• ยุคนี้ต้องเร็ว! ต้องง่าย! ต้องได้เยอะ!
    เบื่อไหมกับการสับ หัวไชโป๊ว เป็นเส้นๆ ด้วยมือ? ทั้งเมื่อย ทั้งช้า แถมขนาดก็ไม่เท่ากัน!
    ร้านอาหาร, โรงงานทำอาหาร หรือ SME ที่ต้องใช้หัวไชโป๊วปริมาณมาก เตรียมบอกลาปัญหาเดิมๆ ได้เลย! พบกับ...
    เครื่องหั่นผักเอนกประสงค์ (MULTI-FUNCTIONAL VEGETABLE CUTTER) จาก ย.ย่งฮะเฮง
    เครื่องเดียวจบครบทุกงานหั่น! และแน่นอนว่า... สับหัวไชโป๊วให้เป็นเส้นสวยงามก็ทำได้สบายๆ!

    ทำไมต้องเครื่องนี้?
    กำลังผลิตสูง: ผลิตได้ถึง 130-660 กก./ชม.! งานหนักแค่ไหนก็เอาอยู่ ประหยัดเวลาและแรงงานได้มหาศาล!
    แข็งแรง ทนทาน: ตัวเครื่องทำจาก สแตนเลส ทั้งหมด ถูกสุขอนามัย ปลอดภัยสำหรับวัตถุดิบอาหาร
    ใบมีดหลากหลาย: เปลี่ยนใบมีดได้ตามต้องการ ทั้ง สไลด์แผ่น, หั่นหยัก, หั่นเฉียง หรือ หั่นเต๋า 20 มม. (สามารถใช้ใบมีดแบบซี่เพื่อหั่นเป็นเส้นได้)
    ปรับขนาดได้: ปรับความกว้างของวัตถุดิบที่ใส่ได้ตั้งแต่ 2-17 MM และปรับความหนาบางในการสไลด์ได้ 1-10 มม.
    จะสไลด์แตงกวา จะหั่นแครอท จะหั่นมันฝรั่งทอด หรือ "สับหัวไชโป๊วเป็นเส้นๆ" ก็ง่าย รวดเร็ว และได้คุณภาพมาตรฐานเดียวกันทุกชิ้น!

    มาดูเครื่องจริงได้ที่ร้าน ย. ย่งฮะเฮง!
    เราพร้อมให้คำแนะนำเครื่องจักรคุณภาพสำหรับธุรกิจคุณ
    เปิดบริการ:
    จันทร์-ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/En3Rw6JCCjnFHnoT7
    สอบถาม/สั่งซื้อ:
    โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com

    #เครื่องหั่นผัก #เครื่องสับหัวไชโป๊ว #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #เครื่องจักรอาหาร #ยย่งฮะเฮง #ลดต้นทุนเพิ่มกำไร
    #เครื่องหั่น #เครื่องสไลด์ผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องหั่นแครอท #เครื่องหั่นแตงกวา #เครื่องหั่นเผือก #เครื่องหั่นมันเทศ #เครื่องหั่นแครอทเป็นเส้น #เครื่องหั่นผักสลัด #เครื่องทำสลัด #เครื่องทำเฟรนช์ฟรายส์ #เครื่องหั่นผักกิมจิ #เครื่องหั่นผลไม้ #เครื่องหั่นผักดอง #เครื่องเตรียมวัตถุดิบ #อุปกรณ์ร้านอาหาร #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ผักเส้น #หั่นเต๋า #หั่นแว่น #หั่นซอย #หั่นหยัก #ครัวมือโปร #ประหยัดแรงงาน #เพิ่มกำลังผลิต #เครื่องเดียวครบ
    📣 ยุคนี้ต้องเร็ว! ต้องง่าย! ต้องได้เยอะ! 📣 เบื่อไหมกับการสับ หัวไชโป๊ว เป็นเส้นๆ ด้วยมือ? ทั้งเมื่อย ทั้งช้า แถมขนาดก็ไม่เท่ากัน! 😫 ร้านอาหาร, โรงงานทำอาหาร หรือ SME ที่ต้องใช้หัวไชโป๊วปริมาณมาก เตรียมบอกลาปัญหาเดิมๆ ได้เลย! พบกับ... 🥕 เครื่องหั่นผักเอนกประสงค์ (MULTI-FUNCTIONAL VEGETABLE CUTTER) จาก ย.ย่งฮะเฮง 🥕 เครื่องเดียวจบครบทุกงานหั่น! และแน่นอนว่า... สับหัวไชโป๊วให้เป็นเส้นสวยงามก็ทำได้สบายๆ! ทำไมต้องเครื่องนี้? ⚡ กำลังผลิตสูง: ผลิตได้ถึง 130-660 กก./ชม.! งานหนักแค่ไหนก็เอาอยู่ ประหยัดเวลาและแรงงานได้มหาศาล! 💪 แข็งแรง ทนทาน: ตัวเครื่องทำจาก สแตนเลส ทั้งหมด ถูกสุขอนามัย ปลอดภัยสำหรับวัตถุดิบอาหาร 🔪 ใบมีดหลากหลาย: เปลี่ยนใบมีดได้ตามต้องการ ทั้ง สไลด์แผ่น, หั่นหยัก, หั่นเฉียง หรือ หั่นเต๋า 20 มม. (สามารถใช้ใบมีดแบบซี่เพื่อหั่นเป็นเส้นได้) 📏 ปรับขนาดได้: ปรับความกว้างของวัตถุดิบที่ใส่ได้ตั้งแต่ 2-17 MM และปรับความหนาบางในการสไลด์ได้ 1-10 มม. 🔥 จะสไลด์แตงกวา จะหั่นแครอท จะหั่นมันฝรั่งทอด หรือ "สับหัวไชโป๊วเป็นเส้นๆ" ก็ง่าย รวดเร็ว และได้คุณภาพมาตรฐานเดียวกันทุกชิ้น! 📍 มาดูเครื่องจริงได้ที่ร้าน ย. ย่งฮะเฮง! เราพร้อมให้คำแนะนำเครื่องจักรคุณภาพสำหรับธุรกิจคุณ เปิดบริการ: จันทร์-ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. แผนที่: https://maps.app.goo.gl/En3Rw6JCCjnFHnoT7 📞 สอบถาม/สั่งซื้อ: โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com #เครื่องหั่นผัก #เครื่องสับหัวไชโป๊ว #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #เครื่องจักรอาหาร #ยย่งฮะเฮง #ลดต้นทุนเพิ่มกำไร #เครื่องหั่น #เครื่องสไลด์ผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องหั่นแครอท #เครื่องหั่นแตงกวา #เครื่องหั่นเผือก #เครื่องหั่นมันเทศ #เครื่องหั่นแครอทเป็นเส้น #เครื่องหั่นผักสลัด #เครื่องทำสลัด #เครื่องทำเฟรนช์ฟรายส์ #เครื่องหั่นผักกิมจิ #เครื่องหั่นผลไม้ #เครื่องหั่นผักดอง #เครื่องเตรียมวัตถุดิบ #อุปกรณ์ร้านอาหาร #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ผักเส้น #หั่นเต๋า #หั่นแว่น #หั่นซอย #หั่นหยัก #ครัวมือโปร #ประหยัดแรงงาน #เพิ่มกำลังผลิต #เครื่องเดียวครบ
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 0 Reviews
  • สรุปข่าวของ Techradar 🛜🛜

    วิกฤติชิป: AI ดูดทรัพยากรจนคนทั่วไปขาดแคลน
    การบูมของ AI ทำให้ชิปหน่วยความจำและ SSD ที่เคยใช้ในตลาดผู้บริโภคถูกดูดไปใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ร้านค้าในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุน ขณะที่ DDR4 กำลังหายไปจากตลาดเพราะผู้ผลิตหันไปทำ DDR5 ที่กำไรมากกว่า
    วิกฤติชิปและหน่วยความจำ
    AI ดาต้าเซ็นเตอร์ดูดทรัพยากรไปใช้
    DDR4 กำลังหายไปจากตลาด
    ความเสี่ยงจากการขาดแคลน
    ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า
    ผู้บริโภคทั่วไปหาซื้อยาก

    P-QD เทคโนโลยีจอภาพใหม่: สีสดกว่า แต่จำเป็นจริงหรือ?
    Perovskite Quantum Dot (P-QD) กำลังถูกพัฒนาเพื่อให้จอภาพมีความแม่นยำสีสูงถึง 95% ของมาตรฐาน Rec.2020 แต่คำถามคือ ผู้ชมทั่วไปที่ดูหนัง HDR ยังใช้มาตรฐาน P3 อยู่ ซึ่งทีวีรุ่นใหม่ก็ทำได้ครบแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่าทีวีบ้าน
    เทคโนโลยี P-QD
    สีสดขึ้นถึง 95% Rec.2020
    เหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่า
    ข้อควรระวัง
    ทีวีทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ Google Find Hub ลบข้อมูลเหยื่อ
    กลุ่ม KONNI ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ข้อมูลบัญชี Google ถูกขโมย และถูกใช้เข้าถึง Find Hub เพื่อลบข้อมูลมือถือเหยื่อซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมแพร่มัลแวร์ต่อไปยังเพื่อนในแชท
    การโจมตีไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ
    ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์มัลแวร์
    เข้าถึง Google Find Hub ลบข้อมูล
    ความเสี่ยง
    ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย
    มัลแวร์แพร่ไปยังเพื่อนในแชท

    Microsoft 365 เจอคลื่นฟิชชิ่งใหม่ “Quantum Route Redirect”
    แพลตฟอร์มฟิชชิ่งอัตโนมัติที่ตรวจจับว่าใครเป็นบอทหรือคนจริง หากเป็นคนจริงจะถูกส่งไปหน้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน ทำให้การโจมตีง่ายขึ้นและแพร่ไปกว่า 90 ประเทศ
    ฟิชชิ่ง Microsoft 365
    Quantum Route Redirect ตรวจจับบอท
    ส่งผู้ใช้จริงไปหน้าเว็บปลอม
    ความเสี่ยง
    แพร่ไปกว่า 90 ประเทศ
    ทำให้การโจมตีง่ายขึ้น

    Ookla เปิดตัว Speedtest Pulse: เครื่องมือวัดเน็ตแบบใหม่
    อุปกรณ์ใหม่ช่วยผู้ให้บริการตรวจสอบปัญหาเน็ตในบ้านได้แม่นยำขึ้น มีโหมด Active Pulse ตรวจสอบทันที และ Continuous Pulse ที่จะตามหาปัญหาเน็ตที่เกิดเป็นครั้งคราว
    Ookla Speedtest Pulse
    Active Pulse ตรวจสอบทันที
    Continuous Pulse ตรวจสอบปัญหาเน็ตซ้ำ
    ความเสี่ยง
    ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย

    Wyze Scale Ultra BodyScan: เครื่องชั่งอัจฉริยะราคาย่อมเยา
    มีสายจับพร้อมอิเล็กโทรดเพื่อวัดร่างกายแยกส่วน แขน ขา ลำตัว ให้ข้อมูลสุขภาพละเอียดขึ้น เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ได้
    Wyze Scale Ultra BodyScan
    วัดร่างกายแยกส่วน
    เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit
    ความเสี่ยง
    ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นในตลาด

    ช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี JavaScript ยอดนิยม
    expr-eval ไลบรารีที่มีดาวน์โหลดกว่า 800,000 ครั้งต่อสัปดาห์ พบช่องโหว่ Remote Code Execution หากไม่อัปเดตอาจถูกแฮกเข้าระบบได้
    ช่องโหว่ expr-eval
    พบ Remote Code Execution
    อัปเดตแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่
    ความเสี่ยง
    ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตเสี่ยงถูกเจาะระบบ

    Sony ยืดอายุ PS5 ถึงปี 2030
    Sony ประกาศว่า PS5 ยังอยู่กลางวงจรชีวิต และจะขยายต่อไปอีก ทำให้คาดว่า PS6 จะเปิดตัวราวปี 2027–2028 แต่ PS5 จะยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง
    Sony ยืดอายุ PS5
    สนับสนุนต่อถึงปี 2030
    PS6 คาดเปิดตัวปี 2027–2028

    ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม: PureRAT แฝงตัวใน Booking.com
    แฮกเกอร์ใช้บัญชี Booking.com ที่ถูกขโมย ส่งลิงก์ปลอมไปยังโรงแรมและลูกค้า ขโมยทั้งรหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต
    ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม
    ใช้ PureRAT ขโมยข้อมูล
    ส่งลิงก์ปลอม Booking.com
    ความเสี่ยง
    ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า

    AI บริษัทใหญ่ทำข้อมูลรั่วบน GitHub
    วิจัยพบว่า 65% ของบริษัท AI ชั้นนำทำ API key และ token รั่วบน GitHub โดยมากเกิดจากนักพัฒนาเผลออัปโหลดข้อมูลลง repo ส่วนตัว
    AI บริษัทใหญ่รั่วข้อมูล
    65% ของบริษัท AI รั่ว API key
    เกิดจาก repo ส่วนตัวนักพัฒนา
    ความเสี่ยง
    อาจถูกใช้โจมตีระบบ AI

    หลังเหตุโจรกรรม Louvre: Proton แจก Password Manager ฟรี
    หลังพบว่ารหัสกล้องวงจรปิดของ Louvre คือ “louvre” บริษัท Proton จึงเสนอให้พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลกใช้ Proton Pass ฟรี 2 ปี
    Proton ช่วยพิพิธภัณฑ์
    แจก Proton Pass ฟรี 2 ปี
    ป้องกันรหัสผ่านอ่อนแอ
    ความเสี่ยง
    เหตุ Louvre แสดงให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรง

    Windows 11 เตรียมเพิ่ม Haptic Feedback ใน Trackpad
    Microsoft ซ่อนฟีเจอร์ “Haptic Signals” ในเวอร์ชันทดสอบ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแรงสั่นเมื่อ snap หน้าต่างหรือจัดวางวัตถุ คล้ายกับ Force Touch ของ MacBook
    Windows 11 เพิ่ม Haptic Feedback
    ฟีเจอร์ Haptic Signals
    คล้าย Force Touch ของ MacBook

    Firefox ลดการติดตามด้วย Anti-Fingerprinting
    Mozilla เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลดการระบุตัวตนผู้ใช้จาก fingerprint ลงได้ถึง 70% โดยใช้เทคนิคสุ่ม noise และบังคับใช้ฟอนต์มาตรฐาน
    Firefox Anti-Fingerprinting
    ลดการติดตามลง 70%
    ใช้ noise และฟอนต์มาตรฐาน

    Facebook Business Page ปลอมระบาด
    แฮกเกอร์สร้างเพจปลอม ส่งอีเมลจากโดเมนจริง facebookmail.com หลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี
    Facebook Page ปลอม
    ส่งอีเมลจาก facebookmail.com
    หลอกผู้ใช้กรอกข้อมูล
    ความเสี่ยง
    ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี

    https://www.techradar.com/
    📌📌 สรุปข่าวของ Techradar 🛜🛜 🖥️ วิกฤติชิป: AI ดูดทรัพยากรจนคนทั่วไปขาดแคลน การบูมของ AI ทำให้ชิปหน่วยความจำและ SSD ที่เคยใช้ในตลาดผู้บริโภคถูกดูดไปใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ร้านค้าในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุน ขณะที่ DDR4 กำลังหายไปจากตลาดเพราะผู้ผลิตหันไปทำ DDR5 ที่กำไรมากกว่า ✅ วิกฤติชิปและหน่วยความจำ ➡️ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ดูดทรัพยากรไปใช้ ➡️ DDR4 กำลังหายไปจากตลาด ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลน ⛔ ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ⛔ ผู้บริโภคทั่วไปหาซื้อยาก 📺 P-QD เทคโนโลยีจอภาพใหม่: สีสดกว่า แต่จำเป็นจริงหรือ? Perovskite Quantum Dot (P-QD) กำลังถูกพัฒนาเพื่อให้จอภาพมีความแม่นยำสีสูงถึง 95% ของมาตรฐาน Rec.2020 แต่คำถามคือ ผู้ชมทั่วไปที่ดูหนัง HDR ยังใช้มาตรฐาน P3 อยู่ ซึ่งทีวีรุ่นใหม่ก็ทำได้ครบแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่าทีวีบ้าน ✅ เทคโนโลยี P-QD ➡️ สีสดขึ้นถึง 95% Rec.2020 ➡️ เหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่า ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ทีวีทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้ 🔒 แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ Google Find Hub ลบข้อมูลเหยื่อ กลุ่ม KONNI ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ข้อมูลบัญชี Google ถูกขโมย และถูกใช้เข้าถึง Find Hub เพื่อลบข้อมูลมือถือเหยื่อซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมแพร่มัลแวร์ต่อไปยังเพื่อนในแชท ✅ การโจมตีไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ ➡️ ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์มัลแวร์ ➡️ เข้าถึง Google Find Hub ลบข้อมูล ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย ⛔ มัลแวร์แพร่ไปยังเพื่อนในแชท 📧 Microsoft 365 เจอคลื่นฟิชชิ่งใหม่ “Quantum Route Redirect” แพลตฟอร์มฟิชชิ่งอัตโนมัติที่ตรวจจับว่าใครเป็นบอทหรือคนจริง หากเป็นคนจริงจะถูกส่งไปหน้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน ทำให้การโจมตีง่ายขึ้นและแพร่ไปกว่า 90 ประเทศ ✅ ฟิชชิ่ง Microsoft 365 ➡️ Quantum Route Redirect ตรวจจับบอท ➡️ ส่งผู้ใช้จริงไปหน้าเว็บปลอม ‼️ ความเสี่ยง ⛔ แพร่ไปกว่า 90 ประเทศ ⛔ ทำให้การโจมตีง่ายขึ้น 🌐 Ookla เปิดตัว Speedtest Pulse: เครื่องมือวัดเน็ตแบบใหม่ อุปกรณ์ใหม่ช่วยผู้ให้บริการตรวจสอบปัญหาเน็ตในบ้านได้แม่นยำขึ้น มีโหมด Active Pulse ตรวจสอบทันที และ Continuous Pulse ที่จะตามหาปัญหาเน็ตที่เกิดเป็นครั้งคราว ✅ Ookla Speedtest Pulse ➡️ Active Pulse ตรวจสอบทันที ➡️ Continuous Pulse ตรวจสอบปัญหาเน็ตซ้ำ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย ⚖️ Wyze Scale Ultra BodyScan: เครื่องชั่งอัจฉริยะราคาย่อมเยา มีสายจับพร้อมอิเล็กโทรดเพื่อวัดร่างกายแยกส่วน แขน ขา ลำตัว ให้ข้อมูลสุขภาพละเอียดขึ้น เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ได้ ✅ Wyze Scale Ultra BodyScan ➡️ วัดร่างกายแยกส่วน ➡️ เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นในตลาด 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี JavaScript ยอดนิยม expr-eval ไลบรารีที่มีดาวน์โหลดกว่า 800,000 ครั้งต่อสัปดาห์ พบช่องโหว่ Remote Code Execution หากไม่อัปเดตอาจถูกแฮกเข้าระบบได้ ✅ ช่องโหว่ expr-eval ➡️ พบ Remote Code Execution ➡️ อัปเดตแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตเสี่ยงถูกเจาะระบบ 🎮 Sony ยืดอายุ PS5 ถึงปี 2030 Sony ประกาศว่า PS5 ยังอยู่กลางวงจรชีวิต และจะขยายต่อไปอีก ทำให้คาดว่า PS6 จะเปิดตัวราวปี 2027–2028 แต่ PS5 จะยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ✅ Sony ยืดอายุ PS5 ➡️ สนับสนุนต่อถึงปี 2030 ➡️ PS6 คาดเปิดตัวปี 2027–2028 🏨 ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม: PureRAT แฝงตัวใน Booking.com แฮกเกอร์ใช้บัญชี Booking.com ที่ถูกขโมย ส่งลิงก์ปลอมไปยังโรงแรมและลูกค้า ขโมยทั้งรหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต ✅ ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม ➡️ ใช้ PureRAT ขโมยข้อมูล ➡️ ส่งลิงก์ปลอม Booking.com ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า 🤖 AI บริษัทใหญ่ทำข้อมูลรั่วบน GitHub วิจัยพบว่า 65% ของบริษัท AI ชั้นนำทำ API key และ token รั่วบน GitHub โดยมากเกิดจากนักพัฒนาเผลออัปโหลดข้อมูลลง repo ส่วนตัว ✅ AI บริษัทใหญ่รั่วข้อมูล ➡️ 65% ของบริษัท AI รั่ว API key ➡️ เกิดจาก repo ส่วนตัวนักพัฒนา ‼️ ความเสี่ยง ⛔ อาจถูกใช้โจมตีระบบ AI 🏛️ หลังเหตุโจรกรรม Louvre: Proton แจก Password Manager ฟรี หลังพบว่ารหัสกล้องวงจรปิดของ Louvre คือ “louvre” บริษัท Proton จึงเสนอให้พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลกใช้ Proton Pass ฟรี 2 ปี ✅ Proton ช่วยพิพิธภัณฑ์ ➡️ แจก Proton Pass ฟรี 2 ปี ➡️ ป้องกันรหัสผ่านอ่อนแอ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ เหตุ Louvre แสดงให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรง 💻 Windows 11 เตรียมเพิ่ม Haptic Feedback ใน Trackpad Microsoft ซ่อนฟีเจอร์ “Haptic Signals” ในเวอร์ชันทดสอบ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแรงสั่นเมื่อ snap หน้าต่างหรือจัดวางวัตถุ คล้ายกับ Force Touch ของ MacBook ✅ Windows 11 เพิ่ม Haptic Feedback ➡️ ฟีเจอร์ Haptic Signals ➡️ คล้าย Force Touch ของ MacBook 🦊 Firefox ลดการติดตามด้วย Anti-Fingerprinting Mozilla เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลดการระบุตัวตนผู้ใช้จาก fingerprint ลงได้ถึง 70% โดยใช้เทคนิคสุ่ม noise และบังคับใช้ฟอนต์มาตรฐาน ✅ Firefox Anti-Fingerprinting ➡️ ลดการติดตามลง 70% ➡️ ใช้ noise และฟอนต์มาตรฐาน 📩 Facebook Business Page ปลอมระบาด แฮกเกอร์สร้างเพจปลอม ส่งอีเมลจากโดเมนจริง facebookmail.com หลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี ✅ Facebook Page ปลอม ➡️ ส่งอีเมลจาก facebookmail.com ➡️ หลอกผู้ใช้กรอกข้อมูล ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี https://www.techradar.com/
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • ข่าวการเดินทาง: ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบินทุกครั้งที่ขึ้นบิน

    หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าไม่เปิดโหมดเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?” บทความจาก SlashGear อธิบายว่า แม้ผลกระทบจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้สายการบินทั่วโลกยืนยันให้ผู้โดยสารเปิดโหมดนี้เสมอ.

    สัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้น
    โทรศัพท์ที่ไม่ได้เปิดโหมดเครื่องบินจะพยายามเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ ทำให้เกิด เสียงรบกวน (buzzing sound) ในหูฟังของนักบินและลูกเรือ หากมีหลายเครื่องทำพร้อมกัน อาจทำให้การสื่อสารในห้องนักบินไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายเมื่อมีคำสั่งสำคัญ.

    ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง (Radio Altimeter)
    นักวิชาการจาก University of Nevada อธิบายว่า เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Altimeter) เป็นอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะช่วงการลงจอดที่ต้องการข้อมูลความสูงที่แม่นยำที่สุด หากโทรศัพท์ส่งสัญญาณแรงขึ้นใกล้เสาสัญญาณภาคพื้นดิน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด.

    ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป
    ในยุโรปมีการอนุญาตให้ใช้ บริการ 5G บนเครื่องบิน เพราะใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ต่างจากสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กฎการเปิดโหมดเครื่องบินยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย.

    เหตุผลที่ต้องเปิดโหมดเครื่องบิน
    ลดความเสี่ยงสัญญาณรบกวนในห้องนักบิน
    ป้องกันการสื่อสารผิดพลาดระหว่างนักบินและลูกเรือ

    ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง
    Radio Altimeter อาจถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์
    เสี่ยงต่อความแม่นยำช่วงการลงจอด

    ความแตกต่างในยุโรป
    อนุญาตให้ใช้ 5G บนเครื่องบิน
    ใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ปลอดภัยกว่า

    แม้ความเสี่ยงจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะน้อย
    แต่หากหลายเครื่องไม่เปิดโหมดพร้อมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงจริง

    การไม่ปฏิบัติตามกฎอาจมีผลทางกฎหมาย
    ผู้โดยสารอาจถูกตักเตือนหรือปรับหากฝ่าฝืนข้อกำหนดของสายการบิน

    https://www.slashgear.com/2019375/what-happens-if-dont-put-phone-on-airplane-mode-during-fight/
    ✈️ ข่าวการเดินทาง: ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบินทุกครั้งที่ขึ้นบิน หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าไม่เปิดโหมดเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?” บทความจาก SlashGear อธิบายว่า แม้ผลกระทบจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้สายการบินทั่วโลกยืนยันให้ผู้โดยสารเปิดโหมดนี้เสมอ. 📡 สัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้น โทรศัพท์ที่ไม่ได้เปิดโหมดเครื่องบินจะพยายามเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ ทำให้เกิด เสียงรบกวน (buzzing sound) ในหูฟังของนักบินและลูกเรือ หากมีหลายเครื่องทำพร้อมกัน อาจทำให้การสื่อสารในห้องนักบินไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายเมื่อมีคำสั่งสำคัญ. 🛬 ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง (Radio Altimeter) นักวิชาการจาก University of Nevada อธิบายว่า เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Altimeter) เป็นอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะช่วงการลงจอดที่ต้องการข้อมูลความสูงที่แม่นยำที่สุด หากโทรศัพท์ส่งสัญญาณแรงขึ้นใกล้เสาสัญญาณภาคพื้นดิน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด. 🌍 ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ในยุโรปมีการอนุญาตให้ใช้ บริการ 5G บนเครื่องบิน เพราะใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ต่างจากสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กฎการเปิดโหมดเครื่องบินยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย. ✅ เหตุผลที่ต้องเปิดโหมดเครื่องบิน ➡️ ลดความเสี่ยงสัญญาณรบกวนในห้องนักบิน ➡️ ป้องกันการสื่อสารผิดพลาดระหว่างนักบินและลูกเรือ ✅ ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง ➡️ Radio Altimeter อาจถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์ ➡️ เสี่ยงต่อความแม่นยำช่วงการลงจอด ✅ ความแตกต่างในยุโรป ➡️ อนุญาตให้ใช้ 5G บนเครื่องบิน ➡️ ใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ปลอดภัยกว่า ‼️ แม้ความเสี่ยงจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะน้อย ⛔ แต่หากหลายเครื่องไม่เปิดโหมดพร้อมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงจริง ‼️ การไม่ปฏิบัติตามกฎอาจมีผลทางกฎหมาย ⛔ ผู้โดยสารอาจถูกตักเตือนหรือปรับหากฝ่าฝืนข้อกำหนดของสายการบิน https://www.slashgear.com/2019375/what-happens-if-dont-put-phone-on-airplane-mode-during-fight/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Happens If You Don't Put Your Phone On Airplane Mode During A Flight? - SlashGear
    The potential impact of one phone without airplane mode enabled on an aircraft is essentially negligible. Even with multiple phones, its risk is minimal.
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • ข่าวเทคโนโลยี: "qBittorrent 5.1.3 รองรับ Wayland แบบเนทีฟใน AppImage พร้อมแก้บั๊กเพียบ"
    ทีมพัฒนา qBittorrent ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ 5.1.3 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 5.1 โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ AppImage ทำงานได้แบบเนทีฟบน Wayland ทำให้ผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland สามารถใช้งานได้ราบรื่นขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง XWayland อีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กจำนวนมากที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น
    ปัญหา crash ที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชัน getrandom() บนบางระบบ Linux
    ปัญหา ลิงก์ Transifex ที่ไม่ถูกต้อง
    ปัญหา ปุ่ม “Save as .torrent file” แสดงก่อน metadata ถูกดึงมา
    Crash ที่เกิดจากการจัดการลำดับของ libtorrent alerts
    ปัญหา accessibility สำหรับ screen reader ใน torrent list
    ปัญหา HTTP header ที่กระทบ reverse proxy ใน WebUI

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น
    ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบ torrent
    ปรับปรุงการ autofill path suggestion ให้ใช้ native separator
    แก้ไขการตรวจจับภาษาใน macOS
    เพิ่มการแปล Catalan และ Kurdish ใน Windows installer
    ปรับปรุงระบบตรวจสอบอัปเดตบน Windows

    AppImage รองรับ Wayland แบบเนทีฟ
    ทำงานได้บน Linux ที่ใช้ Wayland โดยไม่ต้องพึ่ง XWayland
    เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งาน

    แก้ไขบั๊กจำนวนมาก
    Crash จาก getrandom() และ libtorrent alerts
    ปัญหาปุ่ม Save torrent file และ accessibility

    ปรับปรุงการทำงานทั่วไป
    ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบไฟล์
    ปรับปรุง WebUI และระบบตรวจสอบอัปเดต

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้
    แม้จะเสถียรขึ้น แต่ยังอาจพบบั๊กใหม่ใน Wayland เนื่องจากเพิ่งรองรับ
    ผู้ใช้ที่พึ่งพา plugin เสริมควรตรวจสอบความเข้ากันได้ก่อนอัปเดต

    https://9to5linux.com/qbittorrent-5-1-3-adds-native-wayland-support-to-the-appimage-fixes-more-bugs
    🌐 ข่าวเทคโนโลยี: "qBittorrent 5.1.3 รองรับ Wayland แบบเนทีฟใน AppImage พร้อมแก้บั๊กเพียบ" ทีมพัฒนา qBittorrent ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ 5.1.3 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 5.1 โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ AppImage ทำงานได้แบบเนทีฟบน Wayland ทำให้ผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland สามารถใช้งานได้ราบรื่นขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง XWayland อีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กจำนวนมากที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น 🪲 ปัญหา crash ที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชัน getrandom() บนบางระบบ Linux 🪲 ปัญหา ลิงก์ Transifex ที่ไม่ถูกต้อง 🪲 ปัญหา ปุ่ม “Save as .torrent file” แสดงก่อน metadata ถูกดึงมา 🪲 Crash ที่เกิดจากการจัดการลำดับของ libtorrent alerts 🪲 ปัญหา accessibility สำหรับ screen reader ใน torrent list 🪲 ปัญหา HTTP header ที่กระทบ reverse proxy ใน WebUI นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น 🔰 ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบ torrent 🔰 ปรับปรุงการ autofill path suggestion ให้ใช้ native separator 🔰 แก้ไขการตรวจจับภาษาใน macOS 🔰 เพิ่มการแปล Catalan และ Kurdish ใน Windows installer 🔰 ปรับปรุงระบบตรวจสอบอัปเดตบน Windows ✅ AppImage รองรับ Wayland แบบเนทีฟ ➡️ ทำงานได้บน Linux ที่ใช้ Wayland โดยไม่ต้องพึ่ง XWayland ➡️ เพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการใช้งาน ✅ แก้ไขบั๊กจำนวนมาก ➡️ Crash จาก getrandom() และ libtorrent alerts ➡️ ปัญหาปุ่ม Save torrent file และ accessibility ✅ ปรับปรุงการทำงานทั่วไป ➡️ ไม่ทิ้งโฟลเดอร์ว่างเมื่อย้ายหรือลบไฟล์ ➡️ ปรับปรุง WebUI และระบบตรวจสอบอัปเดต ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ ⛔ แม้จะเสถียรขึ้น แต่ยังอาจพบบั๊กใหม่ใน Wayland เนื่องจากเพิ่งรองรับ ⛔ ผู้ใช้ที่พึ่งพา plugin เสริมควรตรวจสอบความเข้ากันได้ก่อนอัปเดต https://9to5linux.com/qbittorrent-5-1-3-adds-native-wayland-support-to-the-appimage-fixes-more-bugs
    9TO5LINUX.COM
    qBittorrent 5.1.3 Adds Native Wayland Support to the AppImage, Fixes More Bugs - 9to5Linux
    qBittorrent 5.1.3 open-source BitTorrent client is now available for download with various bug fixes and improvements.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์

    Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต

    Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ:
    แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต
    บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ
    ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์
    ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที

    ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา

    แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน
    หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที
    เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา

    Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่
    ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์

    เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ
    แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา

    การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร
    NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest

    รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม
    หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์

    https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    🎙️ ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์ Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ: 🔰 แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต 🔰 บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ 🔰 ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์ 🔰 ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล 💠 Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน 💠 หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที 💠 เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา ✅ Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่ ➡️ ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ ✅ เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ ➡️ แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา ✅ การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร ➡️ NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ✅ รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม ⛔ หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Broadcom & CAMB.AI Developing AI Chip for Real-Time On-Device Dubbing
    Broadcom partnered with CAMB.AI to develop an AI chip for real-time, on-device audio translation and dubbing in 150+ languages, promising ultra-low latency.
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร

    Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026

    Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่

    หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock"
    ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store

    Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง

    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน
    ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ
    การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา
    มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น

    Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock
    ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น

    เกณฑ์การตรวจสอบ
    หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์
    หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน

    ข้อยกเว้นบางกรณี
    แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์

    วันบังคับใช้
    เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป
    แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store
    อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก

    https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    🔋 ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026 Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่ 🔰 หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock" 🔰 ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน 💠 ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ 💠 การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา 💠 มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น ✅ Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock ➡️ ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น ✅ เกณฑ์การตรวจสอบ ➡️ หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ ➡️ หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน ✅ ข้อยกเว้นบางกรณี ➡️ แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์ ✅ วันบังคับใช้ ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026 ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป ⛔ แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store ⛔ อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Android Rule: Google to Flag Battery-Draining Apps on Play Store Listings
    Google launches the "Excessive Wake Lock" metric. Apps that overuse wake locks (over 2 hours in 24 hrs) will get a red battery drain warning on the Play Store starting Mar 2026.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: พบช่องโหว่ Authentication Bypass ร้ายแรงใน Milvus Proxy

    ทีมพัฒนา Milvus ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเวกเตอร์โอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำงานด้าน AI, Recommendation Systems และ Semantic Search ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64513 ในส่วน Proxy Component โดยมีคะแนนความร้ายแรง CVSS 9.3

    รายละเอียดช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้เกิดจาก การตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถ ข้ามขั้นตอนการยืนยันตัวตนทั้งหมด ได้
    เมื่อถูกโจมตีสำเร็จ แฮกเกอร์สามารถ:
    อ่าน, แก้ไข, หรือลบข้อมูลเวกเตอร์และเมตาดาต้า
    ทำการจัดการฐานข้อมูล เช่น สร้างหรือลบ collections และ databases
    ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของโมเดล AI ที่ใช้ Milvus ในการทำ inference หรือ retrieval

    การแก้ไขและการป้องกัน
    ทีม Milvus ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน:
    2.4.24 สำหรับ branch 2.4.x
    2.5.21 สำหรับ branch 2.5.x
    2.6.5 สำหรับ branch 2.6.x

    สำหรับผู้ที่ไม่สามารถอัปเดตได้ทันที มี วิธีแก้ชั่วคราว โดยการ กรองหรือเอา header sourceID ออกจากทุก request ก่อนถึง Milvus Proxy

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    เนื่องจาก Milvus มักถูกใช้งานในระบบ AI-driven applications หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่:
    Data Poisoning (การบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำให้โมเดล AI ให้ผลลัพธ์ผิดพลาด)
    Model Manipulation (การควบคุมหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของโมเดล)
    Service Disruption (หยุดการทำงานของระบบ AI หรือ Search Engine ที่ใช้ Milvus)

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64513
    Authentication Bypass ใน Milvus Proxy
    ระดับความร้ายแรง CVSS 9.3
    เปิดทางให้ทำการควบคุมระบบเต็มรูปแบบ

    การแก้ไขจาก Milvus
    ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2.4.24, 2.5.21 และ 2.6.5
    มีวิธีแก้ชั่วคราวโดยการลบ header sourceID

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    Data Poisoning
    Model Manipulation
    Service Disruption

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Milvus
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและสูญเสียการควบคุมระบบ
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือบิดเบือนข้อมูล AI
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    https://securityonline.info/critical-authentication-bypass-vulnerability-found-in-milvus-proxy-cve-2025-64513-cvss-9-3/
    🔐 ข่าวด่วน: พบช่องโหว่ Authentication Bypass ร้ายแรงใน Milvus Proxy ทีมพัฒนา Milvus ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเวกเตอร์โอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำงานด้าน AI, Recommendation Systems และ Semantic Search ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64513 ในส่วน Proxy Component โดยมีคะแนนความร้ายแรง CVSS 9.3 📌 รายละเอียดช่องโหว่ 🪲 ช่องโหว่นี้เกิดจาก การตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้โจมตีสามารถ ข้ามขั้นตอนการยืนยันตัวตนทั้งหมด ได้ 🪲 เมื่อถูกโจมตีสำเร็จ แฮกเกอร์สามารถ: ➡️ อ่าน, แก้ไข, หรือลบข้อมูลเวกเตอร์และเมตาดาต้า ➡️ ทำการจัดการฐานข้อมูล เช่น สร้างหรือลบ collections และ databases ➡️ ส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของโมเดล AI ที่ใช้ Milvus ในการทำ inference หรือ retrieval 🛠️ การแก้ไขและการป้องกัน ทีม Milvus ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน: 🪛 2.4.24 สำหรับ branch 2.4.x 🪛 2.5.21 สำหรับ branch 2.5.x 🪛 2.6.5 สำหรับ branch 2.6.x สำหรับผู้ที่ไม่สามารถอัปเดตได้ทันที มี วิธีแก้ชั่วคราว โดยการ กรองหรือเอา header sourceID ออกจากทุก request ก่อนถึง Milvus Proxy 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ เนื่องจาก Milvus มักถูกใช้งานในระบบ AI-driven applications หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่: ➡️ Data Poisoning (การบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำให้โมเดล AI ให้ผลลัพธ์ผิดพลาด) ➡️ Model Manipulation (การควบคุมหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของโมเดล) ➡️ Service Disruption (หยุดการทำงานของระบบ AI หรือ Search Engine ที่ใช้ Milvus) ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64513 ➡️ Authentication Bypass ใน Milvus Proxy ➡️ ระดับความร้ายแรง CVSS 9.3 ➡️ เปิดทางให้ทำการควบคุมระบบเต็มรูปแบบ ✅ การแก้ไขจาก Milvus ➡️ ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2.4.24, 2.5.21 และ 2.6.5 ➡️ มีวิธีแก้ชั่วคราวโดยการลบ header sourceID ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ Data Poisoning ➡️ Model Manipulation ➡️ Service Disruption ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Milvus ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและสูญเสียการควบคุมระบบ ⛔ เสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือบิดเบือนข้อมูล AI ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร https://securityonline.info/critical-authentication-bypass-vulnerability-found-in-milvus-proxy-cve-2025-64513-cvss-9-3/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Authentication Bypass Vulnerability Found in Milvus Proxy (CVE-2025-64513, CVSS 9.3)
    A Critical (CVSS 9.3) Auth Bypass flaw (CVE-2025-64513) in Milvus Proxy allows unauthenticated attackers to gain full administrative control over the vector database cluster. Update to v2.6.5.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: Chrome ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ช่องโหว่ V8 ร้ายแรง
    Google ประกาศอัปเดต Chrome Stable Channel เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 JavaScript Engine ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการประมวลผลโค้ดของเว็บเพจ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13042 โดยมีความเสี่ยงสูงถึงขั้น Remote Code Execution (RCE) ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายบนเครื่องเหยื่อได้

    รายละเอียดช่องโหว่
    ช่องโหว่เกิดจาก “inappropriate implementation” ใน V8 ซึ่งอาจนำไปสู่ type confusion, memory corruption และการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต
    แม้ Google ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิค แต่ช่องโหว่ลักษณะนี้เคยถูกใช้ในการโจมตีจริง เช่น sandbox escape และ watering hole attacks
    ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานการโจมตีในวงกว้าง แต่ประวัติที่ผ่านมา ช่องโหว่ V8 มักเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์

    การแก้ไข
    Google ได้ปล่อยแพตช์ในเวอร์ชัน 142.0.7444.162/.163 สำหรับ Windows, macOS และ Linux
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชันได้ที่ chrome://settings/help และควรรีบอัปเดตทันที

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    ช่องโหว่ใน V8 ถือเป็น high-value target เพราะสามารถใช้โจมตีแบบ zero-day ได้
    หากไม่อัปเดต อุปกรณ์อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร หรือแพร่มัลแวร์ต่อไป

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-13042
    พบใน V8 JavaScript Engine ของ Chrome
    เสี่ยงต่อการเกิด Remote Code Execution (RCE)
    อาจนำไปสู่ memory corruption และ sandbox escape

    การแก้ไขจาก Google
    ออกแพตช์ใน Chrome เวอร์ชัน 142.0.7444.162/.163
    รองรับ Windows, macOS และ Linux

    ความสำคัญของการอัปเดต
    ช่องโหว่ V8 มักเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์
    การอัปเดตช่วยลดความเสี่ยงจาก zero-day exploit

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Chrome
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจากระยะไกล
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่าย
    อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลหรือแพร่มัลแวร์

    https://securityonline.info/chrome-emergency-fix-high-severity-v8-flaw-cve-2025-13042-risks-remote-code-execution/
    🚨 ข่าวด่วน: Chrome ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ช่องโหว่ V8 ร้ายแรง Google ประกาศอัปเดต Chrome Stable Channel เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 JavaScript Engine ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการประมวลผลโค้ดของเว็บเพจ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13042 โดยมีความเสี่ยงสูงถึงขั้น Remote Code Execution (RCE) ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายบนเครื่องเหยื่อได้ 📌 รายละเอียดช่องโหว่ 🪲 ช่องโหว่เกิดจาก “inappropriate implementation” ใน V8 ซึ่งอาจนำไปสู่ type confusion, memory corruption และการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต 🪲 แม้ Google ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิค แต่ช่องโหว่ลักษณะนี้เคยถูกใช้ในการโจมตีจริง เช่น sandbox escape และ watering hole attacks 🪲 ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานการโจมตีในวงกว้าง แต่ประวัติที่ผ่านมา ช่องโหว่ V8 มักเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ 🛠️ การแก้ไข 🔨 Google ได้ปล่อยแพตช์ในเวอร์ชัน 142.0.7444.162/.163 สำหรับ Windows, macOS และ Linux 🔨 ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชันได้ที่ chrome://settings/help และควรรีบอัปเดตทันที 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ 🔰 ช่องโหว่ใน V8 ถือเป็น high-value target เพราะสามารถใช้โจมตีแบบ zero-day ได้ 🔰 หากไม่อัปเดต อุปกรณ์อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร หรือแพร่มัลแวร์ต่อไป ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-13042 ➡️ พบใน V8 JavaScript Engine ของ Chrome ➡️ เสี่ยงต่อการเกิด Remote Code Execution (RCE) ➡️ อาจนำไปสู่ memory corruption และ sandbox escape ✅ การแก้ไขจาก Google ➡️ ออกแพตช์ใน Chrome เวอร์ชัน 142.0.7444.162/.163 ➡️ รองรับ Windows, macOS และ Linux ✅ ความสำคัญของการอัปเดต ➡️ ช่องโหว่ V8 มักเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ ➡️ การอัปเดตช่วยลดความเสี่ยงจาก zero-day exploit ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Chrome ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจากระยะไกล ⛔ เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่าย ⛔ อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลหรือแพร่มัลแวร์ https://securityonline.info/chrome-emergency-fix-high-severity-v8-flaw-cve-2025-13042-risks-remote-code-execution/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome Emergency Fix: High-Severity V8 Flaw (CVE-2025-13042) Risks Remote Code Execution
    Google released an urgent Chrome update (v142.0.7444.162) patching a High-severity V8 flaw (CVE-2025-13042). The "inappropriate implementation" issue risks remote code execution. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • "TSMC 3nm ใกล้เต็มกำลังผลิตปี 2026" — ความต้องการสูงจนกลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส

    รายงานล่าสุดเผยว่า TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากความต้องการชิป 3nm จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น NVIDIA, Apple, Qualcomm, MediaTek สูงเกินกว่าที่จะรองรับได้

    รายละเอียดจากรายงาน
    นักวิเคราะห์คาดว่า กำลังการผลิต 3nm จะเกือบเต็มภายในปี 2026
    TSMC พยายามแก้ปัญหาโดย ปรับสายการผลิตเดิม เช่น
    แปลงสายผลิต 4nm ให้รองรับ 3nm เพิ่ม ~25,000 wafer ต่อเดือน
    นำสาย N6 และ N7 ที่ว่างงานมาใช้ในกระบวนการ back-end ของ 3nm เพิ่มอีก 5,000–10,000 wafer
    เดิมคาดว่าจะผลิตได้ 160,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2025 แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 140,000–145,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2026
    ลูกค้าบางรายยอมจ่าย แพงขึ้น 50–100% เพื่อให้ได้ “hot run” หรือการผลิตเร่งด่วน แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด
    ผลลัพธ์คือ กำไรขั้นต้นของ TSMC พุ่งเกิน 60% และยังมีแนวโน้มขึ้นราคาชิปอีก 10%

    บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก
    ความต้องการชิป 3nm ส่วนใหญ่เกิดจาก AI และ GPU รุ่นใหม่ ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูงมาก
    NVIDIA เองถึงกับขอให้ TSMC ขยายกำลังผลิตเป็น 160,000 wafer/เดือน เพื่อรองรับ GPU รุ่น Rubin และการใช้งาน AI
    ขณะเดียวกัน TSMC ยังต้องเตรียมสายการผลิตสำหรับ ชิป 2nm (N2 และ A16) ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025
    การแข่งขันกับ Samsung และ Intel Foundry ยังคงดำเนินต่อ แต่ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยสัดส่วนมหาศาล

    https://wccftech.com/tsmc-3nm-production-capacity-to-almost-reach-limit-by-2026/
    🏭⚡ "TSMC 3nm ใกล้เต็มกำลังผลิตปี 2026" — ความต้องการสูงจนกลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส รายงานล่าสุดเผยว่า TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากความต้องการชิป 3nm จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น NVIDIA, Apple, Qualcomm, MediaTek สูงเกินกว่าที่จะรองรับได้ 🔧 รายละเอียดจากรายงาน 🎗️ นักวิเคราะห์คาดว่า กำลังการผลิต 3nm จะเกือบเต็มภายในปี 2026 🎗️ TSMC พยายามแก้ปัญหาโดย ปรับสายการผลิตเดิม เช่น 💠 แปลงสายผลิต 4nm ให้รองรับ 3nm เพิ่ม ~25,000 wafer ต่อเดือน 💠 นำสาย N6 และ N7 ที่ว่างงานมาใช้ในกระบวนการ back-end ของ 3nm เพิ่มอีก 5,000–10,000 wafer 🎗️ เดิมคาดว่าจะผลิตได้ 160,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2025 แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 140,000–145,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2026 🎗️ ลูกค้าบางรายยอมจ่าย แพงขึ้น 50–100% เพื่อให้ได้ “hot run” หรือการผลิตเร่งด่วน แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด 🎗️ ผลลัพธ์คือ กำไรขั้นต้นของ TSMC พุ่งเกิน 60% และยังมีแนวโน้มขึ้นราคาชิปอีก 10% 🌍 บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก 🎗️ ความต้องการชิป 3nm ส่วนใหญ่เกิดจาก AI และ GPU รุ่นใหม่ ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูงมาก 🎗️ NVIDIA เองถึงกับขอให้ TSMC ขยายกำลังผลิตเป็น 160,000 wafer/เดือน เพื่อรองรับ GPU รุ่น Rubin และการใช้งาน AI 🎗️ ขณะเดียวกัน TSMC ยังต้องเตรียมสายการผลิตสำหรับ ชิป 2nm (N2 และ A16) ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025 🎗️ การแข่งขันกับ Samsung และ Intel Foundry ยังคงดำเนินต่อ แต่ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยสัดส่วนมหาศาล https://wccftech.com/tsmc-3nm-production-capacity-to-almost-reach-limit-by-2026/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s 3nm Capacity Will Almost Reach Its Limit By 2026, Analysts Say Existing Production Lines For Older Nodes Are Being Converted, With Gross Margin To Exceed 60%
    The insanely high demand for TSMC’s 3nm process means that capacity will nearly its limit by next year, with the company scrambling to make adjustments
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • "จาก PDP-11 สู่ Mac Pro M2 Ultra" — 200,000 เท่าความเร็วใน 47 ปี
    Dave Plummer นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้มีชื่อเสียงในวงการ Windows ได้ทำการทดสอบ Dhrystone 2.2 Benchmark แบบ single-threaded กับคอมพิวเตอร์ที่เขาสะสมไว้กว่า 25 เครื่อง ตั้งแต่ DEC PDP-11/34 (1976) ไปจนถึง Apple Mac Pro M2 Ultra (2023)

    ผลลัพธ์คือความแตกต่างที่น่าทึ่ง:
    PDP-11/34 ทำคะแนนเพียง 240 Dhrystones
    Mac Pro M2 Ultra ทำคะแนนสูงถึง 47,808,764 Dhrystones
    รวมแล้วความเร็วต่างกันถึง 200,000 เท่า

    รายละเอียดที่น่าสนใจ
    Amiga 500 (1980s) เป็นเครื่องที่ช้าที่สุดรองจาก PDP-11 ได้คะแนนเพียง 1,000
    การพัฒนา CPU ของ Intel จาก i486 สู่ Pentium ทำให้คะแนนพุ่งจาก 30,000 ไปถึง 2,500,000 ภายในทศวรรษเดียว
    Raspberry Pi 4B ทำคะแนนได้เกือบ 10,000,000 ซึ่งเร็วกว่าชิป Pentium 4 ที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาเท่ากันถึง 4 เท่า
    จุดสูงสุดของการทดสอบคือ Ryzen Threadripper PRO 7995WX และ Mac Pro M2 Ultra ที่ครองตำแหน่ง CPU ระดับท็อป

    บริบทเพิ่มเติม
    Dhrystone Benchmark เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ integer ที่เก่าแก่และไม่ใช้การประมวลผลแบบหลายคอร์หรือคำสั่งเวกเตอร์สมัยใหม่ เช่น AVX-512
    นั่นหมายความว่าความแตกต่างจริง ๆ อาจมากกว่าที่เห็น เพราะ CPU รุ่นใหม่มีความสามารถด้าน multi-thread และ vectorization ที่ไม่ได้ถูกวัดในการทดสอบนี้
    แม้ Amiga 500 จะช้าใน benchmark แต่ผู้ใช้บางคนชี้ว่าเครื่องสามารถเปิดโปรแกรม word processor ได้เร็วกว่า PC สมัยใหม่ที่ต้องโหลดระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์จำนวนมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/veteran-devs-newest-computer-is-200-000-times-faster-than-his-oldest-in-custom-benchmarks-single-thread-dhrystone-performance-charted-across-25-systems-released-between-1976-and-2023
    ⚙️📈 "จาก PDP-11 สู่ Mac Pro M2 Ultra" — 200,000 เท่าความเร็วใน 47 ปี Dave Plummer นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้มีชื่อเสียงในวงการ Windows ได้ทำการทดสอบ Dhrystone 2.2 Benchmark แบบ single-threaded กับคอมพิวเตอร์ที่เขาสะสมไว้กว่า 25 เครื่อง ตั้งแต่ DEC PDP-11/34 (1976) ไปจนถึง Apple Mac Pro M2 Ultra (2023) ผลลัพธ์คือความแตกต่างที่น่าทึ่ง: 🎗️ PDP-11/34 ทำคะแนนเพียง 240 Dhrystones 🎗️ Mac Pro M2 Ultra ทำคะแนนสูงถึง 47,808,764 Dhrystones 🎗️ รวมแล้วความเร็วต่างกันถึง 200,000 เท่า 🔧 รายละเอียดที่น่าสนใจ 🎗️ Amiga 500 (1980s) เป็นเครื่องที่ช้าที่สุดรองจาก PDP-11 ได้คะแนนเพียง 1,000 🎗️ การพัฒนา CPU ของ Intel จาก i486 สู่ Pentium ทำให้คะแนนพุ่งจาก 30,000 ไปถึง 2,500,000 ภายในทศวรรษเดียว 🎗️ Raspberry Pi 4B ทำคะแนนได้เกือบ 10,000,000 ซึ่งเร็วกว่าชิป Pentium 4 ที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาเท่ากันถึง 4 เท่า 🎗️ จุดสูงสุดของการทดสอบคือ Ryzen Threadripper PRO 7995WX และ Mac Pro M2 Ultra ที่ครองตำแหน่ง CPU ระดับท็อป 🌍 บริบทเพิ่มเติม 🎗️ Dhrystone Benchmark เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ integer ที่เก่าแก่และไม่ใช้การประมวลผลแบบหลายคอร์หรือคำสั่งเวกเตอร์สมัยใหม่ เช่น AVX-512 🎗️ นั่นหมายความว่าความแตกต่างจริง ๆ อาจมากกว่าที่เห็น เพราะ CPU รุ่นใหม่มีความสามารถด้าน multi-thread และ vectorization ที่ไม่ได้ถูกวัดในการทดสอบนี้ 🎗️ แม้ Amiga 500 จะช้าใน benchmark แต่ผู้ใช้บางคนชี้ว่าเครื่องสามารถเปิดโปรแกรม word processor ได้เร็วกว่า PC สมัยใหม่ที่ต้องโหลดระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์จำนวนมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/veteran-devs-newest-computer-is-200-000-times-faster-than-his-oldest-in-custom-benchmarks-single-thread-dhrystone-performance-charted-across-25-systems-released-between-1976-and-2023
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews

  • Psychology is a fascinating field that explores human behavior, cognition, and emotions. Students studying psychology often face challenging assignments that require critical thinking, research skills, and the ability to analyze complex theories. From writing essays on developmental psychology to analyzing case studies in clinical psychology, these tasks demand both precision and creativity. https://myassignmenthelp.com/uk/psychology-assignment-help.html

    Many students seek **help with psychology assignment** to navigate these challenges efficiently. Professional support provides guidance on structuring assignments, conducting thorough research, and presenting findings clearly. It also helps students understand complicated psychological theories, apply them to real-life scenarios, and ensure proper referencing and formatting according to academic standards. This kind of assistance allows learners to submit high-quality work while enhancing their knowledge and confidence in the subject.
    Psychology is a fascinating field that explores human behavior, cognition, and emotions. Students studying psychology often face challenging assignments that require critical thinking, research skills, and the ability to analyze complex theories. From writing essays on developmental psychology to analyzing case studies in clinical psychology, these tasks demand both precision and creativity. https://myassignmenthelp.com/uk/psychology-assignment-help.html Many students seek **help with psychology assignment** to navigate these challenges efficiently. Professional support provides guidance on structuring assignments, conducting thorough research, and presenting findings clearly. It also helps students understand complicated psychological theories, apply them to real-life scenarios, and ensure proper referencing and formatting according to academic standards. This kind of assistance allows learners to submit high-quality work while enhancing their knowledge and confidence in the subject.
    Psychology Assignment Help UK – Expert UK Writers - £9/page
    Get psychology assignment help in the UK at affordable price. Expert UK writers deliver high-quality, plagiarism-free work with fast turnarounds.
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    คดีจิ๋ว:



    เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง

    ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ
    เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์

    ```mermaid
    graph TB
    A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่]
    B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม]
    C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์]
    D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว]
    ```

    การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม

    หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น:
    "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ!
    มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!"

    เบื้องหลังเทพระดับอะตอม

    อาณาจักรแห่งควอนตัม

    เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค

    ```python
    class QuantumDeities:
    def __init__(self):
    self.factions = {
    "proton_kingdom": {
    "ruler": "พระเจ้าประจุบวก",
    "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน",
    "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"]
    },
    "electron_tribe": {
    "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน",
    "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว",
    "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"]
    },
    "neutron_clan": {
    "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน",
    "appearance": "สีเทาเงียบขรึม",
    "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"]
    }
    }

    self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร"
    ```

    พลังแห่งเทพระดับอะตอม

    เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์:

    · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว
    · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
    · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน

    มหาสงครามระดับอนุภาค

    สนามรบในโลกมนุษย์

    สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก:

    ```mermaid
    graph LR
    A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย]
    B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน]
    C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว]
    ```

    เหตุการณ์วุ่นวาย

    ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด:

    · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ
    · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ
    · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ

    กระบวนการแก้ไขปัญหา

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว:
    "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก
    ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม"

    การเจรจาสันติภาพ

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม:

    · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ
    · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์

    ข้อเสนอแก้ไข

    หนูดีเสนอระบบใหม่:

    ```python
    class QuantumPeacePlan:
    def __init__(self):
    self.power_sharing = {
    "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง",
    "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว",
    "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย"
    }

    self.cooperation_system = [
    "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล",
    "สภาผู้นำสามอาณาจักร",
    "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม",
    "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม"
    ]
    ```

    การจัดระเบียบใหม่

    สนธิสัญญาควอนตัม

    มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร:

    · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม
    · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน
    · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต

    บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว

    เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน
    · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี
    · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ

    ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์

    ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

    การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่:

    ```mermaid
    graph TB
    A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น]
    B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์]
    C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย]
    ```

    การประยุกต์ใช้

    หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า:

    · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม
    · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้
    · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ

    การแพทย์รูปแบบใหม่

    เทคนิคการรักษาระดับอะตอม

    พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว:

    · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน
    · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน
    · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน

    โครงการบำบัดใหม่

    ```python
    class AtomicTherapy:
    def __init__(self):
    self.therapies = {
    "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล",
    "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA",
    "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย",
    "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม"
    }

    self.collaborators = [
    "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง",
    "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร",
    "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้การควบคุม
    แต่คือการทำงานร่วมกัน

    และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์...
    ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเรียนรู้ว่า...
    ความขัดแย้งมีทุกระดับ
    ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ
    จนถึงสงครามระหว่างอะตอม

    และการแก้ไขที่แท้จริง...
    ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด
    อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด

    และการเป็นตำรวจ...
    หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ"

    ระบบใหม่แห่งควอนตัม

    ความร่วมมือถาวร

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม:

    · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร
    · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว
    · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ

    ความสำเร็จ

    หลังการแก้ไขปัญหา:

    · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ
    · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ
    · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราเรียนรู้ว่า...
    ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง
    และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ

    เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน...
    ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"

    การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า...
    "From the smallest quark to the largest galaxy,
    the principles of harmony remain the same
    And in understanding the quantum world,
    we understand the very fabric of existence"
    O.P.K. ⚛️ คดีจิ๋ว: 🔬 เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ ```mermaid graph TB A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่] B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม] C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์] D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว] ``` 🎭 การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น: "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ! มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!" 👑 เบื้องหลังเทพระดับอะตอม 💫 อาณาจักรแห่งควอนตัม เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค ```python class QuantumDeities: def __init__(self): self.factions = { "proton_kingdom": { "ruler": "พระเจ้าประจุบวก", "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน", "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"] }, "electron_tribe": { "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน", "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว", "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"] }, "neutron_clan": { "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน", "appearance": "สีเทาเงียบขรึม", "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"] } } self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร" ``` ⚡ พลังแห่งเทพระดับอะตอม เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์: · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน 🌪️ มหาสงครามระดับอนุภาค 🎯 สนามรบในโลกมนุษย์ สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก: ```mermaid graph LR A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย] B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน] C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว] ``` 🔥 เหตุการณ์วุ่นวาย ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด: · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ 💞 กระบวนการแก้ไขปัญหา 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว: "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม" 🌈 การเจรจาสันติภาพ หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม: · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ 🎯 ข้อเสนอแก้ไข หนูดีเสนอระบบใหม่: ```python class QuantumPeacePlan: def __init__(self): self.power_sharing = { "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง", "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว", "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย" } self.cooperation_system = [ "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล", "สภาผู้นำสามอาณาจักร", "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม", "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม" ] ``` 🏛️ การจัดระเบียบใหม่ 💫 สนธิสัญญาควอนตัม มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร: · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต 🌟 บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ 🔬 ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ 🎓 ความรู้ใหม่ที่ได้รับ การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่: ```mermaid graph TB A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น] B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์] C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย] ``` 💡 การประยุกต์ใช้ หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า: · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้ · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ 🏥 การแพทย์รูปแบบใหม่ 🌈 เทคนิคการรักษาระดับอะตอม พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว: · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน 💊 โครงการบำบัดใหม่ ```python class AtomicTherapy: def __init__(self): self.therapies = { "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล", "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA", "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย", "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม" } self.collaborators = [ "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง", "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร", "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้การควบคุม แต่คือการทำงานร่วมกัน และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์... ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเรียนรู้ว่า... ความขัดแย้งมีทุกระดับ ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ จนถึงสงครามระหว่างอะตอม และการแก้ไขที่แท้จริง... ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด และการเป็นตำรวจ... หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ" 🌟 ระบบใหม่แห่งควอนตัม 💞 ความร่วมมือถาวร สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม: · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ 🏆 ความสำเร็จ หลังการแก้ไขปัญหา: · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราเรียนรู้ว่า... ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน... ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"⚛️✨ การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า... "From the smallest quark to the largest galaxy, the principles of harmony remain the same And in understanding the quantum world, we understand the very fabric of existence"🌌🌈
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • หุ่นยนต์พูดได้ในมือคุณ: ใช้ AI Chatbot แบบไม่ต้องต่อเน็ตบน iPhone

    ลองจินตนาการว่าคุณสามารถพูดคุยกับ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล และยังสามารถปรับแต่งให้มันเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจคุณได้เต็มที่ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วบน iPhone!

    เรื่องเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
    AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Gemini นั้นทรงพลังก็จริง แต่การที่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ข้อมูลของเราปลอดภัยแค่ไหน?” นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Chatbot แบบออฟไลน์ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปไหนเลย

    แอป Private LLM: เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นเครื่องมือ AI ส่วนตัว
    แอปชื่อว่า “Private LLM” บน App Store คือคำตอบของคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้งเสร็จ
    มีโมเดลให้เลือกหลากหลาย เช่น Llama ของ Meta, Gemma ของ Google และ Mistral
    สามารถปรับแต่ง “system prompt” เพื่อกำหนดบุคลิกและหน้าที่ของ AI ได้ตามใจ
    ใช้พลังของ Neural Engine ใน iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สามารถรันโมเดลที่ซับซ้อนได้

    ปรับแต่งได้ลึก: ตั้งค่าอุณหภูมิความคิดของ AI
    ในแอปนี้ คุณสามารถปรับ “sampling temperature” ซึ่งเป็นค่าที่กำหนดว่า AI จะคิดแบบสร้างสรรค์แค่ไหน:
    ค่าสูง (ใกล้ 1) = คำตอบมีความคิดสร้างสรรค์และหลากหลาย
    ค่าต่ำ (ใกล้ 0) = คำตอบมีความแม่นยำและตรงประเด็น เหมาะกับงานวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด

    การใช้งาน Private LLM บน iPhone
    ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้ง
    ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
    รองรับโมเดลหลากหลาย เช่น Llama, Gemma, Mistral
    ปรับแต่ง system prompt ได้ตามต้องการ
    ใช้งานได้บน iPhone, iPad และ Mac ด้วยการซื้อครั้งเดียว

    การเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสม
    โมเดลขนาดเล็ก (เช่น StableLM 2 ขนาด 1.6B) ทำงานเร็วกว่า
    โมเดลขนาดใหญ่ (เช่น Llama 3.1 ขนาด 8B) ให้ผลลัพธ์ซับซ้อนแต่ช้ากว่า

    การปรับค่า temperature เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI
    ค่าสูง = คำตอบสร้างสรรค์ เหมาะกับบทสนทนา
    ค่าต่ำ = คำตอบแม่นยำ เหมาะกับงานวิเคราะห์

    คำเตือนเรื่องการเลือกโมเดล
    โมเดลขนาดใหญ่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก และอาจทำให้เครื่องช้าลง
    ต้องมีพื้นที่ว่างหลาย GB เพื่อดาวน์โหลดโมเดล

    คำเตือนเรื่องการตั้งค่า temperature
    ค่าสูงเกินไปอาจทำให้คำตอบไม่แม่นยำ
    ค่าต่ำเกินไปอาจทำให้คำตอบดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ

    https://www.slashgear.com/2006210/how-to-run-ai-chatbot-iphone-locally-guide/
    🧠📱 หุ่นยนต์พูดได้ในมือคุณ: ใช้ AI Chatbot แบบไม่ต้องต่อเน็ตบน iPhone ลองจินตนาการว่าคุณสามารถพูดคุยกับ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล และยังสามารถปรับแต่งให้มันเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจคุณได้เต็มที่ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วบน iPhone! 🎬 เรื่องเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว AI Chatbot อย่าง ChatGPT หรือ Gemini นั้นทรงพลังก็จริง แต่การที่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ข้อมูลของเราปลอดภัยแค่ไหน?” นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Chatbot แบบออฟไลน์ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปไหนเลย 📲 แอป Private LLM: เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นเครื่องมือ AI ส่วนตัว แอปชื่อว่า “Private LLM” บน App Store คือคำตอบของคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและอิสระในการใช้งาน AI โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้งเสร็จ 🔰 มีโมเดลให้เลือกหลากหลาย เช่น Llama ของ Meta, Gemma ของ Google และ Mistral 🔰 สามารถปรับแต่ง “system prompt” เพื่อกำหนดบุคลิกและหน้าที่ของ AI ได้ตามใจ 🔰 ใช้พลังของ Neural Engine ใน iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สามารถรันโมเดลที่ซับซ้อนได้ 🔧 ปรับแต่งได้ลึก: ตั้งค่าอุณหภูมิความคิดของ AI ในแอปนี้ คุณสามารถปรับ “sampling temperature” ซึ่งเป็นค่าที่กำหนดว่า AI จะคิดแบบสร้างสรรค์แค่ไหน: 🔰 ค่าสูง (ใกล้ 1) = คำตอบมีความคิดสร้างสรรค์และหลากหลาย 🔰 ค่าต่ำ (ใกล้ 0) = คำตอบมีความแม่นยำและตรงประเด็น เหมาะกับงานวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด ✅ การใช้งาน Private LLM บน iPhone ➡️ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากติดตั้ง ➡️ ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ➡️ รองรับโมเดลหลากหลาย เช่น Llama, Gemma, Mistral ➡️ ปรับแต่ง system prompt ได้ตามต้องการ ➡️ ใช้งานได้บน iPhone, iPad และ Mac ด้วยการซื้อครั้งเดียว ✅ การเลือกโมเดล AI ที่เหมาะสม ➡️ โมเดลขนาดเล็ก (เช่น StableLM 2 ขนาด 1.6B) ทำงานเร็วกว่า ➡️ โมเดลขนาดใหญ่ (เช่น Llama 3.1 ขนาด 8B) ให้ผลลัพธ์ซับซ้อนแต่ช้ากว่า ✅ การปรับค่า temperature เพื่อควบคุมพฤติกรรม AI ➡️ ค่าสูง = คำตอบสร้างสรรค์ เหมาะกับบทสนทนา ➡️ ค่าต่ำ = คำตอบแม่นยำ เหมาะกับงานวิเคราะห์ ‼️ คำเตือนเรื่องการเลือกโมเดล ⛔ โมเดลขนาดใหญ่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก และอาจทำให้เครื่องช้าลง ⛔ ต้องมีพื้นที่ว่างหลาย GB เพื่อดาวน์โหลดโมเดล ‼️ คำเตือนเรื่องการตั้งค่า temperature ⛔ ค่าสูงเกินไปอาจทำให้คำตอบไม่แม่นยำ ⛔ ค่าต่ำเกินไปอาจทำให้คำตอบดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ https://www.slashgear.com/2006210/how-to-run-ai-chatbot-iphone-locally-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Run An AI Chatbot Locally On Your iPhone - SlashGear
    AI chatbots are increasingly popular, but several users have privacy concerns. If you want to avoid the risk, there are ways to run your own locally.
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • "XSLT ถูก Google ประกาศฆ่าอย่างเป็นทางการ — เทคโนโลยีเก่าที่ถูกลืม หรือการควบคุมเว็บอย่างแยบยล? "

    เว็บไซต์ XSLT.RIP ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า “If you're reading this, XSLT was killed by Google” พร้อมคำไว้อาลัยสั้น ๆ ว่า “Thoughts and prayers. Rest in peace.” — เป็นการไว้อาลัยให้กับเทคโนโลยี XSLT ที่กำลังจะถูกลบออกจาก Chrome ภายในปี 2027

    XSLT คืออะไร?
    XSLT (Extensible Stylesheet Language Transformations) เป็นภาษาที่ใช้แปลงข้อมูล XML ให้กลายเป็น HTML หรือ XML รูปแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะในยุคที่เว็บยังใช้ XML อย่างแพร่หลาย เช่น RSS, Atom, หรือเอกสารราชการ

    XSLT เคยเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงผลข้อมูล XML บนเว็บ
    ใช้ร่วมกับเบราว์เซอร์เพื่อแปลงข้อมูลแบบ client-side โดยไม่ต้องใช้ JavaScript

    ใช้ในระบบราชการ เว็บไซต์รัฐบาล และระบบเอกสารจำนวนมาก
    เช่น การแสดงผลข้อมูลกฎหมาย หรือเอกสารราชการที่ใช้ XML

    ทำไม Google ถึง “ฆ่า” XSLT?
    Google ประกาศแผนถอด XSLT ออกจาก Chrome ภายในปี 2027
    โดยให้เหตุผลว่าเป็นเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีการพัฒนาและมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    Mozilla และ Apple ก็มีแนวโน้มจะทำตาม
    Mozilla เคยกล่าวว่า XSLT “breaks the web” และ Apple แสดงความพร้อมจะ “เข้าร่วมก่อนกำหนด”

    ข้อถกเถียง: แค่เลิกใช้ หรือควบคุมเว็บ?
    ผู้เขียนเว็บไซต์ xslt.rip ตั้งข้อสังเกตว่า Google เคยพยายามล้ม XSLT ตั้งแต่ปี 2013
    พร้อมกับการปิด Google Reader ซึ่งใช้ RSS/XML เช่นกัน

    การล้ม XSLT อาจเป็นการลดอำนาจของเว็บแบบเปิด (open web)
    เพราะ XML และ RSS ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เอง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มกลาง

    Google จ่ายเงินให้ Mozilla และ Apple หลายพันล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
    ผู้เขียนตั้งคำถามว่าเงินเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจ “ฆ่า” XSLT หรือไม่

    แล้วเราควรทำอย่างไร?
    หากคุณยังใช้ XSLT ในระบบของคุณ ควรเริ่มวางแผนเปลี่ยนแปลง
    เช่น แปลงเป็น HTML5, JSON หรือใช้ JavaScript แทน

    หากคุณสนับสนุนเว็บแบบเปิด ควรช่วยกันเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ XSLT และ XML
    เพื่อรักษาความหลากหลายของเทคโนโลยีบนเว็บ

    https://xslt.rip/
    📰 "XSLT ถูก Google ประกาศฆ่าอย่างเป็นทางการ — เทคโนโลยีเก่าที่ถูกลืม หรือการควบคุมเว็บอย่างแยบยล? ⚰️💻" เว็บไซต์ XSLT.RIP ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า “If you're reading this, XSLT was killed by Google” พร้อมคำไว้อาลัยสั้น ๆ ว่า “Thoughts and prayers. Rest in peace.” — เป็นการไว้อาลัยให้กับเทคโนโลยี XSLT ที่กำลังจะถูกลบออกจาก Chrome ภายในปี 2027 🧾 XSLT คืออะไร? XSLT (Extensible Stylesheet Language Transformations) เป็นภาษาที่ใช้แปลงข้อมูล XML ให้กลายเป็น HTML หรือ XML รูปแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะในยุคที่เว็บยังใช้ XML อย่างแพร่หลาย เช่น RSS, Atom, หรือเอกสารราชการ ✅ XSLT เคยเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงผลข้อมูล XML บนเว็บ ➡️ ใช้ร่วมกับเบราว์เซอร์เพื่อแปลงข้อมูลแบบ client-side โดยไม่ต้องใช้ JavaScript ✅ ใช้ในระบบราชการ เว็บไซต์รัฐบาล และระบบเอกสารจำนวนมาก ➡️ เช่น การแสดงผลข้อมูลกฎหมาย หรือเอกสารราชการที่ใช้ XML 🧨 ทำไม Google ถึง “ฆ่า” XSLT? ✅ Google ประกาศแผนถอด XSLT ออกจาก Chrome ภายในปี 2027 ➡️ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีการพัฒนาและมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ Mozilla และ Apple ก็มีแนวโน้มจะทำตาม ➡️ Mozilla เคยกล่าวว่า XSLT “breaks the web” และ Apple แสดงความพร้อมจะ “เข้าร่วมก่อนกำหนด” 🧠 ข้อถกเถียง: แค่เลิกใช้ หรือควบคุมเว็บ? ‼️ ผู้เขียนเว็บไซต์ xslt.rip ตั้งข้อสังเกตว่า Google เคยพยายามล้ม XSLT ตั้งแต่ปี 2013 ⛔ พร้อมกับการปิด Google Reader ซึ่งใช้ RSS/XML เช่นกัน ‼️ การล้ม XSLT อาจเป็นการลดอำนาจของเว็บแบบเปิด (open web) ⛔ เพราะ XML และ RSS ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เอง ไม่ต้องพึ่งแพลตฟอร์มกลาง ‼️ Google จ่ายเงินให้ Mozilla และ Apple หลายพันล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ⛔ ผู้เขียนตั้งคำถามว่าเงินเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจ “ฆ่า” XSLT หรือไม่ 🛡️ แล้วเราควรทำอย่างไร? ✅ หากคุณยังใช้ XSLT ในระบบของคุณ ควรเริ่มวางแผนเปลี่ยนแปลง ➡️ เช่น แปลงเป็น HTML5, JSON หรือใช้ JavaScript แทน ✅ หากคุณสนับสนุนเว็บแบบเปิด ควรช่วยกันเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ XSLT และ XML ➡️ เพื่อรักษาความหลากหลายของเทคโนโลยีบนเว็บ https://xslt.rip/
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • "เมื่อ Apple ถอยจากการปกป้องข้อมูลใน UK — ถึงเวลาต้อง 'de-Apple' ตัวเองแล้ว "

    Apple เตรียมถอนฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ออกจากสหราชอาณาจักรตามคำสั่งของรัฐบาล UK ผ่านกฎหมาย Investigatory Powers Act และ TCN (Technical Capability Notice) ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ใน UK จะไม่สามารถใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end กับข้อมูลสำคัญใน iCloud ได้อีกต่อไป หากยังต้องการใช้งานบัญชี iCloudต่อไป ก็ต้องปิด ADP ด้วยตัวเอง

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
    Apple จะถอนฟีเจอร์ ADP ออกจาก UK
    ผู้ใช้ที่เปิดใช้งาน ADP จะต้องปิดเอง มิฉะนั้นจะถูกตัดบัญชี iCloud

    ข้อมูล 10 หมวดใน iCloud จะถูกลดระดับการป้องกัน
    ได้แก่ Backup, Drive, Photos, Notes, Reminders, Safari Bookmarks, Siri Shortcuts, Voice Memos, Wallet Passes และ Freeform

    ข้อมูล 15 หมวดที่ยังคงเข้ารหัสแบบ e2ee โดยค่าเริ่มต้นจะไม่ถูกกระทบ
    เช่น iCloud Keychain, Health, iMessage และ FaceTime

    ความเสี่ยงจากคำสั่ง TCN ของรัฐบาล UK
    TCN ไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ ADP
    รัฐบาล UK ต้องการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดใน iCloud รวมถึงข้อความและรหัสผ่านที่สำรองไว้

    คำสั่ง TCN มีผลกระทบทั่วโลก ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ใน UK
    หมายถึงข้อมูลของผู้ใช้ iCloud ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงได้ตามคำสั่งนี้

    แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัย
    ย้ายข้อมูลออกจาก iCloud โดยเฉพาะ 10 หมวดที่ไม่ปลอดภัย
    ใช้แอป Exporter เพื่อแปลง Notes เป็นไฟล์ markdown

    เลือกใช้บริการที่มีการเข้ารหัสแบบ e2ee
    เช่น Proton, Standard Notes, Obsidian หรือ Joplin

    ล้างข้อมูลจาก iCloud หลังย้ายออก
    เข้าไปที่ iCloud Settings > Manage แล้วลบแต่ละหมวดข้อมูล

    ถ้าไม่ได้อยู่ใน UK ล่ะ?
    ผู้ใช้นอก UK ยังสามารถเปิดใช้งาน ADP ได้
    ควรเปิดใช้งานทันทีเพื่อปกป้องข้อมูล

    หากมีทีมงานหรือคนใกล้ชิดอยู่ใน UK ต้องรวมไว้ใน threat model
    เพราะข้อมูลของพวกเขาอาจกลายเป็นช่องโหว่ของคุณ

    ข้อคิดจากเหตุการณ์นี้
    การพึ่งพา “American Stack” อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ควรพิจารณาใช้บริการที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการคุ้มครองข้อมูลเข้มงวด

    การตรวจสอบสัญชาติผ่านข้อมูลบัญชีอาจเป็นแนวทางใหม่ของการสอดแนม
    ยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะดำเนินการอย่างไรกับ TCN ฉบับที่สองที่เน้นข้อมูลของ “พลเมืองอังกฤษ”

    https://heatherburns.tech/2025/11/10/time-to-start-de-appling/
    🛡️ "เมื่อ Apple ถอยจากการปกป้องข้อมูลใน UK — ถึงเวลาต้อง 'de-Apple' ตัวเองแล้ว 📱🚫" Apple เตรียมถอนฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ออกจากสหราชอาณาจักรตามคำสั่งของรัฐบาล UK ผ่านกฎหมาย Investigatory Powers Act และ TCN (Technical Capability Notice) ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ใน UK จะไม่สามารถใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end กับข้อมูลสำคัญใน iCloud ได้อีกต่อไป หากยังต้องการใช้งานบัญชี iCloudต่อไป ก็ต้องปิด ADP ด้วยตัวเอง 📉 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ✅ Apple จะถอนฟีเจอร์ ADP ออกจาก UK ➡️ ผู้ใช้ที่เปิดใช้งาน ADP จะต้องปิดเอง มิฉะนั้นจะถูกตัดบัญชี iCloud ✅ ข้อมูล 10 หมวดใน iCloud จะถูกลดระดับการป้องกัน ➡️ ได้แก่ Backup, Drive, Photos, Notes, Reminders, Safari Bookmarks, Siri Shortcuts, Voice Memos, Wallet Passes และ Freeform ✅ ข้อมูล 15 หมวดที่ยังคงเข้ารหัสแบบ e2ee โดยค่าเริ่มต้นจะไม่ถูกกระทบ ➡️ เช่น iCloud Keychain, Health, iMessage และ FaceTime 🧨 ความเสี่ยงจากคำสั่ง TCN ของรัฐบาล UK ‼️ TCN ไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ ADP ⛔ รัฐบาล UK ต้องการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดใน iCloud รวมถึงข้อความและรหัสผ่านที่สำรองไว้ ‼️ คำสั่ง TCN มีผลกระทบทั่วโลก ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ใน UK ⛔ หมายถึงข้อมูลของผู้ใช้ iCloud ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงได้ตามคำสั่งนี้ 🧭 แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัย ✅ ย้ายข้อมูลออกจาก iCloud โดยเฉพาะ 10 หมวดที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ใช้แอป Exporter เพื่อแปลง Notes เป็นไฟล์ markdown ✅ เลือกใช้บริการที่มีการเข้ารหัสแบบ e2ee ➡️ เช่น Proton, Standard Notes, Obsidian หรือ Joplin ✅ ล้างข้อมูลจาก iCloud หลังย้ายออก ➡️ เข้าไปที่ iCloud Settings > Manage แล้วลบแต่ละหมวดข้อมูล 🌍 ถ้าไม่ได้อยู่ใน UK ล่ะ? ✅ ผู้ใช้นอก UK ยังสามารถเปิดใช้งาน ADP ได้ ➡️ ควรเปิดใช้งานทันทีเพื่อปกป้องข้อมูล ‼️ หากมีทีมงานหรือคนใกล้ชิดอยู่ใน UK ต้องรวมไว้ใน threat model ⛔ เพราะข้อมูลของพวกเขาอาจกลายเป็นช่องโหว่ของคุณ 🧠 ข้อคิดจากเหตุการณ์นี้ ✅ การพึ่งพา “American Stack” อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ➡️ ควรพิจารณาใช้บริการที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการคุ้มครองข้อมูลเข้มงวด ‼️ การตรวจสอบสัญชาติผ่านข้อมูลบัญชีอาจเป็นแนวทางใหม่ของการสอดแนม ⛔ ยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะดำเนินการอย่างไรกับ TCN ฉบับที่สองที่เน้นข้อมูลของ “พลเมืองอังกฤษ” https://heatherburns.tech/2025/11/10/time-to-start-de-appling/
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • Firefox 145 เปิดตัวแล้ว! ยุติยุค 32-bit บน Linux พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    Mozilla ประกาศเปิดตัว Firefox 145 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยม ด้วยการยุติการสนับสนุนระบบ 32-bit บน Linux และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานทั้งเอกสารและเว็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

    การยุติสนับสนุน 32-bit Linux
    Firefox 145 จะไม่มีการปล่อยเวอร์ชันสำหรับระบบ 32-bit x86 Linux อีกต่อไป
    Mozilla แนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้เวอร์ชัน 64-bit เพื่อรับการอัปเดตและความปลอดภัยต่อเนื่อง
    เหตุผลคือระบบ 32-bit ไม่ได้รับการสนับสนุนจากดิสโทรหลักแล้ว และการดูแลรักษาเริ่มมีความยุ่งยาก

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Firefox 145
    เพิ่มความสามารถในการใส่คอมเมนต์ในไฟล์ PDF พร้อม sidebar สำหรับจัดการคอมเมนต์
    แสดง preview ของแท็บในกลุ่มเมื่อ hover ที่ชื่อกลุ่ม
    เพิ่มตัวเลือก “Open links from apps next to your active tab” ในการตั้งค่าแท็บ
    ปรับปรุงเมนู “Copy Link to Highlight” ให้แชร์เนื้อหาเฉพาะจุดได้ง่ายขึ้น
    ปรับดีไซน์แท็บแนวนอนให้โค้งมนขึ้น พร้อมปรับปุ่มและช่องกรอกข้อมูลในหน้าตั้งค่า

    การแจ้งเตือนเกี่ยวกับ Extensions
    หากไม่มีส่วนขยายติดตั้ง เมื่อคลิกปุ่ม Extensions จะมีข้อความแนะนำให้ติดตั้ง พร้อมลิงก์ไปยัง Firefox Add-ons Store

    ฟีเจอร์สำหรับนักพัฒนา
    รองรับ Atomics.waitAsync สำหรับการซิงโครไนซ์ thread
    รองรับ Integrity-Policy header เพื่อความปลอดภัยของ script
    รองรับ text-autospace สำหรับการจัดระยะห่างอัตโนมัติระหว่างตัวอักษรต่างภาษา
    รองรับ Matroska format สำหรับ codec ยอดนิยม เช่น AVC, HEVC, VP8, VP9, AV1, AAC, Opus และ Vorbis

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux รุ่นเก่า
    หากยังใช้ระบบ 32-bit จะไม่สามารถอัปเดต Firefox ได้อีกต่อไป
    อาจเสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและการเข้ากันได้กับเว็บไซต์ใหม่ๆ

    https://9to5linux.com/firefox-145-is-now-available-for-download-drops-32-bit-support-on-linux
    🦊 Firefox 145 เปิดตัวแล้ว! ยุติยุค 32-bit บน Linux พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ Mozilla ประกาศเปิดตัว Firefox 145 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยม ด้วยการยุติการสนับสนุนระบบ 32-bit บน Linux และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานทั้งเอกสารและเว็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น. ✅ การยุติสนับสนุน 32-bit Linux ➡️ Firefox 145 จะไม่มีการปล่อยเวอร์ชันสำหรับระบบ 32-bit x86 Linux อีกต่อไป ➡️ Mozilla แนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้เวอร์ชัน 64-bit เพื่อรับการอัปเดตและความปลอดภัยต่อเนื่อง ➡️ เหตุผลคือระบบ 32-bit ไม่ได้รับการสนับสนุนจากดิสโทรหลักแล้ว และการดูแลรักษาเริ่มมีความยุ่งยาก ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Firefox 145 ➡️ เพิ่มความสามารถในการใส่คอมเมนต์ในไฟล์ PDF พร้อม sidebar สำหรับจัดการคอมเมนต์ ➡️ แสดง preview ของแท็บในกลุ่มเมื่อ hover ที่ชื่อกลุ่ม ➡️ เพิ่มตัวเลือก “Open links from apps next to your active tab” ในการตั้งค่าแท็บ ➡️ ปรับปรุงเมนู “Copy Link to Highlight” ให้แชร์เนื้อหาเฉพาะจุดได้ง่ายขึ้น ➡️ ปรับดีไซน์แท็บแนวนอนให้โค้งมนขึ้น พร้อมปรับปุ่มและช่องกรอกข้อมูลในหน้าตั้งค่า ✅ การแจ้งเตือนเกี่ยวกับ Extensions ➡️ หากไม่มีส่วนขยายติดตั้ง เมื่อคลิกปุ่ม Extensions จะมีข้อความแนะนำให้ติดตั้ง พร้อมลิงก์ไปยัง Firefox Add-ons Store ✅ ฟีเจอร์สำหรับนักพัฒนา ➡️ รองรับ Atomics.waitAsync สำหรับการซิงโครไนซ์ thread ➡️ รองรับ Integrity-Policy header เพื่อความปลอดภัยของ script ➡️ รองรับ text-autospace สำหรับการจัดระยะห่างอัตโนมัติระหว่างตัวอักษรต่างภาษา ➡️ รองรับ Matroska format สำหรับ codec ยอดนิยม เช่น AVC, HEVC, VP8, VP9, AV1, AAC, Opus และ Vorbis ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux รุ่นเก่า ⛔ หากยังใช้ระบบ 32-bit จะไม่สามารถอัปเดต Firefox ได้อีกต่อไป ⛔ อาจเสี่ยงต่อช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและการเข้ากันได้กับเว็บไซต์ใหม่ๆ https://9to5linux.com/firefox-145-is-now-available-for-download-drops-32-bit-support-on-linux
    9TO5LINUX.COM
    Firefox 145 Is Now Available for Download, Drops 32-Bit Support on Linux - 9to5Linux
    Firefox 145 open-source web browser is now available for download as the first release to drop 32-bit support on Linux systems.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • “SuiteCRM เจอช่องโหว่ SQL Injection ดึงข้อมูลลูกค้าได้แม้ไม่ใช่แอดมิน!”

    SuiteCRM ซึ่งเป็นระบบ CRM แบบโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ถูกเปิดเผยว่ามีช่องโหว่ SQL Injection 2 รายการ ได้แก่ CVE-2025-64492 และ CVE-2025-64493 โดยช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินแล้วสามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ระดับแอดมิน

    ช่องโหว่ CVE-2025-64492 เป็นแบบ time-based blind SQL injection ซึ่งสามารถใช้วัดเวลาตอบสนองเพื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ ส่วน CVE-2025-64493 เกิดใน GraphQL API โดยเฉพาะในฟังก์ชัน appMetadata ซึ่งไม่กรองข้อมูลอินพุตอย่างเหมาะสม

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64492
    เป็น blind SQL injection แบบ time-based
    ผู้ใช้ที่ล็อกอินสามารถวัดเวลาตอบสนองเพื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล
    อาจนำไปสู่การดึงข้อมูล เช่น รหัสผ่านที่ถูกแฮช ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64493
    เกิดใน GraphQL API โดยเฉพาะใน appMetadata operation
    ไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับแอดมิน — ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถโจมตีได้
    ขยายพื้นผิวการโจมตีให้กว้างขึ้นในองค์กรที่ใช้ GraphQL

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    SuiteCRM เวอร์ชัน ≤ 8.9.0 ได้รับผลกระทบจากทั้งสองช่องโหว่
    ช่องโหว่ CVE-2025-64493 พบในเวอร์ชัน 8.6.0 ถึง 8.8.0

    การแก้ไข
    ช่องโหว่ทั้งสองถูกแก้ไขใน SuiteCRM เวอร์ชัน 8.9.1
    ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ช่องโหว่นี้สามารถถูกใช้โดยผู้ใช้ที่มีบัญชีอยู่แล้ว เช่น พนักงานที่มีเจตนาไม่ดี
    การไม่อัปเดตเวอร์ชันทำให้ข้อมูลลูกค้าและธุรกิจเสี่ยงต่อการรั่วไหล
    การใช้ GraphQL โดยไม่มีการกรองอินพุตอย่างเข้มงวดเป็นช่องทางโจมตีที่อันตราย

    https://securityonline.info/suitecrm-sql-injection-flaws-cve-2025-64492-cve-2025-64493-expose-customer-data/
    🧩 “SuiteCRM เจอช่องโหว่ SQL Injection ดึงข้อมูลลูกค้าได้แม้ไม่ใช่แอดมิน!” SuiteCRM ซึ่งเป็นระบบ CRM แบบโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ถูกเปิดเผยว่ามีช่องโหว่ SQL Injection 2 รายการ ได้แก่ CVE-2025-64492 และ CVE-2025-64493 โดยช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินแล้วสามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ระดับแอดมิน ช่องโหว่ CVE-2025-64492 เป็นแบบ time-based blind SQL injection ซึ่งสามารถใช้วัดเวลาตอบสนองเพื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ ส่วน CVE-2025-64493 เกิดใน GraphQL API โดยเฉพาะในฟังก์ชัน appMetadata ซึ่งไม่กรองข้อมูลอินพุตอย่างเหมาะสม ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64492 ➡️ เป็น blind SQL injection แบบ time-based ➡️ ผู้ใช้ที่ล็อกอินสามารถวัดเวลาตอบสนองเพื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล ➡️ อาจนำไปสู่การดึงข้อมูล เช่น รหัสผ่านที่ถูกแฮช ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-64493 ➡️ เกิดใน GraphQL API โดยเฉพาะใน appMetadata operation ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับแอดมิน — ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถโจมตีได้ ➡️ ขยายพื้นผิวการโจมตีให้กว้างขึ้นในองค์กรที่ใช้ GraphQL ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ SuiteCRM เวอร์ชัน ≤ 8.9.0 ได้รับผลกระทบจากทั้งสองช่องโหว่ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-64493 พบในเวอร์ชัน 8.6.0 ถึง 8.8.0 ✅ การแก้ไข ➡️ ช่องโหว่ทั้งสองถูกแก้ไขใน SuiteCRM เวอร์ชัน 8.9.1 ➡️ ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ช่องโหว่นี้สามารถถูกใช้โดยผู้ใช้ที่มีบัญชีอยู่แล้ว เช่น พนักงานที่มีเจตนาไม่ดี ⛔ การไม่อัปเดตเวอร์ชันทำให้ข้อมูลลูกค้าและธุรกิจเสี่ยงต่อการรั่วไหล ⛔ การใช้ GraphQL โดยไม่มีการกรองอินพุตอย่างเข้มงวดเป็นช่องทางโจมตีที่อันตราย https://securityonline.info/suitecrm-sql-injection-flaws-cve-2025-64492-cve-2025-64493-expose-customer-data/
    SECURITYONLINE.INFO
    SuiteCRM SQL Injection Flaws (CVE-2025-64492, CVE-2025-64493) Expose Customer Data
    SuiteCRM released an urgent patch (v8.9.1) for two SQL Injection flaws. The time-based SQLi (CVSS 8.8) and GraphQL SQLi allow authenticated users to extract sensitive customer data from the backend database.
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา”

    ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา

    ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor

    ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท
    ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร
    AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security
    DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics

    เป้าหมายของความร่วมมือ
    ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา
    ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ
    เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox
    ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise
    ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน
    สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor

    บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค
    นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก
    ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม
    มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก

    https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    🛡️ “ShieldForce จับมือ AccuKnox ปักธง Zero Trust CNAPP ในละตินอเมริกา” ในโลกไซเบอร์ที่ภัยคุกคามซับซ้อนขึ้นทุกวัน การป้องกันเชิงรุกและแนวคิด “Zero Trust” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ล่าสุดบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์จากเม็กซิโก “ShieldForce” ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox และ DeepRoot Technologies เพื่อผลักดันโซลูชัน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) และ AI Security สู่ตลาดละตินอเมริกา ShieldForce หรือชื่อเต็มว่า Incident Response Team SA DE CV เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Francisco Villegas ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้ AI ในการจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคเม็กซิโกและละตินอเมริกา โดยเฉพาะบริการอย่าง Managed SOC, การตอบสนองเหตุการณ์ (Incident Response), การป้องกัน Ransomware และการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง DeepRoot Technologies ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน data engineering และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI โดยทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยีของ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อดังอย่าง KubeArmor และ ModelArmor ✅ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง 3 บริษัท ➡️ ShieldForce (เม็กซิโก) ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ➡️ AccuKnox (สหรัฐฯ) พัฒนาแพลตฟอร์ม Zero Trust CNAPP และ AI Security ➡️ DeepRoot Technologies เชี่ยวชาญด้าน data pipeline และ AI analytics ✅ เป้าหมายของความร่วมมือ ➡️ ขยายการใช้งาน Zero Trust CNAPP ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา ➡️ ส่งเสริมการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย AI และระบบอัตโนมัติ ➡️ เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี AccuKnox ➡️ ปกป้อง workload ทั้งใน cloud และ on-premise ➡️ ครอบคลุมวงจรชีวิตของ AI/ML/LLM ตั้งแต่ข้อมูลจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ สนับสนุน open-source ผ่านโครงการ KubeArmor และ ModelArmor ✅ บทบาทของ ShieldForce ในภูมิภาค ➡️ นำเสนอแนวคิด Zero Trust CNAPP ในงานสัมมนาใหญ่ของเม็กซิโก ➡️ ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วม ➡️ มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และการป้องกันเชิงรุก https://securityonline.info/incident-response-team-shieldforce-partners-with-accuknox-for-zero-trust-cnapp-in-latin-america/
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • “OnePlus 15” กับการตัดสินใจไม่ใส่แม่เหล็ก: เพราะแบตใหญ่สำคัญกว่า?

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ต้องแลกกับการไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องสำหรับการชาร์จแบบ MagSafe เหมือน Pixel หรือ iPhone… นี่คือแนวทางที่ OnePlus เลือกเดินในรุ่นล่าสุด “OnePlus 15”

    OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวทั่วโลกในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 7,300mAh ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า OnePlus 13 ถึง 22% และใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Pixel 10 Pro XL ถึง 40% เลยทีเดียว

    แต่สิ่งที่หายไปคือ “แม่เหล็ก” ที่ใช้สำหรับการยึดติดกับแท่นชาร์จไร้สายแบบ MagSafe หรือ PixelSnap ซึ่ง Google และ Apple ใช้กันอย่างแพร่หลาย

    ทำไมถึงไม่ใส่แม่เหล็ก?
    Rudolf Xu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ OnePlus อธิบายว่า “แม่เหล็กมันหนักเกินไป” และพื้นที่ภายในเครื่องถูกจัดสรรไว้ให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และขดลวดชาร์จไร้สายแล้ว หากเพิ่มแม่เหล็กเข้าไปจะต้องลดขนาดแบตลง ซึ่งขัดกับเป้าหมายของ OnePlus ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านความอึดของแบต

    แล้วจะใช้งานกับอุปกรณ์แม่เหล็กได้ไหม?
    OnePlus มีทางออกคือ “เคสแม่เหล็ก” ที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จในรถยนต์หรือขาตั้งแบบแม่เหล็กได้ ซึ่งคล้ายกับแนวทางของ Samsung ที่ไม่ใส่ Qi2 ในตัวเครื่อง แต่ให้เคสรองรับแทน

    จุดเด่นของ OnePlus 15
    แบตเตอรี่ขนาด 7,300mAh ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเรือธง
    รองรับชาร์จไว 120W แบบสาย และ 50W แบบไร้สาย
    ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องเพื่อรักษาน้ำหนักและพื้นที่แบตเตอรี่
    ใช้เคสแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับการใช้งานกับแท่นชาร์จ

    เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ
    แม่เหล็กเพิ่มน้ำหนักและกินพื้นที่ภายใน
    การตัดแม่เหล็กออกช่วยให้ใส่แบตใหญ่ขึ้น
    แนวทางเดียวกับ Samsung ที่ใช้เคสรองรับ Qi2 แทน

    เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    Pixel 10 Pro XL มีแบต 5,200mAh
    iPhone 17 Pro Max คาดว่ามีแบตประมาณ 5,088mAh
    OnePlus 15 เหนือกว่าด้านความจุแบตอย่างชัดเจน

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่อง อาจไม่สะดวกกับแท่นชาร์จแม่เหล็กทั่วไป
    ต้องซื้อเคสแม่เหล็กแยกต่างหาก หากต้องการใช้งานแบบ MagSafe
    น้ำหนักเครื่องอาจมากขึ้นจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/magnets-are-too-heavy-oneplus-exec-explains-why-the-oneplus-15-doesnt-have-pixel-style-magnetic-charging
    📱 “OnePlus 15” กับการตัดสินใจไม่ใส่แม่เหล็ก: เพราะแบตใหญ่สำคัญกว่า? ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ต้องแลกกับการไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องสำหรับการชาร์จแบบ MagSafe เหมือน Pixel หรือ iPhone… นี่คือแนวทางที่ OnePlus เลือกเดินในรุ่นล่าสุด “OnePlus 15” OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวทั่วโลกในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 7,300mAh ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า OnePlus 13 ถึง 22% และใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Pixel 10 Pro XL ถึง 40% เลยทีเดียว แต่สิ่งที่หายไปคือ “แม่เหล็ก” ที่ใช้สำหรับการยึดติดกับแท่นชาร์จไร้สายแบบ MagSafe หรือ PixelSnap ซึ่ง Google และ Apple ใช้กันอย่างแพร่หลาย 🧲 ทำไมถึงไม่ใส่แม่เหล็ก? Rudolf Xu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ OnePlus อธิบายว่า “แม่เหล็กมันหนักเกินไป” และพื้นที่ภายในเครื่องถูกจัดสรรไว้ให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และขดลวดชาร์จไร้สายแล้ว หากเพิ่มแม่เหล็กเข้าไปจะต้องลดขนาดแบตลง ซึ่งขัดกับเป้าหมายของ OnePlus ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านความอึดของแบต 🚗 แล้วจะใช้งานกับอุปกรณ์แม่เหล็กได้ไหม? OnePlus มีทางออกคือ “เคสแม่เหล็ก” ที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จในรถยนต์หรือขาตั้งแบบแม่เหล็กได้ ซึ่งคล้ายกับแนวทางของ Samsung ที่ไม่ใส่ Qi2 ในตัวเครื่อง แต่ให้เคสรองรับแทน ✅ จุดเด่นของ OnePlus 15 ➡️ แบตเตอรี่ขนาด 7,300mAh ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเรือธง ➡️ รองรับชาร์จไว 120W แบบสาย และ 50W แบบไร้สาย ➡️ ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องเพื่อรักษาน้ำหนักและพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ ใช้เคสแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับการใช้งานกับแท่นชาร์จ ✅ เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ ➡️ แม่เหล็กเพิ่มน้ำหนักและกินพื้นที่ภายใน ➡️ การตัดแม่เหล็กออกช่วยให้ใส่แบตใหญ่ขึ้น ➡️ แนวทางเดียวกับ Samsung ที่ใช้เคสรองรับ Qi2 แทน ✅ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ Pixel 10 Pro XL มีแบต 5,200mAh ➡️ iPhone 17 Pro Max คาดว่ามีแบตประมาณ 5,088mAh ➡️ OnePlus 15 เหนือกว่าด้านความจุแบตอย่างชัดเจน ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่อง อาจไม่สะดวกกับแท่นชาร์จแม่เหล็กทั่วไป ⛔ ต้องซื้อเคสแม่เหล็กแยกต่างหาก หากต้องการใช้งานแบบ MagSafe ⛔ น้ำหนักเครื่องอาจมากขึ้นจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/magnets-are-too-heavy-oneplus-exec-explains-why-the-oneplus-15-doesnt-have-pixel-style-magnetic-charging
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • Samsung เปิดเกมรุก! เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ท้าชน Apple Card

    Samsung กำลังขยายอาณาจักรของตนจากสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่โลกการเงิน ด้วยการเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ร่วมกับ Barclays เพื่อแข่งกับ Apple Card โดยตรง พร้อมชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรที่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบนิเวศดิจิทัล

    Samsung กำลังจับมือกับ Barclays เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยจะใช้เครือข่าย Visa และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้าน cashback ที่สามารถโอนเข้ากระเป๋า Samsung Wallet เพื่อใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ — คล้ายกับแนวทางของ Apple Card ที่ผูกกับ Apple Pay

    แต่ Samsung ไม่หยุดแค่บัตรเครดิต เพราะยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น:
    บัญชีแบบเติมเงิน (prepaid)
    บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
    ระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later)

    กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Samsung สร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่น สมาร์ทโฟน ทีวี ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า Apple

    ในขณะเดียวกัน Apple Card ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ร่วมกับ Goldman Sachs กำลังเผชิญกับปัญหาขาดทุน และอาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้ Samsung ใช้ในการจัดการความเสี่ยงและการเติบโตของบริการบัตรเครดิต

    Samsung เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ
    ร่วมมือกับ Barclays และใช้เครือข่าย Visa
    มีระบบ cashback ที่เชื่อมกับ Samsung Wallet

    เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม
    บัญชีเติมเงินและบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
    ระบบ Buy Now, Pay Later

    กลยุทธ์เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Samsung
    ใช้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า
    สร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมมากกว่า Apple

    Apple Card กำลังเผชิญกับความท้าทาย
    Goldman Sachs ขาดทุนจากการให้บริการ
    Apple อาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan

    การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตดิจิทัลกำลังร้อนแรง
    ผู้บริโภคอาจต้องเลือกฝั่งระหว่างระบบนิเวศของ Apple หรือ Samsung
    ความเสี่ยงด้านการเงินและการจัดการข้อมูลผู้ใช้ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ

    การผูกบริการทางการเงินกับระบบนิเวศเทคโนโลยีอาจสร้างการล็อกอินผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ผูกกับ Samsung Wallet หรือ Apple Pay อาจย้ายออกได้ยาก
    ต้องพิจารณาความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

    https://wccftech.com/samsung-is-trying-to-lure-you-away-from-apples-ecosystem-with-a-rival-credit-card/
    💳 Samsung เปิดเกมรุก! เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ท้าชน Apple Card 📱⚔️ Samsung กำลังขยายอาณาจักรของตนจากสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่โลกการเงิน ด้วยการเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ร่วมกับ Barclays เพื่อแข่งกับ Apple Card โดยตรง พร้อมชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรที่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบนิเวศดิจิทัล Samsung กำลังจับมือกับ Barclays เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยจะใช้เครือข่าย Visa และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้าน cashback ที่สามารถโอนเข้ากระเป๋า Samsung Wallet เพื่อใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ — คล้ายกับแนวทางของ Apple Card ที่ผูกกับ Apple Pay แต่ Samsung ไม่หยุดแค่บัตรเครดิต เพราะยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น: 💠 บัญชีแบบเติมเงิน (prepaid) 💠 บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง 💠 ระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later) กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Samsung สร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่น สมาร์ทโฟน ทีวี ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า Apple ในขณะเดียวกัน Apple Card ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ร่วมกับ Goldman Sachs กำลังเผชิญกับปัญหาขาดทุน และอาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้ Samsung ใช้ในการจัดการความเสี่ยงและการเติบโตของบริการบัตรเครดิต ✅ Samsung เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ➡️ ร่วมมือกับ Barclays และใช้เครือข่าย Visa ➡️ มีระบบ cashback ที่เชื่อมกับ Samsung Wallet ✅ เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม ➡️ บัญชีเติมเงินและบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง ➡️ ระบบ Buy Now, Pay Later ✅ กลยุทธ์เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Samsung ➡️ ใช้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ➡️ สร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมมากกว่า Apple ✅ Apple Card กำลังเผชิญกับความท้าทาย ➡️ Goldman Sachs ขาดทุนจากการให้บริการ ➡️ Apple อาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ‼️ การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตดิจิทัลกำลังร้อนแรง ⛔ ผู้บริโภคอาจต้องเลือกฝั่งระหว่างระบบนิเวศของ Apple หรือ Samsung ⛔ ความเสี่ยงด้านการเงินและการจัดการข้อมูลผู้ใช้ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ ‼️ การผูกบริการทางการเงินกับระบบนิเวศเทคโนโลยีอาจสร้างการล็อกอินผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ที่ผูกกับ Samsung Wallet หรือ Apple Pay อาจย้ายออกได้ยาก ⛔ ต้องพิจารณาความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว https://wccftech.com/samsung-is-trying-to-lure-you-away-from-apples-ecosystem-with-a-rival-credit-card/
    WCCFTECH.COM
    Samsung To Follow Apple's Playbook To Try To Lock You Into Its Ecosystem With A Credit Card
    Now, you can add a credit card, and the bag of goodies that comes with it, to the already-extensive rivalry between Apple and Samsung.
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • มือถือใหม่ไร้สาย? ผู้ใช้ Android แบ่งสองฝ่ายเรื่อง “ไม่มีสาย USB” ในกล่อง

    บทความจาก SlashGear เปิดประเด็นร้อนในวงการสมาร์ทโฟน เมื่อผู้ใช้ Android เริ่มแตกเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตเริ่ม “ตัดสาย USB” ออกจากกล่องมือถือ โดยเฉพาะหลังจาก Sony Xperia 10 VII เปิดตัวโดยไม่มีสาย USB มาให้ ซึ่งอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอนาคต

    ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน การซื้อโทรศัพท์มือถือคือการได้รับ “ทุกอย่างในกล่อง” ตั้งแต่แบตเตอรี่ สายชาร์จ หูฟัง ไปจนถึงเคสและฟิล์มกันรอย แต่วันนี้ภาพนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

    Apple เคยถูกวิจารณ์หนักเมื่อเปิดตัว iPhone 12 โดยไม่มีหัวชาร์จและหูฟังในกล่อง แต่กลับขายดีถล่มทลาย ทำให้แบรนด์ Android อย่าง Samsung ก็เริ่มเดินตาม เช่น Galaxy S21 ที่ไม่มีหัวชาร์จเช่นกัน

    ล่าสุด Sony ก้าวไปอีกขั้นด้วยการตัดสาย USB ออกจากกล่อง Xperia 10 VII โดยให้เหตุผลเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งผู้ใช้บางส่วนเห็นด้วย แต่หลายคนก็ไม่พอใจ เพราะต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรจะ “มาพร้อมเครื่อง”

    เสริมสาระ: ทำไมแบรนด์ถึงตัดอุปกรณ์ออก?
    สิ่งแวดล้อม: Apple อ้างว่าการตัดหัวชาร์จช่วยลดการใช้วัสดุและลดคาร์บอนถึง 2 ล้านตันต่อปี
    ความแพร่หลายของ USB-C: ปัจจุบันอุปกรณ์ส่วนใหญ่ใช้สาย USB-C เหมือนกัน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว
    การผลักดันสู่การชาร์จไร้สาย: เทคโนโลยีอย่าง MagSafe และ Qi2 เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น

    แต่ผู้ใช้หลายคนโต้แย้งว่า:
    สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า
    การซื้ออุปกรณ์เพิ่มคือการผลักภาระให้ผู้บริโภค
    ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับน้อยลง

    สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดมือถือ
    Sony Xperia 10 VII ไม่มีสาย USB ในกล่อง
    Apple และ Samsung เคยตัดหัวชาร์จออกมาก่อน
    ผู้ผลิตอ้างเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและลดขนาดกล่อง
    USB-C กลายเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว
    การชาร์จไร้สายเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า
    ผู้ใช้ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรมีในกล่อง
    การตัดอุปกรณ์อาจเป็น “greenwashing” มากกว่าความตั้งใจจริง
    ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับลดลง

    https://www.slashgear.com/2017210/android-users-opinion-no-usb-with-new-smartphone/
    📦 มือถือใหม่ไร้สาย? ผู้ใช้ Android แบ่งสองฝ่ายเรื่อง “ไม่มีสาย USB” ในกล่อง บทความจาก SlashGear เปิดประเด็นร้อนในวงการสมาร์ทโฟน เมื่อผู้ใช้ Android เริ่มแตกเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตเริ่ม “ตัดสาย USB” ออกจากกล่องมือถือ โดยเฉพาะหลังจาก Sony Xperia 10 VII เปิดตัวโดยไม่มีสาย USB มาให้ ซึ่งอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอนาคต ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน การซื้อโทรศัพท์มือถือคือการได้รับ “ทุกอย่างในกล่อง” ตั้งแต่แบตเตอรี่ สายชาร์จ หูฟัง ไปจนถึงเคสและฟิล์มกันรอย แต่วันนี้ภาพนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง Apple เคยถูกวิจารณ์หนักเมื่อเปิดตัว iPhone 12 โดยไม่มีหัวชาร์จและหูฟังในกล่อง แต่กลับขายดีถล่มทลาย ทำให้แบรนด์ Android อย่าง Samsung ก็เริ่มเดินตาม เช่น Galaxy S21 ที่ไม่มีหัวชาร์จเช่นกัน ล่าสุด Sony ก้าวไปอีกขั้นด้วยการตัดสาย USB ออกจากกล่อง Xperia 10 VII โดยให้เหตุผลเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งผู้ใช้บางส่วนเห็นด้วย แต่หลายคนก็ไม่พอใจ เพราะต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรจะ “มาพร้อมเครื่อง” 🧠 เสริมสาระ: ทำไมแบรนด์ถึงตัดอุปกรณ์ออก? 🔰 สิ่งแวดล้อม: Apple อ้างว่าการตัดหัวชาร์จช่วยลดการใช้วัสดุและลดคาร์บอนถึง 2 ล้านตันต่อปี 🔰 ความแพร่หลายของ USB-C: ปัจจุบันอุปกรณ์ส่วนใหญ่ใช้สาย USB-C เหมือนกัน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว 🔰 การผลักดันสู่การชาร์จไร้สาย: เทคโนโลยีอย่าง MagSafe และ Qi2 เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ผู้ใช้หลายคนโต้แย้งว่า: 🔰 สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า 🔰 การซื้ออุปกรณ์เพิ่มคือการผลักภาระให้ผู้บริโภค 🔰 ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับน้อยลง ✅ สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดมือถือ ➡️ Sony Xperia 10 VII ไม่มีสาย USB ในกล่อง ➡️ Apple และ Samsung เคยตัดหัวชาร์จออกมาก่อน ➡️ ผู้ผลิตอ้างเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและลดขนาดกล่อง ➡️ USB-C กลายเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว ➡️ การชาร์จไร้สายเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า ⛔ ผู้ใช้ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรมีในกล่อง ⛔ การตัดอุปกรณ์อาจเป็น “greenwashing” มากกว่าความตั้งใจจริง ⛔ ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับลดลง https://www.slashgear.com/2017210/android-users-opinion-no-usb-with-new-smartphone/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Android Users Split Over Lack Of USB Cord With New Phone. Half Of Them Are Right - SlashGear
    Smartphone manufacturers eliminating USB cords with packaging is nothing new. So what is the consumer upside? SlashGear's Gozie Ibekwe examines.
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • PorteuX 2.4 เปิดตัวแล้ว! ดิสโทรสายเบาเร็วจาก Slackware พร้อมเดสก์ท็อปใหม่และฟีเจอร์จัดเต็ม

    PorteuX 2.4 ดิสโทรลินุกซ์สายเบาเร็วที่ต่อยอดจาก Slax และ Porteus ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเวอร์ชันนี้อัปเกรดหลายด้าน ทั้งเคอร์เนลใหม่ ฟีเจอร์ระบบ และเดสก์ท็อปที่หลากหลาย พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์และการใช้งานที่ทันสมัยมากขึ้น

    PorteuX 2.4 ใช้ Linux Kernel 6.17 และมาพร้อมเดสก์ท็อปถึง 8 แบบ ได้แก่ GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.2, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4.13, LXDE 0.11.1, LXQt 2.3, MATE 1.28.2 และ COSMIC Beta 5 ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ทุกสไตล์

    ระบบยังรองรับ NVIDIA Driver รุ่นล่าสุด 580.105.08 และปรับปรุงการใช้งานทัชแพดให้ลื่นไหลขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในเครื่องมือของ PorteuX เช่น Language Switcher และ Timezone Switcher ที่ใช้งานง่ายขึ้น

    ทำไม PorteuX ถึงน่าสนใจ?
    PorteuX โดดเด่นด้วยแนวคิด “modular & immutable” คือระบบที่สามารถเพิ่มหรือลดโมดูลได้ตามต้องการ และมีความเสถียรสูงเพราะไม่เปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบหลักโดยตรง เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบเบา เร็ว และพกพาได้ เช่น ใช้งานจาก USB หรือ Live CD

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ เช่น linker flags ที่ดีขึ้น ทำให้โปรแกรมทำงานเร็วขึ้นและขนาดไฟล์เล็กลง รวมถึงการเขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียรกว่าเดิม

    ฟีเจอร์ใหม่ใน PorteuX 2.4
    ใช้ Linux Kernel 6.17 รุ่นล่าสุด
    มีเดสก์ท็อปให้เลือกถึง 8 แบบ
    รองรับ NVIDIA Driver 580.105.08
    ปรับปรุงการรองรับทัชแพด
    เพิ่มฟีเจอร์ใน Language และ Timezone Switcher
    รองรับ cheatcode ใหม่ เช่น noupdateclock และ kmap
    รองรับ HEIC image ใน LXQt
    autoload สำหรับ cron และ docker
    ปรับปรุง deactivate -f ให้เสถียรขึ้น
    ปรับปรุง gtkdialog.py ให้รองรับ line wrapping
    ปรับ linker flags ให้โปรแกรมเร็วขึ้น
    เขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียร
    อัปเดตไอคอนใน Xfce ให้เปลี่ยนตามธีมอัตโนมัติ
    ปรับธีมใน LXDE และเครื่องมือค้นหาใน MATE
    ปรับสคริปต์ deactivate ให้ใช้ lazy parameter
    แก้ปัญหา date/time ตอนบูต
    ปรับปรุงการแสดงผลของ Cinnamon บน Wayland

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ cheatcode ต้องศึกษาก่อนใช้งานเพื่อไม่ให้กระทบระบบ
    การใช้ Wayland อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางเดสก์ท็อป เช่น Cinnamon และ GNOME
    การเปลี่ยนโมดูลระบบควรทำด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ระบบเสียหาย

    https://9to5linux.com/slackware-based-porteux-2-4-is-out-with-linux-6-17-cosmic-and-lxqt-2-3-desktops
    🐧 PorteuX 2.4 เปิดตัวแล้ว! ดิสโทรสายเบาเร็วจาก Slackware พร้อมเดสก์ท็อปใหม่และฟีเจอร์จัดเต็ม PorteuX 2.4 ดิสโทรลินุกซ์สายเบาเร็วที่ต่อยอดจาก Slax และ Porteus ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเวอร์ชันนี้อัปเกรดหลายด้าน ทั้งเคอร์เนลใหม่ ฟีเจอร์ระบบ และเดสก์ท็อปที่หลากหลาย พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์และการใช้งานที่ทันสมัยมากขึ้น PorteuX 2.4 ใช้ Linux Kernel 6.17 และมาพร้อมเดสก์ท็อปถึง 8 แบบ ได้แก่ GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.2, Xfce 4.20, Cinnamon 6.4.13, LXDE 0.11.1, LXQt 2.3, MATE 1.28.2 และ COSMIC Beta 5 ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ทุกสไตล์ ระบบยังรองรับ NVIDIA Driver รุ่นล่าสุด 580.105.08 และปรับปรุงการใช้งานทัชแพดให้ลื่นไหลขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในเครื่องมือของ PorteuX เช่น Language Switcher และ Timezone Switcher ที่ใช้งานง่ายขึ้น 🧠 ทำไม PorteuX ถึงน่าสนใจ? PorteuX โดดเด่นด้วยแนวคิด “modular & immutable” คือระบบที่สามารถเพิ่มหรือลดโมดูลได้ตามต้องการ และมีความเสถียรสูงเพราะไม่เปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบหลักโดยตรง เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบเบา เร็ว และพกพาได้ เช่น ใช้งานจาก USB หรือ Live CD นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ เช่น linker flags ที่ดีขึ้น ทำให้โปรแกรมทำงานเร็วขึ้นและขนาดไฟล์เล็กลง รวมถึงการเขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียรกว่าเดิม ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน PorteuX 2.4 ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 รุ่นล่าสุด ➡️ มีเดสก์ท็อปให้เลือกถึง 8 แบบ ➡️ รองรับ NVIDIA Driver 580.105.08 ➡️ ปรับปรุงการรองรับทัชแพด ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ใน Language และ Timezone Switcher ➡️ รองรับ cheatcode ใหม่ เช่น noupdateclock และ kmap ➡️ รองรับ HEIC image ใน LXQt ➡️ autoload สำหรับ cron และ docker ➡️ ปรับปรุง deactivate -f ให้เสถียรขึ้น ➡️ ปรับปรุง gtkdialog.py ให้รองรับ line wrapping ➡️ ปรับ linker flags ให้โปรแกรมเร็วขึ้น ➡️ เขียนแอป PorteuX Modules ใหม่ให้เร็วและเสถียร ➡️ อัปเดตไอคอนใน Xfce ให้เปลี่ยนตามธีมอัตโนมัติ ➡️ ปรับธีมใน LXDE และเครื่องมือค้นหาใน MATE ➡️ ปรับสคริปต์ deactivate ให้ใช้ lazy parameter ➡️ แก้ปัญหา date/time ตอนบูต ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลของ Cinnamon บน Wayland ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ cheatcode ต้องศึกษาก่อนใช้งานเพื่อไม่ให้กระทบระบบ ⛔ การใช้ Wayland อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางเดสก์ท็อป เช่น Cinnamon และ GNOME ⛔ การเปลี่ยนโมดูลระบบควรทำด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ระบบเสียหาย https://9to5linux.com/slackware-based-porteux-2-4-is-out-with-linux-6-17-cosmic-and-lxqt-2-3-desktops
    9TO5LINUX.COM
    Slackware-Based PorteuX 2.4 Is Out with Linux 6.17, COSMIC and LXQt 2.3 Desktops - 9to5Linux
    PorteuX 2.4 Linux distribution is now available for download with Linux kernel 6.17, GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.2, and LXQt 2.3.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • ปีที่พลิกโฉม Apple: MacBook Pro จอสัมผัส, iPhone พับได้ และ AI สุขภาพ

    Apple เตรียมเข้าสู่ปี 2026 ด้วยแผนผลิตภัณฑ์ที่เรียกได้ว่า “พลิกเกม” ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยมีการเปิดเผยจาก Bloomberg ว่า Apple จะเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจอ OLED และ ระบบสัมผัส (touchscreen) เป็นครั้งแรก รวมถึง iPhone พับได้ และบริการใหม่ด้านสุขภาพที่ใช้ AI

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ Apple ที่ต้องการตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด และสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง macOS, iPadOS และ visionOS ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

    MacBook Pro รุ่นใหม่: จอสัมผัส + OLED + M6 Pro/Max
    เปิดตัวช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027
    ใช้ชิป M6 Pro และ M6 Max
    มาพร้อมจอ OLED และระบบสัมผัส
    ดีไซน์บางลง และแยกชัดเจนจากรุ่นเริ่มต้นที่ใช้ชิป M6 ธรรมดา
    macOS รุ่นใหม่จะรองรับการสัมผัสเต็มรูปแบบ

    iPhone พับได้ และชิป C1
    iPhone 18 Pro จะใช้โมเดม C1 ที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง แทน Qualcomm
    เปิดตัว iPhone พับได้ รุ่นแรกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 2026
    เสริมความสามารถด้าน satellite communication และ AI

    Apple Health+: AI ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
    เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Health+ ที่รวม Apple Fitness+ เข้าด้วยกัน
    มี AI chatbot ที่ช่วยติดตามสุขภาพและให้คำแนะนำ
    เป็นการต่อยอดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรหลัง COO Jeff Williams เกษียณ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้รุ่นเก่า
    MacBook Pro รุ่น M5 จะยังใช้ดีไซน์เดิม ไม่มีจอสัมผัส
    iPhone รุ่นก่อน iPhone 18 จะยังใช้โมเดม Qualcomm

    ความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
    Apple กำลังแยกชัดเจนระหว่างรุ่น Pro และรุ่นเริ่มต้น
    ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ใหม่อาจต้องจ่ายแพงขึ้น

    https://securityonline.info/touchscreen-macbook-pro-foldable-iphone-apples-most-pivotal-year-yet-revealed/
    📱 ปีที่พลิกโฉม Apple: MacBook Pro จอสัมผัส, iPhone พับได้ และ AI สุขภาพ Apple เตรียมเข้าสู่ปี 2026 ด้วยแผนผลิตภัณฑ์ที่เรียกได้ว่า “พลิกเกม” ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยมีการเปิดเผยจาก Bloomberg ว่า Apple จะเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจอ OLED และ ระบบสัมผัส (touchscreen) เป็นครั้งแรก รวมถึง iPhone พับได้ และบริการใหม่ด้านสุขภาพที่ใช้ AI การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ Apple ที่ต้องการตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด และสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง macOS, iPadOS และ visionOS ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 💻 MacBook Pro รุ่นใหม่: จอสัมผัส + OLED + M6 Pro/Max 💠 เปิดตัวช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027 💠 ใช้ชิป M6 Pro และ M6 Max 💠 มาพร้อมจอ OLED และระบบสัมผัส 💠 ดีไซน์บางลง และแยกชัดเจนจากรุ่นเริ่มต้นที่ใช้ชิป M6 ธรรมดา 💠 macOS รุ่นใหม่จะรองรับการสัมผัสเต็มรูปแบบ 📱 iPhone พับได้ และชิป C1 🎗️ iPhone 18 Pro จะใช้โมเดม C1 ที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง แทน Qualcomm 🎗️ เปิดตัว iPhone พับได้ รุ่นแรกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 2026 🎗️ เสริมความสามารถด้าน satellite communication และ AI 🧠 Apple Health+: AI ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร 📍 เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Health+ ที่รวม Apple Fitness+ เข้าด้วยกัน 📍 มี AI chatbot ที่ช่วยติดตามสุขภาพและให้คำแนะนำ 📍 เป็นการต่อยอดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรหลัง COO Jeff Williams เกษียณ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้รุ่นเก่า ⛔ MacBook Pro รุ่น M5 จะยังใช้ดีไซน์เดิม ไม่มีจอสัมผัส ⛔ iPhone รุ่นก่อน iPhone 18 จะยังใช้โมเดม Qualcomm ‼️ ความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ ⛔ Apple กำลังแยกชัดเจนระหว่างรุ่น Pro และรุ่นเริ่มต้น ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ใหม่อาจต้องจ่ายแพงขึ้น https://securityonline.info/touchscreen-macbook-pro-foldable-iphone-apples-most-pivotal-year-yet-revealed/
    SECURITYONLINE.INFO
    Touchscreen MacBook Pro & Foldable iPhone: Apple's "Most Pivotal Year Yet" Revealed
    Apple's 2026 roadmap is huge: M6 Pro/Max MacBook Pros with OLED and touchscreen, a foldable iPhone, and a new AI-powered Health+ service.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • ภัยเงียบจากกล้องสู่ระบบ: ช่องโหว่ CVE-2025-21042 บน Samsung เปิดทางให้สปายแวร์ Landfall เจาะเครื่องแบบ Zero-Click
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GraphSense Labs ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ Samsung ที่ใช้ Android ซึ่งถูกระบุด้วยรหัส CVE-2025-21042 โดยช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล DNG image parser ที่ใช้ประมวลผลไฟล์ภาพแบบ RAW (Digital Negative)

    สิ่งที่ทำให้ช่องโหว่นี้น่ากลัวคือมันเป็น Zero-Click Exploit—ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ใดๆ เพียงแค่ได้รับไฟล์ DNG ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านแอปที่มีสิทธิ์เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal หรือแม้แต่ Samsung Messages ก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที

    มัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า Landfall ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่สามารถ:
    เข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, และตำแหน่ง GPS
    ขโมยข้อความ, รายชื่อ, และไฟล์ในเครื่อง
    ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลแบบเงียบๆ

    Zero-Click คือการโจมตีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการใดๆ เช่น คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น การแสดงตัวอย่างภาพหรือข้อความ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายและไม่รู้ตัว

    ช่องโหว่ CVE-2025-21042
    อยู่ใน DNG image parser ของ Samsung
    เปิดช่องให้โจมตีแบบ Zero-Click ผ่านไฟล์ภาพ

    มัลแวร์ Landfall
    เป็นสปายแวร์ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ Android ได้แบบเต็มรูปแบบ
    ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อฝังตัวโดยไม่ต้องอาศัยการคลิก

    วิธีการแพร่กระจาย
    ส่งไฟล์ DNG ผ่านแอปที่เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal
    ใช้ social engineering เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดแอปที่มีการโหลดภาพอัตโนมัติ

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Samsung
    อุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจถูกเจาะได้ทันที
    การโจมตีแบบ Zero-Click ทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปิดการแสดงตัวอย่างภาพอัตโนมัติในแอปแชท (ถ้ามี)
    หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์ภาพจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

    https://securityonline.info/zero-click-samsung-zero-day-cve-2025-21042-delivered-landfall-spyware-via-malicious-dng-images/
    🧨 ภัยเงียบจากกล้องสู่ระบบ: ช่องโหว่ CVE-2025-21042 บน Samsung เปิดทางให้สปายแวร์ Landfall เจาะเครื่องแบบ Zero-Click นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GraphSense Labs ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ Samsung ที่ใช้ Android ซึ่งถูกระบุด้วยรหัส CVE-2025-21042 โดยช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล DNG image parser ที่ใช้ประมวลผลไฟล์ภาพแบบ RAW (Digital Negative) สิ่งที่ทำให้ช่องโหว่นี้น่ากลัวคือมันเป็น Zero-Click Exploit—ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ใดๆ เพียงแค่ได้รับไฟล์ DNG ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านแอปที่มีสิทธิ์เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal หรือแม้แต่ Samsung Messages ก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที มัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า Landfall ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่สามารถ: 🎗️ เข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, และตำแหน่ง GPS 🎗️ ขโมยข้อความ, รายชื่อ, และไฟล์ในเครื่อง 🎗️ ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลแบบเงียบๆ Zero-Click คือการโจมตีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการใดๆ เช่น คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น การแสดงตัวอย่างภาพหรือข้อความ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายและไม่รู้ตัว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-21042 ➡️ อยู่ใน DNG image parser ของ Samsung ➡️ เปิดช่องให้โจมตีแบบ Zero-Click ผ่านไฟล์ภาพ ✅ มัลแวร์ Landfall ➡️ เป็นสปายแวร์ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ Android ได้แบบเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อฝังตัวโดยไม่ต้องอาศัยการคลิก ✅ วิธีการแพร่กระจาย ➡️ ส่งไฟล์ DNG ผ่านแอปที่เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal ➡️ ใช้ social engineering เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดแอปที่มีการโหลดภาพอัตโนมัติ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Samsung ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจถูกเจาะได้ทันที ⛔ การโจมตีแบบ Zero-Click ทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ⛔ ปิดการแสดงตัวอย่างภาพอัตโนมัติในแอปแชท (ถ้ามี) ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์ภาพจากแหล่งที่ไม่รู้จัก https://securityonline.info/zero-click-samsung-zero-day-cve-2025-21042-delivered-landfall-spyware-via-malicious-dng-images/
    SECURITYONLINE.INFO
    Zero-Click Samsung Zero-Day (CVE-2025-21042) Delivered LANDFALL Spyware Via Malicious DNG Images
    Unit 42 exposed LANDFALL, commercial-grade spyware that exploited a Samsung zero-day (CVE-2025-21042) in the image library libimagecodec.quram.so to compromise Galaxy phones via DNG images sent over WhatsApp.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เมื่อโค้ดดีๆ กลายเป็นระเบิดเวลา: แพ็กเกจ NuGet ปลอมแฝงมัลแวร์ทำลายระบบในวันกำหนด

    Socket’s Threat Research Team ได้เปิดเผยการโจมตี supply chain ที่ซับซ้อนในแพลตฟอร์ม NuGet โดยพบว่า 9 แพ็กเกจปลอม ที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ shanhai666 ได้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 9,488 ครั้ง และแฝงโค้ดทำลายระบบแบบตั้งเวลาไว้ภายใน

    แพ็กเกจเหล่านี้ดูเหมือนจะทำงานได้ดีและมีโค้ดที่ใช้ pattern มาตรฐาน เช่น Repository, Unit of Work และ ORM mapping ซึ่งช่วยให้ผ่านการตรวจสอบโค้ดได้ง่าย แต่แอบฝังโค้ดอันตรายไว้เพียง ~20 บรรทัดที่สามารถ ทำลายระบบหรือข้อมูล ได้เมื่อถึงวันที่กำหนด เช่น 8 สิงหาคม 2027 หรือ 29 พฤศจิกายน 2028

    เทคนิคการโจมตี: Extension Method Injection
    มัลแวร์ใช้ C# extension methods เพื่อแทรกฟังก์ชันอันตรายเข้าไปใน API ที่ดูปลอดภัย เช่น .Exec() และ .BeginTran() ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC (Programmable Logic Controller)

    หลังจากถึงวันที่ trigger มัลแวร์จะสุ่มเลข 1–100 และหากเกิน 80 (20% โอกาส) จะเรียก Process.GetCurrentProcess().Kill() เพื่อปิดโปรแกรมทันที

    ตัวอย่างผลกระทบ
    E-commerce (100 queries/min) → crash ภายใน ~3 วินาที
    Healthcare (50 queries/min) → crash ภายใน ~6 วินาที
    Financial (500 queries/min) → crash ภายใน <1 วินาที
    Manufacturing (10 ops/min) → crash ภายใน ~30 วินาที พร้อม silent data corruption

    แพ็กเกจที่อันตรายที่สุดคือ Sharp7Extend ซึ่งแฝงตัวเป็น library สำหรับ Siemens S7 PLC โดยรวมโค้ด Sharp7 จริงไว้ด้วยเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

    ลักษณะการโจมตี
    ใช้แพ็กเกจ NuGet ที่ดูน่าเชื่อถือและมีโค้ดจริงผสมมัลแวร์
    ใช้ extension methods เพื่อแทรกโค้ดอันตรายแบบแนบเนียน
    โค้ดจะทำงานเมื่อถึงวันที่ trigger ที่ถูก hardcoded ไว้

    ผลกระทบต่อระบบ
    ทำให้โปรแกรม crash ทันทีเมื่อ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC
    มีโอกาส 20% ต่อการเรียกแต่ละครั้ง—แต่ในระบบที่มี query สูงจะ crash ภายในไม่กี่วินาที
    Sharp7Extend ยังทำให้การเขียนข้อมูลล้มเหลวแบบเงียบถึง 80% หลัง 30–90 นาที

    เทคนิคการหลบซ่อน
    ใช้โค้ดจริงเพื่อหลอกให้ดูน่าเชื่อถือ
    ปลอมชื่อผู้เขียนใน .nuspec เพื่อหลบการตรวจสอบ reputation
    มีการใช้คำจีนใน DLL เช่น “连接失败” และ “出现异常”

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    ระบบฐานข้อมูลและ PLC ที่ใช้แพ็กเกจเหล่านี้อาจ crash หรือเสียหายแบบไม่รู้ตัว
    การตรวจสอบโค้ดทั่วไปอาจไม่พบ เพราะมัลแวร์ฝังใน extension method ที่ดูปลอดภัย

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ตรวจสอบแพ็กเกจ NuGet ที่ใช้ โดยเฉพาะที่มีชื่อคล้าย Sharp7 หรือมีผู้เขียนไม่ชัดเจน
    หลีกเลี่ยงการใช้แพ็กเกจจากผู้ใช้ที่ไม่มีประวัติชัดเจน
    ใช้เครื่องมือ static analysis ที่สามารถตรวจจับ extension method injection ได้

    https://securityonline.info/nuget-sabotage-time-delayed-logic-in-9-packages-risks-total-app-destruction-on-hardcoded-dates/
    🧬 เมื่อโค้ดดีๆ กลายเป็นระเบิดเวลา: แพ็กเกจ NuGet ปลอมแฝงมัลแวร์ทำลายระบบในวันกำหนด Socket’s Threat Research Team ได้เปิดเผยการโจมตี supply chain ที่ซับซ้อนในแพลตฟอร์ม NuGet โดยพบว่า 9 แพ็กเกจปลอม ที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ shanhai666 ได้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 9,488 ครั้ง และแฝงโค้ดทำลายระบบแบบตั้งเวลาไว้ภายใน แพ็กเกจเหล่านี้ดูเหมือนจะทำงานได้ดีและมีโค้ดที่ใช้ pattern มาตรฐาน เช่น Repository, Unit of Work และ ORM mapping ซึ่งช่วยให้ผ่านการตรวจสอบโค้ดได้ง่าย แต่แอบฝังโค้ดอันตรายไว้เพียง ~20 บรรทัดที่สามารถ ทำลายระบบหรือข้อมูล ได้เมื่อถึงวันที่กำหนด เช่น 8 สิงหาคม 2027 หรือ 29 พฤศจิกายน 2028 🧠 เทคนิคการโจมตี: Extension Method Injection มัลแวร์ใช้ C# extension methods เพื่อแทรกฟังก์ชันอันตรายเข้าไปใน API ที่ดูปลอดภัย เช่น .Exec() และ .BeginTran() ซึ่งจะถูกเรียกใช้ทุกครั้งที่มีการ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC (Programmable Logic Controller) หลังจากถึงวันที่ trigger มัลแวร์จะสุ่มเลข 1–100 และหากเกิน 80 (20% โอกาส) จะเรียก Process.GetCurrentProcess().Kill() เพื่อปิดโปรแกรมทันที 🧪 ตัวอย่างผลกระทบ 🪲 E-commerce (100 queries/min) → crash ภายใน ~3 วินาที 🪲 Healthcare (50 queries/min) → crash ภายใน ~6 วินาที 🪲 Financial (500 queries/min) → crash ภายใน <1 วินาที 🪲 Manufacturing (10 ops/min) → crash ภายใน ~30 วินาที พร้อม silent data corruption แพ็กเกจที่อันตรายที่สุดคือ Sharp7Extend ซึ่งแฝงตัวเป็น library สำหรับ Siemens S7 PLC โดยรวมโค้ด Sharp7 จริงไว้ด้วยเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ✅ ลักษณะการโจมตี ➡️ ใช้แพ็กเกจ NuGet ที่ดูน่าเชื่อถือและมีโค้ดจริงผสมมัลแวร์ ➡️ ใช้ extension methods เพื่อแทรกโค้ดอันตรายแบบแนบเนียน ➡️ โค้ดจะทำงานเมื่อถึงวันที่ trigger ที่ถูก hardcoded ไว้ ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ ทำให้โปรแกรม crash ทันทีเมื่อ query ฐานข้อมูลหรือสื่อสารกับ PLC ➡️ มีโอกาส 20% ต่อการเรียกแต่ละครั้ง—แต่ในระบบที่มี query สูงจะ crash ภายในไม่กี่วินาที ➡️ Sharp7Extend ยังทำให้การเขียนข้อมูลล้มเหลวแบบเงียบถึง 80% หลัง 30–90 นาที ✅ เทคนิคการหลบซ่อน ➡️ ใช้โค้ดจริงเพื่อหลอกให้ดูน่าเชื่อถือ ➡️ ปลอมชื่อผู้เขียนใน .nuspec เพื่อหลบการตรวจสอบ reputation ➡️ มีการใช้คำจีนใน DLL เช่น “连接失败” และ “出现异常” ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ระบบฐานข้อมูลและ PLC ที่ใช้แพ็กเกจเหล่านี้อาจ crash หรือเสียหายแบบไม่รู้ตัว ⛔ การตรวจสอบโค้ดทั่วไปอาจไม่พบ เพราะมัลแวร์ฝังใน extension method ที่ดูปลอดภัย ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ตรวจสอบแพ็กเกจ NuGet ที่ใช้ โดยเฉพาะที่มีชื่อคล้าย Sharp7 หรือมีผู้เขียนไม่ชัดเจน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้แพ็กเกจจากผู้ใช้ที่ไม่มีประวัติชัดเจน ⛔ ใช้เครื่องมือ static analysis ที่สามารถตรวจจับ extension method injection ได้ https://securityonline.info/nuget-sabotage-time-delayed-logic-in-9-packages-risks-total-app-destruction-on-hardcoded-dates/
    SECURITYONLINE.INFO
    NuGet Sabotage: Time-Delayed Logic in 9 Packages Risks Total App Destruction on Hardcoded Dates
    A NuGet supply chain attack injected time-delayed destructive logic into 9 packages. The malware triggers random crashes and silent data corruption on hardcoded future dates, targeting database/PLC applications.
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
More Results