• “Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งใหม่ ลดเวลาโหลดเว็บเพื่ออันดับที่ดีขึ้นบน Google” — โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความเร็ว

    Bluehost ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งชื่อดังเปิดตัวบริการใหม่ที่เน้น “Ultra-Low Latency” หรือความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีโอกาสอันดับดีขึ้นบน Google โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง

    บริการใหม่นี้มาพร้อมการขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ Frankfurt, Mumbai, São Paulo, Paris, Sydney, London และ Madrid ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดเวลาโหลดหน้าเว็บและเพิ่มความเสถียร

    Bluehost อ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้สามารถลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย

    ผลการทดสอบภายในยังพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการแปลงยอดขาย

    Bluehost ยังอ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ที่พบว่า การปรับความเร็วเพียง 0.1 วินาทีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ได้อย่างมีนัยสำคัญ

    แม้ความเร็วจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับของ Google แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ เช่น คุณภาพเนื้อหา ความเข้ากันได้กับมือถือ และการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ

    บริการใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบ failover และ replication เฉพาะภูมิภาค เพื่อให้ uptime สูงถึง 99.99% และรองรับการกู้คืนจากภัยพิบัติ

    ข้อมูลในข่าว
    Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งแบบ Ultra-Low Latency
    ขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก
    ลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที
    เพิ่มความเร็วโหลดหน้าเว็บ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
    WordPress บน Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า
    อ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google
    ความเร็วช่วยเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate
    Google แนะนำให้โหลดเนื้อหาหลักภายใน 2.5 วินาที และตอบสนองภายใน 200 มิลลิวินาที
    ระบบใหม่มี failover และ replication เฉพาะภูมิภาค
    รับประกัน uptime สูงถึง 99.99% และรองรับ disaster recovery

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    ความเร็วเว็บไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการจัดอันดับบน Google
    หากเนื้อหาไม่ดีหรือไม่เหมาะกับมือถือ อันดับก็อาจไม่ดีขึ้น
    การใช้บริการโฮสติ้งระดับสูงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
    การย้ายเว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่อาจต้องปรับแต่งระบบและโครงสร้างเว็บ
    การรับประกัน uptime ไม่ได้หมายถึงไม่มี downtime เลย

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-debuts-ultra-low-latency-web-hosting-to-help-sites-rank-better-on-google
    🌐 “Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งใหม่ ลดเวลาโหลดเว็บเพื่ออันดับที่ดีขึ้นบน Google” — โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความเร็ว Bluehost ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งชื่อดังเปิดตัวบริการใหม่ที่เน้น “Ultra-Low Latency” หรือความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีโอกาสอันดับดีขึ้นบน Google โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง บริการใหม่นี้มาพร้อมการขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ได้แก่ Frankfurt, Mumbai, São Paulo, Paris, Sydney, London และ Madrid ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดเวลาโหลดหน้าเว็บและเพิ่มความเสถียร Bluehost อ้างว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้สามารถลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย ผลการทดสอบภายในยังพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress บนเซิร์ฟเวอร์ของ Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการแปลงยอดขาย Bluehost ยังอ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ที่พบว่า การปรับความเร็วเพียง 0.1 วินาทีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ความเร็วจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับของ Google แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ เช่น คุณภาพเนื้อหา ความเข้ากันได้กับมือถือ และการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ บริการใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบ failover และ replication เฉพาะภูมิภาค เพื่อให้ uptime สูงถึง 99.99% และรองรับการกู้คืนจากภัยพิบัติ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Bluehost เปิดตัวบริการโฮสติ้งแบบ Ultra-Low Latency ➡️ ขยายศูนย์ข้อมูลไปยัง 7 เมืองหลักทั่วโลก ➡️ ลด latency ได้ถึง 120 มิลลิวินาที ➡️ เพิ่มความเร็วโหลดหน้าเว็บ 2–3 เท่าจากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ➡️ WordPress บน Bluehost โหลดเร็วกว่าเว็บคู่แข่งถึง 3.8 เท่า ➡️ อ้างอิงงานวิจัย “Milliseconds Make Millions” โดย Deloitte และ Google ➡️ ความเร็วช่วยเพิ่มอัตราการแปลงยอดขายและลด bounce rate ➡️ Google แนะนำให้โหลดเนื้อหาหลักภายใน 2.5 วินาที และตอบสนองภายใน 200 มิลลิวินาที ➡️ ระบบใหม่มี failover และ replication เฉพาะภูมิภาค ➡️ รับประกัน uptime สูงถึง 99.99% และรองรับ disaster recovery ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ ความเร็วเว็บไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการจัดอันดับบน Google ⛔ หากเนื้อหาไม่ดีหรือไม่เหมาะกับมือถือ อันดับก็อาจไม่ดีขึ้น ⛔ การใช้บริการโฮสติ้งระดับสูงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ⛔ การย้ายเว็บไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่อาจต้องปรับแต่งระบบและโครงสร้างเว็บ ⛔ การรับประกัน uptime ไม่ได้หมายถึงไม่มี downtime เลย https://www.techradar.com/pro/bluehost-debuts-ultra-low-latency-web-hosting-to-help-sites-rank-better-on-google
    WWW.TECHRADAR.COM
    Bluehost expands global reach to bring faster hosting to users
    Bluehost says new web hosting speed could change how fast your site ranks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ

    Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว

    ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

    SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม

    ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร

    Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI

    ข้อมูลในข่าว
    Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่
    SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google
    ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา
    รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU
    มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor
    มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB
    เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์
    ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm
    ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    🧠 “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ ➡️ SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google ➡️ ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา ➡️ รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU ➡️ มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor ➡️ มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB ➡️ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์ ➡️ ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ➡️ ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Synaptics Launches the Next Generation of Astra Multimodal GenAI Edge Processors
    Synaptics Incorporated (Nasdaq: SYNA), announces the new Astra SL2600 Series of multimodal Edge AI processors designed to deliver exceptional power and performance. The Astra SL2600 series enables a new generation of cost-effective intelligent devices that make the cognitive Internet of Things (IoT)...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Bluebird Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp:+1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyVerifiedBluebirdAccounts
    #BuyVerifiedBluebird
    #BuyUSAVerifiedBluebird
    #BuyVerifiedBluebirdUsaBank
    #BuyVerifiedBluebirdDebitCard
    Buy Verified Bluebird Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyVerifiedBluebirdAccounts #BuyVerifiedBluebird #BuyUSAVerifiedBluebird #BuyVerifiedBluebirdUsaBank #BuyVerifiedBluebirdDebitCard
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Bluebird Accounts
    Buy Verified Bluebird Accounts form GlobalSeoShop If you're looking to buy verified Bluebird accounts from GlobalSeoShop, you've come to the right place. Bluebird accounts are a popular choice for individuals who want a prepaid card with no annual fees and convenient features. At GlobalSeoShop, we offer a wide range of verified Bluebird accounts that are ready to use. Our team works tirelessly to ensure that each account we provide is verified and secure, giving you peace of mind when making transactions online or in person. The Bluebird accounts available at GlobalSeoShop come with various benefits, such as access to direct deposits, the ability to pay bills, and options to add funds at Walmart locations. To buy a verified Bluebird account from GlobalSeoShop, simply browse our selection and choose the one that suits your needs. We guarantee a seamless purchasing process and prompt delivery of your account details. Don't wait any longer - get your verified Bluebird account today from GlobalSeoShop and experience the convenience it offers. Buy Verified Bluebird Accounts Features ✔ Faster Delivery ✔ Verified Bank Accounts ✔ Phone Number And SSN Verified ✔ Delivery in Excel sheet ✔ Accounts are 100% verified ✔24×7 Customer Support On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1 (864) 708-8783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://sites.google.com/view/buy-bluebird-/home
    https://sites.google.com/view/buy-bluebird-/home
    SITES.GOOGLE.COM
    Home
    "Unlock Success: Your Guide to Buying Verified Bluebird Accounts"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Bluebird Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp:+1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyVerifiedBluebirdAccounts
    #BuyVerifiedBluebird
    #BuyUSAVerifiedBluebird
    #BuyVerifiedBluebirdUsaBank
    #BuyVerifiedBluebirdDebitCard
    #BuyVerifiedBluebirdMasterCard
    Buy Verified Bluebird Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyVerifiedBluebirdAccounts #BuyVerifiedBluebird #BuyUSAVerifiedBluebird #BuyVerifiedBluebirdUsaBank #BuyVerifiedBluebirdDebitCard #BuyVerifiedBluebirdMasterCard
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Bluebird Accounts
    Buy Verified Bluebird Accounts form GlobalSeoShop If you're looking to buy verified Bluebird accounts from GlobalSeoShop, you've come to the right place. Bluebird accounts are a popular choice for individuals who want a prepaid card with no annual fees and convenient features. At GlobalSeoShop, we offer a wide range of verified Bluebird accounts that are ready to use. Our team works tirelessly to ensure that each account we provide is verified and secure, giving you peace of mind when making transactions online or in person. The Bluebird accounts available at GlobalSeoShop come with various benefits, such as access to direct deposits, the ability to pay bills, and options to add funds at Walmart locations. To buy a verified Bluebird account from GlobalSeoShop, simply browse our selection and choose the one that suits your needs. We guarantee a seamless purchasing process and prompt delivery of your account details. Don't wait any longer - get your verified Bluebird account today from GlobalSeoShop and experience the convenience it offers. Buy Verified Bluebird Accounts Features ✔ Faster Delivery ✔ Verified Bank Accounts ✔ Phone Number And SSN Verified ✔ Delivery in Excel sheet ✔ Accounts are 100% verified ✔24×7 Customer Support On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1 (864) 708-8783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CISO ต้องคิดใหม่เรื่อง Tabletop Exercise — เพราะเหตุการณ์ส่วนใหญ่ไม่เคยซ้อมมาก่อน”

    ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง การเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันเป็นสิ่งจำเป็น แต่ผลสำรวจล่าสุดจากบริษัท Cymulate พบว่า 57% ของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นจริง “ไม่เคยถูกซ้อม” มาก่อนเลย — นั่นหมายความว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีแผนรับมือที่ผ่านการทดสอบจริง

    Tabletop Exercise คือการจำลองสถานการณ์เพื่อให้ทีมงานฝึกคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจโดยไม่ต้องลงมือปฏิบัติจริง เช่น การรับมือ ransomware, การรั่วไหลของข้อมูล หรือการโจมตีแบบ supply chain แต่หลายองค์กรยังคงใช้รูปแบบเดิม ๆ ที่เน้นการประชุมมากกว่าการจำลองสถานการณ์ที่สมจริง

    บทความชี้ว่า CISO (Chief Information Security Officer) ควรเปลี่ยนแนวทางการซ้อมจาก “การประชุมเชิงทฤษฎี” ไปสู่ “การจำลองเชิงปฏิบัติ” ที่มีความสมจริงมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องมือจำลองภัยคุกคาม, การวัดผลตอบสนองของทีม, และการปรับปรุงแผนตามผลลัพธ์ที่ได้

    นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้เทคนิค “purple teaming” ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างทีมป้องกัน (blue team) และทีมโจมตี (red team) เพื่อสร้างสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

    57% ของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยไม่เคยถูกซ้อมมาก่อน
    แสดงให้เห็นช่องว่างในการเตรียมความพร้อมขององค์กร

    Tabletop Exercise แบบเดิมเน้นการประชุมมากกว่าการจำลองจริง
    ทำให้ทีมไม่เข้าใจสถานการณ์จริงเมื่อเกิดเหตุ

    CISO ควรเปลี่ยนแนวทางการซ้อมให้สมจริงมากขึ้น
    เช่น ใช้เครื่องมือจำลองภัยคุกคามและวัดผลตอบสนอง

    การซ้อมควรครอบคลุมหลายรูปแบบของภัยคุกคาม
    เช่น ransomware, data breach, insider threat, supply chain attack

    เทคนิค purple teaming ช่วยให้การซ้อมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    โดยให้ทีมโจมตีและทีมป้องกันทำงานร่วมกัน

    การวัดผลจากการซ้อมช่วยปรับปรุงแผนรับมือได้ตรงจุด
    เช่น ปรับขั้นตอนการแจ้งเตือน, การสื่อสาร, การตัดสินใจ

    การไม่ซ้อมรับมือเหตุการณ์จริงอาจทำให้การตอบสนองล่าช้า
    ส่งผลให้ความเสียหายขยายวงกว้างและควบคุมไม่ได้

    การใช้ Tabletop Exercise แบบเดิมอาจสร้างความเข้าใจผิด
    เพราะทีมงานอาจคิดว่าตนพร้อม ทั้งที่ไม่เคยเผชิญสถานการณ์จริง

    การไม่รวมทีมเทคนิคและทีมธุรกิจในการซ้อม
    ทำให้การตัดสินใจขาดมุมมองที่ครอบคลุม

    การไม่มีการวัดผลจากการซ้อม
    ทำให้ไม่รู้ว่าทีมตอบสนองได้ดีแค่ไหน และควรปรับปรุงตรงจุดใด

