามารถลบออกจากระบบได้
    - หากผู้ให้บริการ ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น GDPR

    AI อาจใช้ข้อมูลใบหน้าเพื่อฝึกระบบจดจำใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - อาจนำไปสู่ การใช้เทคโนโลยีติดตามตัวบุคคลในทางที่ผิด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/17/deepfake-me-are-there-risks-to-uploading-your-face-for-ai-selfies
    Deepfake และความเสี่ยงของการอัปโหลดภาพใบหน้าสู่ AI การใช้ AI เพื่อสร้างภาพเซลฟี่ที่ดูสมจริงกำลังเป็นที่นิยม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การอัปโหลดภาพใบหน้าของคุณไปยัง AI อาจมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การสร้าง Deepfake หรือการโจมตีทางไซเบอร์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงของ AI และ Deepfake ✅ AI สามารถนำภาพใบหน้าของคุณไปใช้ในการสร้าง Deepfake ได้ - ภาพที่อัปโหลด อาจถูกนำไปใช้ในวิดีโอปลอม หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ✅ ผู้ให้บริการ AI อาจบันทึกข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น IP และอีเมล - ทำให้ คุณอาจเปิดเผยข้อมูลมากกว่าที่คิด ✅ AI สามารถวิเคราะห์ใบหน้า อายุ ท่าทาง และอารมณ์จากภาพที่อัปโหลด - เทคโนโลยีนี้ สามารถใช้ในการติดตามตัวบุคคลได้ ✅ AI สามารถคาดเดาตำแหน่งของคุณจากภาพที่ไม่มีจุดสังเกตชัดเจน - แม้ไม่มีสถานที่ในพื้นหลัง AI ก็สามารถระบุตำแหน่งของคุณได้ ✅ ข้อมูลที่อัปโหลดอาจถูกนำไปใช้ในการโจมตีแบบฟิชชิ่ง - เช่น การสร้างบัญชีปลอม หรือการหลอกลวงทางออนไลน์ ✅ เด็กและเยาวชนมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกนำภาพไปใช้ในทางที่ผิด - ควรมี การให้ความรู้และการควบคุมการใช้งาน AI สำหรับเด็ก ‼️ ภาพที่อัปโหลดไปยัง AI อาจไม่สามารถลบออกจากระบบได้ - หากผู้ให้บริการ ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น GDPR ‼️ AI อาจใช้ข้อมูลใบหน้าเพื่อฝึกระบบจดจำใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต - อาจนำไปสู่ การใช้เทคโนโลยีติดตามตัวบุคคลในทางที่ผิด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/17/deepfake-me-are-there-risks-to-uploading-your-face-for-ai-selfies
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Deepfake me: Are there risks to uploading your face for AI selfies?
    New research has even shown that AI is now suprisingly good at guessing your location even from obscure photographs without recognisable places in the background.
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
More Results