• Jonathan Riddell อำลาวงการ KDE หลัง 25 ปี — เมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกันกลายเป็นจุดจบของผู้สร้าง Kubuntu

    Jonathan Riddell ผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเดสก์ท็อป Plasma ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ประกาศลาออกจากโครงการ KDE อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมายาวนานถึง 25 ปี โดยเหตุผลหลักมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนไป

    หลังจาก Canonical ยุติการสนับสนุน Kubuntu อย่างเป็นทางการ Riddell ได้หันไปพัฒนา KDE Neon ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดสอบและเผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ Plasma โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Blue Systems ที่มีบทบาทสำคัญในวงการโอเพ่นซอร์ส

    แต่เมื่อ Blue Systems ปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง บริษัทใหม่ชื่อ Tech Paladin จึงถูกตั้งขึ้นโดย Nate Graham นักพัฒนา KDE อีกคนหนึ่ง เพื่อสานต่อภารกิจเดิม Riddell เสนอให้ Tech Paladin ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์คล้าย Igalia ซึ่งเป็นบริษัทโอเพ่นซอร์สที่บริหารโดยพนักงานร่วมกัน แต่ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกว่าถูกกันออกจากการตัดสินใจในโครงการที่เขาเคยสร้างขึ้น

    ในบล็อกอำลา Riddell เขียนว่า “สุดท้าย ผมสูญเสียเพื่อนร่วมงาน อาชีพ และครอบครัว” พร้อมทิ้งท้ายว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป และหากใครต้องการพบเขา ก็สามารถตามหาได้ที่ “paddleshack ปลายโลก” ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย

    Jonathan Riddell ประกาศลาออกจาก KDE หลังร่วมงาน 25 ปี
    เป็นผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้ผลักดัน KDE Neon
    มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Plasma เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

    การเปลี่ยนผ่านจาก Blue Systems สู่ Tech Paladin
    Blue Systems ปิดตัวลงจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง
    Nate Graham ตั้ง Tech Paladin เพื่อสานต่อภารกิจ KDE

    Riddell เสนอให้ Tech Paladin เป็นสหกรณ์แบบ Igalia
    ต้องการโครงสร้างที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากทีมงาน
    ข้อเสนอถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกถูกกันออกจากการตัดสินใจ

    KDE Neon กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับ Plasma
    ใช้เผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ KDE โดยตรงถึงผู้ใช้
    เป็นจุดเชื่อมระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป

    Riddell อำลาวงการด้วยความผิดหวัง
    เขียนบล็อกอำลาพร้อมข้อความสะเทือนใจ
    ตั้งใจใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป

    https://news.itsfoss.com/jonathan-riddell-farewell/
    📰 Jonathan Riddell อำลาวงการ KDE หลัง 25 ปี — เมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกันกลายเป็นจุดจบของผู้สร้าง Kubuntu Jonathan Riddell ผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเดสก์ท็อป Plasma ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ประกาศลาออกจากโครงการ KDE อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมายาวนานถึง 25 ปี โดยเหตุผลหลักมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนไป หลังจาก Canonical ยุติการสนับสนุน Kubuntu อย่างเป็นทางการ Riddell ได้หันไปพัฒนา KDE Neon ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดสอบและเผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ Plasma โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Blue Systems ที่มีบทบาทสำคัญในวงการโอเพ่นซอร์ส แต่เมื่อ Blue Systems ปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง บริษัทใหม่ชื่อ Tech Paladin จึงถูกตั้งขึ้นโดย Nate Graham นักพัฒนา KDE อีกคนหนึ่ง เพื่อสานต่อภารกิจเดิม Riddell เสนอให้ Tech Paladin ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์คล้าย Igalia ซึ่งเป็นบริษัทโอเพ่นซอร์สที่บริหารโดยพนักงานร่วมกัน แต่ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกว่าถูกกันออกจากการตัดสินใจในโครงการที่เขาเคยสร้างขึ้น ในบล็อกอำลา Riddell เขียนว่า “สุดท้าย ผมสูญเสียเพื่อนร่วมงาน อาชีพ และครอบครัว” พร้อมทิ้งท้ายว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป และหากใครต้องการพบเขา ก็สามารถตามหาได้ที่ “paddleshack ปลายโลก” ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย ✅ Jonathan Riddell ประกาศลาออกจาก KDE หลังร่วมงาน 25 ปี ➡️ เป็นผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้ผลักดัน KDE Neon ➡️ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Plasma เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ✅ การเปลี่ยนผ่านจาก Blue Systems สู่ Tech Paladin ➡️ Blue Systems ปิดตัวลงจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง ➡️ Nate Graham ตั้ง Tech Paladin เพื่อสานต่อภารกิจ KDE ✅ Riddell เสนอให้ Tech Paladin เป็นสหกรณ์แบบ Igalia ➡️ ต้องการโครงสร้างที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากทีมงาน ➡️ ข้อเสนอถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกถูกกันออกจากการตัดสินใจ ✅ KDE Neon กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับ Plasma ➡️ ใช้เผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ KDE โดยตรงถึงผู้ใช้ ➡️ เป็นจุดเชื่อมระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป ✅ Riddell อำลาวงการด้วยความผิดหวัง ➡️ เขียนบล็อกอำลาพร้อมข้อความสะเทือนใจ ➡️ ตั้งใจใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป https://news.itsfoss.com/jonathan-riddell-farewell/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Unhappy Ending! Kubuntu Creator Jonathan Riddell Departs After 25 Years with KDE
    Jonathan Riddell feels that the clash of opinions and values prompted him to say goodbye to KDE after 25 long years.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • ASRock X870 LiveMixer WiFi: เมนบอร์ดสาย Creator ที่มาพร้อมพอร์ต USB ถึง 25 ช่อง — แต่ยังมีจุดอ่อนที่ไม่ควรมองข้าม

    ในยุคที่อุปกรณ์ต่อพ่วงมีมากมายเกินกว่าจะนับนิ้วได้ ASRock ได้เปิดตัวเมนบอร์ดรุ่นใหม่ X870 LiveMixer WiFi ที่มาพร้อมพอร์ต USB มากถึง 25 ช่อง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ “มากที่สุดในตลาด” ณ ปี 2025 โดยออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ใช้งานระดับ Creator ที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย เช่น กล้อง, ไมโครโฟน, DAC, SSD, และอุปกรณ์สตรีมมิ่งต่าง ๆ

    เมนบอร์ดนี้รองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นใหม่ตั้งแต่ซีรีส์ 7000 ถึง 9000 ผ่านซ็อกเก็ต AM5 พร้อมรองรับแรม DDR5 สูงสุดถึง 256GB และความเร็วทะลุ 8000MT/s โดยมีระบบ VRM แบบ 16+2+1 เฟส พร้อมคาปาซิเตอร์ระดับ 20K เพื่อความเสถียรในการโอเวอร์คล็อก

    จุดเด่นที่สุดคือพอร์ต USB ที่แบ่งเป็น:
    - USB4 จำนวน 2 ช่อง
    - USB 3.2 Gen2x2 ความเร็ว 20Gbps จำนวน 1 ช่อง
    - USB 3.2 Gen1 ความเร็ว 5Gbps จำนวน 12 ช่อง
    - USB 2.0 จำนวน 10 ช่อง

    แม้จะดูน่าตื่นเต้น แต่การใส่ USB 2.0 ถึง 10 ช่องในปี 2025 ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ย้อนยุคเกินไป” เพราะความเร็วต่ำและไม่เหมาะกับอุปกรณ์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม หากคุณยังใช้อุปกรณ์เก่าอยู่ ก็อาจเป็นข้อดีที่หาได้ยากในเมนบอร์ดรุ่นใหม่

    ด้านการเชื่อมต่ออื่น ๆ ก็จัดเต็มเช่นกัน ทั้ง Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, LAN 5Gbps, HDMI 2.1, และระบบเสียง Realtek ALC4082 พร้อม Nahimic Audio

    ASRock เปิดตัวเมนบอร์ด X870 LiveMixer WiFi
    รองรับซีพียู AMD Ryzen 7000–9000 ผ่านซ็อกเก็ต AM5
    รองรับแรม DDR5 สูงสุด 256GB ความเร็วถึง 8000MT/s
    ระบบ VRM แบบ 16+2+1 เฟส พร้อมคาปาซิเตอร์ 20K

    จุดเด่นคือพอร์ต USB มากถึง 25 ช่อง
    USB4 จำนวน 2 ช่อง
    USB 3.2 Gen2x2 (20Gbps) จำนวน 1 ช่อง
    USB 3.2 Gen1 (5Gbps) จำนวน 12 ช่อง
    USB 2.0 จำนวน 10 ช่อง

    การเชื่อมต่ออื่น ๆ ครบครัน
    LAN 5Gbps, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4
    HDMI 2.1, ระบบเสียง Realtek ALC4082 + Nahimic
    รองรับ PCIe 5.0 สำหรับกราฟิกและ SSD

    เหมาะสำหรับ Creator และผู้ใช้งานที่ต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก
    รองรับอุปกรณ์สตรีมมิ่ง, กล้อง, DAC, และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ
    ลดความจำเป็นในการใช้ USB hub ภายนอก

    https://www.techradar.com/pro/you-can-plug-25-usb-devices-into-this-asrock-atx-motherboard-yes-25-shame-10-of-them-are-usb-2-0-an-abomination-in-2025
    📰 ASRock X870 LiveMixer WiFi: เมนบอร์ดสาย Creator ที่มาพร้อมพอร์ต USB ถึง 25 ช่อง — แต่ยังมีจุดอ่อนที่ไม่ควรมองข้าม ในยุคที่อุปกรณ์ต่อพ่วงมีมากมายเกินกว่าจะนับนิ้วได้ ASRock ได้เปิดตัวเมนบอร์ดรุ่นใหม่ X870 LiveMixer WiFi ที่มาพร้อมพอร์ต USB มากถึง 25 ช่อง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ “มากที่สุดในตลาด” ณ ปี 2025 โดยออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ใช้งานระดับ Creator ที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย เช่น กล้อง, ไมโครโฟน, DAC, SSD, และอุปกรณ์สตรีมมิ่งต่าง ๆ เมนบอร์ดนี้รองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นใหม่ตั้งแต่ซีรีส์ 7000 ถึง 9000 ผ่านซ็อกเก็ต AM5 พร้อมรองรับแรม DDR5 สูงสุดถึง 256GB และความเร็วทะลุ 8000MT/s โดยมีระบบ VRM แบบ 16+2+1 เฟส พร้อมคาปาซิเตอร์ระดับ 20K เพื่อความเสถียรในการโอเวอร์คล็อก จุดเด่นที่สุดคือพอร์ต USB ที่แบ่งเป็น: - USB4 จำนวน 2 ช่อง - USB 3.2 Gen2x2 ความเร็ว 20Gbps จำนวน 1 ช่อง - USB 3.2 Gen1 ความเร็ว 5Gbps จำนวน 12 ช่อง - USB 2.0 จำนวน 10 ช่อง แม้จะดูน่าตื่นเต้น แต่การใส่ USB 2.0 ถึง 10 ช่องในปี 2025 ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ย้อนยุคเกินไป” เพราะความเร็วต่ำและไม่เหมาะกับอุปกรณ์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม หากคุณยังใช้อุปกรณ์เก่าอยู่ ก็อาจเป็นข้อดีที่หาได้ยากในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ด้านการเชื่อมต่ออื่น ๆ ก็จัดเต็มเช่นกัน ทั้ง Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, LAN 5Gbps, HDMI 2.1, และระบบเสียง Realtek ALC4082 พร้อม Nahimic Audio ✅ ASRock เปิดตัวเมนบอร์ด X870 LiveMixer WiFi ➡️ รองรับซีพียู AMD Ryzen 7000–9000 ผ่านซ็อกเก็ต AM5 ➡️ รองรับแรม DDR5 สูงสุด 256GB ความเร็วถึง 8000MT/s ➡️ ระบบ VRM แบบ 16+2+1 เฟส พร้อมคาปาซิเตอร์ 20K ✅ จุดเด่นคือพอร์ต USB มากถึง 25 ช่อง ➡️ USB4 จำนวน 2 ช่อง ➡️ USB 3.2 Gen2x2 (20Gbps) จำนวน 1 ช่อง ➡️ USB 3.2 Gen1 (5Gbps) จำนวน 12 ช่อง ➡️ USB 2.0 จำนวน 10 ช่อง ✅ การเชื่อมต่ออื่น ๆ ครบครัน ➡️ LAN 5Gbps, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 ➡️ HDMI 2.1, ระบบเสียง Realtek ALC4082 + Nahimic ➡️ รองรับ PCIe 5.0 สำหรับกราฟิกและ SSD ✅ เหมาะสำหรับ Creator และผู้ใช้งานที่ต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก ➡️ รองรับอุปกรณ์สตรีมมิ่ง, กล้อง, DAC, และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้ USB hub ภายนอก https://www.techradar.com/pro/you-can-plug-25-usb-devices-into-this-asrock-atx-motherboard-yes-25-shame-10-of-them-are-usb-2-0-an-abomination-in-2025
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก”

    ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น

    Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย

    สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม

    ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ

    ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ

    กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    🍏 “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก” ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว” https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้
    1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine)
    ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น
    2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine)
    ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์
    ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง
    ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น
    3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร
    4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่
    คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค
    5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine)
    การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,ภูษาบำบัด(Twisting Tourniquet Technique),การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น

    โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด"
    https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ✅กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพประชาชน ด้วยศาสตร์ต่างๆ ดังนี้ 🧐1.ศาสตร์แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine) ยาเบญจโลกวิเชียร(ห้าราก),ยาขาว,ยาใบมะขาม,ยาตรีผลา,ยาจันทลีลา,ยาเขียวหอม,ยาแสงหมึก,ยาประสะจันทน์แดง,ยามหานิลแท่งทอง,ยาสิงฆาณิกา,ยาธาตุบรรจบ,ยาเหลืองปิดสมุทร,ยาธาตุอบเชย,ยาปราบชมพูทวีป,ยาประสะมะแว้ง,ยาอัมฤควาที,ยาบำรุงโลหิต,ยาเลือดงาม,ยาถ่าย,ยาชุมเห็ดเทศ,ยาธรณีสัณฑฆาต,ยาตรีหอม,ยาลม300จำพวก,ยาหอม,ยาดองมะกรูด,ยาประสะกะเพรา,ยาประสะกานพลู,ยาวิสัมพยาใหญ่,ยามันทธาตุ,ยามหาจักรใหญ่,ยาประสะเจตพังคี,ยามะฮอกกานี,ยาแก้ไอมะขามป้อม,ยาพญายอ,สมุนไพรถ่ายพยาธิต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง,เมล็ดมะขาม,เมล็ดเล็บมือนาง,เมล็ดสแก,ผงปวกหาด(มะหาด),ผลมะเกลือ,ยาเปลือกมังคุด,รางจืด,ฟ้าทลายโจร,โกฐจุฬาลัมพา,พลูคาว,ใบหนุมานประสานกาย,กระชาย,กัญชา,ขมิ้นชัน,อ้อยดำ,ฝาง,ผักบุ้งแดง,ดอกเกลือ,สมุนไพร ลมปราณ,ปัตจัตตัง เป็นต้น 🧐2.ศาสตร์แพทย์แผนจีน (Traditional Chinese Medicine) ยกตัวอย่าง สมุนไพรฉั่งฉิก ยาเขียวธรรมดา ยาเขียวพิเศษชิงเฟ่ยซองสีส้ม ยาชะลอวัย ยาวาสคิวล่าร์ ถ้าเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันใช้ยา 脑心通胶囊 เหน่า ซิน ทง ถ้าก้อนเนื้องอกกำเริบ ใช้温胆汤加减 เวิน ต่าน ทัง เจีย เจี่ยน และศาสตร์การฝังเข็ม เป็นต้น 🧐3.ศาสตร์โฮมิโอพาธีร์ (Homeophathy) ยาสกัดพลังธรมชาติ จาก พืช สัตว์ แร่ธาตุ ได้แก่ ตำรับโฮมิโอพาธีร์ต่างๆ ตำรับยาหมออมร ดังนี้ Isopathy ของวัคซีน AstraZeneca และ Sinopharm ตำรับ Benjalo แก้แพ้วัคซีนและลองโควิด,TotalTox ล้างพิษที่ตกค้างในอาหาร,RJHT ล้างพิษฟอร์มาลีนและสารเคมีการเกษตร,CKDMHT ขจัดพิษตกค้างจากสารเคมีปรุงรส,CBZA ช่วยล้างพิษสารเคมีกันบูดในอาหาร 🧐4.การครอบแก้ว,กรอกเลือด (Wet Cupping) เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เอาเลือดที่ คั่งค้างออก ซึ่งส่งผลทำให้ลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและสามารถบรรเทาได้หลายโรค 🧐5.ศาสตร์ผสมผสาน (Integrative Medicine) การเหยียบดิน/หญ้า(Grounding),การอบตัว,อดอาหารเป็นระยะ(Intermittent Fasting),ศาสตร์ยา9เม็ดหมอเขียว,สวนล้างลำไส้(Enema),ล้างลำไส้แบบลึก(Colonics),Vitamin C Flush,เสียงบำบัด(Sound Therapy),ความถี่บำบัด(Frequency Therapy),ใช้แสงแดงFar Infrared,Reiki,แช่เท้า(Herbal Foot Bath),ล้างพิษตับ(Liver Compression,Castor Oil Pack,การใช้ทองแดง(Copper Tensor Rings),Crystals,การเขียนบันทึก (Journaling),Art Therapy,ภูษาบำบัด(Twisting Tourniquet Technique),การทำสมาธิ Pasitive Affirmations,ฝึกการหายใจ(Breathing Exercises),การตากแดด,เข้าใกล้มังสวิรัติ,คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน(CDS),ไฮดรอกซีคลอโรควีน(HCQ),เมทาลีนบลู(Methylene Blue),ดินภูเขาไฟเบนโทไนท์(Bentonite Clay),ซีโอไลท์(Zeolite),ซิลเวอร์คอลลอยด์(ColloidalSilver),DMSO,ไอโอดีน(Iodine),ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์(Hydrogen Peroxide),ไอเวอร์เมคติน(Ivermectin),เฟนเบนดาโซล (Fenbendazole),แอสไพลิน(Aspirin),น้ำเสริมไฮโดรเจน(hydrogen-rich water),บอแรกซ์(Borax),นัตโตะไคเนส(Nattokinase),โบรมิเลน(Bromelain),Magnesium Antisense(แมกนีเซียมแอนไทเซนส์),เพนท็อกซิฟิลลีน(Pentoxifylline),แมกนีเซียม(Magnesium),กลูตาไธโอน(Glutathione),สังกะสี(Zinc),แอสตาแซนธิน(Astaxanthin),ซิลิมาริน(Sillymarin),กรดอัลฟาไลโปอิก(Alpha Lipoic Acid),เมลาโทนิน(Melatonin),วิตามินดี(Vitamin D),NACหรือN-Acetylcysteine,CoQ10,ซิลิเนียม(Selenium),กรดฟูลวิค(Fulvic Acid),ผักชี(coriander),มะระขี้นก(Bitter gourd),สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina),มิลค์ทิสเซิล(Milk Thistle-Silymarin),พริกคาเยน(Chayenne Peper),ชาเขียว(Green Tea),เห็ดถั่งเช่า(Cordyceps Mushrooms),อาติโช๊ค(Artichoke),คลอเรลลา(Chlorella),สาหร่าย Dulse,Shilajit และอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆที่โลกมี เป็นต้น โอเพนแชท "ล้างพิษ ยาฉีด" https://line.me/ti/g2/wTvY1gxHGpGKCt15sQN1jMHw02XoSC1uXsjUsQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “อินเทอร์เน็ตดาวเทียมไม่ได้มีแค่ Starlink — เปิดทางเลือกใหม่สำหรับพื้นที่ห่างไกล พร้อมคู่แข่งที่กำลังไล่ตาม”

    Starlink จาก SpaceX ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมด้วยการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวนมาก ทำให้ได้ความเร็วสูงและ latency ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตแบบสาย อย่างไรก็ตาม แม้ Starlink จะโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตลาดนี้

    สองคู่แข่งหลักที่ยังคงอยู่ในสนามคือ Hughesnet และ Viasat ซึ่งใช้ดาวเทียมแบบ geostationary (GEO) ที่อยู่ไกลจากโลกมากกว่า ทำให้มีความครอบคลุมกว้างแต่แลกกับความเร็วและ latency ที่ต่ำกว่า Starlink อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Hughesnet มี latency เฉลี่ย 683 ms และความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ย 47 Mbps ขณะที่ Starlink อยู่ที่ 45 ms และ 104 Mbps

    Viasat ก็มีปัญหาคล้ายกัน แม้จะมีแผน Unleashed ที่โฆษณาว่าความเร็วสูงถึง 150 Mbps แต่การทดสอบจริงได้เพียง 37 Mbps เท่านั้น และ latency อยู่ที่ประมาณ 676 ms ทั้งสองบริษัทยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาระยะยาว ค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนด และการลดความเร็วเมื่อใช้เกินโควต้าข้อมูล

    แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ Amazon Project Kuiper ซึ่งกำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียม LEO เช่นเดียวกับ Starlink โดยมีเป้าหมายส่งดาวเทียมกว่า 3,200 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps พร้อม latency ต่ำเพียง 20–40 ms หากเปิดให้บริการจริงภายในปี 2025 ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Starlink

    ตัวเลือกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในปัจจุบัน
    Starlink ใช้ดาวเทียม LEO ให้ความเร็วสูงและ latency ต่ำ เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล
    Hughesnet ใช้ดาวเทียม GEO — ความครอบคลุมกว้างแต่ latency สูงและความเร็วต่ำ
    Viasat ใช้ทั้ง GEO และ HEO — มีแผนหลายระดับแต่ความเร็วจริงต่ำกว่าที่โฆษณา
    Amazon Kuiper กำลังพัฒนาเครือข่าย LEO ที่อาจให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps

    ข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้น
    Starlink: latency ~45 ms / ความเร็ว ~104 Mbps / ไม่มีสัญญาระยะยาว
    Hughesnet: latency ~683 ms / ความเร็ว ~47 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเมื่อใช้เกิน
    Viasat: latency ~676 ms / ความเร็วจริง ~37 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเช่นกัน
    Kuiper: latency ~20–40 ms / ความเร็วเป้าหมาย ~400 Mbps / ยังไม่เปิดเผยราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียม LEO อยู่ใกล้โลก (~500–1,200 กม.) ทำให้ตอบสนองเร็วกว่า GEO (~35,000 กม.)
    Hughesnet และ Viasat กำลังสูญเสียลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันของ Starlink
    Starlink ใช้จรวดรีไซเคิลจาก SpaceX ทำให้ต้นทุนการขยายเครือข่ายต่ำกว่าคู่แข่ง
    Kuiper มีสัญญาให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบิน JetBlue ในปี 2027 — เริ่มเจาะตลาดเฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1965463/best-starlink-alternatives-satellite-internet/
    🛰️ “อินเทอร์เน็ตดาวเทียมไม่ได้มีแค่ Starlink — เปิดทางเลือกใหม่สำหรับพื้นที่ห่างไกล พร้อมคู่แข่งที่กำลังไล่ตาม” Starlink จาก SpaceX ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมด้วยการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวนมาก ทำให้ได้ความเร็วสูงและ latency ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตแบบสาย อย่างไรก็ตาม แม้ Starlink จะโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตลาดนี้ สองคู่แข่งหลักที่ยังคงอยู่ในสนามคือ Hughesnet และ Viasat ซึ่งใช้ดาวเทียมแบบ geostationary (GEO) ที่อยู่ไกลจากโลกมากกว่า ทำให้มีความครอบคลุมกว้างแต่แลกกับความเร็วและ latency ที่ต่ำกว่า Starlink อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Hughesnet มี latency เฉลี่ย 683 ms และความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ย 47 Mbps ขณะที่ Starlink อยู่ที่ 45 ms และ 104 Mbps Viasat ก็มีปัญหาคล้ายกัน แม้จะมีแผน Unleashed ที่โฆษณาว่าความเร็วสูงถึง 150 Mbps แต่การทดสอบจริงได้เพียง 37 Mbps เท่านั้น และ latency อยู่ที่ประมาณ 676 ms ทั้งสองบริษัทยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาระยะยาว ค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนด และการลดความเร็วเมื่อใช้เกินโควต้าข้อมูล แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ Amazon Project Kuiper ซึ่งกำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียม LEO เช่นเดียวกับ Starlink โดยมีเป้าหมายส่งดาวเทียมกว่า 3,200 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps พร้อม latency ต่ำเพียง 20–40 ms หากเปิดให้บริการจริงภายในปี 2025 ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Starlink ✅ ตัวเลือกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในปัจจุบัน ➡️ Starlink ใช้ดาวเทียม LEO ให้ความเร็วสูงและ latency ต่ำ เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล ➡️ Hughesnet ใช้ดาวเทียม GEO — ความครอบคลุมกว้างแต่ latency สูงและความเร็วต่ำ ➡️ Viasat ใช้ทั้ง GEO และ HEO — มีแผนหลายระดับแต่ความเร็วจริงต่ำกว่าที่โฆษณา ➡️ Amazon Kuiper กำลังพัฒนาเครือข่าย LEO ที่อาจให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps ✅ ข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้น ➡️ Starlink: latency ~45 ms / ความเร็ว ~104 Mbps / ไม่มีสัญญาระยะยาว ➡️ Hughesnet: latency ~683 ms / ความเร็ว ~47 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเมื่อใช้เกิน ➡️ Viasat: latency ~676 ms / ความเร็วจริง ~37 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเช่นกัน ➡️ Kuiper: latency ~20–40 ms / ความเร็วเป้าหมาย ~400 Mbps / ยังไม่เปิดเผยราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียม LEO อยู่ใกล้โลก (~500–1,200 กม.) ทำให้ตอบสนองเร็วกว่า GEO (~35,000 กม.) ➡️ Hughesnet และ Viasat กำลังสูญเสียลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันของ Starlink ➡️ Starlink ใช้จรวดรีไซเคิลจาก SpaceX ทำให้ต้นทุนการขยายเครือข่ายต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ Kuiper มีสัญญาให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบิน JetBlue ในปี 2027 — เริ่มเจาะตลาดเฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1965463/best-starlink-alternatives-satellite-internet/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Are The Best (And Only) Starlink Alternative Options Out There - SlashGear
    Starlink dominates satellite internet, but Hughesnet, Viasat, and Amazon’s upcoming Kuiper offer the few real alternatives worth knowing.
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • “Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ทดสอบความเร็วเน็ตใน Taskbar — กดปุ๊บเปิด Bing ปั๊บ แต่ยังไม่ใช่ระบบในเครื่องจริง”

    Microsoft เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่ให้ผู้ใช้สามารถทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้ทันทีจาก Taskbar โดยไม่ต้องเปิดเว็บไซต์หรือแอปภายนอก โดยในเวอร์ชัน Insider ล่าสุด (Build 26220.6682 และ 26120.6682) มีการเพิ่มปุ่ม “Perform speed test” ทั้งในเมนูคลิกขวาของไอคอนเครือข่าย และในหน้า Quick Settings ของ Wi-Fi

    เมื่อคลิกปุ่มดังกล่าว ระบบจะเปิดเบราว์เซอร์และนำผู้ใช้ไปยัง Bing ซึ่งมีเครื่องมือทดสอบความเร็วเน็ตฝังอยู่ — หมายความว่าฟีเจอร์นี้ยังไม่ใช่การทดสอบแบบ native ภายใน Windows แต่เป็นการเชื่อมต่อไปยังบริการภายนอกที่ Microsoft ควบคุมผ่าน Bing

    นอกจากฟีเจอร์นี้ Microsoft ยังปรับปรุงหน้าการตั้งค่าหลายส่วน เช่น หน้า Mobile Devices ที่รวมการควบคุมโทรศัพท์ไว้ในที่เดียว และหน้า Privacy & Security ที่มีหัวข้อชัดเจนมากขึ้น รวมถึงหน้าใหม่ “Background AI tasks” ที่ยังไม่เสถียรและมีรายงานว่าทำให้ระบบล่มในบางกรณี

    แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะยังอยู่ในเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สะท้อนถึงแนวทางของ Microsoft ที่พยายามเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน และเชื่อมโยงบริการของตนเองเข้ากับระบบปฏิบัติการอย่างแนบเนียนมากขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build
    เพิ่มปุ่ม “Perform speed test” ในเมนูคลิกขวาของไอคอนเครือข่ายใน Taskbar
    เพิ่มปุ่มทดสอบความเร็วในหน้า Quick Settings ของ Wi-Fi
    เมื่อคลิกแล้วจะเปิด Bing เพื่อทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านเบราว์เซอร์
    ฟีเจอร์นี้อยู่ใน Build 26220.6682 และ 26120.6682 (KB5065782) ในช่อง Dev และ Beta

    การปรับปรุงหน้าการตั้งค่า
    หน้า Mobile Devices รวมการควบคุมโทรศัพท์ไว้ในหน้าหลักของ Bluetooth & Devices
    หน้า Privacy & Security ถูกจัดระเบียบใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น
    เพิ่มหน้า “Background AI tasks” สำหรับควบคุมงานเบื้องหลังของ AI
    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบกับผู้ใช้ Insider

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-is-getting-a-built-in-internet-speed-test-feature-that-will-take-you-to-bing-along-with-multiple-revamped-settings-pages-latest-insider-channel-builds-reveal-prominent-changes-coming-soon-to-the-os
    📶 “Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ทดสอบความเร็วเน็ตใน Taskbar — กดปุ๊บเปิด Bing ปั๊บ แต่ยังไม่ใช่ระบบในเครื่องจริง” Microsoft เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่ให้ผู้ใช้สามารถทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้ทันทีจาก Taskbar โดยไม่ต้องเปิดเว็บไซต์หรือแอปภายนอก โดยในเวอร์ชัน Insider ล่าสุด (Build 26220.6682 และ 26120.6682) มีการเพิ่มปุ่ม “Perform speed test” ทั้งในเมนูคลิกขวาของไอคอนเครือข่าย และในหน้า Quick Settings ของ Wi-Fi เมื่อคลิกปุ่มดังกล่าว ระบบจะเปิดเบราว์เซอร์และนำผู้ใช้ไปยัง Bing ซึ่งมีเครื่องมือทดสอบความเร็วเน็ตฝังอยู่ — หมายความว่าฟีเจอร์นี้ยังไม่ใช่การทดสอบแบบ native ภายใน Windows แต่เป็นการเชื่อมต่อไปยังบริการภายนอกที่ Microsoft ควบคุมผ่าน Bing นอกจากฟีเจอร์นี้ Microsoft ยังปรับปรุงหน้าการตั้งค่าหลายส่วน เช่น หน้า Mobile Devices ที่รวมการควบคุมโทรศัพท์ไว้ในที่เดียว และหน้า Privacy & Security ที่มีหัวข้อชัดเจนมากขึ้น รวมถึงหน้าใหม่ “Background AI tasks” ที่ยังไม่เสถียรและมีรายงานว่าทำให้ระบบล่มในบางกรณี แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะยังอยู่ในเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สะท้อนถึงแนวทางของ Microsoft ที่พยายามเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน และเชื่อมโยงบริการของตนเองเข้ากับระบบปฏิบัติการอย่างแนบเนียนมากขึ้น ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ➡️ เพิ่มปุ่ม “Perform speed test” ในเมนูคลิกขวาของไอคอนเครือข่ายใน Taskbar ➡️ เพิ่มปุ่มทดสอบความเร็วในหน้า Quick Settings ของ Wi-Fi ➡️ เมื่อคลิกแล้วจะเปิด Bing เพื่อทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านเบราว์เซอร์ ➡️ ฟีเจอร์นี้อยู่ใน Build 26220.6682 และ 26120.6682 (KB5065782) ในช่อง Dev และ Beta ✅ การปรับปรุงหน้าการตั้งค่า ➡️ หน้า Mobile Devices รวมการควบคุมโทรศัพท์ไว้ในหน้าหลักของ Bluetooth & Devices ➡️ หน้า Privacy & Security ถูกจัดระเบียบใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น ➡️ เพิ่มหน้า “Background AI tasks” สำหรับควบคุมงานเบื้องหลังของ AI ➡️ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบกับผู้ใช้ Insider https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-is-getting-a-built-in-internet-speed-test-feature-that-will-take-you-to-bing-along-with-multiple-revamped-settings-pages-latest-insider-channel-builds-reveal-prominent-changes-coming-soon-to-the-os
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • “ญี่ปุ่นทำสถิติใหม่! ผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีเกือบแสนคน — เบื้องหลังความยืนยาวที่โลกต้องเรียนรู้”

    รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศตัวเลขล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ว่ามีประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไปถึง 99,763 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 55 ติดต่อกัน โดยในจำนวนนี้ ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มอายุขัยที่ยืนยาวของผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

    ผู้สูงวัยที่อายุมากที่สุดในประเทศคือคุณ Shigeko Kagawa อายุ 114 ปี จากเมือง Nara ส่วนผู้ชายที่อายุมากที่สุดคือคุณ Kiyotaka Mizuno อายุ 111 ปี จากเมือง Iwata ซึ่งกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่เก็บเรื่องต่าง ๆ มาใส่ใจ” หรือในภาษาญี่ปุ่นคือ “ไม่ kuyokuyo” หมายถึงไม่วิตกกังวลเกินเหตุ

    เบื้องหลังความยืนยาวของชาวญี่ปุ่นมีหลายปัจจัย ทั้งอาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่มีมาตั้งแต่ปี 1928 และการใช้ชีวิตที่มีจังหวะช้าแต่มั่นคง เช่น การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว

    นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรม “hara hachi bu” หรือการกินแค่ 80% ของความอิ่ม และ “ikigai” หรือการมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ Blue Zone อย่าง Okinawa ที่มีอัตราผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก

    อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากการตรวจสอบในปี 2010 พบว่ามีผู้ที่ถูกระบุว่าอายุเกิน 100 ปีแต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 230,000 คน ซึ่งเกิดจากการบันทึกข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และบางกรณีมีการปกปิดการเสียชีวิตเพื่อรับเงินบำนาญ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ญี่ปุ่นมีผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีถึง 99,763 คนในปี 2025
    ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% ของผู้สูงวัยทั้งหมด
    ผู้ที่อายุมากที่สุดคือ Shigeko Kagawa (114 ปี) และ Kiyotaka Mizuno (111 ปี)
    มีการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติในวันที่ 15 กันยายน พร้อมมอบถ้วยเงินและจดหมายแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรี

    ปัจจัยที่ส่งเสริมอายุยืน
    อาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง ลดอัตราโรคหัวใจและมะเร็ง
    การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่ออกอากาศทุกวัน
    วัฒนธรรม “hara hachi bu” และ “ikigai” ที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย
    การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Okinawa เป็นหนึ่งใน Blue Zone ที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก
    ผู้หญิงทั่วโลกมีแนวโน้มอายุยืนกว่าผู้ชายจากปัจจัยทางชีวภาพและพฤติกรรม
    ญี่ปุ่นมีอัตราโรคอ้วนต่ำ โดยเฉพาะในผู้หญิง
    การลดการบริโภคเกลือและน้ำตาลเป็นผลจากนโยบายสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ

    https://www.bbc.com/news/articles/cd07nljlyv0o
    🎉 “ญี่ปุ่นทำสถิติใหม่! ผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีเกือบแสนคน — เบื้องหลังความยืนยาวที่โลกต้องเรียนรู้” รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศตัวเลขล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ว่ามีประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไปถึง 99,763 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 55 ติดต่อกัน โดยในจำนวนนี้ ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มอายุขัยที่ยืนยาวของผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ผู้สูงวัยที่อายุมากที่สุดในประเทศคือคุณ Shigeko Kagawa อายุ 114 ปี จากเมือง Nara ส่วนผู้ชายที่อายุมากที่สุดคือคุณ Kiyotaka Mizuno อายุ 111 ปี จากเมือง Iwata ซึ่งกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่เก็บเรื่องต่าง ๆ มาใส่ใจ” หรือในภาษาญี่ปุ่นคือ “ไม่ kuyokuyo” หมายถึงไม่วิตกกังวลเกินเหตุ เบื้องหลังความยืนยาวของชาวญี่ปุ่นมีหลายปัจจัย ทั้งอาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่มีมาตั้งแต่ปี 1928 และการใช้ชีวิตที่มีจังหวะช้าแต่มั่นคง เช่น การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรม “hara hachi bu” หรือการกินแค่ 80% ของความอิ่ม และ “ikigai” หรือการมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ Blue Zone อย่าง Okinawa ที่มีอัตราผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากการตรวจสอบในปี 2010 พบว่ามีผู้ที่ถูกระบุว่าอายุเกิน 100 ปีแต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 230,000 คน ซึ่งเกิดจากการบันทึกข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และบางกรณีมีการปกปิดการเสียชีวิตเพื่อรับเงินบำนาญ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ญี่ปุ่นมีผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีถึง 99,763 คนในปี 2025 ➡️ ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% ของผู้สูงวัยทั้งหมด ➡️ ผู้ที่อายุมากที่สุดคือ Shigeko Kagawa (114 ปี) และ Kiyotaka Mizuno (111 ปี) ➡️ มีการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติในวันที่ 15 กันยายน พร้อมมอบถ้วยเงินและจดหมายแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรี ✅ ปัจจัยที่ส่งเสริมอายุยืน ➡️ อาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง ลดอัตราโรคหัวใจและมะเร็ง ➡️ การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่ออกอากาศทุกวัน ➡️ วัฒนธรรม “hara hachi bu” และ “ikigai” ที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย ➡️ การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Okinawa เป็นหนึ่งใน Blue Zone ที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก ➡️ ผู้หญิงทั่วโลกมีแนวโน้มอายุยืนกว่าผู้ชายจากปัจจัยทางชีวภาพและพฤติกรรม ➡️ ญี่ปุ่นมีอัตราโรคอ้วนต่ำ โดยเฉพาะในผู้หญิง ➡️ การลดการบริโภคเกลือและน้ำตาลเป็นผลจากนโยบายสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ https://www.bbc.com/news/articles/cd07nljlyv0o
    WWW.BBC.COM
    Japan sets new record with nearly 100,000 people aged over 100
    The number of Japanese centenarians rose to 99,763 in September, with women making up 88% of the total.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก microkernel ถึง reactive UI: เมื่อ OS กลายเป็นงานศิลปะที่เขียนด้วย C++

    skiftOS ไม่ได้พยายามเลียนแบบระบบปฏิบัติการที่มีอยู่ แต่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วย C++ สมัยใหม่ เพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และทดลองสำหรับคนที่อยากเข้าใจแก่นแท้ของ OS โดยไม่ต้องแบกภาระของ legacy code หรือข้อจำกัดของ POSIX

    ระบบนี้ใช้ microkernel แบบ capability-based ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นโมดูล พร้อม UI แบบ reactive ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก SwiftUI และ Flutter ทำให้ทุกแอปมีธีมและการจัดวางที่สอดคล้องกันอย่างสวยงาม

    แม้จะยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน แต่ skiftOS ก็มีแอปพื้นฐานครบถ้วน เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator และแม้แต่เกมงู! ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้เล็ก สร้างง่าย และเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้การพัฒนา OS

    นอกจากนี้ skiftOS ยังมี browser engine แบบเบา ๆ ที่รองรับ HTML/CSS สำหรับการจัดวางหน้าเว็บ และระบบ build ที่รองรับ ARM, x86 และ RISC-V ทำให้สามารถทดลองบนฮาร์ดแวร์หลากหลายได้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ skiftOS ไม่ใช่ *NIX และไม่ยึดติดกับ API แบบเดิม แต่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia ซึ่งเน้นความเรียบง่าย ความสอดคล้อง และการออกแบบใหม่หมด

    แนวคิดและเป้าหมายของ skiftOS
    สร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้ OS internals และพัฒนาทักษะระบบ
    ไม่พยายามเลียนแบบ Windows หรือ Linux
    เป็นระบบที่เขียนด้วย C++ สมัยใหม่ทั้งหมด

    สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีหลัก
    ใช้ capability-based microkernel เพื่อความปลอดภัยและความเป็นโมดูล
    มี reactive UI framework ที่สวยงามและสอดคล้องกัน
    มี UEFI bootloader ที่ปรับแต่งได้และมีกราฟิกสวยงาม

    แอปและระบบพื้นฐาน
    มีแอปพื้นฐานครบ เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator
    มี browser engine ที่รองรับ HTML/CSS แบบเบา ๆ
    รองรับการ build บน ARM, x86 และ RISC-V

    ความแตกต่างจากระบบปฏิบัติการทั่วไป
    ไม่ใช่ POSIX และไม่ใช่ *NIX
    ได้แรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia
    มี API และ userland ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด

    ชุมชนและการมีส่วนร่วม
    เปิดให้ร่วมพัฒนาผ่าน GitHub
    มีช่องทางสื่อสารผ่าน Discord, Reddit และ Bluesky
    ได้รับการสนับสนุนจากนักพัฒนาหลายคนในวงการ OS

    ความเสี่ยงจากการใช้งานจริง
    skiftOS ยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริง
    อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ที่ยังไม่สมบูรณ์

    ความเปราะบางของ ecosystem
    ไม่รองรับซอฟต์แวร์หรือไลบรารีจาก Linux หรือ Windows
    ต้องเรียนรู้ API ใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น

    ความไม่แน่นอนของการพัฒนาในระยะยาว
    เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวที่ขึ้นอยู่กับเวลาของผู้พัฒนา
    อาจไม่มีการอัปเดตหรือสนับสนุนในระยะยาว

    https://skiftos.org/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก microkernel ถึง reactive UI: เมื่อ OS กลายเป็นงานศิลปะที่เขียนด้วย C++ skiftOS ไม่ได้พยายามเลียนแบบระบบปฏิบัติการที่มีอยู่ แต่สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วย C++ สมัยใหม่ เพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้และทดลองสำหรับคนที่อยากเข้าใจแก่นแท้ของ OS โดยไม่ต้องแบกภาระของ legacy code หรือข้อจำกัดของ POSIX ระบบนี้ใช้ microkernel แบบ capability-based ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นโมดูล พร้อม UI แบบ reactive ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก SwiftUI และ Flutter ทำให้ทุกแอปมีธีมและการจัดวางที่สอดคล้องกันอย่างสวยงาม แม้จะยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน แต่ skiftOS ก็มีแอปพื้นฐานครบถ้วน เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator และแม้แต่เกมงู! ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้เล็ก สร้างง่าย และเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้การพัฒนา OS นอกจากนี้ skiftOS ยังมี browser engine แบบเบา ๆ ที่รองรับ HTML/CSS สำหรับการจัดวางหน้าเว็บ และระบบ build ที่รองรับ ARM, x86 และ RISC-V ทำให้สามารถทดลองบนฮาร์ดแวร์หลากหลายได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ skiftOS ไม่ใช่ *NIX และไม่ยึดติดกับ API แบบเดิม แต่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia ซึ่งเน้นความเรียบง่าย ความสอดคล้อง และการออกแบบใหม่หมด ✅ แนวคิดและเป้าหมายของ skiftOS ➡️ สร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้ OS internals และพัฒนาทักษะระบบ ➡️ ไม่พยายามเลียนแบบ Windows หรือ Linux ➡️ เป็นระบบที่เขียนด้วย C++ สมัยใหม่ทั้งหมด ✅ สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีหลัก ➡️ ใช้ capability-based microkernel เพื่อความปลอดภัยและความเป็นโมดูล ➡️ มี reactive UI framework ที่สวยงามและสอดคล้องกัน ➡️ มี UEFI bootloader ที่ปรับแต่งได้และมีกราฟิกสวยงาม ✅ แอปและระบบพื้นฐาน ➡️ มีแอปพื้นฐานครบ เช่น terminal, text editor, media player, paint, calculator ➡️ มี browser engine ที่รองรับ HTML/CSS แบบเบา ๆ ➡️ รองรับการ build บน ARM, x86 และ RISC-V ✅ ความแตกต่างจากระบบปฏิบัติการทั่วไป ➡️ ไม่ใช่ POSIX และไม่ใช่ *NIX ➡️ ได้แรงบันดาลใจจาก Plan 9, Haiku และ Fuchsia ➡️ มี API และ userland ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ✅ ชุมชนและการมีส่วนร่วม ➡️ เปิดให้ร่วมพัฒนาผ่าน GitHub ➡️ มีช่องทางสื่อสารผ่าน Discord, Reddit และ Bluesky ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากนักพัฒนาหลายคนในวงการ OS ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้งานจริง ⛔ skiftOS ยังอยู่ในสถานะ alpha และไม่เหมาะกับการใช้งานจริง ⛔ อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ‼️ ความเปราะบางของ ecosystem ⛔ ไม่รองรับซอฟต์แวร์หรือไลบรารีจาก Linux หรือ Windows ⛔ ต้องเรียนรู้ API ใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น ‼️ ความไม่แน่นอนของการพัฒนาในระยะยาว ⛔ เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวที่ขึ้นอยู่กับเวลาของผู้พัฒนา ⛔ อาจไม่มีการอัปเดตหรือสนับสนุนในระยะยาว https://skiftos.org/
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • ดูไบ ว้าวมาก 18,999

    🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน
    ✈ G9-แอร์อาระเบีย
    พักโรงแรม

    นั่งรถ 4WD ชมทะเลทราย
    Safari Camp
    Mall of the Emirates
    หาดจูไมราห์
    หมู่เกาะต้นปาล์ม
    Burj Khalifa
    Bluewaters Island

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ดูไบ #dubai #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ดูไบ ว้าวมาก ✨ 18,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน ✈ G9-แอร์อาระเบีย 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 นั่งรถ 4WD ชมทะเลทราย 📍 Safari Camp 📍 Mall of the Emirates 📍 หาดจูไมราห์ 📍 หมู่เกาะต้นปาล์ม 📍 Burj Khalifa 📍 Bluewaters Island รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ดูไบ #dubai #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 0 Reviews
  • “Apple เปิดตัวชิป A19 และ A19 Pro สำหรับ iPhone 17 และ iPhone Air — เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น เย็นขึ้น พร้อม AI แบบ MacBook ในมือถือ!”

    Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max พร้อมชิปใหม่ล่าสุด A19 และ A19 Pro ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับยุคของ Apple Intelligence และการประมวลผล AI บนอุปกรณ์โดยตรง

    ชิป A19 ใช้ใน iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน มี CPU แบบ 6-core (2 performance + 4 efficiency) และ GPU 5-core รองรับ ray tracing, mesh shading และ MetalFX upscaling ส่วน A19 Pro ใช้ใน iPhone Air และรุ่น Pro โดยมี GPU 5-core สำหรับ Air และ 6-core สำหรับรุ่น Pro พร้อม Neural Accelerators ในแต่ละ core เพื่อเร่งการประมวลผล AI แบบ on-device

    A19 Pro ยังมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรม CPU เช่น branch prediction ที่แม่นยำขึ้น, front-end bandwidth ที่กว้างขึ้น และ cache ขนาดใหญ่ขึ้นถึง 50% ใน efficiency core ทำให้สามารถรักษาประสิทธิภาพได้สูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro รุ่นก่อนหน้า

    iPhone 17 Pro และ Pro Max ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ที่ใช้ดีไอออนไนซ์วอเตอร์ในโครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ซึ่ง Apple เคลมว่าระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียมถึง 20 เท่า — ช่วยให้ชิปทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป

    นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวชิป N1 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread รวมถึงโมเด็ม C1X ที่เร็วขึ้น 2 เท่าแต่ยังไม่รองรับ mmWave โดย iPhone 17 และ Pro รุ่นใหม่ยังใช้โมเด็ม Qualcomm เพื่อรองรับ 5G แบบเต็มรูปแบบ

    ชิป A19 และ A19 Pro
    A19: CPU 6-core (2P + 4E), GPU 5-core, รองรับ ray tracing และ MetalFX
    A19 Pro: GPU 5-core (Air) / 6-core (Pro), มี Neural Accelerators ในแต่ละ core
    ปรับปรุง branch prediction, bandwidth และ cache ใน efficiency core
    ประสิทธิภาพสูงขึ้น 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro

    ระบบระบายความร้อนใหม่
    ใช้ vapor chamber filled with deionized water
    โครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียม 20 เท่า
    ช่วยให้ iPhone Pro รุ่นใหม่รักษาความเร็วได้ต่อเนื่อง

    ชิปเชื่อมต่อ N1 และโมเด็ม C1X
    N1 รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread
    เพิ่มประสิทธิภาพ AirDrop และ Personal Hotspot
    C1X เร็วขึ้น 2 เท่า แต่ไม่รองรับ mmWave
    iPhone 17 และ Pro ยังใช้โมเด็ม Qualcomm สำหรับ 5G เต็มรูปแบบ

    การใช้งาน AI บนอุปกรณ์
    Neural Accelerators ช่วยให้ประมวลผล Apple Intelligence ได้เร็วขึ้น
    รองรับฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 เช่น การแปลภาษา, การจัดการข้อความ, และการวิเคราะห์ภาพ
    iPhone Air มีประสิทธิภาพระดับ MacBook Pro ในขนาดมือถือ

    ราคาและการวางจำหน่าย
    iPhone 17 เริ่มต้นที่ $799, iPhone Air เริ่มต้นที่ $999
    iPhone 17 Pro และ Pro Max เริ่มต้นที่ $1,099 และ $1,199
    เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน
    รุ่น Pro Max มีตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 2TB

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/apple-debuts-a19-and-a19-pro-processors-for-iphone-17-iphone-air-and-iphone-17-pro
    📱 “Apple เปิดตัวชิป A19 และ A19 Pro สำหรับ iPhone 17 และ iPhone Air — เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น เย็นขึ้น พร้อม AI แบบ MacBook ในมือถือ!” Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max พร้อมชิปใหม่ล่าสุด A19 และ A19 Pro ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับยุคของ Apple Intelligence และการประมวลผล AI บนอุปกรณ์โดยตรง ชิป A19 ใช้ใน iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน มี CPU แบบ 6-core (2 performance + 4 efficiency) และ GPU 5-core รองรับ ray tracing, mesh shading และ MetalFX upscaling ส่วน A19 Pro ใช้ใน iPhone Air และรุ่น Pro โดยมี GPU 5-core สำหรับ Air และ 6-core สำหรับรุ่น Pro พร้อม Neural Accelerators ในแต่ละ core เพื่อเร่งการประมวลผล AI แบบ on-device A19 Pro ยังมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรม CPU เช่น branch prediction ที่แม่นยำขึ้น, front-end bandwidth ที่กว้างขึ้น และ cache ขนาดใหญ่ขึ้นถึง 50% ใน efficiency core ทำให้สามารถรักษาประสิทธิภาพได้สูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro รุ่นก่อนหน้า iPhone 17 Pro และ Pro Max ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ที่ใช้ดีไอออนไนซ์วอเตอร์ในโครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ซึ่ง Apple เคลมว่าระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียมถึง 20 เท่า — ช่วยให้ชิปทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวชิป N1 สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread รวมถึงโมเด็ม C1X ที่เร็วขึ้น 2 เท่าแต่ยังไม่รองรับ mmWave โดย iPhone 17 และ Pro รุ่นใหม่ยังใช้โมเด็ม Qualcomm เพื่อรองรับ 5G แบบเต็มรูปแบบ ✅ ชิป A19 และ A19 Pro ➡️ A19: CPU 6-core (2P + 4E), GPU 5-core, รองรับ ray tracing และ MetalFX ➡️ A19 Pro: GPU 5-core (Air) / 6-core (Pro), มี Neural Accelerators ในแต่ละ core ➡️ ปรับปรุง branch prediction, bandwidth และ cache ใน efficiency core ➡️ ประสิทธิภาพสูงขึ้น 40% เมื่อเทียบกับ A18 Pro ✅ ระบบระบายความร้อนใหม่ ➡️ ใช้ vapor chamber filled with deionized water ➡️ โครงสร้าง unibody อะลูมิเนียม ระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียม 20 เท่า ➡️ ช่วยให้ iPhone Pro รุ่นใหม่รักษาความเร็วได้ต่อเนื่อง ✅ ชิปเชื่อมต่อ N1 และโมเด็ม C1X ➡️ N1 รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพ AirDrop และ Personal Hotspot ➡️ C1X เร็วขึ้น 2 เท่า แต่ไม่รองรับ mmWave ➡️ iPhone 17 และ Pro ยังใช้โมเด็ม Qualcomm สำหรับ 5G เต็มรูปแบบ ✅ การใช้งาน AI บนอุปกรณ์ ➡️ Neural Accelerators ช่วยให้ประมวลผล Apple Intelligence ได้เร็วขึ้น ➡️ รองรับฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 เช่น การแปลภาษา, การจัดการข้อความ, และการวิเคราะห์ภาพ ➡️ iPhone Air มีประสิทธิภาพระดับ MacBook Pro ในขนาดมือถือ ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ iPhone 17 เริ่มต้นที่ $799, iPhone Air เริ่มต้นที่ $999 ➡️ iPhone 17 Pro และ Pro Max เริ่มต้นที่ $1,099 และ $1,199 ➡️ เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน ➡️ รุ่น Pro Max มีตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 2TB https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/apple-debuts-a19-and-a19-pro-processors-for-iphone-17-iphone-air-and-iphone-17-pro
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook”

    ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว

    iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน

    หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว

    กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture

    ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30%

    iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ

    ดีไซน์และวัสดุ
    บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม
    ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง
    Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่
    มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว

    หน้าจอและการแสดงผล
    Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260
    รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display
    ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1
    รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm
    กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม
    รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่
    ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode

    ชิปและประสิทธิภาพ
    A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator
    N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot
    C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30%
    รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต

    แบตเตอรี่และการใช้งาน
    ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ
    รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง
    รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่
    iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ
    รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games
    ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB
    มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก
    เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน

    https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    📱 “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook” ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30% iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ ✅ ดีไซน์และวัสดุ ➡️ บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม ➡️ ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง ➡️ Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว ✅ หน้าจอและการแสดงผล ➡️ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260 ➡️ รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display ➡️ ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1 ➡️ รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm ➡️ กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม ➡️ รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่ ➡️ ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode ✅ ชิปและประสิทธิภาพ ➡️ A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ➡️ N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot ➡️ C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30% ➡️ รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต ✅ แบตเตอรี่และการใช้งาน ➡️ ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ ➡️ รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง ➡️ รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่ ➡️ iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ ➡️ รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games ➡️ ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB ➡️ มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก ➡️ เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    WWW.APPLE.COM
    Introducing iPhone Air, a powerful new iPhone with a breakthrough design
    Apple today debuted the all-new iPhone Air, the thinnest iPhone ever made, with pro performance.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • “Getac F120: แท็บเล็ตพันธุ์แกร่งที่รัน AI ได้แรงกว่าละครหลังข่าว พร้อมลุยทุกสนามรบและงานภาคสนาม!”

    ลองนึกภาพว่าคุณต้องทำงานในพื้นที่กลางแจ้งที่เต็มไปด้วยฝุ่น น้ำ หรืออุณหภูมิสุดขั้ว แล้วต้องใช้แท็บเล็ตในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพจากโดรน หรือรันโมเดล AI เพื่อวินิจฉัยอุปกรณ์ — Getac F120 คือแท็บเล็ตที่ออกแบบมาเพื่อสถานการณ์แบบนั้นโดยเฉพาะ

    Getac เปิดตัว F120 ซึ่งเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของโลกที่ผ่านมาตรฐาน Copilot+ PC แบบเต็มตัวในรูปแบบ rugged tablet — หมายความว่ามันไม่ใช่แค่ทนทาน แต่ยังมีสมองที่ฉลาดระดับ AI ด้วย NPU ที่แรงถึง 48 TOPS (Trillion Operations Per Second) มากกว่าขั้นต่ำที่ Microsoft กำหนดไว้ที่ 40 TOPS

    ภายในใช้ชิป Intel Core Ultra 200V Series พร้อม RAM สูงสุด 32GB LPDDR5X และ SSD PCIe NVMe สูงสุด 2TB — เรียกได้ว่าแรงกว่าคอมพิวเตอร์สำนักงานทั่วไปหลายรุ่น แถมยังมี Windows Hello สำหรับสแกนใบหน้า และระบบรักษาความปลอดภัยระดับ TPM 2.0

    หน้าจอขนาด 12.2 นิ้วแบบ LumiBond ให้ความสว่างสูงถึง 1,200 nits อ่านกลางแดดได้สบาย พร้อม Smart Touch ที่ใช้งานได้แม้ใส่ถุงมือ ตัวเครื่องผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H และ IP66 ทนต่อการตกจากที่สูง 6 ฟุต และใช้งานได้ในอุณหภูมิ -29°C ถึง 63°C

    สำหรับการเชื่อมต่อก็จัดเต็ม ทั้ง Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, Thunderbolt 4 สองช่อง และรองรับ 5G Sub-6 แบบออปชัน พร้อมแบตเตอรี่แบบ hot-swappable ที่เปลี่ยนได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง — เหมาะกับงานภาคสนามที่ต้องทำงานต่อเนื่องโดยไม่มีเวลาเสีย

    สเปกหลักของ Getac F120
    ใช้ Intel Core Ultra 200V Series + Intel AI Boost NPU (สูงสุด 48 TOPS)
    RAM สูงสุด 32GB LPDDR5X และ SSD สูงสุด 2TB PCIe NVMe
    รองรับ Windows Hello facial recognition และ TPM 2.0

    หน้าจอและความทนทาน
    หน้าจอ LumiBond ขนาด 12.2 นิ้ว ความสว่าง 1,200 nits
    รองรับ Smart Touch แม้ใส่ถุงมือ
    ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H และ IP66
    ทนต่อการตกจาก 6 ฟุต และใช้งานได้ในอุณหภูมิ -29°C ถึง 63°C

    การเชื่อมต่อและการใช้งานภาคสนาม
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, Thunderbolt 4 x2
    มีออปชันสำหรับ 5G Sub-6
    ใช้แบตเตอรี่แบบ hot-swappable เพื่อการทำงานต่อเนื่อง

    การใช้งานในอุตสาหกรรม
    เหมาะกับงานด้านสาธารณูปโภค, ยานยนต์, ความปลอดภัยสาธารณะ
    รองรับการประมวลผลภาพ, การวินิจฉัย, และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ออกแบบมาเพื่องานที่ “ล้มไม่ได้” เช่น ภารกิจภาคสนามหรือการกู้ภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Copilot+ PC ต้องมี NPU 40+ TOPS, RAM 16GB+, SSD 256GB+, และระบบ biometric
    Getac เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านอุปกรณ์ rugged สำหรับภาคอุตสาหกรรม
    รุ่น F120 เริ่มต้นที่ราคา $3,079 — เน้นกลุ่มมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-fastest-rugged-tablet-just-launched-and-its-perfect-for-those-who-want-to-work-in-challenging-environments-while-compiling-ai-code
    🛡️ “Getac F120: แท็บเล็ตพันธุ์แกร่งที่รัน AI ได้แรงกว่าละครหลังข่าว พร้อมลุยทุกสนามรบและงานภาคสนาม!” ลองนึกภาพว่าคุณต้องทำงานในพื้นที่กลางแจ้งที่เต็มไปด้วยฝุ่น น้ำ หรืออุณหภูมิสุดขั้ว แล้วต้องใช้แท็บเล็ตในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพจากโดรน หรือรันโมเดล AI เพื่อวินิจฉัยอุปกรณ์ — Getac F120 คือแท็บเล็ตที่ออกแบบมาเพื่อสถานการณ์แบบนั้นโดยเฉพาะ Getac เปิดตัว F120 ซึ่งเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของโลกที่ผ่านมาตรฐาน Copilot+ PC แบบเต็มตัวในรูปแบบ rugged tablet — หมายความว่ามันไม่ใช่แค่ทนทาน แต่ยังมีสมองที่ฉลาดระดับ AI ด้วย NPU ที่แรงถึง 48 TOPS (Trillion Operations Per Second) มากกว่าขั้นต่ำที่ Microsoft กำหนดไว้ที่ 40 TOPS ภายในใช้ชิป Intel Core Ultra 200V Series พร้อม RAM สูงสุด 32GB LPDDR5X และ SSD PCIe NVMe สูงสุด 2TB — เรียกได้ว่าแรงกว่าคอมพิวเตอร์สำนักงานทั่วไปหลายรุ่น แถมยังมี Windows Hello สำหรับสแกนใบหน้า และระบบรักษาความปลอดภัยระดับ TPM 2.0 หน้าจอขนาด 12.2 นิ้วแบบ LumiBond ให้ความสว่างสูงถึง 1,200 nits อ่านกลางแดดได้สบาย พร้อม Smart Touch ที่ใช้งานได้แม้ใส่ถุงมือ ตัวเครื่องผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H และ IP66 ทนต่อการตกจากที่สูง 6 ฟุต และใช้งานได้ในอุณหภูมิ -29°C ถึง 63°C สำหรับการเชื่อมต่อก็จัดเต็ม ทั้ง Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, Thunderbolt 4 สองช่อง และรองรับ 5G Sub-6 แบบออปชัน พร้อมแบตเตอรี่แบบ hot-swappable ที่เปลี่ยนได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง — เหมาะกับงานภาคสนามที่ต้องทำงานต่อเนื่องโดยไม่มีเวลาเสีย ✅ สเปกหลักของ Getac F120 ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 200V Series + Intel AI Boost NPU (สูงสุด 48 TOPS) ➡️ RAM สูงสุด 32GB LPDDR5X และ SSD สูงสุด 2TB PCIe NVMe ➡️ รองรับ Windows Hello facial recognition และ TPM 2.0 ✅ หน้าจอและความทนทาน ➡️ หน้าจอ LumiBond ขนาด 12.2 นิ้ว ความสว่าง 1,200 nits ➡️ รองรับ Smart Touch แม้ใส่ถุงมือ ➡️ ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H และ IP66 ➡️ ทนต่อการตกจาก 6 ฟุต และใช้งานได้ในอุณหภูมิ -29°C ถึง 63°C ✅ การเชื่อมต่อและการใช้งานภาคสนาม ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, Thunderbolt 4 x2 ➡️ มีออปชันสำหรับ 5G Sub-6 ➡️ ใช้แบตเตอรี่แบบ hot-swappable เพื่อการทำงานต่อเนื่อง ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรม ➡️ เหมาะกับงานด้านสาธารณูปโภค, ยานยนต์, ความปลอดภัยสาธารณะ ➡️ รองรับการประมวลผลภาพ, การวินิจฉัย, และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ออกแบบมาเพื่องานที่ “ล้มไม่ได้” เช่น ภารกิจภาคสนามหรือการกู้ภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Copilot+ PC ต้องมี NPU 40+ TOPS, RAM 16GB+, SSD 256GB+, และระบบ biometric ➡️ Getac เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านอุปกรณ์ rugged สำหรับภาคอุตสาหกรรม ➡️ รุ่น F120 เริ่มต้นที่ราคา $3,079 — เน้นกลุ่มมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป https://www.techradar.com/pro/the-worlds-fastest-rugged-tablet-just-launched-and-its-perfect-for-those-who-want-to-work-in-challenging-environments-while-compiling-ai-code
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • “Cirrus7 Nimbini v4 Pro Edition: พีซีจิ๋วไร้พัดลมที่แรงระดับเวิร์กสเตชัน พร้อม Intel Core Ultra และ RAM 128GB!”

    ลองนึกภาพว่าคุณต้องการคอมพิวเตอร์สำหรับงานธุรกิจหรือวิศวกรรมที่ต้องการความแรงระดับเวิร์กสเตชัน แต่ไม่อยากได้เสียงพัดลมดังรบกวน หรือเครื่องใหญ่เทอะทะ — Cirrus7 Nimbini v4 Pro Edition คือคำตอบที่น่าสนใจมากในปี 2025 นี้

    Cirrus7 เปิดตัวมินิพีซีรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling เต็มรูปแบบ ไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว ตัวเคสถูกออกแบบให้เป็นฮีตซิงก์ขนาดใหญ่ที่ช่วยระบายความร้อนจากซีพียูระดับแล็ปท็อปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว

    ภายในใช้เมนบอร์ด Intel NUC 15 Pro พร้อมรองรับซีพียูตั้งแต่ Core 3 100U ไปจนถึงตัวท็อปอย่าง Core Ultra 7 265H ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 5.1GHz และมี iGPU Intel Arc 140T ในตัว รองรับ RAM DDR5-5600 สูงสุดถึง 128GB และ SSD แบบ M.2 PCIe 4.0 ความจุสูงสุด 4TB

    พอร์ตเชื่อมต่อก็จัดเต็ม ทั้ง Thunderbolt 4 สองช่อง, USB-A 3.2 Gen 2 สามช่อง, HDMI 2.0b สองช่อง, LAN 2.5GbE, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ผ่าน Intel BE201 รวมถึงมีตัวเลือกติดตั้ง Linux ฟรี หรือ Windows แบบมีลิขสิทธิ์ พร้อมการรับประกัน 3 ปีที่ขยายได้ถึง 5 ปี

    แม้จะมีรุ่นเริ่มต้นที่ราคา €728 แต่ถ้าคุณเลือกสเปกสูงสุด ราคาจะพุ่งไปถึง €2,796.20 ซึ่งถือว่าแพงไม่น้อยสำหรับมินิพีซี แต่ก็แลกกับความเงียบ ความแรง และดีไซน์ที่ดูเรียบหรูแบบมืออาชีพ

    สเปกของ Cirrus7 Nimbini v4 Pro Edition
    ใช้ Intel NUC 15 Pro motherboard รองรับ CPU ตั้งแต่ Core 3 100U ถึง Core Ultra 7 265H
    RAM รองรับสูงสุด 128GB DDR5-5600
    SSD แบบ M.2 PCIe 4.0 ความจุ 1TB–4TB
    มี iGPU Intel Arc 140T ในตัว

    ระบบระบายความร้อนแบบไร้พัดลม
    เคสออกแบบให้เป็นฮีตซิงก์ขนาดใหญ่
    ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว — ลดเสียงรบกวนและเพิ่มความทนทาน
    มีตัวเลือกเพิ่มจำนวนฟินระบายความร้อน หากใช้สเปกสูง

    พอร์ตและการเชื่อมต่อ
    2x Thunderbolt 4, 3x USB-A 3.2 Gen 2, 1x USB 2.0
    2x HDMI 2.0b, 1x 2.5GbE LAN, IR receiver, Wi-Fi antenna slots
    รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ผ่าน Intel BE201

    ระบบปฏิบัติการและการรับประกัน
    รองรับ Linux ฟรี เช่น Ubuntu 24/25 LTS และ Mint 22
    รองรับ Windows 11 Home/Pro แบบมีลิขสิทธิ์
    รับประกัน 3 ปี ขยายได้ถึง 5 ปี

    ราคาและตัวเลือก
    รุ่นเริ่มต้น €728 (Core 3 100U + 8GB RAM + 250GB SSD)
    รุ่นสูงสุด €2,796.20 (Core Ultra 7 265H + 128GB RAM + 4TB SSD)
    มีตัวเลือกติดตั้ง VESA mount และซีลกันฝุ่น

    https://www.techradar.com/pro/looking-for-a-silent-mini-pc-the-cirrus7-pairs-an-intel-core-ultra-7-265h-with-a-casing-that-looks-like-a-giant-heatsink-but-it-aint-cheap
    🖥️ “Cirrus7 Nimbini v4 Pro Edition: พีซีจิ๋วไร้พัดลมที่แรงระดับเวิร์กสเตชัน พร้อม Intel Core Ultra และ RAM 128GB!” ลองนึกภาพว่าคุณต้องการคอมพิวเตอร์สำหรับงานธุรกิจหรือวิศวกรรมที่ต้องการความแรงระดับเวิร์กสเตชัน แต่ไม่อยากได้เสียงพัดลมดังรบกวน หรือเครื่องใหญ่เทอะทะ — Cirrus7 Nimbini v4 Pro Edition คือคำตอบที่น่าสนใจมากในปี 2025 นี้ Cirrus7 เปิดตัวมินิพีซีรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling เต็มรูปแบบ ไม่มีพัดลมเลยแม้แต่ตัวเดียว ตัวเคสถูกออกแบบให้เป็นฮีตซิงก์ขนาดใหญ่ที่ช่วยระบายความร้อนจากซีพียูระดับแล็ปท็อปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว ภายในใช้เมนบอร์ด Intel NUC 15 Pro พร้อมรองรับซีพียูตั้งแต่ Core 3 100U ไปจนถึงตัวท็อปอย่าง Core Ultra 7 265H ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 5.1GHz และมี iGPU Intel Arc 140T ในตัว รองรับ RAM DDR5-5600 สูงสุดถึง 128GB และ SSD แบบ M.2 PCIe 4.0 ความจุสูงสุด 4TB พอร์ตเชื่อมต่อก็จัดเต็ม ทั้ง Thunderbolt 4 สองช่อง, USB-A 3.2 Gen 2 สามช่อง, HDMI 2.0b สองช่อง, LAN 2.5GbE, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ผ่าน Intel BE201 รวมถึงมีตัวเลือกติดตั้ง Linux ฟรี หรือ Windows แบบมีลิขสิทธิ์ พร้อมการรับประกัน 3 ปีที่ขยายได้ถึง 5 ปี แม้จะมีรุ่นเริ่มต้นที่ราคา €728 แต่ถ้าคุณเลือกสเปกสูงสุด ราคาจะพุ่งไปถึง €2,796.20 ซึ่งถือว่าแพงไม่น้อยสำหรับมินิพีซี แต่ก็แลกกับความเงียบ ความแรง และดีไซน์ที่ดูเรียบหรูแบบมืออาชีพ ✅ สเปกของ Cirrus7 Nimbini v4 Pro Edition ➡️ ใช้ Intel NUC 15 Pro motherboard รองรับ CPU ตั้งแต่ Core 3 100U ถึง Core Ultra 7 265H ➡️ RAM รองรับสูงสุด 128GB DDR5-5600 ➡️ SSD แบบ M.2 PCIe 4.0 ความจุ 1TB–4TB ➡️ มี iGPU Intel Arc 140T ในตัว ✅ ระบบระบายความร้อนแบบไร้พัดลม ➡️ เคสออกแบบให้เป็นฮีตซิงก์ขนาดใหญ่ ➡️ ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว — ลดเสียงรบกวนและเพิ่มความทนทาน ➡️ มีตัวเลือกเพิ่มจำนวนฟินระบายความร้อน หากใช้สเปกสูง ✅ พอร์ตและการเชื่อมต่อ ➡️ 2x Thunderbolt 4, 3x USB-A 3.2 Gen 2, 1x USB 2.0 ➡️ 2x HDMI 2.0b, 1x 2.5GbE LAN, IR receiver, Wi-Fi antenna slots ➡️ รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ผ่าน Intel BE201 ✅ ระบบปฏิบัติการและการรับประกัน ➡️ รองรับ Linux ฟรี เช่น Ubuntu 24/25 LTS และ Mint 22 ➡️ รองรับ Windows 11 Home/Pro แบบมีลิขสิทธิ์ ➡️ รับประกัน 3 ปี ขยายได้ถึง 5 ปี ✅ ราคาและตัวเลือก ➡️ รุ่นเริ่มต้น €728 (Core 3 100U + 8GB RAM + 250GB SSD) ➡️ รุ่นสูงสุด €2,796.20 (Core Ultra 7 265H + 128GB RAM + 4TB SSD) ➡️ มีตัวเลือกติดตั้ง VESA mount และซีลกันฝุ่น https://www.techradar.com/pro/looking-for-a-silent-mini-pc-the-cirrus7-pairs-an-intel-core-ultra-7-265h-with-a-casing-that-looks-like-a-giant-heatsink-but-it-aint-cheap
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • Little girl in blue floral
    Little girl in blue floral
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป

    ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม

    Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC

    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5

    ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026

    การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง

    การอัปเดตของ HWiNFO
    เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform
    เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์

    Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954
    ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores
    ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2
    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา
    เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5

    AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series
    ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P
    ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940
    คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026

    ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O
    HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น
    จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD

    https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง ✅ การอัปเดตของ HWiNFO ➡️ เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์ ✅ Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores ➡️ ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2 ➡️ ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา ➡️ เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5 ✅ AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series ➡️ ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ➡️ ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ✅ ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O ➡️ HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น ➡️ จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    WCCFTECH.COM
    HWiNFO To Add Support For Nova Lake-S And "Next-Gen" AMD Platform, Likely Hinting Towards AMD 900-Series For Zen 6
    The upcoming HWiNFO version 8.31 will add support for the next-gen Intel Nova Lake-S and AMD's next-gen platform support.
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Blackwell ถึง BlueField: เมื่อ Giga Computing เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ที่รวมทุกสิ่งไว้ในแร็คเดียว

    Giga Computing ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GIGABYTE ได้เปิดตัว XL44-SX2-AAS1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในกลุ่ม NVIDIA RTX PRO Server โดยใช้สถาปัตยกรรม MGX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับองค์กรโดยเฉพาะ

    ภายในเซิร์ฟเวอร์นี้มี GPU รุ่น RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition ถึง 8 ตัว แต่ละตัวมี 24,064 CUDA cores, 96 GB GDDR7 ECC memory และสามารถประมวลผล FP4 ได้ถึง 3.7 PFLOPS พร้อม DPU รุ่น BlueField-3 ที่ให้แบนด์วิดธ์ 400 Gb/s สำหรับการเข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัยของ runtime

    ที่โดดเด่นคือการใช้ NVIDIA ConnectX-8 SuperNIC จำนวน 4 ตัว ซึ่งรองรับ PCIe Gen 6 x16 และสามารถเชื่อมต่อ GPU-to-GPU โดยตรงด้วยแบนด์วิดธ์สูงสุดถึง 800 Gb/s ต่อ GPU—ช่วยให้การเทรนโมเดลแบบกระจาย (distributed training) ทำได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น

    ระบบนี้ยังมาพร้อมกับซีพียู Intel Xeon 6700/6500 series แบบ dual-socket, RAM DDR5 สูงสุด 32 DIMMs, และพาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 3+1 ขนาด 3200W ที่ผ่านมาตรฐาน 80 Plus Titanium เพื่อรองรับการทำงาน 24/7

    นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว XL44 ยังมาพร้อมกับ NVIDIA AI Enterprise ที่รวม microservices อย่าง NIM, รองรับ Omniverse สำหรับ digital twins และ Cosmos สำหรับ physical AI—ทำให้สามารถนำโมเดลจากโลกเสมือนเข้าสู่การใช้งานจริงได้ทันที

    สเปกหลักของ GIGABYTE XL44-SX2-AAS1
    ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition × 8 ตัว
    แต่ละ GPU มี 96 GB GDDR7 ECC, 3.7 PFLOPS FP4, 117 TFLOPS FP32
    ใช้ DPU BlueField-3 และ SuperNIC ConnectX-8 × 4 ตัว

    ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและประมวลผล
    รองรับ PCIe Gen 6 x16 และ InfiniBand/Ethernet สูงสุด 800 Gb/s ต่อ GPU
    มี 2×400GbE external connections สำหรับ data center traffic
    รองรับ GPU-to-GPU direct communication สำหรับ distributed AI

    ฮาร์ดแวร์ระดับ data center
    Dual Intel Xeon 6700/6500 series CPU
    รองรับ DDR5 DIMM สูงสุด 32 แถว
    พาวเวอร์ซัพพลาย 3+1 redundant 3200W 80 Plus Titanium

    ซอฟต์แวร์และการใช้งาน
    มาพร้อม NVIDIA AI Enterprise, NIM, Omniverse และ Cosmos
    รองรับงาน AI inference, physical AI, 3D simulation, video processing
    ใช้งานได้กับ Windows, Linux, Kubernetes และ virtualization

    การใช้งานในอุตสาหกรรม
    เหมาะกับ smart manufacturing, financial modeling, medical research
    รองรับ LLM inference และการสร้าง digital twins
    พร้อมใช้งานทั่วไปในเดือนตุลาคม 2025

    https://www.techpowerup.com/340680/giga-computing-expands-nvidia-rtx-pro-server-portfolio
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Blackwell ถึง BlueField: เมื่อ Giga Computing เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ที่รวมทุกสิ่งไว้ในแร็คเดียว Giga Computing ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GIGABYTE ได้เปิดตัว XL44-SX2-AAS1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในกลุ่ม NVIDIA RTX PRO Server โดยใช้สถาปัตยกรรม MGX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับองค์กรโดยเฉพาะ ภายในเซิร์ฟเวอร์นี้มี GPU รุ่น RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition ถึง 8 ตัว แต่ละตัวมี 24,064 CUDA cores, 96 GB GDDR7 ECC memory และสามารถประมวลผล FP4 ได้ถึง 3.7 PFLOPS พร้อม DPU รุ่น BlueField-3 ที่ให้แบนด์วิดธ์ 400 Gb/s สำหรับการเข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัยของ runtime ที่โดดเด่นคือการใช้ NVIDIA ConnectX-8 SuperNIC จำนวน 4 ตัว ซึ่งรองรับ PCIe Gen 6 x16 และสามารถเชื่อมต่อ GPU-to-GPU โดยตรงด้วยแบนด์วิดธ์สูงสุดถึง 800 Gb/s ต่อ GPU—ช่วยให้การเทรนโมเดลแบบกระจาย (distributed training) ทำได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น ระบบนี้ยังมาพร้อมกับซีพียู Intel Xeon 6700/6500 series แบบ dual-socket, RAM DDR5 สูงสุด 32 DIMMs, และพาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 3+1 ขนาด 3200W ที่ผ่านมาตรฐาน 80 Plus Titanium เพื่อรองรับการทำงาน 24/7 นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว XL44 ยังมาพร้อมกับ NVIDIA AI Enterprise ที่รวม microservices อย่าง NIM, รองรับ Omniverse สำหรับ digital twins และ Cosmos สำหรับ physical AI—ทำให้สามารถนำโมเดลจากโลกเสมือนเข้าสู่การใช้งานจริงได้ทันที ✅ สเปกหลักของ GIGABYTE XL44-SX2-AAS1 ➡️ ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition × 8 ตัว ➡️ แต่ละ GPU มี 96 GB GDDR7 ECC, 3.7 PFLOPS FP4, 117 TFLOPS FP32 ➡️ ใช้ DPU BlueField-3 และ SuperNIC ConnectX-8 × 4 ตัว ✅ ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและประมวลผล ➡️ รองรับ PCIe Gen 6 x16 และ InfiniBand/Ethernet สูงสุด 800 Gb/s ต่อ GPU ➡️ มี 2×400GbE external connections สำหรับ data center traffic ➡️ รองรับ GPU-to-GPU direct communication สำหรับ distributed AI ✅ ฮาร์ดแวร์ระดับ data center ➡️ Dual Intel Xeon 6700/6500 series CPU ➡️ รองรับ DDR5 DIMM สูงสุด 32 แถว ➡️ พาวเวอร์ซัพพลาย 3+1 redundant 3200W 80 Plus Titanium ✅ ซอฟต์แวร์และการใช้งาน ➡️ มาพร้อม NVIDIA AI Enterprise, NIM, Omniverse และ Cosmos ➡️ รองรับงาน AI inference, physical AI, 3D simulation, video processing ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, Linux, Kubernetes และ virtualization ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรม ➡️ เหมาะกับ smart manufacturing, financial modeling, medical research ➡️ รองรับ LLM inference และการสร้าง digital twins ➡️ พร้อมใช้งานทั่วไปในเดือนตุลาคม 2025 https://www.techpowerup.com/340680/giga-computing-expands-nvidia-rtx-pro-server-portfolio
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Giga Computing Expands NVIDIA RTX PRO Server Portfolio
    Giga Computing, a subsidiary of GIGABYTE Group, today announced the availability of the XL44-SX2-AAS1 server, integrating NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPUs with the NVIDIA BlueField-3 DPU and NVIDIA ConnectX-8 SuperNICs, this breakthrough platform unifies computing and high-speed dat...
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแสงแดดถึง Copilot Key: เมื่อ Logitech สร้างคีย์บอร์ดที่ไม่ต้องชาร์จอีกต่อไป

    Logitech เตรียมเปิดตัว Signature Slim Solar+ ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดไร้สายที่มาพร้อมแผงโซลาร์ขนาดเล็กด้านบนแถวปุ่มฟังก์ชัน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Logi LightCharge ซึ่งผสานแถบดูดซับแสงเข้ากับแบตเตอรี่แบบประหยัดพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานได้นานถึง 10 ปีโดยไม่ต้องชาร์จด้วยสายหรือแท่นชาร์จ

    ดีไซน์ของ Signature Slim Solar+ คล้ายกับ MX Keys S มาก ทั้งขนาดและรูปทรง แต่เบากว่าถึง 14% และผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 70% ตัวคีย์บอร์ดรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ถึง 3 เครื่องพร้อมกันผ่าน Bluetooth หรือ Logi Bolt USB-C receiver และสามารถสลับอุปกรณ์ได้ด้วยปุ่ม Easy Switch

    ฟีเจอร์เด่นอีกอย่างคือ AI Launch Key ซึ่งเป็นปุ่มเฉพาะสำหรับเรียกใช้งาน Microsoft Copilot บน Windows หรือ Gemini บน ChromeOS โดยสามารถปรับเปลี่ยนให้ทำงานอื่นได้ผ่านแอป Logi Options+

    นอกจากนี้ยังรองรับ Smart Actions ที่ให้ผู้ใช้สร้าง automation เช่น เปิดแอปหลายตัวพร้อมกัน หรือส่งคำสั่งแบบชุดเดียวจบ—all ผ่านปุ่มเดียว

    คุณสมบัติหลักของ Logitech Signature Slim Solar+
    ใช้พลังงานจากแสงธรรมชาติหรือแสงในอาคารผ่านแผงโซลาร์
    แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสูงสุดถึง 10 ปี
    ใช้เทคโนโลยี Logi LightCharge เพื่อดูดซับแสงและจัดการพลังงาน

    ดีไซน์และวัสดุ
    คล้าย MX Keys S แต่เบากว่า 14% และบางกว่าเล็กน้อย
    ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 70%
    ขนาด 430.8 x 142.9 x 20.2 มม. น้ำหนัก 700 กรัม

    การเชื่อมต่อและการใช้งาน
    รองรับ Bluetooth และ Logi Bolt USB-C receiver
    เชื่อมต่อได้ 3 อุปกรณ์พร้อมกัน และสลับด้วย Easy Switch
    ปุ่ม AI Launch Key เรียกใช้งาน Copilot หรือ Gemini ได้ทันที

    ฟีเจอร์เสริมผ่าน Logi Options+
    ปรับแต่งปุ่มได้ตามต้องการ รวมถึง Smart Actions
    สร้าง automation เช่น เปิดหลายแอปพร้อมกัน หรือส่งคำสั่งชุดเดียว
    รองรับระบบ Android, ChromeOS, Linux, macOS และ Windows

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/solar-powered-logitech-keyboard-appears-on-amazon-mexico-mx-keys-s-look-alike-promises-up-to-10-years-of-power
    🎙️ เรื่องเล่าจากแสงแดดถึง Copilot Key: เมื่อ Logitech สร้างคีย์บอร์ดที่ไม่ต้องชาร์จอีกต่อไป Logitech เตรียมเปิดตัว Signature Slim Solar+ ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดไร้สายที่มาพร้อมแผงโซลาร์ขนาดเล็กด้านบนแถวปุ่มฟังก์ชัน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Logi LightCharge ซึ่งผสานแถบดูดซับแสงเข้ากับแบตเตอรี่แบบประหยัดพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานได้นานถึง 10 ปีโดยไม่ต้องชาร์จด้วยสายหรือแท่นชาร์จ ดีไซน์ของ Signature Slim Solar+ คล้ายกับ MX Keys S มาก ทั้งขนาดและรูปทรง แต่เบากว่าถึง 14% และผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 70% ตัวคีย์บอร์ดรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ถึง 3 เครื่องพร้อมกันผ่าน Bluetooth หรือ Logi Bolt USB-C receiver และสามารถสลับอุปกรณ์ได้ด้วยปุ่ม Easy Switch ฟีเจอร์เด่นอีกอย่างคือ AI Launch Key ซึ่งเป็นปุ่มเฉพาะสำหรับเรียกใช้งาน Microsoft Copilot บน Windows หรือ Gemini บน ChromeOS โดยสามารถปรับเปลี่ยนให้ทำงานอื่นได้ผ่านแอป Logi Options+ นอกจากนี้ยังรองรับ Smart Actions ที่ให้ผู้ใช้สร้าง automation เช่น เปิดแอปหลายตัวพร้อมกัน หรือส่งคำสั่งแบบชุดเดียวจบ—all ผ่านปุ่มเดียว ✅ คุณสมบัติหลักของ Logitech Signature Slim Solar+ ➡️ ใช้พลังงานจากแสงธรรมชาติหรือแสงในอาคารผ่านแผงโซลาร์ ➡️ แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสูงสุดถึง 10 ปี ➡️ ใช้เทคโนโลยี Logi LightCharge เพื่อดูดซับแสงและจัดการพลังงาน ✅ ดีไซน์และวัสดุ ➡️ คล้าย MX Keys S แต่เบากว่า 14% และบางกว่าเล็กน้อย ➡️ ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 70% ➡️ ขนาด 430.8 x 142.9 x 20.2 มม. น้ำหนัก 700 กรัม ✅ การเชื่อมต่อและการใช้งาน ➡️ รองรับ Bluetooth และ Logi Bolt USB-C receiver ➡️ เชื่อมต่อได้ 3 อุปกรณ์พร้อมกัน และสลับด้วย Easy Switch ➡️ ปุ่ม AI Launch Key เรียกใช้งาน Copilot หรือ Gemini ได้ทันที ✅ ฟีเจอร์เสริมผ่าน Logi Options+ ➡️ ปรับแต่งปุ่มได้ตามต้องการ รวมถึง Smart Actions ➡️ สร้าง automation เช่น เปิดหลายแอปพร้อมกัน หรือส่งคำสั่งชุดเดียว ➡️ รองรับระบบ Android, ChromeOS, Linux, macOS และ Windows https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/solar-powered-logitech-keyboard-appears-on-amazon-mexico-mx-keys-s-look-alike-promises-up-to-10-years-of-power
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก PartyBoost: เมื่อปุ่มเล็ก ๆ บน JBL กลายเป็นตัวเชื่อมเสียงให้ล้อมรอบคุณ

    หลายคนอาจเคยเห็นปุ่มรูป ∞ บนลำโพง JBL แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร คำตอบคือ “PartyBoost”—ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ลำโพง JBL หลายตัวสามารถเชื่อมต่อกันแบบไร้สาย และเล่นเพลงพร้อมกันได้สูงสุดถึง 99 ตัวในโหมด Party Mode หรือจับคู่สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode

    ฟีเจอร์นี้เหมาะกับสถานการณ์หลากหลาย เช่น ปาร์ตี้ริมสระน้ำที่วาง Flip 6 ไว้ข้างสระ และ Charge 5 ไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้เพื่อให้เสียงกระจายทั่วพื้นที่โดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่ หรือจะใช้สองตัวในห้องนั่งเล่นเพื่อสร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา

    การใช้งานก็ง่ายมาก: เปิดลำโพง JBL ที่รองรับ PartyBoost อย่างน้อยสองตัว, เชื่อมต่อ Bluetooth กับตัวใดตัวหนึ่ง, เปิดเพลง, แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว จากนั้นใช้แอป JBL Portable เพื่อเลือกโหมดที่ต้องการ

    ฟีเจอร์ PartyBoost บนลำโพง JBL
    เชื่อมต่อลำโพงได้สูงสุด 99 ตัวในโหมด Party Mode
    ใช้สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode
    ปุ่มอินฟินิตี้คือตัวเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้

    การใช้งาน PartyBoost
    เปิดลำโพงที่รองรับ PartyBoost เช่น Flip 5/6, Charge 5, Xtreme 3
    เชื่อมต่อ Bluetooth กับลำโพงตัวแรก
    กดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว แล้วใช้แอป JBL Portable เลือกโหมด

    ประโยชน์ของ PartyBoost
    ขยายพื้นที่เสียงโดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่
    สร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา
    เหมาะกับปาร์ตี้กลางแจ้งหรือการใช้งานในบ้าน

    ความสามารถของลำโพง JBL ที่รองรับ
    ทนทานต่อฝุ่นและน้ำ เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง
    ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย
    เสียงคุณภาพดีเมื่อใช้งานเดี่ยว และยอดเยี่ยมเมื่อเชื่อมต่อหลายตัว

    https://www.slashgear.com/1955729/what-does-infinity-button-do-jbl-speaker/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก PartyBoost: เมื่อปุ่มเล็ก ๆ บน JBL กลายเป็นตัวเชื่อมเสียงให้ล้อมรอบคุณ หลายคนอาจเคยเห็นปุ่มรูป ∞ บนลำโพง JBL แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร คำตอบคือ “PartyBoost”—ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ลำโพง JBL หลายตัวสามารถเชื่อมต่อกันแบบไร้สาย และเล่นเพลงพร้อมกันได้สูงสุดถึง 99 ตัวในโหมด Party Mode หรือจับคู่สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode ฟีเจอร์นี้เหมาะกับสถานการณ์หลากหลาย เช่น ปาร์ตี้ริมสระน้ำที่วาง Flip 6 ไว้ข้างสระ และ Charge 5 ไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้เพื่อให้เสียงกระจายทั่วพื้นที่โดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่ หรือจะใช้สองตัวในห้องนั่งเล่นเพื่อสร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา การใช้งานก็ง่ายมาก: เปิดลำโพง JBL ที่รองรับ PartyBoost อย่างน้อยสองตัว, เชื่อมต่อ Bluetooth กับตัวใดตัวหนึ่ง, เปิดเพลง, แล้วกดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว จากนั้นใช้แอป JBL Portable เพื่อเลือกโหมดที่ต้องการ ✅ ฟีเจอร์ PartyBoost บนลำโพง JBL ➡️ เชื่อมต่อลำโพงได้สูงสุด 99 ตัวในโหมด Party Mode ➡️ ใช้สองตัวแบบเดียวกันเพื่อแยกเสียงซ้าย-ขวาในโหมด Stereo Mode ➡️ ปุ่มอินฟินิตี้คือตัวเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ✅ การใช้งาน PartyBoost ➡️ เปิดลำโพงที่รองรับ PartyBoost เช่น Flip 5/6, Charge 5, Xtreme 3 ➡️ เชื่อมต่อ Bluetooth กับลำโพงตัวแรก ➡️ กดปุ่มอินฟินิตี้บนแต่ละตัว แล้วใช้แอป JBL Portable เลือกโหมด ✅ ประโยชน์ของ PartyBoost ➡️ ขยายพื้นที่เสียงโดยไม่ต้องใช้ระบบเสียงขนาดใหญ่ ➡️ สร้างระบบเสียงรอบทิศทางแบบพกพา ➡️ เหมาะกับปาร์ตี้กลางแจ้งหรือการใช้งานในบ้าน ✅ ความสามารถของลำโพง JBL ที่รองรับ ➡️ ทนทานต่อฝุ่นและน้ำ เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง ➡️ ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย ➡️ เสียงคุณภาพดีเมื่อใช้งานเดี่ยว และยอดเยี่ยมเมื่อเชื่อมต่อหลายตัว https://www.slashgear.com/1955729/what-does-infinity-button-do-jbl-speaker/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does The Infinity Button Do On A JBL Speaker? - SlashGear
    The infinity (PartyBoost) button on JBL speakers links upto 99 compatible units into a synchronized “party mode,” streaming the same audio across all devices.
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก 5 แอป Android ที่ควรค่าแก่การรู้จัก: เมื่อฟีเจอร์ลับกลายเป็นพลังเสริมของมือถือ

    ในบทความจาก SlashGear ได้คัดเลือก 5 แอป Android ที่แม้จะไม่ติดอันดับยอดนิยมใน Play Store แต่กลับมีฟีเจอร์ที่ทรงพลังและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้ลึกขึ้น ทั้งในด้าน gesture, automation, image processing และการปรับแต่งปุ่มฮาร์ดแวร์ โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องรูทเครื่อง

    แอปแรกคือ Tap, Tap ซึ่งเป็นพอร์ตของฟีเจอร์ Quick Tap จาก Pixel ที่ให้คุณแตะด้านหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิดไฟฉาย, ถ่ายภาพหน้าจอ หรือเปิดแอป โดยรองรับทั้ง double-tap และ triple-tap พร้อมระบบ “gates” ที่ช่วยป้องกันการทำงานผิดจังหวะ เช่น ไม่ให้ถ่ายภาพหน้าจอขณะเปิดแอปธนาคาร

    แอปที่สองคือ ImageToolbox ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการภาพแบบครบวงจร รองรับการ resize, convert, ลบข้อมูล EXIF, ใส่ลายน้ำ, OCR, สร้าง PDF, สแกน QR และแม้แต่สร้าง ZIP จากภาพหลายไฟล์—ทั้งหมดนี้ทำได้บนมือถือโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์

    แอปที่สามคือ Key Mapper ซึ่งช่วยให้คุณ remap ปุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น ปุ่มเพิ่มเสียงให้กลายเป็นปุ่มเปิดไฟฉาย หรือเปิดแอปเฉพาะเมื่ออยู่ใน lock screen โดยรองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้าง พร้อมระบบ constraint ที่ช่วยจำกัดการทำงานในสถานการณ์เฉพาะ

    แอปที่สี่คือ MacroDroid ซึ่งเป็นแอป automation ที่ให้คุณสร้าง macro เพื่อให้มือถือทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไข เช่น เล่นเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถ หรือลบภาพหน้าจอทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

    แอปสุดท้ายคือ Action Notch ที่เปลี่ยน notch หรือกล้องหน้าให้กลายเป็นปุ่มเสมือน รองรับ gesture แบบแตะครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง และ swipe เพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น scroll to top, เปิด power menu หรือเรียก automation จาก MacroDroid

    Tap, Tap: แตะหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน
    รองรับกว่า 50 actions เช่น เปิดแอป, ถ่ายภาพหน้าจอ, เปิดไฟฉาย
    มีระบบ “gates” เพื่อป้องกันการทำงานผิดจังหวะ
    ต้อง sideload จาก GitHub เพราะไม่มีใน Play Store

    ImageToolbox: จัดการภาพแบบครบวงจร
    รองรับการ resize, convert, ลบ EXIF, watermark, OCR
    มีเครื่องมือสร้าง PDF, สแกน QR, สร้าง ZIP และ GIF
    ใช้งานง่ายผ่าน tab แยกหมวดหมู่ เช่น Edit, Create, Tools

    Key Mapper: รีแมปปุ่มฮาร์ดแวร์
    รองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง
    สามารถตั้ง constraint เช่น ทำงานเฉพาะในแอปหรือ lock screen
    ต้องปลดล็อกเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อ remap ปุ่มด้านข้าง

    MacroDroid: สร้าง automation แบบไม่ต้องเขียนโค้ด
    macro ประกอบด้วย trigger, action และ constraint
    รองรับ automation เช่น เปิดเพลง, ลบไฟล์, ส่งข้อความ
    มี community ให้แชร์ template และ macro ที่สร้างไว้

    Action Notch: เปลี่ยน notch เป็นปุ่มเสมือน
    รองรับ gesture แบบแตะ, กดค้าง, swipe ซ้าย/ขวา
    เรียกใช้งานเช่น scroll to top, เปิด power menu, trigger automation
    ปรับขนาด interactive zone ได้ เช่น ขยายไปถึง status bar

    https://www.slashgear.com/1952387/android-apps-that-deserve-more-attention/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก 5 แอป Android ที่ควรค่าแก่การรู้จัก: เมื่อฟีเจอร์ลับกลายเป็นพลังเสริมของมือถือ ในบทความจาก SlashGear ได้คัดเลือก 5 แอป Android ที่แม้จะไม่ติดอันดับยอดนิยมใน Play Store แต่กลับมีฟีเจอร์ที่ทรงพลังและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้ลึกขึ้น ทั้งในด้าน gesture, automation, image processing และการปรับแต่งปุ่มฮาร์ดแวร์ โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องรูทเครื่อง แอปแรกคือ Tap, Tap ซึ่งเป็นพอร์ตของฟีเจอร์ Quick Tap จาก Pixel ที่ให้คุณแตะด้านหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิดไฟฉาย, ถ่ายภาพหน้าจอ หรือเปิดแอป โดยรองรับทั้ง double-tap และ triple-tap พร้อมระบบ “gates” ที่ช่วยป้องกันการทำงานผิดจังหวะ เช่น ไม่ให้ถ่ายภาพหน้าจอขณะเปิดแอปธนาคาร แอปที่สองคือ ImageToolbox ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการภาพแบบครบวงจร รองรับการ resize, convert, ลบข้อมูล EXIF, ใส่ลายน้ำ, OCR, สร้าง PDF, สแกน QR และแม้แต่สร้าง ZIP จากภาพหลายไฟล์—ทั้งหมดนี้ทำได้บนมือถือโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แอปที่สามคือ Key Mapper ซึ่งช่วยให้คุณ remap ปุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น ปุ่มเพิ่มเสียงให้กลายเป็นปุ่มเปิดไฟฉาย หรือเปิดแอปเฉพาะเมื่ออยู่ใน lock screen โดยรองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้าง พร้อมระบบ constraint ที่ช่วยจำกัดการทำงานในสถานการณ์เฉพาะ แอปที่สี่คือ MacroDroid ซึ่งเป็นแอป automation ที่ให้คุณสร้าง macro เพื่อให้มือถือทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไข เช่น เล่นเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth กับรถ หรือลบภาพหน้าจอทุกวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แอปสุดท้ายคือ Action Notch ที่เปลี่ยน notch หรือกล้องหน้าให้กลายเป็นปุ่มเสมือน รองรับ gesture แบบแตะครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง และ swipe เพื่อเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น scroll to top, เปิด power menu หรือเรียก automation จาก MacroDroid ✅ Tap, Tap: แตะหลังเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน ➡️ รองรับกว่า 50 actions เช่น เปิดแอป, ถ่ายภาพหน้าจอ, เปิดไฟฉาย ➡️ มีระบบ “gates” เพื่อป้องกันการทำงานผิดจังหวะ ➡️ ต้อง sideload จาก GitHub เพราะไม่มีใน Play Store ✅ ImageToolbox: จัดการภาพแบบครบวงจร ➡️ รองรับการ resize, convert, ลบ EXIF, watermark, OCR ➡️ มีเครื่องมือสร้าง PDF, สแกน QR, สร้าง ZIP และ GIF ➡️ ใช้งานง่ายผ่าน tab แยกหมวดหมู่ เช่น Edit, Create, Tools ✅ Key Mapper: รีแมปปุ่มฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ gesture แบบกดครั้งเดียว, สองครั้ง, กดค้าง ➡️ สามารถตั้ง constraint เช่น ทำงานเฉพาะในแอปหรือ lock screen ➡️ ต้องปลดล็อกเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อ remap ปุ่มด้านข้าง ✅ MacroDroid: สร้าง automation แบบไม่ต้องเขียนโค้ด ➡️ macro ประกอบด้วย trigger, action และ constraint ➡️ รองรับ automation เช่น เปิดเพลง, ลบไฟล์, ส่งข้อความ ➡️ มี community ให้แชร์ template และ macro ที่สร้างไว้ ✅ Action Notch: เปลี่ยน notch เป็นปุ่มเสมือน ➡️ รองรับ gesture แบบแตะ, กดค้าง, swipe ซ้าย/ขวา ➡️ เรียกใช้งานเช่น scroll to top, เปิด power menu, trigger automation ➡️ ปรับขนาด interactive zone ได้ เช่น ขยายไปถึง status bar https://www.slashgear.com/1952387/android-apps-that-deserve-more-attention/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 More Great Android Apps Not Enough People Know About - SlashGear
    Not every Android app worth installing is popular — these ones will add convenience and utility to your smartphone experience and deserve to be more well known.
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • The neoclassical architecture with a Portuguese influence style cover with the blue and white azulejo tiles wall
    The neoclassical architecture with a Portuguese influence style cover with the blue and white azulejo tiles wall
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Project Digits: เมื่อพลังระดับเซิร์ฟเวอร์ถูกย่อส่วนให้พกพาได้

    ในงาน IFA 2025 Acer เปิดตัว Veriton GN100 ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ Project Digits ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip โดยออกแบบมาเพื่อเป็น “AI mini workstation” สำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, มหาวิทยาลัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. แต่ภายในบรรจุพลังระดับเซิร์ฟเวอร์: CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725), GPU Blackwell ที่ให้พลัง FP4 สูงถึง 1 PFLOP, RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB พร้อมระบบเข้ารหัสในตัว

    ที่โดดเด่นคือการรองรับ NVFP4 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Nvidia สำหรับการประมวลผล AI แบบ FP4 ที่มีประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำใกล้เคียงกับ BF16 แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้สามารถเทรนโมเดลขนาดใหญ่ได้ในเครื่องเดียว

    GN100 ยังมาพร้อมกับ Nvidia AI software stack เต็มรูปแบบ เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT และรองรับ framework ยอดนิยมอย่าง PyTorch, TensorFlow, JAX และ Ollama โดยสามารถเชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดสูงสุดถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์

    สเปกของ Acer Veriton GN100
    ใช้ Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip
    CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725)
    GPU Blackwell รองรับ FP4 ได้ถึง 1 PFLOP
    RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB

    ความสามารถด้าน AI
    รองรับ NVFP4 สำหรับการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง
    ใช้ Nvidia AI software stack เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT
    รองรับ framework ยอดนิยม เช่น PyTorch, TensorFlow, JAX, Ollama

    การเชื่อมต่อและการขยาย
    มี USB-C 4 ช่อง, HDMI 2.1b, Ethernet, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.1
    เชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่
    รองรับการทำงานร่วมกับระบบคลาวด์หรือศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบและการใช้งาน
    ขนาดเล็กเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. เหมาะกับโต๊ะทำงานหรือห้องวิจัย
    มี Kensington lock สำหรับความปลอดภัย
    ราคาเริ่มต้นที่ $3,999 ในอเมริกาเหนือ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/acer-unveils-project-digits-supercomputer-featuring-nvidias-gb10-superchip-with-128gb-of-lpddr5x
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Project Digits: เมื่อพลังระดับเซิร์ฟเวอร์ถูกย่อส่วนให้พกพาได้ ในงาน IFA 2025 Acer เปิดตัว Veriton GN100 ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ Project Digits ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip โดยออกแบบมาเพื่อเป็น “AI mini workstation” สำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, มหาวิทยาลัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. แต่ภายในบรรจุพลังระดับเซิร์ฟเวอร์: CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725), GPU Blackwell ที่ให้พลัง FP4 สูงถึง 1 PFLOP, RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB พร้อมระบบเข้ารหัสในตัว ที่โดดเด่นคือการรองรับ NVFP4 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Nvidia สำหรับการประมวลผล AI แบบ FP4 ที่มีประสิทธิภาพสูงและความแม่นยำใกล้เคียงกับ BF16 แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้สามารถเทรนโมเดลขนาดใหญ่ได้ในเครื่องเดียว GN100 ยังมาพร้อมกับ Nvidia AI software stack เต็มรูปแบบ เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT และรองรับ framework ยอดนิยมอย่าง PyTorch, TensorFlow, JAX และ Ollama โดยสามารถเชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดสูงสุดถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์ ✅ สเปกของ Acer Veriton GN100 ➡️ ใช้ Nvidia GB10 Grace Blackwell Superchip ➡️ CPU ARM 20 คอร์ (10 Cortex-X925 + 10 A725) ➡️ GPU Blackwell รองรับ FP4 ได้ถึง 1 PFLOP ➡️ RAM LPDDR5X ขนาด 128GB และ SSD NVMe สูงสุด 4TB ✅ ความสามารถด้าน AI ➡️ รองรับ NVFP4 สำหรับการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ ใช้ Nvidia AI software stack เช่น CUDA, cuDNN, TensorRT ➡️ รองรับ framework ยอดนิยม เช่น PyTorch, TensorFlow, JAX, Ollama ✅ การเชื่อมต่อและการขยาย ➡️ มี USB-C 4 ช่อง, HDMI 2.1b, Ethernet, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.1 ➡️ เชื่อมต่อสองเครื่องผ่าน ConnectX-7 NIC เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการทำงานร่วมกับระบบคลาวด์หรือศูนย์ข้อมูล ✅ การออกแบบและการใช้งาน ➡️ ขนาดเล็กเพียง 150 × 150 × 50.5 มม. เหมาะกับโต๊ะทำงานหรือห้องวิจัย ➡️ มี Kensington lock สำหรับความปลอดภัย ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $3,999 ในอเมริกาเหนือ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/acer-unveils-project-digits-supercomputer-featuring-nvidias-gb10-superchip-with-128gb-of-lpddr5x
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer unveils Project Digits supercomputer featuring Nvidia's GB10 superchip with 128GB of LPDDR5x
    Acer joins Asus, Lenovo, and Dell with its third-party Project Digits variation.
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Swift 16 AI: เมื่อแล็ปท็อปกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Swift 16 AI ซึ่งเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่ใช้ชิป Intel Panther Lake—สถาปัตยกรรมใหม่ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A node และมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของ Arrow Lake และ Lunar Lake เข้าด้วยกันในชื่อ Core Ultra 300

    Panther Lake มาพร้อมกับ Xe3 iGPU ที่แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50%, NPU รุ่นที่ 5 ที่ให้พลัง AI สูงถึง 180 TOPS และใช้ P-core แบบ Cougar Cove ร่วมกับ E-core แบบ Skymont เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน

    แต่สิ่งที่ทำให้ Swift 16 AI โดดเด่นไม่ใช่แค่ชิป—มันคือ trackpad ที่ Acer เรียกว่า “ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรองรับการเขียนด้วย stylus แบบ haptic feedback โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย เหมือนเขียนบนกระดาษที่ตอบสนองด้วยแรงสั่นสะเทือน

    หน้าจอ OLED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880 × 1800) รีเฟรชเรต 120Hz พร้อม LPDDR5X RAM สูงสุด 32GB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thunderbolt 4 (ยังไม่ใช่ Thunderbolt 5)

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัว Panther Lake อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 และจะเริ่มเห็นแล็ปท็อปรุ่นอื่น ๆ ตามมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดย Swift 16 AI จะเป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่วางจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/laptops/panther-lake-breaks-cover-in-acer-swift-16-ai-company-also-touts-worlds-largest-trackpad-with-stylus-support
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Swift 16 AI: เมื่อแล็ปท็อปกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Swift 16 AI ซึ่งเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่ใช้ชิป Intel Panther Lake—สถาปัตยกรรมใหม่ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A node และมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของ Arrow Lake และ Lunar Lake เข้าด้วยกันในชื่อ Core Ultra 300 Panther Lake มาพร้อมกับ Xe3 iGPU ที่แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50%, NPU รุ่นที่ 5 ที่ให้พลัง AI สูงถึง 180 TOPS และใช้ P-core แบบ Cougar Cove ร่วมกับ E-core แบบ Skymont เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน แต่สิ่งที่ทำให้ Swift 16 AI โดดเด่นไม่ใช่แค่ชิป—มันคือ trackpad ที่ Acer เรียกว่า “ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรองรับการเขียนด้วย stylus แบบ haptic feedback โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย เหมือนเขียนบนกระดาษที่ตอบสนองด้วยแรงสั่นสะเทือน หน้าจอ OLED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880 × 1800) รีเฟรชเรต 120Hz พร้อม LPDDR5X RAM สูงสุด 32GB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thunderbolt 4 (ยังไม่ใช่ Thunderbolt 5) นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัว Panther Lake อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 และจะเริ่มเห็นแล็ปท็อปรุ่นอื่น ๆ ตามมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดย Swift 16 AI จะเป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่วางจำหน่าย https://www.tomshardware.com/laptops/panther-lake-breaks-cover-in-acer-swift-16-ai-company-also-touts-worlds-largest-trackpad-with-stylus-support
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก #TrumpDead: เมื่อความเงียบของผู้นำกลายเป็นเชื้อเพลิงของข่าวลวง

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 79 ปี หายไปจากสื่อและกิจกรรมสาธารณะหลายวัน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือในโลกออนไลน์ว่าเขาป่วยหนัก หรือแม้แต่ “เสียชีวิตแล้ว” โดยมีการแชร์ภาพ, แผนที่, และวิดีโอที่ถูกบิดเบือนหรือดัดแปลงด้วย AI เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาเหล่านั้น

    แม้ทรัมป์จะออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 กันยายนว่า “ข่าวลือทั้งหมดเป็น fake news” และยืนยันว่า “NEVER FELT BETTER IN MY LIFE” บน Truth Social แต่ hashtag #TrumpDead ก็ยังคงถูกพูดถึงมากกว่า 104,000 ครั้ง และมียอดเข้าชมรวมกว่า 35.3 ล้านวิวบนแพลตฟอร์ม X

    ภาพที่ถูกแชร์ ได้แก่:
    - แผนที่แสดงการปิดถนนใกล้โรงพยาบาล Walter Reed ซึ่งไม่มีรายงานจริง
    - ภาพรถพยาบาลหน้าทำเนียบขาวที่จริงแล้วถ่ายตั้งแต่ปี 2023 สมัยไบเดนยังดำรงตำแหน่ง
    - ธงไว้อาลัยที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณการเสียชีวิตของทรัมป์ ทั้งที่จริงแล้วเป็นคำสั่งไว้อาลัยเหยื่อกราดยิงในมินนิอาโปลิส
    - ภาพใบหน้าทรัมป์ที่ถูกซูมและปรับด้วย AI ให้เห็นรอยเหนือดวงตา ซึ่งไม่มีอยู่ในภาพต้นฉบับ

    ข่าวลวงเหล่านี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากบัญชีฝั่งต่อต้านทรัมป์บน X, Bluesky และ Instagram และยังคงแพร่กระจายแม้จะมีการแถลงข่าวชี้แจงแล้ว โดยบางโพสต์ถึงขั้นอ้างว่า “ทำเนียบขาวประกาศว่าเขาเสียชีวิต” ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/trump-health-misinformation-swirls-despite-denial
    🎙️ เรื่องเล่าจาก #TrumpDead: เมื่อความเงียบของผู้นำกลายเป็นเชื้อเพลิงของข่าวลวง ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 79 ปี หายไปจากสื่อและกิจกรรมสาธารณะหลายวัน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือในโลกออนไลน์ว่าเขาป่วยหนัก หรือแม้แต่ “เสียชีวิตแล้ว” โดยมีการแชร์ภาพ, แผนที่, และวิดีโอที่ถูกบิดเบือนหรือดัดแปลงด้วย AI เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาเหล่านั้น แม้ทรัมป์จะออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 กันยายนว่า “ข่าวลือทั้งหมดเป็น fake news” และยืนยันว่า “NEVER FELT BETTER IN MY LIFE” บน Truth Social แต่ hashtag #TrumpDead ก็ยังคงถูกพูดถึงมากกว่า 104,000 ครั้ง และมียอดเข้าชมรวมกว่า 35.3 ล้านวิวบนแพลตฟอร์ม X ภาพที่ถูกแชร์ ได้แก่: - แผนที่แสดงการปิดถนนใกล้โรงพยาบาล Walter Reed ซึ่งไม่มีรายงานจริง - ภาพรถพยาบาลหน้าทำเนียบขาวที่จริงแล้วถ่ายตั้งแต่ปี 2023 สมัยไบเดนยังดำรงตำแหน่ง - ธงไว้อาลัยที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณการเสียชีวิตของทรัมป์ ทั้งที่จริงแล้วเป็นคำสั่งไว้อาลัยเหยื่อกราดยิงในมินนิอาโปลิส - ภาพใบหน้าทรัมป์ที่ถูกซูมและปรับด้วย AI ให้เห็นรอยเหนือดวงตา ซึ่งไม่มีอยู่ในภาพต้นฉบับ ข่าวลวงเหล่านี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากบัญชีฝั่งต่อต้านทรัมป์บน X, Bluesky และ Instagram และยังคงแพร่กระจายแม้จะมีการแถลงข่าวชี้แจงแล้ว โดยบางโพสต์ถึงขั้นอ้างว่า “ทำเนียบขาวประกาศว่าเขาเสียชีวิต” ทั้งที่ไม่เป็นความจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/trump-health-misinformation-swirls-despite-denial
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump health misinformation swirls despite denial
    From manipulated images to out-of-context photos, false claims that Donald Trump is seriously ill – or even dead – have swirled online, with the misinformation persisting even after the US president publicly rejected it on Sept 2.
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากจุดสีน้ำเงิน: เมื่อข้อความธรรมดากลายเป็นการสื่อสารแบบ iMessage บน Android

    ถ้าคุณใช้แอป Google Messages หรือ Samsung Messages บนมือถือ Android แล้วเห็นจุดสีน้ำเงินหรือไอคอนแชทเล็ก ๆ ข้างชื่อผู้ติดต่อ—นั่นไม่ใช่แค่ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน แต่คือการบอกว่า “ข้อความนี้ใช้ RCS” หรือ Rich Communication Services ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มาแทน SMS แบบเดิม

    RCS คือการยกระดับข้อความธรรมดาให้กลายเป็นระบบแชทแบบอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับ iMessage หรือ WhatsApp โดยรองรับฟีเจอร์อย่าง read receipts, typing indicators, การส่งภาพและวิดีโอคุณภาพสูง รวมถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี

    จุดสีน้ำเงินมักปรากฏใน Samsung Messages ส่วนไอคอนแชทจะเห็นใน Google Messages ซึ่งเป็นแอปข้อความหลักในมือถือ Samsung รุ่นใหม่ เช่น Galaxy S25 Ultra ที่ไม่มี Samsung Messages ติดตั้งมาแล้ว

    นอกจากนี้ สีของจุดหรือไอคอนอาจเปลี่ยนไปตามธีมของระบบ Android ที่คุณใช้ เช่นถ้าใช้ธีมสีเขียว จุดก็อาจเป็นสีเขียวแทนที่จะเป็นน้ำเงิน

    หลังจาก Apple ยอมรับ RCS ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรป การส่งข้อความระหว่าง iPhone และ Android ก็ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ

    จุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทคืออะไร
    เป็นสัญลักษณ์ว่าแชทนั้นใช้ RCS แทน SMS
    ปรากฏใน Samsung Messages (จุดสีน้ำเงิน) และ Google Messages (ไอคอนแชท)
    สีของจุดอาจเปลี่ยนตามธีมของระบบ Android

    ความสามารถของ RCS
    รองรับ read receipts, typing indicators และการส่งไฟล์คุณภาพสูง
    ใช้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่พึ่งเครือข่ายมือถือแบบ SMS
    มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี

    การเปลี่ยนแปลงหลัง Apple ยอมรับ RCS
    เกิดขึ้นในปี 2024 หลังแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล
    ข้อความระหว่าง iPhone และ Android ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป
    ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทมากขึ้น

    วิธีสังเกตว่าแชทใช้ RCS หรือไม่
    ดูจากฟีเจอร์ในแชท เช่น read receipts และ typing indicators
    ใน Google Messages จะมีคำว่า “RCS message” ในช่องพิมพ์ข้อความ
    มีไอคอนเช็กสถานะการส่งข้อความใต้ข้อความที่ส่งไป

    https://www.slashgear.com/1955443/android-text-message-what-blue-dot-means/
    🎙️ เรื่องเล่าจากจุดสีน้ำเงิน: เมื่อข้อความธรรมดากลายเป็นการสื่อสารแบบ iMessage บน Android ถ้าคุณใช้แอป Google Messages หรือ Samsung Messages บนมือถือ Android แล้วเห็นจุดสีน้ำเงินหรือไอคอนแชทเล็ก ๆ ข้างชื่อผู้ติดต่อ—นั่นไม่ใช่แค่ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน แต่คือการบอกว่า “ข้อความนี้ใช้ RCS” หรือ Rich Communication Services ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มาแทน SMS แบบเดิม RCS คือการยกระดับข้อความธรรมดาให้กลายเป็นระบบแชทแบบอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับ iMessage หรือ WhatsApp โดยรองรับฟีเจอร์อย่าง read receipts, typing indicators, การส่งภาพและวิดีโอคุณภาพสูง รวมถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี จุดสีน้ำเงินมักปรากฏใน Samsung Messages ส่วนไอคอนแชทจะเห็นใน Google Messages ซึ่งเป็นแอปข้อความหลักในมือถือ Samsung รุ่นใหม่ เช่น Galaxy S25 Ultra ที่ไม่มี Samsung Messages ติดตั้งมาแล้ว นอกจากนี้ สีของจุดหรือไอคอนอาจเปลี่ยนไปตามธีมของระบบ Android ที่คุณใช้ เช่นถ้าใช้ธีมสีเขียว จุดก็อาจเป็นสีเขียวแทนที่จะเป็นน้ำเงิน หลังจาก Apple ยอมรับ RCS ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรป การส่งข้อความระหว่าง iPhone และ Android ก็ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ จุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทคืออะไร ➡️ เป็นสัญลักษณ์ว่าแชทนั้นใช้ RCS แทน SMS ➡️ ปรากฏใน Samsung Messages (จุดสีน้ำเงิน) และ Google Messages (ไอคอนแชท) ➡️ สีของจุดอาจเปลี่ยนตามธีมของระบบ Android ✅ ความสามารถของ RCS ➡️ รองรับ read receipts, typing indicators และการส่งไฟล์คุณภาพสูง ➡️ ใช้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่พึ่งเครือข่ายมือถือแบบ SMS ➡️ มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี ✅ การเปลี่ยนแปลงหลัง Apple ยอมรับ RCS ➡️ เกิดขึ้นในปี 2024 หลังแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ ข้อความระหว่าง iPhone และ Android ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป ➡️ ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทมากขึ้น ✅ วิธีสังเกตว่าแชทใช้ RCS หรือไม่ ➡️ ดูจากฟีเจอร์ในแชท เช่น read receipts และ typing indicators ➡️ ใน Google Messages จะมีคำว่า “RCS message” ในช่องพิมพ์ข้อความ ➡️ มีไอคอนเช็กสถานะการส่งข้อความใต้ข้อความที่ส่งไป https://www.slashgear.com/1955443/android-text-message-what-blue-dot-means/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does The Blue Dot On Android Text Messages Mean? - SlashGear
    On Android, blue dots or chat icons show that RCS is enabled, giving you advanced texting features missing from traditional SMS messages.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • In deep blue sea
    In deep blue sea
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
More Results