    การละเลยภัยคุกคามใหม่ เช่น AI-driven attack หรือ deepfake phishing
    ทำให้แผนรับมือไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

    https://www.csoonline.com/article/4071102/cisos-must-rethink-the-tabletop-as-57-of-incidents-have-never-been-rehearsed.html
    🧩 “CISO ต้องคิดใหม่เรื่อง Tabletop Exercise — เพราะเหตุการณ์ส่วนใหญ่ไม่เคยซ้อมมาก่อน” ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง การเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันเป็นสิ่งจำเป็น แต่ผลสำรวจล่าสุดจากบริษัท Cymulate พบว่า 57% ของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นจริง “ไม่เคยถูกซ้อม” มาก่อนเลย — นั่นหมายความว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีแผนรับมือที่ผ่านการทดสอบจริง Tabletop Exercise คือการจำลองสถานการณ์เพื่อให้ทีมงานฝึกคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจโดยไม่ต้องลงมือปฏิบัติจริง เช่น การรับมือ ransomware, การรั่วไหลของข้อมูล หรือการโจมตีแบบ supply chain แต่หลายองค์กรยังคงใช้รูปแบบเดิม ๆ ที่เน้นการประชุมมากกว่าการจำลองสถานการณ์ที่สมจริง บทความชี้ว่า CISO (Chief Information Security Officer) ควรเปลี่ยนแนวทางการซ้อมจาก “การประชุมเชิงทฤษฎี” ไปสู่ “การจำลองเชิงปฏิบัติ” ที่มีความสมจริงมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องมือจำลองภัยคุกคาม, การวัดผลตอบสนองของทีม, และการปรับปรุงแผนตามผลลัพธ์ที่ได้ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้เทคนิค “purple teaming” ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างทีมป้องกัน (blue team) และทีมโจมตี (red team) เพื่อสร้างสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ✅ 57% ของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยไม่เคยถูกซ้อมมาก่อน ➡️ แสดงให้เห็นช่องว่างในการเตรียมความพร้อมขององค์กร ✅ Tabletop Exercise แบบเดิมเน้นการประชุมมากกว่าการจำลองจริง ➡️ ทำให้ทีมไม่เข้าใจสถานการณ์จริงเมื่อเกิดเหตุ ✅ CISO ควรเปลี่ยนแนวทางการซ้อมให้สมจริงมากขึ้น ➡️ เช่น ใช้เครื่องมือจำลองภัยคุกคามและวัดผลตอบสนอง ✅ การซ้อมควรครอบคลุมหลายรูปแบบของภัยคุกคาม ➡️ เช่น ransomware, data breach, insider threat, supply chain attack ✅ เทคนิค purple teaming ช่วยให้การซ้อมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ โดยให้ทีมโจมตีและทีมป้องกันทำงานร่วมกัน ✅ การวัดผลจากการซ้อมช่วยปรับปรุงแผนรับมือได้ตรงจุด ➡️ เช่น ปรับขั้นตอนการแจ้งเตือน, การสื่อสาร, การตัดสินใจ ‼️ การไม่ซ้อมรับมือเหตุการณ์จริงอาจทำให้การตอบสนองล่าช้า ⛔ ส่งผลให้ความเสียหายขยายวงกว้างและควบคุมไม่ได้ ‼️ การใช้ Tabletop Exercise แบบเดิมอาจสร้างความเข้าใจผิด ⛔ เพราะทีมงานอาจคิดว่าตนพร้อม ทั้งที่ไม่เคยเผชิญสถานการณ์จริง ‼️ การไม่รวมทีมเทคนิคและทีมธุรกิจในการซ้อม ⛔ ทำให้การตัดสินใจขาดมุมมองที่ครอบคลุม ‼️ การไม่มีการวัดผลจากการซ้อม ⛔ ทำให้ไม่รู้ว่าทีมตอบสนองได้ดีแค่ไหน และควรปรับปรุงตรงจุดใด ‼️ การละเลยภัยคุกคามใหม่ เช่น AI-driven attack หรือ deepfake phishing ⛔ ทำให้แผนรับมือไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว https://www.csoonline.com/article/4071102/cisos-must-rethink-the-tabletop-as-57-of-incidents-have-never-been-rehearsed.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs must rethink the tabletop, as 57% of incidents have never been rehearsed
    Security experts believe many cyber tabletops try to be too specific, while others argue they should focus on smaller, more nuanced attacks, as those are more likely what security teams will face.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เริ่มต้นอาชีพสาย Cybersecurity ด้วย TryHackMe – ฝึกจริง เข้าใจจริง พร้อมใบรับรอง”

    ในยุคที่ภัยไซเบอร์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน องค์กรทั่วโลกต่างต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างเร่งด่วน แต่ปัญหาคือ…จะเริ่มต้นยังไงดี?

    TryHackMe คือแพลตฟอร์มฝึกอบรมด้าน cybersecurity ที่ออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นมือโปรที่ต้องการอัปสกิลเพิ่มเติม จุดเด่นของ TryHackMe คือการฝึกแบบ “ลงมือทำจริง” ผ่านระบบจำลองที่เรียกว่า “rooms” ซึ่งมีมากกว่า 900 ห้อง ครอบคลุมทุกระดับความรู้

    คุณสามารถเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐาน เช่น การตั้งค่าความปลอดภัย ไปจนถึงการเจาะระบบ (ethical hacking) และการวิเคราะห์มัลแวร์ โดยไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน และที่สำคัญคือมีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรใหญ่ เช่น Google, CompTIA และ KPMG

    ในรายงานของ World Economic Forum ระบุว่า “Information Security Analyst” จะเป็นหนึ่งในอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกจนถึงปี 2030 และ TryHackMe กำลังช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงโอกาสนี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยค่าบริการเริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน

    จุดเด่นของ TryHackMe
    มีมากกว่า 900 ห้องฝึกอบรมแบบลงมือทำจริง
    ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ
    มีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลก
    เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ on-demand

    ความต้องการในตลาดแรงงาน
    องค์กรทั่วโลกขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน cybersecurity
    4 ใน 10 ธุรกิจ และ 3 ใน 10 องค์กรไม่แสวงกำไรใน UK ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา
    อาชีพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ติดอันดับ Top 15 ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

    ความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น
    เริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน
    เหมาะสำหรับคนที่ทำงานประจำและต้องการเปลี่ยนอาชีพ
    มีเส้นทางการเรียนรู้ที่ชัดเจน เช่น Red Team, Blue Team, SOC Analyst

    คำเตือนสำหรับผู้เริ่มต้น
    Cybersecurity ไม่ใช่อาชีพที่เรียนรู้แค่ทฤษฎีแล้วทำงานได้ทันที
    ต้องมีทักษะจริงและความเข้าใจในการใช้งานเครื่องมือ
    การเลือกแพลตฟอร์มฝึกอบรมที่ไม่มีใบรับรอง อาจทำให้เสียเวลาโดยไม่เกิดผลลัพธ์
    การเรียนรู้แบบไม่ต่อเนื่องอาจทำให้ทักษะไม่พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techradar.com/security/kickstart-your-path-towards-a-career-in-cyber-security-with-tryhackme
    🛡️ “เริ่มต้นอาชีพสาย Cybersecurity ด้วย TryHackMe – ฝึกจริง เข้าใจจริง พร้อมใบรับรอง” ในยุคที่ภัยไซเบอร์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน องค์กรทั่วโลกต่างต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างเร่งด่วน แต่ปัญหาคือ…จะเริ่มต้นยังไงดี? TryHackMe คือแพลตฟอร์มฝึกอบรมด้าน cybersecurity ที่ออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นมือโปรที่ต้องการอัปสกิลเพิ่มเติม จุดเด่นของ TryHackMe คือการฝึกแบบ “ลงมือทำจริง” ผ่านระบบจำลองที่เรียกว่า “rooms” ซึ่งมีมากกว่า 900 ห้อง ครอบคลุมทุกระดับความรู้ คุณสามารถเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐาน เช่น การตั้งค่าความปลอดภัย ไปจนถึงการเจาะระบบ (ethical hacking) และการวิเคราะห์มัลแวร์ โดยไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน และที่สำคัญคือมีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรใหญ่ เช่น Google, CompTIA และ KPMG ในรายงานของ World Economic Forum ระบุว่า “Information Security Analyst” จะเป็นหนึ่งในอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกจนถึงปี 2030 และ TryHackMe กำลังช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงโอกาสนี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยค่าบริการเริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน ✅ จุดเด่นของ TryHackMe ➡️ มีมากกว่า 900 ห้องฝึกอบรมแบบลงมือทำจริง ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ ➡️ มีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลก ➡️ เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ on-demand ✅ ความต้องการในตลาดแรงงาน ➡️ องค์กรทั่วโลกขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน cybersecurity ➡️ 4 ใน 10 ธุรกิจ และ 3 ใน 10 องค์กรไม่แสวงกำไรใน UK ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ อาชีพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ติดอันดับ Top 15 ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ✅ ความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น ➡️ เริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน ➡️ เหมาะสำหรับคนที่ทำงานประจำและต้องการเปลี่ยนอาชีพ ➡️ มีเส้นทางการเรียนรู้ที่ชัดเจน เช่น Red Team, Blue Team, SOC Analyst ‼️ คำเตือนสำหรับผู้เริ่มต้น ⛔ Cybersecurity ไม่ใช่อาชีพที่เรียนรู้แค่ทฤษฎีแล้วทำงานได้ทันที ⛔ ต้องมีทักษะจริงและความเข้าใจในการใช้งานเครื่องมือ ⛔ การเลือกแพลตฟอร์มฝึกอบรมที่ไม่มีใบรับรอง อาจทำให้เสียเวลาโดยไม่เกิดผลลัพธ์ ⛔ การเรียนรู้แบบไม่ต่อเนื่องอาจทำให้ทักษะไม่พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techradar.com/security/kickstart-your-path-towards-a-career-in-cyber-security-with-tryhackme
    WWW.TECHRADAR.COM
    Kickstart your path towards a career in cyber security with TryHackMe
    Professional cyber security and training for just £9 per month
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Dell Pro Max Mini AI PC – เล็กแต่แรงด้วย NVIDIA GB10 และหน่วยความจำ 128GB LPDDR5X”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลทุกระดับ ตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเดสก์ท็อป Dell ได้เปิดตัว “Pro Max Mini AI PC” ที่มาพร้อมกับ NVIDIA GB10 Superchip ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในขนาดเล็ก

    Dell Pro Max GB10 สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ถึง 200 พันล้านพารามิเตอร์ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้วยหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 128GB และพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 1000 TOPS

    ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ใช้พลังงานผ่านอะแดปเตอร์ 280W และรองรับการเชื่อมต่อระดับสูง เช่น USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE และ QSFP 200Gbps

    ภายในใช้ NVIDIA GB10 Superchip ที่มี 20 คอร์ ARM v9.2 และ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell เทียบเท่า RTX 5070 พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s และแบนด์วิดท์ระบบรวม 273 GB/s

    นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่อง Pro Max อีกเครื่องผ่าน ConnectX-7 Smart NIC เพื่อรันโมเดลขนาดใหญ่ถึง 400 พันล้านพารามิเตอร์ได้

    สเปกเด่นของ Dell Pro Max GB10
    ใช้ NVIDIA GB10 Superchip: 20 ARM v9.2 cores + Blackwell GPU
    หน่วยความจำ LPDDR5X 128GB ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s
    พลังประมวลผล FP4 สูงสุด 1000 TOPS
    รองรับโมเดล AI ขนาด 200B และสามารถขยายถึง 400B ด้วยการเชื่อมต่อสองเครื่อง

    การออกแบบและการเชื่อมต่อ
    ขนาดเล็ก 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก.
    พอร์ตเชื่อมต่อ: USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE, QSFP 200Gbps
    รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4
    ใช้ DGX OS และ NVIDIA AI software stack เพื่อความเข้ากันได้กับระบบคลาวด์

    การใช้งานและประโยชน์
    รัน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.3 70B ได้แบบ local
    ลดค่าใช้จ่ายจากการไม่ต้องใช้คลาวด์
    เหมาะสำหรับนักพัฒนา AI, นักวิจัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลในพื้นที่

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
    การใช้งานเต็มประสิทธิภาพอาจต้องมีความรู้ด้านระบบ NVIDIA
    การขยายระบบต้องใช้ ConnectX-7 NIC ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
    แม้จะเล็ก แต่ยังต้องใช้พลังงานสูงถึง 280W

    https://wccftech.com/dell-pro-max-nvidia-gb10-now-available-128-gb-lp5x-small-form-factor-mini-ai-pc/
    🖥️ “Dell Pro Max Mini AI PC – เล็กแต่แรงด้วย NVIDIA GB10 และหน่วยความจำ 128GB LPDDR5X” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลทุกระดับ ตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเดสก์ท็อป Dell ได้เปิดตัว “Pro Max Mini AI PC” ที่มาพร้อมกับ NVIDIA GB10 Superchip ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในขนาดเล็ก Dell Pro Max GB10 สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ถึง 200 พันล้านพารามิเตอร์ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้วยหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 128GB และพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 1000 TOPS ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ใช้พลังงานผ่านอะแดปเตอร์ 280W และรองรับการเชื่อมต่อระดับสูง เช่น USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE และ QSFP 200Gbps ภายในใช้ NVIDIA GB10 Superchip ที่มี 20 คอร์ ARM v9.2 และ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell เทียบเท่า RTX 5070 พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s และแบนด์วิดท์ระบบรวม 273 GB/s นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่อง Pro Max อีกเครื่องผ่าน ConnectX-7 Smart NIC เพื่อรันโมเดลขนาดใหญ่ถึง 400 พันล้านพารามิเตอร์ได้ ✅ สเปกเด่นของ Dell Pro Max GB10 ➡️ ใช้ NVIDIA GB10 Superchip: 20 ARM v9.2 cores + Blackwell GPU ➡️ หน่วยความจำ LPDDR5X 128GB ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s ➡️ พลังประมวลผล FP4 สูงสุด 1000 TOPS ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 200B และสามารถขยายถึง 400B ด้วยการเชื่อมต่อสองเครื่อง ✅ การออกแบบและการเชื่อมต่อ ➡️ ขนาดเล็ก 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE, QSFP 200Gbps ➡️ รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ➡️ ใช้ DGX OS และ NVIDIA AI software stack เพื่อความเข้ากันได้กับระบบคลาวด์ ✅ การใช้งานและประโยชน์ ➡️ รัน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.3 70B ได้แบบ local ➡️ ลดค่าใช้จ่ายจากการไม่ต้องใช้คลาวด์ ➡️ เหมาะสำหรับนักพัฒนา AI, นักวิจัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลในพื้นที่ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานเต็มประสิทธิภาพอาจต้องมีความรู้ด้านระบบ NVIDIA ⛔ การขยายระบบต้องใช้ ConnectX-7 NIC ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ⛔ แม้จะเล็ก แต่ยังต้องใช้พลังงานสูงถึง 280W https://wccftech.com/dell-pro-max-nvidia-gb10-now-available-128-gb-lp5x-small-form-factor-mini-ai-pc/
    WCCFTECH.COM
    Dell Pro Max With NVIDIA GB10 Now Available: 128 GB LP5X Memory & Small Form Factor Mini AI PC
    The Dell Pro Max Mini AI PC is now available and packs the NVIDIA GB10 Superchip with up to 128 GB of LPDDR5x memory.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Bluebird Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp:+1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyVerifiedBluebirdAccounts
    #BuyVerifiedBluebird
    #BuyUSAVerifiedBluebird
    #BuyVerifiedBluebirdUsaBank
    #BuyVerifiedBluebirdDebitCard
    #BuyVerifiedBluebirdMasterCard
    #BuyVerifiedBluebirdVirtualCard
    #BuyVerifiedBluebirdAtmBank
    #BuyVerifiedBluebirdDollar
    #BuyVerifiedBluebirdCashout
    Buy Verified Bluebird Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyVerifiedBluebirdAccounts #BuyVerifiedBluebird #BuyUSAVerifiedBluebird #BuyVerifiedBluebirdUsaBank #BuyVerifiedBluebirdDebitCard #BuyVerifiedBluebirdMasterCard #BuyVerifiedBluebirdVirtualCard #BuyVerifiedBluebirdAtmBank #BuyVerifiedBluebirdDollar #BuyVerifiedBluebirdCashout
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Bluebird Accounts
    Buy Verified Bluebird Accounts form GlobalSeoShop If you're looking to buy verified Bluebird accounts from GlobalSeoShop, you've come to the right place. Bluebird accounts are a popular choice for individuals who want a prepaid card with no annual fees and convenient features. At GlobalSeoShop, we offer a wide range of verified Bluebird accounts that are ready to use. Our team works tirelessly to ensure that each account we provide is verified and secure, giving you peace of mind when making transactions online or in person. The Bluebird accounts available at GlobalSeoShop come with various benefits, such as access to direct deposits, the ability to pay bills, and options to add funds at Walmart locations. To buy a verified Bluebird account from GlobalSeoShop, simply browse our selection and choose the one that suits your needs. We guarantee a seamless purchasing process and prompt delivery of your account details. Don't wait any longer - get your verified Bluebird account today from GlobalSeoShop and experience the convenience it offers. Buy Verified Bluebird Accounts Features ✔ Faster Delivery ✔ Verified Bank Accounts ✔ Phone Number And SSN Verified ✔ Delivery in Excel sheet ✔ Accounts are 100% verified ✔24×7 Customer Support On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1 (864) 708-8783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์

    ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี

    เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ

    แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย

    การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา

    สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม
    ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน
    เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002
    เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี
    ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข
    ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก
    ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ
    เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง
    ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย
    ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต
    สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย
    ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด
    ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง
    มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้
    หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย

    คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต
    การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง
    ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ
    การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล
    การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว
    มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์

    หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ.

    https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    หัวข้อข่าว: “แดเนียล คาห์เนมัน” นักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล เลือกจบชีวิตอย่างสงบในสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 27 มีนาคม 2024 โลกต้องสูญเสียหนึ่งในนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคสมัย ดร.แดเนียล คาห์เนมัน นักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2002 ได้เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะมีอายุ 90 ปี เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงด้วยความเศร้า หากแต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในกรุงปารีสกับครอบครัว เดินเล่น ชมบัลเลต์ และลิ้มรสช็อกโกแลตมูสอย่างมีความสุข ก่อนจะส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิท แล้วเดินทางไปซูริกเพื่อจบชีวิตอย่างสงบ แม้เขาจะไม่ได้ป่วยหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาเริ่มรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของร่างกายและจิตใจ และไม่ต้องการเผชิญกับความทรมานหรือการสูญเสียอัตลักษณ์แบบที่คนใกล้ตัวเคยประสบ เขาเลือกที่จะรักษาความเป็นตัวเองไว้จนวาระสุดท้าย การตัดสินใจของคาห์เนมันจุดประกายให้สังคมหันกลับมาคิดถึงเรื่องสิทธิในการเลือกจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแง่จริยธรรม กฎหมาย และความเชื่อทางศาสนา สรุปเนื้อหาจากข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ชีวิตและการตัดสินใจของแดเนียล คาห์เนมัน ➡️ เขาเป็นนักจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002 ➡️ เลือกจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาตในสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 90 ปี ➡️ ใช้เวลาสุดท้ายในปารีสกับครอบครัวอย่างสงบและมีความสุข ➡️ ส่งอีเมลอำลาเพื่อนสนิทก่อนเดินทางไปซูริก ➡️ ต้องการหลีกเลี่ยงความเสื่อมถอยทางร่างกายและจิตใจ ➡️ เคยสูญเสียคนใกล้ตัวจากภาวะสมองเสื่อมและโรคร้ายแรง ➡️ ต้องการรักษาความเป็นตัวเองและความสง่างามจนวาระสุดท้าย ➡️ ไม่ต้องการให้การตัดสินใจของเขากลายเป็นประเด็นถกเถียงในสาธารณะ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการุณยฆาต ➡️ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตอย่างถูกกฎหมาย ➡️ ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์และจิตแพทย์อย่างเข้มงวด ➡️ ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะและตัดสินใจด้วยตัวเอง ➡️ มีองค์กรเช่น Dignitas และ Exit ที่ให้บริการด้านนี้ ➡️ หลายประเทศยังคงห้ามหรือจำกัดการทำการุณยฆาต เช่น สหรัฐอเมริกา (บางรัฐ), ญี่ปุ่น, ไทย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการตัดสินใจจบชีวิต ⛔ การทำการุณยฆาตไม่ใช่ทางออกสำหรับภาวะซึมเศร้าหรือความสิ้นหวัง ⛔ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก่อนตัดสินใจใดๆ ⛔ การสูญเสียคนรักอาจกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ต้องได้รับการดูแล ⛔ การตัดสินใจจบชีวิตควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรถูกกดดันจากสังคมหรือครอบครัว ⛔ มีบริการสายด่วนและองค์กรช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เช่น สายด่วน 143 และ 147 ในสวิตเซอร์แลนด์ หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความทุกข์ใจ โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือองค์กรที่พร้อมรับฟังและช่วยเหลือคุณอย่างจริงใจ. https://www.bluewin.ch/en/entertainment/nobel-prize-winner-opts-for-suicide-in-switzerland-2619460.html
    WWW.BLUEWIN.CH
    Nobel Prize winner opts for suicide in Switzerland
    At the age of 90, Nobel Prize winner Daniel Kahneman has decided to die by his own hand in Switzerland. He spent his last days in Paris - conscious, fulfilled and quiet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Bluebird Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp:+1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyVerifiedBluebirdAccounts
    #BuyVerifiedBluebird
    #BuyUSAVerifiedBluebird
    #BuyVerifiedBluebirdUsaBank
    #BuyVerifiedBluebirdDebitCard
    #BuyVerifiedBluebirdMasterCard
    #BuyVerifiedBluebirdVirtualCard
    #BuyVerifiedBluebirdAtmBank
    #BuyVerifiedBluebirdDollar
    #BuyVerifiedBluebirdCashout
    Buy Verified Bluebird Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-bluebird-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyVerifiedBluebirdAccounts #BuyVerifiedBluebird #BuyUSAVerifiedBluebird #BuyVerifiedBluebirdUsaBank #BuyVerifiedBluebirdDebitCard #BuyVerifiedBluebirdMasterCard #BuyVerifiedBluebirdVirtualCard #BuyVerifiedBluebirdAtmBank #BuyVerifiedBluebirdDollar #BuyVerifiedBluebirdCashout
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Bluebird Accounts
    Buy Verified Bluebird Accounts form GlobalSeoShop If you're looking to buy verified Bluebird accounts from GlobalSeoShop, you've come to the right place. Bluebird accounts are a popular choice for individuals who want a prepaid card with no annual fees and convenient features. At GlobalSeoShop, we offer a wide range of verified Bluebird accounts that are ready to use. Our team works tirelessly to ensure that each account we provide is verified and secure, giving you peace of mind when making transactions online or in person. The Bluebird accounts available at GlobalSeoShop come with various benefits, such as access to direct deposits, the ability to pay bills, and options to add funds at Walmart locations. To buy a verified Bluebird account from GlobalSeoShop, simply browse our selection and choose the one that suits your needs. We guarantee a seamless purchasing process and prompt delivery of your account details. Don't wait any longer - get your verified Bluebird account today from GlobalSeoShop and experience the convenience it offers. Buy Verified Bluebird Accounts Features ✔ Faster Delivery ✔ Verified Bank Accounts ✔ Phone Number And SSN Verified ✔ Delivery in Excel sheet ✔ Accounts are 100% verified ✔24×7 Customer Support On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp:+1 (864) 708-8783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Kanto Obi3: เทิร์นเทเบิลบลูทูธสุดมินิมอลจากแคนาดา — เสียงดี ดีไซน์เด่น ราคาโดนใจ”

    Kanto Audio แบรนด์เครื่องเสียงจากแคนาดาเปิดตัวเทิร์นเทเบิลรุ่นแรกของบริษัทในชื่อ “Obi3” โดยชูจุดเด่นด้านดีไซน์เรียบง่าย ฟังก์ชันครบ และราคาที่เข้าถึงได้ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2025 ด้วยราคา $199 / £179 (ประมาณ 7,500 บาท) ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของแบรนด์ระดับเริ่มต้นอย่าง Sony, Audio-Technica และ Pro-Ject

    Obi3 ใช้ระบบสายพานแบบสองสปีด (33⅓ และ 45 RPM) พร้อมหัวเข็ม Audio-Technica AT3600L ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ตัวเครื่องมีโครงสร้างไม้และจานหมุนอะลูมิเนียมแบบถ่วงน้ำหนักเพื่อความนิ่งในการเล่นแผ่นเสียง พร้อมแขนอ่านแบบ J-shape ที่ออกแบบมาเพื่อความแม่นยำในการติดตามร่องแผ่น

    ฟีเจอร์เด่นคือ Bluetooth 5.3 ที่สามารถเชื่อมต่อกับลำโพงหรือหูฟังไร้สายได้ทันที รวมถึงมี preamp ในตัวที่สามารถเปิด/ปิดได้ และช่อง RCA สำหรับเชื่อมต่อกับระบบเสียงแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมี pitch control ซึ่งหาได้ยากในเทิร์นเทเบิลระดับราคานี้

    Obi3 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ดำ ขาว และเขียว Sage ซึ่งได้รับคำแนะนำว่า “เป็นสีที่ควรซื้อ” เพราะโชว์ความเรียบง่ายของดีไซน์ได้ดีที่สุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Kanto เปิดตัวเทิร์นเทเบิลรุ่นแรกชื่อ Obi3 ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    ราคาเปิดตัว $199 / £179 (ประมาณ AU$300)
    ใช้ระบบสายพานแบบสองสปีด (33⅓ และ 45 RPM)
    หัวเข็ม Audio-Technica AT3600L ติดตั้งมาให้จากโรงงาน
    โครงสร้างไม้และจานหมุนอะลูมิเนียมแบบถ่วงน้ำหนัก
    แขนอ่านแบบ J-shape เพื่อความแม่นยำในการติดตามร่องแผ่น
    มี Bluetooth 5.3 สำหรับเชื่อมต่อกับลำโพงหรือหูฟังไร้สาย
    มี preamp ในตัวที่เปิด/ปิดได้ และช่อง RCA สำหรับระบบเสียงดั้งเดิม
    มี pitch control ซึ่งหาได้ยากในเทิร์นเทเบิลระดับราคานี้
    มีให้เลือก 3 สี: ดำ ขาว และเขียว Sage

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หัวเข็ม AT3600L เป็นหัวเข็มระดับเริ่มต้นที่ให้เสียงชัดเจนและบาลานซ์
    Bluetooth 5.3 มี latency ต่ำและประหยัดพลังงานมากกว่าเวอร์ชันก่อน
    แขนอ่าน J-shape นิยมใช้ในเทิร์นเทเบิลระดับมืออาชีพเพื่อความแม่นยำ
    Pitch control ช่วยให้ปรับความเร็วเสียงได้ เช่น เล่นเพลงให้เร็วขึ้นหรือช้าลง
    Obi3 เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความสะดวกแต่ยังรักษาคุณภาพเสียง

    https://www.techradar.com/audio/turntables/one-of-the-best-budget-hi-fi-makers-just-launched-an-irresistible-bluetooth-turntable-and-theres-only-one-color-you-should-buy-it-in
    🎶 “Kanto Obi3: เทิร์นเทเบิลบลูทูธสุดมินิมอลจากแคนาดา — เสียงดี ดีไซน์เด่น ราคาโดนใจ” Kanto Audio แบรนด์เครื่องเสียงจากแคนาดาเปิดตัวเทิร์นเทเบิลรุ่นแรกของบริษัทในชื่อ “Obi3” โดยชูจุดเด่นด้านดีไซน์เรียบง่าย ฟังก์ชันครบ และราคาที่เข้าถึงได้ เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2025 ด้วยราคา $199 / £179 (ประมาณ 7,500 บาท) ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของแบรนด์ระดับเริ่มต้นอย่าง Sony, Audio-Technica และ Pro-Ject Obi3 ใช้ระบบสายพานแบบสองสปีด (33⅓ และ 45 RPM) พร้อมหัวเข็ม Audio-Technica AT3600L ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ตัวเครื่องมีโครงสร้างไม้และจานหมุนอะลูมิเนียมแบบถ่วงน้ำหนักเพื่อความนิ่งในการเล่นแผ่นเสียง พร้อมแขนอ่านแบบ J-shape ที่ออกแบบมาเพื่อความแม่นยำในการติดตามร่องแผ่น ฟีเจอร์เด่นคือ Bluetooth 5.3 ที่สามารถเชื่อมต่อกับลำโพงหรือหูฟังไร้สายได้ทันที รวมถึงมี preamp ในตัวที่สามารถเปิด/ปิดได้ และช่อง RCA สำหรับเชื่อมต่อกับระบบเสียงแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมี pitch control ซึ่งหาได้ยากในเทิร์นเทเบิลระดับราคานี้ Obi3 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ดำ ขาว และเขียว Sage ซึ่งได้รับคำแนะนำว่า “เป็นสีที่ควรซื้อ” เพราะโชว์ความเรียบง่ายของดีไซน์ได้ดีที่สุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Kanto เปิดตัวเทิร์นเทเบิลรุ่นแรกชื่อ Obi3 ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ ราคาเปิดตัว $199 / £179 (ประมาณ AU$300) ➡️ ใช้ระบบสายพานแบบสองสปีด (33⅓ และ 45 RPM) ➡️ หัวเข็ม Audio-Technica AT3600L ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ➡️ โครงสร้างไม้และจานหมุนอะลูมิเนียมแบบถ่วงน้ำหนัก ➡️ แขนอ่านแบบ J-shape เพื่อความแม่นยำในการติดตามร่องแผ่น ➡️ มี Bluetooth 5.3 สำหรับเชื่อมต่อกับลำโพงหรือหูฟังไร้สาย ➡️ มี preamp ในตัวที่เปิด/ปิดได้ และช่อง RCA สำหรับระบบเสียงดั้งเดิม ➡️ มี pitch control ซึ่งหาได้ยากในเทิร์นเทเบิลระดับราคานี้ ➡️ มีให้เลือก 3 สี: ดำ ขาว และเขียว Sage ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หัวเข็ม AT3600L เป็นหัวเข็มระดับเริ่มต้นที่ให้เสียงชัดเจนและบาลานซ์ ➡️ Bluetooth 5.3 มี latency ต่ำและประหยัดพลังงานมากกว่าเวอร์ชันก่อน ➡️ แขนอ่าน J-shape นิยมใช้ในเทิร์นเทเบิลระดับมืออาชีพเพื่อความแม่นยำ ➡️ Pitch control ช่วยให้ปรับความเร็วเสียงได้ เช่น เล่นเพลงให้เร็วขึ้นหรือช้าลง ➡️ Obi3 เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความสะดวกแต่ยังรักษาคุณภาพเสียง https://www.techradar.com/audio/turntables/one-of-the-best-budget-hi-fi-makers-just-launched-an-irresistible-bluetooth-turntable-and-theres-only-one-color-you-should-buy-it-in
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wireshark 4.6 เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ — รองรับโปรโตคอลใหม่กว่า 40 รายการ พร้อมฟีเจอร์วิเคราะห์เครือข่ายระดับมืออาชีพ”

    Wireshark 4.6 ได้เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมการอัปเดตครั้งใหญ่ที่ยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์เครือข่ายให้ลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยรองรับทั้ง Linux, macOS และ Windows

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการรองรับการถอดรหัส NTP ที่ใช้ Network Time Security (NTS) ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์การซิงค์เวลาแบบปลอดภัยได้ นอกจากนี้ยังสามารถบีบอัดข้อมูลขณะจับแพ็กเก็ตแบบ real-time เพื่อลดการใช้พื้นที่จัดเก็บ

    Wireshark 4.6 ยังเพิ่ม “Plots” dialog สำหรับการแสดงกราฟแบบ scatter plot ที่รองรับหลายชุดข้อมูลพร้อมกัน และมีการปรับปรุงการแสดงผลเวลาให้เป็นมาตรฐาน ISO 8601 พร้อม suffix “Z” สำหรับเวลาแบบ UTC

    ในด้านการวิเคราะห์ MACsec (Media Access Control Security) Wireshark สามารถใช้ SAK จาก MKA หรือ PSK เพื่อถอดรหัสแพ็กเก็ตได้ และยังรองรับการแสดงค่าบิตเรตและ byte count แบบละเอียดในหน้าต่าง Conversations และ Endpoints

    ฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ได้แก่ การรองรับการถอดรหัส RIFF และ TTL file format, การแสดงข้อมูล raw hex ใน Export Dissections, และการเพิ่มเมนู “Copy as HTML” เพื่อคัดลอกข้อมูลแบบจัดรูปแบบ

    ที่สำคัญที่สุดคือ Wireshark 4.6 รองรับโปรโตคอลใหม่กว่า 40 รายการ เช่น Binary HTTP, Bluetooth HCI, DECT NR+, DLMS/COSEM, SGP.22 และ SGP.32 สำหรับการจัดการ eSIM บนเครือข่ายมือถือ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wireshark 4.6 เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย
    รองรับการถอดรหัส NTP ที่ใช้ NTS (Network Time Security)
    รองรับการบีบอัดข้อมูลขณะจับแพ็กเก็ตแบบ live capture
    เพิ่ม “Plots” dialog สำหรับ scatter plot แบบหลายชุดข้อมูล
    ปรับการแสดงเวลาเป็น ISO 8601 พร้อม suffix “Z” สำหรับ UTC
    รองรับการถอดรหัส MACsec ด้วย SAK จาก MKA หรือ PSK
    เพิ่มการแสดง byte count และ bit rate แบบละเอียด
    รองรับการถอดรหัส RIFF และ TTL file format
    เพิ่มเมนู “Copy as HTML” และการแสดง raw hex ใน Export Dissections
    รองรับโปรโตคอลใหม่กว่า 40 รายการ เช่น Binary HTTP, Bluetooth HCI, DLMS/COSEM, SGP.22, SGP.32

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NTS เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการซิงค์เวลาแบบปลอดภัยในระบบเครือข่าย
    MACsec ใช้ในเครือข่าย LAN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่าน Ethernet
    ISO 8601 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการแสดงเวลาแบบ machine-readable
    SGP.22 และ SGP.32 เป็นโปรโตคอลของ GSMA สำหรับการจัดการ eSIM ระยะไกล
    Scatter plot ช่วยให้เห็นรูปแบบการส่งข้อมูลและความผิดปกติได้ชัดเจน

    https://9to5linux.com/wireshark-4-6-open-source-network-protocol-analyzer-released-as-a-major-update
    🌐 “Wireshark 4.6 เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ — รองรับโปรโตคอลใหม่กว่า 40 รายการ พร้อมฟีเจอร์วิเคราะห์เครือข่ายระดับมืออาชีพ” Wireshark 4.6 ได้เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมการอัปเดตครั้งใหญ่ที่ยกระดับความสามารถในการวิเคราะห์เครือข่ายให้ลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยรองรับทั้ง Linux, macOS และ Windows หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการรองรับการถอดรหัส NTP ที่ใช้ Network Time Security (NTS) ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์การซิงค์เวลาแบบปลอดภัยได้ นอกจากนี้ยังสามารถบีบอัดข้อมูลขณะจับแพ็กเก็ตแบบ real-time เพื่อลดการใช้พื้นที่จัดเก็บ Wireshark 4.6 ยังเพิ่ม “Plots” dialog สำหรับการแสดงกราฟแบบ scatter plot ที่รองรับหลายชุดข้อมูลพร้อมกัน และมีการปรับปรุงการแสดงผลเวลาให้เป็นมาตรฐาน ISO 8601 พร้อม suffix “Z” สำหรับเวลาแบบ UTC ในด้านการวิเคราะห์ MACsec (Media Access Control Security) Wireshark สามารถใช้ SAK จาก MKA หรือ PSK เพื่อถอดรหัสแพ็กเก็ตได้ และยังรองรับการแสดงค่าบิตเรตและ byte count แบบละเอียดในหน้าต่าง Conversations และ Endpoints ฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ได้แก่ การรองรับการถอดรหัส RIFF และ TTL file format, การแสดงข้อมูล raw hex ใน Export Dissections, และการเพิ่มเมนู “Copy as HTML” เพื่อคัดลอกข้อมูลแบบจัดรูปแบบ ที่สำคัญที่สุดคือ Wireshark 4.6 รองรับโปรโตคอลใหม่กว่า 40 รายการ เช่น Binary HTTP, Bluetooth HCI, DECT NR+, DLMS/COSEM, SGP.22 และ SGP.32 สำหรับการจัดการ eSIM บนเครือข่ายมือถือ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wireshark 4.6 เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย ➡️ รองรับการถอดรหัส NTP ที่ใช้ NTS (Network Time Security) ➡️ รองรับการบีบอัดข้อมูลขณะจับแพ็กเก็ตแบบ live capture ➡️ เพิ่ม “Plots” dialog สำหรับ scatter plot แบบหลายชุดข้อมูล ➡️ ปรับการแสดงเวลาเป็น ISO 8601 พร้อม suffix “Z” สำหรับ UTC ➡️ รองรับการถอดรหัส MACsec ด้วย SAK จาก MKA หรือ PSK ➡️ เพิ่มการแสดง byte count และ bit rate แบบละเอียด ➡️ รองรับการถอดรหัส RIFF และ TTL file format ➡️ เพิ่มเมนู “Copy as HTML” และการแสดง raw hex ใน Export Dissections ➡️ รองรับโปรโตคอลใหม่กว่า 40 รายการ เช่น Binary HTTP, Bluetooth HCI, DLMS/COSEM, SGP.22, SGP.32 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NTS เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการซิงค์เวลาแบบปลอดภัยในระบบเครือข่าย ➡️ MACsec ใช้ในเครือข่าย LAN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่าน Ethernet ➡️ ISO 8601 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการแสดงเวลาแบบ machine-readable ➡️ SGP.22 และ SGP.32 เป็นโปรโตคอลของ GSMA สำหรับการจัดการ eSIM ระยะไกล ➡️ Scatter plot ช่วยให้เห็นรูปแบบการส่งข้อมูลและความผิดปกติได้ชัดเจน https://9to5linux.com/wireshark-4-6-open-source-network-protocol-analyzer-released-as-a-major-update
    9TO5LINUX.COM
    Wireshark 4.6 Open-Source Network Protocol Analyzer Released as a Major Update - 9to5Linux
    Wireshark 4.6 open-source network protocol analyzer is now available to download with manjor new features and improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • “System76 เปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ — แล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เต็มรูปแบบ”

    System76 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux ชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ติดตั้งบน Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา Linux Desktop ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ลื่นไหลและทันสมัย

    Oryx Pro รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสเปกระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิศวกรรม การพัฒนา AI และการเล่นเกม โดยใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz พร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 และรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 ความเร็ว 5600MHz รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 PCIe Gen4 สูงสุด 8TB

    หน้าจอขนาด 16 นิ้วแบบ 2K matte มีอัตราส่วน 16:10 และรีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz เหมาะสำหรับงานกราฟิกและการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนระบบเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4 Type-C, HDMI, DisplayPort, microSD card reader และช่องหูฟัง 3.5 มม.

    COSMIC Desktop ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาโดย System76 เอง ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และ GTK4 เพื่อให้มีความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งสูง โดยเน้นการใช้งานแบบ keyboard-centric และ workflow ที่ไม่รบกวนผู้ใช้

    Oryx Pro ยังสามารถเลือกติดตั้ง Ubuntu 24.04 LTS ได้แทน Pop!_OS หากผู้ใช้ต้องการ และเปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ของ System76 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 USD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Oryx Pro เป็นแล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า
    ติดตั้ง Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง หรือเลือก Ubuntu 24.04 LTS ได้
    ใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz
    กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 รองรับงาน AI และเกมระดับสูง
    RAM สูงสุด 96GB DDR5 5600MHz และ SSD สูงสุด 8TB M.2 PCIe Gen4
    หน้าจอ 16 นิ้ว 2K matte อัตราส่วน 16:10 รีเฟรชเรต 240Hz
    ระบบเชื่อมต่อครบครัน: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4, HDMI, DisplayPort ฯลฯ
    มีแบตเตอรี่ 80Wh, คีย์บอร์ดมีไฟ backlit พร้อม NumPad, กล้อง HD 1MP
    COSMIC Desktop พัฒนาโดย System76 ด้วยภาษา Rust และ GTK4
    เปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ System76 ราคาเริ่มต้น $2,599 USD

    https://9to5linux.com/system76s-oryx-pro-is-the-first-linux-laptop-to-ship-with-the-cosmic-desktop
    💻 “System76 เปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ — แล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เต็มรูปแบบ” System76 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ Linux ชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดตัว Oryx Pro รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งถือเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ติดตั้งบน Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา Linux Desktop ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ลื่นไหลและทันสมัย Oryx Pro รุ่นใหม่นี้มาพร้อมสเปกระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านวิศวกรรม การพัฒนา AI และการเล่นเกม โดยใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz พร้อมกราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 และรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 ความเร็ว 5600MHz รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 PCIe Gen4 สูงสุด 8TB หน้าจอขนาด 16 นิ้วแบบ 2K matte มีอัตราส่วน 16:10 และรีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz เหมาะสำหรับงานกราฟิกและการเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนระบบเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4 Type-C, HDMI, DisplayPort, microSD card reader และช่องหูฟัง 3.5 มม. COSMIC Desktop ซึ่งเป็นผลงานพัฒนาโดย System76 เอง ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และ GTK4 เพื่อให้มีความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่งสูง โดยเน้นการใช้งานแบบ keyboard-centric และ workflow ที่ไม่รบกวนผู้ใช้ Oryx Pro ยังสามารถเลือกติดตั้ง Ubuntu 24.04 LTS ได้แทน Pop!_OS หากผู้ใช้ต้องการ และเปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ของ System76 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $2,599 USD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Oryx Pro เป็นแล็ปท็อป Linux เครื่องแรกที่มาพร้อม COSMIC Desktop เวอร์ชันเบต้า ➡️ ติดตั้ง Pop!_OS 24.04 LTS โดยตรง หรือเลือก Ubuntu 24.04 LTS ได้ ➡️ ใช้ชิป AMD Ryzen AI 9 HX 370 แบบ 12 คอร์ 24 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.1GHz ➡️ กราฟิก NVIDIA GeForce RTX 5070 รองรับงาน AI และเกมระดับสูง ➡️ RAM สูงสุด 96GB DDR5 5600MHz และ SSD สูงสุด 8TB M.2 PCIe Gen4 ➡️ หน้าจอ 16 นิ้ว 2K matte อัตราส่วน 16:10 รีเฟรชเรต 240Hz ➡️ ระบบเชื่อมต่อครบครัน: Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, USB 4, HDMI, DisplayPort ฯลฯ ➡️ มีแบตเตอรี่ 80Wh, คีย์บอร์ดมีไฟ backlit พร้อม NumPad, กล้อง HD 1MP ➡️ COSMIC Desktop พัฒนาโดย System76 ด้วยภาษา Rust และ GTK4 ➡️ เปิดให้สั่งซื้อแล้วผ่านเว็บไซต์ System76 ราคาเริ่มต้น $2,599 USD https://9to5linux.com/system76s-oryx-pro-is-the-first-linux-laptop-to-ship-with-the-cosmic-desktop
    9TO5LINUX.COM
    System76's Oryx Pro Is the First Linux Laptop to Ship with the COSMIC Desktop - 9to5Linux
    System76 announces a new Oryx Pro laptop that comes preinstalled with the COSMIC Beta desktop environment on top of Pop!_OS 24.04 LTS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อเส้นตรงกลายเป็นเรื่องเล่า — คู่มือภาพประกอบ Linear Algebra ที่ทำให้คณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น (และมีดราม่าเล็ก ๆ ด้วย)”

    Aditya Bhargava ผู้เขียนหนังสือยอดนิยม “Grokking Algorithms” กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมผลงานใหม่ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพจำของวิชาคณิตศาสตร์ที่หลายคนเคยกลัว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายผ่านภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน

    หนังสือเล่มนี้ใช้แนวทาง “visual-first” โดยเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ผ่านภาพวาดและสถานการณ์จำลอง เช่น การวางแผนมื้ออาหาร การแลกเหรียญ หรือการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความหมายของการคำนวณเชิงเส้นในบริบทจริง

    อย่างไรก็ตาม หนังสือก็ไม่รอดจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเลือกนำเสนอ “Gaussian Elimination” ตั้งแต่ต้นเล่ม ก่อนที่จะสร้างพื้นฐานด้านภาพและความเข้าใจเชิงเรขาคณิต หลายคนมองว่าเป็นการ “ข้ามขั้น” และทำให้ผู้อ่านสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวแปร x และ y สลับบทบาทในหลายบริบท เช่น บางครั้งแทนอาหาร บางครั้งแทนสารอาหาร

    แม้จะมีข้อถกเถียง แต่หลายเสียงก็ชื่นชมแนวทางการสอนที่ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริง โดยเฉพาะในยุคที่ Linear Algebra กลายเป็นพื้นฐานของ Machine Learning และ AI การมีสื่อที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา
    หนังสือ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” เขียนโดย Aditya Bhargava
    ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตจริง เช่น เหรียญ อาหาร และสารอาหาร
    เน้นการอธิบายแนวคิดเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น
    มีการนำเสนอ Gaussian Elimination ตั้งแต่ต้นเล่ม
    ตัวแปร x และ y ถูกใช้ในหลายบริบท ทำให้บางคนสับสน
    หนังสือได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เรียนที่ไม่ถนัดคณิตศาสตร์
    เป็นสื่อที่เชื่อมโยง Linear Algebra กับการใช้งานจริงใน AI และ ML

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gaussian Elimination คือวิธีแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้การแปลงเมทริกซ์
    Linear Algebra เป็นพื้นฐานของการทำงานของ neural networks และการลดมิติข้อมูล
    Gilbert Strang จาก MIT เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสอน Linear Algebra แบบ intuitive
    ช่อง YouTube อย่าง 3Blue1Brown ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่ออธิบาย Linear Algebra ได้อย่างน่าทึ่ง
    การใช้ภาพและเรื่องเล่าช่วยลดความกลัวคณิตศาสตร์ในกลุ่มผู้เรียนสายศิลป์และมนุษย์ศาสตร์

    https://www.ducktyped.org/p/an-illustrated-introduction-to-linear
    📘 “เมื่อเส้นตรงกลายเป็นเรื่องเล่า — คู่มือภาพประกอบ Linear Algebra ที่ทำให้คณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น (และมีดราม่าเล็ก ๆ ด้วย)” Aditya Bhargava ผู้เขียนหนังสือยอดนิยม “Grokking Algorithms” กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมผลงานใหม่ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพจำของวิชาคณิตศาสตร์ที่หลายคนเคยกลัว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายผ่านภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน หนังสือเล่มนี้ใช้แนวทาง “visual-first” โดยเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ผ่านภาพวาดและสถานการณ์จำลอง เช่น การวางแผนมื้ออาหาร การแลกเหรียญ หรือการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความหมายของการคำนวณเชิงเส้นในบริบทจริง อย่างไรก็ตาม หนังสือก็ไม่รอดจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเลือกนำเสนอ “Gaussian Elimination” ตั้งแต่ต้นเล่ม ก่อนที่จะสร้างพื้นฐานด้านภาพและความเข้าใจเชิงเรขาคณิต หลายคนมองว่าเป็นการ “ข้ามขั้น” และทำให้ผู้อ่านสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวแปร x และ y สลับบทบาทในหลายบริบท เช่น บางครั้งแทนอาหาร บางครั้งแทนสารอาหาร แม้จะมีข้อถกเถียง แต่หลายเสียงก็ชื่นชมแนวทางการสอนที่ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริง โดยเฉพาะในยุคที่ Linear Algebra กลายเป็นพื้นฐานของ Machine Learning และ AI การมีสื่อที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา ➡️ หนังสือ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” เขียนโดย Aditya Bhargava ➡️ ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตจริง เช่น เหรียญ อาหาร และสารอาหาร ➡️ เน้นการอธิบายแนวคิดเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ➡️ มีการนำเสนอ Gaussian Elimination ตั้งแต่ต้นเล่ม ➡️ ตัวแปร x และ y ถูกใช้ในหลายบริบท ทำให้บางคนสับสน ➡️ หนังสือได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เรียนที่ไม่ถนัดคณิตศาสตร์ ➡️ เป็นสื่อที่เชื่อมโยง Linear Algebra กับการใช้งานจริงใน AI และ ML ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gaussian Elimination คือวิธีแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้การแปลงเมทริกซ์ ➡️ Linear Algebra เป็นพื้นฐานของการทำงานของ neural networks และการลดมิติข้อมูล ➡️ Gilbert Strang จาก MIT เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสอน Linear Algebra แบบ intuitive ➡️ ช่อง YouTube อย่าง 3Blue1Brown ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่ออธิบาย Linear Algebra ได้อย่างน่าทึ่ง ➡️ การใช้ภาพและเรื่องเล่าช่วยลดความกลัวคณิตศาสตร์ในกลุ่มผู้เรียนสายศิลป์และมนุษย์ศาสตร์ https://www.ducktyped.org/p/an-illustrated-introduction-to-linear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Xogot พา Godot ลง iPhone — เปลี่ยนมือถือให้กลายเป็นสตูดิโอสร้างเกมเต็มรูปแบบ”

    การพัฒนาเกมเคยเป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ต้องใช้เครื่องแรง ๆ และหน้าจอใหญ่ ๆ แต่ตอนนี้ Xibbon บริษัทที่ก่อตั้งโดย Miguel De Icaza และ Joseph Hill ได้เปิดตัว “Xogot” บน iPhone ซึ่งเป็นแอปที่นำเอาเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สยอดนิยมอย่าง Godot มาปรับแต่งให้ใช้งานได้เต็มรูปแบบบนมือถือ

    หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน iPad ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 Xogot ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักพัฒนาเกมสายอินดี้และนักเรียนที่ต้องการเครื่องมือสร้างสรรค์บนอุปกรณ์พกพา ล่าสุด Xibbon ได้ขยายการรองรับมายัง iPhone โดยออกแบบอินเทอร์เฟซใหม่ทั้งหมดด้วย SwiftUI ให้เหมาะกับหน้าจอเล็กและการใช้งานแบบสัมผัส

    Xogot รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D โดยมีระบบ tile map, scene system, lighting, และ scripting ครบครัน พร้อม editor สำหรับ GDScript ที่มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้ทันทีบนมือถือ

    ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ได้แก่ Jolt Physics สำหรับฟิสิกส์ 3D, embedded game view สำหรับทดสอบเกมทันที, Camera3D preview และ Metal rendering ที่ปรับแต่งมาเพื่อ GPU ของ Apple โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังรองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth

    นักพัฒนาสามารถซิงก์โปรเจกต์ระหว่าง Xogot กับ Godot บนเดสก์ท็อปได้อย่างราบรื่นผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub ทำให้สามารถทำงานต่อเนื่องได้ทุกที่ทุกเวลา

    แม้ Xogot จะไม่ใช่ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ก็ได้รับความสนใจจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส เพราะเชื่อมโยงกับ Godot และผู้สร้างอย่าง Miguel ที่เคยมีบทบาทสำคัญในโครงการ GNOME และ Mono

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Xogot เป็นแอปที่นำ Godot มาสู่ iPhone โดยปรับอินเทอร์เฟซใหม่ด้วย SwiftUI
    รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D พร้อม editor สำหรับ GDScript
    มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้
    ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ Jolt Physics, embedded game view, Camera3D preview และ Metal rendering
    รองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth
    สามารถซิงก์โปรเจกต์กับ Godot บนเดสก์ท็อปผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub
    เปิดตัวครั้งแรกบน iPad ในเดือนพฤษภาคม 2025 และขยายมายัง iPhone
    มีเวอร์ชัน Lite ฟรี และเวอร์ชัน Pro ที่มีฟีเจอร์เต็ม ราคา $2.99/เดือน หรือ $149.99 ตลอดชีพ
    นักเรียนและผู้เข้าร่วม Game Jam สามารถขอใช้งาน Pro ฟรีได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Godot เป็นเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มนักพัฒนาอินดี้
    Miguel De Icaza เป็นผู้ก่อตั้ง GNOME, Mono และ Xamarin
    แอปสร้างสรรค์บน iPad เช่น Procreate และ Logic Pro ได้รับความนิยมในสายศิลปะและดนตรี
    Xogot ถูกพัฒนาเพื่อเติมช่องว่างของเครื่องมือสร้างเกมบนอุปกรณ์พกพา
    การพัฒนาเกมบนมือถือช่วยให้สามารถทำงานได้ทุกที่ เช่น บนรถไฟหรือร้านกาแฟ

    https://news.itsfoss.com/xogot-for-iphone/
    🎮 “Xogot พา Godot ลง iPhone — เปลี่ยนมือถือให้กลายเป็นสตูดิโอสร้างเกมเต็มรูปแบบ” การพัฒนาเกมเคยเป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ต้องใช้เครื่องแรง ๆ และหน้าจอใหญ่ ๆ แต่ตอนนี้ Xibbon บริษัทที่ก่อตั้งโดย Miguel De Icaza และ Joseph Hill ได้เปิดตัว “Xogot” บน iPhone ซึ่งเป็นแอปที่นำเอาเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สยอดนิยมอย่าง Godot มาปรับแต่งให้ใช้งานได้เต็มรูปแบบบนมือถือ หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน iPad ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 Xogot ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักพัฒนาเกมสายอินดี้และนักเรียนที่ต้องการเครื่องมือสร้างสรรค์บนอุปกรณ์พกพา ล่าสุด Xibbon ได้ขยายการรองรับมายัง iPhone โดยออกแบบอินเทอร์เฟซใหม่ทั้งหมดด้วย SwiftUI ให้เหมาะกับหน้าจอเล็กและการใช้งานแบบสัมผัส Xogot รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D โดยมีระบบ tile map, scene system, lighting, และ scripting ครบครัน พร้อม editor สำหรับ GDScript ที่มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้ทันทีบนมือถือ ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ได้แก่ Jolt Physics สำหรับฟิสิกส์ 3D, embedded game view สำหรับทดสอบเกมทันที, Camera3D preview และ Metal rendering ที่ปรับแต่งมาเพื่อ GPU ของ Apple โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังรองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth นักพัฒนาสามารถซิงก์โปรเจกต์ระหว่าง Xogot กับ Godot บนเดสก์ท็อปได้อย่างราบรื่นผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub ทำให้สามารถทำงานต่อเนื่องได้ทุกที่ทุกเวลา แม้ Xogot จะไม่ใช่ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ก็ได้รับความสนใจจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส เพราะเชื่อมโยงกับ Godot และผู้สร้างอย่าง Miguel ที่เคยมีบทบาทสำคัญในโครงการ GNOME และ Mono ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Xogot เป็นแอปที่นำ Godot มาสู่ iPhone โดยปรับอินเทอร์เฟซใหม่ด้วย SwiftUI ➡️ รองรับการพัฒนาเกมทั้ง 2D และ 3D พร้อม editor สำหรับ GDScript ➡️ มี debugger ในตัว สามารถตั้ง breakpoint และตรวจสอบสถานะโปรแกรมได้ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ Jolt Physics, embedded game view, Camera3D preview และ Metal rendering ➡️ รองรับอุปกรณ์เสริม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอย Bluetooth ➡️ สามารถซิงก์โปรเจกต์กับ Godot บนเดสก์ท็อปผ่าน iCloud, USB หรือ GitHub ➡️ เปิดตัวครั้งแรกบน iPad ในเดือนพฤษภาคม 2025 และขยายมายัง iPhone ➡️ มีเวอร์ชัน Lite ฟรี และเวอร์ชัน Pro ที่มีฟีเจอร์เต็ม ราคา $2.99/เดือน หรือ $149.99 ตลอดชีพ ➡️ นักเรียนและผู้เข้าร่วม Game Jam สามารถขอใช้งาน Pro ฟรีได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Godot เป็นเอนจินเกมโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มนักพัฒนาอินดี้ ➡️ Miguel De Icaza เป็นผู้ก่อตั้ง GNOME, Mono และ Xamarin ➡️ แอปสร้างสรรค์บน iPad เช่น Procreate และ Logic Pro ได้รับความนิยมในสายศิลปะและดนตรี ➡️ Xogot ถูกพัฒนาเพื่อเติมช่องว่างของเครื่องมือสร้างเกมบนอุปกรณ์พกพา ➡️ การพัฒนาเกมบนมือถือช่วยให้สามารถทำงานได้ทุกที่ เช่น บนรถไฟหรือร้านกาแฟ https://news.itsfoss.com/xogot-for-iphone/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Xogot Brings Full Godot Game Development to iPhone
    Game development with open source game engine Godot is now possible on iPhone with Xogot.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า”

    หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025

    Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น

    เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย

    เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก

    แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV
    ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS
    เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select
    Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล
    เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView
    ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป
    ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น
    เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์
    Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก
    ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว
    การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android
    React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย
    Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0
    Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง

    https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    📺 “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV ➡️ ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS ➡️ เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select ➡️ Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ➡️ เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView ➡️ ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ➡️ ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น ➡️ เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ ➡️ Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก ➡️ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว ➡️ การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android ➡️ React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย ➡️ Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0 ➡️ Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Amazon Ditches Android — Launches 'Linux-Based' Vega OS for Fire TV
    Amazon's new OS has some Linux bits inside. The move aims to stop relying on Google's Android for Amazon devices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เข้าซื้อ Arduino พร้อมเปิดตัวบอร์ด UNO Q — ยกระดับ AI สำหรับนักพัฒนา 33 ล้านคนทั่วโลก”

    Qualcomm สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการของ Arduino บริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก โดยดีลนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายขอบเขตของ Qualcomm ในด้าน edge computing และ AI ให้เข้าถึงนักพัฒนาในระดับรากหญ้า ตั้งแต่นักเรียน ผู้ประกอบการ ไปจนถึงนักวิจัย

    แม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่ Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์ ความเป็นอิสระ และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้เช่นเดิม พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกภายใต้ความร่วมมือคือ “Arduino UNO Q” — บอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain” โดยผสานพลังของ Qualcomm Dragonwing QRB2210 ซึ่งเป็นชิปประมวลผล Linux เข้ากับ STM32U585 MCU สำหรับงานควบคุมแบบเรียลไทม์

    UNO Q ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI เช่น การประมวลผลภาพ เสียง และการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยมีขนาดเท่ากับบอร์ด Arduino UNO รุ่นเดิม ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม (shields) ที่มีอยู่แล้วได้ทันที

    นอกจากนี้ Arduino ยังเปิดตัว “App Lab” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาแบบใหม่ที่รวมการเขียนโปรแกรมด้วย Linux, Python, RTOS และ AI ไว้ในที่เดียว เพื่อให้การสร้างต้นแบบและการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

    Qualcomm ระบุว่าการเข้าซื้อ Arduino เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างแพลตฟอร์ม edge computing แบบครบวงจร โดยก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse มาแล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านซอฟต์แวร์และการเรียนรู้ของเครื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm เข้าซื้อ Arduino เพื่อขยายขอบเขตด้าน AI และ edge computing
    Arduino มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก
    Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้
    ผลิตภัณฑ์แรกคือ Arduino UNO Q ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain”
    ใช้ชิป Qualcomm Dragonwing QRB2210 สำหรับ Linux และ STM32U585 MCU สำหรับงานเรียลไทม์
    รองรับการประมวลผลภาพ เสียง และงานควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ
    ขนาดบอร์ดเท่ากับ Arduino UNO รุ่นเดิม ใช้งานร่วมกับ shields ได้
    เปิดตัว App Lab สำหรับการพัฒนาแบบรวม Linux, Python, RTOS และ AI
    Qualcomm เคยเข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse เพื่อเสริมกลยุทธ์ edge computing

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    STM32U585 MCU ใช้สถาปัตยกรรม Arm Cortex-M33 ความเร็วสูงสุด 160 MHz
    Dragonwing QRB2210 มี CPU Kryo 4 คอร์, GPU Adreno 702 และ DSP แบบ dual-core
    UNO Q รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi, Bluetooth และ eMMC storage
    สามารถใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์เดี่ยวได้ เช่นเดียวกับ Raspberry Pi
    App Lab มีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาและทดสอบโมเดล AI ด้วยข้อมูลจริง

    https://www.techradar.com/pro/qualcomm-acquires-arduino-in-surprising-move-that-puts-it-right-on-the-edge-and-at-the-helm-of-a-33-million-strong-maker-community
    🔧 “Qualcomm เข้าซื้อ Arduino พร้อมเปิดตัวบอร์ด UNO Q — ยกระดับ AI สำหรับนักพัฒนา 33 ล้านคนทั่วโลก” Qualcomm สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการของ Arduino บริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก โดยดีลนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายขอบเขตของ Qualcomm ในด้าน edge computing และ AI ให้เข้าถึงนักพัฒนาในระดับรากหญ้า ตั้งแต่นักเรียน ผู้ประกอบการ ไปจนถึงนักวิจัย แม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่ Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์ ความเป็นอิสระ และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้เช่นเดิม พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกภายใต้ความร่วมมือคือ “Arduino UNO Q” — บอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain” โดยผสานพลังของ Qualcomm Dragonwing QRB2210 ซึ่งเป็นชิปประมวลผล Linux เข้ากับ STM32U585 MCU สำหรับงานควบคุมแบบเรียลไทม์ UNO Q ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI เช่น การประมวลผลภาพ เสียง และการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยมีขนาดเท่ากับบอร์ด Arduino UNO รุ่นเดิม ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม (shields) ที่มีอยู่แล้วได้ทันที นอกจากนี้ Arduino ยังเปิดตัว “App Lab” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาแบบใหม่ที่รวมการเขียนโปรแกรมด้วย Linux, Python, RTOS และ AI ไว้ในที่เดียว เพื่อให้การสร้างต้นแบบและการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน Qualcomm ระบุว่าการเข้าซื้อ Arduino เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างแพลตฟอร์ม edge computing แบบครบวงจร โดยก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse มาแล้ว เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านซอฟต์แวร์และการเรียนรู้ของเครื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm เข้าซื้อ Arduino เพื่อขยายขอบเขตด้าน AI และ edge computing ➡️ Arduino มีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก ➡️ Arduino จะยังคงรักษาแบรนด์และแนวทางโอเพ่นซอร์สไว้ ➡️ ผลิตภัณฑ์แรกคือ Arduino UNO Q ที่ใช้สถาปัตยกรรม “dual brain” ➡️ ใช้ชิป Qualcomm Dragonwing QRB2210 สำหรับ Linux และ STM32U585 MCU สำหรับงานเรียลไทม์ ➡️ รองรับการประมวลผลภาพ เสียง และงานควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะ ➡️ ขนาดบอร์ดเท่ากับ Arduino UNO รุ่นเดิม ใช้งานร่วมกับ shields ได้ ➡️ เปิดตัว App Lab สำหรับการพัฒนาแบบรวม Linux, Python, RTOS และ AI ➡️ Qualcomm เคยเข้าซื้อ Foundries.io และ Edge Impulse เพื่อเสริมกลยุทธ์ edge computing ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ STM32U585 MCU ใช้สถาปัตยกรรม Arm Cortex-M33 ความเร็วสูงสุด 160 MHz ➡️ Dragonwing QRB2210 มี CPU Kryo 4 คอร์, GPU Adreno 702 และ DSP แบบ dual-core ➡️ UNO Q รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C, Wi-Fi, Bluetooth และ eMMC storage ➡️ สามารถใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์เดี่ยวได้ เช่นเดียวกับ Raspberry Pi ➡️ App Lab มีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาและทดสอบโมเดล AI ด้วยข้อมูลจริง https://www.techradar.com/pro/qualcomm-acquires-arduino-in-surprising-move-that-puts-it-right-on-the-edge-and-at-the-helm-of-a-33-million-strong-maker-community
    WWW.TECHRADAR.COM
    Qualcomm acquires Arduino and unveils new UNO Q AI board
    Arduino UNO Q will be the first product from the collaboration
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Personal Data Storage — เมื่อข้อมูลของคุณไม่ควรถูกครอบครองโดยใครนอกจากตัวคุณเอง”

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แนวคิด “Personal Data Storage” หรือการเก็บข้อมูลส่วนตัวในพื้นที่ที่ผู้ใช้ควบคุมเอง กำลังกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง โดยมีนักคิดอย่าง Sir Tim Berners-Lee ผู้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นผู้ผลักดันแนวทางนี้ผ่านโปรโตคอลชื่อ Solid

    Solid คือระบบที่ให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลของตนเองไว้ใน “Pod” หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนตัว ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บไว้ในเครื่องของตนเอง หรือในเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) หรือองค์กรที่ดำเนินงานแบบโปร่งใสและไม่แสวงหากำไร

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — ย้อนกลับไปปี 2009 Berners-Lee เคยเสนอ “Socially Aware Cloud Storage” ที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลผ่าน URI และระบบสิทธิ์แบบกระจาย แต่ในยุคนั้นยังไม่มีแรงผลักดันมากพอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติความเป็นส่วนตัวหลายครั้งในช่วงปี 2010s ทำให้แนวคิด Solid ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น

    นอกจาก Solid ยังมี AT Protocol ที่พัฒนาโดยทีม Bluesky ซึ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสังคมแบบเปิด โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง เช่น การใช้โดเมนส่วนตัวเป็น “internet handle” (@alice.com) และเก็บข้อมูลโพสต์ ไลก์ และการติดตามไว้ใน “Personal Data Server” ที่ผู้ใช้ควบคุมได้

    แนวทางนี้กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอิสระจากแพลตฟอร์มแบบปิด เช่น Facebook หรือ Twitter โดยมีการตั้งองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled และ Northsky ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสหกรณ์ข้อมูลที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของร่วมกัน

    เป้าหมายของแนวคิดนี้คือการเปลี่ยนบทสนทนาเรื่อง “สิทธิ์ในการดาวน์โหลดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม” ไปสู่ “สิทธิ์ในการให้แพลตฟอร์มเข้าถึงข้อมูลของเรา” — และเฉพาะเมื่อเราอนุญาตเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Personal Data Storage คือแนวคิดที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตนเอง
    Solid Protocol พัฒนาโดย Tim Berners-Lee เพื่อให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลใน Pod ส่วนตัว
    AT Protocol โดย Bluesky ใช้แนวทางคล้ายกัน โดยให้ผู้ใช้มี “internet handle” เป็นของตนเอง
    ข้อมูลผู้ใช้ เช่น โพสต์ ไลก์ และการติดตาม ถูกเก็บไว้ใน Personal Data Server
    ผู้ใช้สามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูลหรือองค์กรชุมชน
    แนวคิดนี้เปลี่ยนจากการให้แพลตฟอร์มเก็บข้อมูล ไปสู่การให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล
    มีองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled, Northsky ที่ดำเนินงานแบบโปร่งใส
    Solid และ AT Protocol เป็นตัวอย่างของการสร้าง Open Social Web ที่ผู้ใช้ควบคุมได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Solid ใช้ระบบสิทธิ์แบบ declarative เช่น “Alice สามารถอ่านไฟล์นี้”
    AT Protocol ใช้โดเมนเป็นตัวแทนตัวตน เช่น @bob.com
    สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) คล้ายกับสหกรณ์เครดิตในระบบธนาคาร
    การเก็บข้อมูลใน Pod ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง ODI และ MIT

    https://blog.muni.town/personal-data-storage-idea/
    🔐 “Personal Data Storage — เมื่อข้อมูลของคุณไม่ควรถูกครอบครองโดยใครนอกจากตัวคุณเอง” ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แนวคิด “Personal Data Storage” หรือการเก็บข้อมูลส่วนตัวในพื้นที่ที่ผู้ใช้ควบคุมเอง กำลังกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง โดยมีนักคิดอย่าง Sir Tim Berners-Lee ผู้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นผู้ผลักดันแนวทางนี้ผ่านโปรโตคอลชื่อ Solid Solid คือระบบที่ให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลของตนเองไว้ใน “Pod” หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนตัว ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บไว้ในเครื่องของตนเอง หรือในเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) หรือองค์กรที่ดำเนินงานแบบโปร่งใสและไม่แสวงหากำไร แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — ย้อนกลับไปปี 2009 Berners-Lee เคยเสนอ “Socially Aware Cloud Storage” ที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลผ่าน URI และระบบสิทธิ์แบบกระจาย แต่ในยุคนั้นยังไม่มีแรงผลักดันมากพอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติความเป็นส่วนตัวหลายครั้งในช่วงปี 2010s ทำให้แนวคิด Solid ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น นอกจาก Solid ยังมี AT Protocol ที่พัฒนาโดยทีม Bluesky ซึ่งเน้นการสร้างเครือข่ายสังคมแบบเปิด โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง เช่น การใช้โดเมนส่วนตัวเป็น “internet handle” (@alice.com) และเก็บข้อมูลโพสต์ ไลก์ และการติดตามไว้ใน “Personal Data Server” ที่ผู้ใช้ควบคุมได้ แนวทางนี้กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอิสระจากแพลตฟอร์มแบบปิด เช่น Facebook หรือ Twitter โดยมีการตั้งองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled และ Northsky ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสหกรณ์ข้อมูลที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของร่วมกัน เป้าหมายของแนวคิดนี้คือการเปลี่ยนบทสนทนาเรื่อง “สิทธิ์ในการดาวน์โหลดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม” ไปสู่ “สิทธิ์ในการให้แพลตฟอร์มเข้าถึงข้อมูลของเรา” — และเฉพาะเมื่อเราอนุญาตเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Personal Data Storage คือแนวคิดที่ให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตนเอง ➡️ Solid Protocol พัฒนาโดย Tim Berners-Lee เพื่อให้ผู้ใช้เก็บข้อมูลใน Pod ส่วนตัว ➡️ AT Protocol โดย Bluesky ใช้แนวทางคล้ายกัน โดยให้ผู้ใช้มี “internet handle” เป็นของตนเอง ➡️ ข้อมูลผู้ใช้ เช่น โพสต์ ไลก์ และการติดตาม ถูกเก็บไว้ใน Personal Data Server ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น สหกรณ์ข้อมูลหรือองค์กรชุมชน ➡️ แนวคิดนี้เปลี่ยนจากการให้แพลตฟอร์มเก็บข้อมูล ไปสู่การให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล ➡️ มีองค์กรร่วมดูแลข้อมูล เช่น Blacksky, Tangled, Northsky ที่ดำเนินงานแบบโปร่งใส ➡️ Solid และ AT Protocol เป็นตัวอย่างของการสร้าง Open Social Web ที่ผู้ใช้ควบคุมได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Solid ใช้ระบบสิทธิ์แบบ declarative เช่น “Alice สามารถอ่านไฟล์นี้” ➡️ AT Protocol ใช้โดเมนเป็นตัวแทนตัวตน เช่น @bob.com ➡️ สหกรณ์ข้อมูล (Data Coop) คล้ายกับสหกรณ์เครดิตในระบบธนาคาร ➡️ การเก็บข้อมูลใน Pod ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดความเป็นส่วนตัว ➡️ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง ODI และ MIT https://blog.muni.town/personal-data-storage-idea/
    BLOG.MUNI.TOWN
    Personal data storage is an idea whose time has come
    Data Ownership as a conversation changes when data resides primarily with people-governed institutions rather than corporations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบเปิดที่ไม่ล็อกตลับ ไม่ล็อกผู้ใช้ และไม่ล็อกอนาคต”

    ในโลกที่เครื่องพิมพ์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้อง “เชื่อฟัง” มากกว่าจะ “ควบคุม” Startup จากปารีสชื่อ Open Tools ได้เปิดตัว Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบใหม่ที่ยึดหลักโอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสิทธิ์ของผู้ใช้

    Open Printer ถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ดัดแปลงได้ และไม่ล็อกผู้ใช้กับตลับหมึกของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยใช้ตลับ HP 63 (หรือ HP 302 ในยุโรป) ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมที่มีทั้งของแท้และของรีฟิลจากผู้ผลิตอิสระ ที่สำคัญคือไม่มีระบบ DRM หรือชิปตรวจสอบตลับหมึก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตลับจากแหล่งใดก็ได้โดยไม่ถูกบล็อก

    ตัวเครื่องยังรองรับการพิมพ์บนกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัวสำหรับแปลงเป็นแผ่น A4 หรือพิมพ์งานยาวแบบแบนเนอร์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กและปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน พร้อมการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ USB-C ทำให้สามารถสั่งพิมพ์จากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสาย

    ภายในใช้ Raspberry Pi Zero W เป็นสมองหลัก ร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32 และมีการเปิดเผยไฟล์ออกแบบทางกล, เฟิร์มแวร์ และ BOM ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือผลิตเองได้ในอนาคต

    Open Printer จะเปิดตัวผ่านแคมเปญระดมทุนบน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย แต่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ที่เบื่อกับการถูกบังคับให้ซื้อหมึกแพงหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อหมดอายุซอฟต์แวร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Open Printer เป็นเครื่องพิมพ์หมึกแบบโอเพ่นซอร์สจากบริษัท Open Tools
    ใช้ตลับ HP 63 หรือ HP 302 โดยไม่มีระบบ DRM ล็อกตลับ
    รองรับกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัว
    มีหน้าจอ LCD และปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน
    เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth, USB-C และ USB-A
    ใช้ Raspberry Pi Zero W และ STM32 เป็นหน่วยประมวลผล
    เปิดเผยไฟล์ออกแบบและเฟิร์มแวร์ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons
    เตรียมเปิดตัวผ่าน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HP เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ DRM ล็อกตลับหมึกอย่างเข้มงวด
    ระบบ “razor-blade model” คือการขายเครื่องราคาถูกแต่บังคับซื้อหมึกแพง
    เครื่องพิมพ์ทั่วไปมักมีอายุการใช้งานจำกัดตามซอฟต์แวร์ที่บริษัทควบคุม
    การใช้ Raspberry Pi ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้อย่างอิสระ
    การเปิดเผย BOM และไฟล์ออกแบบช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถสร้างเครื่องพิมพ์เองได้

    https://www.notebookcheck.net/Open-Printer-is-an-open-source-inkjet-printer-with-DRM-free-ink-and-roll-paper-support.1126929.0.html
    🖨️ “Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบเปิดที่ไม่ล็อกตลับ ไม่ล็อกผู้ใช้ และไม่ล็อกอนาคต” ในโลกที่เครื่องพิมพ์กลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้อง “เชื่อฟัง” มากกว่าจะ “ควบคุม” Startup จากปารีสชื่อ Open Tools ได้เปิดตัว Open Printer — เครื่องพิมพ์หมึกแบบใหม่ที่ยึดหลักโอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และสิทธิ์ของผู้ใช้ Open Printer ถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ดัดแปลงได้ และไม่ล็อกผู้ใช้กับตลับหมึกของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยใช้ตลับ HP 63 (หรือ HP 302 ในยุโรป) ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมที่มีทั้งของแท้และของรีฟิลจากผู้ผลิตอิสระ ที่สำคัญคือไม่มีระบบ DRM หรือชิปตรวจสอบตลับหมึก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตลับจากแหล่งใดก็ได้โดยไม่ถูกบล็อก ตัวเครื่องยังรองรับการพิมพ์บนกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัวสำหรับแปลงเป็นแผ่น A4 หรือพิมพ์งานยาวแบบแบนเนอร์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีหน้าจอ LCD ขนาดเล็กและปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน พร้อมการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth และ USB-C ทำให้สามารถสั่งพิมพ์จากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสาย ภายในใช้ Raspberry Pi Zero W เป็นสมองหลัก ร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์ STM32 และมีการเปิดเผยไฟล์ออกแบบทางกล, เฟิร์มแวร์ และ BOM ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหรือผลิตเองได้ในอนาคต Open Printer จะเปิดตัวผ่านแคมเปญระดมทุนบน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคาและวันวางจำหน่าย แต่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ที่เบื่อกับการถูกบังคับให้ซื้อหมึกแพงหรือเปลี่ยนเครื่องเมื่อหมดอายุซอฟต์แวร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Open Printer เป็นเครื่องพิมพ์หมึกแบบโอเพ่นซอร์สจากบริษัท Open Tools ➡️ ใช้ตลับ HP 63 หรือ HP 302 โดยไม่มีระบบ DRM ล็อกตลับ ➡️ รองรับกระดาษม้วนขนาด 27 มม. พร้อมใบมีดตัดในตัว ➡️ มีหน้าจอ LCD และปุ่มหมุนสำหรับควบคุมพื้นฐาน ➡️ เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth, USB-C และ USB-A ➡️ ใช้ Raspberry Pi Zero W และ STM32 เป็นหน่วยประมวลผล ➡️ เปิดเผยไฟล์ออกแบบและเฟิร์มแวร์ภายใต้ไลเซนส์ Creative Commons ➡️ เตรียมเปิดตัวผ่าน Crowd Supply โดยยังไม่ระบุราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HP เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ DRM ล็อกตลับหมึกอย่างเข้มงวด ➡️ ระบบ “razor-blade model” คือการขายเครื่องราคาถูกแต่บังคับซื้อหมึกแพง ➡️ เครื่องพิมพ์ทั่วไปมักมีอายุการใช้งานจำกัดตามซอฟต์แวร์ที่บริษัทควบคุม ➡️ การใช้ Raspberry Pi ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้อย่างอิสระ ➡️ การเปิดเผย BOM และไฟล์ออกแบบช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถสร้างเครื่องพิมพ์เองได้ https://www.notebookcheck.net/Open-Printer-is-an-open-source-inkjet-printer-with-DRM-free-ink-and-roll-paper-support.1126929.0.html
    WWW.NOTEBOOKCHECK.NET
    Open Printer is an open source inkjet printer with DRM-free ink and roll paper support
    The Open Printer features a modular and highly repairable design, and while it uses the popular HP 63 cartridges, it lacks DRM blocks that lock out third-party cartridges. It also allows printing on paper rolls, so you can either use the in-built cutter to make A4 sheets, or print longer items like banners. The Open Printer will be launched via a crowdfunding campaign soon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เจาะลึก at:// — โปรโตคอลใหม่ที่เปลี่ยนโฉมการเชื่อมโยงข้อมูลบนเว็บให้เป็นของผู้ใช้จริง”

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวถูกผูกติดกับแพลตฟอร์มกลางอย่าง Facebook หรือ Twitter โปรโตคอลใหม่ชื่อว่า AT Protocol กำลังเสนอแนวทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอย่างแท้จริง ผ่านระบบ URI แบบใหม่ที่เรียกว่า at://

    บทความจาก Overreacted ได้อธิบายการทำงานของ at:// อย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับ https:// ที่เราใช้กันทั่วไป ซึ่งในระบบเดิม “authority” หรือเจ้าของข้อมูลคือเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูลนั้น แต่ใน at:// ผู้ใช้คือ authority — หมายความว่า URI จะระบุว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูล ไม่ใช่ใครเป็นผู้โฮสต์

    ตัวอย่างเช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z เป็น URI ที่ชี้ไปยังโพสต์หนึ่งในระบบ Bluesky ซึ่งข้อมูลจริงจะถูกโฮสต์อยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้เลือกเอง และสามารถเปลี่ยนได้โดยไม่กระทบกับ URI เดิม หากต้องการเข้าถึง JSON ที่อยู่เบื้องหลัง URI นี้ จะต้องผ่าน 3 ขั้นตอน:

    1️⃣ แปลง handle (เช่น ruuuuu.de) เป็น identity ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (DID)
    2️⃣ ใช้ DID เพื่อค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล
    3️⃣ ดึง JSON จากเซิร์ฟเวอร์นั้นผ่าน API

    DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc โดยแบบแรกผูกกับโดเมนเว็บ เช่น iam.ruuuuu.de ส่วนแบบหลังเป็นระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุโดเมนหรือการเปลี่ยนแปลง DNS

    เมื่อได้ DID แล้ว จะสามารถดึง “DID Document” ซึ่งเป็นเหมือนพาสปอร์ตดิจิทัลของผู้ใช้ โดยระบุว่า handle ไหนที่ใช้, public key ที่ใช้เซ็นข้อมูล, และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล เช่น blacksky.app หรือ morel.us-east.host.bsky.network

    การออกแบบนี้ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องเปลี่ยน URI หรือสูญเสียลิงก์ระหว่างข้อมูล และช่วยให้แอปต่าง ๆ สามารถแสดงข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AT Protocol ใช้ URI แบบ at:// ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล
    URI เช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z ชี้ไปยัง JSON ที่โฮสต์โดยผู้ใช้
    การเข้าถึงข้อมูลต้องผ่าน 3 ขั้นตอน: handle → DID → hosting → JSON
    DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc
    DID Document ระบุ handle, public key และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล
    ระบบนี้ช่วยให้ข้อมูลเคลื่อนย้ายได้โดยไม่สูญเสียลิงก์
    แอปต่าง ๆ สามารถใช้ข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มกลาง
    at:// ที่ใช้ DID เป็น “permalink” ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DID (Decentralized Identifier) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย W3C สำหรับการระบุตัวตนแบบไม่รวมศูนย์
    did:web ใช้โดเมนเว็บในการระบุตัวตน แต่เสี่ยงต่อการหมดอายุหรือโดเมนถูกยึด
    did:plc ใช้ระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด
    JSON ที่ถูกเรียกใช้ผ่าน at:// เป็นข้อมูลดิบ ไม่ใช่ UI หรือหน้าเว็บ
    SDK และ cache เช่น QuickDID ช่วยให้การ resolve URI เร็วขึ้นในแอปจริง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    URI ที่ใช้ handle อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากผู้ใช้เปลี่ยนชื่อหรือโดเมน
    หากใช้ did:web แล้วโดเมนหมดอายุ ผู้ใช้จะสูญเสียการควบคุมข้อมูล
    การ resolve URI ต้องใช้ DNS และ HTTPS ซึ่งอาจช้าในระบบขนาดใหญ่
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจโครงสร้าง URI และ DID เพื่อใช้งานอย่างถูกต้อง
    การเปลี่ยน hosting ต้องอัปเดต DID Document ให้ตรงกัน ไม่เช่นนั้นข้อมูลจะไม่ถูกเรียกได้

    https://overreacted.io/where-its-at/
    🔗 “เจาะลึก at:// — โปรโตคอลใหม่ที่เปลี่ยนโฉมการเชื่อมโยงข้อมูลบนเว็บให้เป็นของผู้ใช้จริง” ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวถูกผูกติดกับแพลตฟอร์มกลางอย่าง Facebook หรือ Twitter โปรโตคอลใหม่ชื่อว่า AT Protocol กำลังเสนอแนวทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอย่างแท้จริง ผ่านระบบ URI แบบใหม่ที่เรียกว่า at:// บทความจาก Overreacted ได้อธิบายการทำงานของ at:// อย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับ https:// ที่เราใช้กันทั่วไป ซึ่งในระบบเดิม “authority” หรือเจ้าของข้อมูลคือเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูลนั้น แต่ใน at:// ผู้ใช้คือ authority — หมายความว่า URI จะระบุว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูล ไม่ใช่ใครเป็นผู้โฮสต์ ตัวอย่างเช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z เป็น URI ที่ชี้ไปยังโพสต์หนึ่งในระบบ Bluesky ซึ่งข้อมูลจริงจะถูกโฮสต์อยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้เลือกเอง และสามารถเปลี่ยนได้โดยไม่กระทบกับ URI เดิม หากต้องการเข้าถึง JSON ที่อยู่เบื้องหลัง URI นี้ จะต้องผ่าน 3 ขั้นตอน: 1️⃣ แปลง handle (เช่น ruuuuu.de) เป็น identity ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (DID) 2️⃣ ใช้ DID เพื่อค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล 3️⃣ ดึง JSON จากเซิร์ฟเวอร์นั้นผ่าน API DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc โดยแบบแรกผูกกับโดเมนเว็บ เช่น iam.ruuuuu.de ส่วนแบบหลังเป็นระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุโดเมนหรือการเปลี่ยนแปลง DNS เมื่อได้ DID แล้ว จะสามารถดึง “DID Document” ซึ่งเป็นเหมือนพาสปอร์ตดิจิทัลของผู้ใช้ โดยระบุว่า handle ไหนที่ใช้, public key ที่ใช้เซ็นข้อมูล, และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล เช่น blacksky.app หรือ morel.us-east.host.bsky.network การออกแบบนี้ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องเปลี่ยน URI หรือสูญเสียลิงก์ระหว่างข้อมูล และช่วยให้แอปต่าง ๆ สามารถแสดงข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AT Protocol ใช้ URI แบบ at:// ที่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูล ➡️ URI เช่น at://ruuuuu.de/app.bsky.feed.post/3lzy2ji4nms2z ชี้ไปยัง JSON ที่โฮสต์โดยผู้ใช้ ➡️ การเข้าถึงข้อมูลต้องผ่าน 3 ขั้นตอน: handle → DID → hosting → JSON ➡️ DID มีสองแบบหลักคือ did:web และ did:plc ➡️ DID Document ระบุ handle, public key และเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์ข้อมูล ➡️ ระบบนี้ช่วยให้ข้อมูลเคลื่อนย้ายได้โดยไม่สูญเสียลิงก์ ➡️ แอปต่าง ๆ สามารถใช้ข้อมูลเดียวกันได้โดยไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มกลาง ➡️ at:// ที่ใช้ DID เป็น “permalink” ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DID (Decentralized Identifier) เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย W3C สำหรับการระบุตัวตนแบบไม่รวมศูนย์ ➡️ did:web ใช้โดเมนเว็บในการระบุตัวตน แต่เสี่ยงต่อการหมดอายุหรือโดเมนถูกยึด ➡️ did:plc ใช้ระบบ ledger กลางที่ไม่ขึ้นกับโดเมนใด ➡️ JSON ที่ถูกเรียกใช้ผ่าน at:// เป็นข้อมูลดิบ ไม่ใช่ UI หรือหน้าเว็บ ➡️ SDK และ cache เช่น QuickDID ช่วยให้การ resolve URI เร็วขึ้นในแอปจริง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ URI ที่ใช้ handle อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากผู้ใช้เปลี่ยนชื่อหรือโดเมน ⛔ หากใช้ did:web แล้วโดเมนหมดอายุ ผู้ใช้จะสูญเสียการควบคุมข้อมูล ⛔ การ resolve URI ต้องใช้ DNS และ HTTPS ซึ่งอาจช้าในระบบขนาดใหญ่ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจโครงสร้าง URI และ DID เพื่อใช้งานอย่างถูกต้อง ⛔ การเปลี่ยน hosting ต้องอัปเดต DID Document ให้ตรงกัน ไม่เช่นนั้นข้อมูลจะไม่ถูกเรียกได้ https://overreacted.io/where-its-at/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ร่วมทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิก — เตรียมรับยุค GPU 10kW ที่เปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลระดับโลก ความร้อนจากชิปประสิทธิภาพสูงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ล่าสุด Microsoft ได้ร่วมมือกับสตาร์ทอัพจากสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ Corintis เพื่อทดสอบระบบระบายความร้อนแบบ “ไมโครฟลูอิดิก” (microfluidic cooling) ที่สามารถจัดการกับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW — มากกว่าระดับปัจจุบันถึงสิบเท่า

    GPU ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI เช่น Nvidia H100 ปัจจุบันมีการใช้พลังงานประมาณ 700–800W และรุ่นใหม่อย่าง GB200 คาดว่าจะทะลุ 1kW ซึ่งทำให้การระบายความร้อนแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ Corintis จึงพัฒนาเทคโนโลยีที่ฝังระบบระบายความร้อนไว้ “ในตัวชิป” โดยใช้ช่องทางของเหลวขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะให้ตรงกับโครงสร้างของแต่ละชิป

    Microsoft ยืนยันว่าได้ทดสอบระบบนี้บนเซิร์ฟเวอร์จริงที่รันบริการหลักแล้ว และพบว่า “ขอบเขตความร้อน” ที่ลดลงสามารถแปลเป็นประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและความสามารถในการโอเวอร์คล็อกที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม

    Corintis ได้รับเงินลงทุนรอบ Series A จำนวน $24 ล้านจาก BlueYard Capital และนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Lip-Bu Tan (อดีต CEO ของ Cadence และกรรมการ Intel) และ Geoff Lyon (อดีตผู้ก่อตั้ง CoolIT) โดยตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026

    แม้เทคโนโลยีนี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การที่ Microsoft นำไปใช้จริงในเซิร์ฟเวอร์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีการออกแบบศูนย์ข้อมูลในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อความต้องการพลังงานของ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ร่วมมือกับ Corintis ทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิกในเซิร์ฟเวอร์จริง
    ระบบนี้สามารถรองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW
    GPU ปัจจุบัน เช่น Nvidia H100 ใช้พลังงานประมาณ 700–800W
    ระบบระบายความร้อนฝังในชิปช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    เปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม
    Corintis ได้รับเงินลงทุน $24 ล้านจากนักลงทุนรายใหญ่
    ตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026
    Microsoft ยืนยันว่าการลดความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและโอเวอร์คล็อกได้มากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microfluidic cooling คือการระบายความร้อนด้วยของเหลวผ่านช่องทางขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะ
    การฝังระบบระบายความร้อนในชิปช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็น
    ความร้อนที่ถูกระบายออกมาสามารถนำไปใช้ซ้ำ เช่น ระบบทำความร้อนในอาคาร
    การออกแบบชิปแบบ 3D ต้องการระบบระบายความร้อนที่ฝังในชั้นกลางของชิป
    ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะเติบโตเกิน $1 ล้านล้านภายในปี 2030

    https://www.techradar.com/pro/4kw-is-certainly-possible-but-it-can-go-much-higher-microsoft-backed-startup-could-dissipate-10kw-gpus-its-founder-confirms
    💧 “Microsoft ร่วมทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิก — เตรียมรับยุค GPU 10kW ที่เปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลระดับโลก ความร้อนจากชิปประสิทธิภาพสูงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ล่าสุด Microsoft ได้ร่วมมือกับสตาร์ทอัพจากสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ Corintis เพื่อทดสอบระบบระบายความร้อนแบบ “ไมโครฟลูอิดิก” (microfluidic cooling) ที่สามารถจัดการกับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW — มากกว่าระดับปัจจุบันถึงสิบเท่า GPU ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI เช่น Nvidia H100 ปัจจุบันมีการใช้พลังงานประมาณ 700–800W และรุ่นใหม่อย่าง GB200 คาดว่าจะทะลุ 1kW ซึ่งทำให้การระบายความร้อนแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ Corintis จึงพัฒนาเทคโนโลยีที่ฝังระบบระบายความร้อนไว้ “ในตัวชิป” โดยใช้ช่องทางของเหลวขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะให้ตรงกับโครงสร้างของแต่ละชิป Microsoft ยืนยันว่าได้ทดสอบระบบนี้บนเซิร์ฟเวอร์จริงที่รันบริการหลักแล้ว และพบว่า “ขอบเขตความร้อน” ที่ลดลงสามารถแปลเป็นประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและความสามารถในการโอเวอร์คล็อกที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม Corintis ได้รับเงินลงทุนรอบ Series A จำนวน $24 ล้านจาก BlueYard Capital และนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Lip-Bu Tan (อดีต CEO ของ Cadence และกรรมการ Intel) และ Geoff Lyon (อดีตผู้ก่อตั้ง CoolIT) โดยตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026 แม้เทคโนโลยีนี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การที่ Microsoft นำไปใช้จริงในเซิร์ฟเวอร์ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีการออกแบบศูนย์ข้อมูลในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อความต้องการพลังงานของ AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ร่วมมือกับ Corintis ทดสอบระบบระบายความร้อนแบบไมโครฟลูอิดิกในเซิร์ฟเวอร์จริง ➡️ ระบบนี้สามารถรองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 10kW ➡️ GPU ปัจจุบัน เช่น Nvidia H100 ใช้พลังงานประมาณ 700–800W ➡️ ระบบระบายความร้อนฝังในชิปช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เปิดทางให้สร้างชิปแบบ 3D ที่ซ้อนกันได้โดยไม่เกิดความร้อนสะสม ➡️ Corintis ได้รับเงินลงทุน $24 ล้านจากนักลงทุนรายใหญ่ ➡️ ตั้งเป้าผลิต cold plate แบบไมโครฟลูอิดิกได้มากกว่า 1 ล้านชุดต่อปีภายในปี 2026 ➡️ Microsoft ยืนยันว่าการลดความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและโอเวอร์คล็อกได้มากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microfluidic cooling คือการระบายความร้อนด้วยของเหลวผ่านช่องทางขนาดเล็กที่ออกแบบเฉพาะ ➡️ การฝังระบบระบายความร้อนในชิปช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็น ➡️ ความร้อนที่ถูกระบายออกมาสามารถนำไปใช้ซ้ำ เช่น ระบบทำความร้อนในอาคาร ➡️ การออกแบบชิปแบบ 3D ต้องการระบบระบายความร้อนที่ฝังในชั้นกลางของชิป ➡️ ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะเติบโตเกิน $1 ล้านล้านภายในปี 2030 https://www.techradar.com/pro/4kw-is-certainly-possible-but-it-can-go-much-higher-microsoft-backed-startup-could-dissipate-10kw-gpus-its-founder-confirms
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ”

    ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก

    เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์

    นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก

    อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน

    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน
    อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก
    เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน
    ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร
    ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน
    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก
    การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน
    การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้
    บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    🚀 “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ” ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์ นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน ➡️ อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก ➡️ เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน ➡️ ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร ➡️ ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน ➡️ Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ➡️ เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก ➡️ การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน ➡️ การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้ ➡️ บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ➡️ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว”

    ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์

    Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์

    ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน
    Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย
    การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่
    Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions
    Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย
    Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB
    Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย
    การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove”
    Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก
    ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
    การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น
    การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    🌐 “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว” ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์ ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน ➡️ Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย ➡️ การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่ ➡️ Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions ➡️ Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย ➡️ Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB ➡️ Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย ➡️ การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove” ➡️ Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก ➡️ ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ➡️ การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น ➡️ การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Orange Pi AI Studio Pro — มินิพีซีพลัง Huawei Ascend 310 ที่แรงทะลุ 352 TOPS แต่ยังติดข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อ”

    Orange Pi เปิดตัวมินิพีซีรุ่นใหม่สำหรับงานปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะในชื่อ “AI Studio Pro” ซึ่งใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core ที่ให้พลังประมวลผลด้าน AI สูงถึง 176 TOPS ในรุ่นปกติ และ 352 TOPS ในรุ่น Pro ที่รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน พร้อมหน่วยความจำสูงสุดถึง 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps2

    ตัวเครื่องออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI หลากหลาย เช่น การประมวลผลภาพ, การเรียนรู้เชิงลึก, การวิเคราะห์ข้อมูล, การใช้งาน IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ โดยสามารถติดตั้ง Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 ได้ทันที ส่วน Windows จะรองรับในอนาคต3

    แม้จะมีพลังประมวลผลสูงและหน่วยความจำมหาศาล แต่ Orange Pi AI Studio Pro กลับมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออย่างชัดเจน โดยมีเพียงพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นจอภาพ, อุปกรณ์เก็บข้อมูล หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา dock หรือ hub เพิ่มเติม

    นอกจากนี้ยังไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายอาจต้องใช้วิธีอื่น เช่น Ethernet หรืออุปกรณ์เสริมภายนอก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับการใช้งานแบบเคลื่อนที่หรือในพื้นที่จำกัด

    ราคาจำหน่ายในจีนเริ่มต้นที่ประมาณ $955 สำหรับรุ่น 48GB และสูงสุดถึง $2,200 สำหรับรุ่น Pro ที่มี RAM 192GB โดยมีวางจำหน่ายผ่าน JD.com และ AliExpress

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Orange Pi AI Studio Pro ใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core
    รุ่น Pro รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน ให้พลังประมวลผลสูงถึง 352 TOPS
    รองรับหน่วยความจำสูงสุด 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps
    รองรับ Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 พร้อมรองรับ Windows ในอนาคต
    เหมาะสำหรับงาน AI เช่น OCR, การรู้จำใบหน้า, การแนะนำเนื้อหา, IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ
    มีพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ
    ไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว
    ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ $955 และสูงสุดถึง $2,200 ขึ้นอยู่กับรุ่นและ RAM

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei Ascend 310 เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีประสิทธิภาพสูงในงาน inference
    Orange Pi เป็นแบรนด์ที่เน้นการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับนักพัฒนาและงานวิจัย
    การใช้ context window ขนาดใหญ่และ RAM สูงช่วยให้รองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ดี
    การรองรับ Deepseek-R1 distillation model ช่วยให้สามารถ deploy โมเดล AI แบบ local ได้
    การรวมการฝึกและการ inference ในเครื่องเดียวช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/orange-pi-ai-studio-pro-mini-pc-debuts-with-huawei-ascend-310-and-352-tops-of-ai-performance-also-features-up-to-192gb-of-memory-but-relies-on-a-single-usb-c-port
    🧠 “Orange Pi AI Studio Pro — มินิพีซีพลัง Huawei Ascend 310 ที่แรงทะลุ 352 TOPS แต่ยังติดข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อ” Orange Pi เปิดตัวมินิพีซีรุ่นใหม่สำหรับงานปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะในชื่อ “AI Studio Pro” ซึ่งใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core ที่ให้พลังประมวลผลด้าน AI สูงถึง 176 TOPS ในรุ่นปกติ และ 352 TOPS ในรุ่น Pro ที่รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน พร้อมหน่วยความจำสูงสุดถึง 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps2 ตัวเครื่องออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI หลากหลาย เช่น การประมวลผลภาพ, การเรียนรู้เชิงลึก, การวิเคราะห์ข้อมูล, การใช้งาน IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ โดยสามารถติดตั้ง Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 ได้ทันที ส่วน Windows จะรองรับในอนาคต3 แม้จะมีพลังประมวลผลสูงและหน่วยความจำมหาศาล แต่ Orange Pi AI Studio Pro กลับมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออย่างชัดเจน โดยมีเพียงพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นจอภาพ, อุปกรณ์เก็บข้อมูล หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา dock หรือ hub เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายอาจต้องใช้วิธีอื่น เช่น Ethernet หรืออุปกรณ์เสริมภายนอก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับการใช้งานแบบเคลื่อนที่หรือในพื้นที่จำกัด ราคาจำหน่ายในจีนเริ่มต้นที่ประมาณ $955 สำหรับรุ่น 48GB และสูงสุดถึง $2,200 สำหรับรุ่น Pro ที่มี RAM 192GB โดยมีวางจำหน่ายผ่าน JD.com และ AliExpress ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Orange Pi AI Studio Pro ใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core ➡️ รุ่น Pro รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน ให้พลังประมวลผลสูงถึง 352 TOPS ➡️ รองรับหน่วยความจำสูงสุด 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps ➡️ รองรับ Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 พร้อมรองรับ Windows ในอนาคต ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI เช่น OCR, การรู้จำใบหน้า, การแนะนำเนื้อหา, IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ ➡️ มีพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ ➡️ ไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว ➡️ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ $955 และสูงสุดถึง $2,200 ขึ้นอยู่กับรุ่นและ RAM ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei Ascend 310 เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีประสิทธิภาพสูงในงาน inference ➡️ Orange Pi เป็นแบรนด์ที่เน้นการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับนักพัฒนาและงานวิจัย ➡️ การใช้ context window ขนาดใหญ่และ RAM สูงช่วยให้รองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ดี ➡️ การรองรับ Deepseek-R1 distillation model ช่วยให้สามารถ deploy โมเดล AI แบบ local ได้ ➡️ การรวมการฝึกและการ inference ในเครื่องเดียวช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/orange-pi-ai-studio-pro-mini-pc-debuts-with-huawei-ascend-310-and-352-tops-of-ai-performance-also-features-up-to-192gb-of-memory-but-relies-on-a-single-usb-c-port
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts