• ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amin999
    เปิดรับพรีออเดอร์ เทมเป้ถั่วปลอดสาร

    " เทมเป้ " อาหารโปรตีนคุณภาพสูง
    จากถั่ว 3 สี ทั้งเมล็ด
    มีโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินแร่ธาตุสารอาหารสูงกว่า เต้าหู้ ทั่วไป

    เหมาะสำหรับทุกท่าน ท่านที่ต้องการควบคุมนน.
    ลดไขมัน ลดพุง
    มีปัญหาต่อระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย
    เป็นภูมิแพ้ ท้องอืด
    อาหารไม่ย่อย มีสภาวะไขมันเกาะตับ
    ท่านที่ทานคลีน คีโต เจ มังสวิรัติ
    ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ

    เพราะเป็นโพรไบโอติกและพรีไบโอติก
    จุลินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อร่างกาย
    มีวิตามินบี 12 สูงมีเลซิตินช่วยลดไขมัน
    บำรุงเลือด บำรุงสมอง
    ทำให้ผิวพรรณดี

    รสชาติ มันๆเหมือนเต้าหู้ หอมคล้ายๆเห็ด
    ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
    ทานสดๆกับเครื่องดื่มร้อนๆก็อร่อย

    1.สูตร ถั่วเหลือง &ถั่วแดง
    &ถั่วเหลืองเปลือกดำเนื้อเขียว
    ก้อนละ 200กรัม ชุดละ 5 ก้อน 300

    2.สูตรถั่วเหลือง &ถั่วลิสง& ถั่วลูกไก่
    190 กรัม ชุดละ 5 ก้อน 350

    3.สูตร ถั่วเหลืองล้วน ก้อนละ180กรัม
    ชุด 6 ก้อน 200

    4.สูตร ถั่วธัญญพืช 7 ชนิด
    ผสมงาขาว & เมล็ดแฟลกสีทอง 190 กรัม
    ชุดละ 5 ก้อน 350

    สูตร 1 &2&4
    ซื้อ 10 ก้อนแถมฟรี 1 ก้อนคะ

    - ส่งแบบพร้อมทาน ทานได้เลยไม่ต้องรอบ่ม
    รถควบคุมความเย็น ค่าจัดส่ง 150 บาท
    ส่งทั่วประเทศ
    - ส่งแบบบ่มต่อ ค่าจัดส่ง 50 บาท
    ( ภาค ตะวันออกกรุงเทพฯปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น

    #ถั่วเหลือง Non Gmo
    #ถั่วปลอดสาร
    #เทมเป้ #โปรตีน #Tempeh
    #อาหารสุขภาพ
    #เจ
    #วีเกน
    #มังสวิรัติ
    #Plantbased
    #เสริมมวลกล้ามเนื้อ
    #โปรตีนคุณภาพสูง
    #ควบคุมน้ำหนัก
    Amin999 เปิดรับพรีออเดอร์ เทมเป้ถั่วปลอดสาร " เทมเป้ " อาหารโปรตีนคุณภาพสูง จากถั่ว 3 สี ทั้งเมล็ด มีโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินแร่ธาตุสารอาหารสูงกว่า เต้าหู้ ทั่วไป เหมาะสำหรับทุกท่าน ท่านที่ต้องการควบคุมนน. ลดไขมัน ลดพุง มีปัญหาต่อระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย เป็นภูมิแพ้ ท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีสภาวะไขมันเกาะตับ ท่านที่ทานคลีน คีโต เจ มังสวิรัติ ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ เพราะเป็นโพรไบโอติกและพรีไบโอติก จุลินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อร่างกาย มีวิตามินบี 12 สูงมีเลซิตินช่วยลดไขมัน บำรุงเลือด บำรุงสมอง ทำให้ผิวพรรณดี รสชาติ มันๆเหมือนเต้าหู้ หอมคล้ายๆเห็ด ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทานสดๆกับเครื่องดื่มร้อนๆก็อร่อย 1.สูตร ถั่วเหลือง &ถั่วแดง &ถั่วเหลืองเปลือกดำเนื้อเขียว ก้อนละ 200กรัม ชุดละ 5 ก้อน 300 2.สูตรถั่วเหลือง &ถั่วลิสง& ถั่วลูกไก่ 190 กรัม ชุดละ 5 ก้อน 350 3.สูตร ถั่วเหลืองล้วน ก้อนละ180กรัม ชุด 6 ก้อน 200 4.สูตร ถั่วธัญญพืช 7 ชนิด ผสมงาขาว & เมล็ดแฟลกสีทอง 190 กรัม ชุดละ 5 ก้อน 350 สูตร 1 &2&4 ซื้อ 10 ก้อนแถมฟรี 1 ก้อนคะ - ส่งแบบพร้อมทาน ทานได้เลยไม่ต้องรอบ่ม รถควบคุมความเย็น ค่าจัดส่ง 150 บาท ส่งทั่วประเทศ - ส่งแบบบ่มต่อ ค่าจัดส่ง 50 บาท ( ภาค ตะวันออกกรุงเทพฯปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น #ถั่วเหลือง Non Gmo #ถั่วปลอดสาร #เทมเป้ #โปรตีน #Tempeh #อาหารสุขภาพ #เจ #วีเกน #มังสวิรัติ #Plantbased #เสริมมวลกล้ามเนื้อ #โปรตีนคุณภาพสูง #ควบคุมน้ำหนัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้
    สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น
    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ
    และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย

    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์

    ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง
    สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น

    ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่

    - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด

    - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง

    - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส

    ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้
    ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย

    ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google
    #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร
    🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์ ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่ - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้
    สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น
    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ
    และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย

    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill)
    มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์

    ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง
    สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น

    ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่

    - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด

    - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง

    - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส

    ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้
    ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย

    ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google
    #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร#thaitimes
    ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) 🚩ทำไม?? ต้องเป็นว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิลเท่านั้น ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) ซึ่งเป็นพืชที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลสุ.ขภ.าพ และการบำบัดโร.คต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใช้ในวงการแพ.ทย์แผ.นโบราณ และแพ.ทย์แผนใหม่ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ว่านหางจระเข้ สายพันธุ์บาร์บาเดนซิสมิล (Aloe barbadensis mill) มีลักษณะต้นใหญ่และเนื้อวุ้นมากที่สุดในวงศ์ ว่านหางจระเข้ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับการนำมาบริโภค ทำยา น้ำว่าน หรือเครื่องสำอาง สายพันธุ์นี้มีกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และได้รับการยอมรับในประโยชน์อันทรงคุณค่ามาเป็นเวลานับทศวรรษ จนได้รับการขนานนามว่า “พืชมหัศจรรย์” หรือ “อายุวัฒนะ” สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 200 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เกลือแร่ กรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เอนไซน์ และเบต้าแคโรทีน และไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (HDL) เป็นต้น ด้วยคุณค่าของสารอาหารต่างๆ อันเป็นประโยชน์เหล่านี้ ผสมผสานอย่างเหมาะสมตามธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารปฏิชีวนะ ชาวญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยพบสารออกฤทธิ์ทางปฏิชีวนะถึง 3 ชนิด ในว่านหางจระเข้ได้แก่ - อโลอิน (Aloin) มีฤทธิ์มาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด - อโลดิน (Emodin)มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซ.ล์ลมะเร็.ง - อโลมิซิน (Alocmicin)ที่มีฤทธิ์สมานแ.ผลและระงับการขยายตัวของเชื้.อไวรั.ส ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีคุณสมบัติและประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพ การบำรุงความงาม และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ว่านหางจระเข้มีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ทองแดง, แมงกานีส, ซีลีเนียม, โครเมียม, วิตามิน A C E B1 B2 B3 B6 B9 B12 และโคลีนนอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผล ได้แก่ โพลีฟีนอล (Polysaccharides) แอนทราควิโนน (Anthraquinone) และกลีโคโปรตีน (Glycoprotein) ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการปรับสมดุลและส่งเสริมสุขภาพของร่างกาย ขอบคุณ ข้อมูลจาก Google #ว่านหางจระเข้ #สมุนไพร #สมุนไพรปลอดสาร#thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มอาการหลังวัคซีนโควิด (ตอนที่ 1)

    ประโยชน์ของวัคซีนก็คือป้องกันโรค รวมทั้งลดอาการหนัก การตายและในขณะเดียวกันจำเป็นต้องทราบผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ได้รับวัคซีนนาทีแรกจนกระทั่งถึงระยะกลางเป็นสัปดาห์และระยะยาวเป็นเดือนและสิ่งที่ทอดยาวไปเป็นปี

    วัคซีนโควิดเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป้าหมายของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยก็คือ ให้ทุกคนได้รับวัคซีนทั้งนี้เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พังพาบ จนรับผู้ป่วยโควิดไม่ไหว
    แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบในการรองรับเพื่อประเมิน ผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในคนที่ได้รับวัคซีนโดยที่เป็นคนที่ยังสุขภาพดีแข็งแรงจนกระทั่งมีโรคประจำตัวอื่นๆ

    รายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 ตั้งคำถามถึงระบบในสหรัฐที่รับรายงานผลแทรกซ้อนของวัคซีนที่เรียกว่า vaccine adverse event reporting system (VAERS) ทั้งนี้ยกตัวอย่างหมอสหรัฐที่ได้รับวัคซีนและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง พยายามที่จะรายงานเข้าระบบ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนักรวมทั้งเป็นความซับซ้อนที่จะได้รับการติดตามสืบหารายละเอียดต่อ
    (Is the US’s Vaccine Adverse Event Reporting System broken?BMJ Investigation BMJ 2023; 383 doi: https://doi.org/10.1136/bmj.p2582 (Published 10 November 2023) Cite this as: BMJ 2023;383:p2582)
    ระบบในการรายงานในประเทศต่างๆไม่เฉพาะแต่ในประเทศอเมริกา แม้แต่ในยุโรปและในอังกฤษเองก็มีปัญหา ซึ่งแตกต่างกับระบบในประเทศเกาหลี ดังที่มีรายงานอุบัติการของหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีน
    เอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเป็นการเปิดรายงานแบบอิสระและแทบจะเป็นเรียวไทม์ โดยกฎเกณฑ์ของเงื่อนไขหัวใจอักเสบนั้นตัดสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจอักเสบได้ทั้งหมดจนเหลือแต่วัคซีนและตัวเลขที่ได้นั้นยังต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าอุบัติการของหัวใจอักเสบอย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งใน 100,000 แต่ความรุนแรงนั้นมากจนกระทั่งถึงต้องเข้าไอซียูหัวใจวายได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจนกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวใจ (บทความสุขภาพพรรษาไทยรัฐหัวใจอักเสบจากวัคซีน)

    ในประเทศไทยเองนั้นดำเนินตามประเทศต่างๆที่ให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมได้มากที่สุด ดังนั้นจะพบได้ว่ามีรายงานที่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันหรือให้มีการพิสูจน์ก่อนว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ ซึ่งอาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ในผู้ที่ได้รับผลกระทบและแพทย์ที่ ดูคนไข้เพราะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายชนิดด้วยกัน

    ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้ชายอายุ 14 ขวบได้รับวัคซีน
    เอ็มอาร์เอ็นเอสามเข็ม โดยเข็มสุดท้ายเก้าเดือนก่อนที่จะมีอาการของหัวใจอักเสบหัวใจวาย รุนแรง และกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบอัมพาตยกแขนขาไม่ได้ เมื่อดูเงื่อนไขของเวลาเผินๆ อาจจะตัดประเด็นของวัคซีนได้เลย แต่การสืบหาสาเหตุอย่างอื่นทั้งตัวไวรัสโควิดและไวรัสอีกหลายชนิดทั้งหมด รวมทั้งภาวะภูมิแปรปรวนที่ทำให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งสามารถตรวจพบเศษของวัคซีนในกล้ามเนื้อหัวใจและมีการอักเสบอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งนี้ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง และการให้สารสกัดน้ำเหลือง ตลอดจนยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าหัวใจอักเสบหัวใจวายจะดีขึ้นแต่แขนขายังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการการรักษาในระดับเป็น 100,000 เป็นล้านบาทต่อหนึ่งคน

    เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความยากลำบากในการพิสูจน์ความเกี่ยวโยงกับวัคซีน
    แต่ทั้งนี้เริ่มมีการวิเคราะห์สาเหตุการตายที่สูงเกินกว่าที่ จะอธิบายได้เมื่อเทียบ ในช่วงเวลาก่อนโควิด ในระหว่างการระบาดของโควิดและหลังจากระบาดเริ่มสงบไปแล้ว และในช่วงที่เริ่มมีการใช้วัคซีน ที่เรียกว่าอัตรา excess deaths
    และนอกจากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึง การนอนหลับที่ผิดปกติหลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง
    การติดตามผู้ที่ได้รับผล
    กระทบในลักษณะนี้โดยอาการขณะที่เป็นโควิดไม่รุนแรงแต่อาการหลังจากนั้นกลับรุนแรงและยืดยาว และสืบค้นผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งหมดแล้วเกือบ 100 รายด้วยกัน โดยติดตามหลายวาระเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี

    สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าอาการตอนแรกหลังจากติดเชื้อโควิดหรือหลังจากได้รับวัคซีนมีผลไม่มากนักแต่ระยะต่อมามีผลกระทบแม้ว่าอาการจะเริ่มสงบไปแล้วก็ตาม โดยผลกระทบ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการวิเคราะห์การอักเสบในเลือด13 ชนิด และผลกระทบต่อสมองโดยมีการจุดปะทุ ของการอักเสบในสมองจากเซลล์ Astroglia microglia ที่เรียกว่า GFAP และมีระดับของ โปรตีน พิษอัลไซเมอร์ในสมองรวมทั้งมีการทำลายเนื้อสมอง ด้วย (จากการตรวจค่า NFL)

    ลักษณะนี้ทำให้ต้องตระหนักว่าภาวะสมองเสื่อมได้เกิดขึ้นเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการด้วยซ้ำและจะสามารถดำเนินต่อไปได้จากภาวะของโรคเมตาบอลิค ของตนเองทั้งอ้วน เบาหวานความดันสูง การไม่ออกกำลัง อาหารที่มากด้วยเนื้อสัตว์การขาดการบริโภคผักผลไม้กากไย

    สมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นที่ตระหนักและมีการประกาศจากสมาคมสมองเสื่อมของสหรัฐและนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    จากการวิเคราะห์วัคซีนทั้งไฟเซอร์และโมเดนา จากคณะทำงาน ยังพบว่านอกจากเอ็มอาร์เอ็นเอแล้ว ยังมีหลาย พันล้านก๊อปปี้ ของ ดีเอ็นเอและส่วนที่กระตุ้นให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเสียบเข้าไปในเซลล์ ทั้ง ori และ SV 40 promoter ทั้งนี้จากกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนเพียงพอกับความต้องการโดยการใช้
    พลาสมิด(บทความสุขภาพหรรษาไทยรัฐ)

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    กลุ่มอาการหลังวัคซีนโควิด (ตอนที่ 1) ประโยชน์ของวัคซีนก็คือป้องกันโรค รวมทั้งลดอาการหนัก การตายและในขณะเดียวกันจำเป็นต้องทราบผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ได้รับวัคซีนนาทีแรกจนกระทั่งถึงระยะกลางเป็นสัปดาห์และระยะยาวเป็นเดือนและสิ่งที่ทอดยาวไปเป็นปี วัคซีนโควิดเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป้าหมายของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยก็คือ ให้ทุกคนได้รับวัคซีนทั้งนี้เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พังพาบ จนรับผู้ป่วยโควิดไม่ไหว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบในการรองรับเพื่อประเมิน ผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในคนที่ได้รับวัคซีนโดยที่เป็นคนที่ยังสุขภาพดีแข็งแรงจนกระทั่งมีโรคประจำตัวอื่นๆ รายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 ตั้งคำถามถึงระบบในสหรัฐที่รับรายงานผลแทรกซ้อนของวัคซีนที่เรียกว่า vaccine adverse event reporting system (VAERS) ทั้งนี้ยกตัวอย่างหมอสหรัฐที่ได้รับวัคซีนและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง พยายามที่จะรายงานเข้าระบบ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนักรวมทั้งเป็นความซับซ้อนที่จะได้รับการติดตามสืบหารายละเอียดต่อ (Is the US’s Vaccine Adverse Event Reporting System broken?BMJ Investigation BMJ 2023; 383 doi: https://doi.org/10.1136/bmj.p2582 (Published 10 November 2023) Cite this as: BMJ 2023;383:p2582) ระบบในการรายงานในประเทศต่างๆไม่เฉพาะแต่ในประเทศอเมริกา แม้แต่ในยุโรปและในอังกฤษเองก็มีปัญหา ซึ่งแตกต่างกับระบบในประเทศเกาหลี ดังที่มีรายงานอุบัติการของหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเป็นการเปิดรายงานแบบอิสระและแทบจะเป็นเรียวไทม์ โดยกฎเกณฑ์ของเงื่อนไขหัวใจอักเสบนั้นตัดสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจอักเสบได้ทั้งหมดจนเหลือแต่วัคซีนและตัวเลขที่ได้นั้นยังต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าอุบัติการของหัวใจอักเสบอย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งใน 100,000 แต่ความรุนแรงนั้นมากจนกระทั่งถึงต้องเข้าไอซียูหัวใจวายได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจนกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวใจ (บทความสุขภาพพรรษาไทยรัฐหัวใจอักเสบจากวัคซีน) ในประเทศไทยเองนั้นดำเนินตามประเทศต่างๆที่ให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมได้มากที่สุด ดังนั้นจะพบได้ว่ามีรายงานที่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันหรือให้มีการพิสูจน์ก่อนว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ ซึ่งอาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ในผู้ที่ได้รับผลกระทบและแพทย์ที่ ดูคนไข้เพราะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายชนิดด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้ชายอายุ 14 ขวบได้รับวัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอสามเข็ม โดยเข็มสุดท้ายเก้าเดือนก่อนที่จะมีอาการของหัวใจอักเสบหัวใจวาย รุนแรง และกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบอัมพาตยกแขนขาไม่ได้ เมื่อดูเงื่อนไขของเวลาเผินๆ อาจจะตัดประเด็นของวัคซีนได้เลย แต่การสืบหาสาเหตุอย่างอื่นทั้งตัวไวรัสโควิดและไวรัสอีกหลายชนิดทั้งหมด รวมทั้งภาวะภูมิแปรปรวนที่ทำให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งสามารถตรวจพบเศษของวัคซีนในกล้ามเนื้อหัวใจและมีการอักเสบอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งนี้ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง และการให้สารสกัดน้ำเหลือง ตลอดจนยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าหัวใจอักเสบหัวใจวายจะดีขึ้นแต่แขนขายังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการการรักษาในระดับเป็น 100,000 เป็นล้านบาทต่อหนึ่งคน เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความยากลำบากในการพิสูจน์ความเกี่ยวโยงกับวัคซีน แต่ทั้งนี้เริ่มมีการวิเคราะห์สาเหตุการตายที่สูงเกินกว่าที่ จะอธิบายได้เมื่อเทียบ ในช่วงเวลาก่อนโควิด ในระหว่างการระบาดของโควิดและหลังจากระบาดเริ่มสงบไปแล้ว และในช่วงที่เริ่มมีการใช้วัคซีน ที่เรียกว่าอัตรา excess deaths และนอกจากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึง การนอนหลับที่ผิดปกติหลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง การติดตามผู้ที่ได้รับผล กระทบในลักษณะนี้โดยอาการขณะที่เป็นโควิดไม่รุนแรงแต่อาการหลังจากนั้นกลับรุนแรงและยืดยาว และสืบค้นผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งหมดแล้วเกือบ 100 รายด้วยกัน โดยติดตามหลายวาระเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าอาการตอนแรกหลังจากติดเชื้อโควิดหรือหลังจากได้รับวัคซีนมีผลไม่มากนักแต่ระยะต่อมามีผลกระทบแม้ว่าอาการจะเริ่มสงบไปแล้วก็ตาม โดยผลกระทบ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการวิเคราะห์การอักเสบในเลือด13 ชนิด และผลกระทบต่อสมองโดยมีการจุดปะทุ ของการอักเสบในสมองจากเซลล์ Astroglia microglia ที่เรียกว่า GFAP และมีระดับของ โปรตีน พิษอัลไซเมอร์ในสมองรวมทั้งมีการทำลายเนื้อสมอง ด้วย (จากการตรวจค่า NFL) ลักษณะนี้ทำให้ต้องตระหนักว่าภาวะสมองเสื่อมได้เกิดขึ้นเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการด้วยซ้ำและจะสามารถดำเนินต่อไปได้จากภาวะของโรคเมตาบอลิค ของตนเองทั้งอ้วน เบาหวานความดันสูง การไม่ออกกำลัง อาหารที่มากด้วยเนื้อสัตว์การขาดการบริโภคผักผลไม้กากไย สมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นที่ตระหนักและมีการประกาศจากสมาคมสมองเสื่อมของสหรัฐและนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน จากการวิเคราะห์วัคซีนทั้งไฟเซอร์และโมเดนา จากคณะทำงาน ยังพบว่านอกจากเอ็มอาร์เอ็นเอแล้ว ยังมีหลาย พันล้านก๊อปปี้ ของ ดีเอ็นเอและส่วนที่กระตุ้นให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเสียบเข้าไปในเซลล์ ทั้ง ori และ SV 40 promoter ทั้งนี้จากกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนเพียงพอกับความต้องการโดยการใช้ พลาสมิด(บทความสุขภาพหรรษาไทยรัฐ) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ
    จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว
    ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา
    Macrophage activation syndrome and others following vaccination
    ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/

    Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore
    หัวใจอักเสบ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/

    Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature'
    กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์
    https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3
    Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology'
    โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/

    COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society'
    โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/

    Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets'
    ผมร่วง
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/

    Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology'
    สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/

    Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion'
    นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/

    Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine'
    ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/
    Botox reaction after vax
    หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี
    https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email

    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    26/10/2567
    วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา Macrophage activation syndrome and others following vaccination ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/ Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore หัวใจอักเสบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/ Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature' กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์ https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3 Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology' โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/ COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society' โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/ Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets' ผมร่วง https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/ Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology' สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/ Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion' นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/ Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine' ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/ Botox reaction after vax หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง 26/10/2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ กองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2566 ได้จัดสรรงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เพื่อดูแลประชากรไทยผู้มีสิทธิจำนวน 47.727 ล้านคน ที่จำนวน 99,760.58 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือนผู้ให้บริการ) หรือคิดเป็นอัตรา 3,385.98 บาทต่อประชากร ในจำนวนนี้เป็นงบบริการผู้ป่วยนอกที่อัตรา 1,344.40 บาทต่อประชากร และงบผู้ป่วยในที่อัตรา 1,477.01 บาทต่อประชากร

    จากรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอกโดยใช้สิทธิบัตรทองทั้งสิ้น 170.39 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 3.63 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 ที่เริ่มต้นกองทุนฯ อยู่ที่จำนวน 111.95 ครั้งต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.45 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1.18 ครั้งต่อคนต่อปี

    ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในมีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 6.09 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 0.13 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 อยู่ที่ 4.30 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 0.09 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 0.04 ครั้งต่อคนต่อปี โดยปี 2566 รวมจำนวนวันนอนของผู้ป่วยในทั้งสิ้น 25,617,886 วัน

    การเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 170.39 ล้านครั้งนี้ ข้อมูล 10 อันดับแรก เป็นการเข้ารับบริการด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุสูงเป็นอันดับ 1 หรือที่จำนวน 19,898,178 ครั้ง รองลงมา เป็นภาวะเบาหวานไม่พึ่งอินซูลิน จำนวน 11,309,503 ครั้ง ความผิดปกติของเมตบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่น จำนวน 9,811,445 ครั้ง คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน (ไข้หวัด) จำนวน 6,944,943 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 5,114,833 ครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จำนวน 3,303,586 ครั้ง ฟันผุ จำนวน 3,170,446 ครั้ง อาหารไม่ย่อย จำนวน 2,728,596 ครั้ง ความผิดปกติอื่นของกล้ามเนื้อ จำนวน 2,700,975 ครั้ง และเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ จำนวน 2,093,009 ครั้ง (ตามลำดับ)

    ส่วนการเข้ารับบริการผู้ป่วยใน ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 6.09 ล้านครั้ง จากข้อมูล 10 อันดับแรก พบว่าโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีจำนวนการเข้ารับบริการมากเป็นอับดับแรก จำนวน 244,030 ครั้ง รองลงมาโรคปอดบวม ไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 198,616 ครั้ง ต้อกระจกในวัยชรา จำนวน 178,319 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 125,689 ครั้ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบอื่น จำนวน 125,322 ครั้ง หัวใจล้มเหลว จำนวน 121,584 ครั้ง ธาลัสซีเมีย จำนวน 116,719 ครั้ง เนื้อสมองตายเพราะขาดเลือด จำนวน 115,038 ครั้ง เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 112,472 ครั้ง และความผิดปกติของระบบปัสสาวะ จำนวน 99,650 ครั้ง (ตามลำดับ)

    สำหรับในส่วนของการให้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลนั้น สัดส่วนจำนวนครั้งการให้บริการรักษาผู้ป่วยในสูงสุดคือ โรงพยาบาลชุมชน รองลงมาคือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 41.75, 25.79 และร้อยละ 22.12 (ตามลำดับ) ส่วนสัดส่วนของวันนอนในโรงพยาบาลสูงสุด คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 31.89, 26.15 และร้อยละ 25.21 (ตามลำดับ) ขณะที่สัดส่วนการใช้ทรัพยากรการรักษาพยาบาล โดยสะท้อนจากผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Sum Adj.RW) สูงสุด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ที่ร้อยละ 32.95, 27.11 และร้อยละ 23.43 (ตามลำดับ)

    ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

    #Thaitimes
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ กองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2566 ได้จัดสรรงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เพื่อดูแลประชากรไทยผู้มีสิทธิจำนวน 47.727 ล้านคน ที่จำนวน 99,760.58 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือนผู้ให้บริการ) หรือคิดเป็นอัตรา 3,385.98 บาทต่อประชากร ในจำนวนนี้เป็นงบบริการผู้ป่วยนอกที่อัตรา 1,344.40 บาทต่อประชากร และงบผู้ป่วยในที่อัตรา 1,477.01 บาทต่อประชากร จากรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอกโดยใช้สิทธิบัตรทองทั้งสิ้น 170.39 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 3.63 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 ที่เริ่มต้นกองทุนฯ อยู่ที่จำนวน 111.95 ครั้งต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.45 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1.18 ครั้งต่อคนต่อปี ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในมีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 6.09 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 0.13 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 อยู่ที่ 4.30 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 0.09 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 0.04 ครั้งต่อคนต่อปี โดยปี 2566 รวมจำนวนวันนอนของผู้ป่วยในทั้งสิ้น 25,617,886 วัน การเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 170.39 ล้านครั้งนี้ ข้อมูล 10 อันดับแรก เป็นการเข้ารับบริการด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุสูงเป็นอันดับ 1 หรือที่จำนวน 19,898,178 ครั้ง รองลงมา เป็นภาวะเบาหวานไม่พึ่งอินซูลิน จำนวน 11,309,503 ครั้ง ความผิดปกติของเมตบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่น จำนวน 9,811,445 ครั้ง คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน (ไข้หวัด) จำนวน 6,944,943 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 5,114,833 ครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จำนวน 3,303,586 ครั้ง ฟันผุ จำนวน 3,170,446 ครั้ง อาหารไม่ย่อย จำนวน 2,728,596 ครั้ง ความผิดปกติอื่นของกล้ามเนื้อ จำนวน 2,700,975 ครั้ง และเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ จำนวน 2,093,009 ครั้ง (ตามลำดับ) ส่วนการเข้ารับบริการผู้ป่วยใน ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 6.09 ล้านครั้ง จากข้อมูล 10 อันดับแรก พบว่าโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีจำนวนการเข้ารับบริการมากเป็นอับดับแรก จำนวน 244,030 ครั้ง รองลงมาโรคปอดบวม ไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 198,616 ครั้ง ต้อกระจกในวัยชรา จำนวน 178,319 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 125,689 ครั้ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบอื่น จำนวน 125,322 ครั้ง หัวใจล้มเหลว จำนวน 121,584 ครั้ง ธาลัสซีเมีย จำนวน 116,719 ครั้ง เนื้อสมองตายเพราะขาดเลือด จำนวน 115,038 ครั้ง เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 112,472 ครั้ง และความผิดปกติของระบบปัสสาวะ จำนวน 99,650 ครั้ง (ตามลำดับ) สำหรับในส่วนของการให้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลนั้น สัดส่วนจำนวนครั้งการให้บริการรักษาผู้ป่วยในสูงสุดคือ โรงพยาบาลชุมชน รองลงมาคือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 41.75, 25.79 และร้อยละ 22.12 (ตามลำดับ) ส่วนสัดส่วนของวันนอนในโรงพยาบาลสูงสุด คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 31.89, 26.15 และร้อยละ 25.21 (ตามลำดับ) ขณะที่สัดส่วนการใช้ทรัพยากรการรักษาพยาบาล โดยสะท้อนจากผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Sum Adj.RW) สูงสุด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ที่ร้อยละ 32.95, 27.11 และร้อยละ 23.43 (ตามลำดับ) ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร. นพ. ฮิเดกิ วาดะ แนะนำ ให้ผู้ที่มีอายุ 70 ขึ้นไป มีพฤติกรรมดังนี้ จะมีอายุยืนยาวเกิน 90 ปีแน่ๆ คือ

    1. ต้องเดินทุกวัน พยายามเดินให้ได้วันละ ไม่น้อยกว่า 15 นาที
    2. เมื่อนึกขึ้นได้เมื่อไร ให้หายใจยาวๆลึกๆ ให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
    3. พยายามยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อ บิดเนื้อ บิดตัวเป็นครั้งคราว
    4. จิบน้ำบ่อยๆ แม้จะไม่กระหายน้ำก็ตาม พยายามจิบน้ำให้ได้มากขึ้น
    5. อายุมากแล้ว อย่าปล่อยให้ท้องผูก กินอหารมีกากใย ลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง
    6. พยายามขยับปาก จะเคี้ยว จะพูด จะร้องเหลง เป็นสิ่งที่ควรทำ
    7. ความจำเสื่อมไม่ใช่เพราะอายุมาก แต่ เพราะไม่ใช้สมองเลยนั่นเอง
    8. ไม่ต้องกินยาเยอะ กินเท่าที่จำเป็น
    9. พยายามวัดความดันเลือดบ่อยๆ เพื่อคุมไม่ให้ความดันสวิง
    10. ทำอารมณ์ให้แจ่มใสเป็นนิจ
    11. พบปะ สังสรรค์กับเพื่อนผู้รู้ใจอยู่เนืองๆ
    12. ท่องเที่ยวอย่างสบายๆ ไม่โลดโผนตามโอกาส
    13. ทำในสิ่งที่ชอบ ปิดหู ปิดตา ไม่รับรู้สิ่งที่ไม่ชอบ หรือปัดทิ้งให้มากขึ้น
    14. ฝึกร้องเพลงจากระดับอนุบาล จนเข้าขั้นมหาลัย….ปอดจะแข็งแรงจนน่าทึ่ง ลดอาการเหนื่อยง่ายลงได้อย่างน่าแปลกใจ
    15.อย่านั่งนอนตลอดเวลา ให้ขยับตัวลุกเดินให้บ่อยขึ้น
    16. กินอะไรก็ได้ ที่ชอบ แต่ อย่าให้เกิดโทษต่อร่างกายนัก
    17. ทำทุกอย่าง ที่ทำให้ใจสบาย มีความสุข
    18. ปล่อยวาง ให้อภัยให้มากขึ้น
    19. รู้จักการแบ่งปันให้ผู้ขาดแคลน ด้อยโอกาส
    20. เป็นโรคอะไรอยู่ก็ตาม เรียนรู้ที่อยู่กับมัน จนคุ้นเคยจักดีกว่า
    21. มองสิ่งรอบตัวในแง่บวกเข้าไว้ เห็นอะไร ก็ดีนะ ดีที่มี ดีที่เป็น
    22. ลดความริษยา อาฆาต มาดร้าย ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ เด๋วก็ตายจากกันแล้วววววว
    23. เคยไม่ชอบหน้าใคร ให้ลดละเลิก โดยเฉพาะเรื่องหนักๆของนักการเมืองที่ไม่ถูกใจเรา เด๋วกรรมจะจัดการมันเอง อย่าไปเครียด ประเทศไม่ใช่ของเราคนเดียว อย่าไปแบกไว้บนบ่า มันหนัก
    24. ถ้าเผลอหลับ ห้ามฝืน งีบเลย
    25. เห็นสิ่งใดดี ทำเลย สิ่งใดไม่ดี เลิกทำ ช่วยใครได้ ช่วยเลย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สลึงเดียว
    26. ให้อยู่ท่ามกลางคนดี มีจิตสาธารณะ จะมองโลกสวยงามขึ้น
    27. หา "หมอครอบครัว" อย่าเชื่อหมอที่โรงพยาบาลมากนัก
    28. อย่าบังคับตัวเองมากเกินไป ทำสิ่งที่สบายใจก่อนดีกว่า
    29.แก่แล้ว ไม่ต้องโลภ ตายแล้ว เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ พอใจในสิ่งที่มี มีแล้วรู้จักการแบ่งปัน
    30. สิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อผู้อิ่น ถ้าทำได้ ให้ทำทันที
    31.มองสิ่งรอบตัว ให้มีความสุข จิตเบิกบาน
    32.มีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลคน หรือ สัตว์ใดได้ ให้ทำทันที
    33. มีอะไรที่เกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง
    34. พยายามช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น
    35. ยอมรับความจริงว่า เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น มันจะอยู่ไม่นาน จะเป็นอยู่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนไป ในที่สุด ก็จะหมดไป ดับไป เป็นธรรมดา !!!!!

    ใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้…..มีอายุยืนกว่า 90 ปี เป็นอย่างน้อย……แน่นอน❣️❣️❣️❣️❣️
    ดร. นพ. ฮิเดกิ วาดะ แนะนำ ให้ผู้ที่มีอายุ 70 ขึ้นไป มีพฤติกรรมดังนี้ จะมีอายุยืนยาวเกิน 90 ปีแน่ๆ คือ 1. ต้องเดินทุกวัน พยายามเดินให้ได้วันละ ไม่น้อยกว่า 15 นาที 2. เมื่อนึกขึ้นได้เมื่อไร ให้หายใจยาวๆลึกๆ ให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง 3. พยายามยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อ บิดเนื้อ บิดตัวเป็นครั้งคราว 4. จิบน้ำบ่อยๆ แม้จะไม่กระหายน้ำก็ตาม พยายามจิบน้ำให้ได้มากขึ้น 5. อายุมากแล้ว อย่าปล่อยให้ท้องผูก กินอหารมีกากใย ลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้น้อยลง 6. พยายามขยับปาก จะเคี้ยว จะพูด จะร้องเหลง เป็นสิ่งที่ควรทำ 7. ความจำเสื่อมไม่ใช่เพราะอายุมาก แต่ เพราะไม่ใช้สมองเลยนั่นเอง 8. ไม่ต้องกินยาเยอะ กินเท่าที่จำเป็น 9. พยายามวัดความดันเลือดบ่อยๆ เพื่อคุมไม่ให้ความดันสวิง 10. ทำอารมณ์ให้แจ่มใสเป็นนิจ 11. พบปะ สังสรรค์กับเพื่อนผู้รู้ใจอยู่เนืองๆ 12. ท่องเที่ยวอย่างสบายๆ ไม่โลดโผนตามโอกาส 13. ทำในสิ่งที่ชอบ ปิดหู ปิดตา ไม่รับรู้สิ่งที่ไม่ชอบ หรือปัดทิ้งให้มากขึ้น 14. ฝึกร้องเพลงจากระดับอนุบาล จนเข้าขั้นมหาลัย….ปอดจะแข็งแรงจนน่าทึ่ง ลดอาการเหนื่อยง่ายลงได้อย่างน่าแปลกใจ 15.อย่านั่งนอนตลอดเวลา ให้ขยับตัวลุกเดินให้บ่อยขึ้น 16. กินอะไรก็ได้ ที่ชอบ แต่ อย่าให้เกิดโทษต่อร่างกายนัก 17. ทำทุกอย่าง ที่ทำให้ใจสบาย มีความสุข 18. ปล่อยวาง ให้อภัยให้มากขึ้น 19. รู้จักการแบ่งปันให้ผู้ขาดแคลน ด้อยโอกาส 20. เป็นโรคอะไรอยู่ก็ตาม เรียนรู้ที่อยู่กับมัน จนคุ้นเคยจักดีกว่า 21. มองสิ่งรอบตัวในแง่บวกเข้าไว้ เห็นอะไร ก็ดีนะ ดีที่มี ดีที่เป็น 22. ลดความริษยา อาฆาต มาดร้าย ปลงให้เป็น เย็นให้ได้ เด๋วก็ตายจากกันแล้วววววว 23. เคยไม่ชอบหน้าใคร ให้ลดละเลิก โดยเฉพาะเรื่องหนักๆของนักการเมืองที่ไม่ถูกใจเรา เด๋วกรรมจะจัดการมันเอง อย่าไปเครียด ประเทศไม่ใช่ของเราคนเดียว อย่าไปแบกไว้บนบ่า มันหนัก 24. ถ้าเผลอหลับ ห้ามฝืน งีบเลย 25. เห็นสิ่งใดดี ทำเลย สิ่งใดไม่ดี เลิกทำ ช่วยใครได้ ช่วยเลย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สลึงเดียว 26. ให้อยู่ท่ามกลางคนดี มีจิตสาธารณะ จะมองโลกสวยงามขึ้น 27. หา "หมอครอบครัว" อย่าเชื่อหมอที่โรงพยาบาลมากนัก 28. อย่าบังคับตัวเองมากเกินไป ทำสิ่งที่สบายใจก่อนดีกว่า 29.แก่แล้ว ไม่ต้องโลภ ตายแล้ว เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ พอใจในสิ่งที่มี มีแล้วรู้จักการแบ่งปัน 30. สิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อผู้อิ่น ถ้าทำได้ ให้ทำทันที 31.มองสิ่งรอบตัว ให้มีความสุข จิตเบิกบาน 32.มีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลคน หรือ สัตว์ใดได้ ให้ทำทันที 33. มีอะไรที่เกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง 34. พยายามช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น 35. ยอมรับความจริงว่า เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น มันจะอยู่ไม่นาน จะเป็นอยู่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนไป ในที่สุด ก็จะหมดไป ดับไป เป็นธรรมดา !!!!! ใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้…..มีอายุยืนกว่า 90 ปี เป็นอย่างน้อย……แน่นอน❣️❣️❣️❣️❣️
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สัญญาณที่บ่งชี้ว่า ร่างกายเรา #เริ่มไม่แข็งแรงอย่างที่เราคิด และ #จำเป็นต้องเริ่มดูแลร่างกาย

    แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า #แข็งแรงดี แต่บางครั้งร่างกายก็ส่งสัญญาณบอกเราโดยที่เราอาจไม่สังเกตเห็น สิ่งเหล่านี้เป็น สัญญาณเริ่มต้น ที่บ่งบอกว่าร่างกายของคุณอาจเริ่มเสื่อมลง และ คุณควรเริ่มให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้นแล้ว

    1. เริ่ม #อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย

    หากคุณพบว่า "ตัวเองเหนื่อยง่ายขึ้น" จาก "กิจวัตรที่เคยทำได้โดยไม่เหนื่อย" เช่น การเดินขึ้นบันได การทำงานบ้าน หรือการออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกว่า ระบบหัวใจและหลอดเลือดอาจเริ่มเสื่อมลง

    การเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนมักเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่เพียงพอหรือการทำงานของหัวใจที่อ่อนแอลง การเริ่มใส่ใจในเรื่องการออกกำลังกายและโภชนาการจะช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงขึ้นได้ (North & Sinclair, 2012).

    2. เริ่ม #ฟื้นฟูร่างกายช้าลง

    ถ้าคุณสังเกตว่า "การบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ" เช่น แผลถลอก รอยฟกช้ำ หรือ "อาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย" "ฟื้นตัวช้า กว่าที่เคยเป็น" นั่นเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอาจไม่แข็งแรงเท่าเดิม

    การฟื้นตัวช้าลงบ่งชี้ถึงการเสื่อมของระบบซ่อมแซมร่างกาย คุณอาจต้องเริ่มดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เสริมด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกาย (Garber et al., 2011).

    3. เริ่ม #มีปัญหาการนอนหลับ

    การนอนหลับเป็นกระบวนการที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง หากคุณเริ่มมีปัญหาการนอน เช่น "การนอนไม่หลับ" "หลับไม่สนิท" หรือ "การตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ" นี่อาจเป็นสัญญาณว่า ร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะเครียดมากเกินไป

    โดยเฉพาะแม้ว่าในวันที่คุณไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล แต่ก็ยังนอนไม่หลับ นั่นหมายความว่า สภาวะเครียดของคุณ เป็น "ความเครียดทางกาย" ที่อาจมีสาเหตุหลักมาจากสิ่งพิษที่ร่างกายสะสมเริ่มมากพอจนไปรบกวนระบบประสาทของคุณ

    ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ เช่น ระบบประสาทและระบบฮอร์โมน การจัดการกับความเครียด และ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน เป็นเรื่องสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย (Lee et al., 2003).

    หากคุณพบว่าร่างกายเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ อาจเป็นเวลาที่ควรเริ่มใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยปรับปรุงโภชนาการ การออกกำลังกาย และการนอนหลับ เพื่อรักษาความแข็งแรงของร่างกายและป้องกันโรคในระยะยาว

    --------

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือ คู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพร่างกายของคุณ ได้ผลมากขึ้น

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษและอนุภาคโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อและอวัยวะที่สำคัญ เช่น ตับและไต เมื่อสิ่งพิษในร่างกายลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความเครียดทางกายและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น

    นอกจากนี้ คลอเรลล่ายังอุดมไปด้วย CGF (Chlorella Growth Factor) ซึ่งช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์และสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการใช้งานหนักหรือต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น (Merchant, 2001; Yamaguchi et al., 2011).

    #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการอักเสบขนาดเล็กที่เกิดขึ้นจากการใช้งานร่างกายเป็นประจำ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารฟิโคไซยานิน (Phycocyanin) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ส่งเสริมการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อหลังการออกกำลังกายหรือความเหนื่อยล้า

    อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นเช่นโปรตีนและวิตามินที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้รวดเร็วขึ้น (Bermejo et al., 2008; Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดี ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 สัญญาณที่บ่งชี้ว่า ร่างกายเรา #เริ่มไม่แข็งแรงอย่างที่เราคิด และ #จำเป็นต้องเริ่มดูแลร่างกาย แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า #แข็งแรงดี แต่บางครั้งร่างกายก็ส่งสัญญาณบอกเราโดยที่เราอาจไม่สังเกตเห็น สิ่งเหล่านี้เป็น สัญญาณเริ่มต้น ที่บ่งบอกว่าร่างกายของคุณอาจเริ่มเสื่อมลง และ คุณควรเริ่มให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้นแล้ว 1. เริ่ม #อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย หากคุณพบว่า "ตัวเองเหนื่อยง่ายขึ้น" จาก "กิจวัตรที่เคยทำได้โดยไม่เหนื่อย" เช่น การเดินขึ้นบันได การทำงานบ้าน หรือการออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกว่า ระบบหัวใจและหลอดเลือดอาจเริ่มเสื่อมลง การเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนมักเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่เพียงพอหรือการทำงานของหัวใจที่อ่อนแอลง การเริ่มใส่ใจในเรื่องการออกกำลังกายและโภชนาการจะช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงขึ้นได้ (North & Sinclair, 2012). 2. เริ่ม #ฟื้นฟูร่างกายช้าลง ถ้าคุณสังเกตว่า "การบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ" เช่น แผลถลอก รอยฟกช้ำ หรือ "อาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย" "ฟื้นตัวช้า กว่าที่เคยเป็น" นั่นเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอาจไม่แข็งแรงเท่าเดิม การฟื้นตัวช้าลงบ่งชี้ถึงการเสื่อมของระบบซ่อมแซมร่างกาย คุณอาจต้องเริ่มดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เสริมด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกาย (Garber et al., 2011). 3. เริ่ม #มีปัญหาการนอนหลับ การนอนหลับเป็นกระบวนการที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง หากคุณเริ่มมีปัญหาการนอน เช่น "การนอนไม่หลับ" "หลับไม่สนิท" หรือ "การตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ" นี่อาจเป็นสัญญาณว่า ร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะเครียดมากเกินไป โดยเฉพาะแม้ว่าในวันที่คุณไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล แต่ก็ยังนอนไม่หลับ นั่นหมายความว่า สภาวะเครียดของคุณ เป็น "ความเครียดทางกาย" ที่อาจมีสาเหตุหลักมาจากสิ่งพิษที่ร่างกายสะสมเริ่มมากพอจนไปรบกวนระบบประสาทของคุณ ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ เช่น ระบบประสาทและระบบฮอร์โมน การจัดการกับความเครียด และ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน เป็นเรื่องสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย (Lee et al., 2003). หากคุณพบว่าร่างกายเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ อาจเป็นเวลาที่ควรเริ่มใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยปรับปรุงโภชนาการ การออกกำลังกาย และการนอนหลับ เพื่อรักษาความแข็งแรงของร่างกายและป้องกันโรคในระยะยาว -------- คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือ คู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพร่างกายของคุณ ได้ผลมากขึ้น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษและอนุภาคโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อและอวัยวะที่สำคัญ เช่น ตับและไต เมื่อสิ่งพิษในร่างกายลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความเครียดทางกายและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น นอกจากนี้ คลอเรลล่ายังอุดมไปด้วย CGF (Chlorella Growth Factor) ซึ่งช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์และสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการใช้งานหนักหรือต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น (Merchant, 2001; Yamaguchi et al., 2011). #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการอักเสบขนาดเล็กที่เกิดขึ้นจากการใช้งานร่างกายเป็นประจำ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารฟิโคไซยานิน (Phycocyanin) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ส่งเสริมการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อหลังการออกกำลังกายหรือความเหนื่อยล้า อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นเช่นโปรตีนและวิตามินที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้รวดเร็วขึ้น (Bermejo et al., 2008; Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดี ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สัญญาณที่บ่งชี้ว่า ร่างกายเรา #เริ่มไม่แข็งแรงอย่างที่เราคิด และ #จำเป็นต้องเริ่มดูแลร่างกาย

    แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า #แข็งแรงดี แต่บางครั้งร่างกายก็ส่งสัญญาณบอกเราโดยที่เราอาจไม่สังเกตเห็น สิ่งเหล่านี้เป็น สัญญาณเริ่มต้น ที่บ่งบอกว่าร่างกายของคุณอาจเริ่มเสื่อมลง และ คุณควรเริ่มให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้นแล้ว

    1. เริ่ม #อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย

    หากคุณพบว่า "ตัวเองเหนื่อยง่ายขึ้น" จาก "กิจวัตรที่เคยทำได้โดยไม่เหนื่อย" เช่น การเดินขึ้นบันได การทำงานบ้าน หรือการออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกว่า ระบบหัวใจและหลอดเลือดอาจเริ่มเสื่อมลง

    การเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนมักเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่เพียงพอหรือการทำงานของหัวใจที่อ่อนแอลง การเริ่มใส่ใจในเรื่องการออกกำลังกายและโภชนาการจะช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงขึ้นได้ (North & Sinclair, 2012).

    2. เริ่ม #ฟื้นฟูร่างกายช้าลง

    ถ้าคุณสังเกตว่า "การบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ" เช่น แผลถลอก รอยฟกช้ำ หรือ "อาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย" "ฟื้นตัวช้า กว่าที่เคยเป็น" นั่นเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอาจไม่แข็งแรงเท่าเดิม

    การฟื้นตัวช้าลงบ่งชี้ถึงการเสื่อมของระบบซ่อมแซมร่างกาย คุณอาจต้องเริ่มดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เสริมด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกาย (Garber et al., 2011).

    3. เริ่ม #มีปัญหาการนอนหลับ

    การนอนหลับเป็นกระบวนการที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง หากคุณเริ่มมีปัญหาการนอน เช่น "การนอนไม่หลับ" "หลับไม่สนิท" หรือ "การตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ" นี่อาจเป็นสัญญาณว่า ร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะเครียดมากเกินไป

    โดยเฉพาะแม้ว่าในวันที่คุณไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล แต่ก็ยังนอนไม่หลับ นั่นหมายความว่า สภาวะเครียดของคุณ เป็น "ความเครียดทางกาย" ที่อาจมีสาเหตุหลักมาจากสิ่งพิษที่ร่างกายสะสมเริ่มมากพอจนไปรบกวนระบบประสาทของคุณ

    ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ เช่น ระบบประสาทและระบบฮอร์โมน การจัดการกับความเครียด และ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน เป็นเรื่องสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย (Lee et al., 2003).

    หากคุณพบว่าร่างกายเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ อาจเป็นเวลาที่ควรเริ่มใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยปรับปรุงโภชนาการ การออกกำลังกาย และการนอนหลับ เพื่อรักษาความแข็งแรงของร่างกายและป้องกันโรคในระยะยาว

    --------

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือ คู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพร่างกายของคุณ ได้ผลมากขึ้น

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษและอนุภาคโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อและอวัยวะที่สำคัญ เช่น ตับและไต เมื่อสิ่งพิษในร่างกายลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความเครียดทางกายและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น

    นอกจากนี้ คลอเรลล่ายังอุดมไปด้วย CGF (Chlorella Growth Factor) ซึ่งช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์และสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการใช้งานหนักหรือต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น (Merchant, 2001; Yamaguchi et al., 2011).

    #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการอักเสบขนาดเล็กที่เกิดขึ้นจากการใช้งานร่างกายเป็นประจำ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารฟิโคไซยานิน (Phycocyanin) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ส่งเสริมการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อหลังการออกกำลังกายหรือความเหนื่อยล้า

    อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นเช่นโปรตีนและวิตามินที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้รวดเร็วขึ้น (Bermejo et al., 2008; Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดี ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 สัญญาณที่บ่งชี้ว่า ร่างกายเรา #เริ่มไม่แข็งแรงอย่างที่เราคิด และ #จำเป็นต้องเริ่มดูแลร่างกาย แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า #แข็งแรงดี แต่บางครั้งร่างกายก็ส่งสัญญาณบอกเราโดยที่เราอาจไม่สังเกตเห็น สิ่งเหล่านี้เป็น สัญญาณเริ่มต้น ที่บ่งบอกว่าร่างกายของคุณอาจเริ่มเสื่อมลง และ คุณควรเริ่มให้ความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้นแล้ว 1. เริ่ม #อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย หากคุณพบว่า "ตัวเองเหนื่อยง่ายขึ้น" จาก "กิจวัตรที่เคยทำได้โดยไม่เหนื่อย" เช่น การเดินขึ้นบันได การทำงานบ้าน หรือการออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกว่า ระบบหัวใจและหลอดเลือดอาจเริ่มเสื่อมลง การเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนมักเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่เพียงพอหรือการทำงานของหัวใจที่อ่อนแอลง การเริ่มใส่ใจในเรื่องการออกกำลังกายและโภชนาการจะช่วยฟื้นฟูระบบหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงขึ้นได้ (North & Sinclair, 2012). 2. เริ่ม #ฟื้นฟูร่างกายช้าลง ถ้าคุณสังเกตว่า "การบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ" เช่น แผลถลอก รอยฟกช้ำ หรือ "อาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย" "ฟื้นตัวช้า กว่าที่เคยเป็น" นั่นเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอาจไม่แข็งแรงเท่าเดิม การฟื้นตัวช้าลงบ่งชี้ถึงการเสื่อมของระบบซ่อมแซมร่างกาย คุณอาจต้องเริ่มดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เสริมด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกาย (Garber et al., 2011). 3. เริ่ม #มีปัญหาการนอนหลับ การนอนหลับเป็นกระบวนการที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง หากคุณเริ่มมีปัญหาการนอน เช่น "การนอนไม่หลับ" "หลับไม่สนิท" หรือ "การตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ" นี่อาจเป็นสัญญาณว่า ร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะเครียดมากเกินไป โดยเฉพาะแม้ว่าในวันที่คุณไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล แต่ก็ยังนอนไม่หลับ นั่นหมายความว่า สภาวะเครียดของคุณ เป็น "ความเครียดทางกาย" ที่อาจมีสาเหตุหลักมาจากสิ่งพิษที่ร่างกายสะสมเริ่มมากพอจนไปรบกวนระบบประสาทของคุณ ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ เช่น ระบบประสาทและระบบฮอร์โมน การจัดการกับความเครียด และ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน เป็นเรื่องสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย (Lee et al., 2003). หากคุณพบว่าร่างกายเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ อาจเป็นเวลาที่ควรเริ่มใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยปรับปรุงโภชนาการ การออกกำลังกาย และการนอนหลับ เพื่อรักษาความแข็งแรงของร่างกายและป้องกันโรคในระยะยาว -------- คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือ คู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพร่างกายของคุณ ได้ผลมากขึ้น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษและอนุภาคโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อและอวัยวะที่สำคัญ เช่น ตับและไต เมื่อสิ่งพิษในร่างกายลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความเครียดทางกายและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น นอกจากนี้ คลอเรลล่ายังอุดมไปด้วย CGF (Chlorella Growth Factor) ซึ่งช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์และสนับสนุนการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการใช้งานหนักหรือต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น (Merchant, 2001; Yamaguchi et al., 2011). #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการอักเสบขนาดเล็กที่เกิดขึ้นจากการใช้งานร่างกายเป็นประจำ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารฟิโคไซยานิน (Phycocyanin) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ส่งเสริมการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อหลังการออกกำลังกายหรือความเหนื่อยล้า อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นเช่นโปรตีนและวิตามินที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้รวดเร็วขึ้น (Bermejo et al., 2008; Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดี ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • รสอร่อย ในอาหารญี่ปุ่น(มังสวิรัติ)

    รสอูมามิうま味 แปลว่ารสอร่อย เป็นรสชาติของกลูตาเมตอิสระ หนึ่งในกรดอะมิโน(หลายชนิด) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่พบได้ในอาหารตามธรรมชาติ และ เครื่องปรุงรสต่าง ๆ

    รสอูมามิเป็นหนึ่งใน 5 รสชาติพื้นฐาน (basic taste) นอกเหนือไปจากรสเปรี้ยว-หวาน-เค็ม-ขม ที่ช่วยให้อาหารมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น

    อูมามิ ทำหน้าที่เป็นสัญญาณให้ร่างกายทราบว่า ร่างกายได้บริโภคอาหารเข้าไปแล้ว การรับรสอูมามิจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำลายและน้ำย่อย ซึ่งช่วยให้การย่อยอาหารและโปรตีนเป็นไปอย่างราบรื่น

    รสอูมามิ มีสารประกอบหลัก 3 ชนิด คือ
    -กลูตาเมต
    -ไอโนซิเนต
    -กัวนีเลต
    สามารถสกัดเอารสชาติอูมามิออกจากวัตถุดิบ
    กลายเป็นน้ำสต๊อก ที่เรียกว่า “ดาชิ”

    วัตถุดิบที่นิยมนำมาทำน้ำสต๊อกหรือดาชิอยู่หลายชนิด เช่น

    1. สาหร่ายคมบุ-ตากแห้ง มีรสอ่อน และ เค็มเล็กน้อย
    สาหร่ายคมบุอุดมไปด้วย #กลูตาเมต เข้ากันได้ดีกับเมนูผัก

    2. เห็ดนางฟ้า-แดดเดียว(ย่าง)+ผงสมุนไพร ใบมะกรูดทอด พริกแห้งทอด งาขาว น้ำตาล ซีอิ๊ว
    มีสารประกอบหลัก #ไอโนซิเนต มีกลิ่นหอมคล้ายปลาหมึกย่างปรุงรส มีรสอูมามิที่เข้มข้น เหมาะสำหรับเมนูซุปใสซุมาชิ และไข่ตุ๋นแบบญี่ปุ่น

    3. เห็ดหอมตากแห้ง นำมา แช่น้ำ
    เห็ดหอมนั้นอุดมไปด้วย #กัวนีเลต ซึ่งเป็นองค์ประกอบของรสอูมามิ นิยมนำดาชิที่ได้จากห็ดหอมไปทำอาหารทุกประเภท

    ในการปรุงอาหารเพื่อให้ได้รสอูมามิ หากเป็นเครื่องปรุงก็นิยมใช้โชยุหรือซีอิ๊วญี่ปุ่น ส่วนในอาหารไทยนั้น รสอูมามิจะปรากฏเด่นชัดในเครื่องปรุงรสพื้นบ้าน เช่น น้ำปลา กะปิ ปลาร้าของภาคอีสาน น้ำบูดูและไตปลาของภาคใต้ น้ำปู๋และถั่วเน่าของภาคเหนือ
    .
    .
    พ้ชรี ว่องไววิทย์
    October29, 2024
    San Francisco, CA94108
    รสอร่อย ในอาหารญี่ปุ่น(มังสวิรัติ) รสอูมามิうま味 แปลว่ารสอร่อย เป็นรสชาติของกลูตาเมตอิสระ หนึ่งในกรดอะมิโน(หลายชนิด) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่พบได้ในอาหารตามธรรมชาติ และ เครื่องปรุงรสต่าง ๆ รสอูมามิเป็นหนึ่งใน 5 รสชาติพื้นฐาน (basic taste) นอกเหนือไปจากรสเปรี้ยว-หวาน-เค็ม-ขม ที่ช่วยให้อาหารมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น อูมามิ ทำหน้าที่เป็นสัญญาณให้ร่างกายทราบว่า ร่างกายได้บริโภคอาหารเข้าไปแล้ว การรับรสอูมามิจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำลายและน้ำย่อย ซึ่งช่วยให้การย่อยอาหารและโปรตีนเป็นไปอย่างราบรื่น รสอูมามิ มีสารประกอบหลัก 3 ชนิด คือ -กลูตาเมต -ไอโนซิเนต -กัวนีเลต สามารถสกัดเอารสชาติอูมามิออกจากวัตถุดิบ กลายเป็นน้ำสต๊อก ที่เรียกว่า “ดาชิ” วัตถุดิบที่นิยมนำมาทำน้ำสต๊อกหรือดาชิอยู่หลายชนิด เช่น 1. สาหร่ายคมบุ-ตากแห้ง มีรสอ่อน และ เค็มเล็กน้อย สาหร่ายคมบุอุดมไปด้วย #กลูตาเมต เข้ากันได้ดีกับเมนูผัก 2. เห็ดนางฟ้า-แดดเดียว(ย่าง)+ผงสมุนไพร ใบมะกรูดทอด พริกแห้งทอด งาขาว น้ำตาล ซีอิ๊ว มีสารประกอบหลัก #ไอโนซิเนต มีกลิ่นหอมคล้ายปลาหมึกย่างปรุงรส มีรสอูมามิที่เข้มข้น เหมาะสำหรับเมนูซุปใสซุมาชิ และไข่ตุ๋นแบบญี่ปุ่น 3. เห็ดหอมตากแห้ง นำมา แช่น้ำ เห็ดหอมนั้นอุดมไปด้วย #กัวนีเลต ซึ่งเป็นองค์ประกอบของรสอูมามิ นิยมนำดาชิที่ได้จากห็ดหอมไปทำอาหารทุกประเภท ในการปรุงอาหารเพื่อให้ได้รสอูมามิ หากเป็นเครื่องปรุงก็นิยมใช้โชยุหรือซีอิ๊วญี่ปุ่น ส่วนในอาหารไทยนั้น รสอูมามิจะปรากฏเด่นชัดในเครื่องปรุงรสพื้นบ้าน เช่น น้ำปลา กะปิ ปลาร้าของภาคอีสาน น้ำบูดูและไตปลาของภาคใต้ น้ำปู๋และถั่วเน่าของภาคเหนือ . . พ้ชรี ว่องไววิทย์ October29, 2024 San Francisco, CA94108
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ
    จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว
    ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา
    Macrophage activation syndrome and others following vaccination
    ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/

    Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore
    หัวใจอักเสบ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/

    Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature'
    กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์
    https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3
    Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology'
    โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/

    COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society'
    โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/

    Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets'
    ผมร่วง
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/

    Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology'
    สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/

    Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion'
    นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/

    Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine'
    ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/
    Botox reaction after vax
    หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี
    https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email
    วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา Macrophage activation syndrome and others following vaccination ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/ Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore หัวใจอักเสบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/ Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature' กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์ https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3 Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology' โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/ COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society' โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/ Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets' ผมร่วง https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/ Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology' สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/ Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion' นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/ Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine' ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/ Botox reaction after vax หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email
    Like
    Sad
    Love
    18
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe **

    " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม "

    หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​

    แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ

    -----

    แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว

    อาทิเช่น​

    1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้

    2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย

    ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์**

    3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง

    4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้

    -----

    📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้:

    1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001).

    2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016).

    3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016).

    -----

    ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe ** " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม " หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​ แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ ----- แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว อาทิเช่น​ 1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้ 2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์** 3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง 4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้ ----- 📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้: 1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001). 2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016). 3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016). ----- ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe **

    " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม "

    หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​

    แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ

    -----

    แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว

    อาทิเช่น​

    1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้

    2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย

    ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์**

    3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง

    4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้

    -----

    📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้:

    1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001).

    2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016).

    3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016).

    -----

    ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe ** " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม " หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​ แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ ----- แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว อาทิเช่น​ 1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้ 2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์** 3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง 4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้ ----- 📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้: 1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001). 2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016). 3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016). ----- ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 600 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ?

    #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009).

    ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

    1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013).

    2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019).

    ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ

    แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้

    กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998).

    -------------

    เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น

    นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015).

    การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้

    -------------

    ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? **

    เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011).

    การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014).

    การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020).

    -------------

    ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? **

    ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011).

    การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006).

    การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006).

    -------------

    ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? **

    เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ

    การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008).

    เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013).

    นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008).

    นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    --------

    การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ

    ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ? #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009). ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013). 2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019). ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้ กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998). ------------- เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015). การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้ ------------- ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? ** เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011). การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014). การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020). ------------- ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? ** ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011). การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006). การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006). ------------- ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? ** เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008). เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008). นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง -------- การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้ เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 643 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปริมาณ ทรีทเม้นท์ที่แนะนำ...🥰 สำหรับความยาวผม
    🍃 ยูจี #เคราตินทรีทเม้นท์ ทรีทเม้นท์ที่มีส่วนประกอบของเคราตินและโปรตีนสกัดจากข้าวสาลี ที่ผ่านกระบวนการสกัดทำให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก
    สามารถซึมสู่เส้นใยเคราตินของเส้นผมได้อย่างล้ำลึก
    ช่วยบำรุงและลดความชี้ฟู ทำให้เส้นผมนุ่มลื่น เงางาม
    สูตรอ่อนโยน ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ
    -------------------------------------------------
    🛒 สนใจสอบถามเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อผ่าน
    Fb inbox : http://m.me/Yougeethailand
    Shopee : https://shopee.co.th/yougee.th
    Tiktok shop : https://vt.tiktok.com/ZMhf1PL41/?page=TikTokShop
    🌿Ciaca ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมจากสมุนไพรและเทคโนโลยีด้านการสกัดสารจากธรรมชาติ จากทีมนักวิจัยและเภสัชกรที่เชี่ยวชาญทางเครื่องสำอาง ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ มหาวิทยาลัย นเรศวร
    🌿Yougee วิจัยและพัฒนาจาก Colornow Cosmetic Limited ลิขสิทธิ์จากประเทศแคนาดา
    #Yougee #ความอ่อนโยนจากธรรมชาติคืนสู่เส้นผม #บำรุงผม
    ปริมาณ ทรีทเม้นท์ที่แนะนำ...🥰 สำหรับความยาวผม 🍃 ยูจี #เคราตินทรีทเม้นท์ ทรีทเม้นท์ที่มีส่วนประกอบของเคราตินและโปรตีนสกัดจากข้าวสาลี ที่ผ่านกระบวนการสกัดทำให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก สามารถซึมสู่เส้นใยเคราตินของเส้นผมได้อย่างล้ำลึก ช่วยบำรุงและลดความชี้ฟู ทำให้เส้นผมนุ่มลื่น เงางาม สูตรอ่อนโยน ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ------------------------------------------------- 🛒 สนใจสอบถามเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อผ่าน Fb inbox : http://m.me/Yougeethailand Shopee : https://shopee.co.th/yougee.th Tiktok shop : https://vt.tiktok.com/ZMhf1PL41/?page=TikTokShop 🌿Ciaca ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมจากสมุนไพรและเทคโนโลยีด้านการสกัดสารจากธรรมชาติ จากทีมนักวิจัยและเภสัชกรที่เชี่ยวชาญทางเครื่องสำอาง ดาริน แล็บบอราทอรี่ส์ มหาวิทยาลัย นเรศวร 🌿Yougee วิจัยและพัฒนาจาก Colornow Cosmetic Limited ลิขสิทธิ์จากประเทศแคนาดา #Yougee #ความอ่อนโยนจากธรรมชาติคืนสู่เส้นผม #บำรุงผม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าให้คนเลวลอยนวล.

    ผลการวิเคราะห์การตายกระทันหันที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับ ที่มีการเริ่มใช้วัคซีนทั่วโลก
    (รูปที่ 1)
    แต่แม้มีหลักฐานจากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตซึ่งพบว่ามีการอักเสบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีการ สร้างโปรตีนประหลาดขึ้น และตัดประเด็นอื่นออกไปทั้งหมดรวมทั้งการติดเชื้อโควิด แต่ก็เป็นเพียงจำนวนเป็น หลาย 100 รายเท่านั้น

    การที่ไม่สามารถชันสูตรศพในลักษณะละเอียดละออเช่นนั้นได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลาย 100,000 บาท ทำให้การเชื่อมโยงสาเหตุการตายกระทันหันเป็นหมื่นเป็นแสนคนไม่สามารถสรุปได้ 100%

    อย่างไรก็ตาม รายงานที่เห็นนี้ (รูป ที่2) ในวารสารรังสีวิทยา radiology ที่เป็นวารสารมาตรฐานทางการของสมาคม เป็นการแสดงผลการศึกษาโดยการใช้เวชศาสตร์นิวเคลียร์ตรวจกล้ามเนื้อหัวใจของผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจำนวน 300 รายเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว 700 รายและทำการติดตามไปพบว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไม่มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีนนั้นมีการอักเสบเกิดขึ้นจริง
    ทั้งนี้การวิเคราะห์นี้ทำในบุคคลที่ไม่ได้มีอาการทางหัวใจใดๆ แสดงว่าคนที่ได้รับวัคซีนมีหัวใจอักเสบคุกรุ่น อยู่อย่างที่รู้ตัว และข้อสำคัญก็คือจะมีการตัดกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจอย่างฉับพลันเมื่อใดก็ได้ ตามที่พบในเนื้อเยื่อหัวใจของศพที่เสียชีวิตกระทันหันที่มีการชันสูตรไปแล้ว (รูปที่3)

    วิดีโอคลิปนี้ของรายการนี้
    https://www.youtube.com/live/-FwufEXowrE?si=BUJHif05p9bjGchg

    ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้
    1- เพราะเราตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
    2-เพราะเราจะต้องเรียกร้องให้มีการประเมินความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีนี้
    3-เพราะเราต้องเรียกร้องให้มีการเยียวยาครอบครัวผู้เสียหาย
    4-เพราะเราต้องเรียกร้องให้หยุดการใช้เทคโนโลยีนี้จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดโดยการแก้ไขการผลิต การปรับแต่งอนุภาคไขมันนาโน และการปรับแต่งตัว mRNA และพิสูจน์ว่าไม่มีการปนเปื้อนใดๆ เช่น sv40 ที่ไม่ต้องมี large T antigen ก็ได้แต่ยังคงมียีนส์อื่น ที่สามารถทำให้อยู่คงกระพันและเสียบเข้าไปในโครโมโซมมนุษย์ได้
    นอกจากนั้นยังสามารถแพร่ออกไปจากตัวเซลล์ผ่านทางกลไกต่างๆ เช่น exosome
    5- การวิเคราะห์ล่าสุดยังพบว่าวัคซีนมีการปนเปื้อนด้วยสารอันตรายพิษ และ สารโลหะหนักอยู่ด้วยซึ่งการฉีดซ้ำซากย่อมส่งผลต่อร่างกาย
    6- แล้วเราจะอยู่รอดได้อย่างไร เข้าใกล้มังสวิรัติ ลด ถึงกับงดกินสัตว์บกถ้าทำได้ กิน ผักผลไม้กากใย แป้งน้อยหน่อย ออกกำลัง แดด สมุนไพรหลายชนิดที่มีขายอย่างถูกกฎหมายจากสถาบันหลายแห่ง ม รังสิต รพ อภัยภูเบศร์เบศร ห้างยาสมุนไพร ตั้งแต่ ขมิ้นชัน รางจืด และใชั ฟ้าทะลายโจร(เฉพาะเวลามีไข้ไม่สบาย) ขิงข่าตะไคร้ กระชายขาวพริกไทยดำ

    ผู้เฒ่า ผู้สูงวัยอย่างหมอ คงไม่เท่าไหร่ ภาวนาตายทันที ห่วงอยู่แต่ ลูกหลานเหลนคนไทย

    #ข้อสำคัญ อย่าให้คนเลวลอยนวล

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    อย่าให้คนเลวลอยนวล. ผลการวิเคราะห์การตายกระทันหันที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับ ที่มีการเริ่มใช้วัคซีนทั่วโลก (รูปที่ 1) แต่แม้มีหลักฐานจากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตซึ่งพบว่ามีการอักเสบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีการ สร้างโปรตีนประหลาดขึ้น และตัดประเด็นอื่นออกไปทั้งหมดรวมทั้งการติดเชื้อโควิด แต่ก็เป็นเพียงจำนวนเป็น หลาย 100 รายเท่านั้น การที่ไม่สามารถชันสูตรศพในลักษณะละเอียดละออเช่นนั้นได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลาย 100,000 บาท ทำให้การเชื่อมโยงสาเหตุการตายกระทันหันเป็นหมื่นเป็นแสนคนไม่สามารถสรุปได้ 100% อย่างไรก็ตาม รายงานที่เห็นนี้ (รูป ที่2) ในวารสารรังสีวิทยา radiology ที่เป็นวารสารมาตรฐานทางการของสมาคม เป็นการแสดงผลการศึกษาโดยการใช้เวชศาสตร์นิวเคลียร์ตรวจกล้ามเนื้อหัวใจของผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจำนวน 300 รายเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว 700 รายและทำการติดตามไปพบว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไม่มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีนนั้นมีการอักเสบเกิดขึ้นจริง ทั้งนี้การวิเคราะห์นี้ทำในบุคคลที่ไม่ได้มีอาการทางหัวใจใดๆ แสดงว่าคนที่ได้รับวัคซีนมีหัวใจอักเสบคุกรุ่น อยู่อย่างที่รู้ตัว และข้อสำคัญก็คือจะมีการตัดกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจอย่างฉับพลันเมื่อใดก็ได้ ตามที่พบในเนื้อเยื่อหัวใจของศพที่เสียชีวิตกระทันหันที่มีการชันสูตรไปแล้ว (รูปที่3) วิดีโอคลิปนี้ของรายการนี้ https://www.youtube.com/live/-FwufEXowrE?si=BUJHif05p9bjGchg ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ 1- เพราะเราตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน 2-เพราะเราจะต้องเรียกร้องให้มีการประเมินความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยีนี้ 3-เพราะเราต้องเรียกร้องให้มีการเยียวยาครอบครัวผู้เสียหาย 4-เพราะเราต้องเรียกร้องให้หยุดการใช้เทคโนโลยีนี้จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดโดยการแก้ไขการผลิต การปรับแต่งอนุภาคไขมันนาโน และการปรับแต่งตัว mRNA และพิสูจน์ว่าไม่มีการปนเปื้อนใดๆ เช่น sv40 ที่ไม่ต้องมี large T antigen ก็ได้แต่ยังคงมียีนส์อื่น ที่สามารถทำให้อยู่คงกระพันและเสียบเข้าไปในโครโมโซมมนุษย์ได้ นอกจากนั้นยังสามารถแพร่ออกไปจากตัวเซลล์ผ่านทางกลไกต่างๆ เช่น exosome 5- การวิเคราะห์ล่าสุดยังพบว่าวัคซีนมีการปนเปื้อนด้วยสารอันตรายพิษ และ สารโลหะหนักอยู่ด้วยซึ่งการฉีดซ้ำซากย่อมส่งผลต่อร่างกาย 6- แล้วเราจะอยู่รอดได้อย่างไร เข้าใกล้มังสวิรัติ ลด ถึงกับงดกินสัตว์บกถ้าทำได้ กิน ผักผลไม้กากใย แป้งน้อยหน่อย ออกกำลัง แดด สมุนไพรหลายชนิดที่มีขายอย่างถูกกฎหมายจากสถาบันหลายแห่ง ม รังสิต รพ อภัยภูเบศร์เบศร ห้างยาสมุนไพร ตั้งแต่ ขมิ้นชัน รางจืด และใชั ฟ้าทะลายโจร(เฉพาะเวลามีไข้ไม่สบาย) ขิงข่าตะไคร้ กระชายขาวพริกไทยดำ ผู้เฒ่า ผู้สูงวัยอย่างหมอ คงไม่เท่าไหร่ ภาวนาตายทันที ห่วงอยู่แต่ ลูกหลานเหลนคนไทย #ข้อสำคัญ อย่าให้คนเลวลอยนวล ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Yay
    19
    1 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ?

    #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009).

    ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

    1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013).

    2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019).

    ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ

    แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้

    กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998).

    -------------

    เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น

    นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015).

    การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้

    -------------

    ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? **

    เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011).

    การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014).

    การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020).

    -------------

    ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? **

    ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011).

    การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006).

    การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006).

    -------------

    ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? **

    เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ

    การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008).

    เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013).

    นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008).

    นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    --------

    การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ

    ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ? #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009). ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013). 2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019). ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้ กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998). ------------- เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015). การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้ ------------- ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? ** เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011). การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014). การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020). ------------- ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? ** ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011). การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006). การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006). ------------- ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? ** เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008). เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008). นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง -------- การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้ เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ

    เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012).

    เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้

    1. #ปรับโภชนาการ

    "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013).

    ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006).

    บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999).

    อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013).

    การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003).

    2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

    การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011).

    การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012).

    การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003).

    3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ

    ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008).

    โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005).

    โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007).

    การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008).

    --------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016).

    สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012). เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้ 1. #ปรับโภชนาการ "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013). ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006). บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999). อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013). การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003). 2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011). การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012). การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003). 3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008). โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005). โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007). การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008). -------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016). สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ

    เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012).

    เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้

    1. #ปรับโภชนาการ

    "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013).

    ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006).

    บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999).

    อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013).

    การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003).

    2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

    การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011).

    การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012).

    การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003).

    3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ

    ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008).

    โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005).

    โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007).

    การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008).

    --------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016).

    สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012). เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้ 1. #ปรับโภชนาการ "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013). ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006). บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999). อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013). การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003). 2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011). การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012). การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003). 3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008). โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005). โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007). การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008). -------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016). สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • กินตอนไหน ไม่กินเมื่อไหร่ และกินเป็นช่วงยาวได้แค่ไหน?

    1- กินแต่เช้าไป 6 ชม แล้วอดต่อ 18 ชม (early eater)ดีกว่าไป กิน สายหรือ บ่าย ถึงเย็น หรือถึงค่ำ (late eater) แม้จะเป็น 6 ชม เท่ากัน
    2-ถ้าทำงานเป็นกะ กะละ 24 ชม จะปล่อยให้กินได้ยาวนานเท่าใด?
    กิน 10 ชม ดีกว่ากิน 16 ชม แม้ปริมาณ รวมเท่ากัน

    3- อาหารที่กินยังคงเป็นประเภทผัก ผลไม้ กากไยมาก เนื้อน้อย แป้งน้อย ปลาเยอะ และถั่ว

    รายงานการศึกษาทั้งสองชิ้นในวารสาร Cell Metabolism (clinical and translational report) 4 ตุลาคม 2022 ตอกย้ำการให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหาร

    ซึ่งขณะนี้เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า

    1- อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่มากผัก ผลไม้ กากใย น้ำมันมะกอก ไวน์แดง แป้งไม่มาก จัดเป็นอาหารช่วยชีวิต
    ซึ่งในคนไทยเราก็มีผักผลไม้มากมายมหาศาลตามฤดูกาลอยู่แล้ว
    ปรับแต่งให้เข้ากับรสชาติไทยๆ เป็นส้มตำ เคียงผักนานาชนิด แต่อย่าให้เค็มมาก ลดข้าวเหนียวลงบ้าง เนื้อสัตว์ทั้งหลายพยายามหลีกเลี่ยง แต่ได้โปรตีนจากถั่ว จากพืช และปลา ปู กุ้ง หอย

    2- แต่คำถามหลักใหญ่อีกข้อคือ ถ้ากินเท่าเดิม เป็นชนิดของอาหารที่ดีตามข้างต้น จะกินตอนไหนดีตั้งแต่หลังตื่นนอน หรือชะลอไปเที่ยงหรือหลังเที่ยงไปจนกระทั่งถึงสอง สามทุ่ม แบบไหนจะดีกว่ากัน หรือจะเรียกกันง่ายๆว่า early eater กับ late eater (เหมือนที่มีการศึกษาก่อนหน้าและหมอได้เคยเรียนให้ทราบในบทความ งดข้าวเช้า ตายเร็ว ในคอลัมน์สุขภาพหรรษานี้)

    3-และไม่นานมานี้ เราก็ทราบว่าการกินเป็นช่วงสั้นและกินแต่น้ำในช่วงเวลาที่เหลือในแต่ละวัน หรือจะเป็นเพียงผลไม้ที่เรียกว่า ไอ-เอฟ หรือ intermittent fasting โดย กิน 6 อด 18 ชั่วโมง หรือกิน 8 อด 16 ชั่วโมง หรือในหนึ่งสัปดาห์ กินปกติหกวัน ที่เหลืออีกหนึ่งวัน กินแต่น้ำ
    โดยที่ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พิสูจน์แล้วว่าทำให้สุขภาพแข็งแรง ปลอดจากโรคคาร์ดิโอเมตาบอลิก (cardio metabolic) รวมทั้งมีรายงานพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความรุนแรงต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตจากการติดโควิด

    แต่ช่วงเวลาที่กิน ไอ-เอฟ จะกินตั้งแต่ครึ่งเช้าหรือจะกินบ่ายหรือค่ำ โดยระยะเวลาที่กินนั้นเท่ากัน?

    4-คำถามต่อมา คือว่า จะปล่อยให้กินได้ยาวนานเท่าใดถ้าเข้างาน 24 ชม

    รายงานแรกจากคณะทำงาน Salk Institute for biological studies, La Jolla กับ University of California, San Diego ทำการศึกษาในอาสาสมัครที่เป็นนักผจญเพลิงที่ทำงานเป็นกะ กะละ 24 ชั่วโมง และให้กินอาหารได้เป็นระยะ (time restricted eating) ในช่วงเวลา 10 ชั่วโมง เทียบกับให้มีอิสระมากขึ้นในการกินอาหารให้ได้ระยะเวลาถึง 14 ชั่วโมง โดยอาหารการกินนั้นเป็นอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนเหมือนกัน และแบ่งกลุ่มละ 75 คน ศึกษาการกินอาหารดังกล่าวเป็นเวลา 12 สัปดาห์

    ทั้งนี้ มีข้อมูลสุขภาพพื้นฐานก่อนทำการศึกษาอย่างครบถ้วน และมีการประเมินข้อมูลสุขภาพอย่างถี่ยิบ ซึ่งรวมถึงระดับไขมัน ชนิดของไขมัน ความดันโลหิต ความอ้วน ระดับน้ำตาลสะสม และอื่นๆอีกมาก

    ผลปรากฏว่ากลุ่มที่กำหนดช่วงเวลาที่ให้กิน (time window) 10 ชั่วโมงนั้น มีสุขภาพดีแข็งแรงขึ้นกว่าอีกกลุ่มและภาวะสุขภาพทางคาร์ดิโอเมตาบอลิกดีขึ้น และควรจะได้เป็นหลักปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานเป็นกะ กะละถึง 24 ชั่วโมง

    โดยคนในกลุ่มนี้มีการศึกษาก่อนหน้าว่า สุขภาพเสื่อม โทรมไปทั้งสิ้น

    สำหรับในรายงานที่สองนั้น มาจากภาควิชาอายุรศาสตร์และประสาทวิทยา ฮาร์วาร์ด บอสตัน ร่วมกับสถาบันในประเทศเยอรมนีและสเปน
    โดยตั้งสมมติฐานจากการที่มนุษย์จะมีนาฬิกาชีวิต หรือสมอง กำหนดระยะเวลาของการกิน การออกกำลัง การทำงาน และการนอนหลับ ซึ่งมีส่วนที่แปรเปลี่ยนและสัมพันธ์กับเวลากลางวันและกลางคืน

    ดังนั้น ถ้าตื่นขึ้นมาปุ๊บแล้วกินเลย โดยให้ระยะเวลาการกินอยู่ที่ 5 ชั่วโมง และเทียบกับเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่ได้กินอาหาร กินข้าวเช้า แต่ไปเริ่มกินเอาเที่ยงหรือบ่ายไปแล้ว จนกระทั่งถึงหัวค่ำ โดยที่ทั้งสองกลุ่มนี้ กลุ่มใดจะให้
    ผลกระทบในทางเลว ในแง่ของการปรับอุณหภูมิในร่างกาย การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานของร่างกายและศึกษาลึกลงไปจนถึงเนื้อเยื่อไขมันในการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับเมแทบอลิซึมของไขมัน

    การศึกษานี้คัดสรรซอยย่อยตั้งแต่อาสาสมัคร 2,150 ราย และมีคุณสมบัติที่จะสามารถเข้าร่วมในการวิจัยอย่างเข้มข้นได้หรือไม่ จนกระทั่งท้ายสุดเหลืออยู่เพียงจำนวน 16 คน และแบ่งออกเป็นกลุ่มกินแต่เช้าเจ็ดคน และกลุ่มที่กินล่าช้าไปจนกระทั่งถึงเย็นค่ำเก้าคน และให้มีรูปแบบแผนในการกินเร็วและกินช้าแบบนี้สลับสับเปลี่ยนกัน โดยมีช่วงเวลาพัก (wash out period) ระหว่างสามถึง 12 สัปดาห์

    ผลของการศึกษาพบว่า กลุ่มที่กินช้าจะมีความรู้สึกหิวมากกว่า คล้องจองไปกับการที่มีฮอร์โมนที่เพิ่มการหิวข้าว และมีระยะตื่น (wake time) มากกว่า

    อัตราสัดส่วนของฮอร์โมน ghrelin ต่อ leptin ที่ 24 ชั่วโมงนั้นสูงขึ้น มีระบบการเผาผลาญใช้พลังงานลดลง และอุณหภูมิในร่างกายตลอด 24 ชั่วโมงลดลง

    นอกจากนั้นการวิเคราะห์ยีน พบว่า ยีนที่ควบคุมความเสถียรของเซลล์ และการคุมการคงมีชีวิตและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ ในระบบ autophagy เป็นในทิศทางที่แย่ลง รวมทั้งมีการเผาผลาญไขมันลดลงและมีการเพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อไขมันมากขึ้น

    ซึ่งทั้ง หลายทั้งปวงนี้บ่งบอกถึงการมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน และโรคที่ตามติดมาจากผลพวงดังกล่าว

    ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยทั้งสองกลุ่มต่างก็ให้ข้อสรุปในทิศทางคล้ายกัน คือ

    เริ่มกินตั้งแต่เช้าหรืออย่า งดมื้อเช้า และจำกัดระยะเวลาของการกินอยู่ในช่วง 5 ถึง 10 ชั่วโมงแรก

    และประเพณี ประพฤติ ปฏิบัติของการกินมื้อเย็น ดินเนอร์ตอน 5 โมงเย็น หรือล่าช้าไปถึงทุ่มหรือสามทุ่ม จะเป็นสิ่งที่อาจไม่ให้ผลดีต่อสุขภาพ และการกินตอนสายจนไปถึงบ่าย เย็น กลับจะเพิ่มความตะกละ อยากกิน จนอาจจะต้องลุกขึ้นมาหาอะไรกินตอนกลางคืน หรือตอนดึกไปอีก

    อาหารมื้อเช้านั้น น่าจะเป็นมื้อที่ใหญ่ที่สุดหรือไม่ ?

    จึงมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งจากสกอตแลนด์และอังกฤษ พบว่า มื้อเช้าอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องเป็นมื้อใหญ่เสมอไป แต่อยู่ในระยะเวลาของการกินและปริมาณของอาหารและชนิดของอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

    ที่เรียนให้ทราบถึงตรงนี้ เพื่อที่จะให้รู้สึกสบายใจและมั่นใจที่จะเริ่มประพฤติปฏิบัติในการกินอาหารสุขภาพ ทราบถึงเวลาและระยะเวลาของการกิน ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปจนถึงสุขภาพของร่างกายโดยรวม คุณภาพของการนอน และแน่นอน ส่งผลไปถึงสมองทำให้เสื่อมช้าลง (resistance) หรือแม้แต่เสื่อมแล้วก็ยังไม่แสดงอาการออกมาได้ (resilience)
    ชีวิตของเราเองเลือกได้ ที่จะไม่เป็นภาระต่อครอบครัว สังคม และทำให้ประเทศไทยของเรามั่งคั่งครับ..

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    กินตอนไหน ไม่กินเมื่อไหร่ และกินเป็นช่วงยาวได้แค่ไหน? 1- กินแต่เช้าไป 6 ชม แล้วอดต่อ 18 ชม (early eater)ดีกว่าไป กิน สายหรือ บ่าย ถึงเย็น หรือถึงค่ำ (late eater) แม้จะเป็น 6 ชม เท่ากัน 2-ถ้าทำงานเป็นกะ กะละ 24 ชม จะปล่อยให้กินได้ยาวนานเท่าใด? กิน 10 ชม ดีกว่ากิน 16 ชม แม้ปริมาณ รวมเท่ากัน 3- อาหารที่กินยังคงเป็นประเภทผัก ผลไม้ กากไยมาก เนื้อน้อย แป้งน้อย ปลาเยอะ และถั่ว รายงานการศึกษาทั้งสองชิ้นในวารสาร Cell Metabolism (clinical and translational report) 4 ตุลาคม 2022 ตอกย้ำการให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหาร ซึ่งขณะนี้เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า 1- อาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่มากผัก ผลไม้ กากใย น้ำมันมะกอก ไวน์แดง แป้งไม่มาก จัดเป็นอาหารช่วยชีวิต ซึ่งในคนไทยเราก็มีผักผลไม้มากมายมหาศาลตามฤดูกาลอยู่แล้ว ปรับแต่งให้เข้ากับรสชาติไทยๆ เป็นส้มตำ เคียงผักนานาชนิด แต่อย่าให้เค็มมาก ลดข้าวเหนียวลงบ้าง เนื้อสัตว์ทั้งหลายพยายามหลีกเลี่ยง แต่ได้โปรตีนจากถั่ว จากพืช และปลา ปู กุ้ง หอย 2- แต่คำถามหลักใหญ่อีกข้อคือ ถ้ากินเท่าเดิม เป็นชนิดของอาหารที่ดีตามข้างต้น จะกินตอนไหนดีตั้งแต่หลังตื่นนอน หรือชะลอไปเที่ยงหรือหลังเที่ยงไปจนกระทั่งถึงสอง สามทุ่ม แบบไหนจะดีกว่ากัน หรือจะเรียกกันง่ายๆว่า early eater กับ late eater (เหมือนที่มีการศึกษาก่อนหน้าและหมอได้เคยเรียนให้ทราบในบทความ งดข้าวเช้า ตายเร็ว ในคอลัมน์สุขภาพหรรษานี้)  3-และไม่นานมานี้ เราก็ทราบว่าการกินเป็นช่วงสั้นและกินแต่น้ำในช่วงเวลาที่เหลือในแต่ละวัน หรือจะเป็นเพียงผลไม้ที่เรียกว่า ไอ-เอฟ หรือ intermittent fasting โดย กิน 6 อด 18 ชั่วโมง หรือกิน 8 อด 16 ชั่วโมง หรือในหนึ่งสัปดาห์ กินปกติหกวัน ที่เหลืออีกหนึ่งวัน กินแต่น้ำ โดยที่ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พิสูจน์แล้วว่าทำให้สุขภาพแข็งแรง ปลอดจากโรคคาร์ดิโอเมตาบอลิก (cardio metabolic) รวมทั้งมีรายงานพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความรุนแรงต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตจากการติดโควิด แต่ช่วงเวลาที่กิน ไอ-เอฟ จะกินตั้งแต่ครึ่งเช้าหรือจะกินบ่ายหรือค่ำ โดยระยะเวลาที่กินนั้นเท่ากัน? 4-คำถามต่อมา คือว่า จะปล่อยให้กินได้ยาวนานเท่าใดถ้าเข้างาน 24 ชม รายงานแรกจากคณะทำงาน Salk Institute for biological studies, La Jolla กับ University of California, San Diego ทำการศึกษาในอาสาสมัครที่เป็นนักผจญเพลิงที่ทำงานเป็นกะ กะละ 24 ชั่วโมง และให้กินอาหารได้เป็นระยะ (time restricted eating) ในช่วงเวลา 10 ชั่วโมง เทียบกับให้มีอิสระมากขึ้นในการกินอาหารให้ได้ระยะเวลาถึง 14 ชั่วโมง โดยอาหารการกินนั้นเป็นอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนเหมือนกัน และแบ่งกลุ่มละ 75 คน ศึกษาการกินอาหารดังกล่าวเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ทั้งนี้ มีข้อมูลสุขภาพพื้นฐานก่อนทำการศึกษาอย่างครบถ้วน และมีการประเมินข้อมูลสุขภาพอย่างถี่ยิบ ซึ่งรวมถึงระดับไขมัน ชนิดของไขมัน ความดันโลหิต ความอ้วน ระดับน้ำตาลสะสม และอื่นๆอีกมาก ผลปรากฏว่ากลุ่มที่กำหนดช่วงเวลาที่ให้กิน (time window) 10 ชั่วโมงนั้น มีสุขภาพดีแข็งแรงขึ้นกว่าอีกกลุ่มและภาวะสุขภาพทางคาร์ดิโอเมตาบอลิกดีขึ้น และควรจะได้เป็นหลักปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานเป็นกะ กะละถึง 24 ชั่วโมง โดยคนในกลุ่มนี้มีการศึกษาก่อนหน้าว่า สุขภาพเสื่อม โทรมไปทั้งสิ้น สำหรับในรายงานที่สองนั้น มาจากภาควิชาอายุรศาสตร์และประสาทวิทยา ฮาร์วาร์ด บอสตัน ร่วมกับสถาบันในประเทศเยอรมนีและสเปน โดยตั้งสมมติฐานจากการที่มนุษย์จะมีนาฬิกาชีวิต หรือสมอง กำหนดระยะเวลาของการกิน การออกกำลัง การทำงาน และการนอนหลับ ซึ่งมีส่วนที่แปรเปลี่ยนและสัมพันธ์กับเวลากลางวันและกลางคืน ดังนั้น ถ้าตื่นขึ้นมาปุ๊บแล้วกินเลย โดยให้ระยะเวลาการกินอยู่ที่ 5 ชั่วโมง และเทียบกับเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่ได้กินอาหาร กินข้าวเช้า แต่ไปเริ่มกินเอาเที่ยงหรือบ่ายไปแล้ว จนกระทั่งถึงหัวค่ำ โดยที่ทั้งสองกลุ่มนี้ กลุ่มใดจะให้ ผลกระทบในทางเลว ในแง่ของการปรับอุณหภูมิในร่างกาย การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานของร่างกายและศึกษาลึกลงไปจนถึงเนื้อเยื่อไขมันในการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับเมแทบอลิซึมของไขมัน การศึกษานี้คัดสรรซอยย่อยตั้งแต่อาสาสมัคร 2,150 ราย และมีคุณสมบัติที่จะสามารถเข้าร่วมในการวิจัยอย่างเข้มข้นได้หรือไม่ จนกระทั่งท้ายสุดเหลืออยู่เพียงจำนวน 16 คน และแบ่งออกเป็นกลุ่มกินแต่เช้าเจ็ดคน และกลุ่มที่กินล่าช้าไปจนกระทั่งถึงเย็นค่ำเก้าคน และให้มีรูปแบบแผนในการกินเร็วและกินช้าแบบนี้สลับสับเปลี่ยนกัน โดยมีช่วงเวลาพัก (wash out period) ระหว่างสามถึง 12 สัปดาห์ ผลของการศึกษาพบว่า กลุ่มที่กินช้าจะมีความรู้สึกหิวมากกว่า คล้องจองไปกับการที่มีฮอร์โมนที่เพิ่มการหิวข้าว และมีระยะตื่น (wake time) มากกว่า อัตราสัดส่วนของฮอร์โมน ghrelin ต่อ leptin ที่ 24 ชั่วโมงนั้นสูงขึ้น มีระบบการเผาผลาญใช้พลังงานลดลง และอุณหภูมิในร่างกายตลอด 24 ชั่วโมงลดลง นอกจากนั้นการวิเคราะห์ยีน พบว่า ยีนที่ควบคุมความเสถียรของเซลล์ และการคุมการคงมีชีวิตและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ ในระบบ autophagy เป็นในทิศทางที่แย่ลง รวมทั้งมีการเผาผลาญไขมันลดลงและมีการเพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อไขมันมากขึ้น ซึ่งทั้ง หลายทั้งปวงนี้บ่งบอกถึงการมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน และโรคที่ตามติดมาจากผลพวงดังกล่าว ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยทั้งสองกลุ่มต่างก็ให้ข้อสรุปในทิศทางคล้ายกัน คือ เริ่มกินตั้งแต่เช้าหรืออย่า งดมื้อเช้า และจำกัดระยะเวลาของการกินอยู่ในช่วง 5 ถึง 10 ชั่วโมงแรก และประเพณี ประพฤติ ปฏิบัติของการกินมื้อเย็น ดินเนอร์ตอน 5 โมงเย็น หรือล่าช้าไปถึงทุ่มหรือสามทุ่ม จะเป็นสิ่งที่อาจไม่ให้ผลดีต่อสุขภาพ และการกินตอนสายจนไปถึงบ่าย เย็น กลับจะเพิ่มความตะกละ อยากกิน จนอาจจะต้องลุกขึ้นมาหาอะไรกินตอนกลางคืน หรือตอนดึกไปอีก อาหารมื้อเช้านั้น น่าจะเป็นมื้อที่ใหญ่ที่สุดหรือไม่ ? จึงมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งจากสกอตแลนด์และอังกฤษ พบว่า มื้อเช้าอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องเป็นมื้อใหญ่เสมอไป แต่อยู่ในระยะเวลาของการกินและปริมาณของอาหารและชนิดของอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่เรียนให้ทราบถึงตรงนี้ เพื่อที่จะให้รู้สึกสบายใจและมั่นใจที่จะเริ่มประพฤติปฏิบัติในการกินอาหารสุขภาพ ทราบถึงเวลาและระยะเวลาของการกิน ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปจนถึงสุขภาพของร่างกายโดยรวม คุณภาพของการนอน และแน่นอน ส่งผลไปถึงสมองทำให้เสื่อมช้าลง (resistance) หรือแม้แต่เสื่อมแล้วก็ยังไม่แสดงอาการออกมาได้ (resilience) ชีวิตของเราเองเลือกได้ ที่จะไม่เป็นภาระต่อครอบครัว สังคม และทำให้ประเทศไทยของเรามั่งคั่งครับ.. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Love
    Yay
    19
    1 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝันร้าย ผวา ผจญภัย สมองเสื่อม

    หมอดื้อ ได้นำข้อมูลบทความทางวิทยาศาสตร์วิชาการ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการนอน ทั้งนอนน้อยนอนนานก็ไม่ดี งีบหลับกลางวันนานกว่าครึ่งชั่วโมงหรือ งีบบ่อยๆ ส่อ ถึงภาวะสมองเสื่อมรวมทั้งโน้มนำให้รุนแรงมากขึ้น รวมทั้งการงีบหลับแล้วสะดุ้งตื่นกลับมีปัญญาบังเกิด ทั้งหมดนี้หาอ่านได้ในไทยรัฐคอลัมน์สุขภาพพรรษาหมอดื้อ

    ทั้งนี้ จะพบว่าเรื่องของการนอนเป็นเรื่องมหัศจรรย์และเกี่ยวข้องกับสุขภาวะทางกายและทางสมอง อย่างชัดเจน ทั้งนี้ยังพ่วงเกี่ยวกับเรื่องความฝัน

    ดังที่พูดกันมาแต่โบร่ำโบราณ ว่านอนหลับฝันดีนะ เพราะในเวลาไม่นานมานี้เอง พบว่านอนแล้วฝันร้าย (nightmare) ฝันผวา (night terror) โดยที่มีพฤติกรรมหวาดกลัวถึงกับกรีดร้องหรือมีการเหวี่ยงแขนขา แบบฝันผจญภัยสุ่มเสี่ยงกับสมองไม่ดีสมองเสื่อมเร็วมากขึ้น

    รายงานในวารสารแลนเซท e clinical medicine เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2023 จาก ภาควิชาประสาทวิทยา และศูนย์ Centre for Brain Health โรงพยาบาลและ มหาวิทยาลัย เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ พบว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในอังกฤษในช่วงสัปดาห์เดียวกันในปี 1958 และมีการประเมินโดยสอบถามจากมารดาเมื่อเด็กอายุได้เจ็ดขวบในปี 1965 และ 11 ขวบในปี 1969 ว่าเด็กประสบกับฝันร้ายหรือฝันผวาหรือไม่ในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา
    โดยมี จำนวนเด็ก 6991 ราย ซึ่งเป็นผู้หญิง 51% พบว่า 78.2% นั้นไม่มีฝันร้ายเลยและ 17.9% มีฝันร้ายอยู่บ้างแต่ 3.8% มีฝันร้ายเป็นประจำตลอดเวลา

    ในปี 2008 เมื่อถึงอายุครบ 50 ปีพบว่ามีถึง 262 รายที่มีความผิดปกติทางสมองพุทธิปัญญา (cognitive impairment) และห้ารายเป็น พาร์กินสัน

    ทั้งนี้หลังจากที่ปรับตัวแปรและปัจจัยร่วมต่างๆ สรุปได้ว่าการที่มีฝันร้ายเป็นประจำและยิ่งบ่อยยิ่งมากในระหว่างเป็นเด็กนั้น จะสุ่มเสี่ยงแปรตามกับการที่จะมีความผิดปกติทางสมองดังกล่าว โดยมีนัยยะสำคัญทางสถิติไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
    และเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยมีฝันร้ายเลย กลุ่มที่ฝันร้ายเป็นประจำนั้นจะมีความเสี่ยงสำหรับความเสื่อมทางสมองหรือโรคพาร์กินสันที่อายุ 50 ปีสูงขึ้น 85%
    หรือมีโอกาสเป็นภาวะที่เป็นสมองเสื่อมมากขึ้น 76% และมากขึ้นเจ็ดเท่าสำหรับโรคพาร์กินสัน

    โอกาสเป็นภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นในลักษณะนี้ ยังพบได้เช่นกัน ในกลุ่มวัยกลางคนและที่สูงวัยมาก (older adults)ที่แม้ว่าจะมีสุขภาพดีก็ตาม แต่มีฝันร้ายอย่างน้อย อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง โดยมีโอกาสเพิ่มขึ้นสี่เท่าเมื่อติดตามไปในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า โดยในคนสูงวัยมากนั้น มีโอกาสเพิ่มขึ้นสองเท่า รายงานในวารสารเดียวกันจากสถาบันเดียวกันในวันที่ 21 กันยายน 2022

    รายงานนี้ ได้ทำการวิเคราะห์คนวัยกลางคนที่มีอายุระหว่าง 35 ถึง 64 ปีเป็นจำนวน 605 รายและติดตามไป 13 ปีรวมทั้งผู้สูงวัยมาก ที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 79 ปีเป็นจำนวน 2600 รายและติดตามไปเจ็ดปี ทั้งนี้หลังจากที่ได้ทำการปรับปัจจัยตัวแปรต่างๆทั้งสิ้น

    และผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานที่จะอธิบายความสัมพันธ์เหล่านี้กับภาวะสมองเสื่อม

    ประการแรกก็คือมีความเป็นไปได้ที่ฝันร้ายฝันผวาเป็นอาการแรกเริ่มของโรคสมองเสื่อมแบบต่างๆทั้ง พาร์กินสัน สมองเสื่อมแบบ Lewy bodies (dementia with Lewy bodies DLB) รวมทั้ง อัลไซเมอร์ ดังที่ได้เคยมีรายงานว่าก่อนหน้า และเกิดจากความเสื่อมของสมองบริเวณหน้าผากทางด้านขวาซึ่งทำหน้าที่ในการลดทอน อารมณ์แปรปรวนในด้านลบระหว่างการฝันในช่วงที่ลูกตามีการเคลื่อนไหวเร็ว (REM sleep) ซึ่งในระยะต่อมาพบว่ายิ่งมีฝันร้ายฝันผวาในผู้ป่วยที่เป็นพาร์กินสัน จะมีความสัมพันธ์กับความเหี่ยวของสมองกลีบขมับหน้าผากทางด้านขวาทั้งที่เปลือกสมองและในสมองส่วนสีขาว (grey and white matter)
    รวมทั้งมีรายงานในระยะต่อมาว่าภาวะฝันในช่วง REM จะเกิดขึ้นก่อนหน้า ที่จะมีอาการของโรคพาร์กินสัน หรือ DLB ถึง 50 ปี แต่ทั้งนี้ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างฝันผวาในช่วงตั้งแต่เด็กที่ประเมินตั้งแต่อายุเจ็ดขวบไม่น่าจะอธิบายว่าเด็กในอายุขณะนั้น ที่สมองกำลังมีการพัฒนาจะเกิดพยาธิสภาพผิดปกติแล้วที่อายุยังน้อยมาก

    โดยที่ ฝันร้ายฝัน ผวาต่างๆเหล่านี้อาจจะมีความสัมพันธ์เป็นเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม ตามหลังดังรายงานในประชากรวัยกลางคนและที่สูงวัยมาก

    โดยกลไกที่อาจเป็นไปได้จะอยู่ที่วงจรของการนอนจะไม่เป็นสุข ถูกกระตุกเป็นระยะและส่งผลให้การเคลียร์หรือระบายขยะด้วยระบบ glymphatic system ทำงานไม่เต็มที่ โดยที่ทราบกันดีแล้วว่าการนอนหลับลึกจะทำให้ท่อระบายขยะเหล่านี้กว้างขวางขึ้นอย่างน้อย 60% และการที่ระบายขยะได้ไม่ดีทำให้มีการสะสมมากขึ้น
    เรื่อย ๆ ของโปรตีนพิษบิดเกรียว อมิลอยด์ ทาว และ อัลฟ่า ซินนูคลีอิน
    และการนอนที่ไม่เป็นสุขมีฝันผวาในวัยเด็กเรื่อยมาอาจจะขัดขวางการพัฒนาทางสมอง และทำให้ต้นทุนของสมองลดน้อยถอยลงตามลำดับ และทำให้ถูกทำลายได้เร็วและมากขึ้นเมื่อมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามา
    กระทบ ทั้งนี้รวมทั้งปัจจัยทางด้านพันธุกรรมอีกด้วย

    แม้ว่ารายงานนี้จะเป็นการวิเคราะห์จากการติดตามระยะยาวแต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายกลไกได้อย่างถ่องแท้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะมองข้ามไปได้

    การผ่อนคลายหรือบรรเทาภาวะฝันร้ายฝันผวาที่เกิดขึ้นในช่วงการนอน REM ที่ประกอบด้วยทั้ง ภาพและอารมณ์ก้าวร้าว ความขัดแย้งกับบุคคลอื่น ความล้มเหลวในชีวิตและผสมปนเปไปด้วยความกลัว ความโกรธและความ เศร้าสลด อาจทำได้ด้วย พฤติกรรมบำบัด (Imagery reversal therapy) โดยนักจิตวิทยา ที่สอนให้ปรับเปลี่ยนฝันร้ายที่ส่งผลในทางลบให้ออกมาเป็นทางบวก และเปรียบเสมือนกับเป็นการวาดความฝันใหม่ และในขณะที่มีการสอนอบรมนั้นในเวลากลางวัน มีการเปิดเสียงคลอไปด้วยเพื่อสร้างจินตนภาพในทางสดใสและสร้างสรรค์และในขณะกลางคืนนั้นขณะที่หลับก็ให้มีเสียงเปิดไปด้วย
    เป็นการศึกษาโดยคณะในสวิตเซอร์แลนด์ที่ทดสอบวิธีดังกล่าวกับผู้ที่ได้รับความทรมานจากฝันร้ายเป็นจำนวน 36 รายและพบว่าได้ผล เป็นที่น่าพอใจ

    กล่าวโดยสรุปการนอนดีนอนหลับไม่ใช่เป็นแต่เพียงระยะเวลาของการนอน หกถึง 8 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงคุณภาพของการนอนที่หลับลึกไม่กระท่อนกระแท่นและไม่แทรกด้วยฝันร้าย ฝันผวา ฝันผจญภัย

    การเจริญสติในทางสร้างสรรค์ ไม่คิดร้ายเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นหนทาง ของความสงบสุขโดยทั่ว

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    ฝันร้าย ผวา ผจญภัย สมองเสื่อม หมอดื้อ ได้นำข้อมูลบทความทางวิทยาศาสตร์วิชาการ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการนอน ทั้งนอนน้อยนอนนานก็ไม่ดี งีบหลับกลางวันนานกว่าครึ่งชั่วโมงหรือ งีบบ่อยๆ ส่อ ถึงภาวะสมองเสื่อมรวมทั้งโน้มนำให้รุนแรงมากขึ้น รวมทั้งการงีบหลับแล้วสะดุ้งตื่นกลับมีปัญญาบังเกิด ทั้งหมดนี้หาอ่านได้ในไทยรัฐคอลัมน์สุขภาพพรรษาหมอดื้อ ทั้งนี้ จะพบว่าเรื่องของการนอนเป็นเรื่องมหัศจรรย์และเกี่ยวข้องกับสุขภาวะทางกายและทางสมอง อย่างชัดเจน ทั้งนี้ยังพ่วงเกี่ยวกับเรื่องความฝัน ดังที่พูดกันมาแต่โบร่ำโบราณ ว่านอนหลับฝันดีนะ เพราะในเวลาไม่นานมานี้เอง พบว่านอนแล้วฝันร้าย (nightmare) ฝันผวา (night terror) โดยที่มีพฤติกรรมหวาดกลัวถึงกับกรีดร้องหรือมีการเหวี่ยงแขนขา แบบฝันผจญภัยสุ่มเสี่ยงกับสมองไม่ดีสมองเสื่อมเร็วมากขึ้น รายงานในวารสารแลนเซท e clinical medicine เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2023 จาก ภาควิชาประสาทวิทยา และศูนย์ Centre for Brain Health โรงพยาบาลและ มหาวิทยาลัย เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ พบว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในอังกฤษในช่วงสัปดาห์เดียวกันในปี 1958 และมีการประเมินโดยสอบถามจากมารดาเมื่อเด็กอายุได้เจ็ดขวบในปี 1965 และ 11 ขวบในปี 1969 ว่าเด็กประสบกับฝันร้ายหรือฝันผวาหรือไม่ในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา โดยมี จำนวนเด็ก 6991 ราย ซึ่งเป็นผู้หญิง 51% พบว่า 78.2% นั้นไม่มีฝันร้ายเลยและ 17.9% มีฝันร้ายอยู่บ้างแต่ 3.8% มีฝันร้ายเป็นประจำตลอดเวลา ในปี 2008 เมื่อถึงอายุครบ 50 ปีพบว่ามีถึง 262 รายที่มีความผิดปกติทางสมองพุทธิปัญญา (cognitive impairment) และห้ารายเป็น พาร์กินสัน ทั้งนี้หลังจากที่ปรับตัวแปรและปัจจัยร่วมต่างๆ สรุปได้ว่าการที่มีฝันร้ายเป็นประจำและยิ่งบ่อยยิ่งมากในระหว่างเป็นเด็กนั้น จะสุ่มเสี่ยงแปรตามกับการที่จะมีความผิดปกติทางสมองดังกล่าว โดยมีนัยยะสำคัญทางสถิติไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง และเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยมีฝันร้ายเลย กลุ่มที่ฝันร้ายเป็นประจำนั้นจะมีความเสี่ยงสำหรับความเสื่อมทางสมองหรือโรคพาร์กินสันที่อายุ 50 ปีสูงขึ้น 85% หรือมีโอกาสเป็นภาวะที่เป็นสมองเสื่อมมากขึ้น 76% และมากขึ้นเจ็ดเท่าสำหรับโรคพาร์กินสัน โอกาสเป็นภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นในลักษณะนี้ ยังพบได้เช่นกัน ในกลุ่มวัยกลางคนและที่สูงวัยมาก (older adults)ที่แม้ว่าจะมีสุขภาพดีก็ตาม แต่มีฝันร้ายอย่างน้อย อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง โดยมีโอกาสเพิ่มขึ้นสี่เท่าเมื่อติดตามไปในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า โดยในคนสูงวัยมากนั้น มีโอกาสเพิ่มขึ้นสองเท่า รายงานในวารสารเดียวกันจากสถาบันเดียวกันในวันที่ 21 กันยายน 2022 รายงานนี้ ได้ทำการวิเคราะห์คนวัยกลางคนที่มีอายุระหว่าง 35 ถึง 64 ปีเป็นจำนวน 605 รายและติดตามไป 13 ปีรวมทั้งผู้สูงวัยมาก ที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 79 ปีเป็นจำนวน 2600 รายและติดตามไปเจ็ดปี ทั้งนี้หลังจากที่ได้ทำการปรับปัจจัยตัวแปรต่างๆทั้งสิ้น และผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานที่จะอธิบายความสัมพันธ์เหล่านี้กับภาวะสมองเสื่อม ประการแรกก็คือมีความเป็นไปได้ที่ฝันร้ายฝันผวาเป็นอาการแรกเริ่มของโรคสมองเสื่อมแบบต่างๆทั้ง พาร์กินสัน สมองเสื่อมแบบ Lewy bodies (dementia with Lewy bodies DLB) รวมทั้ง อัลไซเมอร์ ดังที่ได้เคยมีรายงานว่าก่อนหน้า และเกิดจากความเสื่อมของสมองบริเวณหน้าผากทางด้านขวาซึ่งทำหน้าที่ในการลดทอน อารมณ์แปรปรวนในด้านลบระหว่างการฝันในช่วงที่ลูกตามีการเคลื่อนไหวเร็ว (REM sleep) ซึ่งในระยะต่อมาพบว่ายิ่งมีฝันร้ายฝันผวาในผู้ป่วยที่เป็นพาร์กินสัน จะมีความสัมพันธ์กับความเหี่ยวของสมองกลีบขมับหน้าผากทางด้านขวาทั้งที่เปลือกสมองและในสมองส่วนสีขาว (grey and white matter) รวมทั้งมีรายงานในระยะต่อมาว่าภาวะฝันในช่วง REM จะเกิดขึ้นก่อนหน้า ที่จะมีอาการของโรคพาร์กินสัน หรือ DLB ถึง 50 ปี แต่ทั้งนี้ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างฝันผวาในช่วงตั้งแต่เด็กที่ประเมินตั้งแต่อายุเจ็ดขวบไม่น่าจะอธิบายว่าเด็กในอายุขณะนั้น ที่สมองกำลังมีการพัฒนาจะเกิดพยาธิสภาพผิดปกติแล้วที่อายุยังน้อยมาก โดยที่ ฝันร้ายฝัน ผวาต่างๆเหล่านี้อาจจะมีความสัมพันธ์เป็นเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม ตามหลังดังรายงานในประชากรวัยกลางคนและที่สูงวัยมาก โดยกลไกที่อาจเป็นไปได้จะอยู่ที่วงจรของการนอนจะไม่เป็นสุข ถูกกระตุกเป็นระยะและส่งผลให้การเคลียร์หรือระบายขยะด้วยระบบ glymphatic system ทำงานไม่เต็มที่ โดยที่ทราบกันดีแล้วว่าการนอนหลับลึกจะทำให้ท่อระบายขยะเหล่านี้กว้างขวางขึ้นอย่างน้อย 60% และการที่ระบายขยะได้ไม่ดีทำให้มีการสะสมมากขึ้น เรื่อย ๆ ของโปรตีนพิษบิดเกรียว อมิลอยด์ ทาว และ อัลฟ่า ซินนูคลีอิน และการนอนที่ไม่เป็นสุขมีฝันผวาในวัยเด็กเรื่อยมาอาจจะขัดขวางการพัฒนาทางสมอง และทำให้ต้นทุนของสมองลดน้อยถอยลงตามลำดับ และทำให้ถูกทำลายได้เร็วและมากขึ้นเมื่อมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามา กระทบ ทั้งนี้รวมทั้งปัจจัยทางด้านพันธุกรรมอีกด้วย แม้ว่ารายงานนี้จะเป็นการวิเคราะห์จากการติดตามระยะยาวแต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายกลไกได้อย่างถ่องแท้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะมองข้ามไปได้ การผ่อนคลายหรือบรรเทาภาวะฝันร้ายฝันผวาที่เกิดขึ้นในช่วงการนอน REM ที่ประกอบด้วยทั้ง ภาพและอารมณ์ก้าวร้าว ความขัดแย้งกับบุคคลอื่น ความล้มเหลวในชีวิตและผสมปนเปไปด้วยความกลัว ความโกรธและความ เศร้าสลด อาจทำได้ด้วย พฤติกรรมบำบัด (Imagery reversal therapy) โดยนักจิตวิทยา ที่สอนให้ปรับเปลี่ยนฝันร้ายที่ส่งผลในทางลบให้ออกมาเป็นทางบวก และเปรียบเสมือนกับเป็นการวาดความฝันใหม่ และในขณะที่มีการสอนอบรมนั้นในเวลากลางวัน มีการเปิดเสียงคลอไปด้วยเพื่อสร้างจินตนภาพในทางสดใสและสร้างสรรค์และในขณะกลางคืนนั้นขณะที่หลับก็ให้มีเสียงเปิดไปด้วย เป็นการศึกษาโดยคณะในสวิตเซอร์แลนด์ที่ทดสอบวิธีดังกล่าวกับผู้ที่ได้รับความทรมานจากฝันร้ายเป็นจำนวน 36 รายและพบว่าได้ผล เป็นที่น่าพอใจ กล่าวโดยสรุปการนอนดีนอนหลับไม่ใช่เป็นแต่เพียงระยะเวลาของการนอน หกถึง 8 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงคุณภาพของการนอนที่หลับลึกไม่กระท่อนกระแท่นและไม่แทรกด้วยฝันร้าย ฝันผวา ฝันผจญภัย การเจริญสติในทางสร้างสรรค์ ไม่คิดร้ายเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นหนทาง ของความสงบสุขโดยทั่ว ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว

  • ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ?

    มติชน ทอล์คออฟเดอะทาวน์ฉบับพิมพ์ วันอาทิตย์ 20 ตค 2024

    ยิ่งฉีด ยิ่งทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทั้งหมดรวนเร และคำประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางต้องฉีดซ้ำอีก เป็นเรื่องที่ควรกระทำหรือไม่?
     
    IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ
    ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA
    ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing14 กันยายน 2024
    ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด
    แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement
    ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน
    ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality.
    ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น
    อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี
    นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน
    และเมื่อฉีดมากเข็ม ตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์
    และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว
    (รายงานในวารสารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว)

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000100995

    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ? มติชน ทอล์คออฟเดอะทาวน์ฉบับพิมพ์ วันอาทิตย์ 20 ตค 2024 ยิ่งฉีด ยิ่งทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทั้งหมดรวนเร และคำประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางต้องฉีดซ้ำอีก เป็นเรื่องที่ควรกระทำหรือไม่?   IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing14 กันยายน 2024 ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality. ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน และเมื่อฉีดมากเข็ม ตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์ และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว (รายงานในวารสารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า https://mgronline.com/qol/detail/9670000100995
    MGRONLINE.COM
    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ยิ่งฉีด ยิ่งทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทั้งหมดรวนเร และคำประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางต้องฉีดซ้ำอีก เป็นเรื่องที่ควรกระทำหรือไม่? IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง"

    การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล

    ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา

    ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น

    จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้

    1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง
    สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน

    **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้**

    2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม
    สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว

    **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง**

    3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่
    ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้

    **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่**

    (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic)

    -----------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020).

    สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง" การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้ 1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้** 2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง** 3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้ **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่** (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic) ----------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020). สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง"

    การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล

    ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา

    ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น

    จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้

    1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง
    สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน

    **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้**

    2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม
    สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว

    **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง**

    3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่
    ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้

    **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่**

    (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic)

    -----------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020).

    สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง" การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้ 1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้** 2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง** 3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้ **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่** (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic) ----------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020). สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts