• MacBook Pro M5 ได้แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย พร้อมคะแนนซ่อมแซมดีขึ้นนิดหน่อย

    iFixit ได้ทำการ teardown MacBook Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M5 และพบว่า Apple ได้ปรับปรุงบางจุดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและแบตเตอรี่:

    จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ
    แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น: จาก 72.4Wh ในรุ่น M4 เป็น 72.6Wh ในรุ่น M5
    การเปลี่ยนแบตเตอรี่ปลอดภัยขึ้น: Apple แนะนำให้ถอดสาย Battery Management System ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการลัดวงจร
    ไม่ต้องถอด trackpad เพื่อเข้าถึง pull tabs ของแบตเตอรี่แล้ว
    การเปลี่ยนหน้าจอยังยุ่งยาก: ต้องถอด antenna bracket และ P2 screws ก่อน
    การเปลี่ยนชิ้นส่วนหลักยังต้องถอด logic board

    คะแนนซ่อมแซมจาก iFixit
    MacBook Pro M5 ได้คะแนน 4/10
    เทียบกับ MacBook Air M4 ที่ได้ 5/10

    ประสิทธิภาพความร้อน
    แม้จะมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนจากพัดลมเดี่ยวและ heatpipe เดียว แต่ M5 ทำงานได้เย็นกว่ารุ่นก่อนในการทดสอบ Cinebench 2024:
    M5: เฉลี่ย 98.95°C
    M4: เฉลี่ย 100.90°C

    https://wccftech.com/ifixit-reports-a-slightly-bigger-battery-on-the-m5-macbook-pro-minor-improvement-in-repairability-score/
    🔋 MacBook Pro M5 ได้แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย พร้อมคะแนนซ่อมแซมดีขึ้นนิดหน่อย iFixit ได้ทำการ teardown MacBook Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M5 และพบว่า Apple ได้ปรับปรุงบางจุดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและแบตเตอรี่: 🔧 จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ ➡️ แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น: จาก 72.4Wh ในรุ่น M4 เป็น 72.6Wh ในรุ่น M5 ➡️ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ปลอดภัยขึ้น: Apple แนะนำให้ถอดสาย Battery Management System ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการลัดวงจร ➡️ ไม่ต้องถอด trackpad เพื่อเข้าถึง pull tabs ของแบตเตอรี่แล้ว ➡️ การเปลี่ยนหน้าจอยังยุ่งยาก: ต้องถอด antenna bracket และ P2 screws ก่อน ➡️ การเปลี่ยนชิ้นส่วนหลักยังต้องถอด logic board 📊 คะแนนซ่อมแซมจาก iFixit ➡️ MacBook Pro M5 ได้คะแนน 4/10 ➡️ เทียบกับ MacBook Air M4 ที่ได้ 5/10 🌡️ ประสิทธิภาพความร้อน แม้จะมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนจากพัดลมเดี่ยวและ heatpipe เดียว แต่ M5 ทำงานได้เย็นกว่ารุ่นก่อนในการทดสอบ Cinebench 2024: ➡️ M5: เฉลี่ย 98.95°C ➡️ M4: เฉลี่ย 100.90°C https://wccftech.com/ifixit-reports-a-slightly-bigger-battery-on-the-m5-macbook-pro-minor-improvement-in-repairability-score/
    WCCFTECH.COM
    iFixit Reports A Slightly Bigger Battery On The M5 MacBook Pro, Minor Improvement In Repairability Metrics
    iFixit has finally published its much-awaited teardown of the new Apple M5 MacBook Pro, disclosing a few interesting tidbits.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Core Ultra 5 338H โผล่ใน Geekbench – ยืนยันใช้ iGPU Arc B370 Xe3 และไม่มี “X” ในชื่อรุ่น

    Intel Core Ultra 5 338H ได้รับการเปิดเผยผ่านผลการทดสอบ Geekbench ล่าสุด โดยชิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Panther Lake ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 จุดเด่นคือการใช้ iGPU รุ่นใหม่ Arc B370 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Xe3 ที่พัฒนาจาก Battlemage IP และมีจำนวนคอร์กราฟิก 10 คอร์

    แม้จะอยู่ในกลุ่มชิปประสิทธิภาพสูง แต่ Core Ultra 5 338H ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Core Ultra X7 และ X9 ที่มี 12 คอร์กราฟิกและได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “X” สำหรับงานกราฟิกเต็มรูปแบบ

    ผลการทดสอบ Vulkan บน Geekbench แสดงคะแนน 39,406 ซึ่งสูงกว่า Arc A140T ของ Lunar Lake เล็กน้อย (~4%) และใกล้เคียงกับ Radeon 880M ของ AMD ที่ได้ประมาณ 39,917 คะแนน

    Intel Core Ultra 5 338H
    ใช้ iGPU Arc B370 Xe3 (10 คอร์กราฟิก)
    ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น แม้ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับรุ่น X
    คะแนน Vulkan บน Geekbench: 39,406
    สูงกว่า Arc A140T (~4%) และใกล้เคียง Radeon 880M

    สถาปัตยกรรม Panther Lake
    ใช้ Xe3 GPU จาก Battlemage IP
    มีการเปลี่ยนแปลงระบบตั้งชื่อรุ่นใหม่
    รุ่นที่มี “X” จะมี 12 คอร์กราฟิก เช่น X7 358H, X9 388H
    Core Ultra 5 338H ใช้เวอร์ชันลดสเปกของ GPU เดียวกัน

    ความหมายของการไม่มี “X”
    ไม่ใช่รุ่นกราฟิกเต็มสเปก แต่ยังอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูง
    เหมาะกับงานทั่วไปและเกมระดับกลาง
    ช่วยลดต้นทุนและพลังงานโดยยังคงประสิทธิภาพที่ดี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-5-338h-appears-in-geekbench-listing-confirming-new-arc-b370-xe3-igpu-no-x-branding-in-sight-as-panther-lakes-naming-scheme-becomes-clear
    🧠 Intel Core Ultra 5 338H โผล่ใน Geekbench – ยืนยันใช้ iGPU Arc B370 Xe3 และไม่มี “X” ในชื่อรุ่น Intel Core Ultra 5 338H ได้รับการเปิดเผยผ่านผลการทดสอบ Geekbench ล่าสุด โดยชิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Panther Lake ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 จุดเด่นคือการใช้ iGPU รุ่นใหม่ Arc B370 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Xe3 ที่พัฒนาจาก Battlemage IP และมีจำนวนคอร์กราฟิก 10 คอร์ แม้จะอยู่ในกลุ่มชิปประสิทธิภาพสูง แต่ Core Ultra 5 338H ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Core Ultra X7 และ X9 ที่มี 12 คอร์กราฟิกและได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “X” สำหรับงานกราฟิกเต็มรูปแบบ ผลการทดสอบ Vulkan บน Geekbench แสดงคะแนน 39,406 ซึ่งสูงกว่า Arc A140T ของ Lunar Lake เล็กน้อย (~4%) และใกล้เคียงกับ Radeon 880M ของ AMD ที่ได้ประมาณ 39,917 คะแนน ✅ Intel Core Ultra 5 338H ➡️ ใช้ iGPU Arc B370 Xe3 (10 คอร์กราฟิก) ➡️ ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น แม้ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับรุ่น X ➡️ คะแนน Vulkan บน Geekbench: 39,406 ➡️ สูงกว่า Arc A140T (~4%) และใกล้เคียง Radeon 880M ✅ สถาปัตยกรรม Panther Lake ➡️ ใช้ Xe3 GPU จาก Battlemage IP ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงระบบตั้งชื่อรุ่นใหม่ ➡️ รุ่นที่มี “X” จะมี 12 คอร์กราฟิก เช่น X7 358H, X9 388H ➡️ Core Ultra 5 338H ใช้เวอร์ชันลดสเปกของ GPU เดียวกัน ✅ ความหมายของการไม่มี “X” ➡️ ไม่ใช่รุ่นกราฟิกเต็มสเปก แต่ยังอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูง ➡️ เหมาะกับงานทั่วไปและเกมระดับกลาง ➡️ ช่วยลดต้นทุนและพลังงานโดยยังคงประสิทธิภาพที่ดี https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-5-338h-appears-in-geekbench-listing-confirming-new-arc-b370-xe3-igpu-no-x-branding-in-sight-as-panther-lakes-naming-scheme-becomes-clear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized

    ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย

    M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT)

    ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z
    Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก)
    สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867)
    ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization

    จุดเด่นของ Apple M5
    ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz
    ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป

    ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z
    M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads
    ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935)
    ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    🍎 Apple M5 ทำลายสถิติ! ชนะ Intel และ AMD ในการทดสอบ single-core บน Windows 11 แบบ virtualized ชิป Apple M5 รุ่นใหม่ถูกนำไปทดสอบบน Windows 11 ผ่านระบบ virtualization โดยนักรีวิวจากจีนชื่อ NPacific และผลลัพธ์ก็สร้างความฮือฮา เพราะ M5 ทำคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CPU-Z สำหรับการทดสอบแบบ single-thread โดยไม่ต้องโอเวอร์คล็อกเลย M5 ทำคะแนนได้ถึง 1600.2 คะแนน ซึ่งสูงกว่า Intel Core i9-14900KS ที่ได้ 952 คะแนน และ AMD Ryzen 9 9950X3D ที่ได้ 867 คะแนน แม้จะรันบน Windows ผ่าน virtualization ซึ่งไม่ใช่ระบบ native ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบแบบ multi-threaded M5 ยังตามหลังชิปที่มีจำนวนคอร์มากกว่า เช่น Ryzen 9 9950X3D หรือ Intel Core i7-12700K เพราะ M5 มีเพียง 10 คอร์ และไม่มี simultaneous multithreading (SMT) ✅ ผลการทดสอบ single-thread CPU-Z ➡️ Apple M5 ทำคะแนนสูงสุด 1600.2 (ไม่โอเวอร์คล็อก) ➡️ สูงกว่า Intel Core i9-14900KS (952) และ AMD Ryzen 9 9950X3D (867) ➡️ ทดสอบผ่าน Windows 11 virtualization ✅ จุดเด่นของ Apple M5 ➡️ ใช้ custom Armv9 core ความเร็วสูงสุด 4.60 GHz ➡️ ออกแบบเพื่อเน้นประสิทธิภาพ single-thread และประหยัดพลังงาน ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วแบบเฉพาะจุด เช่น UI, แอปทั่วไป ✅ ผลการทดสอบ multi-thread CPU-Z ➡️ M5 ทำได้ 5976.2 คะแนนจาก 10 threads ➡️ ใกล้เคียงกับ Intel Core i7-12700K (5533) และ Ryzen 9 7900X (5935) ➡️ ตามหลังชิปที่มี 16 threads เช่น Ryzen 9 9950X3D และ Core i5-13450HX https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/virtualized-windows-11-test-shows-apples-m5-destroying-intel-and-amds-best-in-single-core-benchmark-chinese-enthusiast-pits-ryzen-9-9950x3d-and-core-i9-14900ks-against-apples-latest-soc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!”

    ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว!

    นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที

    มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ

    ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ

    แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย

    แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini

    ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ

    ความสามารถหลักของ Qwen3-VL
    แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript
    รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token
    เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D
    OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง

    ความสามารถแบบ agentic
    ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ
    สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า
    ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง
    ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง

    จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama
    เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้
    ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude
    ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด
    การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง
    การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ
    ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง

    https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    👁️🧠 “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!” ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว! นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ ✅ ความสามารถหลักของ Qwen3-VL ➡️ แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript ➡️ รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token ➡️ เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D ➡️ OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง ✅ ความสามารถแบบ agentic ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ ➡️ สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า ➡️ ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง ➡️ ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ✅ จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้ ➡️ ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude ➡️ ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด ⛔ การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง ⛔ การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ ⛔ ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Ollama's Qwen3-VL Introduces The Most Powerful Vision Language Model - Here's How It Works - SlashGear
    AI is advancing at a rapid rate, and Ollama claims its Qwen3-VL is the most powerful vision language model yet. Here's what it is and how it works.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DeepSeek-OCR เปลี่ยนข้อความเป็นภาพ ลดการใช้ทรัพยากร AI ได้ถึง 20 เท่า – เปิดทางสู่โมเดลยักษ์ราคาประหยัด!”

    DeepSeek AI จากจีนเปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อว่า “DeepSeek-OCR” ที่ใช้เทคนิคสุดล้ำในการจัดการข้อความจำนวนมาก โดยแทนที่จะป้อนข้อความเข้าโมเดลโดยตรง พวกเขาเลือก “แปลงข้อความเป็นภาพ” ก่อน แล้วค่อยให้โมเดลตีความจากภาพนั้นอีกที

    ฟังดูย้อนยุค แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่ง เพราะวิธีนี้ช่วยลดจำนวน token ที่ต้องใช้ในการประมวลผลได้ถึง 7–20 เท่า! ซึ่งหมายความว่าโมเดลสามารถจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาลได้โดยใช้ทรัพยากรน้อยลงมาก ทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่าย

    ระบบนี้ประกอบด้วยสองส่วนหลัก:
    DeepEncoder: แปลงข้อความเป็นภาพความละเอียดสูง
    DeepSeek3B-MoE-A570M: ทำหน้าที่ตีความภาพเหล่านั้นกลับมาเป็นข้อมูลที่เข้าใจได้

    เทคนิคนี้เหมาะมากกับข้อมูลที่เป็นตาราง กราฟ หรือเอกสารที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น ข้อมูลทางการเงิน วิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ context ยาว ๆ

    ในการทดสอบ benchmark พบว่า ถ้าลด token น้อยกว่า 10 เท่า ความแม่นยำยังอยู่ที่ 97% แต่ถ้าลดถึง 20 เท่า ความแม่นยำจะลดลงเหลือ 60% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีจุดสมดุลที่ต้องเลือกให้เหมาะกับงาน

    DeepSeek-OCR ยังถูกเสนอให้ใช้ในการสร้าง training data สำหรับโมเดลในอนาคต เพราะสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้เร็วขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องความแม่นยำที่ลดลงเล็กน้อย

    จุดเด่นของ DeepSeek-OCR
    แปลงข้อความเป็นภาพก่อนป้อนเข้าโมเดล
    ลดการใช้ token ได้ถึง 7–20 เท่า
    ใช้ DeepEncoder และ DeepSeek3B-MoE-A570M ร่วมกัน
    เหมาะกับข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ตาราง กราฟ เอกสาร
    ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่
    ใช้ได้ดีในงานที่ต้องการ context ยาว เช่น LLM

    ผลการทดสอบและการใช้งาน
    ลด token <10 เท่า → ความแม่นยำ 97%
    ลด token 20 เท่า → ความแม่นยำลดเหลือ 60%
    มีจุดสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและความแม่นยำ
    เสนอให้ใช้สร้าง training data สำหรับโมเดลในอนาคต
    เหมาะกับงานด้านการเงิน วิทยาศาสตร์ และการแพทย์

    ความเคลื่อนไหวของ DeepSeek
    เป็นโมเดลจากจีนที่สร้างความฮือฮาในปี 2025
    ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ChatGPT และ Gemini
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Hugging Face และ GitHub
    พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/new-deepseek-model-drastically-reduces-resource-usage-by-converting-text-and-documents-into-images-vision-text-compression-uses-up-to-20-times-fewer-tokens
    🧠 “DeepSeek-OCR เปลี่ยนข้อความเป็นภาพ ลดการใช้ทรัพยากร AI ได้ถึง 20 เท่า – เปิดทางสู่โมเดลยักษ์ราคาประหยัด!” DeepSeek AI จากจีนเปิดตัวโมเดลใหม่ชื่อว่า “DeepSeek-OCR” ที่ใช้เทคนิคสุดล้ำในการจัดการข้อความจำนวนมาก โดยแทนที่จะป้อนข้อความเข้าโมเดลโดยตรง พวกเขาเลือก “แปลงข้อความเป็นภาพ” ก่อน แล้วค่อยให้โมเดลตีความจากภาพนั้นอีกที ฟังดูย้อนยุค แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่ง เพราะวิธีนี้ช่วยลดจำนวน token ที่ต้องใช้ในการประมวลผลได้ถึง 7–20 เท่า! ซึ่งหมายความว่าโมเดลสามารถจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาลได้โดยใช้ทรัพยากรน้อยลงมาก ทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่าย ระบบนี้ประกอบด้วยสองส่วนหลัก: 💻 DeepEncoder: แปลงข้อความเป็นภาพความละเอียดสูง 💻 DeepSeek3B-MoE-A570M: ทำหน้าที่ตีความภาพเหล่านั้นกลับมาเป็นข้อมูลที่เข้าใจได้ เทคนิคนี้เหมาะมากกับข้อมูลที่เป็นตาราง กราฟ หรือเอกสารที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น ข้อมูลทางการเงิน วิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ context ยาว ๆ ในการทดสอบ benchmark พบว่า ถ้าลด token น้อยกว่า 10 เท่า ความแม่นยำยังอยู่ที่ 97% แต่ถ้าลดถึง 20 เท่า ความแม่นยำจะลดลงเหลือ 60% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีจุดสมดุลที่ต้องเลือกให้เหมาะกับงาน DeepSeek-OCR ยังถูกเสนอให้ใช้ในการสร้าง training data สำหรับโมเดลในอนาคต เพราะสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้เร็วขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องความแม่นยำที่ลดลงเล็กน้อย ✅ จุดเด่นของ DeepSeek-OCR ➡️ แปลงข้อความเป็นภาพก่อนป้อนเข้าโมเดล ➡️ ลดการใช้ token ได้ถึง 7–20 เท่า ➡️ ใช้ DeepEncoder และ DeepSeek3B-MoE-A570M ร่วมกัน ➡️ เหมาะกับข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ตาราง กราฟ เอกสาร ➡️ ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ ใช้ได้ดีในงานที่ต้องการ context ยาว เช่น LLM ✅ ผลการทดสอบและการใช้งาน ➡️ ลด token <10 เท่า → ความแม่นยำ 97% ➡️ ลด token 20 เท่า → ความแม่นยำลดเหลือ 60% ➡️ มีจุดสมดุลระหว่างการลดต้นทุนและความแม่นยำ ➡️ เสนอให้ใช้สร้าง training data สำหรับโมเดลในอนาคต ➡️ เหมาะกับงานด้านการเงิน วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ✅ ความเคลื่อนไหวของ DeepSeek ➡️ เป็นโมเดลจากจีนที่สร้างความฮือฮาในปี 2025 ➡️ ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ChatGPT และ Gemini ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Hugging Face และ GitHub ➡️ พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/new-deepseek-model-drastically-reduces-resource-usage-by-converting-text-and-documents-into-images-vision-text-compression-uses-up-to-20-times-fewer-tokens
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus

    จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD

    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K

    ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก

    ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่

    Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป

    สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh
    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E)
    เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์
    แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม
    ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน
    คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT)
    ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน
    มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ
    Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP
    เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026

    แผนอนาคตของ Intel
    เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า
    ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป
    Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    🚀 “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่ Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ✅ สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh ➡️ Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E) ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์ ➡️ แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม ➡️ ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน ➡️ คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT) ➡️ ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP ➡️ เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 ✅ แผนอนาคตของ Intel ➡️ เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ➡️ ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ➡️ Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851 https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs Leak: Flagship Is Ultra 9 290K Plus, Ultra 7 270K Plus Benchmarked
    Intel's upcoming Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs, such as the Ultra 9 290K Plus & Ultra 7 270K Plus, have leaked.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง ห้องทดลอง
    “ห้องทดลอง”

    (1)

    ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก

    Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า

    ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม”

    “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม

    สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า

    นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า
    เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ”

    คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก
    ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม”

    โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้

    ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร

    วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย

    ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ

    คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น

    เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง

    ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ
    แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย
    เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?!

    ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ

    วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า

    ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล”

    “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา

    ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง

    อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ

    #######
    (2)

    ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส

    ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก

    กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน

    Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย

    เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค

    ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง
    และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร

    นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา

    จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด

    เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก !

    และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้

    ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง

    การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้

    #####
    (3)

    อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ

    อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่

    การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    เรื่อง ห้องทดลอง “ห้องทดลอง” (1) ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม” “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ” คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม” โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้ ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?! ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล” “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ ####### (2) ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก ! และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้ ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้ ##### (3) อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่ การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel เปิดตัว Crescent Island — GPU สำหรับงาน AI inference ที่ใช้ LPDDR5X 160GB เน้นประหยัดพลังงานและต้นทุน” — เมื่อการประมวลผล AI ไม่จำเป็นต้องใช้ HBM หรือระบบระบายความร้อนสุดหรู

    Intel เปิดตัว GPU ใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ชื่อว่า “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (air-cooled) แทนที่จะใช้ระบบน้ำหรือโครงสร้างพิเศษ

    Crescent Island ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงจาก Xe3 ที่ใช้ในซีพียู Panther Lake และมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ซึ่งถือว่าแปลกใหม่มากสำหรับ GPU ดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะปกติจะใช้ GDDR6 หรือ HBM

    การเลือกใช้ LPDDR5X ช่วยลดต้นทุนและการใช้พลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถทำงานแบบ butterfly mode ได้เหมือน GDDR6/GDDR7 ทำให้ bandwidth อาจต่ำกว่ารุ่นที่ออกแบบมาสำหรับ training โดยตรง

    Intel ระบุว่า Crescent Island จะเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพอย่างเป็นทางการ แต่ชี้ว่า GPU นี้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการ inference ที่คุ้มค่าและไม่ต้องการระบบระบายความร้อนซับซ้อน

    Intel เปิดตัว GPU ใหม่ชื่อ Crescent Island สำหรับงาน AI inference
    เน้นความคุ้มค่าและใช้งานในเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled

    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Xe3
    มีความเชื่อมโยงกับซีพียู Panther Lake

    มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB
    เป็นการเลือกที่เน้นต้นทุนต่ำและประหยัดพลังงาน

    LPDDR5X ไม่รองรับ butterfly mode เหมือน GDDR6/GDDR7
    อาจมี bandwidth ต่ำกว่ารุ่นที่เน้น training

    GPU นี้เหมาะกับงาน inference ที่ไม่ต้องการ throughput สูงสุด
    เช่น การรันโมเดลที่ฝึกมาแล้วในระบบที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

    Crescent Island จะเริ่มส่งตัวอย่างในครึ่งหลังของปี 2026
    ยังไม่มีตัวเลข benchmark อย่างเป็นทางการ

    https://www.techradar.com/pro/yay-intel-has-a-new-ai-gpu-with-160gb-of-lpddr5x-crescent-island-does-inference-only-uses-cheaper-memory-and-targets-value-air-cooled-enterprise-servers
    🧠 “Intel เปิดตัว Crescent Island — GPU สำหรับงาน AI inference ที่ใช้ LPDDR5X 160GB เน้นประหยัดพลังงานและต้นทุน” — เมื่อการประมวลผล AI ไม่จำเป็นต้องใช้ HBM หรือระบบระบายความร้อนสุดหรู Intel เปิดตัว GPU ใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ชื่อว่า “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (air-cooled) แทนที่จะใช้ระบบน้ำหรือโครงสร้างพิเศษ Crescent Island ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงจาก Xe3 ที่ใช้ในซีพียู Panther Lake และมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ซึ่งถือว่าแปลกใหม่มากสำหรับ GPU ดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะปกติจะใช้ GDDR6 หรือ HBM การเลือกใช้ LPDDR5X ช่วยลดต้นทุนและการใช้พลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถทำงานแบบ butterfly mode ได้เหมือน GDDR6/GDDR7 ทำให้ bandwidth อาจต่ำกว่ารุ่นที่ออกแบบมาสำหรับ training โดยตรง Intel ระบุว่า Crescent Island จะเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพอย่างเป็นทางการ แต่ชี้ว่า GPU นี้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการ inference ที่คุ้มค่าและไม่ต้องการระบบระบายความร้อนซับซ้อน ✅ Intel เปิดตัว GPU ใหม่ชื่อ Crescent Island สำหรับงาน AI inference ➡️ เน้นความคุ้มค่าและใช้งานในเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled ✅ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Xe3 ➡️ มีความเชื่อมโยงกับซีพียู Panther Lake ✅ มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ➡️ เป็นการเลือกที่เน้นต้นทุนต่ำและประหยัดพลังงาน ✅ LPDDR5X ไม่รองรับ butterfly mode เหมือน GDDR6/GDDR7 ➡️ อาจมี bandwidth ต่ำกว่ารุ่นที่เน้น training ✅ GPU นี้เหมาะกับงาน inference ที่ไม่ต้องการ throughput สูงสุด ➡️ เช่น การรันโมเดลที่ฝึกมาแล้วในระบบที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน ✅ Crescent Island จะเริ่มส่งตัวอย่างในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ ยังไม่มีตัวเลข benchmark อย่างเป็นทางการ https://www.techradar.com/pro/yay-intel-has-a-new-ai-gpu-with-160gb-of-lpddr5x-crescent-island-does-inference-only-uses-cheaper-memory-and-targets-value-air-cooled-enterprise-servers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Elon Musk ท้าดวล Andrej Karpathy ในศึก AI Coding Showdown — แต่ได้คำตอบว่า ‘ขอร่วมมือดีกว่าแข่งกัน’” — เมื่อการเปรียบเทียบ Grok กับ Deep Blue กลายเป็นบทสนทนาเรื่องอนาคตของ AGI

    Elon Musk ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ท้าทาย Andrej Karpathy อดีตหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ OpenAI ให้เข้าร่วมการแข่งขันเขียนโค้ดระหว่างมนุษย์กับ AI โดยใช้ Grok 5 ซึ่งเป็นโมเดลล่าสุดจากบริษัท xAI ของ Musk โดยเปรียบเทียบการแข่งขันนี้กับแมตช์ในตำนานระหว่าง Garry Kasparov กับ IBM Deep Blue ในปี 1997

    คำท้าของ Musk เกิดขึ้นหลังจาก Karpathy ให้สัมภาษณ์ในรายการ Dwarkesh Podcast โดยกล่าวว่า AGI (Artificial General Intelligence) ยังห่างไกลอีกประมาณ 10 ปี และ Grok 5 ยังตามหลัง GPT-4 อยู่หลายเดือน ซึ่ง Musk ตีความว่าเป็นการเปิดช่องให้จัดการแข่งขัน

    Karpathy ตอบกลับอย่างสุภาพว่าเขาไม่สนใจการแข่งขัน แต่ยินดีร่วมมือกับ Grok แทน โดยมองว่าโมเดล AI ควรเป็น “ผู้ร่วมงาน” มากกว่า “คู่แข่ง”

    บทความยังกล่าวถึงการแข่งขันในวงการ AI ที่เริ่มจริงจังขึ้น เช่น:
    DeepMind ใช้ Gemini 2.5 แก้โจทย์จาก ICPC World Finals ได้ 10 จาก 12 ข้อ
    GPT-4 และ GPT-5 ทำได้ครบ 12/12 ข้อใน benchmark เดียวกัน
    นักพัฒนาชาวโปแลนด์เคยเอาชนะโมเดลของ OpenAI ในการแข่งขัน AtCoder World Tour Finals แบบตัวต่อตัว

    หาก Musk ต้องการให้ Grok 5 ได้รับการยอมรับในระดับเดียวกับโมเดลเหล่านี้ เขาจะต้องจัดการแข่งขันที่มีเงื่อนไขชัดเจน เช่น:
    ใช้ชุดโจทย์สาธารณะ
    จำกัดเวลาและทรัพยากร
    ไม่มีการช่วยเหลือจากมนุษย์
    ให้คะแนนโดยคณะกรรมการอิสระและเผยแพร่ผลอย่างโปร่งใส

    Elon Musk ท้า Andrej Karpathy แข่งเขียนโค้ดกับ Grok 5
    เปรียบเทียบกับแมตช์ Kasparov vs Deep Blue

    Karpathy ปฏิเสธคำท้าอย่างสุภาพ
    ระบุว่าอยากร่วมมือกับ AI มากกว่าจะแข่งกัน

    Karpathy มองว่า AGI ยังห่างไกลอีก 10 ปี
    และ Grok 5 ยังตามหลัง GPT-4 อยู่หลายเดือน

    DeepMind ใช้ Gemini 2.5 แก้โจทย์ ICPC ได้ 10 จาก 12 ข้อ
    GPT-4 และ GPT-5 ทำได้ครบ 12/12 ข้อ

    นักพัฒนาชาวโปแลนด์เคยชนะโมเดล OpenAI ในการแข่งขันจริง
    ที่ AtCoder World Tour Finals

    หาก Grok 5 ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ต้องแข่งขันภายใต้เงื่อนไขที่ชัดเจน
    เช่น ชุดโจทย์สาธารณะ, ไม่มีการช่วยเหลือ, ให้คะแนนโดยอิสระ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/musk-challenges-kaparthy-to-an-ai-coding-showdown
    🤖 “Elon Musk ท้าดวล Andrej Karpathy ในศึก AI Coding Showdown — แต่ได้คำตอบว่า ‘ขอร่วมมือดีกว่าแข่งกัน’” — เมื่อการเปรียบเทียบ Grok กับ Deep Blue กลายเป็นบทสนทนาเรื่องอนาคตของ AGI Elon Musk ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ท้าทาย Andrej Karpathy อดีตหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ OpenAI ให้เข้าร่วมการแข่งขันเขียนโค้ดระหว่างมนุษย์กับ AI โดยใช้ Grok 5 ซึ่งเป็นโมเดลล่าสุดจากบริษัท xAI ของ Musk โดยเปรียบเทียบการแข่งขันนี้กับแมตช์ในตำนานระหว่าง Garry Kasparov กับ IBM Deep Blue ในปี 1997 คำท้าของ Musk เกิดขึ้นหลังจาก Karpathy ให้สัมภาษณ์ในรายการ Dwarkesh Podcast โดยกล่าวว่า AGI (Artificial General Intelligence) ยังห่างไกลอีกประมาณ 10 ปี และ Grok 5 ยังตามหลัง GPT-4 อยู่หลายเดือน ซึ่ง Musk ตีความว่าเป็นการเปิดช่องให้จัดการแข่งขัน Karpathy ตอบกลับอย่างสุภาพว่าเขาไม่สนใจการแข่งขัน แต่ยินดีร่วมมือกับ Grok แทน โดยมองว่าโมเดล AI ควรเป็น “ผู้ร่วมงาน” มากกว่า “คู่แข่ง” บทความยังกล่าวถึงการแข่งขันในวงการ AI ที่เริ่มจริงจังขึ้น เช่น: 🎗️ DeepMind ใช้ Gemini 2.5 แก้โจทย์จาก ICPC World Finals ได้ 10 จาก 12 ข้อ 🎗️ GPT-4 และ GPT-5 ทำได้ครบ 12/12 ข้อใน benchmark เดียวกัน 🎗️ นักพัฒนาชาวโปแลนด์เคยเอาชนะโมเดลของ OpenAI ในการแข่งขัน AtCoder World Tour Finals แบบตัวต่อตัว หาก Musk ต้องการให้ Grok 5 ได้รับการยอมรับในระดับเดียวกับโมเดลเหล่านี้ เขาจะต้องจัดการแข่งขันที่มีเงื่อนไขชัดเจน เช่น: 🎗️ ใช้ชุดโจทย์สาธารณะ 🎗️ จำกัดเวลาและทรัพยากร 🎗️ ไม่มีการช่วยเหลือจากมนุษย์ 🎗️ ให้คะแนนโดยคณะกรรมการอิสระและเผยแพร่ผลอย่างโปร่งใส ✅ Elon Musk ท้า Andrej Karpathy แข่งเขียนโค้ดกับ Grok 5 ➡️ เปรียบเทียบกับแมตช์ Kasparov vs Deep Blue ✅ Karpathy ปฏิเสธคำท้าอย่างสุภาพ ➡️ ระบุว่าอยากร่วมมือกับ AI มากกว่าจะแข่งกัน ✅ Karpathy มองว่า AGI ยังห่างไกลอีก 10 ปี ➡️ และ Grok 5 ยังตามหลัง GPT-4 อยู่หลายเดือน ✅ DeepMind ใช้ Gemini 2.5 แก้โจทย์ ICPC ได้ 10 จาก 12 ข้อ ➡️ GPT-4 และ GPT-5 ทำได้ครบ 12/12 ข้อ ✅ นักพัฒนาชาวโปแลนด์เคยชนะโมเดล OpenAI ในการแข่งขันจริง ➡️ ที่ AtCoder World Tour Finals ✅ หาก Grok 5 ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ต้องแข่งขันภายใต้เงื่อนไขที่ชัดเจน ➡️ เช่น ชุดโจทย์สาธารณะ, ไม่มีการช่วยเหลือ, ให้คะแนนโดยอิสระ https://www.tomshardware.com/tech-industry/musk-challenges-kaparthy-to-an-ai-coding-showdown
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://telegra.ph/Unlock-Exclusive-Benefits-Get-Your-Verified-Bluebird-Accounts-Today-03-23
    https://telegra.ph/Unlock-Exclusive-Benefits-Get-Your-Verified-Bluebird-Accounts-Today-03-23
    TELEGRA.PH
    Unlock Exclusive Benefits: Get Your Verified Bluebird Accounts Today!
    Are you tired of dealing with the limitations of traditional bank accounts? Are you looking for a convenient and secure way to manage your finances? Look no further! With a verified Bluebird account, you can unlock exclusive benefits that will make your financial life easier and more rewarding. Why Choose a Bluebird Account? A Buy Bluebird account offers a range of features that set it apart from traditional bank accounts. When you sign up for a Bluebird account, you get access to a wide network of fee-free…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gemini 3.0 โผล่ผ่าน A/B Test บน Google AI Studio — เผยศักยภาพผ่านการสร้าง SVG”

    Rick Lamers ได้ทดลองใช้งาน Google AI Studio และพบว่าเขาอาจได้เข้าถึงโมเดล Gemini 3.0 ผ่านระบบ A/B testing โดยไม่ได้ตั้งใจ จุดสังเกตคือคุณภาพของภาพ SVG ที่โมเดลสร้างขึ้นจาก prompt “Create an SVG image of an Xbox 360 controller” ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ “น่าประทับใจมาก” เมื่อเทียบกับโมเดลอื่น ๆ ที่เขาเคยทดสอบ

    เขาใช้การสร้าง SVG เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของโมเดล โดยอ้างอิงจากแนวทางของ @simonw ที่ใช้ prompt “pelican riding a bicycle” เป็น benchmark สำหรับทดสอบ reasoning และความสามารถด้านการเข้าใจโครงสร้างภาพ

    แม้ว่าโมเดลจะระบุว่าเป็น Gemini 2.5 Pro แต่ Lamers สันนิษฐานว่าเบื้องหลังอาจเป็น Gemini 3.0 Pro ที่กำลังถูกทดสอบแบบเงียบ ๆ เพราะผลลัพธ์มีลักษณะต่างจาก Gemini 2.5 อย่างชัดเจน เช่น:

    เวลา TTFT (Time To First Token) สูงขึ้นประมาณ 24 วินาที
    ความยาว output เพิ่มขึ้นราว 40% (รวม reasoning tokens)

    เขายังสังเกตว่า model ID ที่ปรากฏคือ “ecpt50a2y6mpgkcn” ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Gemini 3.0 จริงหรือไม่ แต่ความแตกต่างในคุณภาพและพฤติกรรมของโมเดลทำให้เขาเชื่อว่า Google กำลังทดสอบ Gemini 3.0 แบบเบื้องหลัง

    Rick Lamers พบโมเดลที่น่าจะเป็น Gemini 3.0 ผ่าน A/B testing บน Google AI Studio
    โดยใช้การสร้าง SVG เป็นตัวชี้วัดคุณภาพ

    Prompt ที่ใช้คือ “Create an SVG image of an Xbox 360 controller”
    ผลลัพธ์น่าประทับใจเมื่อเทียบกับโมเดลอื่น

    ใช้แนวทางของ @simonw ที่ใช้ prompt “pelican riding a bicycle” เป็น benchmark
    เพื่อทดสอบ reasoning และความเข้าใจโครงสร้างภาพ

    โมเดลแสดง model ID ว่า “ecpt50a2y6mpgkcn”
    ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Gemini 3.0 จริงหรือไม่

    TTFT เพิ่มขึ้น 24 วินาที และ output ยาวขึ้น 40%
    บ่งชี้ว่าอาจเป็นโมเดลที่ใหญ่หรือซับซ้อนกว่าเดิม

    https://ricklamers.io/posts/gemini-3-spotted-in-the-wild/
    🧪 “Gemini 3.0 โผล่ผ่าน A/B Test บน Google AI Studio — เผยศักยภาพผ่านการสร้าง SVG” Rick Lamers ได้ทดลองใช้งาน Google AI Studio และพบว่าเขาอาจได้เข้าถึงโมเดล Gemini 3.0 ผ่านระบบ A/B testing โดยไม่ได้ตั้งใจ จุดสังเกตคือคุณภาพของภาพ SVG ที่โมเดลสร้างขึ้นจาก prompt “Create an SVG image of an Xbox 360 controller” ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ “น่าประทับใจมาก” เมื่อเทียบกับโมเดลอื่น ๆ ที่เขาเคยทดสอบ เขาใช้การสร้าง SVG เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของโมเดล โดยอ้างอิงจากแนวทางของ @simonw ที่ใช้ prompt “pelican riding a bicycle” เป็น benchmark สำหรับทดสอบ reasoning และความสามารถด้านการเข้าใจโครงสร้างภาพ แม้ว่าโมเดลจะระบุว่าเป็น Gemini 2.5 Pro แต่ Lamers สันนิษฐานว่าเบื้องหลังอาจเป็น Gemini 3.0 Pro ที่กำลังถูกทดสอบแบบเงียบ ๆ เพราะผลลัพธ์มีลักษณะต่างจาก Gemini 2.5 อย่างชัดเจน เช่น: ⭕ เวลา TTFT (Time To First Token) สูงขึ้นประมาณ 24 วินาที ⭕ ความยาว output เพิ่มขึ้นราว 40% (รวม reasoning tokens) เขายังสังเกตว่า model ID ที่ปรากฏคือ “ecpt50a2y6mpgkcn” ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Gemini 3.0 จริงหรือไม่ แต่ความแตกต่างในคุณภาพและพฤติกรรมของโมเดลทำให้เขาเชื่อว่า Google กำลังทดสอบ Gemini 3.0 แบบเบื้องหลัง ✅ Rick Lamers พบโมเดลที่น่าจะเป็น Gemini 3.0 ผ่าน A/B testing บน Google AI Studio ➡️ โดยใช้การสร้าง SVG เป็นตัวชี้วัดคุณภาพ ✅ Prompt ที่ใช้คือ “Create an SVG image of an Xbox 360 controller” ➡️ ผลลัพธ์น่าประทับใจเมื่อเทียบกับโมเดลอื่น ✅ ใช้แนวทางของ @simonw ที่ใช้ prompt “pelican riding a bicycle” เป็น benchmark ➡️ เพื่อทดสอบ reasoning และความเข้าใจโครงสร้างภาพ ✅ โมเดลแสดง model ID ว่า “ecpt50a2y6mpgkcn” ➡️ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Gemini 3.0 จริงหรือไม่ ✅ TTFT เพิ่มขึ้น 24 วินาที และ output ยาวขึ้น 40% ➡️ บ่งชี้ว่าอาจเป็นโมเดลที่ใหญ่หรือซับซ้อนกว่าเดิม https://ricklamers.io/posts/gemini-3-spotted-in-the-wild/
    RICKLAMERS.IO
    Gemini 3.0 Spotted in the Wild Through A/B Testing
    Testing Google's highly anticipated Gemini 3.0 through AI Studio's A/B feature using SVG generation as a quality proxy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ตรวจจับภัยในชิปได้ 97% แต่ยังไม่พอ” — เมื่อความแม่นยำสูงยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยในโลกฮาร์ดแวร์

    ในโลกที่ชิปคอมพิวเตอร์เป็นหัวใจของทุกระบบ ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และการทหาร ความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri ได้พัฒนา PEARL — ระบบที่ใช้ AI ตรวจจับ “hardware trojans” หรือช่องโหว่ที่ถูกฝังไว้ในขั้นตอนการผลิตชิป

    PEARL ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2 เพื่อวิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิงแบบ “golden chip” และสามารถอธิบายผลการตรวจจับได้อย่างเข้าใจง่าย

    ผลการทดลองพบว่า GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97% ขณะที่ DeepSeek-V2 ทำได้ 91% ซึ่งถือว่าสูงมากในแง่เทคนิค แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “แม้จะพลาดเพียง 3% ก็อาจนำไปสู่หายนะ” เพราะชิปเหล่านี้ถูกใช้ในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเงินและความมั่นคงของชาติ

    การตรวจจับ hardware trojans เป็นเรื่องยาก เพราะชิปถูกผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในหลายประเทศ และช่องโหว่อาจถูกฝังในขั้นตอนใดก็ได้ การตรวจสอบแบบ manual ยังจำเป็นเพื่อเสริมความมั่นใจ แม้ AI จะช่วยได้มากก็ตาม

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri พัฒนา PEARL เพื่อตรวจจับ hardware trojans
    ใช้ LLMs เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2
    วิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้ golden chip

    PEARL ใช้เทคนิค in-context learning เช่น zero-shot และ few-shot
    ให้ผลลัพธ์พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่าย

    GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97%
    DeepSeek-V2 ทำได้ 91%

    ทดสอบกับ benchmark เช่น Trust-Hub และ ISCAS 85/89
    ใช้ทั้งโมเดล open-source และ enterprise

    PEARL ไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิง ทำให้ใช้งานได้กว้างขึ้น
    เหมาะกับการตรวจสอบชิปในระบบที่ไม่มี golden reference

    แม้ AI จะตรวจจับได้ 97% แต่ยังมีช่องว่างที่อาจนำไปสู่หายนะ
    ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชิปอาจทำให้ระบบล่มหรือถูกเจาะ

    ห่วงโซ่อุปทานของชิปมีความซับซ้อนและเสี่ยงต่อการฝังช่องโหว่
    การตรวจสอบต้องครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการประกอบ

    การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในระบบที่มีความเสี่ยงสูง
    ยังต้องมีการตรวจสอบแบบ manual และการทดสอบเชิงลึก

    ความแม่นยำของโมเดลอาจแตกต่างกันตามบริบทและประเภทของโค้ด
    ต้องเลือกโมเดลให้เหมาะกับงานและมีการปรับแต่งอย่างเหมาะสม

    https://www.techradar.com/pro/ai-can-detect-malicious-chip-vulnerabilities-with-a-97-success-rate-but-i-fear-that-is-simply-not-enough
    🧠 “AI ตรวจจับภัยในชิปได้ 97% แต่ยังไม่พอ” — เมื่อความแม่นยำสูงยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยในโลกฮาร์ดแวร์ ในโลกที่ชิปคอมพิวเตอร์เป็นหัวใจของทุกระบบ ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และการทหาร ความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri ได้พัฒนา PEARL — ระบบที่ใช้ AI ตรวจจับ “hardware trojans” หรือช่องโหว่ที่ถูกฝังไว้ในขั้นตอนการผลิตชิป PEARL ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2 เพื่อวิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิงแบบ “golden chip” และสามารถอธิบายผลการตรวจจับได้อย่างเข้าใจง่าย ผลการทดลองพบว่า GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97% ขณะที่ DeepSeek-V2 ทำได้ 91% ซึ่งถือว่าสูงมากในแง่เทคนิค แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “แม้จะพลาดเพียง 3% ก็อาจนำไปสู่หายนะ” เพราะชิปเหล่านี้ถูกใช้ในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเงินและความมั่นคงของชาติ การตรวจจับ hardware trojans เป็นเรื่องยาก เพราะชิปถูกผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในหลายประเทศ และช่องโหว่อาจถูกฝังในขั้นตอนใดก็ได้ การตรวจสอบแบบ manual ยังจำเป็นเพื่อเสริมความมั่นใจ แม้ AI จะช่วยได้มากก็ตาม ✅ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri พัฒนา PEARL เพื่อตรวจจับ hardware trojans ➡️ ใช้ LLMs เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2 ➡️ วิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้ golden chip ✅ PEARL ใช้เทคนิค in-context learning เช่น zero-shot และ few-shot ➡️ ให้ผลลัพธ์พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่าย ✅ GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97% ➡️ DeepSeek-V2 ทำได้ 91% ✅ ทดสอบกับ benchmark เช่น Trust-Hub และ ISCAS 85/89 ➡️ ใช้ทั้งโมเดล open-source และ enterprise ✅ PEARL ไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิง ทำให้ใช้งานได้กว้างขึ้น ➡️ เหมาะกับการตรวจสอบชิปในระบบที่ไม่มี golden reference ‼️ แม้ AI จะตรวจจับได้ 97% แต่ยังมีช่องว่างที่อาจนำไปสู่หายนะ ⛔ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชิปอาจทำให้ระบบล่มหรือถูกเจาะ ‼️ ห่วงโซ่อุปทานของชิปมีความซับซ้อนและเสี่ยงต่อการฝังช่องโหว่ ⛔ การตรวจสอบต้องครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการประกอบ ‼️ การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในระบบที่มีความเสี่ยงสูง ⛔ ยังต้องมีการตรวจสอบแบบ manual และการทดสอบเชิงลึก ‼️ ความแม่นยำของโมเดลอาจแตกต่างกันตามบริบทและประเภทของโค้ด ⛔ ต้องเลือกโมเดลให้เหมาะกับงานและมีการปรับแต่งอย่างเหมาะสม https://www.techradar.com/pro/ai-can-detect-malicious-chip-vulnerabilities-with-a-97-success-rate-but-i-fear-that-is-simply-not-enough
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI model spots dangerous chip code with near-perfect accuracy
    The PEARL system uses language models to expose malicious design changes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EXO Labs ผสาน DGX Spark กับ Mac Studio สร้างระบบ LLM ความเร็วทะลุ 2.8 เท่า” — ยุคใหม่ของ AI inference แบบแยกส่วนที่ใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไป

    EXO Labs ได้สาธิตระบบ AI inference แบบใหม่ที่ใช้แนวคิด “disaggregated inference” โดยผสานฮาร์ดแวร์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ 2 เครื่อง NVIDIA DGX Spark กับ Mac Studio ที่ใช้ชิป M3 Ultra ผ่านเครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เพื่อแบ่งงานประมวลผลตามจุดแข็งของแต่ละเครื่อง

    ระบบนี้ใช้ซอฟต์แวร์ EXO ซึ่งเป็น open-source framework ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายงาน inference ของ LLM ไปยังอุปกรณ์หลายชนิด เช่น desktop, server, laptop หรือแม้แต่สมาร์ตโฟน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ GPU เดียวกัน

    หลักการทำงานคือแบ่งขั้นตอน inference ออกเป็น 2 ส่วน:

    Prefill stage: อ่านและประมวลผล prompt ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูง — ให้ DGX Spark ทำ
    Decode stage: สร้าง token ทีละตัว ซึ่งต้องใช้ bandwidth สูง — ให้ Mac Studio ทำ

    EXO stream ข้อมูลภายในของโมเดล (KV cache) แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทั้งสองระบบทำงานพร้อมกันโดยไม่ต้องรอกัน ส่งผลให้ความเร็วรวมเพิ่มขึ้นถึง 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เพียงเครื่องเดียว

    การทดสอบใช้โมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B กับ prompt ยาว 8,000 token และพบว่าแม้จะเป็นโมเดลขนาดกลาง แต่การแบ่งงานแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลในข่าว
    EXO Labs สาธิตระบบ AI inference แบบ disaggregated โดยใช้ DGX Spark กับ Mac Studio
    ใช้เครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เชื่อมต่อระหว่างเครื่อง
    ซอฟต์แวร์ EXO เป็น open-source framework สำหรับกระจายงาน inference
    ระบบแบ่งงานเป็น prefill (DGX Spark) และ decode (Mac Studio)
    ใช้การ stream KV cache แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทำงานพร้อมกัน
    ความเร็วรวมเพิ่มขึ้น 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เดี่ยว
    ทดสอบกับโมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B และ prompt ยาว 8K token
    EXO 1.0 ยังอยู่ในช่วง early access และไม่ใช่ซอฟต์แวร์ plug-and-play
    NVIDIA เตรียมใช้แนวคิดนี้ในแพลตฟอร์ม Rubin CPX
    Dynamo framework ของ NVIDIA มีเป้าหมายคล้ายกันแต่ไม่มีระบบ subscription อัตโนมัติ

    https://www.tomshardware.com/software/two-nvidia-dgx-spark-systems-combined-with-m3-ultra-mac-studio-to-create-blistering-llm-system-exo-labs-demonstrates-disaggregated-ai-inference-and-achieves-a-2-8-benchmark-boost
    ⚡ “EXO Labs ผสาน DGX Spark กับ Mac Studio สร้างระบบ LLM ความเร็วทะลุ 2.8 เท่า” — ยุคใหม่ของ AI inference แบบแยกส่วนที่ใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไป EXO Labs ได้สาธิตระบบ AI inference แบบใหม่ที่ใช้แนวคิด “disaggregated inference” โดยผสานฮาร์ดแวร์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน ได้แก่ 2 เครื่อง NVIDIA DGX Spark กับ Mac Studio ที่ใช้ชิป M3 Ultra ผ่านเครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เพื่อแบ่งงานประมวลผลตามจุดแข็งของแต่ละเครื่อง ระบบนี้ใช้ซอฟต์แวร์ EXO ซึ่งเป็น open-source framework ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายงาน inference ของ LLM ไปยังอุปกรณ์หลายชนิด เช่น desktop, server, laptop หรือแม้แต่สมาร์ตโฟน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ GPU เดียวกัน หลักการทำงานคือแบ่งขั้นตอน inference ออกเป็น 2 ส่วน: ⚛️ Prefill stage: อ่านและประมวลผล prompt ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูง — ให้ DGX Spark ทำ ⚛️ Decode stage: สร้าง token ทีละตัว ซึ่งต้องใช้ bandwidth สูง — ให้ Mac Studio ทำ EXO stream ข้อมูลภายในของโมเดล (KV cache) แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทั้งสองระบบทำงานพร้อมกันโดยไม่ต้องรอกัน ส่งผลให้ความเร็วรวมเพิ่มขึ้นถึง 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เพียงเครื่องเดียว การทดสอบใช้โมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B กับ prompt ยาว 8,000 token และพบว่าแม้จะเป็นโมเดลขนาดกลาง แต่การแบ่งงานแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ EXO Labs สาธิตระบบ AI inference แบบ disaggregated โดยใช้ DGX Spark กับ Mac Studio ➡️ ใช้เครือข่าย 10-Gigabit Ethernet เชื่อมต่อระหว่างเครื่อง ➡️ ซอฟต์แวร์ EXO เป็น open-source framework สำหรับกระจายงาน inference ➡️ ระบบแบ่งงานเป็น prefill (DGX Spark) และ decode (Mac Studio) ➡️ ใช้การ stream KV cache แบบ layer-by-layer เพื่อให้ทำงานพร้อมกัน ➡️ ความเร็วรวมเพิ่มขึ้น 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac Studio เดี่ยว ➡️ ทดสอบกับโมเดล Llama 3.1 ขนาด 8B และ prompt ยาว 8K token ➡️ EXO 1.0 ยังอยู่ในช่วง early access และไม่ใช่ซอฟต์แวร์ plug-and-play ➡️ NVIDIA เตรียมใช้แนวคิดนี้ในแพลตฟอร์ม Rubin CPX ➡️ Dynamo framework ของ NVIDIA มีเป้าหมายคล้ายกันแต่ไม่มีระบบ subscription อัตโนมัติ https://www.tomshardware.com/software/two-nvidia-dgx-spark-systems-combined-with-m3-ultra-mac-studio-to-create-blistering-llm-system-exo-labs-demonstrates-disaggregated-ai-inference-and-achieves-a-2-8-benchmark-boost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด

    ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย

    กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card

    ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic

    สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง

    ข้อมูลในข่าว
    พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย
    กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร
    ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์
    การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62
    กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง
    พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD
    ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute
    ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic
    กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก



    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    🧠 “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย ➡️ กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ➡️ การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62 ➡️ กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง ➡️ พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD ➡️ ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute ➡️ ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic ➡️ กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PipeWire 1.6 มาแล้ว!” — รองรับ Bluetooth ASHA สำหรับเครื่องช่วยฟัง พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบสำหรับสายเสียงและวิดีโอบน Linux

    PipeWire 1.6 ซึ่งเป็นระบบจัดการเสียงและวิดีโอแบบ low-latency บน Linux ได้เข้าสู่ช่วงพัฒนาแล้ว โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมฟีเจอร์เด่นคือการรองรับ Bluetooth ASHA (Audio Streaming for Hearing Aid) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เครื่องช่วยฟังสามารถเชื่อมต่อกับระบบเสียงของ Linux ได้โดยตรงผ่าน Bluetooth

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น:
    รองรับ MIDI 2.0 clip
    เพิ่มตัวช่วยจัดการ timeout แบบใหม่
    เพิ่มตัวอย่าง config สำหรับ Dolby Surround และ Dolby Pro Logic II
    รองรับหูฟัง Razer BlackShark v3 และลำโพง Logitech Z407
    ปรับปรุงการตั้งค่า ALSA node ให้ทำงานร่วมกับ Firewire driver ได้ดีขึ้น
    เพิ่มฟีเจอร์ telephony และแก้ปัญหา packet loss สำหรับ Bluetooth codecs
    รองรับการอ่านตำแหน่ง channel จาก HDMI ELD
    เพิ่ม benchmark สำหรับ AEC แบบ offline
    รองรับ H.265 เป็น video format
    เพิ่ม ONNX filter และ FFmpeg avfilter plugin
    ปรับปรุงการเล่น DSD ด้วย pw-cat
    รองรับ metadata และ latency ใน filter-graph
    เพิ่มความสามารถให้ plugin filter-graph รับได้ถึง 8 channel

    PipeWire 1.6 ยังมีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การ rewrite parser ของ control stream ให้ปลอดภัยจาก concurrent update และการ lock loop ด้วย priority inversion

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Release Candidate ได้จาก GitLab ของโครงการ แต่ควรทราบว่านี่เป็นเวอร์ชัน pre-release ที่ยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในระบบ production

    ข้อมูลในข่าว
    PipeWire 1.6 รองรับ Bluetooth ASHA สำหรับเครื่องช่วยฟัง
    เพิ่ม MIDI 2.0 clip support และ timer-queue helper
    มี config ตัวอย่างสำหรับ Dolby Surround และ Pro Logic II
    รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Razer BlackShark v3 และ Logitech Z407
    ปรับปรุง ALSA node สำหรับ Firewire driver
    เพิ่มฟีเจอร์ telephony และแก้ packet loss สำหรับ Bluetooth codecs
    รองรับ HDMI ELD, offline AEC benchmark และ H.265 video format
    เพิ่ม ONNX filter และ FFmpeg plugin
    ปรับปรุง DSD playback, metadata, latency และ channel support
    ปรับ parser ให้ปลอดภัยจาก concurrent update
    รองรับ plugin filter-graph สูงสุด 8 channel
    Release Candidate พร้อมดาวน์โหลดจาก GitLab

    https://9to5linux.com/pipewire-1-6-promises-bluetooth-audio-streaming-for-hearing-aid-support
    🔊 “PipeWire 1.6 มาแล้ว!” — รองรับ Bluetooth ASHA สำหรับเครื่องช่วยฟัง พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบสำหรับสายเสียงและวิดีโอบน Linux PipeWire 1.6 ซึ่งเป็นระบบจัดการเสียงและวิดีโอแบบ low-latency บน Linux ได้เข้าสู่ช่วงพัฒนาแล้ว โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมฟีเจอร์เด่นคือการรองรับ Bluetooth ASHA (Audio Streaming for Hearing Aid) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เครื่องช่วยฟังสามารถเชื่อมต่อกับระบบเสียงของ Linux ได้โดยตรงผ่าน Bluetooth นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น: 🎗️ รองรับ MIDI 2.0 clip 🎗️ เพิ่มตัวช่วยจัดการ timeout แบบใหม่ 🎗️ เพิ่มตัวอย่าง config สำหรับ Dolby Surround และ Dolby Pro Logic II 🎗️ รองรับหูฟัง Razer BlackShark v3 และลำโพง Logitech Z407 🎗️ ปรับปรุงการตั้งค่า ALSA node ให้ทำงานร่วมกับ Firewire driver ได้ดีขึ้น 🎗️ เพิ่มฟีเจอร์ telephony และแก้ปัญหา packet loss สำหรับ Bluetooth codecs 🎗️ รองรับการอ่านตำแหน่ง channel จาก HDMI ELD 🎗️ เพิ่ม benchmark สำหรับ AEC แบบ offline 🎗️ รองรับ H.265 เป็น video format 🎗️ เพิ่ม ONNX filter และ FFmpeg avfilter plugin 🎗️ ปรับปรุงการเล่น DSD ด้วย pw-cat 🎗️ รองรับ metadata และ latency ใน filter-graph 🎗️ เพิ่มความสามารถให้ plugin filter-graph รับได้ถึง 8 channel PipeWire 1.6 ยังมีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การ rewrite parser ของ control stream ให้ปลอดภัยจาก concurrent update และการ lock loop ด้วย priority inversion ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Release Candidate ได้จาก GitLab ของโครงการ แต่ควรทราบว่านี่เป็นเวอร์ชัน pre-release ที่ยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในระบบ production ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ PipeWire 1.6 รองรับ Bluetooth ASHA สำหรับเครื่องช่วยฟัง ➡️ เพิ่ม MIDI 2.0 clip support และ timer-queue helper ➡️ มี config ตัวอย่างสำหรับ Dolby Surround และ Pro Logic II ➡️ รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Razer BlackShark v3 และ Logitech Z407 ➡️ ปรับปรุง ALSA node สำหรับ Firewire driver ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ telephony และแก้ packet loss สำหรับ Bluetooth codecs ➡️ รองรับ HDMI ELD, offline AEC benchmark และ H.265 video format ➡️ เพิ่ม ONNX filter และ FFmpeg plugin ➡️ ปรับปรุง DSD playback, metadata, latency และ channel support ➡️ ปรับ parser ให้ปลอดภัยจาก concurrent update ➡️ รองรับ plugin filter-graph สูงสุด 8 channel ➡️ Release Candidate พร้อมดาวน์โหลดจาก GitLab https://9to5linux.com/pipewire-1-6-promises-bluetooth-audio-streaming-for-hearing-aid-support
    9TO5LINUX.COM
    PipeWire 1.6 Promises Bluetooth Audio Streaming for Hearing Aid Support - 9to5Linux
    PipeWire 1.6 open-source server for handling audio/video streams and hardware on Linux is now available for public beta testing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์

    บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง

    ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง

    Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง

    แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว

    Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม

    ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว:
    Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์
    Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า
    DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ
    Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน
    Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    ข้อมูลในข่าว
    AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้
    ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้
    Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents
    Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026
    AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้
    Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์
    DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ
    Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน
    Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก
    อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี
    หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์
    การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ
    นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    🤖 “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์ บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว: ⭐ Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์ ⭐ Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า ⭐ DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ ⭐ Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน ⭐ Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ⭐ Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้ ➡️ Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents ➡️ Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ➡️ AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้ ➡️ Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์ ➡️ DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ ➡️ Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน ➡️ Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ➡️ Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก ⛔ อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์ ⛔ การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ⛔ นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Incredibly dangerous or incredibly useful? The rise of AI agents
    Developers say they can do nearly any task a human can at a computer. Critics say they are incredibly dangerous.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MediaTek Dimensity 9500 สอนบทเรียนให้ Google” — เมื่อชิป SoC ราคาประหยัดกลับแซง Tensor G5 แบบไม่ไว้หน้า

    MediaTek สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการสมาร์ตโฟนด้วยชิป Dimensity 9500 ที่สามารถเอาชนะ Tensor G5 ของ Google ได้ในหลายการทดสอบ benchmark โดยใช้เทคโนโลยี ARM แบบทั่วไป ไม่ต้องพึ่งการออกแบบเฉพาะตัวเหมือนที่ Google ทำ

    Dimensity 9500 มาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์ที่ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุด โดยมีคอร์ Ultra ที่แรงถึง 4.21GHz และ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing และเล่นเกมได้ลื่นถึง 120fps ในขณะที่ Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU จาก Imagination ที่ไม่มี ray-tracing เลย

    ด้าน AI Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง แต่กลับมีปัญหาเรื่องความร้อนและ throttling เมื่อเจองานหนัก โดยเฉพาะใน Pixel 10 รุ่นพื้นฐานที่ไม่มี vapor chamber สำหรับระบายความร้อน

    ที่น่าตกใจคือราคาของ Dimensity 9500 อยู่ที่ประมาณ $180–$200 ในขณะที่ Google ตั้งเป้าราคาชิป Tensor G5 ไว้เพียง $65 แต่กลับขาย Pixel 10 ที่ใช้ชิปนี้ในราคาเท่ากับ iPhone 17 คือ $799 โดยไม่มีการลดราคาแม้จะรู้ว่าชิปมีข้อจำกัด

    บทความชี้ว่า Google ควรเรียนรู้จาก MediaTek ในการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องลดต้นทุนจนกระทบต่อคุณภาพ และไม่ควรตั้งราคาสินค้าระดับพรีเมียมหากประสิทธิภาพยังไม่ถึงระดับนั้น

    ข้อมูลในข่าว
    Dimensity 9500 เอาชนะ Tensor G5 ในหลายการทดสอบ benchmark
    ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุดและ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing
    Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU ที่ไม่มี ray-tracing
    Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง
    Pixel 10 รุ่นพื้นฐานไม่มี vapor chamber ทำให้เกิดความร้อนและ throttling
    Dimensity 9500 มีราคาประมาณ $180–$200 ส่วน Tensor G5 ตั้งเป้าไว้ที่ $65
    Pixel 10 ขายราคาเท่ากับ iPhone 17 โดยไม่มีการลดราคา

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การลดต้นทุนชิปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความร้อนของอุปกรณ์
    การตั้งราคาสูงโดยไม่รองรับประสิทธิภาพระดับพรีเมียม อาจทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ
    การไม่ใส่ vapor chamber ในรุ่นพื้นฐาน อาจทำให้เครื่องร้อนและประสิทธิภาพลดลง
    การใช้ GPU ที่ไม่มี ray-tracing อาจลดคุณภาพการเล่นเกมและกราฟิก

    https://wccftech.com/mediatek-dimensity-9500-shows-google-tensor-g5-the-way/
    📱 “MediaTek Dimensity 9500 สอนบทเรียนให้ Google” — เมื่อชิป SoC ราคาประหยัดกลับแซง Tensor G5 แบบไม่ไว้หน้า MediaTek สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการสมาร์ตโฟนด้วยชิป Dimensity 9500 ที่สามารถเอาชนะ Tensor G5 ของ Google ได้ในหลายการทดสอบ benchmark โดยใช้เทคโนโลยี ARM แบบทั่วไป ไม่ต้องพึ่งการออกแบบเฉพาะตัวเหมือนที่ Google ทำ Dimensity 9500 มาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์ที่ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุด โดยมีคอร์ Ultra ที่แรงถึง 4.21GHz และ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing และเล่นเกมได้ลื่นถึง 120fps ในขณะที่ Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU จาก Imagination ที่ไม่มี ray-tracing เลย ด้าน AI Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง แต่กลับมีปัญหาเรื่องความร้อนและ throttling เมื่อเจองานหนัก โดยเฉพาะใน Pixel 10 รุ่นพื้นฐานที่ไม่มี vapor chamber สำหรับระบายความร้อน ที่น่าตกใจคือราคาของ Dimensity 9500 อยู่ที่ประมาณ $180–$200 ในขณะที่ Google ตั้งเป้าราคาชิป Tensor G5 ไว้เพียง $65 แต่กลับขาย Pixel 10 ที่ใช้ชิปนี้ในราคาเท่ากับ iPhone 17 คือ $799 โดยไม่มีการลดราคาแม้จะรู้ว่าชิปมีข้อจำกัด บทความชี้ว่า Google ควรเรียนรู้จาก MediaTek ในการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องลดต้นทุนจนกระทบต่อคุณภาพ และไม่ควรตั้งราคาสินค้าระดับพรีเมียมหากประสิทธิภาพยังไม่ถึงระดับนั้น ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Dimensity 9500 เอาชนะ Tensor G5 ในหลายการทดสอบ benchmark ➡️ ใช้ ARM C1 รุ่นล่าสุดและ GPU Mali-G1 Ultra MC12 ที่รองรับ ray-tracing ➡️ Tensor G5 ใช้ Cortex-X4 ที่เก่ากว่า และ GPU ที่ไม่มี ray-tracing ➡️ Dimensity 9500 ใช้ NPU 990 ส่วน Tensor G5 ใช้ TPU ที่ออกแบบเอง ➡️ Pixel 10 รุ่นพื้นฐานไม่มี vapor chamber ทำให้เกิดความร้อนและ throttling ➡️ Dimensity 9500 มีราคาประมาณ $180–$200 ส่วน Tensor G5 ตั้งเป้าไว้ที่ $65 ➡️ Pixel 10 ขายราคาเท่ากับ iPhone 17 โดยไม่มีการลดราคา ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การลดต้นทุนชิปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความร้อนของอุปกรณ์ ⛔ การตั้งราคาสูงโดยไม่รองรับประสิทธิภาพระดับพรีเมียม อาจทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ ⛔ การไม่ใส่ vapor chamber ในรุ่นพื้นฐาน อาจทำให้เครื่องร้อนและประสิทธิภาพลดลง ⛔ การใช้ GPU ที่ไม่มี ray-tracing อาจลดคุณภาพการเล่นเกมและกราฟิก https://wccftech.com/mediatek-dimensity-9500-shows-google-tensor-g5-the-way/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Dimensity 9500 Shows Google's Tensor G5 The Way
    Google is charging Apple-level prices for the Tensor G5, a silicon that shows a proclivity for heating up and throttle.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 วิธีดูแล CPU ให้ใช้งานได้นานขึ้น — เพราะความร้อนคือศัตรูตัวฉกาจของสมองกล”

    CPU คือหัวใจของคอมพิวเตอร์ — ทุกการคำนวณ, การเล่นเกม, การเปิดเว็บ หรือแม้แต่การรับส่งข้อความ ล้วนผ่านการประมวลผลจากมันทั้งสิ้น แม้ CPU จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมักจะถูกเปลี่ยนเพราะ “ตกรุ่น” มากกว่าพัง แต่การดูแลให้มันอยู่ในสภาพดี ก็ช่วยให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากความร้อนหรือไฟกระชาก

    บทความนี้แนะนำ 5 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยยืดอายุ CPU โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อปี แต่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว

    ติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ดี
    ใช้ tower cooler แบบมี heat pipe และพัดลม 2 ตัว หรือชุดน้ำถ้าทำงานหนัก

    ตรวจสอบอุณหภูมิ CPU เป็นระยะ
    ใช้โปรแกรม CoreTemp หรือ UserBenchmark เพื่อดูว่าใกล้ Tj. Max หรือไม่

    เปลี่ยน thermal paste อย่างสม่ำเสมอ
    ทุก 6 เดือนถึง 2 ปี แล้วแต่การใช้งาน และควรทำร่วมกับการทำความสะอาดเครื่อง

    หลีกเลี่ยงการ overclock มากเกินไป
    ถ้าจำเป็นต้อง overclock ต้องมีระบบระบายความร้อนและตรวจสอบอุณหภูมิอย่างใกล้ชิด

    ป้องกันไฟกระชากด้วยอุปกรณ์เสริม
    ใช้ปลั๊ก surge protector หรือ UPS เพื่อป้องกันความเสียหายจากไฟฟ้าผิดปกติ

    https://www.slashgear.com/1992347/ways-to-extend-cpu-lifespan-last-longer/
    🧊 “5 วิธีดูแล CPU ให้ใช้งานได้นานขึ้น — เพราะความร้อนคือศัตรูตัวฉกาจของสมองกล” CPU คือหัวใจของคอมพิวเตอร์ — ทุกการคำนวณ, การเล่นเกม, การเปิดเว็บ หรือแม้แต่การรับส่งข้อความ ล้วนผ่านการประมวลผลจากมันทั้งสิ้น แม้ CPU จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมักจะถูกเปลี่ยนเพราะ “ตกรุ่น” มากกว่าพัง แต่การดูแลให้มันอยู่ในสภาพดี ก็ช่วยให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากความร้อนหรือไฟกระชาก บทความนี้แนะนำ 5 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยยืดอายุ CPU โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อปี แต่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว ✅ ติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ดี ➡️ ใช้ tower cooler แบบมี heat pipe และพัดลม 2 ตัว หรือชุดน้ำถ้าทำงานหนัก ✅ ตรวจสอบอุณหภูมิ CPU เป็นระยะ ➡️ ใช้โปรแกรม CoreTemp หรือ UserBenchmark เพื่อดูว่าใกล้ Tj. Max หรือไม่ ✅ เปลี่ยน thermal paste อย่างสม่ำเสมอ ➡️ ทุก 6 เดือนถึง 2 ปี แล้วแต่การใช้งาน และควรทำร่วมกับการทำความสะอาดเครื่อง ✅ หลีกเลี่ยงการ overclock มากเกินไป ➡️ ถ้าจำเป็นต้อง overclock ต้องมีระบบระบายความร้อนและตรวจสอบอุณหภูมิอย่างใกล้ชิด ✅ ป้องกันไฟกระชากด้วยอุปกรณ์เสริม ➡️ ใช้ปลั๊ก surge protector หรือ UPS เพื่อป้องกันความเสียหายจากไฟฟ้าผิดปกติ https://www.slashgear.com/1992347/ways-to-extend-cpu-lifespan-last-longer/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Ways To Extend The Lifespan Of Your CPU - SlashGear
    While it might outlive most components in your PC, a good CPU is expensive, so you'll want to take every step to increase its lifespan anyway.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • “UbuCon India ครั้งแรก! รวมพลังชุมชน Ubuntu และ FOSS ที่ Bengaluru — จุดเริ่มต้นใหม่ของโอเพ่นซอร์สในอินเดีย”

    อินเดียกำลังจะมีงาน UbuCon ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการใช้ Ubuntu และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) ในภูมิภาคของตน โดยงานจะจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ที่สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) เมือง Bengaluru

    UbuCon เป็นงานสัมมนาแบบอาสาสมัครที่เน้นชุมชน ไม่ใช่งานโชว์ของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงนักพัฒนา ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน FOSS ให้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายร่วมกัน

    หัวข้อที่จะพูดถึงในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ desktop environments, cloud infrastructure, IoT, documentation ไปจนถึง AI โดยมี It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้

    UbuCon India 2025 เป็นงาน UbuCon ครั้งแรกในอินเดีย
    จัดโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo

    งานจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025
    สถานที่คือ IISc Bengaluru

    เป็นงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ไม่ใช่บริษัท
    เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย

    หัวข้อในงานครอบคลุมหลายด้านของเทคโนโลยี FOSS
    เช่น desktop, cloud, IoT, documentation, AI

    It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการ
    เตรียมรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากงาน

    เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน KonfHub พร้อมส่วนลดสำหรับนักเรียน
    ราคาบัตรเข้าร่วมงานอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้

    https://news.itsfoss.com/events/first-ubucon-india/
    🐧 “UbuCon India ครั้งแรก! รวมพลังชุมชน Ubuntu และ FOSS ที่ Bengaluru — จุดเริ่มต้นใหม่ของโอเพ่นซอร์สในอินเดีย” อินเดียกำลังจะมีงาน UbuCon ครั้งแรกในประวัติศาสตร์! งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการใช้ Ubuntu และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (FOSS) ในภูมิภาคของตน โดยงานจะจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ที่สถาบัน Indian Institute of Science (IISc) เมือง Bengaluru UbuCon เป็นงานสัมมนาแบบอาสาสมัครที่เน้นชุมชน ไม่ใช่งานโชว์ของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงนักพัฒนา ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน FOSS ให้มาแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่ายร่วมกัน หัวข้อที่จะพูดถึงในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ desktop environments, cloud infrastructure, IoT, documentation ไปจนถึง AI โดยมี It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการของงานนี้ ✅ UbuCon India 2025 เป็นงาน UbuCon ครั้งแรกในอินเดีย ➡️ จัดโดยกลุ่ม Ubuntu India LoCo ✅ งานจัดขึ้นวันที่ 15–16 พฤศจิกายน 2025 ➡️ สถานที่คือ IISc Bengaluru ✅ เป็นงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ไม่ใช่บริษัท ➡️ เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างเครือข่าย ✅ หัวข้อในงานครอบคลุมหลายด้านของเทคโนโลยี FOSS ➡️ เช่น desktop, cloud, IoT, documentation, AI ✅ It’s FOSS เป็นพันธมิตรสื่ออย่างเป็นทางการ ➡️ เตรียมรายงานข่าวและบทวิเคราะห์จากงาน ✅ เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน KonfHub พร้อมส่วนลดสำหรับนักเรียน ➡️ ราคาบัตรเข้าร่วมงานอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ https://news.itsfoss.com/events/first-ubucon-india/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เซิร์ฟเวอร์ AI 10.8kW จาก Sparkle – ทางเลือกใหม่แทน GPU แพงจาก NVIDIA”

    ในยุคที่การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาล แต่ GPU ระดับสูงจาก NVIDIA เช่น H100 หรือ B200 กลับมีราคาสูงจนหลายองค์กรเอื้อมไม่ถึง ล่าสุดบริษัท Sparkle จากไต้หวันได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ “C741-6U-Dual 16P” ที่ใช้ Intel GPU ถึง 32 ตัว พร้อมหน่วยความจำรวม 768GB VRAM และระบบจ่ายไฟ 10,800W เพื่อรองรับงาน AI อย่างต่อเนื่อง

    เซิร์ฟเวอร์นี้ใช้กราฟิกการ์ด Arc Pro B60 Dual ซึ่งแต่ละใบมี GPU สองตัวจากสถาปัตยกรรม Battlemage รวมแล้วให้พลัง GPU core ถึง 81,920 คอร์ พร้อมรองรับ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch เพื่อหลีกเลี่ยงคอขวดในการส่งข้อมูล

    ระบบรองรับ Intel Xeon Scalable Gen 4 หรือ Gen 5 พร้อมแรม DDR5 สูงสุด 8TB และมีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมถึง 15 ตัว เพื่อให้สามารถทำงานหนักได้ต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกินไป

    แม้ยังไม่มีข้อมูลด้านราคาหรือประสิทธิภาพในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ Sparkle ตั้งใจให้เซิร์ฟเวอร์นี้เป็นทางเลือกสำหรับนักวิจัยและองค์กรที่ต้องการพลังประมวลผลแบบขนานในราคาที่เข้าถึงได้

    สเปกเด่นของ Sparkle C741-6U-Dual 16P
    ใช้ Arc Pro B60 Dual จำนวน 16 ใบ รวมเป็น 32 Intel GPUs
    รวม VRAM ได้สูงสุด 768GB
    ใช้ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch
    รองรับ Intel Xeon Gen 4/5 และ DDR5 สูงสุด 8TB

    ระบบพลังงานและระบายความร้อน
    ใช้ power supply แบบ titanium 2,700W จำนวน 5 ตัว รวม 10,800W
    รุ่นเล็กใช้ 2,400W จำนวน 4 ตัว รวม 7,200W
    มีพัดลมระบายความร้อนถึง 15 ตัวในแชสซีขนาด 6U

    การเชื่อมต่อและการขยาย
    รองรับ dual M.2, NVMe และ SATA bays สำหรับ local storage
    GPU เชื่อมต่อกับ CPU ผ่าน PCIe 5.0 x8 โดยตรงหรือผ่าน switch
    ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และการประมวลผลแบบขนาน

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ยังไม่มีข้อมูล benchmark สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่
    ประสิทธิภาพของ Arc Pro B60 ยังไม่เทียบเท่า H100/B200
    Ecosystem ของ Intel GPU ยังไม่แข็งแรงเท่า CUDA ของ NVIDIA
    ราคายังไม่เปิดเผย ต้องสอบถามโดยตรงกับผู้ผลิต

    https://www.techradar.com/pro/cant-afford-nvidias-expensive-ai-accelerators-then-consider-this-10-8kw-server-cluster-with-32-intel-gpus-and-768gb-vram
    🧮 “เซิร์ฟเวอร์ AI 10.8kW จาก Sparkle – ทางเลือกใหม่แทน GPU แพงจาก NVIDIA” ในยุคที่การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาล แต่ GPU ระดับสูงจาก NVIDIA เช่น H100 หรือ B200 กลับมีราคาสูงจนหลายองค์กรเอื้อมไม่ถึง ล่าสุดบริษัท Sparkle จากไต้หวันได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ “C741-6U-Dual 16P” ที่ใช้ Intel GPU ถึง 32 ตัว พร้อมหน่วยความจำรวม 768GB VRAM และระบบจ่ายไฟ 10,800W เพื่อรองรับงาน AI อย่างต่อเนื่อง เซิร์ฟเวอร์นี้ใช้กราฟิกการ์ด Arc Pro B60 Dual ซึ่งแต่ละใบมี GPU สองตัวจากสถาปัตยกรรม Battlemage รวมแล้วให้พลัง GPU core ถึง 81,920 คอร์ พร้อมรองรับ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch เพื่อหลีกเลี่ยงคอขวดในการส่งข้อมูล ระบบรองรับ Intel Xeon Scalable Gen 4 หรือ Gen 5 พร้อมแรม DDR5 สูงสุด 8TB และมีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมถึง 15 ตัว เพื่อให้สามารถทำงานหนักได้ต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกินไป แม้ยังไม่มีข้อมูลด้านราคาหรือประสิทธิภาพในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ Sparkle ตั้งใจให้เซิร์ฟเวอร์นี้เป็นทางเลือกสำหรับนักวิจัยและองค์กรที่ต้องการพลังประมวลผลแบบขนานในราคาที่เข้าถึงได้ ✅ สเปกเด่นของ Sparkle C741-6U-Dual 16P ➡️ ใช้ Arc Pro B60 Dual จำนวน 16 ใบ รวมเป็น 32 Intel GPUs ➡️ รวม VRAM ได้สูงสุด 768GB ➡️ ใช้ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch ➡️ รองรับ Intel Xeon Gen 4/5 และ DDR5 สูงสุด 8TB ✅ ระบบพลังงานและระบายความร้อน ➡️ ใช้ power supply แบบ titanium 2,700W จำนวน 5 ตัว รวม 10,800W ➡️ รุ่นเล็กใช้ 2,400W จำนวน 4 ตัว รวม 7,200W ➡️ มีพัดลมระบายความร้อนถึง 15 ตัวในแชสซีขนาด 6U ✅ การเชื่อมต่อและการขยาย ➡️ รองรับ dual M.2, NVMe และ SATA bays สำหรับ local storage ➡️ GPU เชื่อมต่อกับ CPU ผ่าน PCIe 5.0 x8 โดยตรงหรือผ่าน switch ➡️ ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และการประมวลผลแบบขนาน ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่มีข้อมูล benchmark สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ ⛔ ประสิทธิภาพของ Arc Pro B60 ยังไม่เทียบเท่า H100/B200 ⛔ Ecosystem ของ Intel GPU ยังไม่แข็งแรงเท่า CUDA ของ NVIDIA ⛔ ราคายังไม่เปิดเผย ต้องสอบถามโดยตรงกับผู้ผลิต https://www.techradar.com/pro/cant-afford-nvidias-expensive-ai-accelerators-then-consider-this-10-8kw-server-cluster-with-32-intel-gpus-and-768gb-vram
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sparkle’s new server has 16 Arc Pro B60 Dual cards in one chassis
    6U GPU system from Sparkle integrates PCIe 5.0 and dual Xeon CPUs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Tensor G5: ชิปเรือธงจาก Google ที่สะดุดกลางสนามแข่งสมาร์ตโฟน"

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังรอสมาร์ตโฟน Pixel รุ่นใหม่จาก Google ที่มาพร้อมชิป Tensor G5 ซึ่งผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหม? แต่เมื่อเปิดตัวจริงกลับพบว่า Tensor G5 มีปัญหาเรื่องความร้อนและการ throttle อย่างหนัก โดยเฉพาะในการเล่นเกมหรือแม้แต่การจำลอง PlayStation 2

    สาเหตุหลักมาจากการออกแบบชิปแบบ “ปะติดปะต่อ” ของ Google ที่ใช้คอร์ CPU จาก ARM แบบสำเร็จรูป ไม่ได้พัฒนาเองเหมือนคู่แข่งอย่าง Qualcomm ที่ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ซึ่งมีความเร็วสูงและระบบ cache ที่ปรับแต่งมาอย่างดี

    GPU ที่ใช้ก็เป็น Imagination IMG DXT-48-1536 ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียง Adreno หรือ Mali แต่ไม่มี ray-tracing และ Google ยังต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์ ทำให้ขาดความคล่องตัวในการปรับแต่ง

    แม้ Tensor G5 จะมี TPU รุ่นใหม่สำหรับงาน AI และใช้โมเด็ม Exynos 5G แต่เมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แล้ว ยังห่างไกลในด้านประสิทธิภาพและการควบคุมความร้อน

    สถาปัตยกรรมของ Tensor G5
    CPU แบบ 8-core: Cortex-X4, Cortex-A725, Cortex-A520
    GPU: Imagination IMG DXT-48-1536 ไม่มี ray-tracing
    TPU รุ่นที่ 5 สำหรับงาน AI
    โมเด็ม Exynos 5G
    ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC

    ปัญหาหลักของ Tensor G5
    เกิดความร้อนสูงและ throttle อย่างรวดเร็ว
    ประสิทธิภาพต่ำในการเล่นเกมและ emulation
    คะแนน Geekbench และ 3DMark ต่ำกว่าคู่แข่ง

    ข้อเปรียบเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5
    ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ที่มีความเร็วสูง
    มี L2 cache ขนาด 12MB สำหรับทั้ง prime และ performance cores
    ปรับแต่งระบบภายในได้ละเอียดกว่า

    ข้อจำกัดด้าน GPU และไดรเวอร์
    Google ต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์
    ขาดความสามารถในการควบคุมและปรับแต่งแบบเต็มรูปแบบ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Pixel 10 ที่ใช้ Tensor G5
    อาจพบปัญหาความร้อนและประสิทธิภาพตกในการใช้งานหนัก
    การเล่นเกมหรือใช้งาน AI อาจไม่ลื่นไหลเท่าที่คาดหวัง
    การพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกทำให้ Google ขาดความยืดหยุ่นในการพัฒนา

    Tensor G5 เป็นตัวอย่างของการพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้ส่วนประกอบสำเร็จรูป แต่ในโลกของสมาร์ตโฟนระดับเรือธง ความเร็ว ความร้อน และความเสถียรคือสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังสูงสุด และดูเหมือนว่า Google ยังต้องปรับกลยุทธ์อีกมากหากต้องการแข่งขันกับ Qualcomm และ Apple อย่างเต็มตัว.

    https://wccftech.com/the-flaw-in-tensor-g5/
    📲 "Tensor G5: ชิปเรือธงจาก Google ที่สะดุดกลางสนามแข่งสมาร์ตโฟน" ลองนึกภาพว่าคุณกำลังรอสมาร์ตโฟน Pixel รุ่นใหม่จาก Google ที่มาพร้อมชิป Tensor G5 ซึ่งผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหม? แต่เมื่อเปิดตัวจริงกลับพบว่า Tensor G5 มีปัญหาเรื่องความร้อนและการ throttle อย่างหนัก โดยเฉพาะในการเล่นเกมหรือแม้แต่การจำลอง PlayStation 2 สาเหตุหลักมาจากการออกแบบชิปแบบ “ปะติดปะต่อ” ของ Google ที่ใช้คอร์ CPU จาก ARM แบบสำเร็จรูป ไม่ได้พัฒนาเองเหมือนคู่แข่งอย่าง Qualcomm ที่ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ซึ่งมีความเร็วสูงและระบบ cache ที่ปรับแต่งมาอย่างดี GPU ที่ใช้ก็เป็น Imagination IMG DXT-48-1536 ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียง Adreno หรือ Mali แต่ไม่มี ray-tracing และ Google ยังต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์ ทำให้ขาดความคล่องตัวในการปรับแต่ง แม้ Tensor G5 จะมี TPU รุ่นใหม่สำหรับงาน AI และใช้โมเด็ม Exynos 5G แต่เมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แล้ว ยังห่างไกลในด้านประสิทธิภาพและการควบคุมความร้อน ✅ สถาปัตยกรรมของ Tensor G5 ➡️ CPU แบบ 8-core: Cortex-X4, Cortex-A725, Cortex-A520 ➡️ GPU: Imagination IMG DXT-48-1536 ไม่มี ray-tracing ➡️ TPU รุ่นที่ 5 สำหรับงาน AI ➡️ โมเด็ม Exynos 5G ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ✅ ปัญหาหลักของ Tensor G5 ➡️ เกิดความร้อนสูงและ throttle อย่างรวดเร็ว ➡️ ประสิทธิภาพต่ำในการเล่นเกมและ emulation ➡️ คะแนน Geekbench และ 3DMark ต่ำกว่าคู่แข่ง ✅ ข้อเปรียบเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ➡️ ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ที่มีความเร็วสูง ➡️ มี L2 cache ขนาด 12MB สำหรับทั้ง prime และ performance cores ➡️ ปรับแต่งระบบภายในได้ละเอียดกว่า ✅ ข้อจำกัดด้าน GPU และไดรเวอร์ ➡️ Google ต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์ ➡️ ขาดความสามารถในการควบคุมและปรับแต่งแบบเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Pixel 10 ที่ใช้ Tensor G5 ⛔ อาจพบปัญหาความร้อนและประสิทธิภาพตกในการใช้งานหนัก ⛔ การเล่นเกมหรือใช้งาน AI อาจไม่ลื่นไหลเท่าที่คาดหวัง ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกทำให้ Google ขาดความยืดหยุ่นในการพัฒนา Tensor G5 เป็นตัวอย่างของการพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้ส่วนประกอบสำเร็จรูป แต่ในโลกของสมาร์ตโฟนระดับเรือธง ความเร็ว ความร้อน และความเสถียรคือสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังสูงสุด และดูเหมือนว่า Google ยังต้องปรับกลยุทธ์อีกมากหากต้องการแข่งขันกับ Qualcomm และ Apple อย่างเต็มตัว. https://wccftech.com/the-flaw-in-tensor-g5/
    WCCFTECH.COM
    The Flaw In Google Pixel's New Tensor G5 Chip
    Google's design strategy for the Tensor G5 chip is akin to buying an off-the-rack suit and then paying for some fittings here and there.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Dimensity 9500: ชิปเรือธงราคาประหยัดที่แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ต้องพิจารณา"

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android ที่ต้องเลือกชิปประมวลผลสำหรับรุ่นใหม่ในปี 2025 คุณมีตัวเลือกหลักสองตัว — Snapdragon 8 Elite Gen 5 จาก Qualcomm และ Dimensity 9500 จาก MediaTek ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm N3P เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอย่างมาก

    Dimensity 9500 เปิดราคามาเพียง $180–$200 ต่อหน่วย ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 พุ่งไปถึง $280 นั่นหมายความว่า MediaTek เสนอราคาถูกกว่าถึง 55% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร

    แต่ราคาที่ถูกนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดบางอย่าง Dimensity 9500 ยังคงใช้ดีไซน์ CPU และ GPU จาก ARM ซึ่งช่วยลดต้นทุน แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพด้อยกว่าคู่แข่งที่ใช้คอร์แบบ custom เช่น Oryon ของ Qualcomm ที่พัฒนาเองภายในบริษัท

    จากการทดสอบ Geekbench 6 พบว่า Dimensity 9500 มีคะแนน multi-core ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Apple A19 Pro แถมยังใช้พลังงานมากกว่า ทำให้เกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนัก ๆ อย่างที่เห็นใน OnePlus 15 ที่ใช้ชิปนี้

    นอกจากนี้ Qualcomm ยังลงทุนซื้อบริษัท Nuvia มูลค่า $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคอร์แบบ custom แข่งกับ Apple ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีภายในเป็นกลยุทธ์สำคัญในตลาดชิปสมาร์ตโฟนระดับสูง

    Dimensity 9500 ถูกกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างมาก
    ราคาต่อหน่วยอยู่ที่ $180–$200 เทียบกับ $280 ของ Snapdragon
    ถูกกว่าถึง 55% ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต Android

    MediaTek ใช้ดีไซน์จาก ARM เพื่อลดต้นทุน
    ไม่พัฒนาคอร์เองแบบ Qualcomm ที่ใช้ Oryon cores
    ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและผลิต

    ประสิทธิภาพของ Dimensity 9500 ต่ำกว่าคู่แข่ง
    คะแนน multi-core ต่ำที่สุดในกลุ่มชิปเรือธง
    ใช้พลังงานสูงและเกิดความร้อนมากในสมาร์ตโฟน

    Qualcomm ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีภายใน
    ซื้อบริษัท Nuvia เพื่อสร้างคอร์ custom แข่งกับ Apple
    เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแตกต่าง

    คำเตือนสำหรับผู้ผลิตที่เลือก Dimensity 9500
    แม้ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานหนัก
    ความร้อนสูงอาจส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอายุการใช้งานของเครื่อง
    การพึ่งพา ARM อาจทำให้ MediaTek เสียเปรียบในระยะยาว

    ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Dimensity 9500 อาจช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ถ้าคุณเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและการเล่นเกมแบบจัดเต็ม Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน.

    https://wccftech.com/dimensity-9500-more-than-50-percent-cheaper-than-the-snapdragon-8-elite-gen-5/
    📱 "Dimensity 9500: ชิปเรือธงราคาประหยัดที่แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ต้องพิจารณา" ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android ที่ต้องเลือกชิปประมวลผลสำหรับรุ่นใหม่ในปี 2025 คุณมีตัวเลือกหลักสองตัว — Snapdragon 8 Elite Gen 5 จาก Qualcomm และ Dimensity 9500 จาก MediaTek ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm N3P เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอย่างมาก Dimensity 9500 เปิดราคามาเพียง $180–$200 ต่อหน่วย ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 พุ่งไปถึง $280 นั่นหมายความว่า MediaTek เสนอราคาถูกกว่าถึง 55% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร แต่ราคาที่ถูกนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดบางอย่าง Dimensity 9500 ยังคงใช้ดีไซน์ CPU และ GPU จาก ARM ซึ่งช่วยลดต้นทุน แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพด้อยกว่าคู่แข่งที่ใช้คอร์แบบ custom เช่น Oryon ของ Qualcomm ที่พัฒนาเองภายในบริษัท จากการทดสอบ Geekbench 6 พบว่า Dimensity 9500 มีคะแนน multi-core ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Apple A19 Pro แถมยังใช้พลังงานมากกว่า ทำให้เกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนัก ๆ อย่างที่เห็นใน OnePlus 15 ที่ใช้ชิปนี้ นอกจากนี้ Qualcomm ยังลงทุนซื้อบริษัท Nuvia มูลค่า $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคอร์แบบ custom แข่งกับ Apple ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีภายในเป็นกลยุทธ์สำคัญในตลาดชิปสมาร์ตโฟนระดับสูง ✅ Dimensity 9500 ถูกกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างมาก ➡️ ราคาต่อหน่วยอยู่ที่ $180–$200 เทียบกับ $280 ของ Snapdragon ➡️ ถูกกว่าถึง 55% ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต Android ✅ MediaTek ใช้ดีไซน์จาก ARM เพื่อลดต้นทุน ➡️ ไม่พัฒนาคอร์เองแบบ Qualcomm ที่ใช้ Oryon cores ➡️ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและผลิต ✅ ประสิทธิภาพของ Dimensity 9500 ต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ คะแนน multi-core ต่ำที่สุดในกลุ่มชิปเรือธง ➡️ ใช้พลังงานสูงและเกิดความร้อนมากในสมาร์ตโฟน ✅ Qualcomm ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีภายใน ➡️ ซื้อบริษัท Nuvia เพื่อสร้างคอร์ custom แข่งกับ Apple ➡️ เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแตกต่าง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ผลิตที่เลือก Dimensity 9500 ⛔ แม้ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานหนัก ⛔ ความร้อนสูงอาจส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอายุการใช้งานของเครื่อง ⛔ การพึ่งพา ARM อาจทำให้ MediaTek เสียเปรียบในระยะยาว ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Dimensity 9500 อาจช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ถ้าคุณเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและการเล่นเกมแบบจัดเต็ม Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน. https://wccftech.com/dimensity-9500-more-than-50-percent-cheaper-than-the-snapdragon-8-elite-gen-5/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500 Is Estimated To Be More Than 50% Cheaper Than The Snapdragon 8 Elite Gen 5, Despite Using The Same 3nm N3P Process
    The estimated price of the Dimensity 9500 has come forth, since it is cheaper than the Snapdragon 8 Elite Gen 5, it will be preferred by Android phone makers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระรอด (รุ่นแรก)
    พระครูบากิตติชัย เขมจารี (ครูบาโลงศพ นักบุญแห่งขุนเขา)
    ⛩ วัดปางมะกง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    ขนาด 1.3 cm x 2.7-2.8 cm
    เริ่มจัดส่ง 11-12 ตุลาคม 2568

    #พระรอด เชื่อกันว่า มีพุทธคุณทางด้านคงกsะพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย ปัดป้องภัยอันตsาย ให้ผู้บูชารอดพ้นจากภัยอันตราย และเหตุการณ์วิบัติต่างๆ ได้ (จากชื่อที่สื่อถึงการ “รoดพ้นจากภัeพิบัติทั้งปวง”)
    ทั้งยังช่วeเสริมด้านความอุดมสมบูsณ์ เสริมlมตตา เป็นที่เมตตาเอ็uดูของผู้คน
    -----------------------
    Phra Rod (First Batch)
    Phra Kruba Kittichai Khemachari (Kruba Coffin, The Saint of the Mountain)
    ⛩ Wat Pang Makong, Chiang Dao District, Chiang Mai
    Size 1.3 cm x 2.7-2.8 cm
    Delivery Starts: 11–12 October 2025
    Phra Rod is believed to possess sacred powers in providing invulnerability, protection from dangers, and safeguarding the worshipper from harm and calamities (as implied by its name, which signifies “survival from all disasters”). It is also believed to bring prosperity, enhance loving-kindness, and attract compassion and benevolence from others.
    🔆พระรอด (รุ่นแรก) ☪️ พระครูบากิตติชัย เขมจารี (ครูบาโลงศพ นักบุญแห่งขุนเขา) ⛩ วัดปางมะกง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 🔖 ขนาด 1.3 cm x 2.7-2.8 cm 🚀 เริ่มจัดส่ง 11-12 ตุลาคม 2568 📌 #พระรอด เชื่อกันว่า มีพุทธคุณทางด้านคงกsะพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย ปัดป้องภัยอันตsาย ให้ผู้บูชารอดพ้นจากภัยอันตราย และเหตุการณ์วิบัติต่างๆ ได้ (จากชื่อที่สื่อถึงการ “รoดพ้นจากภัeพิบัติทั้งปวง”) ทั้งยังช่วeเสริมด้านความอุดมสมบูsณ์ เสริมlมตตา เป็นที่เมตตาเอ็uดูของผู้คน ----------------------- 🔆 Phra Rod (First Batch) ☪️ Phra Kruba Kittichai Khemachari (Kruba Coffin, The Saint of the Mountain) ⛩ Wat Pang Makong, Chiang Dao District, Chiang Mai 🔖 Size 1.3 cm x 2.7-2.8 cm 🚀 Delivery Starts: 11–12 October 2025 📌 Phra Rod is believed to possess sacred powers in providing invulnerability, protection from dangers, and safeguarding the worshipper from harm and calamities (as implied by its name, which signifies “survival from all disasters”). It is also believed to bring prosperity, enhance loving-kindness, and attract compassion and benevolence from others.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wand At The Ready! These Magic Words Will Cast A Spell On You

    Hocus pocus, abracadabra, alakazam! These are the words we invoke when magic is at work—even if it might just be a card trick at home. While a few of these words and phrases have wholly crossed over into entertainment magic or originated there from the start (e.g., presto change-o), some of these words are rooted in older commands that called upon higher powers to influence the material world.

    Whether called hexes, hymns, prayers, or simply spells, the words we invoke to communicate with a greater power to work our will all require an intangible force that can be universally described as magic. Take a look and decide for yourself if magic is real or if it’s just a bunch of hocus-pocus.

    abracadabra
    Perhaps one of the oldest and most recognized magical phrases, abracadabra has been around since the second century BCE and has famously appeared in the Harry Potter series. Its origins are contested as scholars posit that abracadabra emerged from Late Latin or Late Greek, reflecting the recitation of the initial letters of the alphabet (abecedary); others hypothesize that it could related to the Hebrew Ha brakha dabra, which translates as, “The blessing has spoken.” We do understand it as a word generally meant to invoke magical power. Abracadabra is classified as a reductive spell, which means it would have been written out as a complete word on the first line, then with one letter missing on the next, then another letter removed on the following line, and so forth. The idea behind reductive spells is that by making the word shorter so would a pain or illness gradually diminish.

    Recorded in English in the late 1600s, abracadabra is used in incantations, particularly as a magical means of warding off misfortune, harm, or illness, and for some, is used as a nonsense word, implying gibberish in place of supposedly magical words.

    alakazam
    Often used as the finale word in the presentation of a grand stage illusion, alakazam is intoned as a powerful command.

    While the origins of the word are unknown, according to Magic Words: A Dictionary, alakazam may have ties to a similar-sounding Arabic phrase, Al Qasam, which means “oath.” Therefore, a conjuror invoking alakazam may be calling back to a promise made by a superior being to help complete the miraculous feat they are presenting.

    One of the earliest printings of alakazam in an English text is the poem “Among the White Tents,” first published in the Chicago Herald Tribune in 1888. While the poem uses alakazam in the context of entertainment and as an excited expression (“We’re goin’ to de cirkis! / Alakazam!”) there is oddly no connection to magic.

    hocus-pocus
    Immortalized in a ’90s cult classic family film, hocus pocus may be both invoked as an incantation and might also be used to refer to an act of trickery. For instance, one who is dismissive of fortunetelling might call the act of reading tarot cards “a bunch of hocus pocus.”

    First recorded in the 1660s, hocus pocus is likely a corruption of the Latin phrase used in Catholic mass, Hoc est corpus meum (“here is my body”).

    voilà
    Maybe you’ve seen a magician conclude an amazing feat with this little phrase. She’ll flourish a sheet over a table and voilà, where there was no one a second ago, her whole assistant will appear!

    First recorded in English between 1825–35, voilà is used as an expression of success or satisfaction, typically to give the impression that the achievement happened quickly or easily. Combined from the French words voi (“see”) and là (“there”), voilà is used to direct attention during performance magic.

    open sesame
    First recorded in English in the late 1700s, open sesame comes from Antoine Galland’s translation of One Thousand and One Nights. These are the magic words Ali Baba speaks to open the door of the den of the 40 thieves.

    Perhaps one of the greatest magical commands to survive from folklore, open sesame today may be used as a noun to refer to a very successful means of achieving a result. For instance, you might say an MBA is the open sesame to landing a competitive job in finance.

    sim sala bim
    These magic words were made popular by the famous professional magician Harry August Jansen (1883–1955), also known as The Great Jansen or Dante, who used sim sala bim as the name of his touring magic show. Jansen was born in Denmark and immigrated to Minnesota with his family at age 6. Jansen used sim sala bim at the end in his show, saying the words meant, “A thousand thanks.” (They are actually nonsense syllables from a Danish nursery rhyme.) He would tell the crowd that the larger the applause, the bigger the bow, and the more thanks that the sim sala bim symbolized.

    mojo
    While mojo can apply to the magic influence of a charm or amulet (usually positive), the term can also refer to the influence or charm an individual can have on the people around them. A popular Muddy Waters song, “Got My Mojo Workin’,” alludes to the degree to which the singer is able to charm the women he encounters. Mojo is less of a spell and more specifically an aura of power. An Americanism first recorded between 1925–30, it is believed to draw from the West African Gullah word moco, which means, “witchcraft.” It is probably connected to Fulani moco’o, or “medicine man.”

    calamaris
    Similar to abracadabra in popularity and structure, calamaris is the word that Scandinavians would invoke to heal a fever. Also like abracadabra, this word was a reductive spell, meaning the full word would be written down on one line, then each successive line would have one letter removed.

    miertr
    In ye olden times, having a decent hunt to provide for one’s family was critical. The incantation of miertr was spoken aloud as one walked backward and then left the house. After reaching the forest to hunt, the spellcaster was advised to take three clumps of dirt from beneath the left foot and throw them overhead without looking. This will allow an individual to advance without making any noise and capture birds and animals. Definitely a process, but hopefully it led to some successful hunting.

    micrato, raepy sathonich
    One of the most iconic scenes in the Bible’s Old Testament is Exodus 7:8-13, which tells of Moses and his brother Aaron as they go before Pharaoh and are challenged to perform a miracle as a sign of their god. When Aaron throws down his staff, it transforms into a snake that consumes the snakes conjured by Pharaoh’s own advisors and sorcerers. According to the Semiphoras and Schemhamphorash, an occult text published in German by Andreas Luppius in 1686, micrato, raepy sathonich were the opening words Moses spoke before changing his staff into a serpent.

    daimon
    A variant of the word daemon, daimon [ dahy-mohn ] appears in some Greek charms and holds the meaning of a “god, deity, soul of a dead person, or genie.” In this context, it does not necessarily correspond with the Christian interpretation of a demon—it is more akin to a spirit. This word might be used in a spell to summon a daimon attendant, who would then assist the conjurer in executing a specific task. Though new practitioners should be forewarned, summoning daimons are for more experienced magic practitioners and should always be handled with care. Daimon comes from Middle English and can ultimately be traced to the Greek daimónion, meaning “thing of divine nature.”

    INRI
    Those who can recall their days in Catholic school know INRI are the initials typically depicted on the crucifix and represent Jesus’ title (Iēsūs Nazarēnus, Rēx Iūdaeōrum). But long ago, INRI was also written on amulets and paper to offer cures to afflictions. For instance, to stop a fever, a person might eat a piece of paper with the initials written on it, or, to stop blood loss, INRI would be written in blood on a piece of paper that was then pressed to the forehead. It’s even been stamped on stable doors to ward off the evil eye.

    grimoire
    We’ve got two more interesting terms for good measure. Unlike the others on this list, a grimoire is not a magical spell. Described as a “textbook of sorcery and magic,” a grimoire [ greem-wahr ] is a must-have for any would-be spellcaster. First recorded in the 1800s, this word likely arose from the French grammaire (“grammar”). Essentially, this origin word refers to a textbook and/or a set of rules to be applied to the text. For a book that has the potential to summon other beings (for better or worse) and carry out supernatural feats, any student of that book had best be willing to follow those rules to the letter!

    caracteres
    The unique word caracteres refers to symbols written on bits of parchment or amulets. They were used as a way of encoding powerful spells to keep them from being repeated by someone who may not be aware of their potency or seek to abuse their power. Because of this general barrier to entry, caracteres also demanded the potential conjurors devote time to studying and learning how to correctly interpret the encrypted incantations.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Wand At The Ready! These Magic Words Will Cast A Spell On You Hocus pocus, abracadabra, alakazam! These are the words we invoke when magic is at work—even if it might just be a card trick at home. While a few of these words and phrases have wholly crossed over into entertainment magic or originated there from the start (e.g., presto change-o), some of these words are rooted in older commands that called upon higher powers to influence the material world. Whether called hexes, hymns, prayers, or simply spells, the words we invoke to communicate with a greater power to work our will all require an intangible force that can be universally described as magic. Take a look and decide for yourself if magic is real or if it’s just a bunch of hocus-pocus. abracadabra Perhaps one of the oldest and most recognized magical phrases, abracadabra has been around since the second century BCE and has famously appeared in the Harry Potter series. Its origins are contested as scholars posit that abracadabra emerged from Late Latin or Late Greek, reflecting the recitation of the initial letters of the alphabet (abecedary); others hypothesize that it could related to the Hebrew Ha brakha dabra, which translates as, “The blessing has spoken.” We do understand it as a word generally meant to invoke magical power. Abracadabra is classified as a reductive spell, which means it would have been written out as a complete word on the first line, then with one letter missing on the next, then another letter removed on the following line, and so forth. The idea behind reductive spells is that by making the word shorter so would a pain or illness gradually diminish. Recorded in English in the late 1600s, abracadabra is used in incantations, particularly as a magical means of warding off misfortune, harm, or illness, and for some, is used as a nonsense word, implying gibberish in place of supposedly magical words. alakazam Often used as the finale word in the presentation of a grand stage illusion, alakazam is intoned as a powerful command. While the origins of the word are unknown, according to Magic Words: A Dictionary, alakazam may have ties to a similar-sounding Arabic phrase, Al Qasam, which means “oath.” Therefore, a conjuror invoking alakazam may be calling back to a promise made by a superior being to help complete the miraculous feat they are presenting. One of the earliest printings of alakazam in an English text is the poem “Among the White Tents,” first published in the Chicago Herald Tribune in 1888. While the poem uses alakazam in the context of entertainment and as an excited expression (“We’re goin’ to de cirkis! / Alakazam!”) there is oddly no connection to magic. hocus-pocus Immortalized in a ’90s cult classic family film, hocus pocus may be both invoked as an incantation and might also be used to refer to an act of trickery. For instance, one who is dismissive of fortunetelling might call the act of reading tarot cards “a bunch of hocus pocus.” First recorded in the 1660s, hocus pocus is likely a corruption of the Latin phrase used in Catholic mass, Hoc est corpus meum (“here is my body”). voilà Maybe you’ve seen a magician conclude an amazing feat with this little phrase. She’ll flourish a sheet over a table and voilà, where there was no one a second ago, her whole assistant will appear! First recorded in English between 1825–35, voilà is used as an expression of success or satisfaction, typically to give the impression that the achievement happened quickly or easily. Combined from the French words voi (“see”) and là (“there”), voilà is used to direct attention during performance magic. open sesame First recorded in English in the late 1700s, open sesame comes from Antoine Galland’s translation of One Thousand and One Nights. These are the magic words Ali Baba speaks to open the door of the den of the 40 thieves. Perhaps one of the greatest magical commands to survive from folklore, open sesame today may be used as a noun to refer to a very successful means of achieving a result. For instance, you might say an MBA is the open sesame to landing a competitive job in finance. sim sala bim These magic words were made popular by the famous professional magician Harry August Jansen (1883–1955), also known as The Great Jansen or Dante, who used sim sala bim as the name of his touring magic show. Jansen was born in Denmark and immigrated to Minnesota with his family at age 6. Jansen used sim sala bim at the end in his show, saying the words meant, “A thousand thanks.” (They are actually nonsense syllables from a Danish nursery rhyme.) He would tell the crowd that the larger the applause, the bigger the bow, and the more thanks that the sim sala bim symbolized. mojo While mojo can apply to the magic influence of a charm or amulet (usually positive), the term can also refer to the influence or charm an individual can have on the people around them. A popular Muddy Waters song, “Got My Mojo Workin’,” alludes to the degree to which the singer is able to charm the women he encounters. Mojo is less of a spell and more specifically an aura of power. An Americanism first recorded between 1925–30, it is believed to draw from the West African Gullah word moco, which means, “witchcraft.” It is probably connected to Fulani moco’o, or “medicine man.” calamaris Similar to abracadabra in popularity and structure, calamaris is the word that Scandinavians would invoke to heal a fever. Also like abracadabra, this word was a reductive spell, meaning the full word would be written down on one line, then each successive line would have one letter removed. miertr In ye olden times, having a decent hunt to provide for one’s family was critical. The incantation of miertr was spoken aloud as one walked backward and then left the house. After reaching the forest to hunt, the spellcaster was advised to take three clumps of dirt from beneath the left foot and throw them overhead without looking. This will allow an individual to advance without making any noise and capture birds and animals. Definitely a process, but hopefully it led to some successful hunting. micrato, raepy sathonich One of the most iconic scenes in the Bible’s Old Testament is Exodus 7:8-13, which tells of Moses and his brother Aaron as they go before Pharaoh and are challenged to perform a miracle as a sign of their god. When Aaron throws down his staff, it transforms into a snake that consumes the snakes conjured by Pharaoh’s own advisors and sorcerers. According to the Semiphoras and Schemhamphorash, an occult text published in German by Andreas Luppius in 1686, micrato, raepy sathonich were the opening words Moses spoke before changing his staff into a serpent. daimon A variant of the word daemon, daimon [ dahy-mohn ] appears in some Greek charms and holds the meaning of a “god, deity, soul of a dead person, or genie.” In this context, it does not necessarily correspond with the Christian interpretation of a demon—it is more akin to a spirit. This word might be used in a spell to summon a daimon attendant, who would then assist the conjurer in executing a specific task. Though new practitioners should be forewarned, summoning daimons are for more experienced magic practitioners and should always be handled with care. Daimon comes from Middle English and can ultimately be traced to the Greek daimónion, meaning “thing of divine nature.” INRI Those who can recall their days in Catholic school know INRI are the initials typically depicted on the crucifix and represent Jesus’ title (Iēsūs Nazarēnus, Rēx Iūdaeōrum). But long ago, INRI was also written on amulets and paper to offer cures to afflictions. For instance, to stop a fever, a person might eat a piece of paper with the initials written on it, or, to stop blood loss, INRI would be written in blood on a piece of paper that was then pressed to the forehead. It’s even been stamped on stable doors to ward off the evil eye. grimoire We’ve got two more interesting terms for good measure. Unlike the others on this list, a grimoire is not a magical spell. Described as a “textbook of sorcery and magic,” a grimoire [ greem-wahr ] is a must-have for any would-be spellcaster. First recorded in the 1800s, this word likely arose from the French grammaire (“grammar”). Essentially, this origin word refers to a textbook and/or a set of rules to be applied to the text. For a book that has the potential to summon other beings (for better or worse) and carry out supernatural feats, any student of that book had best be willing to follow those rules to the letter! caracteres The unique word caracteres refers to symbols written on bits of parchment or amulets. They were used as a way of encoding powerful spells to keep them from being repeated by someone who may not be aware of their potency or seek to abuse their power. Because of this general barrier to entry, caracteres also demanded the potential conjurors devote time to studying and learning how to correctly interpret the encrypted incantations. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SquareX เตือนภัยเบราว์เซอร์ AI — Comet ถูกหลอกให้ส่งมัลแวร์, แชร์ไฟล์ลับ และเปิดช่อง OAuth โดยไม่รู้ตัว”

    ในวันที่เบราว์เซอร์ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้ทั่วโลก SquareX ได้เปิดเผยงานวิจัยด้านความปลอดภัยที่ชี้ให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์จาก Perplexity ที่มีความสามารถในการทำงานแทนผู้ใช้แบบอัตโนมัติ

    SquareX พบว่า Comet สามารถถูกโจมตีผ่านหลายวิธี เช่น:

    การโจมตีแบบ OAuth ที่ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ของเหยื่อได้ทั้งหมด
    การฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทินที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ
    การหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ที่จำเป็นต่อ workflow
    การส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีผ่านอีเมลโดยไม่ตั้งใจ

    ปัญหาหลักคือ AI Browser อย่าง Comet ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำสั่งที่ปลอดภัย และอะไรคือคำสั่งที่ถูกแฮกเกอร์แทรกเข้ามาใน workflow โดยเฉพาะเมื่อเบราว์เซอร์มีสิทธิ์เท่ากับผู้ใช้ และทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ

    SquareX ระบุว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบเดิม เช่น EDR หรือ SASE/SSE ไม่สามารถตรวจจับพฤติกรรมของ AI Browser ได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำมาจากผู้ใช้จริงหรือจาก AI agent

    Stephen Bennett, CISO ของ Domino’s Pizza Enterprises กล่าวเสริมว่า “เบราว์เซอร์เคยเป็นหน้าต่างของผู้ใช้ แต่ AI Browser กำลังเปลี่ยนให้ผู้ใช้กลายเป็นผู้โดยสาร” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ใช้อาจไม่สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้อีกต่อไป

    SquareX เสนอให้มีการพัฒนาโซลูชันแบบ browser-native ที่สามารถแยกแยะตัวตนของ AI agent กับผู้ใช้จริง และกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลและการกระทำได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SquareX เปิดเผยช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet จาก Perplexity
    Comet ถูกโจมตีผ่าน OAuth ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive
    ถูกหลอกให้ฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทิน
    ถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ workflow
    ส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีโดยไม่ตั้งใจ
    AI Browser ทำงานแทนผู้ใช้โดยมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย
    โซลูชัน EDR/SASE ไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมของ AI agent ได้
    SquareX เสนอให้มีระบบ browser-native ที่แยกแยะตัวตนและควบคุมการเข้าถึง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Comet เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานใน inbox, ปฏิทิน และระบบ cloud
    OAuth เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    Prompt injection คือการแทรกคำสั่งอันตรายเข้าไปใน workflow ของ AI
    AI Browser กำลังถูกนำมาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม productivity
    SquareX มีระบบ Browser Detection and Response (BDR) ที่ช่วยป้องกันภัยจากเบราว์เซอร์

    https://securityonline.info/squarex-shows-ai-browsers-fall-prey-to-oauth-attacks-malware-downloads-and-malicious-link-distribution/
    🕷️ “SquareX เตือนภัยเบราว์เซอร์ AI — Comet ถูกหลอกให้ส่งมัลแวร์, แชร์ไฟล์ลับ และเปิดช่อง OAuth โดยไม่รู้ตัว” ในวันที่เบราว์เซอร์ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของผู้ใช้ทั่วโลก SquareX ได้เปิดเผยงานวิจัยด้านความปลอดภัยที่ชี้ให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์จาก Perplexity ที่มีความสามารถในการทำงานแทนผู้ใช้แบบอัตโนมัติ SquareX พบว่า Comet สามารถถูกโจมตีผ่านหลายวิธี เช่น: 🐛 การโจมตีแบบ OAuth ที่ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ของเหยื่อได้ทั้งหมด 🐛 การฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทินที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ 🐛 การหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ที่จำเป็นต่อ workflow 🐛 การส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีผ่านอีเมลโดยไม่ตั้งใจ ปัญหาหลักคือ AI Browser อย่าง Comet ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำสั่งที่ปลอดภัย และอะไรคือคำสั่งที่ถูกแฮกเกอร์แทรกเข้ามาใน workflow โดยเฉพาะเมื่อเบราว์เซอร์มีสิทธิ์เท่ากับผู้ใช้ และทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ SquareX ระบุว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบเดิม เช่น EDR หรือ SASE/SSE ไม่สามารถตรวจจับพฤติกรรมของ AI Browser ได้อย่างแม่นยำ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำมาจากผู้ใช้จริงหรือจาก AI agent Stephen Bennett, CISO ของ Domino’s Pizza Enterprises กล่าวเสริมว่า “เบราว์เซอร์เคยเป็นหน้าต่างของผู้ใช้ แต่ AI Browser กำลังเปลี่ยนให้ผู้ใช้กลายเป็นผู้โดยสาร” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ใช้อาจไม่สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้อีกต่อไป SquareX เสนอให้มีการพัฒนาโซลูชันแบบ browser-native ที่สามารถแยกแยะตัวตนของ AI agent กับผู้ใช้จริง และกำหนดขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลและการกระทำได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SquareX เปิดเผยช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ AI โดยเฉพาะ Comet จาก Perplexity ➡️ Comet ถูกโจมตีผ่าน OAuth ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงอีเมลและ Google Drive ➡️ ถูกหลอกให้ฝังลิงก์อันตรายในคำเชิญปฏิทิน ➡️ ถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยปลอมเป็นไฟล์ workflow ➡️ ส่งไฟล์ลับไปยังผู้โจมตีโดยไม่ตั้งใจ ➡️ AI Browser ทำงานแทนผู้ใช้โดยมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย ➡️ โซลูชัน EDR/SASE ไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมของ AI agent ได้ ➡️ SquareX เสนอให้มีระบบ browser-native ที่แยกแยะตัวตนและควบคุมการเข้าถึง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Comet เป็นเบราว์เซอร์ AI ที่สามารถทำงานใน inbox, ปฏิทิน และระบบ cloud ➡️ OAuth เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ➡️ Prompt injection คือการแทรกคำสั่งอันตรายเข้าไปใน workflow ของ AI ➡️ AI Browser กำลังถูกนำมาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่ม productivity ➡️ SquareX มีระบบ Browser Detection and Response (BDR) ที่ช่วยป้องกันภัยจากเบราว์เซอร์ https://securityonline.info/squarex-shows-ai-browsers-fall-prey-to-oauth-attacks-malware-downloads-and-malicious-link-distribution/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts