• เผือกเส้นสวยเป๊ะ! หากคุณกำลังมองหาเครื่องจักรที่สามารถหั่น เผือก ให้ออกมาเป็น เส้นยาวเรียว ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณเห็นในภาพนี้ (เน้นความสม่ำเสมอของเส้น) คุณมาถูกที่แล้ว!

    เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) Model YPS-J300-606-Z-S จาก ย.ย่งฮะเฮง คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ร้านขนม โรงงานแปรรูป และผู้ค้าส่ง ได้ชิ้นงานคุณภาพสูงเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น:

    เผือกเส้นทอด/อบ: ได้เส้นสวยเท่ากันหมด ทอดแล้วสุกพร้อมกัน กรอบนาน

    เผือกเส้นสำหรับขนม: หรือส่วนผสมอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการความประณีต

    สเปคเครื่องจักรที่สร้างสรรค์คุณภาพ:
    สร้างชิ้นงานสวยเป๊ะ: เครื่องนี้สามารถหั่นเผือกเป็นเส้นได้สวยงามตามภาพที่คุณเห็น และสามารถ ปรับความหนาบางได้ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการทุกล็อตการผลิต
    ความเร็วเหนือกว่าแรงงานคน: ทำงานต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตสูง 100 – 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง! (มอเตอร์ 1 HP, 220 V.)

    หยุดพึ่งพาการหั่นด้วยมือ! ลงทุนกับเครื่องจักรที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพและความสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณต้องการ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมั่นใจ

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นเผือก #เผือกเส้น #เผือกทอด #เผือกแปรรูป #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #โรงงานอาหาร #ธุรกิจร้านขนม #ผู้ค้าส่ง #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #กำลังการผลิตสูง #มาตรฐานการผลิต #อาหารแช่แข็ง #วัตถุดิบ #อุปกรณ์ครัว #ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักร1HP #ลงทุนธุรกิจ #สินค้าอุตสาหกรรม #ทำกำไร #เผือก #มืออาชีพ #เทคนิคการผลิต
    ✨ เผือกเส้นสวยเป๊ะ! หากคุณกำลังมองหาเครื่องจักรที่สามารถหั่น เผือก ให้ออกมาเป็น เส้นยาวเรียว ได้มาตรฐานสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณเห็นในภาพนี้ (เน้นความสม่ำเสมอของเส้น) คุณมาถูกที่แล้ว! เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) Model YPS-J300-606-Z-S จาก ย.ย่งฮะเฮง คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ ร้านขนม โรงงานแปรรูป และผู้ค้าส่ง ได้ชิ้นงานคุณภาพสูงเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น: เผือกเส้นทอด/อบ: ได้เส้นสวยเท่ากันหมด ทอดแล้วสุกพร้อมกัน กรอบนาน เผือกเส้นสำหรับขนม: หรือส่วนผสมอาหารอื่น ๆ ที่ต้องการความประณีต ⚙️ สเปคเครื่องจักรที่สร้างสรรค์คุณภาพ: 📌สร้างชิ้นงานสวยเป๊ะ: เครื่องนี้สามารถหั่นเผือกเป็นเส้นได้สวยงามตามภาพที่คุณเห็น และสามารถ ปรับความหนาบางได้ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการทุกล็อตการผลิต 📌ความเร็วเหนือกว่าแรงงานคน: ทำงานต่อเนื่องด้วยกำลังการผลิตสูง 100 – 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง! (มอเตอร์ 1 HP, 220 V.) 🔥 หยุดพึ่งพาการหั่นด้วยมือ! ลงทุนกับเครื่องจักรที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพและความสม่ำเสมอ เหมือนที่คุณต้องการ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมั่นใจ 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นเผือก #เผือกเส้น #เผือกทอด #เผือกแปรรูป #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #โรงงานอาหาร #ธุรกิจร้านขนม #ผู้ค้าส่ง #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #กำลังการผลิตสูง #มาตรฐานการผลิต #อาหารแช่แข็ง #วัตถุดิบ #อุปกรณ์ครัว #ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักร1HP #ลงทุนธุรกิจ #สินค้าอุตสาหกรรม #ทำกำไร #เผือก #มืออาชีพ #เทคนิคการผลิต
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TrashBench แปลง RTX 5050 เป็น ‘5050 Ti’ ด้วยมือ — ทำลายสถิติโลก 3DMark หลายรายการ แต่แลกมาด้วยการหมดประกัน”

    ในโลกของนักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับข้อจำกัดจากโรงงาน ล่าสุด TrashBench ยูทูบเบอร์สายฮาร์ดคอร์ ได้โชว์การอัปเกรด GeForce RTX 5050 ให้กลายเป็น “RTX 5050 Ti” ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา — ทั้งการเปลี่ยนฮีตซิงก์, ติดตั้งพัดลมใหม่, และแฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่

    เขาเริ่มจากการถอดฮีตซิงก์เดิมของ RTX 5050 แล้วนำของ RTX 5060 ที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจนมาใส่แทน โดยต้องเจาะและปรับแต่งให้พอดีกับ PCB เดิม จากนั้นติดตั้งพัดลม GAMDIAS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ก่อนจะใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS ใหม่ ซึ่งทำให้ GPU ทำงานได้แรงขึ้นถึง 3.3GHz — สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิมถึง 500MHz

    ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม และลดช่องว่างกับ RTX 5060 ที่เคยแรงกว่าถึง 33% เหลือเพียงราว 17% เท่านั้น ที่สำคัญ TrashBench ยังทำลายสถิติโลกในหลายการทดสอบ เช่น Time Spy (11,715 คะแนน), Steel Nomad (2,703 คะแนน), และ Port Royal (7,001 คะแนน — เป็นคนแรกที่ทะลุ 7,000)

    แม้จะดูน่าทึ่ง แต่การโมดิฟายเช่นนี้ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน — การหมดประกัน, ความเสี่ยงด้านความร้อน, และความไม่แน่นอนของระบบในระยะยาว ซึ่ง TrashBench ก็ยอมรับว่า “ไม่ใช่ทุกคนควรทำแบบนี้” และแนะนำให้คนทั่วไปเพิ่มงบอีก $50 เพื่อซื้อ RTX 5060 ไปเลยจะคุ้มกว่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TrashBench โมดิฟาย RTX 5050 ด้วยฮีตซิงก์ของ RTX 5060 และพัดลม GAMDIAS
    ใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพ
    GPU ทำงานได้ที่ 3.3GHz สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิม 500MHz
    ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม
    ลดช่องว่างกับ RTX 5060 จาก 33% เหลือประมาณ 17%
    ทำลายสถิติโลกใน 3DMark หลายรายการ เช่น Time Spy, Steel Nomad, Port Royal
    TrashBench เป็นยูทูบเบอร์สายฮาร์ดแวร์ที่มีชื่อเสียงด้านการโอเวอร์คล็อก
    แนะนำให้คนทั่วไปซื้อ RTX 5060 โดยไม่ต้องโมดิฟาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVFLASH เป็นเครื่องมือแฟลช BIOS สำหรับการ์ดจอ NVIDIA โดยเฉพาะ
    การเปลี่ยนฮีตซิงก์ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่ร้อนเกินไป
    Port Royal เป็นการทดสอบ ray tracing ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการ์ดจอรุ่นใหม่
    Steel Nomad เป็น benchmark ใหม่ที่เน้นการทดสอบการเรนเดอร์แบบหนัก
    การ์ดจอที่โอเวอร์คล็อกได้ดีมักต้องมีระบบระบายความร้อนที่เหนือกว่ามาตรฐาน

    https://wccftech.com/user-upgrades-geforce-rtx-5050-to-rtx-5050-ti-breaks-multiple-world-records/
    ⚙️ “TrashBench แปลง RTX 5050 เป็น ‘5050 Ti’ ด้วยมือ — ทำลายสถิติโลก 3DMark หลายรายการ แต่แลกมาด้วยการหมดประกัน” ในโลกของนักโมดิฟายฮาร์ดแวร์ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับข้อจำกัดจากโรงงาน ล่าสุด TrashBench ยูทูบเบอร์สายฮาร์ดคอร์ ได้โชว์การอัปเกรด GeForce RTX 5050 ให้กลายเป็น “RTX 5050 Ti” ด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา — ทั้งการเปลี่ยนฮีตซิงก์, ติดตั้งพัดลมใหม่, และแฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ เขาเริ่มจากการถอดฮีตซิงก์เดิมของ RTX 5050 แล้วนำของ RTX 5060 ที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจนมาใส่แทน โดยต้องเจาะและปรับแต่งให้พอดีกับ PCB เดิม จากนั้นติดตั้งพัดลม GAMDIAS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ก่อนจะใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS ใหม่ ซึ่งทำให้ GPU ทำงานได้แรงขึ้นถึง 3.3GHz — สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิมถึง 500MHz ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม และลดช่องว่างกับ RTX 5060 ที่เคยแรงกว่าถึง 33% เหลือเพียงราว 17% เท่านั้น ที่สำคัญ TrashBench ยังทำลายสถิติโลกในหลายการทดสอบ เช่น Time Spy (11,715 คะแนน), Steel Nomad (2,703 คะแนน), และ Port Royal (7,001 คะแนน — เป็นคนแรกที่ทะลุ 7,000) แม้จะดูน่าทึ่ง แต่การโมดิฟายเช่นนี้ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน — การหมดประกัน, ความเสี่ยงด้านความร้อน, และความไม่แน่นอนของระบบในระยะยาว ซึ่ง TrashBench ก็ยอมรับว่า “ไม่ใช่ทุกคนควรทำแบบนี้” และแนะนำให้คนทั่วไปเพิ่มงบอีก $50 เพื่อซื้อ RTX 5060 ไปเลยจะคุ้มกว่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TrashBench โมดิฟาย RTX 5050 ด้วยฮีตซิงก์ของ RTX 5060 และพัดลม GAMDIAS ➡️ ใช้โปรแกรม NVFLASH แฟลช BIOS เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพ ➡️ GPU ทำงานได้ที่ 3.3GHz สูงกว่าค่ามาตรฐานเดิม 500MHz ➡️ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับ RTX 5050 เดิม ➡️ ลดช่องว่างกับ RTX 5060 จาก 33% เหลือประมาณ 17% ➡️ ทำลายสถิติโลกใน 3DMark หลายรายการ เช่น Time Spy, Steel Nomad, Port Royal ➡️ TrashBench เป็นยูทูบเบอร์สายฮาร์ดแวร์ที่มีชื่อเสียงด้านการโอเวอร์คล็อก ➡️ แนะนำให้คนทั่วไปซื้อ RTX 5060 โดยไม่ต้องโมดิฟาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVFLASH เป็นเครื่องมือแฟลช BIOS สำหรับการ์ดจอ NVIDIA โดยเฉพาะ ➡️ การเปลี่ยนฮีตซิงก์ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่ร้อนเกินไป ➡️ Port Royal เป็นการทดสอบ ray tracing ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการ์ดจอรุ่นใหม่ ➡️ Steel Nomad เป็น benchmark ใหม่ที่เน้นการทดสอบการเรนเดอร์แบบหนัก ➡️ การ์ดจอที่โอเวอร์คล็อกได้ดีมักต้องมีระบบระบายความร้อนที่เหนือกว่ามาตรฐาน https://wccftech.com/user-upgrades-geforce-rtx-5050-to-rtx-5050-ti-breaks-multiple-world-records/
    WCCFTECH.COM
    User Upgrades GeForce RTX 5050 To RTX 5050 "Ti"; Breaks Multiple World Records
    A user modded his GeForce RTX 5050 by replacing its cooler and flashing its BIOS, closing the gap between RTX 5050 and RTX 5060.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ระบบอุตสาหกรรมกว่า 200,000 จุดเสี่ยงถูกแฮก — รายงานชี้ความประมาทและความสะดวกกลายเป็นภัยไซเบอร์ระดับชาติ”

    หลังจากหลายปีที่มีความพยายามลดความเสี่ยงด้านไซเบอร์ในระบบควบคุมอุตสาหกรรม (ICS/OT) รายงานล่าสุดจาก Bitsight กลับพบว่าแนวโน้มการเปิดเผยระบบต่ออินเทอร์เน็ตกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยในปี 2024 จำนวนอุปกรณ์ที่เข้าถึงได้จากสาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 160,000 เป็น 180,000 จุด หรือเพิ่มขึ้น 12% และคาดว่าจะทะลุ 200,000 จุดภายในสิ้นปี 2025

    ระบบเหล่านี้รวมถึงอุปกรณ์ควบคุมโรงงานน้ำ, ระบบอัตโนมัติในอาคาร, และเครื่องวัดระดับถังน้ำมันที่ไม่มีระบบยืนยันตัวตน ซึ่งหลายตัวมีช่องโหว่ระดับ CVSS 10.0 ที่สามารถถูกโจมตีได้ง่าย โดยมัลแวร์ใหม่อย่าง FrostyGoop และ Fuxnet ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะระบบ ICS โดยเฉพาะ

    Pedro Umbelino นักวิจัยจาก Bitsight เตือนว่า “นี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาด — แต่มันคือความเสี่ยงเชิงระบบที่ไม่อาจให้อภัยได้” เพราะการเปิดระบบเหล่านี้ต่ออินเทอร์เน็ตมักเกิดจากความสะดวก เช่น การติดตั้งเร็ว, การเข้าถึงจากระยะไกล, หรือการเชื่อมต่อทุกอย่างไว้ในระบบเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัย

    AI ก็มีบทบาททั้งด้านดีและร้าย — ฝั่งผู้ป้องกันใช้ machine learning เพื่อสแกนและตรวจจับความผิดปกติในระบบ แต่ฝั่งผู้โจมตีก็ใช้ LLM เพื่อสร้างมัลแวร์และหาช่องโหว่ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูง เช่น GPU farm อีกต่อไป

    รายงานแนะนำให้ผู้ดูแลระบบ ICS/OT ดำเนินการทันที เช่น ปิดการเข้าถึงจากสาธารณะ, กำหนดค่าเริ่มต้นของผู้ขายให้ปลอดภัยขึ้น, และร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพราะระบบเหล่านี้ไม่ได้แค่ควบคุมเครื่องจักร — แต่ควบคุม “ความไว้วางใจ” ของสังคม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จำนวนระบบ ICS/OT ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2024
    คาดว่าจะทะลุ 200,000 จุดภายในสิ้นปี 2025 หากไม่มีการแก้ไข
    ระบบที่เสี่ยงรวมถึงอุปกรณ์ควบคุมโรงงานน้ำ, ระบบอัตโนมัติในอาคาร, และเครื่องวัดถังน้ำมัน
    หลายระบบมีช่องโหว่ระดับ CVSS 10.0 ที่สามารถถูกโจมตีได้ง่าย
    มัลแวร์ใหม่ เช่น FrostyGoop และ Fuxnet ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะ ICS โดยเฉพาะ
    AI ช่วยทั้งฝั่งป้องกันและโจมตี โดยลดต้นทุนการค้นหาช่องโหว่
    การเปิดเผยระบบมักเกิดจากความสะดวก เช่น การติดตั้งเร็วและการเข้าถึงจากระยะไกล
    รายงานแนะนำให้ปิดการเข้าถึงสาธารณะและปรับค่าความปลอดภัยของผู้ขาย
    ระบบ ICS/OT ควบคุมมากกว่าเครื่องจักร — มันควบคุมความไว้วางใจของสังคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ICS (Industrial Control Systems) คือระบบที่ใช้ควบคุมกระบวนการในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน
    OT (Operational Technology) คือเทคโนโลยีที่ใช้ในการควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ทางกายภาพ
    CVSS (Common Vulnerability Scoring System) ใช้ประเมินความรุนแรงของช่องโหว่
    FrostyGoop ใช้โปรโตคอล Modbus TCP เพื่อควบคุมอุปกรณ์ ICS โดยตรง
    ประเทศที่มีอัตราการเปิดเผยสูงสุดต่อจำนวนบริษัทคืออิตาลีและสเปน ส่วนสหรัฐฯ มีจำนวนรวมสูงสุด

    https://www.techradar.com/pro/security/unforgivable-exposure-more-than-200-000-industrial-systems-are-needlessly-exposed-to-the-web-and-hackers-and-theres-no-absolutely-excuse
    🌐 “ระบบอุตสาหกรรมกว่า 200,000 จุดเสี่ยงถูกแฮก — รายงานชี้ความประมาทและความสะดวกกลายเป็นภัยไซเบอร์ระดับชาติ” หลังจากหลายปีที่มีความพยายามลดความเสี่ยงด้านไซเบอร์ในระบบควบคุมอุตสาหกรรม (ICS/OT) รายงานล่าสุดจาก Bitsight กลับพบว่าแนวโน้มการเปิดเผยระบบต่ออินเทอร์เน็ตกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยในปี 2024 จำนวนอุปกรณ์ที่เข้าถึงได้จากสาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 160,000 เป็น 180,000 จุด หรือเพิ่มขึ้น 12% และคาดว่าจะทะลุ 200,000 จุดภายในสิ้นปี 2025 ระบบเหล่านี้รวมถึงอุปกรณ์ควบคุมโรงงานน้ำ, ระบบอัตโนมัติในอาคาร, และเครื่องวัดระดับถังน้ำมันที่ไม่มีระบบยืนยันตัวตน ซึ่งหลายตัวมีช่องโหว่ระดับ CVSS 10.0 ที่สามารถถูกโจมตีได้ง่าย โดยมัลแวร์ใหม่อย่าง FrostyGoop และ Fuxnet ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะระบบ ICS โดยเฉพาะ Pedro Umbelino นักวิจัยจาก Bitsight เตือนว่า “นี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาด — แต่มันคือความเสี่ยงเชิงระบบที่ไม่อาจให้อภัยได้” เพราะการเปิดระบบเหล่านี้ต่ออินเทอร์เน็ตมักเกิดจากความสะดวก เช่น การติดตั้งเร็ว, การเข้าถึงจากระยะไกล, หรือการเชื่อมต่อทุกอย่างไว้ในระบบเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัย AI ก็มีบทบาททั้งด้านดีและร้าย — ฝั่งผู้ป้องกันใช้ machine learning เพื่อสแกนและตรวจจับความผิดปกติในระบบ แต่ฝั่งผู้โจมตีก็ใช้ LLM เพื่อสร้างมัลแวร์และหาช่องโหว่ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูง เช่น GPU farm อีกต่อไป รายงานแนะนำให้ผู้ดูแลระบบ ICS/OT ดำเนินการทันที เช่น ปิดการเข้าถึงจากสาธารณะ, กำหนดค่าเริ่มต้นของผู้ขายให้ปลอดภัยขึ้น, และร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพราะระบบเหล่านี้ไม่ได้แค่ควบคุมเครื่องจักร — แต่ควบคุม “ความไว้วางใจ” ของสังคม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จำนวนระบบ ICS/OT ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2024 ➡️ คาดว่าจะทะลุ 200,000 จุดภายในสิ้นปี 2025 หากไม่มีการแก้ไข ➡️ ระบบที่เสี่ยงรวมถึงอุปกรณ์ควบคุมโรงงานน้ำ, ระบบอัตโนมัติในอาคาร, และเครื่องวัดถังน้ำมัน ➡️ หลายระบบมีช่องโหว่ระดับ CVSS 10.0 ที่สามารถถูกโจมตีได้ง่าย ➡️ มัลแวร์ใหม่ เช่น FrostyGoop และ Fuxnet ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะ ICS โดยเฉพาะ ➡️ AI ช่วยทั้งฝั่งป้องกันและโจมตี โดยลดต้นทุนการค้นหาช่องโหว่ ➡️ การเปิดเผยระบบมักเกิดจากความสะดวก เช่น การติดตั้งเร็วและการเข้าถึงจากระยะไกล ➡️ รายงานแนะนำให้ปิดการเข้าถึงสาธารณะและปรับค่าความปลอดภัยของผู้ขาย ➡️ ระบบ ICS/OT ควบคุมมากกว่าเครื่องจักร — มันควบคุมความไว้วางใจของสังคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ICS (Industrial Control Systems) คือระบบที่ใช้ควบคุมกระบวนการในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OT (Operational Technology) คือเทคโนโลยีที่ใช้ในการควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ทางกายภาพ ➡️ CVSS (Common Vulnerability Scoring System) ใช้ประเมินความรุนแรงของช่องโหว่ ➡️ FrostyGoop ใช้โปรโตคอล Modbus TCP เพื่อควบคุมอุปกรณ์ ICS โดยตรง ➡️ ประเทศที่มีอัตราการเปิดเผยสูงสุดต่อจำนวนบริษัทคืออิตาลีและสเปน ส่วนสหรัฐฯ มีจำนวนรวมสูงสุด https://www.techradar.com/pro/security/unforgivable-exposure-more-than-200-000-industrial-systems-are-needlessly-exposed-to-the-web-and-hackers-and-theres-no-absolutely-excuse
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Taiwan Model: ข้อเสนอพันธมิตรเทคโนโลยีใหม่ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอธิปไตยกับการลงทุนต่างแดน”

    ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 คณะผู้แทนจากไต้หวันนำโดยรองนายกรัฐมนตรี Cheng Li-chiun ได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อเสนอแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระดับสูงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Taiwan Model” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ โดยไม่กระทบต่ออธิปไตยด้านการผลิตชิปของไต้หวัน

    Taiwan Model คือข้อเสนอที่ให้บริษัทไต้หวันสามารถลงทุนในสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระ โดยรัฐบาลไต้หวันจะสนับสนุนผ่านการค้ำประกันสินเชื่อการส่งออกและระบบประกันการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษ เช่น ที่ดิน วีซ่า และการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุน

    แนวทางนี้ยังรวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์ของไต้หวันในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Hsinchu Science Park ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อเสนอ Taiwan Model ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อเสนอเดิมที่เคยถูกปฏิเสธอย่างชัดเจน เช่น การให้ไต้หวันย้ายการผลิตชิป 50% ไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไต้หวันยืนยันว่าจะเก็บการผลิตขั้นสูงไว้ภายในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีนที่อยู่ห่างออกไปเพียง 80 ไมล์

    ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กำลังผลักดันนโยบายใหม่ เช่น กฎ 1:1 ที่กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องผลิตในสหรัฐฯ หนึ่งชิปต่อการนำเข้าหนึ่งชิป เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 100% ซึ่งไต้หวันหวังว่าจะใช้ Taiwan Model เป็นเครื่องมือในการเจรจาลดภาษีเหล่านี้ และขยายสิทธิยกเว้นภาษีที่มีอยู่แล้วให้ครอบคลุมมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Taiwan Model เป็นข้อเสนอความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ
    รองนายกรัฐมนตรี Cheng Li-chiun นำคณะผู้แทนเสนอแนวทางนี้ในปลายเดือนกันยายน 2025
    บริษัทไต้หวันสามารถลงทุนในสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระ โดยมีการค้ำประกันสินเชื่อและประกันการลงทุนจากรัฐบาล
    สหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษ เช่น ที่ดิน วีซ่า และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุน
    ไต้หวันจะแบ่งปันประสบการณ์ในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    Taiwan Model ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ
    ไต้หวันปฏิเสธข้อเสนอให้ย้ายการผลิตชิป 50% ไปยังสหรัฐฯ
    สหรัฐฯ เสนอ “กฎ 1:1” เพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศ
    ไต้หวันหวังใช้ Taiwan Model เพื่อขยายสิทธิยกเว้นภาษีและลดภาษีที่มีอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Hsinchu Science Park เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของไต้หวันที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    CHIPS Act ของสหรัฐฯ เป็นนโยบายสนับสนุนการผลิตชิปในประเทศผ่านเงินทุนและสิทธิประโยชน์
    TSMC มีโรงงานในรัฐแอริโซนา แต่ยังคงเก็บการผลิตขั้นสูงไว้ในไต้หวัน
    การค้ำประกันสินเชื่อและประกันการลงทุนเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสี่ยงของธุรกิจข้ามชาติ
    ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศต้องคำนึงถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-proposes-strategic-tech-alliance-with-the-white-house-taiwan-model-would-help-companies-invest-easily-in-the-u-s-to-satisfy-demands
    🌏 “Taiwan Model: ข้อเสนอพันธมิตรเทคโนโลยีใหม่ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอธิปไตยกับการลงทุนต่างแดน” ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 คณะผู้แทนจากไต้หวันนำโดยรองนายกรัฐมนตรี Cheng Li-chiun ได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อเสนอแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระดับสูงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Taiwan Model” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ โดยไม่กระทบต่ออธิปไตยด้านการผลิตชิปของไต้หวัน Taiwan Model คือข้อเสนอที่ให้บริษัทไต้หวันสามารถลงทุนในสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระ โดยรัฐบาลไต้หวันจะสนับสนุนผ่านการค้ำประกันสินเชื่อการส่งออกและระบบประกันการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษ เช่น ที่ดิน วีซ่า และการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุน แนวทางนี้ยังรวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์ของไต้หวันในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Hsinchu Science Park ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อเสนอ Taiwan Model ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อเสนอเดิมที่เคยถูกปฏิเสธอย่างชัดเจน เช่น การให้ไต้หวันย้ายการผลิตชิป 50% ไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไต้หวันยืนยันว่าจะเก็บการผลิตขั้นสูงไว้ภายในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีนที่อยู่ห่างออกไปเพียง 80 ไมล์ ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กำลังผลักดันนโยบายใหม่ เช่น กฎ 1:1 ที่กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องผลิตในสหรัฐฯ หนึ่งชิปต่อการนำเข้าหนึ่งชิป เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 100% ซึ่งไต้หวันหวังว่าจะใช้ Taiwan Model เป็นเครื่องมือในการเจรจาลดภาษีเหล่านี้ และขยายสิทธิยกเว้นภาษีที่มีอยู่แล้วให้ครอบคลุมมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Taiwan Model เป็นข้อเสนอความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ ➡️ รองนายกรัฐมนตรี Cheng Li-chiun นำคณะผู้แทนเสนอแนวทางนี้ในปลายเดือนกันยายน 2025 ➡️ บริษัทไต้หวันสามารถลงทุนในสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระ โดยมีการค้ำประกันสินเชื่อและประกันการลงทุนจากรัฐบาล ➡️ สหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษ เช่น ที่ดิน วีซ่า และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุน ➡️ ไต้หวันจะแบ่งปันประสบการณ์ในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ Taiwan Model ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ➡️ ไต้หวันปฏิเสธข้อเสนอให้ย้ายการผลิตชิป 50% ไปยังสหรัฐฯ ➡️ สหรัฐฯ เสนอ “กฎ 1:1” เพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศ ➡️ ไต้หวันหวังใช้ Taiwan Model เพื่อขยายสิทธิยกเว้นภาษีและลดภาษีที่มีอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Hsinchu Science Park เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของไต้หวันที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ CHIPS Act ของสหรัฐฯ เป็นนโยบายสนับสนุนการผลิตชิปในประเทศผ่านเงินทุนและสิทธิประโยชน์ ➡️ TSMC มีโรงงานในรัฐแอริโซนา แต่ยังคงเก็บการผลิตขั้นสูงไว้ในไต้หวัน ➡️ การค้ำประกันสินเชื่อและประกันการลงทุนเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสี่ยงของธุรกิจข้ามชาติ ➡️ ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศต้องคำนึงถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-proposes-strategic-tech-alliance-with-the-white-house-taiwan-model-would-help-companies-invest-easily-in-the-u-s-to-satisfy-demands
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4”
    ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน
    เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย
    อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร
    มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ !
    อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) !
    อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้
    แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ !
    ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน
    ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่
    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ
    ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง
    ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ
    การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน
    อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ
    อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4” ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ ! อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) ! อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้ แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ ! ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jim Keller ชี้ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับชิประดับ 2nm — แต่มีโอกาสเป็นผู้เล่นหลัก หากปรับแผนผลิตให้แข็งแรง”

    Jim Keller สุดยอดนักออกแบบชิประดับตำนาน ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ AMD, Apple, Tesla และ Intel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงความคืบหน้าของ Intel Foundry โดยระบุว่า Intel กำลังถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm สำหรับบริษัทของเขา Tenstorrent ซึ่งกำลังพัฒนา AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V

    แม้ Keller จะมองว่า Intel มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังต้อง “ทำงานอีกมาก” เพื่อให้เทคโนโลยีของตนพร้อมสำหรับการผลิตในระดับปริมาณมาก โดยเฉพาะในแง่ของ roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TSMC, Samsung และ Rapidus อยู่พอสมควร

    Tenstorrent กำลังพูดคุยกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกเทคโนโลยี 2nm ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Samsung, Rapidus และ Intel โดย Keller ย้ำว่าเขาไม่ปิดโอกาสให้ Intel แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในแผนการผลิตและความสามารถในการส่งมอบจริง

    Intel ได้เปิดตัวกระบวนการผลิตใหม่อย่าง 18A และ 14A ซึ่งใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia โดยมีแผนจะผลิตชิปให้กับลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia และ Qualcomm ในอนาคต หากสามารถพิสูจน์ความเสถียรได้

    ในขณะเดียวกัน Rapidus จากญี่ปุ่นก็เร่งสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่เมือง Chitose และร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี EUV lithography โดยมีแผนเริ่มผลิตจริงในปี 2027 ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่น่าจับตามองในตลาด foundry ระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jim Keller กล่าวว่า Intel ยังต้องปรับปรุง roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต
    Tenstorrent กำลังพิจารณา Intel เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm
    Intel เปิดตัวกระบวนการผลิต 18A และ 14A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia
    Intel มีแผนผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia, Qualcomm
    Tenstorrent เป็นบริษัท AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และกำลังพัฒนา accelerator แบบ multi-chiplet
    Rapidus จากญี่ปุ่นร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่จะเปิดในปี 2027
    Keller เคยทำงานกับ AMD, Apple, Tesla และ Intel จึงมีอิทธิพลสูงในวงการออกแบบชิป
    Intel ต้องการเปลี่ยนจากการผลิตภายในเป็นการให้บริการ foundry แบบเปิด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    18A และ 14A ของ Intel ใช้โครงสร้าง GAA transistor ที่เรียกว่า RibbonFET
    PowerVia เป็นเทคโนโลยีส่งไฟฟ้าจากด้านหลังของชิป ช่วยลดความซับซ้อนของ routing
    Rapidus เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีเป้าหมายเป็น foundry ระดับโลก
    TSMC และ Samsung เป็นผู้นำในตลาด 2nm แต่ยังมีปัญหาเรื่อง yield และต้นทุน
    การแข่งขันในตลาด foundry กำลังเปลี่ยนจาก “ขนาดเล็กที่สุด” ไปสู่ “ความเสถียรและความยืดหยุ่นในการผลิต”

    https://wccftech.com/chip-expert-jim-keller-says-intel-is-being-considered-for-cutting-edge-chips/
    🔧 “Jim Keller ชี้ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับชิประดับ 2nm — แต่มีโอกาสเป็นผู้เล่นหลัก หากปรับแผนผลิตให้แข็งแรง” Jim Keller สุดยอดนักออกแบบชิประดับตำนาน ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ AMD, Apple, Tesla และ Intel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงความคืบหน้าของ Intel Foundry โดยระบุว่า Intel กำลังถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm สำหรับบริษัทของเขา Tenstorrent ซึ่งกำลังพัฒนา AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V แม้ Keller จะมองว่า Intel มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังต้อง “ทำงานอีกมาก” เพื่อให้เทคโนโลยีของตนพร้อมสำหรับการผลิตในระดับปริมาณมาก โดยเฉพาะในแง่ของ roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TSMC, Samsung และ Rapidus อยู่พอสมควร Tenstorrent กำลังพูดคุยกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกเทคโนโลยี 2nm ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Samsung, Rapidus และ Intel โดย Keller ย้ำว่าเขาไม่ปิดโอกาสให้ Intel แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในแผนการผลิตและความสามารถในการส่งมอบจริง Intel ได้เปิดตัวกระบวนการผลิตใหม่อย่าง 18A และ 14A ซึ่งใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia โดยมีแผนจะผลิตชิปให้กับลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia และ Qualcomm ในอนาคต หากสามารถพิสูจน์ความเสถียรได้ ในขณะเดียวกัน Rapidus จากญี่ปุ่นก็เร่งสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่เมือง Chitose และร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี EUV lithography โดยมีแผนเริ่มผลิตจริงในปี 2027 ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่น่าจับตามองในตลาด foundry ระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jim Keller กล่าวว่า Intel ยังต้องปรับปรุง roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ➡️ Tenstorrent กำลังพิจารณา Intel เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm ➡️ Intel เปิดตัวกระบวนการผลิต 18A และ 14A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ➡️ Intel มีแผนผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia, Qualcomm ➡️ Tenstorrent เป็นบริษัท AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และกำลังพัฒนา accelerator แบบ multi-chiplet ➡️ Rapidus จากญี่ปุ่นร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่จะเปิดในปี 2027 ➡️ Keller เคยทำงานกับ AMD, Apple, Tesla และ Intel จึงมีอิทธิพลสูงในวงการออกแบบชิป ➡️ Intel ต้องการเปลี่ยนจากการผลิตภายในเป็นการให้บริการ foundry แบบเปิด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 18A และ 14A ของ Intel ใช้โครงสร้าง GAA transistor ที่เรียกว่า RibbonFET ➡️ PowerVia เป็นเทคโนโลยีส่งไฟฟ้าจากด้านหลังของชิป ช่วยลดความซับซ้อนของ routing ➡️ Rapidus เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีเป้าหมายเป็น foundry ระดับโลก ➡️ TSMC และ Samsung เป็นผู้นำในตลาด 2nm แต่ยังมีปัญหาเรื่อง yield และต้นทุน ➡️ การแข่งขันในตลาด foundry กำลังเปลี่ยนจาก “ขนาดเล็กที่สุด” ไปสู่ “ความเสถียรและความยืดหยุ่นในการผลิต” https://wccftech.com/chip-expert-jim-keller-says-intel-is-being-considered-for-cutting-edge-chips/
    WCCFTECH.COM
    ‘Iconic’ Chip Expert Jim Keller Says Intel Is Being Considered For Cutting-Edge Chips, But They Have a Lot to Do to Deliver a Solid Product
    The legendary chip architect Jim Keller has shared his thoughts on Intel's processes, claiming that they need to refine the 'foundry game'.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญที่เป็นประเด็น เปรียบเทียบทองคำ ขวา กับ อัลปาก้า ซ้าย....โดยธรรมขาติของการสร้างของโรงปั๊ม ทองคำ จะปั๊มก่อน เพราะเนื้อโลหะอ่อน...จะได้ความสวยงาม...และจะยังไม่เกิดตำหนิในบล๊อค...อับปาก้าจะปั๊มท้ายๆ เลย..แต่ก็ไม่เสมอไป ..เพราะโลหะแข็งกว่า...อาจทำให้บล๊อคแม่พิมพ์เสียหายได้....ฉะนั้นความคมชัดลึก ของเนื้อทองคำ ต้องมีรายละเอียดมากกว่า ..เนื้ออื่นๆ...ยกเว้นกรณีเดียว คือ ปั๊มทีหลัง....แต่ทีหลังแบบใด...แบบเจ้าภาพส่งสร้างทองคำเพิ่มจำนวนภายหลัง...เนื่องจากมีผู้ต้องการเพิ่ม..ก็เป็นไปได้...โรงงานจากปั๊มเก็บไว้เองภายหลัง ก็เป็นไปได้...หรืออีกประเภทนึง...คือ ถอดพิมพ์ไปเลย....ไม่ขอสรุปใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เสนอแนะ ท่านผู้อ่านลองคิดต่อยอดดูครับ.
    เหรียญที่เป็นประเด็น เปรียบเทียบทองคำ ขวา กับ อัลปาก้า ซ้าย....โดยธรรมขาติของการสร้างของโรงปั๊ม ทองคำ จะปั๊มก่อน เพราะเนื้อโลหะอ่อน...จะได้ความสวยงาม...และจะยังไม่เกิดตำหนิในบล๊อค...อับปาก้าจะปั๊มท้ายๆ เลย..แต่ก็ไม่เสมอไป ..เพราะโลหะแข็งกว่า...อาจทำให้บล๊อคแม่พิมพ์เสียหายได้....ฉะนั้นความคมชัดลึก ของเนื้อทองคำ ต้องมีรายละเอียดมากกว่า ..เนื้ออื่นๆ...ยกเว้นกรณีเดียว คือ ปั๊มทีหลัง....แต่ทีหลังแบบใด...แบบเจ้าภาพส่งสร้างทองคำเพิ่มจำนวนภายหลัง...เนื่องจากมีผู้ต้องการเพิ่ม..ก็เป็นไปได้...โรงงานจากปั๊มเก็บไว้เองภายหลัง ก็เป็นไปได้...หรืออีกประเภทนึง...คือ ถอดพิมพ์ไปเลย....ไม่ขอสรุปใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เสนอแนะ ท่านผู้อ่านลองคิดต่อยอดดูครับ.
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 3”

    ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก

    แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี

    ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ

    ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส

    ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง !
    ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง

    ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy!

    ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น

    นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !)

    ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก

    ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ !
    นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ

    นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน

    สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น

    ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 3” ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง ! ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy! ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !) ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ ! นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 1”

    อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน

    แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง

    อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ

    สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า

    อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว
    พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน

    ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ
    สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน

    อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม

    อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน

    ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น

    การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 1” อิรักเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน นานแสนนานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่ม เรียกว่าเป็นมณฑลด่านนอก ซึ่งประกอบด้วย เมือง Basra, Bagdad และ Mosul อังกฤษนักล่าฯ จากเกาะใหญ่ฯ เรียกมณฑลนี่ว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แม้จะเป็นด่านนอก แต่มีความสำคัญกับออตโตมาน เพราะฉะนั้นจึงมีความเชื่อมทางชะตากรรมและทิศทางของเมืองร่วมกัน แต่บางครั้งด้วยการคมนาคมที่ขลุกขลัก ทำให้หลายครั้ง อิรัก เหมือนถูกโดดเดี่ยว ไม่รู้ทิศทางเลี้ยวของนายเหนือ ปล่อยให้อิรักหลงทางและเป็นเหยื่อเผชิญศึกอยู่แต่ลำพัง อิรักเริ่มคบค้ากับนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯ ผ่านการค้าของ English East India ซึ่งนักล่าเปิดสำนักหว่านไว้ทั่ว สำนักพวกนี้ มีหน้าที่เปิดเผยเป็นตัวแทนค้าขาย ให้กับรัฐบาลและพ่อค้าชาวอังกฤษ แต่หน้าที่หลักที่ปกปิดไว้ คือ สืบราชการลับ ครอบงำ กำกับดูแล ผู้ปกครองอาณาบริเวณที่ชาวเกาะไปตั้งสำนักอยู่ เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหน่วยงานช่างไม้ ทำหน้าที่เหลาไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ไว้ตามบ้านเหยื่อต่าง ๆ สำหรับนักล่าชาวเกาะใหญ่ อิรักอยู่ในเส้นทางติดต่อระหว่างเกาะใหญ่ของนักล่ากับอินเดีย กล่องดวงใจของ นักล่า อิรักมีขนาดกำลังดี ทั้งในแง่พลเมืองและเศรษฐกิจ พอมีเรื่องให้ทำมาค้าขาย ไม่ให้หน่วยงานช่างไม้เหงา นักล่าจึงตั้งโรงงานขึ้นใน Basra ตั้งแต่ ค.ศ. 1763 ความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอิรัก จึงไม่ใช่แบบหลวม ๆ แม้โรงงานจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่นักล่าก็พอใจที่จะให้มีโรงงาน เพื่อคนของตัวจะได้นั่งเหลาไม้อยู่แถวนั้น เพราะนักล่าเกี่ยวเอาคูเวต (Kuwait) เมืองที่มีท่าเรือน้ำลึกอยู่แถวนั้นเอาไว้ด้วย ดังนั้นแถบนี้ จึงเหมือนเป็นเส้นทางที่นักล่าวางไว้ให้เป็นทางหนี หรือทางไล่ หากออตโตมานมีปัญหาอะไร รับมือไม่ไหวก็กระโดดก้าวผ่านอิรักไปคูเวต ลงเรือหนี หรือทำกลับกัน ย้อนกลับไปเอาไม้มาเพิ่ม เข้าทางคูเวตก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นการวางจุดที่ทำให้นักล่าเคลื่อนไหวได้คล่องตัว พวก Mamluk เป็นผู้ได้รับอำนาจจากออตโตมานให้ปกครองอิรักในช่วงนั้น แต่ Mamluk เหม็นหน้าผู้ปกครองออตโตมานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงพยายามผูกสัมพันธ์กับอังกฤษ สัมพันธ์ระหว่างอิรักกับอังกฤษ จึงสมประโยชน์กัน ค.ศ. 1798 Mamluk ยอมให้อังกฤษ มาร่วมนั่งพิจารณาคดี ในห้องพิจารณาคดีที่ Bagdad นับเป็นความคืบหน้าของอังกฤษไม่น้อย และในที่สุดอังกฤษก็ตั้งสถานกงสุลใน Bagdad เมื่อ ค.ศ. 1802 การค้าขายระหว่างอังกฤษและอิรักก็ก้าวหน้าขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องการทอผ้า อังกฤษตั้งโรงงานทอผ้าในอิรัก และในที่สุด อังกฤษก็ชักจูงให้อิรักซื้อเรือกลไฟ และตั้งกิจการไปรษณีย์โทรเลข วางเสาไปทั่วเขตได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ สิ่งหนึ่งที่เหล่านักล่าอาณานิคมชอบขายให้แก่เหยื่อ คือ กิจการโทรเลข เพราะเป็นช่องทางที่ข้อมูลของเหยื่อจะหล่นมาถึงผู้ติดตั้ง ระบบและเสา เป็นของแถม หรือจริง ๆ เป็นของหลัก ที่มีค่ามากสำหรับนักล่า เป็นงานจารกรรมข่าวกรอง ที่เหยื่อไม่เคยรู้ตัว ไม่ต่างกับการติดตั้งโทรศัพท์ ในสมัยต่อมา และดาวเทียมในระยะเวลาไม่นานมานี้ พอนึกภาพออกกันไหมครับ ยิ่งตอนหลังนี้ มีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไอ้ป๊อด อีแป้ด อากู อะไรพวกนี้ มันเป็นเครื่องมือการดูดข้อมูลของเหยื่อทั้งสิ้น ถ้านึกกันไม่ทัน ก็คิดว่าผมเล่าฝันให้ฟังก็แล้วกัน อาจจะเป็นเพราะมีระยะความชิดใกล้มากไป ระหว่างพวก Mamluk กับอังกฤษ ค.ศ. 1831 พวก Mamluks ก็ถูกออตโตมานปลดกลางอากาศ ออกจากการเป็นผู้ปกครองอิรัก และออตโตมานก็เริ่มคุมเข้มอิรักใหม่ แต่การค้าขายติดต่อกับอังกฤษก็ยังดำเนินต่อไปคล้ายเหมือนเดิม อิทธิพลของฝรั่งตะวันตก ฝังรากลึกอยู่ในอิรัก ฝรั่งแนะนำให้อิรักปฏิรูปบ้านเมืองในเรื่องที่ดิน ให้มีการซื้อขายได้ และมีเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อิรักเชื่อฟัง เดินตามที่ฝรั่งจูง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเจริญ และทันสมัยอย่างที่ฝรั่งกล่อม ในที่สุดชาวอิรัก ซึ่งเคยมีชื่อเสียงในการเป็นช่างฝีมือ โดยเฉพาะในการทอพรม แกะสลักไม้ ก็ค่อย ๆ เหลือน้อยลง กลายเป็นช่างฝีมือเปิดปิดเครื่องจักรโรงงานให้ฝรั่งตะวันตกแทน ตลอดศตวรรษที่ 19 อังกฤษพอใจกับการได้ประโยชน์ ในการตั้งโรงงานไม้เหลาอยู่ที่อิรักนี้ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก และได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ออตโตมานชักเบื่อที่จะต้องถูกฝรั่งชาติเดียวหลอก จึงพยายามคบค้ากับฝรั่งชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะกับรัสเซียและเยอรมัน การแข่งขันมีมากขึ้น ไม้เสี้ยม ไม้ขัด ไม้ขวาง ทำท่าจะไม่พอใช้ ช่างไม้ชาวอังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น การมาถึงของเส้นทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ทำให้หัวคิ้วของนักล่า ขมวดผูกเป็นเงื่อนตาย นี่ยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่แอบเก็บฝังลึกไว้ในหัวสมองของชาวเกาะใหญ่ กลางคืนแทบไม่กล้านอน กลัวหลับแล้วละเมอถึงความลับ ชาวบ้านจะรู้กันหมด ? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Stark เปิดตัว Vanta Sea Drone — โดรนเรืออัจฉริยะเพื่อปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำจากภัยคุกคามยุคใหม่”

    ในยุคที่ข้อมูลและพลังงานไหลผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเป็นหลัก ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก ล่าสุดบริษัท Stark จากอังกฤษ-เยอรมนี ได้เปิดตัวเรือโดรนอัจฉริยะรุ่นใหม่ชื่อว่า Vanta-4 และ Vanta-6 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจลาดตระเวนและป้องกันภัยคุกคามต่อสายเคเบิลใต้น้ำโดยเฉพาะ

    เรือ Vanta ถูกทดสอบในภารกิจ NATO ชื่อ REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่ประเทศโปรตุเกส โดยมีบทบาทในภารกิจหลากหลาย เช่น การคุ้มกันเป้าหมายสำคัญ, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินสายตา และลาดตระเวนกลางคืนเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรอง

    Vanta-4 มีความยาว 4 เมตร ส่วน Vanta-6 ยาว 6 เมตร ทั้งสองรุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล (ประมาณ 1,667 กม.) และติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, กล้องออปติค, เรดาร์ค้นหา และระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยนได้

    จุดเด่นของ Vanta คือการออกแบบให้ผลิตได้จำนวนมากในราคาประหยัด พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะชื่อ Minerva ที่สามารถสั่งการแบบฝูง (swarm) และทำงานร่วมกับโดรนทางอากาศ เช่น Virtus ซึ่งเป็นโดรน VTOL แบบโจมตีของ Stark

    Stark ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Sequoia Capital, Thiel Capital และ NATO Innovation Fund โดยมีมูลค่าบริษัทล่าสุดอยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์ และระดมทุนไปแล้วกว่า 92 ล้านดอลลาร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Stark เปิดตัวเรือโดรน Vanta-4 และ Vanta-6 สำหรับภารกิจทางทะเล
    ทดสอบในภารกิจ NATO REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่โปรตุเกส
    Vanta-4 ยาว 4 เมตร / Vanta-6 ยาว 6 เมตร / วิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล
    ติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, เรดาร์, ระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยน
    ใช้ระบบควบคุม Minerva ที่รองรับการสั่งการแบบฝูงและทำงานร่วมกับโดรนอากาศ
    ภารกิจที่ทดสอบรวมถึงคุ้มกันเป้าหมาย, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายไกลสายตา, ลาดตระเวนกลางคืน
    ออกแบบเพื่อผลิตจำนวนมากในราคาประหยัด
    Stark ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ และมีมูลค่าบริษัท 500 ล้านดอลลาร์
    มีสำนักงานในอังกฤษ, มิวนิก และเคียฟ พร้อมโรงงานผลิตในสหราชอาณาจักร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของโลก และเป็นเส้นทางหลักของการค้าทางทะเล
    การโจมตีสายเคเบิลใต้น้ำเคยเกิดขึ้นในทะเลบอลติกจาก “กองเรือเงา” ของรัสเซีย
    โดรนเรือแบบ USV (Unmanned Surface Vessel) กำลังเป็นเทคโนโลยีสำคัญในยุทธศาสตร์ทางทะเล
    ระบบควบคุมแบบ swarm ช่วยให้สามารถลาดตระเวนพื้นที่กว้างโดยใช้กำลังคนน้อย
    การใช้เซนเซอร์แบบ modular ช่วยให้ปรับภารกิจได้ตามสถานการณ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/undersea-cable-attacks-drive-sea-drone-development-starks-vanta-unmanned-vessels-could-be-an-affordable-solution-to-protecting-vital-infrastructure
    🌊 “Stark เปิดตัว Vanta Sea Drone — โดรนเรืออัจฉริยะเพื่อปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำจากภัยคุกคามยุคใหม่” ในยุคที่ข้อมูลและพลังงานไหลผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเป็นหลัก ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก ล่าสุดบริษัท Stark จากอังกฤษ-เยอรมนี ได้เปิดตัวเรือโดรนอัจฉริยะรุ่นใหม่ชื่อว่า Vanta-4 และ Vanta-6 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจลาดตระเวนและป้องกันภัยคุกคามต่อสายเคเบิลใต้น้ำโดยเฉพาะ เรือ Vanta ถูกทดสอบในภารกิจ NATO ชื่อ REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่ประเทศโปรตุเกส โดยมีบทบาทในภารกิจหลากหลาย เช่น การคุ้มกันเป้าหมายสำคัญ, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินสายตา และลาดตระเวนกลางคืนเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรอง Vanta-4 มีความยาว 4 เมตร ส่วน Vanta-6 ยาว 6 เมตร ทั้งสองรุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล (ประมาณ 1,667 กม.) และติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, กล้องออปติค, เรดาร์ค้นหา และระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยนได้ จุดเด่นของ Vanta คือการออกแบบให้ผลิตได้จำนวนมากในราคาประหยัด พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะชื่อ Minerva ที่สามารถสั่งการแบบฝูง (swarm) และทำงานร่วมกับโดรนทางอากาศ เช่น Virtus ซึ่งเป็นโดรน VTOL แบบโจมตีของ Stark Stark ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Sequoia Capital, Thiel Capital และ NATO Innovation Fund โดยมีมูลค่าบริษัทล่าสุดอยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์ และระดมทุนไปแล้วกว่า 92 ล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Stark เปิดตัวเรือโดรน Vanta-4 และ Vanta-6 สำหรับภารกิจทางทะเล ➡️ ทดสอบในภารกิจ NATO REPMUS/Dynamic Messenger 2025 ที่โปรตุเกส ➡️ Vanta-4 ยาว 4 เมตร / Vanta-6 ยาว 6 เมตร / วิ่งได้ไกลถึง 900 ไมล์ทะเล ➡️ ติดตั้งเซนเซอร์ขั้นสูง เช่น กล้องอินฟราเรด, เรดาร์, ระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปรับเปลี่ยน ➡️ ใช้ระบบควบคุม Minerva ที่รองรับการสั่งการแบบฝูงและทำงานร่วมกับโดรนอากาศ ➡️ ภารกิจที่ทดสอบรวมถึงคุ้มกันเป้าหมาย, ควบคุมท่าเรือ, ตรวจสอบเป้าหมายไกลสายตา, ลาดตระเวนกลางคืน ➡️ ออกแบบเพื่อผลิตจำนวนมากในราคาประหยัด ➡️ Stark ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ และมีมูลค่าบริษัท 500 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีสำนักงานในอังกฤษ, มิวนิก และเคียฟ พร้อมโรงงานผลิตในสหราชอาณาจักร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของโลก และเป็นเส้นทางหลักของการค้าทางทะเล ➡️ การโจมตีสายเคเบิลใต้น้ำเคยเกิดขึ้นในทะเลบอลติกจาก “กองเรือเงา” ของรัสเซีย ➡️ โดรนเรือแบบ USV (Unmanned Surface Vessel) กำลังเป็นเทคโนโลยีสำคัญในยุทธศาสตร์ทางทะเล ➡️ ระบบควบคุมแบบ swarm ช่วยให้สามารถลาดตระเวนพื้นที่กว้างโดยใช้กำลังคนน้อย ➡️ การใช้เซนเซอร์แบบ modular ช่วยให้ปรับภารกิจได้ตามสถานการณ์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/undersea-cable-attacks-drive-sea-drone-development-starks-vanta-unmanned-vessels-could-be-an-affordable-solution-to-protecting-vital-infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD อาจผลิตชิปที่โรงงาน Intel — คู่แข่งเก่ากำลังกลายเป็นพันธมิตรใหม่ในยุคแห่งความมั่นคงด้านเทคโนโลยี”

    ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Intel และ AMD กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD กลายเป็นลูกค้าของ Intel Foundry ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิปตามสั่งของ Intel ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการตามหลัง TSMC มาหลายปี

    แม้ AMD จะยังพึ่งพา TSMC เป็นหลักในการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Ryzen และ EPYC แต่การเจรจากับ Intel ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันผลิตชิปภายในประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ 50% ของชิปที่ใช้ในสหรัฐฯ ถูกผลิตในประเทศ เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาไต้หวัน

    Intel ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนจาก SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถือหุ้น 9.9% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และการร่วมมือกับ Nvidia ในการพัฒนาชิป x86 ที่ใช้ GPU ของ Nvidia ซึ่งรวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ด้วย

    หาก AMD ตกลงร่วมมือกับ Intel จริง จะถือเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ที่เคยประกาศว่า Intel ต้องการผลิตชิปให้กับทุกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าชิปประเภทใดของ AMD จะถูกผลิตที่ Intel และ Intel เองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิประดับสูงสุดของ AMD ได้ในตอนนี้ เช่น ชิปที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm หรือ 4nm ของ TSMC

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD เป็นลูกค้า Intel Foundry
    AMD ปัจจุบันผลิตชิปที่ TSMC แต่กำลังพิจารณาทางเลือกในสหรัฐฯ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ 50% ของชิปที่ใช้ในประเทศถูกผลิตในประเทศ
    Intel ได้รับการลงทุนจาก SoftBank, Nvidia และรัฐบาลสหรัฐฯ
    Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และร่วมพัฒนาชิป x86 ร่วมกัน
    หาก AMD ตกลง จะเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger
    Intel กำลังมองหาลูกค้ารายใหญ่เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี 14A และ 18A
    การร่วมมืออาจช่วยให้ AMD ลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดการส่งออกไปจีน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel Foundry ยังตามหลัง TSMC ในด้านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
    AMD เคยได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก GPU ไปจีนในปี 2025
    การผลิตชิปในสหรัฐฯ อาจช่วยให้ AMD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Nvidia และ Apple ก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อใช้ Intel Foundry เช่นกัน
    การผลิตชิประดับกลางในสหรัฐฯ อาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปสู่ชิประดับสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-in-early-talks-to-make-chips-at-intel-foundry-report-says
    🤝 “AMD อาจผลิตชิปที่โรงงาน Intel — คู่แข่งเก่ากำลังกลายเป็นพันธมิตรใหม่ในยุคแห่งความมั่นคงด้านเทคโนโลยี” ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Intel และ AMD กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD กลายเป็นลูกค้าของ Intel Foundry ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิปตามสั่งของ Intel ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการตามหลัง TSMC มาหลายปี แม้ AMD จะยังพึ่งพา TSMC เป็นหลักในการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Ryzen และ EPYC แต่การเจรจากับ Intel ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันผลิตชิปภายในประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ 50% ของชิปที่ใช้ในสหรัฐฯ ถูกผลิตในประเทศ เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาไต้หวัน Intel ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนจาก SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถือหุ้น 9.9% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และการร่วมมือกับ Nvidia ในการพัฒนาชิป x86 ที่ใช้ GPU ของ Nvidia ซึ่งรวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ด้วย หาก AMD ตกลงร่วมมือกับ Intel จริง จะถือเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ที่เคยประกาศว่า Intel ต้องการผลิตชิปให้กับทุกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าชิปประเภทใดของ AMD จะถูกผลิตที่ Intel และ Intel เองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิประดับสูงสุดของ AMD ได้ในตอนนี้ เช่น ชิปที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm หรือ 4nm ของ TSMC ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD เป็นลูกค้า Intel Foundry ➡️ AMD ปัจจุบันผลิตชิปที่ TSMC แต่กำลังพิจารณาทางเลือกในสหรัฐฯ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ 50% ของชิปที่ใช้ในประเทศถูกผลิตในประเทศ ➡️ Intel ได้รับการลงทุนจาก SoftBank, Nvidia และรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และร่วมพัฒนาชิป x86 ร่วมกัน ➡️ หาก AMD ตกลง จะเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ➡️ Intel กำลังมองหาลูกค้ารายใหญ่เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี 14A และ 18A ➡️ การร่วมมืออาจช่วยให้ AMD ลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดการส่งออกไปจีน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel Foundry ยังตามหลัง TSMC ในด้านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ➡️ AMD เคยได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก GPU ไปจีนในปี 2025 ➡️ การผลิตชิปในสหรัฐฯ อาจช่วยให้ AMD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Nvidia และ Apple ก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อใช้ Intel Foundry เช่นกัน ➡️ การผลิตชิประดับกลางในสหรัฐฯ อาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปสู่ชิประดับสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-in-early-talks-to-make-chips-at-intel-foundry-report-says
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD in early talks to make chips at Intel Foundry, report says
    It could be their biggest partnership since Kaby Lake-G.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC ลดพีคพลังงาน EUV ลง 44% — ประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030 พร้อมขยายสู่เครื่องจักรอื่น”

    TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเดินหน้าโครงการ “EUV Dynamic Energy Saving Program” ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 ที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลังงานของเครื่อง EUV lithography ที่ขึ้นชื่อว่ากินไฟมหาศาล

    ผลลัพธ์เบื้องต้นน่าประทับใจ: TSMC สามารถลดการใช้พลังงานช่วงพีคของเครื่อง EUV ลงได้ถึง 44% โดยไม่กระทบต่อคุณภาพหรือผลผลิต และคาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 พร้อมลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน

    แม้ TSMC จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิคของระบบนี้ แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ เช่น หากไม่มีเวเฟอร์รอการประมวลผล เครื่องจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบในคลีนรูมอย่างแม่นยำ

    นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนขยายระบบประหยัดพลังงานนี้ไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ lithography เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของโรงงาน และจะใช้ระบบนี้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ทุกแห่ง เช่น Fab 21 เฟส 2 ในรัฐแอริโซนา

    แม้การประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh จะดูมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานรวมของ TSMC ในปี 2024 ที่สูงถึง 25.55 พันล้าน kWh ก็ยังถือเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น โดยกว่า 53.9% ของพลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปกับระบบสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ระบบทำความเย็นและกรองอากาศ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSMC เริ่มใช้ EUV Dynamic Energy Saving Program ตั้งแต่ ก.ย. 2025
    ลดพีคพลังงานของเครื่อง EUV lithography ได้ถึง 44%
    คาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030
    ลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน
    เริ่มใช้งานที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B
    จะใช้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ เช่น Fab 21 เฟส 2
    มีแผนขยายไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ
    ระบบอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์
    ในปี 2024 TSMC ใช้พลังงานรวม 25.55 พันล้าน kWh
    พลังงานกว่า 53.9% ถูกใช้กับระบบสนับสนุน ไม่ใช่เครื่องผลิตโดยตรง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เครื่อง EUV ของ ASML ใช้พลังงานสูงถึงหลายร้อยกิโลวัตต์ต่อเครื่อง
    การลดพีคพลังงานช่วยลดความจำเป็นในการขยายระบบไฟฟ้าในโรงงาน
    ระบบ adaptive power scaling ถูกใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น data center และ cloud infrastructure
    การลดพลังงานในคลีนรูม เช่น fan filter units และระบบทำความเย็น มีผลต่อคุณภาพเวเฟอร์โดยตรง
    TSMC ยังมีโครงการรีไซเคิลสารทำความเย็นเพื่อลดคาร์บอนเพิ่มเติม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reduces-peak-power-consumption-of-euv-tools-by-44-percent-company-to-save-190-million-kilowatt-hours-of-electricity-by-2030
    ⚡ “TSMC ลดพีคพลังงาน EUV ลง 44% — ประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030 พร้อมขยายสู่เครื่องจักรอื่น” TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเดินหน้าโครงการ “EUV Dynamic Energy Saving Program” ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 ที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลังงานของเครื่อง EUV lithography ที่ขึ้นชื่อว่ากินไฟมหาศาล ผลลัพธ์เบื้องต้นน่าประทับใจ: TSMC สามารถลดการใช้พลังงานช่วงพีคของเครื่อง EUV ลงได้ถึง 44% โดยไม่กระทบต่อคุณภาพหรือผลผลิต และคาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 พร้อมลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน แม้ TSMC จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิคของระบบนี้ แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ เช่น หากไม่มีเวเฟอร์รอการประมวลผล เครื่องจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบในคลีนรูมอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนขยายระบบประหยัดพลังงานนี้ไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ lithography เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของโรงงาน และจะใช้ระบบนี้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ทุกแห่ง เช่น Fab 21 เฟส 2 ในรัฐแอริโซนา แม้การประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh จะดูมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานรวมของ TSMC ในปี 2024 ที่สูงถึง 25.55 พันล้าน kWh ก็ยังถือเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น โดยกว่า 53.9% ของพลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปกับระบบสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ระบบทำความเย็นและกรองอากาศ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSMC เริ่มใช้ EUV Dynamic Energy Saving Program ตั้งแต่ ก.ย. 2025 ➡️ ลดพีคพลังงานของเครื่อง EUV lithography ได้ถึง 44% ➡️ คาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030 ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน ➡️ เริ่มใช้งานที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B ➡️ จะใช้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ เช่น Fab 21 เฟส 2 ➡️ มีแผนขยายไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ ➡️ ระบบอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ ➡️ ในปี 2024 TSMC ใช้พลังงานรวม 25.55 พันล้าน kWh ➡️ พลังงานกว่า 53.9% ถูกใช้กับระบบสนับสนุน ไม่ใช่เครื่องผลิตโดยตรง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เครื่อง EUV ของ ASML ใช้พลังงานสูงถึงหลายร้อยกิโลวัตต์ต่อเครื่อง ➡️ การลดพีคพลังงานช่วยลดความจำเป็นในการขยายระบบไฟฟ้าในโรงงาน ➡️ ระบบ adaptive power scaling ถูกใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น data center และ cloud infrastructure ➡️ การลดพลังงานในคลีนรูม เช่น fan filter units และระบบทำความเย็น มีผลต่อคุณภาพเวเฟอร์โดยตรง ➡️ TSMC ยังมีโครงการรีไซเคิลสารทำความเย็นเพื่อลดคาร์บอนเพิ่มเติม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reduces-peak-power-consumption-of-euv-tools-by-44-percent-company-to-save-190-million-kilowatt-hours-of-electricity-by-2030
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Rapidus ปลุกชีพอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่น — ดึง IBM และ Tenstorrent ร่วมผลิต 2nm พร้อมท้าชน TSMC และ Intel”

    Rapidus บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติญี่ปุ่นกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมชิประดับโลก ด้วยการประกาศความร่วมมือกับบริษัทอเมริกันรายใหญ่ ได้แก่ IBM และ Tenstorrent เพื่อพัฒนาและผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร โดย Rapidus ตั้งเป้าจะเริ่มส่งมอบต้นแบบให้ลูกค้าในปี 2026 และเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดของ TSMC และ Intel

    เทคโนโลยีที่ Rapidus พัฒนาคือ “2HP” ซึ่งใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around (GAA) ที่มีความหนาแน่นของลอจิกสูงกว่าชิป 18A ของ Intel และเทียบเท่ากับ N2 ของ TSMC โดย IBM จะให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการบรรจุชิปและการวิจัยร่วม ขณะที่ Tenstorrent ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้าน RISC-V และ AI จะเป็นหนึ่งในลูกค้ารายแรกที่นำชิป 2nm ไปใช้ในผลิตภัณฑ์จริง

    Rapidus ยังมีแผนส่งมอบ PDK (Process Design Kit) ให้กับลูกค้าในไตรมาสแรกของปี 2026 และได้ติดตั้งเครื่องมือผลิตกว่า 200 ชุด รวมถึงเครื่อง EUV ที่โรงงานในเมือง Chitose จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตหลักของบริษัท

    แม้จะมีข่าวลือว่า NVIDIA กำลังพิจารณาใช้ Rapidus เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของญี่ปุ่นในการกลับมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชิปอีกครั้ง หลังจากเสียตำแหน่งให้กับไต้หวันและเกาหลีใต้มานานหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Rapidus ประกาศความร่วมมือกับ IBM และ Tenstorrent เพื่อพัฒนาชิป 2nm
    เทคโนโลยี “2HP” ใช้โครงสร้าง GAA ที่มีความหนาแน่นสูงกว่าชิป 18A ของ Intel
    IBM สนับสนุนด้านการบรรจุชิปและการวิจัยร่วม
    Tenstorrent จะเป็นหนึ่งในลูกค้ารายแรกที่ใช้ชิป 2nm ในผลิตภัณฑ์ AI
    Rapidus ตั้งเป้าส่งมอบ PDK ใน Q1 ปี 2026 และผลิตจำนวนมากในปลายปี 2026
    โรงงานใน Chitose ติดตั้งเครื่องมือผลิตกว่า 200 ชุด รวมถึง EUV lithography
    Rapidus ไม่ตั้งเป้าแข่งตรงกับ TSMC แต่เน้นความคล่องตัวและความเร็วในการผลิต
    มีข่าวลือว่า NVIDIA กำลังพิจารณาใช้ Rapidus ในห่วงโซ่อุปทาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tenstorrent มีความเชี่ยวชาญด้าน RISC-V และ AI โดยมี Jim Keller อดีตผู้บริหาร Intel และ AMD เป็น CEO
    IBM เคยเปิดตัวชิป 2nm รุ่นต้นแบบในปี 2021 และร่วมมือกับ Rapidus ตั้งแต่ปี 2022
    GAA transistor เป็นเทคโนโลยีที่มาแทน FinFET โดยให้ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ
    Rapidus ส่งวิศวกรกว่า 150 คนไปฝึกที่สหรัฐฯ เพื่อเรียนรู้การผลิต GAA
    ญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ในยุค 1980s ก่อนจะถูกแซงโดย TSMC และ Samsung

    https://wccftech.com/japan-rapidus-secures-major-american-customers-for-its-2nm-process/
    ⚙️ “Rapidus ปลุกชีพอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่น — ดึง IBM และ Tenstorrent ร่วมผลิต 2nm พร้อมท้าชน TSMC และ Intel” Rapidus บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติญี่ปุ่นกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมชิประดับโลก ด้วยการประกาศความร่วมมือกับบริษัทอเมริกันรายใหญ่ ได้แก่ IBM และ Tenstorrent เพื่อพัฒนาและผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร โดย Rapidus ตั้งเป้าจะเริ่มส่งมอบต้นแบบให้ลูกค้าในปี 2026 และเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดของ TSMC และ Intel เทคโนโลยีที่ Rapidus พัฒนาคือ “2HP” ซึ่งใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around (GAA) ที่มีความหนาแน่นของลอจิกสูงกว่าชิป 18A ของ Intel และเทียบเท่ากับ N2 ของ TSMC โดย IBM จะให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการบรรจุชิปและการวิจัยร่วม ขณะที่ Tenstorrent ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้าน RISC-V และ AI จะเป็นหนึ่งในลูกค้ารายแรกที่นำชิป 2nm ไปใช้ในผลิตภัณฑ์จริง Rapidus ยังมีแผนส่งมอบ PDK (Process Design Kit) ให้กับลูกค้าในไตรมาสแรกของปี 2026 และได้ติดตั้งเครื่องมือผลิตกว่า 200 ชุด รวมถึงเครื่อง EUV ที่โรงงานในเมือง Chitose จังหวัดฮอกไกโด ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตหลักของบริษัท แม้จะมีข่าวลือว่า NVIDIA กำลังพิจารณาใช้ Rapidus เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของญี่ปุ่นในการกลับมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชิปอีกครั้ง หลังจากเสียตำแหน่งให้กับไต้หวันและเกาหลีใต้มานานหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Rapidus ประกาศความร่วมมือกับ IBM และ Tenstorrent เพื่อพัฒนาชิป 2nm ➡️ เทคโนโลยี “2HP” ใช้โครงสร้าง GAA ที่มีความหนาแน่นสูงกว่าชิป 18A ของ Intel ➡️ IBM สนับสนุนด้านการบรรจุชิปและการวิจัยร่วม ➡️ Tenstorrent จะเป็นหนึ่งในลูกค้ารายแรกที่ใช้ชิป 2nm ในผลิตภัณฑ์ AI ➡️ Rapidus ตั้งเป้าส่งมอบ PDK ใน Q1 ปี 2026 และผลิตจำนวนมากในปลายปี 2026 ➡️ โรงงานใน Chitose ติดตั้งเครื่องมือผลิตกว่า 200 ชุด รวมถึง EUV lithography ➡️ Rapidus ไม่ตั้งเป้าแข่งตรงกับ TSMC แต่เน้นความคล่องตัวและความเร็วในการผลิต ➡️ มีข่าวลือว่า NVIDIA กำลังพิจารณาใช้ Rapidus ในห่วงโซ่อุปทาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tenstorrent มีความเชี่ยวชาญด้าน RISC-V และ AI โดยมี Jim Keller อดีตผู้บริหาร Intel และ AMD เป็น CEO ➡️ IBM เคยเปิดตัวชิป 2nm รุ่นต้นแบบในปี 2021 และร่วมมือกับ Rapidus ตั้งแต่ปี 2022 ➡️ GAA transistor เป็นเทคโนโลยีที่มาแทน FinFET โดยให้ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ ➡️ Rapidus ส่งวิศวกรกว่า 150 คนไปฝึกที่สหรัฐฯ เพื่อเรียนรู้การผลิต GAA ➡️ ญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ในยุค 1980s ก่อนจะถูกแซงโดย TSMC และ Samsung https://wccftech.com/japan-rapidus-secures-major-american-customers-for-its-2nm-process/
    WCCFTECH.COM
    Japan’s Rapidus Secures ‘Major’ American Customers for Its 2nm Process, Ramping Up the Race Against TSMC and Intel
    Rapidus has stepped up the race in the 2nm segment, as the Japanese chip firm announces support from major American customers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sam Altman เดินเกมลับในเอเชีย — จับมือ TSMC, Foxconn และเกาหลีใต้ ปูทางผลิตชิป AI ของตัวเองแทน Nvidia”

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เดินทางเยือนเอเชียอย่างเงียบ ๆ ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 โดยมีจุดหมายสำคัญคือไต้หวันและเกาหลีใต้ เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านการผลิตชิป AI และโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก โดยเฉพาะโครงการ “Stargate” ที่มีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์และโรงงาน AI จำนวนมากในหลายประเทศ

    ในไต้หวัน Altman ได้พบกับผู้บริหารของ TSMC และ Foxconn เพื่อหารือเรื่องการออกแบบและผลิตชิป AI แบบ ASIC ที่ OpenAI กำลังพัฒนาร่วมกับ Broadcom โดยใช้เทคโนโลยี 3nm และการบรรจุชิปขั้นสูงแบบ CoWoS พร้อมหน่วยความจำ HBM ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในไตรมาส 3 ปี 2026

    Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์รายใหญ่ของ Oracle จะมีบทบาทสำคัญในการผลิตฮาร์ดแวร์สำหรับ Stargate โดยเฉพาะในโรงงานที่ SoftBank เข้าซื้อในรัฐโอไฮโอ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตร่วมกับ OpenAI

    หลังจากนั้น Altman เดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อพบกับประธานาธิบดี Lee Jae Myung และผู้บริหารของ Samsung และ SK hynix โดยมีการลงนามข้อตกลงเบื้องต้นในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาด 20 เมกะวัตต์ในเมือง Phang และอีกแห่งในจังหวัด South Jeolla

    เป้าหมายของ Altman คือการลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิต GPU รายใหญ่ที่ OpenAI ใช้ในการฝึกและรันโมเดล AI โดยการพัฒนาชิปของตัวเองจะช่วยให้ OpenAI ควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เหมือนที่ Apple ทำกับ Apple Silicon

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sam Altman เดินทางเยือนไต้หวันและเกาหลีใต้เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านชิปและดาต้าเซ็นเตอร์
    พบกับ TSMC และ Foxconn เพื่อหารือการผลิตชิป AI แบบ ASIC ด้วยเทคโนโลยี 3nm และ CoWoS
    ชิป AI ของ OpenAI จะใช้หน่วยความจำ HBM และคาดว่าจะผลิตจำนวนมากใน Q3 ปี 2026
    Foxconn จะผลิตเซิร์ฟเวอร์สำหรับโครงการ Stargate โดยใช้โรงงานในรัฐโอไฮโอที่ SoftBank ซื้อไว้
    Altman พบประธานาธิบดีเกาหลีใต้และผู้บริหาร Samsung, SK hynix เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 20MW
    ดาต้าเซ็นเตอร์จะตั้งอยู่ในเมือง Phang และจังหวัด South Jeolla
    เป้าหมายคือลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมห่วงโซ่ฮาร์ดแวร์ของตัวเอง
    OpenAI ตั้งทีมออกแบบชิป ASIC ตั้งแต่ปี 2024 และดึงทีมงานจากโครงการ TPU ของ Google

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Stargate เป็นโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่ากว่า $500 พันล้านของ OpenAI
    Oracle ลงทุน $300 พันล้านใน compute capacity ให้กับ OpenAI
    SoftBank เป็นพันธมิตรสำคัญของ OpenAI และมีบทบาทในโรงงานและดาต้าเซ็นเตอร์
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก และมีเทคโนโลยี 3nm ที่ล้ำหน้าที่สุด
    การพัฒนาชิปของตัวเองช่วยให้ OpenAI สร้างโมเดลที่เหมาะกับฮาร์ดแวร์โดยตรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openais-sam-altman-had-secret-tsmc-meeting-over-future-chip-supply-report-claims-ai-pioneer-in-asia-as-south-korea-confirms-20mw-data-center-deal-with-chatgpt-maker
    🧠 “Sam Altman เดินเกมลับในเอเชีย — จับมือ TSMC, Foxconn และเกาหลีใต้ ปูทางผลิตชิป AI ของตัวเองแทน Nvidia” Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เดินทางเยือนเอเชียอย่างเงียบ ๆ ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 โดยมีจุดหมายสำคัญคือไต้หวันและเกาหลีใต้ เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านการผลิตชิป AI และโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก โดยเฉพาะโครงการ “Stargate” ที่มีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์และโรงงาน AI จำนวนมากในหลายประเทศ ในไต้หวัน Altman ได้พบกับผู้บริหารของ TSMC และ Foxconn เพื่อหารือเรื่องการออกแบบและผลิตชิป AI แบบ ASIC ที่ OpenAI กำลังพัฒนาร่วมกับ Broadcom โดยใช้เทคโนโลยี 3nm และการบรรจุชิปขั้นสูงแบบ CoWoS พร้อมหน่วยความจำ HBM ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในไตรมาส 3 ปี 2026 Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์รายใหญ่ของ Oracle จะมีบทบาทสำคัญในการผลิตฮาร์ดแวร์สำหรับ Stargate โดยเฉพาะในโรงงานที่ SoftBank เข้าซื้อในรัฐโอไฮโอ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตร่วมกับ OpenAI หลังจากนั้น Altman เดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อพบกับประธานาธิบดี Lee Jae Myung และผู้บริหารของ Samsung และ SK hynix โดยมีการลงนามข้อตกลงเบื้องต้นในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาด 20 เมกะวัตต์ในเมือง Phang และอีกแห่งในจังหวัด South Jeolla เป้าหมายของ Altman คือการลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิต GPU รายใหญ่ที่ OpenAI ใช้ในการฝึกและรันโมเดล AI โดยการพัฒนาชิปของตัวเองจะช่วยให้ OpenAI ควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เหมือนที่ Apple ทำกับ Apple Silicon ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sam Altman เดินทางเยือนไต้หวันและเกาหลีใต้เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านชิปและดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ พบกับ TSMC และ Foxconn เพื่อหารือการผลิตชิป AI แบบ ASIC ด้วยเทคโนโลยี 3nm และ CoWoS ➡️ ชิป AI ของ OpenAI จะใช้หน่วยความจำ HBM และคาดว่าจะผลิตจำนวนมากใน Q3 ปี 2026 ➡️ Foxconn จะผลิตเซิร์ฟเวอร์สำหรับโครงการ Stargate โดยใช้โรงงานในรัฐโอไฮโอที่ SoftBank ซื้อไว้ ➡️ Altman พบประธานาธิบดีเกาหลีใต้และผู้บริหาร Samsung, SK hynix เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 20MW ➡️ ดาต้าเซ็นเตอร์จะตั้งอยู่ในเมือง Phang และจังหวัด South Jeolla ➡️ เป้าหมายคือลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมห่วงโซ่ฮาร์ดแวร์ของตัวเอง ➡️ OpenAI ตั้งทีมออกแบบชิป ASIC ตั้งแต่ปี 2024 และดึงทีมงานจากโครงการ TPU ของ Google ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Stargate เป็นโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่ากว่า $500 พันล้านของ OpenAI ➡️ Oracle ลงทุน $300 พันล้านใน compute capacity ให้กับ OpenAI ➡️ SoftBank เป็นพันธมิตรสำคัญของ OpenAI และมีบทบาทในโรงงานและดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก และมีเทคโนโลยี 3nm ที่ล้ำหน้าที่สุด ➡️ การพัฒนาชิปของตัวเองช่วยให้ OpenAI สร้างโมเดลที่เหมาะกับฮาร์ดแวร์โดยตรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/openais-sam-altman-had-secret-tsmc-meeting-over-future-chip-supply-report-claims-ai-pioneer-in-asia-as-south-korea-confirms-20mw-data-center-deal-with-chatgpt-maker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไต้หวันปฏิเสธข้อเสนอผลิตชิป 50% ในสหรัฐฯ — จุดเปลี่ยนการเจรจาการค้าสู่สงครามภาษี Section 232”

    ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังพยายามลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากต่างประเทศ รัฐบาลไต้หวันกลับออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะไม่ย้ายการผลิตชิป 50% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ไปผลิตในอเมริกา” ตามข้อเสนอของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ที่ต้องการให้ไต้หวันแบ่งการผลิตครึ่งหนึ่งมาไว้ในสหรัฐฯ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

    รองนายกรัฐมนตรี Cheng Li-chun ของไต้หวันกล่าวว่า “ข้อเสนอนี้ไม่เคยอยู่ในโต๊ะเจรจา และเราจะไม่ยอมรับเงื่อนไขเช่นนั้น” พร้อมระบุว่าไต้หวันต้องการเน้นการเจรจาเรื่องภาษีภายใต้การสอบสวน Section 232 มากกว่า ซึ่งเป็นมาตรการที่สหรัฐฯ ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์

    ปัจจุบันสหรัฐฯ ได้เริ่มเก็บภาษี 20% กับสินค้านำเข้าจากไต้หวันตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 ยกเว้นเฉพาะผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากผลการสอบสวน Section 232 ออกมาในทางลบ อาจทำให้ชิปจากไต้หวันถูกเก็บภาษีสูงถึง 200–300% ตามที่ประธานาธิบดี Donald Trump เคยกล่าวไว้

    ไต้หวันซึ่งส่งออกสินค้ากว่า 70% ไปยังสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นเซมิคอนดักเตอร์ จึงพยายามต่อรองเพื่อขอยกเว้นภาษี และเสนอเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ รวมถึงซื้อพลังงานและเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ

    การปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ สะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ที่ไต้หวันยังคงใช้ “ซิลิคอนชิลด์” หรือความเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูงเป็นเครื่องมือในการรักษาอธิปไตยและความร่วมมือกับพันธมิตรตะวันตก โดยเฉพาะในบริบทที่จีนยังคงอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สหรัฐฯ เสนอให้ไต้หวันย้ายการผลิตชิป 50% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มาผลิตในอเมริกา
    รองนายกรัฐมนตรีไต้หวันปฏิเสธข้อเสนออย่างชัดเจน และระบุว่าไม่เคยอยู่ในโต๊ะเจรจา
    ไต้หวันต้องการเน้นการเจรจาเรื่องภาษีภายใต้ Section 232 มากกว่า
    สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษี 20% กับสินค้านำเข้าจากไต้หวัน ยกเว้นเซมิคอนดักเตอร์
    ประธานาธิบดี Trump ขู่จะเพิ่มภาษีชิปจากไต้หวันถึง 200–300% หากผลสอบสวนออกมาในทางลบ
    ไต้หวันส่งออกสินค้ากว่า 70% ไปยังสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นเซมิคอนดักเตอร์
    ไต้หวันเสนอเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และเพิ่มงบกลาโหมเพื่อรักษาความสัมพันธ์
    การผลิตชิปในไต้หวันถือเป็น “ซิลิคอนชิลด์” ที่ช่วยป้องกันการรุกรานจากจีน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Section 232 เป็นมาตรการที่สหรัฐฯ ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการนำเข้าสินค้า
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก และมีฐานการผลิตหลักอยู่ในไต้หวัน
    ช่วงโควิด-19 เกิดวิกฤตขาดแคลนชิปทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาไต้หวัน
    ไต้หวันลงทุนในโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น TSMC Arizona และ GlobalWafers Texas
    การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะและแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งยังขาดแคลนในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-refuses-to-move-half-of-u-s-bound-chip-production-to-american-shores-trade-discussion-to-be-focused-on-section-232-investigation-for-preferential-deal-on-semiconductors
    🇹🇼 “ไต้หวันปฏิเสธข้อเสนอผลิตชิป 50% ในสหรัฐฯ — จุดเปลี่ยนการเจรจาการค้าสู่สงครามภาษี Section 232” ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังพยายามลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากต่างประเทศ รัฐบาลไต้หวันกลับออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า “จะไม่ย้ายการผลิตชิป 50% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ไปผลิตในอเมริกา” ตามข้อเสนอของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick ที่ต้องการให้ไต้หวันแบ่งการผลิตครึ่งหนึ่งมาไว้ในสหรัฐฯ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี รองนายกรัฐมนตรี Cheng Li-chun ของไต้หวันกล่าวว่า “ข้อเสนอนี้ไม่เคยอยู่ในโต๊ะเจรจา และเราจะไม่ยอมรับเงื่อนไขเช่นนั้น” พร้อมระบุว่าไต้หวันต้องการเน้นการเจรจาเรื่องภาษีภายใต้การสอบสวน Section 232 มากกว่า ซึ่งเป็นมาตรการที่สหรัฐฯ ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ ปัจจุบันสหรัฐฯ ได้เริ่มเก็บภาษี 20% กับสินค้านำเข้าจากไต้หวันตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 ยกเว้นเฉพาะผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งหากผลการสอบสวน Section 232 ออกมาในทางลบ อาจทำให้ชิปจากไต้หวันถูกเก็บภาษีสูงถึง 200–300% ตามที่ประธานาธิบดี Donald Trump เคยกล่าวไว้ ไต้หวันซึ่งส่งออกสินค้ากว่า 70% ไปยังสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นเซมิคอนดักเตอร์ จึงพยายามต่อรองเพื่อขอยกเว้นภาษี และเสนอเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ รวมถึงซื้อพลังงานและเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ สะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ที่ไต้หวันยังคงใช้ “ซิลิคอนชิลด์” หรือความเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูงเป็นเครื่องมือในการรักษาอธิปไตยและความร่วมมือกับพันธมิตรตะวันตก โดยเฉพาะในบริบทที่จีนยังคงอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สหรัฐฯ เสนอให้ไต้หวันย้ายการผลิตชิป 50% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มาผลิตในอเมริกา ➡️ รองนายกรัฐมนตรีไต้หวันปฏิเสธข้อเสนออย่างชัดเจน และระบุว่าไม่เคยอยู่ในโต๊ะเจรจา ➡️ ไต้หวันต้องการเน้นการเจรจาเรื่องภาษีภายใต้ Section 232 มากกว่า ➡️ สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษี 20% กับสินค้านำเข้าจากไต้หวัน ยกเว้นเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ประธานาธิบดี Trump ขู่จะเพิ่มภาษีชิปจากไต้หวันถึง 200–300% หากผลสอบสวนออกมาในทางลบ ➡️ ไต้หวันส่งออกสินค้ากว่า 70% ไปยังสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่เป็นเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ไต้หวันเสนอเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และเพิ่มงบกลาโหมเพื่อรักษาความสัมพันธ์ ➡️ การผลิตชิปในไต้หวันถือเป็น “ซิลิคอนชิลด์” ที่ช่วยป้องกันการรุกรานจากจีน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Section 232 เป็นมาตรการที่สหรัฐฯ ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการนำเข้าสินค้า ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก และมีฐานการผลิตหลักอยู่ในไต้หวัน ➡️ ช่วงโควิด-19 เกิดวิกฤตขาดแคลนชิปทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาไต้หวัน ➡️ ไต้หวันลงทุนในโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น TSMC Arizona และ GlobalWafers Texas ➡️ การผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะและแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งยังขาดแคลนในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-refuses-to-move-half-of-u-s-bound-chip-production-to-american-shores-trade-discussion-to-be-focused-on-section-232-investigation-for-preferential-deal-on-semiconductors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’”

    ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?”

    Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน

    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี

    แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030
    โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน
    ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่”
    รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน
    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี
    รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง
    Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025
    โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    🏗️ “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’” ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?” Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ➡️ โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน ➡️ ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่” ➡️ รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน ➡️ Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง ➡️ Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025 ➡️ โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัพเกรดโรงงานของคุณด้วยเครื่องขอดเกล็ดปลา 3HP ตัวจริง!
    เครื่องของเราถูกออกแบบมาเพื่อ สู้กับงานหนักต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทุกธุรกิจแปรรูปปลา:

    แรงทะลุพิกัด: มอเตอร์ 3 แรงม้า ใช้ไฟ 380V (3 เฟส) มั่นใจได้ว่าขอดเกล็ดปลาจำนวนมากได้ไวและต่อเนื่อง ไม่มีงอแง!
    ระบบลูกกลิ้งขอดเกล็ดปลาทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง ทำให้เกล็ดหลุดมากกว่า 80%
    มาตรฐานระดับโลก: เครื่องจักรผลิตจาก สแตนเลส 304 ทั้งตัว ได้รับการรับรอง CE และรองรับ GMP/HACCP มั่นใจเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย
    บำรุงรักษาง่าย: ออกแบบให้ ถอดประกอบทำความสะอาดง่าย และมีช่องเซอร์วิสพร้อมคำแนะนำการหล่อลื่น เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน

    สเปคเครื่อง (YFS-700-HBX-S):
    กำลังไฟ: 3 HP
    ขนาด: 1250 x 550 x 850 mm
    น้ำหนัก: 150 KG

    หยุดใช้แรงงานคน แล้วมาใช้ขุมพลังของเครื่องจักรคุณภาพ! ประหยัดเวลา ลดต้นทุน เพิ่มกำลังการผลิตทันที!

    อย่ารอช้า! มาดูเครื่องจริงและปรึกษาเราได้เลย:

    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #ปลานิล #ขอดเกล็ดปลานิล #เครื่องขอดเกล็ดปลา #เครื่องขอดเกล็ดอัตโนมัติ #Tilapia #TilapiaProcessing #FishScalingMachine #เครื่องแปรรูปปลา #โรงงานแปรรูปปลา #ฟาร์มปลานิล #การเลี้ยงปลานิล #ธุรกิจอาหารทะเล #ตลาดปลา #ร้านอาหารปลา #เตรียมปลา #ทำความสะอาดปลา #วิธีขอดเกล็ดปลา #ปลาสด #อุตสาหกรรมปลา #เครื่องจักรขอดเกล็ด #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #ประหยัดแรงงาน #เพิ่มกำลังการผลิต #เครื่องครัวสแตนเลส #ย่งฮะเฮง #SUS304 #เครื่องมือประมง #ลดขั้นตอนการทำปลา #ครัวมืออาชีพ #พร้อมใช้งาน
    ✨ อัพเกรดโรงงานของคุณด้วยเครื่องขอดเกล็ดปลา 3HP ตัวจริง! ✨ เครื่องของเราถูกออกแบบมาเพื่อ สู้กับงานหนักต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทุกธุรกิจแปรรูปปลา: ✅ แรงทะลุพิกัด: มอเตอร์ 3 แรงม้า ใช้ไฟ 380V (3 เฟส) มั่นใจได้ว่าขอดเกล็ดปลาจำนวนมากได้ไวและต่อเนื่อง ไม่มีงอแง! ✅ ระบบลูกกลิ้งขอดเกล็ดปลาทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง ทำให้เกล็ดหลุดมากกว่า 80% ✅ มาตรฐานระดับโลก: เครื่องจักรผลิตจาก สแตนเลส 304 ทั้งตัว ได้รับการรับรอง CE และรองรับ GMP/HACCP มั่นใจเรื่องความสะอาด ถูกสุขอนามัย ✅ บำรุงรักษาง่าย: ออกแบบให้ ถอดประกอบทำความสะอาดง่าย และมีช่องเซอร์วิสพร้อมคำแนะนำการหล่อลื่น เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน สเปคเครื่อง (YFS-700-HBX-S): กำลังไฟ: 3 HP ขนาด: 1250 x 550 x 850 mm น้ำหนัก: 150 KG หยุดใช้แรงงานคน แล้วมาใช้ขุมพลังของเครื่องจักรคุณภาพ! ประหยัดเวลา ลดต้นทุน เพิ่มกำลังการผลิตทันที! 🛒 อย่ารอช้า! มาดูเครื่องจริงและปรึกษาเราได้เลย: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #ปลานิล #ขอดเกล็ดปลานิล #เครื่องขอดเกล็ดปลา #เครื่องขอดเกล็ดอัตโนมัติ #Tilapia #TilapiaProcessing #FishScalingMachine #เครื่องแปรรูปปลา #โรงงานแปรรูปปลา #ฟาร์มปลานิล #การเลี้ยงปลานิล #ธุรกิจอาหารทะเล #ตลาดปลา #ร้านอาหารปลา #เตรียมปลา #ทำความสะอาดปลา #วิธีขอดเกล็ดปลา #ปลาสด #อุตสาหกรรมปลา #เครื่องจักรขอดเกล็ด #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #ประหยัดแรงงาน #เพิ่มกำลังการผลิต #เครื่องครัวสแตนเลส #ย่งฮะเฮง #SUS304 #เครื่องมือประมง #ลดขั้นตอนการทำปลา #ครัวมืออาชีพ #พร้อมใช้งาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องหั่นมันฝรั่ง หั่นมันแกวทำเฟรนช์ฟรายส์
    นวัตกรรมใหม่! หั่น มันแกว ให้เป็นแท่งสวยเป๊ะเหมือนเฟรนช์ฟรายส์ ด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) จาก ย.ย่งฮะเฮง!

    ใครว่าเครื่องหั่นมันฝรั่งจะหั่นได้แต่มันฝรั่ง? วันนี้เรามีไอเดียสุดว้าว! เปลี่ยนเมนูธรรมดาให้พิเศษ
    อัปเกรดธุรกิจของคุณด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่งที่หั่นวัตถุดิบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

    มันแกวทอด/อบกรอบ: เมนูทานเล่นใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพ
    มันฝรั่งแท่ง: เฟรนช์ฟรายส์มาตรฐานสากล
    กระชาย/ขิง/แครอท: สำหรับธุรกิจสมุนไพรและอาหารแปรรูป

    จุดเด่นที่ทำให้คุณไม่ควรพลาด:
    อเนกประสงค์ : หั่นได้หลากหลายกว่าที่คิด ตั้งแต่มันแกวถึงกระชาย!
    ชิ้นงานสม่ำเสมอ: ปรับความหนาได้ตามต้องการ ได้ชิ้นงานสวยเท่ากันทุกแท่ง
    ผลิตเร็วแรงสูง: กำลังการผลิต 100-300 KG/H ประหยัดเวลาแรงงานไปได้เยอะ!
    อย่าปล่อยให้การหั่นช้าทำให้ธุรกิจสะดุด! ลงทุนครั้งเดียว คุ้มค่าระยะยาว!

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    แชท: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันแกว #มันแกวเฟรนช์ฟรายส์ #เฟรนช์ฟรายส์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #เครื่องหั่นผลไม้ #เครื่องหั่นกระชาย #เครื่องหั่นขิง #ธุรกิจอาหาร #ร้านอาหาร #โรงงานแปรรูป #อาหารแช่แข็ง #อาหารแปรรูป #วัตถุดิบสดใหม่ #อุปกรณ์ครัว #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต #ลงทุนธุรกิจ #ครัวมืออาชีพ #ของดีบอกต่อ #ทำอาหารขาย #สินค้าพร้อมส่ง #เครื่องจักรนำเข้า
    🥔🍠 เครื่องหั่นมันฝรั่ง หั่นมันแกวทำเฟรนช์ฟรายส์ 🍟✨ ✨ นวัตกรรมใหม่! หั่น มันแกว ให้เป็นแท่งสวยเป๊ะเหมือนเฟรนช์ฟรายส์ ด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่ง (Potato Slicer) จาก ย.ย่งฮะเฮง! 🚀 ใครว่าเครื่องหั่นมันฝรั่งจะหั่นได้แต่มันฝรั่ง? 🧐 วันนี้เรามีไอเดียสุดว้าว! เปลี่ยนเมนูธรรมดาให้พิเศษ ✨ อัปเกรดธุรกิจของคุณด้วย เครื่องหั่นมันฝรั่งที่หั่นวัตถุดิบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น มันแกวทอด/อบกรอบ: เมนูทานเล่นใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพ 💚 มันฝรั่งแท่ง: เฟรนช์ฟรายส์มาตรฐานสากล 🍟 กระชาย/ขิง/แครอท: สำหรับธุรกิจสมุนไพรและอาหารแปรรูป 🥕 ✅ จุดเด่นที่ทำให้คุณไม่ควรพลาด: อเนกประสงค์ 💯: หั่นได้หลากหลายกว่าที่คิด ตั้งแต่มันแกวถึงกระชาย! ชิ้นงานสม่ำเสมอ: ปรับความหนาได้ตามต้องการ ได้ชิ้นงานสวยเท่ากันทุกแท่ง ผลิตเร็วแรงสูง: กำลังการผลิต 100-300 KG/H ประหยัดเวลาแรงงานไปได้เยอะ! ⏱️ อย่าปล่อยให้การหั่นช้าทำให้ธุรกิจสะดุด! 🛠️ ลงทุนครั้งเดียว คุ้มค่าระยะยาว! 🛒 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.), เสาร์ (8.00-16.00 น.) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 แชท: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นมันฝรั่ง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องหั่นมันแกว #มันแกวเฟรนช์ฟรายส์ #เฟรนช์ฟรายส์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เครื่องครัวเชิงพาณิชย์ #ยงฮะเฮง #Yoryonghahheng #เครื่องหั่นสแตนเลส #เครื่องหั่นผักอเนกประสงค์ #เครื่องหั่นผลไม้ #เครื่องหั่นกระชาย #เครื่องหั่นขิง #ธุรกิจอาหาร #ร้านอาหาร #โรงงานแปรรูป #อาหารแช่แข็ง #อาหารแปรรูป #วัตถุดิบสดใหม่ #อุปกรณ์ครัว #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต #ลงทุนธุรกิจ #ครัวมืออาชีพ #ของดีบอกต่อ #ทำอาหารขาย #สินค้าพร้อมส่ง #เครื่องจักรนำเข้า
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Samsung หั่นราคาชิป 2nm ลง 33% — เปิดเกมรุก TSMC หวังพลิกสถานการณ์โรงงานว่าง”

    Samsung Foundry กำลังเดินเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดการผลิตชิประดับสูง ด้วยการลดราคาชิป 2nm ลงเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ต่อแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาของ TSMC ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ถึง 33% การลดราคาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นความพยายามของ Samsung ในการเติมเต็มกำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งในเกาหลีใต้และสหรัฐฯ

    แม้ TSMC จะยังครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ที่เลือกใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับชิปยุคถัดไป แต่ Samsung ก็เริ่มเห็นผลจากกลยุทธ์ลดราคา โดยสามารถคว้าดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla2

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Samsung อาจได้รับงานผลิตชิปสำหรับโครงการ xAI ของ Elon Musk ด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายบทบาทของ Samsung ในตลาด AI hardware ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    แม้จะมีความคืบหน้า แต่ Samsung ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพและ yield rate โดยรายงานล่าสุดระบุว่าอัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานของ TSMC ที่มี yield สูงกว่า 80% ในหลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung ลดราคาชิป 2nm เหลือ 20,000 ดอลลาร์ต่อเวเฟอร์ ต่ำกว่า TSMC ถึง 33%
    เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่กำลังการผลิตที่ยังว่างในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์
    TSMC ยังคงครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD
    Samsung ได้ดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับชิป AI รุ่นใหม่
    มีแนวโน้มว่า Samsung อาจผลิตชิปให้กับโครงการ xAI ของ Elon Musk
    Yield rate ของชิป 2nm ของ Samsung อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี
    Samsung ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ในการพัฒนา node 2nm
    โรงงานในเท็กซัสของ Samsung เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตชิปในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การผลิตชิประดับ 2nm ต้องใช้เทคโนโลยี lithography ขั้นสูง เช่น EUV (Extreme Ultraviolet)
    Yield rate ต่ำหมายถึงต้นทุนต่อชิปสูงขึ้น แม้ราคาต่อเวเฟอร์จะถูกลง
    TSMC มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิประดับสูงมากกว่า 67% ขณะที่ Samsung อยู่ที่ประมาณ 7.7%
    การแข่งขันด้านราคาสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ต้องแลกกับ margin ที่ลดลง
    Tesla และ xAI เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงและผลิตในสหรัฐฯ

    https://www.techpowerup.com/341465/samsung-cuts-2-nm-node-pricing-by-33-in-tsmc-competition-push
    💥 “Samsung หั่นราคาชิป 2nm ลง 33% — เปิดเกมรุก TSMC หวังพลิกสถานการณ์โรงงานว่าง” Samsung Foundry กำลังเดินเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดการผลิตชิประดับสูง ด้วยการลดราคาชิป 2nm ลงเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ต่อแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาของ TSMC ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ถึง 33% การลดราคาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นความพยายามของ Samsung ในการเติมเต็มกำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งในเกาหลีใต้และสหรัฐฯ แม้ TSMC จะยังครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ที่เลือกใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับชิปยุคถัดไป แต่ Samsung ก็เริ่มเห็นผลจากกลยุทธ์ลดราคา โดยสามารถคว้าดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla2 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Samsung อาจได้รับงานผลิตชิปสำหรับโครงการ xAI ของ Elon Musk ด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายบทบาทของ Samsung ในตลาด AI hardware ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความคืบหน้า แต่ Samsung ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพและ yield rate โดยรายงานล่าสุดระบุว่าอัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานของ TSMC ที่มี yield สูงกว่า 80% ในหลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung ลดราคาชิป 2nm เหลือ 20,000 ดอลลาร์ต่อเวเฟอร์ ต่ำกว่า TSMC ถึง 33% ➡️ เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่กำลังการผลิตที่ยังว่างในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ ➡️ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ➡️ Samsung ได้ดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับชิป AI รุ่นใหม่ ➡️ มีแนวโน้มว่า Samsung อาจผลิตชิปให้กับโครงการ xAI ของ Elon Musk ➡️ Yield rate ของชิป 2nm ของ Samsung อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี ➡️ Samsung ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ในการพัฒนา node 2nm ➡️ โรงงานในเท็กซัสของ Samsung เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การผลิตชิประดับ 2nm ต้องใช้เทคโนโลยี lithography ขั้นสูง เช่น EUV (Extreme Ultraviolet) ➡️ Yield rate ต่ำหมายถึงต้นทุนต่อชิปสูงขึ้น แม้ราคาต่อเวเฟอร์จะถูกลง ➡️ TSMC มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิประดับสูงมากกว่า 67% ขณะที่ Samsung อยู่ที่ประมาณ 7.7% ➡️ การแข่งขันด้านราคาสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ต้องแลกกับ margin ที่ลดลง ➡️ Tesla และ xAI เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงและผลิตในสหรัฐฯ https://www.techpowerup.com/341465/samsung-cuts-2-nm-node-pricing-by-33-in-tsmc-competition-push
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Cuts 2 nm Node Pricing by 33% in TSMC Competition Push
    Samsung has cut its 2 nm wafer prices to $20,000 offering a 33% discount compared to TSMC's expected $30,000 per wafer cost, industry reports say. The company aims to draw customers to its underused advanced manufacturing capacity. The Korean chipmaker faces big pressure to get returns on billions i...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนมีดีคือจีนแท้,จีนไม่ดีคือจีนเทา มันใฝ่ทรยศจีนแท้ได้,ทำลายคนจีนแท้ในประเทศจีนได้,
    ..จริงๆจีนมีนโยบายตนเองชัด,ถ้านายกฯเราดีก็ชัดเจนกับจีนได้หมด,แต่มิใช่แบบลาวแบบเขมร ทาสหนี้จีนเมืองขึ้นจีน ขายแผ่นดินให้จีนยึดครองได้หลากหลายวิธีลักษณะแบบนั้น,จีนปัจจุบันมองผลประโยชน์สำคัญเป็นหลักแล้วก่อนมองด้านอดีตที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อน,นโยบายไทยเราก็อนาถด้วย จุดยืนตนเองไม่มี เพราะนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยเราทุจริตไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ถูกตังเจ้าสัวไทยนอมินีจีนซื้อด้วยเงินก็ขาอ่อนหมดแล้ว,รากฐานคือผู้นำผู้ปกครองเรากาก ไม่มีอะไรเลย,จีนจึงเต็มไทยไปหมดรวมต่างด้าวด้วย,ต่างด้าวต่างชาติมีงานในไทยมากเท่าไร คนไทยก็ตกงานมากเท่านั่นเพราะเอกชนไทยและต่างชาติสุมหัวกันทำลายแรงงานคนไทยได้สบาย สุดท้ายคนไทยตกงาน ขาดรายได้รายรับ ถูกยึดที่ดินผิดปกติด้วยกฎหมายเปิดช่องมากมายจากนักการเมืองปกครองประเทศแบบสาระเลวชั่ว,จีนแฟร์มาก เราประเทศได้ผู้นำเอาคนไทยมาก่อนมันจะจบเลย,คนไทยจะมีงานทำเกือบหมด,ไม่มีงานทางตรงจากประจำกิจการบริษัทโรงงานก็เป็นงานทางอ้อมส่งวัตถุดิบเข้ากิจการโรงงานบริษัทนั้นๆได้,มีรายได้รายรับผ่านช่องทางนี้ได้,กระทรวงแรงงานเรากากไม่มีอะไรหรอก บริหารจัดการไม่เป็น,ต้นน้ำคือโรงเรียนวิลัยมหาลัยไทยตน ปลายน้ำคือกิจการเอกชนและหน่วนงานรัฐบาล ตนต้องส่งแรงงานไทยตนทั้งหมดให้ถึงฝั่งจะเป็นด้านเอกชนที่คนไทยนั้นๆสนใจทำงานหรือหน่วยงานระบบราชการตนก็ต้องส่งคนไทนนั้นๆถึงฝันใฝ่ด้วย,ชี้แนะวิชาชีพ อาชีพแต่แรก,เตรียมรองรับเมื่อเขาจบการศึกษา ประสานแหล่งงานเตรียมพร้อมรับแรงงานคนไทยเข้าทำงาน ทั้งเอกชนและทางรัฐเองที่สรรหากำลังพลบุคลากร,ตลอดทั่วโลกด้วย ติดตามทุกๆสัปดาห์หรือเดือนด้วยเพื่อปกป้องคนไทยเรา หรืออาชญากรรมค้ามนุษย์ทั้งในไทยเองและที่ต่างประเทศ.,กระทรวงแรงงานเราจึงกากตอบไม่ผิด,ตนต้องอุดช่องขัดขวางมิให้ประสิทธิภาพหน้าที่ตนลดลง ดูแลรายรับคนได้ได้ทั่วประเทศ,ส่งเสริมทักษะและอาชีพจริง สนับสนุนแหล่งเงินทุนสร้างรายได้รายรับด้วย,บริหารและบริการแบบครบวงจรอุ่นใจเมื่อทุกๆคนไทยเข้าไปหาว่ามีโอกาสสร้างรายรับเข้าบ้านแน่นอนเมื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานนี้,คนไทยเราไม่อดตายมีเงินมีตังมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเลี้ยงชีพตนและคนที่ตนอยากดูแลเลี้ยงดูด้วย,
    ..จีน อินเดีย อินโดฯ เอเชียเราคือตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่โตมากสามารถพึงพากันในเอเชียในหลายๆด้านได้สบายเช่นตลาดสร้างรายได้แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศ,หรือสร้างความสงบร่มเย็นปลอดสงครามสู้รบใดๆทั้งภายในและแบบเขมรยิงใส่ไทยเราก่อนแบบนี้,
    ..จีนเป็นพี่ใหญ่ที่ดีกับไทยในอดีตแต่ไส้ในเราไม่รู้ว่าไปแลกกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอะไรบ้าง,ทุกๆบ้านไส้ในเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา,แต่ทั้งหมดคบกันอาจด้วยผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ.,น้อยมาที่สายสัมพันธุ์มาก่อน,แต่จีนแท้ สายสัมพันธุ์ที่ดีอาจมาก่อนเสมอ,คนจีนที่นิสัยดีๆซื่อสัตย์ซื่อตรงมีไม่น้อย ตลอดผู้นำจีนแม้เขาคือคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นคนดีในหมู่คอมมิวนิสต์เขาได้,คนดีคบกันไม่สนใจว่าปกครองด้วยระบบอะไรหรอก,เพราะคนดีจะไม่ทรยศและหักหลังกันและกันเด็ดขาด.,ต่างตักเตือนเฝ้าระวังภัยให้กันและกันเมื่อมีภัยเกิดขึ้น.,ไม่ทิ้งกันเช่นกัน.
    ..ดีที่สุดเรา..ประเทศไทนคนไทยเราต้องสามัคคีกันพึ่งพากันและกันช่วยเหลือกันและกันดีที่สุด.

    https://youtube.com/shorts/mNwZxmoscYQ?si=XiKZq615VFPIjxNd
    จีนมีดีคือจีนแท้,จีนไม่ดีคือจีนเทา มันใฝ่ทรยศจีนแท้ได้,ทำลายคนจีนแท้ในประเทศจีนได้, ..จริงๆจีนมีนโยบายตนเองชัด,ถ้านายกฯเราดีก็ชัดเจนกับจีนได้หมด,แต่มิใช่แบบลาวแบบเขมร ทาสหนี้จีนเมืองขึ้นจีน ขายแผ่นดินให้จีนยึดครองได้หลากหลายวิธีลักษณะแบบนั้น,จีนปัจจุบันมองผลประโยชน์สำคัญเป็นหลักแล้วก่อนมองด้านอดีตที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อน,นโยบายไทยเราก็อนาถด้วย จุดยืนตนเองไม่มี เพราะนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยเราทุจริตไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ถูกตังเจ้าสัวไทยนอมินีจีนซื้อด้วยเงินก็ขาอ่อนหมดแล้ว,รากฐานคือผู้นำผู้ปกครองเรากาก ไม่มีอะไรเลย,จีนจึงเต็มไทยไปหมดรวมต่างด้าวด้วย,ต่างด้าวต่างชาติมีงานในไทยมากเท่าไร คนไทยก็ตกงานมากเท่านั่นเพราะเอกชนไทยและต่างชาติสุมหัวกันทำลายแรงงานคนไทยได้สบาย สุดท้ายคนไทยตกงาน ขาดรายได้รายรับ ถูกยึดที่ดินผิดปกติด้วยกฎหมายเปิดช่องมากมายจากนักการเมืองปกครองประเทศแบบสาระเลวชั่ว,จีนแฟร์มาก เราประเทศได้ผู้นำเอาคนไทยมาก่อนมันจะจบเลย,คนไทยจะมีงานทำเกือบหมด,ไม่มีงานทางตรงจากประจำกิจการบริษัทโรงงานก็เป็นงานทางอ้อมส่งวัตถุดิบเข้ากิจการโรงงานบริษัทนั้นๆได้,มีรายได้รายรับผ่านช่องทางนี้ได้,กระทรวงแรงงานเรากากไม่มีอะไรหรอก บริหารจัดการไม่เป็น,ต้นน้ำคือโรงเรียนวิลัยมหาลัยไทยตน ปลายน้ำคือกิจการเอกชนและหน่วนงานรัฐบาล ตนต้องส่งแรงงานไทยตนทั้งหมดให้ถึงฝั่งจะเป็นด้านเอกชนที่คนไทยนั้นๆสนใจทำงานหรือหน่วยงานระบบราชการตนก็ต้องส่งคนไทนนั้นๆถึงฝันใฝ่ด้วย,ชี้แนะวิชาชีพ อาชีพแต่แรก,เตรียมรองรับเมื่อเขาจบการศึกษา ประสานแหล่งงานเตรียมพร้อมรับแรงงานคนไทยเข้าทำงาน ทั้งเอกชนและทางรัฐเองที่สรรหากำลังพลบุคลากร,ตลอดทั่วโลกด้วย ติดตามทุกๆสัปดาห์หรือเดือนด้วยเพื่อปกป้องคนไทยเรา หรืออาชญากรรมค้ามนุษย์ทั้งในไทยเองและที่ต่างประเทศ.,กระทรวงแรงงานเราจึงกากตอบไม่ผิด,ตนต้องอุดช่องขัดขวางมิให้ประสิทธิภาพหน้าที่ตนลดลง ดูแลรายรับคนได้ได้ทั่วประเทศ,ส่งเสริมทักษะและอาชีพจริง สนับสนุนแหล่งเงินทุนสร้างรายได้รายรับด้วย,บริหารและบริการแบบครบวงจรอุ่นใจเมื่อทุกๆคนไทยเข้าไปหาว่ามีโอกาสสร้างรายรับเข้าบ้านแน่นอนเมื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานนี้,คนไทยเราไม่อดตายมีเงินมีตังมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเลี้ยงชีพตนและคนที่ตนอยากดูแลเลี้ยงดูด้วย, ..จีน อินเดีย อินโดฯ เอเชียเราคือตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่โตมากสามารถพึงพากันในเอเชียในหลายๆด้านได้สบายเช่นตลาดสร้างรายได้แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศ,หรือสร้างความสงบร่มเย็นปลอดสงครามสู้รบใดๆทั้งภายในและแบบเขมรยิงใส่ไทยเราก่อนแบบนี้, ..จีนเป็นพี่ใหญ่ที่ดีกับไทยในอดีตแต่ไส้ในเราไม่รู้ว่าไปแลกกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอะไรบ้าง,ทุกๆบ้านไส้ในเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา,แต่ทั้งหมดคบกันอาจด้วยผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ.,น้อยมาที่สายสัมพันธุ์มาก่อน,แต่จีนแท้ สายสัมพันธุ์ที่ดีอาจมาก่อนเสมอ,คนจีนที่นิสัยดีๆซื่อสัตย์ซื่อตรงมีไม่น้อย ตลอดผู้นำจีนแม้เขาคือคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นคนดีในหมู่คอมมิวนิสต์เขาได้,คนดีคบกันไม่สนใจว่าปกครองด้วยระบบอะไรหรอก,เพราะคนดีจะไม่ทรยศและหักหลังกันและกันเด็ดขาด.,ต่างตักเตือนเฝ้าระวังภัยให้กันและกันเมื่อมีภัยเกิดขึ้น.,ไม่ทิ้งกันเช่นกัน. ..ดีที่สุดเรา..ประเทศไทนคนไทยเราต้องสามัคคีกันพึ่งพากันและกันช่วยเหลือกันและกันดีที่สุด. https://youtube.com/shorts/mNwZxmoscYQ?si=XiKZq615VFPIjxNd
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Glass Substrate: วัสดุใหม่ที่ Apple และ Tesla กำลังจับตามอง — จุดเปลี่ยนของวงการชิปยุคถัดไป”

    หลังจากถูกพูดถึงในวงการเซมิคอนดักเตอร์มาหลายปี “Glass Substrate” หรือวัสดุแก้วสำหรับฐานชิป กำลังได้รับความสนใจอย่างจริงจังจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อเตรียมนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไป เช่น ชิป FSD ของ Tesla และชิป ASIC ที่ใช้ใน iPhone หรือ MacBook ของ Apple

    Glass Substrate คือวัสดุที่มาแทน “organic core” ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet โดยมีข้อดีคือสามารถบรรจุชั้นสัญญาณ (RDL) ได้มากกว่าในพื้นที่เท่าเดิม ทำให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้แน่นขึ้น และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขนาดเล็กลง

    Apple ได้เริ่มเข้าเยี่ยมผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Glass Substrate เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้จริง ขณะที่ Tesla กำลังพิจารณาใช้กับชิป FSD รุ่นถัดไป ซึ่งต้องการความหนาแน่นและความเสถียรสูงในการประมวลผลแบบเรียลไทม์

    แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านการผลิต เช่น การเจาะรู TGV (Through-Glass Via) และการจัดการแผ่นแก้วที่เปราะบาง แต่การที่บริษัทใหญ่อย่าง Apple และ Tesla เริ่มสนใจ ก็เป็นสัญญาณว่า Glass Substrate อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อใช้ Glass Substrate ในชิปรุ่นถัดไป
    Apple อาจใช้กับชิป ASIC สำหรับ iPhone และ MacBook ส่วน Tesla อาจใช้กับชิป FSD
    Glass Substrate มาแทน organic core ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet
    มีความสามารถในการบรรจุสัญญาณมากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้
    Intel เคยเป็นผู้นำด้าน Glass Substrate แต่ลดการลงทุนในปี 2023
    มีการทดสอบ Glass Substrate ที่โรงงานของ Intel ในรัฐแอริโซนาเมื่อปี 2023
    Samsung และ TSMC กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อผลิตจริงในปี 2026
    Glass Substrate ช่วยให้สามารถผลิตชิปแบบ multi-die ที่ใหญ่และหนาแน่นขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Glass Substrate มีความแข็งแรงและเสถียรกว่า organic core ลดการบิดเบี้ยวของชิป
    สามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยี 3D stacking เช่น SoIC ที่ Apple เตรียมนำมาใช้ใน MacBook ปี 2025
    มีความโปร่งใส ทำให้สามารถรวม photonic และ electronic components ในชิปเดียวกันได้
    TSMC กำลังเปลี่ยนจาก wafer กลมเป็น substrate สี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มจำนวนชิปต่อแผ่น
    Glass Substrate เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์สื่อสาร

    https://wccftech.com/glass-substrates-are-beginning-to-draw-big-tech-interest/
    🔬 “Glass Substrate: วัสดุใหม่ที่ Apple และ Tesla กำลังจับตามอง — จุดเปลี่ยนของวงการชิปยุคถัดไป” หลังจากถูกพูดถึงในวงการเซมิคอนดักเตอร์มาหลายปี “Glass Substrate” หรือวัสดุแก้วสำหรับฐานชิป กำลังได้รับความสนใจอย่างจริงจังจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อเตรียมนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไป เช่น ชิป FSD ของ Tesla และชิป ASIC ที่ใช้ใน iPhone หรือ MacBook ของ Apple Glass Substrate คือวัสดุที่มาแทน “organic core” ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet โดยมีข้อดีคือสามารถบรรจุชั้นสัญญาณ (RDL) ได้มากกว่าในพื้นที่เท่าเดิม ทำให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้แน่นขึ้น และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขนาดเล็กลง Apple ได้เริ่มเข้าเยี่ยมผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Glass Substrate เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาใช้จริง ขณะที่ Tesla กำลังพิจารณาใช้กับชิป FSD รุ่นถัดไป ซึ่งต้องการความหนาแน่นและความเสถียรสูงในการประมวลผลแบบเรียลไทม์ แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านการผลิต เช่น การเจาะรู TGV (Through-Glass Via) และการจัดการแผ่นแก้วที่เปราะบาง แต่การที่บริษัทใหญ่อย่าง Apple และ Tesla เริ่มสนใจ ก็เป็นสัญญาณว่า Glass Substrate อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple และ Tesla กำลังเจรจากับผู้ผลิตเพื่อใช้ Glass Substrate ในชิปรุ่นถัดไป ➡️ Apple อาจใช้กับชิป ASIC สำหรับ iPhone และ MacBook ส่วน Tesla อาจใช้กับชิป FSD ➡️ Glass Substrate มาแทน organic core ในการแพ็กเกจชิปแบบ chiplet ➡️ มีความสามารถในการบรรจุสัญญาณมากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม และลดจำนวนชั้นที่ต้องใช้ ➡️ Intel เคยเป็นผู้นำด้าน Glass Substrate แต่ลดการลงทุนในปี 2023 ➡️ มีการทดสอบ Glass Substrate ที่โรงงานของ Intel ในรัฐแอริโซนาเมื่อปี 2023 ➡️ Samsung และ TSMC กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อผลิตจริงในปี 2026 ➡️ Glass Substrate ช่วยให้สามารถผลิตชิปแบบ multi-die ที่ใหญ่และหนาแน่นขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Glass Substrate มีความแข็งแรงและเสถียรกว่า organic core ลดการบิดเบี้ยวของชิป ➡️ สามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยี 3D stacking เช่น SoIC ที่ Apple เตรียมนำมาใช้ใน MacBook ปี 2025 ➡️ มีความโปร่งใส ทำให้สามารถรวม photonic และ electronic components ในชิปเดียวกันได้ ➡️ TSMC กำลังเปลี่ยนจาก wafer กลมเป็น substrate สี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มจำนวนชิปต่อแผ่น ➡️ Glass Substrate เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์สื่อสาร https://wccftech.com/glass-substrates-are-beginning-to-draw-big-tech-interest/
    WCCFTECH.COM
    Glass Substrates Are Beginning to Draw Big Tech Interest, With Apple and Tesla Reportedly Lining Up for Adoption in Next-Gen Chips
    Glass substrates have started to be recognized, as a new report claims that both Apple and Tesla are looking to adopt the technology.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EU Chips Act 2.0: เมื่อยุโรปยอมรับว่าแผนผลิตชิประดับโลกล้มเหลว — และต้องทุ่มงบเพิ่ม 4 เท่าเพื่อไม่ให้ตกขบวนเทคโนโลยี”

    สหภาพยุโรป (EU) เคยตั้งเป้าหมายไว้สูงลิ่วในปี 2022 ว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกให้ได้ 20% ภายในปี 2030 ผ่านโครงการ European Chips Act ที่มีงบประมาณกว่า 43,000 ล้านยูโร (ราว 50.4 พันล้านดอลลาร์) แต่ล่าสุด EU ต้องยอมรับว่าเป้าหมายนี้ “ไปไม่ถึง” และกำลังผลักดันเวอร์ชันใหม่ในชื่อ “Chips Act 2.0” โดยเสนอให้เพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น

    ข้อมูลล่าสุดจาก European Court of Auditors และกลุ่มพันธมิตร Semicon Coalition ที่นำโดยเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า EU จะสามารถครองตลาดได้เพียง 11.7% ภายในปี 2030 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยหนึ่งในสาเหตุหลักคือ Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานผลิตชิปมูลค่า 30 พันล้านยูโรในเยอรมนี และอีกแห่งในโปแลนด์ ทำให้ความหวังในการดึงผู้ผลิตชิปรายใหญ่เข้าสู่ยุโรปพังทลาย

    Chips Act 2.0 จึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเทคโนโลยีเฉพาะทาง, เร่งการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐาน, และเพิ่มการเข้าถึงเงินทุนและบุคลากรในห่วงโซ่การผลิตชิป โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon เข้าร่วมลงนามสนับสนุนแผนใหม่นี้

    แม้ EU จะยังมีความหวังจากโรงงานของ TSMC ที่เมือง Dresden ประเทศเยอรมนี แต่ก็เป็นโครงการขนาดเล็กและไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูงเท่าที่ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ยุโรปยังคงตามหลังในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EU ตั้งเป้าครองตลาดชิปโลก 20% ภายในปี 2030 ผ่าน Chips Act งบ 43,000 ล้านยูโร
    ล่าสุดคาดว่าจะทำได้เพียง 11.7% เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022
    Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานในเยอรมนีและโปแลนด์ ทำให้เป้าหมายสะดุด
    กลุ่ม Semicon Coalition นำโดยเนเธอร์แลนด์ผลักดัน Chips Act 2.0
    เสนอเพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น
    บริษัทใหญ่ เช่น Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon ร่วมลงนามสนับสนุน
    Chips Act 2.0 เน้นการเร่งอนุมัติโครงการ, เพิ่มเงินทุน, และพัฒนาบุคลากร
    TSMC มีโรงงานใน Dresden แต่เป็นโครงการขนาดเล็ก ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สหรัฐฯ ลงทุนมหาศาลผ่าน Chips Act และ Inflation Reduction Act เพื่อดึงผู้ผลิตชิป
    จีน, เกาหลีใต้ และไต้หวันยังคงนำหน้าในด้านการผลิตและเทคโนโลยีชิป
    รถยนต์ยุคใหม่ใช้ชิปมากกว่า 3,000 ตัวต่อคัน ทำให้ความต้องการพุ่งสูง
    การแข่งขันในอุตสาหกรรมชิปเป็นเรื่องของความมั่นคงระดับชาติและเศรษฐกิจ
    EU ยังขาดระบบสนับสนุนแบบรวมศูนย์ ทำให้การลงทุนกระจายและไม่เกิดผลรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/eu-pushes-for-chips-act-2-0-investment-as-it-looks-set-to-miss-global-silicon-production-targets-by-a-wide-margin-seeks-quadrupling-of-semiconductor-investment-as-usd50-billion-initiative-flounders
    💥 “EU Chips Act 2.0: เมื่อยุโรปยอมรับว่าแผนผลิตชิประดับโลกล้มเหลว — และต้องทุ่มงบเพิ่ม 4 เท่าเพื่อไม่ให้ตกขบวนเทคโนโลยี” สหภาพยุโรป (EU) เคยตั้งเป้าหมายไว้สูงลิ่วในปี 2022 ว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกให้ได้ 20% ภายในปี 2030 ผ่านโครงการ European Chips Act ที่มีงบประมาณกว่า 43,000 ล้านยูโร (ราว 50.4 พันล้านดอลลาร์) แต่ล่าสุด EU ต้องยอมรับว่าเป้าหมายนี้ “ไปไม่ถึง” และกำลังผลักดันเวอร์ชันใหม่ในชื่อ “Chips Act 2.0” โดยเสนอให้เพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดจาก European Court of Auditors และกลุ่มพันธมิตร Semicon Coalition ที่นำโดยเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า EU จะสามารถครองตลาดได้เพียง 11.7% ภายในปี 2030 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยหนึ่งในสาเหตุหลักคือ Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานผลิตชิปมูลค่า 30 พันล้านยูโรในเยอรมนี และอีกแห่งในโปแลนด์ ทำให้ความหวังในการดึงผู้ผลิตชิปรายใหญ่เข้าสู่ยุโรปพังทลาย Chips Act 2.0 จึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเทคโนโลยีเฉพาะทาง, เร่งการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐาน, และเพิ่มการเข้าถึงเงินทุนและบุคลากรในห่วงโซ่การผลิตชิป โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon เข้าร่วมลงนามสนับสนุนแผนใหม่นี้ แม้ EU จะยังมีความหวังจากโรงงานของ TSMC ที่เมือง Dresden ประเทศเยอรมนี แต่ก็เป็นโครงการขนาดเล็กและไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูงเท่าที่ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ยุโรปยังคงตามหลังในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EU ตั้งเป้าครองตลาดชิปโลก 20% ภายในปี 2030 ผ่าน Chips Act งบ 43,000 ล้านยูโร ➡️ ล่าสุดคาดว่าจะทำได้เพียง 11.7% เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2022 ➡️ Intel ยกเลิกแผนสร้างโรงงานในเยอรมนีและโปแลนด์ ทำให้เป้าหมายสะดุด ➡️ กลุ่ม Semicon Coalition นำโดยเนเธอร์แลนด์ผลักดัน Chips Act 2.0 ➡️ เสนอเพิ่มงบประมาณเป็น 4 เท่า และปรับยุทธศาสตร์ให้ตรงจุดมากขึ้น ➡️ บริษัทใหญ่ เช่น Nvidia, Intel, ASML, STMicroelectronics และ Infineon ร่วมลงนามสนับสนุน ➡️ Chips Act 2.0 เน้นการเร่งอนุมัติโครงการ, เพิ่มเงินทุน, และพัฒนาบุคลากร ➡️ TSMC มีโรงงานใน Dresden แต่เป็นโครงการขนาดเล็ก ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สหรัฐฯ ลงทุนมหาศาลผ่าน Chips Act และ Inflation Reduction Act เพื่อดึงผู้ผลิตชิป ➡️ จีน, เกาหลีใต้ และไต้หวันยังคงนำหน้าในด้านการผลิตและเทคโนโลยีชิป ➡️ รถยนต์ยุคใหม่ใช้ชิปมากกว่า 3,000 ตัวต่อคัน ทำให้ความต้องการพุ่งสูง ➡️ การแข่งขันในอุตสาหกรรมชิปเป็นเรื่องของความมั่นคงระดับชาติและเศรษฐกิจ ➡️ EU ยังขาดระบบสนับสนุนแบบรวมศูนย์ ทำให้การลงทุนกระจายและไม่เกิดผลรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/eu-pushes-for-chips-act-2-0-investment-as-it-looks-set-to-miss-global-silicon-production-targets-by-a-wide-margin-seeks-quadrupling-of-semiconductor-investment-as-usd50-billion-initiative-flounders
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว”

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่

    เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้

    นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้

    ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์

    ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
    OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้
    มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
    พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง
    การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง
    ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม
    ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030
    หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030
    พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต
    การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก
    การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    ⚡ “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว” ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่ เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้ ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์ ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI ➡️ OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้ ➡️ มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ➡️ พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง ➡️ การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง ➡️ ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ➡️ ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030 ➡️ หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030 ➡️ พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก ➡️ การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why don't data centres use more green energy?
    Reliance on fossil fuels is almost unavoidable — at least for now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สหรัฐฯ เร่งดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวัน — ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% รับมือภัยคุกคามจากจีน”

    รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick เปิดเผยว่า ข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้น “ในเร็ว ๆ นี้” โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศให้ได้ถึง 40% ของความต้องการทั้งหมดก่อนเขาจะออกจากตำแหน่ง การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากไต้หวันผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนแค่ 80 ไมล์

    Lutnick กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “จีนไม่แม้แต่จะปิดบังเป้าหมายในการยึดไต้หวัน” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ จึงไม่สามารถพึ่งพาการผลิตชิปจากเกาะเดียวได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อ TSMC คือผู้ผลิตชิประดับ 2nm ชั้นนำของโลก

    แม้ TSMC จะลงทุนสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนาและประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี แต่รัฐบาลไต้หวันยังคงยืนยันว่าจะไม่ย้ายเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดออกนอกประเทศ ตามนโยบาย “N-1” ที่จะเก็บเทคโนโลยีล่าสุดไว้ในไต้หวันเท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังผลักดันนโยบายใหม่ที่เรียกว่า “1:1 chip rule” ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องผลิตชิปในสหรัฐฯ หนึ่งตัวต่อชิปนำเข้า หากไม่ทำตามจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 100% ถือเป็นการเปลี่ยนจากนโยบายสนับสนุน (subsidy) ไปสู่การบังคับด้วย leverage

    หากดีลกับไต้หวันสำเร็จ และ TSMC ยอมย้ายการผลิตระดับ 2nm มายังสหรัฐฯ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาไต้หวันในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Lutnick เผยดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
    สหรัฐฯ ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% ของความต้องการ
    TSMC ลงทุน $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี รวมถึงโรงงานในแอริโซนา
    รัฐบาลไต้หวันยืนยันจะเก็บเทคโนโลยีขั้นสูงไว้ในประเทศตามนโยบาย N-1
    ฝ่ายบริหารทรัมป์เสนอ “1:1 chip rule” บังคับให้ผลิตชิปในประเทศเท่ากับจำนวนที่นำเข้า
    หากไม่ทำตาม จะถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 100%
    TSMC เริ่มผลิตชิป N4 ในสหรัฐฯ และมีแผนรองรับ N3 และ N2 ภายในปี 2028–2029
    ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC ผลิตชิประดับต่ำกว่า 10nm มากกว่า 90% ของโลก
    ไต้หวันผลิตชิป logic ที่เข้าสหรัฐฯ ประมาณ 44% และ memory chips 24%
    CHIPS Act ที่ผ่านในยุค Biden ถูกตีความใหม่ในยุค Trump เพื่อเพิ่ม leverage
    การย้ายเทคโนโลยีระดับ 2nm ต้องใช้การเจรจาทางการเมืองและความมั่นคงระดับสูง
    โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในแอริโซนาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการผลิตในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lutnick-says-taiwan-deal-coming-pretty-soon
    🇺🇸💻 “สหรัฐฯ เร่งดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวัน — ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% รับมือภัยคุกคามจากจีน” รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick เปิดเผยว่า ข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้น “ในเร็ว ๆ นี้” โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศให้ได้ถึง 40% ของความต้องการทั้งหมดก่อนเขาจะออกจากตำแหน่ง การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากไต้หวันผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนแค่ 80 ไมล์ Lutnick กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “จีนไม่แม้แต่จะปิดบังเป้าหมายในการยึดไต้หวัน” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ จึงไม่สามารถพึ่งพาการผลิตชิปจากเกาะเดียวได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อ TSMC คือผู้ผลิตชิประดับ 2nm ชั้นนำของโลก แม้ TSMC จะลงทุนสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนาและประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี แต่รัฐบาลไต้หวันยังคงยืนยันว่าจะไม่ย้ายเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดออกนอกประเทศ ตามนโยบาย “N-1” ที่จะเก็บเทคโนโลยีล่าสุดไว้ในไต้หวันเท่านั้น ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังผลักดันนโยบายใหม่ที่เรียกว่า “1:1 chip rule” ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องผลิตชิปในสหรัฐฯ หนึ่งตัวต่อชิปนำเข้า หากไม่ทำตามจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 100% ถือเป็นการเปลี่ยนจากนโยบายสนับสนุน (subsidy) ไปสู่การบังคับด้วย leverage หากดีลกับไต้หวันสำเร็จ และ TSMC ยอมย้ายการผลิตระดับ 2nm มายังสหรัฐฯ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาไต้หวันในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Lutnick เผยดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ➡️ สหรัฐฯ ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% ของความต้องการ ➡️ TSMC ลงทุน $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี รวมถึงโรงงานในแอริโซนา ➡️ รัฐบาลไต้หวันยืนยันจะเก็บเทคโนโลยีขั้นสูงไว้ในประเทศตามนโยบาย N-1 ➡️ ฝ่ายบริหารทรัมป์เสนอ “1:1 chip rule” บังคับให้ผลิตชิปในประเทศเท่ากับจำนวนที่นำเข้า ➡️ หากไม่ทำตาม จะถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 100% ➡️ TSMC เริ่มผลิตชิป N4 ในสหรัฐฯ และมีแผนรองรับ N3 และ N2 ภายในปี 2028–2029 ➡️ ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC ผลิตชิประดับต่ำกว่า 10nm มากกว่า 90% ของโลก ➡️ ไต้หวันผลิตชิป logic ที่เข้าสหรัฐฯ ประมาณ 44% และ memory chips 24% ➡️ CHIPS Act ที่ผ่านในยุค Biden ถูกตีความใหม่ในยุค Trump เพื่อเพิ่ม leverage ➡️ การย้ายเทคโนโลยีระดับ 2nm ต้องใช้การเจรจาทางการเมืองและความมั่นคงระดับสูง ➡️ โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในแอริโซนาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการผลิตในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lutnick-says-taiwan-deal-coming-pretty-soon
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US Commerce head notes China 'isn't even shy' about its goal to 'take' Taiwan, says US-Taiwan tariff deal coming soon — goal is to have 40% of chips made in America
    Lutnick claims deal talks with Taiwan are advancing as the Trump administration turns up pressure on chipmakers to onshore advanced fabs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI ป้องกันแรนซัมแวร์และการงัดแงะ — เมื่อความปลอดภัยเริ่มต้นที่ฮาร์ดแวร์”

    บริษัท Flexxon จากสิงคโปร์ได้เปิดตัว X-Phy SSD รุ่นใหม่ที่ฝังระบบปัญญาประดิษฐ์ไว้ในระดับเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ทั้งจากระยะไกลและการโจมตีทางกายภาพ โดย SSD รุ่นนี้ไม่ใช่แค่ที่เก็บข้อมูลธรรมดา แต่เป็น “แนวป้องกันสุดท้าย” สำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น หน่วยงานรัฐบาล โรงงานอุตสาหกรรม และสถานพยาบาล

    X-Phy ใช้ AI Quantum Engine ที่ฝังอยู่ในตัวควบคุม SSD เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์ เช่น การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และแม้แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่อาจบ่งบอกถึงการงัดแงะ หากตรวจพบสิ่งผิดปกติ SSD จะล็อกตัวเองทันที และแจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านระบบ authentication หรือในกรณีร้ายแรงสามารถลบข้อมูลทั้งหมดเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

    X-Phy มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Lite, Essential และ Premium โดยแต่ละรุ่นมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน พร้อมระบบ subscription รายปี เริ่มต้นที่ $249 ไปจนถึง $489 ต่อปี แม้ความเร็วในการอ่าน/เขียนจะต่ำกว่ารุ่น NVMe ทั่วไป แต่จุดเด่นของมันคือ “ความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์” ที่ไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ภายนอก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI รุ่น X-Phy เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ระดับฮาร์ดแวร์
    ใช้ AI Quantum Engine ฝังในเฟิร์มแวร์เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนคลื่นแม่เหล็ก และอุณหภูมิผิดปกติ
    หากพบภัยคุกคาม SSD จะล็อกตัวเองและแจ้งเตือนผู้ใช้ทันที
    มีระบบ authentication เพื่อปลดล็อก หรือสามารถลบข้อมูลอัตโนมัติในกรณีร้ายแรง
    มีให้เลือก 3 รุ่น: Lite ($249), Essential ($359), Premium ($489) ต่อปี
    ความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 1,700MB/s และ 1,200MB/s ตามลำดับ
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น รัฐบาล อุตสาหกรรม และการแพทย์
    มีการฝังเซ็นเซอร์ตรวจจับการงัดแงะและระบบลายเซ็นดิจิทัลในเฟิร์มแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยไซเบอร์อันดับต้น ๆ ที่สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
    SSD ทั่วไปไม่มีระบบป้องกันภัยในระดับเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบลึก
    การฝัง AI ในระดับ low-level programming ช่วยลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง
    ระบบ “Zero Trust” ที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกไซเบอร์
    องค์กรกว่า 77% ยังไม่มีแผนรับมือภัยไซเบอร์ที่ชัดเจน ทำให้การป้องกันระดับฮาร์ดแวร์มีความสำคัญมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/this-secure-ssd-subscription-service-may-well-be-the-perfect-protection-against-physical-tampering-and-a-ransomware-attack-but-its-neither-cheap-nor-fast
    🛡️ “Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI ป้องกันแรนซัมแวร์และการงัดแงะ — เมื่อความปลอดภัยเริ่มต้นที่ฮาร์ดแวร์” บริษัท Flexxon จากสิงคโปร์ได้เปิดตัว X-Phy SSD รุ่นใหม่ที่ฝังระบบปัญญาประดิษฐ์ไว้ในระดับเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ทั้งจากระยะไกลและการโจมตีทางกายภาพ โดย SSD รุ่นนี้ไม่ใช่แค่ที่เก็บข้อมูลธรรมดา แต่เป็น “แนวป้องกันสุดท้าย” สำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น หน่วยงานรัฐบาล โรงงานอุตสาหกรรม และสถานพยาบาล X-Phy ใช้ AI Quantum Engine ที่ฝังอยู่ในตัวควบคุม SSD เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์ เช่น การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และแม้แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่อาจบ่งบอกถึงการงัดแงะ หากตรวจพบสิ่งผิดปกติ SSD จะล็อกตัวเองทันที และแจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านระบบ authentication หรือในกรณีร้ายแรงสามารถลบข้อมูลทั้งหมดเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต X-Phy มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Lite, Essential และ Premium โดยแต่ละรุ่นมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน พร้อมระบบ subscription รายปี เริ่มต้นที่ $249 ไปจนถึง $489 ต่อปี แม้ความเร็วในการอ่าน/เขียนจะต่ำกว่ารุ่น NVMe ทั่วไป แต่จุดเด่นของมันคือ “ความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์” ที่ไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ภายนอก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Flexxon เปิดตัว SSD ฝัง AI รุ่น X-Phy เพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ ใช้ AI Quantum Engine ฝังในเฟิร์มแวร์เพื่อเฝ้าระวังภัยแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับแรนซัมแวร์ การโคลนข้อมูล การรบกวนคลื่นแม่เหล็ก และอุณหภูมิผิดปกติ ➡️ หากพบภัยคุกคาม SSD จะล็อกตัวเองและแจ้งเตือนผู้ใช้ทันที ➡️ มีระบบ authentication เพื่อปลดล็อก หรือสามารถลบข้อมูลอัตโนมัติในกรณีร้ายแรง ➡️ มีให้เลือก 3 รุ่น: Lite ($249), Essential ($359), Premium ($489) ต่อปี ➡️ ความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 1,700MB/s และ 1,200MB/s ตามลำดับ ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น รัฐบาล อุตสาหกรรม และการแพทย์ ➡️ มีการฝังเซ็นเซอร์ตรวจจับการงัดแงะและระบบลายเซ็นดิจิทัลในเฟิร์มแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยไซเบอร์อันดับต้น ๆ ที่สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ SSD ทั่วไปไม่มีระบบป้องกันภัยในระดับเฟิร์มแวร์ ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบลึก ➡️ การฝัง AI ในระดับ low-level programming ช่วยลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ➡️ ระบบ “Zero Trust” ที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกไซเบอร์ ➡️ องค์กรกว่า 77% ยังไม่มีแผนรับมือภัยไซเบอร์ที่ชัดเจน ทำให้การป้องกันระดับฮาร์ดแวร์มีความสำคัญมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/this-secure-ssd-subscription-service-may-well-be-the-perfect-protection-against-physical-tampering-and-a-ransomware-attack-but-its-neither-cheap-nor-fast
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI powered SSD combines 1TB storage with ransomware and tamper protections
    X-Phy Guard Solution is available in Lite, Essential, or Premium subs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts